'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]  (อ่าน 14911 ครั้ง)

ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
เหม็นแมวทำไมมมมมม เดี๋ยวตัวเองก็มี อาจจะเห็นความรักกว่ามะตูมกับเป่าเป้ยก็ได้ 5555

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mew3:      :mew3:      :mew3:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เป่าเป้ยเลี้ยงลูกเก่งมาก

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
น่ารักกันมาก ครอบครัวมากๆ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
นี่ก็เป็นทาสแมว เคยเลี้ยงแมวเด็ก เลยนึกออกว่าบรรยากาศจะชุลมุนแค่ไหน
เป็นประสบการณ์ที่ดีและมีความสุขมาก
เห็นด้วยนะที่คนชอบอะไรเหมือนกันน่าจะไปด้วยกันได้ดีกว่า

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ btoey

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0

- 09 -


บ่ายวันนี้ที่ออฟฟิศผมบรรยากาศเอื่อยเฉื่อยกว่าปกติ

เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมาทุกคนตั้งหน้าตั้งตาทำงานแก้งานกันจนดึก ได้ออกจากออฟฟิศกลับบ้านตอนห้าทุ่มเที่ยงคืนก็มี วันแรกก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่พอลากยาวมาตั้งแต่จันทร์ถึงพฤหัส วันศุกร์ก็จะหมดแรงกันแบบนี้แหละ

เวลาที่ผ่านไปได้ยากที่สุดสำหรับผมคือบ่ายสามถึงสี่โมงเย็น เพราะตาจะปิดซะให้ได้ ระหว่างที่กำลังหาวออกมา เสียงเจ้านายผมก็บ่นขึ้น

“แต่ก่อนนะ กูไม่นอนสองสามวันยังสบายๆ นี่แค่เลิกงานดึกติดกันไม่กี่วัน หมดสภาพได้ไงวะ”

พอพี่แกพูดจบ เสียงแฟนแกที่ใจดีซื้อสตาร์บัคส์มาเลี้ยงพวกผมทั้งออฟฟิศก็ดังขึ้น

“ก็เฮียแก่แล้วไง”

“มึงเด็กกว่ากูมากงั้นดิ”

และคำตอบคือเสียงหัวเราะคิกคักจากคนโดนถาม ส่วนเจ้านายผมก็ลุกขึ้นแล้วพูดต่อ

“เดี๋ยวพอห้าโมงห้าสิบพวกมึงปิดคอมฯ เก็บโต๊ะกันเลยนะ หกโมงปิดประตูล็อก กลับบ้านนอนให้หมด วันจันทร์ค่อยว่ากันใหม่”

ถ้าเป็นคนอื่นพูดผมอาจจะคิดอยู่บ้างหรอกว่าล้อเล่น แต่ถ้าคนนี้ เชื่อผมเหอะว่าพี่แกตั้งใจจะให้พวกผมทำอย่างนั้นจริงๆ

หลังจากยกกาแฟขึ้นมาดูดอีกรอบ การแจ้งเตือนจากไลน์ผมก็เด้งขึ้นมาที่มุมจอ สิ่งที่ถูกส่งมาคืออีโมจิร้องไห้หลายอันติดจากคุณไป๋ แวบแรกผมตกใจไปเลย ก่อนจะเห็นรูปที่ส่งตามมา

หนังเทียมสีเทาเข้มแบบนี้คงจะเป็นโซฟาที่บ้านเขา และโซฟานั่นก็โดนอะไรบางอย่างเจาะจนเป็นรูปเล็กๆ หลายรู สภาพเดาได้ทันทีว่าน่าจะโดนพวกแมวใช้เป็นเครื่องมือในการลับเล็บไปเรียบร้อยแล้ว

เห็นอย่างนั้นผมก็พิมพ์ข้อความกลับไป



‘ฝีมือใครน่ะ? ’



แล้วสิ่งที่ถูกส่งมาแทนคำตอบก็คือรูปแก๊งลูกแมวสี่ตัวที่โดนจับใส่กรงเรียบร้อย แถมทุกตัวยังมองกล้องด้วยแววตาอันสดใสแบบที่พร้อมจะเล่นซนตลอดเวลา เห็นแล้วรู้เลยว่าต้อง ‘ซนร้ายกาจ’ แบบในโน้ตที่คุณไป๋จดไว้หน้าโต๊ะ



‘เอาไงดี’

‘เลือกได้ยังว่าจะปล่อยวัดไหน’




ผมแกล้งถาม ทั้งที่ในใจรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางทำอย่างนั้น

ลองคิดเล่นๆ ถ้าคุณไป๋ตั้งใจจะเอาแมวไปปล่อยวัด ดีไม่ดีอาจจะทำไม่ลงแถมยังเก็บแมววัดกลับมาเลี้ยงเต็มบ้านซะด้วยซ้ำ ขนาดไอ้ตูมที่เดินไปเดินมาอยู่แถวบ้าน เขายังเกือบเอาเข้าบ้านไปเลี้ยงเป็นของตัวเอง



‘คุณอะ!’

‘กำลังหาซื้อที่กันแมวข่วนโซฟาจากในเน็ตอยู่’



ผมหลุดยิ้มเพราะคำตอบของเขา



‘ทาสแมวคุณภาพ’

‘อยู่แล้ว’

‘คุณเป็นไงบ้าง? ’

‘ง่วงจัดเลย’

‘เจ้านายบอกให้ปิดคอมตอน 5 โมง 50’

‘6 โมงทุกคนจะได้รีบกลับบ้านไปนอน’


‘555 ดีอะ’

‘งั้นผมไม่กวนละ’

‘ตั้งใจทำงานนะ’

‘โอเค เดี๋ยวเจอกัน’




“เฮ้ย น่ารัก! ”

เสียงที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมอง ก่อนจะเห็นแฟนเจ้านายตัวเองยืนยิ้มแล้วมองภาพพวกลูกแมวที่ผมกดเปิดดู เห็นอย่างนั้นผมก็ตอบกลับไป

“ลูกมะตูมไงพี่”

“อ๋อ เฮียบอกพี่แล้วแหละ ว่าตูมไปทำผู้หญิงท้อง เด็กหน้ากลมขนแน่นมาก แสดงว่าตูมได้แฟนสวยอะดิ”

“ตัวนี้พี่”

ผมพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดรูปเป่าเป้ยที่ถ่ายไว้ให้อีกฝ่ายดู คนมองนิ่งไปสักพักแล้วก็ร้องออกมาเสียงดัง

“อ้าว! แมวตัวนี้ก็แฟนน้องชุนไม่ใช่เหรอ”

เวรละ โป๊ะแตก! ผมเคยเอารูปเป่าเป้ยให้พี่แกดูแล้วบอกว่าคุยๆ กันอยู่นี่หว่า!

พอนึกขึ้นมาได้ผมก็ยิ้มเขินๆ แล้วพยักหน้ารับ ไม่ต้องเล่าอะไรอีกฝ่ายก็สรุปเอาเองเสร็จสรรพ

“แมวสื่อรักนี่เอง...”

