คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
บทส่งท้าย
---------
ปลายฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้ผลัดใบจนโกร๋นหมดแล้ว แต่ที่ร้านยาอหัสกรและร้านรติก็ยังยุ่งอยู่เสมอ
ตรัสและรติยังคงทำงานอย่างมุมานะ
ร้านยาอหัสกรยังคงรับรักษาดูแลคนเจ็บคนป่วย หรือหากไม่ป่วย จะแวะเวียนมาที่นี่แล้วเดินทะลุประตูเชื่อมมายังร้านรติที่ขายผงสมุนไพรสรรพคุณต่างๆก็ได้
ในแต่ละวันจึงมีทั้งคนเจ็บและลูกค้าแวะเวียนมาเนืองๆ
ในขณะที่เรือนอหัสกรแม้จะเงียบลงบ้างเพราะรุจีไปเรียนที่โรงเรียนประจำ เหลือเพียงท่านอมรา ระพีและบ่าวไพร่ แต่ก็ไม่นับว่าเหงา เด็กชายเป็นความสดใสของทุกคนในเรือน
นอกจากทำงานแล้ว ตรัสและรติยังมีหน้าที่อีกประการคือการสั่งสอนระพีทั้งวิชาความรู้ มารยาท และวิธีการใช้ชีวิต ส่วนรุจีเริ่มโตเป็นสาว รติจึงเริ่มเฝ้ามองว่ามีชายใดหมายตาน้องสาวของตนบ้าง ดังนั้นเวลาว่างของสองสามีภรรยาจึงเรียกได้ว่ามีน้อยนิด
กระนั้น เวลาที่แสนน้อยนิดก็มีคุณค่า พวกเขามอบความรัก ความห่วงใย และความเอาใจใส่ให้กันอยู่เสมอ
ท้องฟ้ายามค่ำคืนมีดวงดาวสุกสกาวนับร้อยพัน ช่างเป็นภาพที่จรรโลงใจ ในขณะที่บรรยากาศเงียบสงบและลมหนาวที่พัดผ่านก็ยิ่งทำให้การพักผ่อนบนตั่งยาวริมหน้าต่างของสองสามีภรรยาในค่ำคืนนี้ยิ่งรื่นรมย์
“หนาวไหม” อ้อมแขนโอบร่างอุ่นๆเข้ามาแนบชิด ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาจากคนที่ซุกหน้าเข้าหาไหล่ของเขา
“ไม่หนาวแล้ว”
“ชินแล้วหรือ”
“ไม่ชิน แต่สวมเสื้อหนา ท่านกอดอีก ผ้าห่มอีก ยังหนาวก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร”
ตรัสหัวเราะเบา โอบร่างของคนช่างพูดให้แนบแน่นขึ้นอีก
“ใบไม้ร่วงหมดแล้ว...” ชายหนุ่มชาวเมืองตะวันออกกล่าว มองต้นไม้สูงใหญ่ที่เหลือเพียงกิ่งก้านในความมืด มิได้รู้สึกวังเวงน่ากลัวแต่อย่างใด อย่างน้อยก็เพราะมีคนเคียงข้างให้กอดแน่น
“...จวนเข้าฤดูหนาว ไม่รู้ปีนี้จะหนาวเหมือนปีที่แล้วหรือไม่” เขาเปรย จำได้ดีว่ารติขี้หนาวเพียงใด ปีนี้จึงสั่งให้บ่าวไพร่เตรียมฟืนไฟไว้มากกว่าเดิม
“ข้าจะเตรียมผ้าพันคอที่ท่านเคยให้เอาไว้” รติหันมาบอกพลางยิ้ม รอยยิ้มนั้นงดงามในความรู้สึกของตรัส จนต้องยกมือขึ้นแตะที่มุมปากของภรรยาแผ่วเบา
“ใกล้ครบปีแล้ว ที่เจ้าย้ายมาอยู่ที่นี่”
ไม่เพียงย้ายมาอยู่เมืองนี้ แต่ยังย้ายมาอยู่ในเรือนหลังนี้ด้วย
“ไวจริง”
“ที่นี่เปลี่ยนไปมาก นับตั้งแต่เจ้าเข้ามา”