ไม่ทันได้ตอบ ก็มีเสียงดังมาจากอีกมุมห้อง

“มึงก็อย่าไปเสือกเรื่องส่วนตัวน้องมันมากได้มั้ย”

ผมกลั้นขำแล้วก็มั่นใจเลยว่าพี่คนอื่นในออฟฟิศก็คงทำอย่างเดียวกัน ก่อนคนโดนว่าจะหันไปแยกเขี้ยวใส่แต่ก็ไม่ได้ต่อปากต่อคำ หันมาคุยกับผมต่อ

“คนเป็นทาสแมวอะ ไม่มีใครนิสัยไม่ดีหรอก”

ระหว่างที่ผมกำลังงงว่านี่มันคือตรรกะแบบไหน อีกฝ่ายก็ก้มลงมาใกล้ๆ แล้วกระซิบต่อ

“พี่ก็จีบเฮียเพราะเฮียเป็นทาสแมวเหมือนกัน”

พูดจบเจ้าตัวก็ขำนิดๆ เดินไปที่ห้องเอกสารด้านหลังออฟฟิศ ปล่อยให้ผมมองตามแผ่นหลังที่ห่างออกไปแล้วดึงสายตากลับมายังเจ้านายที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะดราฟไฟ

คนบุคลิกนิ่งๆ จนเหมือนจะดุ ตัวสูง ไหล่กว้าง กล้ามแน่น มีบุหรี่ติดโต๊ะและชอบออกไปสูบเวลาเครียด คนนี้เนี่ยนะ? เวลาโดนจีบจะเป็นยังไงวะ

พอนึกถึงอีกคนที่เดินหายเข้าไปในห้องเอกสารยิ่งแล้วใหญ่

กล้าเข้าไปจีบได้ไงวะเนี่ย

สถานการณ์ในออฟฟิศเป็นอย่างที่บอกไว้จริงๆ พอห้าโมงห้าสิบนาทีทุกคนก็โดนสั่งให้เคลียร์สิ่งที่ทำอยู่เพื่อปิดคอมฯ เก็บของให้เรียบร้อย แล้วก็นั่งรอเวลากลับบ้านตอนหกโมงตรง ระหว่างนั้นจะเล่นมือถือ จะทำอะไรก็ตามสบาย จนแฟนเจ้านายผมต้องทักขึ้นมา

“แล้วทำไมเฮียไม่ให้น้องกลับบ้านไปตั้งแต่ตอนนี้เลยอะ รอหกโมงเพื่อ?”

“ไม่ได้เว้ย มันเป็นกฎบริษัท”

“น้องๆ ลำบากแล้ว เจอเจ้านายแบบเนี้ย”

“เรื่องมากมึงก็กลับไปก่อนเลยไป”

“ไม่กลับหรอก ไม่ได้เอารถมา”

ผมนั่งฟังเจ้านายกับแฟนต่อปากต่อคำกันจนถึงเวลาเลิกงาน ก่อนจะขับรถกลับบ้าน รถน่ะจอดที่บ้าน แต่ตัวผมนี่ขอเดินไปดูโซฟาบ้านคุณไป๋เขาก่อน โดนจิ้มไปกี่รูก็ไม่รู้

สรุปว่าความเสียหายอยู่ที่สามรูใหญ่กับรอยเล็กๆ อีกเกือบสิบ ซึ่งตอนนี้คุณไป๋เขาเอาเสาคอนโดแมวอันเล็กมาวางเอาไว้ตรงนั้น ตามวิธีที่หามาในอินเตอร์เน็ต แล้วยังจัดการสั่งที่กันแมวข่วนโซฟามาเรียบร้อบ เหลือแค่รอให้ของจัดส่งมาถึง

ตอนได้ยินว่ามีที่กันแมวข่วน ผมก็สงสัยอยู่หรอกว่าอะไรมันจะกันแมวข่วนโซฟาได้ เพราะตัวในห้องนอนผมก็เละเทะจากฝีมือไอ้ตูม จนต้องเอาผ้ามาคลุมไว้เหมือนกัน พออีกฝ่ายเปิดให้ดูว่าหน้าตามันเป็นยังไงก็เข้าใจได้ทันที

อันที่จริงมันไม่ใช่ที่กันแมวข่วนโซฟาหรอก มันน่าจะต้องเรียกว่า ผ้าคลุมโซฟาที่เอาไว้ให้แมวข่วนโดยเฉพาะมากกว่า เพราะของที่ว่ามันหน้าตาเหมือนเสื่อ พื้นผิวขรุขระชนิดที่ว่าลับเล็บได้ดีเยี่ยม วิธีการใช้งานคือเอาเสื่ออันนั้นมาพาดไว้ที่โซฟาตรงจุดที่แมวชอบข่วน สุดท้ายแมวก็จะมาข่วนไอ้เสื่อนี่ โดยที่เล็บไม่ไปโดนหนังของโซฟาจนเสียหาย แค่นั้นเอง

หายคาใจเรื่องแมวผมก็กินข้าวที่เจ้าของบ้านเขาสั่งมารอไว้อยู่แล้ว จัดการมื้อเย็นเรียบร้อยก็เผลอหลับไปบนโซฟาบ้านเขานั่นแหละ

ตื่นนอนอีกครั้งผมก็เจอคุณไป๋นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโซฟา โดยมีอะไรบางอย่างรูปทรงเหมือนแว่นกันแดดแต่เป็นถุงเจลสีฟ้าใสปิดอยู่บนดวงตา

ทำอะไรของเขาน่ะ

พอรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว อีกฝ่ายก็เอาแผ่นเจลนั้นออกแล้วหันมาหากัน

“ตื่นแล้วเหรอ”

“อืม คุณทำอะไรอะ”

“ประคบตา ใช้คอมฯ ทั้งวันแล้วตาล้าอะ ปวดกระบอกตานิดๆ ด้วยเลยขอพักหน่อย”

“อ๋อ...”

ผมตอบแล้วขยับเข้าใกล้เขามากขึ้น พอเห็นอีกฝ่ายนั่งแหงนหน้าหลับตานิ่งสนิทแล้วก็นึกอยากแกล้งขึ้นมา ดัวยการก้มลงไปจูบบนริมฝีปากคู่นั้นเบาๆ

ทำไปแล้วก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าแบบนี้จะเรียกว่าแกล้งได้มั้ย แต่อีกฝ่ายก็โวยวายขึ้นมาทันทีทั้งที่ยังปิดตาอยู่ ไม่เอาแผ่นเจลออก เขายื่นมือมาทางนี้เพื่อกันผมเอาไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้ ซึ่งแน่นอนว่าทำอะไรไม่ได้ เพราะผมกำลังจับมือเขาไว้แล้วก้มลงไปจูบเบาๆ อีกครั้ง

คราวนี้เจ้าตัวยอมถอดที่ปิดตาออก หันมาหากัน ทำหน้ามุ่ยใส่แล้วพูดต่อ

“แกล้งกันอะ! ”

ผมหัวเราะรับ ไม่ทันได้พูดต่อเสียงการเคลื่อนไหวก็ดังมาจากคอนโดแมว ก่อนที่ผมจะเห็นแก๊งลูกแมวสี่ตัววิ่งไล่กวดกันมาจากตรงนั้น โดยมีไอ้ตูมเป็นหัวหน้า สักพักเจ้าตัวขาวแซมเทาก็พุ่งเข้ามางับขาไอ้ตูมจนล้ม ก่อนพี่ๆ น้องๆ จะกระโจนมาร่วมวงจนอุตลุดไปหมด

ผมทำได้แค่มองภาพตรงหน้านิ่งๆ แล้วถามออกมา

“คุณปล่อยพวกเด็กๆ ออกมาเหรอ”

“อือฮึ”

คุณไป๋ตอบพร้อมกลับไปประคบตาต่อ เห็นอย่างนั้นผมก็ตัดสินใจไม่กวนเขา ยกมือขึ้นจับแก้มอีกฝ่ายเบาๆ แล้วพูดต่อ

“คนไม่ยอมเล่นด้วยเลย ไปเล่นกับแมวดีกว่า”

และคำตอบคือรอยยิ้ม พูดจบผมลุกขึ้นไปหยิบไม้ตกแมวมาเล่นกับพวกเด็กๆ ซึ่งขอบอกเลยว่าโคตรมันส์ พวกลูกแมวกระโดดเฟี้ยวหมุนตัวกลางอากาศเพื่อไล่จับหนูปลอมกับขนนกที่อยู่ปลายเชือก พอกระโดดชนกันก็เปลี่ยนจากจับหนูไปสู้กันเอง วิ่งไล่งับกัน กระโดดขึ้นคอนโดแมว แล้วก็กลับมาไล่จับหนูอีกครั้ง

ผมเล่นกับพวกเด็กๆ ไปพลาง ขำไปพลาง ถ่ายคลิปวีดีโอส่งไปให้เพื่อนดู จนในที่สุดคนที่หมดแรงก่อนก็คือผมเอง

เวลาผ่านไปสักพักอีกฝ่ายก็เลิกประคบตา เดินตรงเข้าไปในครัวไม่นานแล้วก็ออกกลับมานั่งลงข้างกัน

เรานั่งกันตรงนี้บ่อยมากจนผมนึกอยากซื้อเก้าอี้บีนแบ็กมาวางไว้สักตัวสองตัว แต่คิดว่าใช้ได้ไม่เท่าไหร่ก็คงโดนพวกครอบครัวตัวแสบนี่ใช้เป็นที่ลับเล็บไปซะก่อน

” เป็นไงบ้างคุณ รู้สึกดีขึ้นมั้ย”

คนฟังตอบรับด้วยการพยักหน้า หยิบไม้ตกแมวมาเล่นกับพวกเด็กๆ อีกครั้ง ก่อนจะหันมาหาผม ทำตาโตขึ้นนิดหน่อยแล้วพูดต่อ

“นึกออกละ ผมมีเรื่องจะถาม”

“ว่า?”

“มะตูมเคยอาบน้ำมั้ยคุณ”

“อาบน้ำ?”

ผมทวนคำถาม ใช้ความคิดแล้วก็พบว่า มีเรื่องน่าอายให้ได้เล่าอีกแล้วสินะ

“เคยอยู่สักสองครั้งได้”

“อือฮึ”

“ครั้งแรกก็คือวันแรกที่ผมตัดสินใจว่าจะเลี้ยงมันเอาไว้ อีกครั้งก็ตอนมันท้องเสีย อ่อนเพลียมาก แล้วก็ย่ำลงไปบนอึของตัวเอง”

คุณไป๋ทำหน้าเหวอ ส่วนผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องหนึ่งที่ผมกับไอ้ตูมเหมือนกันมาก นั่นก็คือทั้งมันและผมมักจะทำให้ตัวผมเองขายหน้าเป็นที่สุด

พอผมไม่เล่าอะไรต่อ คุณไป๋ก็เริ่มอธิบาย

“คืออย่างงี้ ปกติอะ ผมจะพาเป้ยไปทำกรูมมิ่งที่ร้านอย่างน้อยก็เดือนละครั้งแหละ”

“กรูมมิ่ง?”

“อื้ม มันเป็นการนวดผ่อนคลาย อาบน้ำ เล็มขน ตัดเล็บ เช็ดหู ทำความสะอาดทั่วตัวอะไรประมาณนั้น ถ้าเป็นคนก็ทำสปานี่แหละ”

“แล้ว...คุณจะเอาไอ้ตูมไปทำด้วยเหรอ”

“ก็ว่าจะอะนะ ปกติผมจะเอาเป้ยไปทำที่ร้านเลย แต่ว่าพอมีลูกก็ไม่ได้เอาไปเพราะไม่อยากให้ห่างลูกด้วย คราวนี้ในเพจเฟซบุ๊กของร้านที่ผมพาเป้ยไปทำอยู่ประจำอะ เค้าเพิ่งเพิ่มบริการทำกรูมมิ่งถึงบ้าน ผมก็เลยอยากลองดู เดือนสองเดือนนี้เป้ยก็โทรมมากเพราะเลี้ยงลูกด้วย อยากให้เสริมสวยบ้าง”

เสริมสวย? ความรู้ใหม่เรื่องวิถีชีวิตแมวไฮโซมาอีกแล้ว

“ก็ฟังดูดีนะคุณ”

“ใช่ ผมโทรจองไปเรียบร้อยแล้ว ได้คิววันจันทร์ตอนสายๆ”

“จองแล้ว? ! ”

เดี๋ยว นี่นึกว่าจะมาปรึกษาเฉยๆ ว่าจะทำดีมั้ย แต่สรุปคือคุณเขาจองไปแล้ว?

“อือฮึ จองเสร็จเค้าก็ติดต่อมาขอข้อมูลแมวว่าเคยทำกรูมมิ่งมาก่อนมั้ย เคยอาบน้ำมั้ย เวลาอาบอาการเป็นยังไง อาบได้หรือมีอาละวาด กัด ข่วน อะไรทำนองนั้น ผมก็ให้ข้อมูลส่วนของเป้ยไป แต่มะตูมนี่สิ ผมไม่รู้เลยบอกเค้าว่าจะโทรไปให้ข้อมูลวันหลัง ก็ต้องมาถามคุณเนี่ย”

ผมพยักหน้า ก็รู้อยู่แล้วว่าคนตรงหน้าเลี้ยงแมวอย่างดี ดีมากๆ แต่ก็ยังมีเรื่องให้ผมได้ตื่นเต้นอยู่เรื่อยๆ จนได้ ผมต้องทำไงนะ ให้ข้อมูลพฤติกรรมการอาบน้ำของไอ้ตูมใช่มั้ย

“ตอนผมอาบน้ำไอ้ตูม มันก็ดูไม่ค่อยชอบนะคุณ พยายามหนีแต่หนีไม่ได้หรอก เพราะผมจับไว้ มันสู้แรงผมไม่ได้อะ”