รติหันมอง ท่ามกลางความมืดสลัว สายตาของตรัสกลับชัดเจน
“ข้าเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ไม่คิดฝันว่าชีวิตนี้จะมีคนเคียงข้างอย่างนี้”
เป็นคนเคียงข้างที่ค่อยๆเรียนรู้กันและกัน
เป็นคนเคียงข้างที่ประคับประคองกันมา
เป็นคนเคียงข้าง...ที่รติรักเต็มหัวใจ
“ดีใช่ไหม” คำถามของตรัสนั้นแสนถ่อมตน รติหัวเราะ หน้าตาสดใสท่ามกลางความมืดสลัว
“ดีสิ...แต่วันแรกนั่นไม่ดีเอาเสียเลย ท่านหน้าบูดอย่างกับอะไร”
“ก็...จู่ๆให้ข้าแต่งงานกับเจ้า ส่วนเจ้าก็ยิ้มระรื่น อะไรๆก็ยินดี มีแขกฝั่งตนเองแค่สองคนก็ยินดี ไม่ต้องดูฤกษ์ก็ยินดี จัดงานที่เรือนก็ยินดี...” ตรัสเอ่ย น้ำเสียงอ่อนโยนยามคิดถึงอดีต แม้อดีตในวันนั้น เขาจะไม่พอใจกับภรรยาคนนี้เลยสักนิด แต่นานวันเข้า กลับพบว่าวันเวลาล้วนเปลี่ยนแปลงผู้คน รวมถึงจิตใจของเขาด้วย
รติหัวเราะร่วน คิดถึงท่าทีของตนเองแล้วก็ไม่แปลกใจที่ตรัสจะเกลียดชัง
“ท่านกลัวไหม จู่ๆต้องแต่งกับใครไม่รู้” รติถาม
“ไม่เชิงว่ากลัว ข้าเชื่อว่าถ้าเจ้ามาไม่ดี ข้าจะจัดการเจ้าได้” แน่ล่ะ ในเมื่อตรัสมีวิชาต่อสู้ อีกทั้งยังอยู่ในพื้นที่ของตนเองเช่นเรือนอหัสกร อย่างไรก็ภาษีดีกว่า
“แต่โกรธ...ไม่ชอบหน้าเจ้า คนอะไรแต่งงานกับคนที่ไม่รู้จักด้วยหน้าระรื่นปานนั้น พอแต่งแล้วก็ไม่ได้มีท่าทีสงบเสงี่ยม สั่งให้ดูแลบ้านเรือนก็ออกไปเตร่ทั่วเมือง ตอนข้ารู้จากระพีว่าเจ้าออกไปเที่ยว ข้าโกรธมาก พอคิดว่าจะดัดนิสัยให้ไปทำงานที่ร้าน ก็กลับเป็นเข้าทางเสียอีก แล้วยังทำได้ดีด้วย” ตรัสเล่า แต่สีหน้ามิได้โกรธเคืองเลยสักนิด กลับยิ้มจาง
“...เจ้าล่ะ ต้องแต่งงาน ต้องเข้ามาอยู่ในเรือนผู้อื่น กลัวสักนิดบ้างไหม” คำถามของตรัสทำเอารติหัวเราะ
“กลัวซี ข้าไม่รู้จักท่าน ไม่รู้ว่าคนในสกุลอหัสกรเป็นอย่างไร แต่...บิดาของท่านเป็นคนดี ไม่ว่ายามเขาความจำเสื่อมหรือจำได้ ก็ไม่มีจิตใจร้ายกาจ จึงคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนเช่นนั้นคงจะอยู่ในสกุลที่ดี อีกอย่างคืออยากให้ระพีได้รู้จักกับพี่ชายของเขา ก็เลย...ต้องทำใจไม่กลัว” รติเล่า พลางยิ้ม
“แต่รู้ไหม ตอนท่านมัดข้าแล้วจากไป ข้าสบายใจมากทีเดียว อย่างน้อยข้าถูกมัดเช่นนี้ จะไม่มีใครกล่าวโทษว่ามีของหาย แล้วชี้นิ้วมาที่ข้าว่าเป็นขโมย อีกทั้งท่านยังไปไหนก็ไม่รู้ด้วย ไม่ต้องอยู่ร่วมห้อง สบายใจไปมากทีเดียว”
ตรัสฟังแล้วหัวเราะ
“เจ้าไม่กลัวข้ามัดเจ้าแล้วไปตามคนมาทำร้ายหรือ”