คนฟังยิ้มรับแห้งๆ แล้วถามต่อ

“มีอาละวาด กัด มีข่วนอะไรประมาณนี้มั้ย”

“ไม่นะ ส่วนใหญ่ก็ร้องหง่าวดังๆ ไปเรื่อยๆ จนอาบเสร็จนั่นแหละ”

“อะฮะ แล้วมะตูมกลัวไดร์เป่าผมปะ”

“ไม่รู้ดิคุณ บ้านผมไม่มีไดร์”

“อ้าว แล้วตอนอาบน้ำแมว คุณทำไงอะ”

“ก็...ปล่อยให้มันแห้งเอง”

“สุดยอดไปเลย ดีนะตูมไม่เป็นเชื้อรา”

“ขนมันสั้นนิดเดียวเองคุณ ตากแดดแป๊บๆ ก็แห้งแล้ว”

ผมพูดยิ้มๆ แต่คนฟังกลับทำหน้าอึ้งไปนิดหนึ่งแล้วรับคำ

“โอเคๆ”

“คุณจะเอามันไปกรูมมิ่งอะไรนั่นจริงดิ”

ผมถามออกมาพลางมองไอ้แมวส้มที่กำลังวิ่งไล่ฟัดกับเด็กอย่างไม่รู้จักเบื่อ พร้อมกับได้ยินคำตอบ

“อือฮึ มะตูมจะได้หล่อไง”

“สงสารคนอาบน้ำแย่ ต้องมาขัดสีฉวีวรรณแมวส้มสีหม่นปนสกปรกอย่างไอ้ตูม”

พูดจบคนข้างๆ ก็ยกมือขึ้นมาตีไหล่กันเต็มแรง แล้วพูดต่อ

“รอดูได้เลย วันจันทร์จะกลายเป็นคุณชายมะตูมให้อึ้งไปเลย”

- - -



วันเสาร์ที่ผ่านมาผมมีนัดกับพวกเพื่อนๆ ก็ไปกินข้าวดูหนัง กินเหล้าต่อตอนกลางคืนกันตามปกติ ส่วนวันอาทิตย์ผมพาคุณไป๋ไปเลี้ยงข้าวเพราะเจ้าตัวไม่ยอมให้ผมจ่ายค่ากรูมมิ่งไอ้ตูม แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอนพักผ่อนชาร์จแบตเตรียมไปทำงานต่อวันจันทร์

แล้วในช่วงสายของวันจันทร์ ระหว่างที่กำลังประชุมงานกันอยู่ โทรศัพท์ผมก็สั่นแจ้งเตือน พอกดเข้าไปดูก็เจอรูปถ่ายถูกส่งมาจากคุณไป๋

บริการกรูมมิ่งถึงบ้านอะไรนี่ดูยิ่งใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก เพราะตอนนี้ที่บ้านเขามีรถบรรทุกสี่ล้อขนาดเล็กถอยท้ายเข้ามาจอด และจากรูปที่ส่งมา บริเวณด้านหลังของรถคันที่ว่าถูกดัดแปลงให้เป็นพื้นที่สำหรับอาบน้ำดูแลสัตว์

บริการกรูมมิ่งอะไรนั่นทำให้ผมอึ้งไปทีหนึ่งแล้ว ไอ้รถกรูมมิ่งครบวงจรอะไรนี่ทำให้ผมอึ้งยิ่งกว่า และที่อึ้งที่สุดก็คือมุมหนึ่งของรูป ซึ่งตอนนี้มีไอ้ตูมกลับตาพริ้มเพราะมีเจ้าหน้าที่กำลังนวดขมับให้มันอยู่

ชีวิตดีกว่าคนอีกโว้ย!



‘เกินไปแล้ว พ่อมันนั่งหน้าดำอยู่ห้องประชุมเนี่ย’

‘555 สู้ๆ นะคุณ’




มีต่อนะคะ

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0
,


พอหมดช่วงงานยุ่งไป ตารางผมก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ออกจากออฟฟิศช่วงหกโมงกว่าและไปถึงบ้านประมาณทุ่มหนึ่ง

ส่วนใหญ่ชีวิตก็จะวนลูปอยู่อย่างนี้ งานยุ่ง พอมีเวลาบ้าง แล้วก็กลับไปยุ่งอีกครั้ง

สิ่งที่แปลกไปในวันนี้ก็คือบ้านข้างๆ ที่มักจะเปิดไฟอยู่เสมอเวลาผมมาถึงกลับมืดสนิท

เมื่อวานอีกฝ่ายบอกกันเอาไว้แล้ว ว่าเขามีนัดกินข้าวเย็นกับครอบครัวแบบที่มักจะไปอยู่เป็นประจำ แล้วก็น่าจะกลับดึกๆ หรือไม่ก็คงนอนที่บ้านใหญ่อีก ถ้าดื่มแอลกอฮอล์มา

อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรผิดปกติหรอก แต่เป็นผมเองที่เหงาขึ้นมานิดหน่อย ตอนเห็นว่าบ้านหลังนั้นไม่มีใครอยู่ ปกติถ้ากลับบ้านมาแล้วไม่มีอะไรทำ ผมก็มักจะไปอยู่บ้านเขา คุยเล่นกับเจ้าของบ้านบ้าง เล่นกับพวกแมวเด็กบ้าง รู้อีกทีก็สามสี่ทุ่มไปแล้ว

พอนึกย้อนไปตอนที่ยังไม่รู้จักกัน ผมทำอะไรบ้างนะหลังเลิกงาน?

ถ้าไม่ไปไหนก็ขึ้นห้องเปิดแอร์ อาบน้ำแล้วก็หลับไป รอเวลาที่จะตื่นขึ้นมาทำงานอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ถามว่าตอนนั้นผมมีความรู้สึกเหงาแบบตอนนี้มั้ย คำตอบคือไม่ แต่กลับรู้สึกว่ากำลังใช้ชีวิตเหมือนเป็นเครื่องจักร ต้องทำอะไรซ้ำๆ ทุกวันไปเรื่อยๆ

เทียบกันแล้ว ความรู้สึกในตอนนี้อาจจะดีกว่า ถึงแม้จะเหงาไปอีกแบบ แต่ก็ยังมีอะไรแปลกใหม่รอให้ผมไปเจออยู่เสมอ

หลังจากจอดรถเข้าที่ ไขกุญแจเปิดประตูบ้านเรียบร้อย ภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้ผมตกใจไปนิดหน่อย

สิ่งมีชีวิตที่นั่งอยู่กลางบ้านผมคือไอ้ตูมแน่นอนแหละ ไอ้ตูมแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าไอ้ที่อยู่ตรงคอมันนี่สิ...สิ่งที่เคยเป็นปลอกคอปอมๆ ลูกกลมๆ สีสันสดใส วันนี้มันกลายเป็นปกสีขาวและโบว์สีดำ รวมกันแล้วปกทักซิโด้ที่ดูผู้ดีสุดๆ ...หมายถึงปลอกคอนะ ไม่ใช่ไอ้ตูม

ผมเดินเข้าไปใกล้ อุ้มมันขึ้นมาแล้วก็ต้องยอมรับเลยว่าวันนี้ไอ้ตูมขนนุ่มมาก แถมตัวยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ แบบกำลังดี จมูกซึ่งมักจะเลอะเทอะเป็นคราบสีดำอยู่เสมอ วันนี้ก็สะอาดเป็นสีชมพู ขี้หูก็ไม่มีสักนิด

นี่แมวผมจริงปะวะ หรือใครมาสลับตัวเอาไอ้ตูมไป

คำถามคือใครจะเอา

ระหว่างที่ผมกำลังเกาคางให้เบาๆ ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา

“มึงคือไอ้ตูมจริงปะเนี่ย”

“เมี้ยว...”

ผมหัวเราะรับเสียงร้องที่ตอบกลับมาแล้วพูดต่อ

“มึงมันไม่ใช่ไอ้ตูมแล้ว คุณชายมะตูมชัดๆ”

สิ่งต่อมาที่ผมทำคือถ่ายรูปส่งไปให้คนที่ไม่อยู่บ้าน พร้อมข้อความ



‘คุณไปเอาแมวใครมาทิ้งไว้ที่บ้านผมเนี่ย’

‘หล่อล่ะสิ’

‘หล่อจนคิดว่าแมวคนอื่น’

‘555’

‘คุณอยู่ไหนอะ’

‘พอกลับมาแล้วบ้านคุณปิดไฟ ผมเหงาเลยรู้ปะ’


‘เกินไปมั้ง!’

‘เพิ่งออกจากร้าน กำลังจะกลับ’




เห็นอย่างนั้นผมก็เปลี่ยนจากการพิมพ์ข้อความไปเป็นการโทรออก ก่อนที่อีกฝ่ายจะรับสายทันที

[ฮัลโหล เหงาขนาดนั้นเลย? ]

“แน่นอน ขับรถอยู่เหรอ”

[กำลังจะขับ ขึ้นรถปุ๊บคุณก็โทรมาเลยเนี่ย]

“โอเค เป็นห่วงคุณหรอก ดื่มมารึเปล่า”

ก็ผมจำได้ว่าครั้งก่อนเขาดื่มมาเลยไม่ได้กลับบ้าน ครั้งนี้เลยแอบกังวลขึ้นมาว่าถ้าเขาฝืนขับรถเพราะผมดันไปบอกเขาว่าเหงา มันก็คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่

[วันนี้ไม่ได้ดื่ม กินอาหารจีน แม่ผมอยากกินโอวนี้แป๊ะก๊วยอะ]

‘โอวนี้แปะก๊วย’ คืออะไรวะ

“มันคืออะไรอะคุณ”

[ขนมหวานไง เป็นเผือกกวน ข้าวเหนียวแบบข้าวเหนียวมะม่วง ราดน้ำหวาน ใส่แปะก๊วย พุทราเชื่อม แล้วก็กินรวมกัน]

“เหมือนจะเข้าใจ แต่ผมก็ไม่น่าจะเคยกินมั้ง”

[ขนมที่เค้าจะยกมาเสิร์ฟเป็นขนมหวานเวลาไปงานแต่งงานแบบโต๊ะจีนไง]

“ทำไมผมได้กินแต่เงาะกระป๋องอะ”

สิ่งที่ตอบกลับมาคือเสียงหัวเราะ แล้วคำอธิบายก็ตามมาอีก

[มันเป็นขนมมงคลนะคุณ กินแล้วจะลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมือง]

“แสดงไอ้ตูมมันต้องแอบไปกินที่ไหนมาแน่ๆ”

[ว่าไปเรื่อยอะ...]

“คุณกำลังกลับแล้วใช่มั้ย”

[อือฮึ แต่รถติดอยู่นะ น่าจะอีกนานแหละกว่าจะถึงบ้าน]

“ผมรอแล้วกัน”

[โอเค ถึงแล้วเดี๋ยวไปหา]

“อืม ขับรถดีๆ ล่ะ”

[ดีอยู่แล้ว วางละนะ]

“โอเค”

ผมรับคำ ก่อนจะได้ยินเสียงสัญญานว่าอีกฝ่ายกดวางสายไปแล้ว

พอมีเวลาเหลือผมจึงเริ่มจากเก็บเสื้อผ้าที่ซักแล้วมาใส่ตะกร้า แยกเป็นชุดทำงานกับชุดอยู่บ้าน แล้วเอาตะกร้าชุดทำงานใส่รถเพื่อแวะส่งให้ร้านรีดผ้าในวันพรุ่งนี้ ส่วนชุดอยู่บ้านใส่ตะกร้าไว้ทั้งอย่างนั้นแหละ จะใส่ก็ค่อยคุ้ยหาเอาไม่ยุ่งยาก

เสร็จจากเรื่องเสื้อผ้าก็จัดการปัดฝุ่นชั้นวางของไปเรื่อยๆ บ้านแบบนี้ถึงจะดูอบอุ่นและมีบรรยากาศแบบครอบครัวอย่างที่คุณไป๋ว่า แต่ถ้าเผลอปล่อยให้ฝุ่นจับหรือสกปรกขึ้นมาล่ะก็ จากบ้านก็จะกลายเป็นโกดังรกๆ ไปในทันที ทำทุกอย่างเสร็จถึงได้ไปอาบน้ำ ลงมานั่งพิมพ์ข้อความคุยเล่นอยู่กับพวกลุงไอ้ตูม แล้วก็เผลอหลับไปได้ไงไม่รู้

รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงเรียกอยู่ใกล้ๆ พอลืมตาตื่นผมก็เห็นคุณไป๋นั่งจ้องหน้ากันอยู่แล้ว ทันทีที่เราสบตากัน เขาก็อมยิ้ม ใบหน้ากับแววตาที่มองมาทำเอาผมตั้งตัวไม่ทัน ต้องหันหน้าหนี หลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่แล้วถามต่อ

“กี่โมงแล้วเนี่ย”

“สี่ทุ่มกว่าแล้ว”

ตั้งตัวได้ถึงค่อยหันกลับไปเจอกับแววตาสีเข้มเป็นประกายของเขา และคำถาม

“ไหนว่ามาซิ เหงาอะไรนักหนาฮึ”

ผมลุกขึ้นเหยียดแขนบิดขี้เกียจ แล้วตบมือลงบนเบาะข้างตัวเพื่อให้เขามานั่งด้วยกัน ตอนนั้นเองที่เพิ่งเห็นเป่าเป้ยซึ่งใส่สายจูงเอาไว้ แถมยังมีปลอกคอเป็นระบายติดโบว์แบบเข้ากันกับไอ้ตูม