รติทำหน้าคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ไม่เลย ข้ารู้สึกว่าท่านไม่ใช่พวกหมาหมู่”
“แต่ข้าก็ทำให้เจ้าไม่สบาย...ทำให้เจ้ามองไม่เห็น...” คราวนี้ตรัสเปรยเสียงเบา รติยิ้ม
“ข้าต้องทำเป็นมองเห็นด้วย ถูกท่านโมโหด้วย”
ตรัสกระชับกอดภรรยาแน่นขึ้น
“ข้าไม่ได้ดีต่อเจ้าเลย รติ...แต่เจ้ากลับดีต่อข้า เจ้ารู้ไหม ตั้งแต่เมื่อไรที่ข้าเปลี่ยนไป” คำถามของสามี ทำเอาดวงตาเรียวสีดำขลับเหลือบมอง
“เอ? ตอนที่ข้าช่วยกอบกู้สกุลกระมัง”
คราวนี้ตรัสหัวเราะ
“กอบกู้เชียวหรือ”
“ก็ตอนนั้นการเงินของอหัสกร...อ่า...ก็ไม่เชิงว่าย่ำแย่ แต่ก็หัวชนท้าย ชักหน้าแทบไม่ถึงหลัง เงินเก็บก็ไม่มี เงินส่วนตัวของท่านยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
“นั่นก็ด้วย”
“หืม? แสดงว่ามีเรื่องอื่นที่ท่านประทับใจข้าหรือ”
“จริงๆเป็นเรื่องก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ตอนที่เจ้า...ต้มน้ำร้อนยกขนมมาให้”
รติกะพริบตาปริบๆ ทว่าตรัสกลับยิ้มจาง ยามหวนคิดถึงสิ่งที่รติปฏิบัติต่อเขา ทั้งๆที่เขาตั้งแง่อคติจนไม่เคยกระทำสิ่งใดให้เลย
“ทั้งๆที่ข้าร้ายต่อเจ้า พูดจาไม่ดีกับเจ้า แต่เจ้ากลับ...มอบน้ำใจให้แก่ข้า”
“ใครว่าท่านร้ายต่อข้ากัน เรื่องพูดไม่ดีอาจจะใช่ แต่ทั้งรุจีและระพีก็บอกข้าว่าท่านเอ็นดูพวกเขา ตอนข้าไม่สบาย ท่านก็ยังจัดยาให้ ถึงจะแกล้งให้ข้ากินยานานกว่าปกติก็เถอะ”
“รู้ด้วยหรือว่าข้าแกล้ง”
“รู้สิ เป็นไข้หวัดแค่นั้น กินยาแรงขนาดนั้นตั้งสามวันไปเพื่ออะไรกัน”
“แล้วเจ้ากินหรือ”
“ก็ไม่กินไง วันที่สองก็เททิ้งแล้ว อ๊ะ!” เป็นอันว่าความจริงเปิดเผยวันนี้ ตรัสได้แต่ส่ายศีรษะ พลิกร่างคนรักลงนอนราบกับตั่งแล้วตามขึ้นคร่อมแนบชิด
“จากนี้จะไม่แกล้งให้กินยาขมนานๆแล้ว แต่ถ้าให้กินก็ต้องกิน ห้ามแอบเททิ้งเข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้ว”
“จากนี้...จะไม่ร้ายต่อเจ้า จะไม่พูดไม่ดีกับเจ้า จะรัก...และดูแลเจ้า ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ไม่ว่าจะยากดีมีจน ก็จะอยู่เคียงข้างเจ้า จนกว่าจะหมดลมหายใจ”
ดวงตาทอดสบ มากกว่าความหวานฉ่ำคือความลึกซึ้ง มากกว่าความรักใคร่และตัณหาคือความผูกพันแน่นแฟ้น
“อย่างกับ...คำสาบานวันแต่งงานเลย” รติพึมพำ
“ข้าต้องการกล่าวเช่นนั้น รติ...แต่งงานกับข้าอีกครั้งได้ไหม” คำถามของตรัส ทำเอารตินิ่งงัน ดวงตาตื่นตะลึงคิดไม่ถึง
“ต...แต่เราแต่งงานกันแล้ว...”
“ในงานแต่งงานครั้งแรกของเรา ข้าไม่ได้พูดในสิ่งที่ควรพูด เพราะข้าไม่รู้สึกใด แต่วันนี้...ข้าอยากขอเจ้าแต่งงานอีกครั้ง ให้เป็นการแต่งงานของเรา...ที่เต็มไปด้วยความยินดี”
ดวงตาของตรัสนั้นแน่วแน่จริงจัง
“รติ อหัสกร...”
“...แต่งงานกับข้าอีกครั้งได้ไหม เป็นคู่ชีวิตของข้า...นับจากนี้...ตลอดไป...ได้ไหม”
กระบอกตาของรติร้อนผ่าว จะมีอะไรน่ายินดีไปกว่าการที่ได้รับความรักและยกย่องให้เป็นคู่ชีวิตของคนที่ตนเองรัก จะมีอะไรน่ายินดีไปกว่าการถูกขอให้อยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต และจะมีอะไรน่ายินดีไปกว่า...การได้เป็นคู่ชีวิตของตรัส คนที่เขารักหมดหัวใจ
แม้ดวงตาของรติจะพร่ามัวเพราะหยาดน้ำคลอหน่วย แต่ก็ยังจับจ้องใบหน้าของชายตรงหน้าไม่คลาย ริมฝีปากวาดรอยยิ้มแห่งความสุข ก่อนจะตอบรับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ยินดี...”
“...ข้ายินดีจะเป็น...คู่ชีวิตของท่าน...ของตรัส อหัสกร...จากนี้...ไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ”
หัวใจของคนฟังเต็มตื้นไม่แพ้กัน หลังประโยคนั้นจึงเป็นการมอบรสสัมผัสนุ่มนวลและอ่อนโยนลงกับริมฝีปากของรติ
จุมพิตนี้...แด่ความรักและความศรัทธา
เป็นจุมพิตแห่งคำมั่นสัญญา
...ของคนที่เป็นคู่ชีวิตของกันและกัน...
จบ
---------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
ธ ม น
THAMON926
---------
สวัสดีค่ะ
เรื่องนี้เป็นโปรเจ็คพิเศษ เขียนเป็นตอนสั้นๆ (แต่รวมทั้งเรื่องแล้วยาวมากเลยค่ะ ฮ่าฮ่า) เนื้อหาอ่านง่าย และสบาย หวังว่าคนอ่านจะอ่านแล้วสบายใจ อย่างที่เราตั้งใจนะคะ
เรื่องนี้ตั้งใจใช้แบ็กกราวด์เป็นแฟนตาซี เพราะมีอีกหลายอย่างที่อยากเขียนต่อ แต่ไม่แน่ใจว่าเรื่องอื่นๆในจักรวาลเดียวกันจะมาลงได้เมื่อไหร่ เพราะช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลา แต่ยังไงก็จะหาเวลามาลงตอนพิเศษของเรื่องนี้ให้ได้อ่านกัน ยังไงก็ฝากตรัสและรติต่อไปด้วยนะคะ
ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านมาจนถึงบทส่งท้ายเลยค่ะ
เจอกันใหม่กับตอนพิเศษนะคะ