ผมยื่นมือไปเกาแก้มเป้ยพร้อมกับตอบคำถาม

“ก็ปกติผมกลับมาแล้วต้องเจอคุณนี่ เวลาเบื่อๆ เหงาๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็ไปอยู่บ้านคุณ พอวันนี้มองไปบ้านคุณปิดไฟมืดสนิทเลย จะไม่เหงาได้ไง”

คนฟังนิ่วหน้าเหมือนจะไม่เชื่อกัน ส่วนผมก้มลงไปอุ้มเป่าเป้ยขึ้นมา พอลูบมือไปตามตัวก็พบว่าแม่แมวเองก็ขนนุ่ม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เนื้อตัวสะอาดเข้าไปใหญ่ จากเดิมที่ก็เป็นแมวสะอาดอยู่แล้ว

...นี่สินะพลังของการกรูมมิ่ง

พอสะดุดตาเข้ากับปลอกคอ ผมก็ถามต่อ

“นี่คุณซื้อให้ตูมกับเป้ยเหรอ”

“เปล่า อันนึงเป็นของแถมเพราะเค้าเพิ่งเปิดกิจการ ส่วนอีกอันได้มาตอนซื้อคอร์สอะ”

“มีคอร์สด้วย”

“ใช่ ตอนแรกผมจองไว้แบบครั้งเดียว แต่ดูแล้วพนักงานเค้าโอเคเลยนะ ดูมีประสบการณ์แล้วก็รับมือกับแมวได้จริงๆ ผมเลยซื้อไว้แบบสิบครั้งแถมฟรีสองครั้ง เผื่อลูกแมวโตเราก็ใช้บริการไปด้วยกัน เลยได้ปลอกคอมาด้วย”

ผมฟังเขาพูดแล้วพยักหน้ารับ ทั้งที่ในใจก็แอบมีคำถามอยู่หน่อยๆ ว่าไอ้การกรูมมิ่งอะไรนี่มันจำเป็นสำหรับแมวขนาดนั้นจริงรึเปล่า แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนจะอินมาก ส่วนผมก็ไม่อยากขัดใจเขา

พอหันไปเห็นไอ้ตูมที่ตอนนี้เดินมาดมแก้มเป่าเป้ยแล้วเลียเข้าให้ ก็อดไม่ได้ที่จะแซว

“เนี่ย อย่างที่เค้าพูดกันเลย ว่าผู้ชายอะถ้าได้เมียดีชีวิตก็สบายไปแล้วเกือบครึ่ง ตกถังข้าวสารแล้วไอ้ตูม”

“...”

“ไม่สิ ตกถังรอยัลคานินดีกว่า”

“ไอ้เค้าพูดๆ กันนี่ ใครพูดกันฮึ”

“ไม่รู้สิ”

ผมหลุดขำ ยิ่งเห็นสีหน้าเหนื่อยใจของคนฟังก็ยิ่งขำ ก่อนจะถามต่อ

“เอ้อ ตอนอาบน้ำ ไอ้ตูมเป็นไงบ้างคุณ”

“มีร้องบ้าง หง่าวๆ เหมือนที่คุณบอกนั่นแหละ แต่ก็ไม่อาละวาดอะไรนะ อาบได้ปกติ”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็หันไปมองไอ้ตัวแสบที่นั่งอยู่บนพื้นแล้วส่งสายตามาทางนี้ ก่อนจะชมออกไป

“เก่งเหมือนกันนะเนี่ย”

ผมพูดพลางก้มลงไปเกาหัวไอ้ตูม จากนั้นไอ้แสบก็กระโดดขึ้นมาบนเก้าอี้ ไถตัวกับผมไปมาสองสามที แล้วเอาจมูกแตะเป้ย จุ๊บเบาๆ เหมือนจะบอกกันว่า ‘ก็รักพ่อนะ แต่รักเมียมากกว่า’

ระหว่างที่ผมกำลังมองไอ้ตูม คนตรงหน้าก็ขยับเข้ามาใกล้กันพร้อมกับยกมือขึ้นหยิบเศษขนสีเหลืองของไอ้แสบที่ติดอยู่แล้วขำออกมา

“ขนติดเต็มเสื้อเลยคุณ ขนาดเพิ่งอาบน้ำมานะมะตูม”

คุณไป๋ยังคงพยายามปัดขนไอ้ตูมออกให้ผมจนหมด จะว่าไปแล้วไอ้ตูมก็เพิ่งเดินมาไถตัวผมไปเมื่อกี้แค่ไม่กี่ครั้ง แล้วตรงที่มันไถก็ไม่ใช่ที่ที่มีขนแมวติดอยู่ตอนนี้ด้วย คิดไปคิดมาผมก็เลยพูดออกมาลอยๆ

“มาได้ไงเนี่ย”

“ตอนคุณหลับมะตูมก็ขึ้นมานอนอยู่บนตัวคุณนั่นแหละ พอผมเข้ามาถึงได้ตื่นแล้วกระโดดลงไป”

ไอ้ตัวแสบ...

“เอ้อ ขอโทษนะที่เข้ามาโดยพลการ ผมไลน์หาแล้วคุณไม่ตอบอะ พอมองเข้ามาเห็นว่านอนอยู่บนโซฟาเลยคิดว่าน่าจะหลับอยู่”

“ไม่เป็นไรหรอก”

ระหว่างที่พูดเขาก็ทำท่าจะดึงมือตัวเองกลับไป เพราะปัดขนไอ้ตูมออกหมดแล้ว แต่ผมกลับจับมือเขาไว้ พอเราสบตากันก็พูดออกมา

“ไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้ให้ผมเลย”

“ทำอะไร พาแมวไปอาบน้ำให้เหรอ”

“ก็ทุกอย่างอะ รวมถึงมาปัดขนไอ้ตูมออกจากเสื้อให้แบบนี้ด้วย”

“แฟนคุณไง”

“มีแฟนแล้วผมจะมาจีบคุณอยู่แบบนี้เหรอ ฮึ?”

“เปลี่ยนก็ได้ แฟนเก่าสิ”

“ผมเลี้ยงไอ้ตูมมาสองปี แต่โสดสนิทมานานกว่านั้นอีกนะ”

“ไม่ค่อยน่าเชื่อเลย...”

พอคนตรงหน้าจะดึงมือกลับไป ผมก็รีบรั้งไว้แล้วเอามาแนบหน้าตัวเอง จากนั้นก็จูบลงไปเบาๆ เขาเลยไม่พูดต่อ ทำเพียงหลบสายตา และท่าทางเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกดี

เพราะเจ้าตัวอายุมากกว่าด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้ บางครั้งเขาก็ดูกล้าเอามากๆ เข้ามารุกผมก่อนด้วยความมั่นใจ แต่ในบางช่วงเวลาอย่างในตอนนี้ ในเวลาที่เขาเขินจนไปไม่เป็น ก็ดูน่ารักจนผมแทบทนไม่ไหว

ผมมองสบตาเขา แล้วพูดสิ่งที่คิดอยู่ออกไป

“ผมเคยคิดว่าจะไม่มีแฟนไปตลอดชีวิตเลยด้วยนะ”

“...”

“แต่พอเจอคุณ น่าจะไม่ได้แล้วมั้ง”



- to be continued -



talk .

ช่วงนี้คนมาอ่านนิยายเพิ่มขึ้นหลายคนเลย

น่าจะเป็นเพราะพลังของ #รีวิวนิยายวาย ในทวิตแน่ๆ

สำหรับคนที่เพิ่งได้มาเจอกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ : >

ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนและกำลังใจค่ะ 



ปล. สำหรับใครที่ไม่เคยอ่านผลงานเรื่องอื่นๆของเรา

แอบบอกหน่อยว่า สามารถอ่านเรื่องของเจ้านายพี่ชุน แฟนตัวยุ่งของเค้า และยัยคุณนายแมวอ้วน ได้ใน 'Give Love #เราจะจีบเฮีย' ทางลิ้งก์นี้ 

หรือใครอยากสนับสนุนกัน เราจะจีบเฮียตีพิมพ์เป็นหนังสือ กับสำนักพิมพ์ EverY นะคะ

สามารถซื้อได้ทั้งแบบอีบุ๊กและรูปเล่มเลยค่ะ

(ในเล่มมีตอนพิเศษให้อ่านมากกว่าในเว็บนะคะ) 

แบบรูปเล่มทางนี้

แบบอีบุ๊กทางนี้

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :laugh:     :laugh:     :laugh:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เขิน..นนนนนน     :impress2:

ออฟไลน์ mkooo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อยากพาน้องแมวไป กรูมมิ่งบ้างจัง
งือคุณชายมะตูมน่ารักมาก

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
มะตูมชีวิตดีทันตาเห็นได้เมียรวย ชักนำแฟนมาให้พ่ออีกต่างหาก

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
คุณชายตูม 5555555555555

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0


- 10 -


ความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตอาจจะเกิดขึ้นในวันนั้น วันที่ผมไปกินหมูย่างเกาหลีกับคุณไป๋ และเกิดขึ้นในตอนนั้น ตอนที่ผมเล่าออกไปว่าตัวเองเป็นคนชอบดูหนังผีทั้งที่กลัวผีสุดชีวิต

เพราะเช้าวันหนึ่งที่ผมเดินไปซื้อมื้อเช้าให้เพราะเขาตื่นสาย แล้วเรามานั่งกินโจ๊กกับเกี้ยมอี๋ด้วยกันที่บ้านผม อยู่ๆ คนตรงหน้าก็พูดออกมา

“มีซีรี่ส์เรื่องนึงในเน็ตฟลิกซ์น่าดูมากเลยคุณ วันหยุดนี้เราดูด้วยกันไหม”

และผมรับปากไปในทันที รับปากไปโดยไม่ถามสักคำว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ผจญภัย ต่อสู้ การเมือง ไซไฟ ความรัก แฟนตาซี หรือว่า ผี

วันศุกร์ผมเคลียร์งานเสร็จตอนทุ่มกว่า ออกจากออฟฟิศมาแวะซื้อขนมกินเล่นประมาณหนึ่ง พอถึงบ้านก็จัดการอาบน้ำใส่ชุดนอนเรียบร้อยเพราะตั้งใจจะดูซีรี่ส์กันจนดึก ดีไม่ดีก็คงนอนค้างที่นั่นไปเลย...ก็แค่เผื่อไว้

พอไปที่บ้านหลังข้างๆ ผมก็ส่งเสียงทักทายให้อีกฝ่ายรู้ว่ามาแล้ว ก่อนจะเจอคุณไป๋ใส่ชุดนอน ผมเปียกหมาดๆ นั่งอยู่กับพวกเด็กๆ และหันมาพูดกับผม

“คุณ...ผมฝากล็อกประตูรั้วให้หน่อยสิ เอายาคูลท์ให้ลูกแมวกินอยู่”

“ได้ๆ”

ผมรับคำ เดินไปหยิบกุญแจบ้านที่เขาแขวนไว้แถวโต๊ะทำงาน แล้วออกไปปิดล็อกทั้งประตูรั้วประตูบ้าน กลับมาก็เจอคนกำลังเอายาคูลท์ใส่ไซริงก์ป้อนให้ลูกแมว

พวกเด็กๆ เริ่มหัดเข้าห้องน้ำกันตั้งแต่วันที่กรงเสร็จเรียบร้อย หลังจากคุณไป๋เอากระบะขนาดเล็กมาเติมทรายแล้ววางไว้ ตัวแรกที่ลงไปใช้บริการก็คือไอ้ตูม ข้อดีคือกลิ่นอึของมะตูมทำให้ลูกเข้าใจได้ว่าตัวเองควรจะอึที่ไหน จะมีบ้างบางตัวที่ไม่ยอมเข้าห้องน้ำในสองสามวันแรก แต่ไม่นานทุกตัวก็ลงกระบะทรายได้ด้วยตัวเอง

หลังจากนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ไอ้ตูมน่ะชอบเข้าห้องน้ำเด็ก ส่วนเด็กๆ ก็ดันชอบปีนเข้าห้องน้ำผู้ใหญ่ไปซะได้

คุณไป๋ลองจับพวกลูกแมวไปอยู่ในกรงกันมาแล้วครั้งหนึ่ง และผลคือแต่ละตัวปีนกันกระจุยกระจายจนคุณไป๋ต้องยอมแพ้ จับกลับมาอยู่ในคอกเหมือนเดิมเพราะกลัวจะเล่นกันจนบาดเจ็บ เอาเป็นว่าให้โตกว่านี้อีกหน่อยก็แล้วกัน

ผมเดินไปนั่งลงข้างเขา มองร่างกายกลมๆ ที่ปกคลุมไปด้วยขนนุ่ม หัวก็กลมบ๊อก แถมหน้าตายังโคตรดื้อ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะจับเจ้าพี่ใหญ่ขึ้นมาแกล้งเกาพุงจนร้องโวยวาย

“แกล้งเด็กอีกแล้วคุณ”

“ก็ดูแต่ละตัวดิ หน้าดื้อกันทั้งนั้นเลย”

พูดจบผมก็หันซ้ายหันขวา เจอไอ้ตูมนอนอยู่บนคอนโด ลูกแมวอยู่ตรงหน้า แล้วแม่แมวล่ะหายไปไหน

“เป้ยล่ะคุณ?”

“ตั้งแต่เด็กๆ เริ่มกินอาหารเองได้คุณเธอก็โน่น หนีไปนอนชั้นบน แต่ก็ลงมาเรื่อยๆ นะ คงอยากพักแหละเหนื่อยมาเป็นเดือนแล้ว”

“ไม่ได้ไม่สบายอะไรใช่มั้ย”

“ไม่หรอก แต่ก่อนก็เป็นแบบนี้แหละ หน้าต่างตรงบันไดอะ ผมติดเปลแมวเอาไว้ที่กระจก มุมโปรดของเป้ยเลย ตอนยังไม่มีลูกก็ชอบไปนอนที่นั่น”

ผมพยักหน้ารับ นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเห็นเป่าเป้ยเลย เพราะมุมโปรดดันไปอยู่ตรงหน้าต่างฝั่งที่ไม่ติดกับบ้านผมล่ะมั้ง

หลังจากนั้นไม่นาน คนตรงหน้าก็เก็บเด็กๆ เข้าคอก ส่วนผมก็จับไอ้ตูมใส่ไปอีกตัวให้มันเลี้ยงลูก ก่อนที่เราจะลุกขึ้น พร้อมกับที่คุณไป๋หันมาบอกกัน

“ป่ะ ดูหนัง!”

ผมก็งงตัวเองเหมือนกันนะว่าทำไมไม่คิดจะสงสัยสักนิดว่าคืนนี้เราจะดูซีรี่ส์เรื่องอะไร หรืออย่างน้อยมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร รู้แค่ว่าเขาถามปุ๊บ ผมก็รับปากปั๊บแบบไม่ทันคิด

อยู่ๆ ก็เพิ่งมาเอะใจเอาตอนนี้ ตอนที่อีกฝ่ายปิดไฟทั้งบ้าน เปิดไว้แค่โคมไฟโต๊ะทำงาน แล้วมาเปิดโทรทัศน์ พอผมได้เห็นโปสเตอร์หนังที่อยู่บนหน้าจอคำตอบก็ชัดเจนแบบไม่ต้องถาม มันเป็นรูปผู้หญิงคนหนึ่ง โดนปิดตาไว้ด้วยผ้าที่ดูเหมือนเป็นกระสอบ บนผ้าเก่าๆ นั้นมีรอยกากบาทสีดำ สีพื้นหลัง ฟอนต์ที่ใช้ ทุกอย่างบอกชัดเจน...ว่าคืนนี้เราจะดูหนังผี

ผมหันไปมองคนที่กำลังกดรีโมตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วถามออกมา

“หนังผีเหรอคุณ”

“อืม...”

คนฟังตอบหน้าตาเฉย ส่วนผมน่ะ...จะเป็นลม!

ใช่ ผมชอบดูหนังผี แต่ผมก็กลัวมากไง มากชนิดที่ว่า อย่างน้อยก็ควรมีเวลาเตรียมใจบ้างสักครึ่งวันก็ยังดี ไม่ใช่อยู่ๆ ก็มาปิดไฟเปิดหนังผีใส่กันเลยแบบนี้ ไม่ทันไรคำถามต่อไปก็ตามมา

“กลัวเหรอ”

“นิดนึง...”

“งั้นเปลี่ยนมั้ย”

“ไม่ๆๆ ดูได้ คุณเปิดเลย”

จะยอมรับว่ากลัวได้ไงวะ ขายหน้าแย่!

แล้วทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้น แม่งเอ๊ย! ขนาดโลโก้สีแดงของเน็ตฟลิกซ์ยังดูน่าสยองกว่าปกติเลยคิดดู

ผมพยายามตั้งสติให้มั่นคง มองภาพในจอที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ก่อนจะตกใจนิดๆ เมื่ออยู่ดีๆ ภาพปากหลุมสีดำก็โผล่มา ก่อนจะตัดไปที่บ้านหลังหนึ่ง กล้องแพนให้ได้เห็นบรรยากาศต่างๆ ก่อนจะมาจบที่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเดินอยู่ในบ้าน ระหว่างที่กำลังลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณไป๋เขาก็หันมาชวนคุย

“เหมือนบ้านคุณเลยอะ”

“คุณก็...”

ผมตอบกลับไปแค่นั้น ขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นอีกนิด จนในจอปรากฏภาพผู้หญิงแก่คนหนึ่งยืนอยู่ในห้องครัว แค่เธอหันหน้ามาผมก็ต้องหรี่ตาลงข้างนึงแล้ว

คนบ้าอะไรวะ หน้าตาน่ากลัวฉิบหาย!

ยังไม่ทันได้รวบรวมสติกลับมา ผู้หญิงแก่ที่กำลังคุยกับผู้หญิงอีกคนซึ่งเป็นลูกสาวของเธอก็ลงมือถอนฟันตัวเอง

ตอนนั้นเองที่ผมคว้าแขนคุณไป๋เข้า จับมือเขาเอาไว้ ก่อนจะเอนตัวซบลงไปบนไหล่ของเจ้าตัวทันที สิ่งที่ผมได้ยินมาจากเขาคือเสียงหัวเราะพร้อมกับคำถาม

“ไหวเนอะ?”

พูดจบเขาก็พลิกมือมา ประสานนิ้วมือกุมกันเอาไว้ พร้อมกับที่ผมตอบกลับ

“ไหวคุณ”

“...”

“ผ่าน Conjuring มาได้ ผมก็ต้องผ่านไอ้ยายนี่ไปได้เหมือนกัน”

“Conjuring นี่เรื่องโปรดผมเลย”

“ตอนดูในโรงผมแทบเขวี้ยงถังป็อปคอร์นใส่เก้าอี้ข้างหน้า”

พอเขาหัวเราะออกมาผมก็ได้แต่ถอนหายใจ แล้วเราก็ดูหนังกันต่อ...

หลังตอนแรกผ่านไปได้แค่ครึ่งเดียว ผมขอบอกเลยว่าไอ้ยายแก่ในเรื่องนี่ควรถูกระบุว่าเป็นบุคคลอันตรายของโลก และควรจะถูกเพิ่มเข้าไปในทำเนียบผีที่สมควรจะโดนปราบที่สุดหรืออะไรทำนองนั้นถ้ามันมีอยู่จริง

จากที่เราแค่นั่งกุมมือกัน ตอนนี้มือคุณไป๋กลายมาเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตชั้นดี เพราะผมจะยกมือเขาขึ้นมาปิดตาตลอดในช่วงที่บรรยากาศดูแล้วน่าจะมีพลังงานอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็ยายแก่สักคนโผล่ขึ้นมา

ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวแล้วพูดขึ้นมาในช่วงที่บรรยากาศไม่ค่อยจะกดดันสักเท่าไหร่

“สาบานเลย ถ้าหมู่บ้านเรามีคนหน้าตาแบบนี้อยู่ ต่อให้อยู่คนละเฟสกันก็เหอะ ไม่ว่ายังไงผมก็จะย้ายออก”

และเขาก็ตอบกลับผมด้วยเสียงหัวเราะ ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดต่อ

“ผมว่ามันคือการแต่งหน้าเอฟเฟ็กต์ หรือไม่ก็ใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกนะ น่าจะไม่ใช่หน้าจริงหรอก”

“ผีก็คือผีปะคุณ ยังไงมันก็...ว้ากกก!!”

“คุณ!!”

คราวนี้ก็ไม่ใช่แค่ผมที่ตกใจแล้ว เพราะคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังตกใจไปด้วย

ไม่ทันไร สถานการณ์กลับมาอยู่ในความสงบ โดยที่ผมหดขาขึ้นมาบนโซฟา ตรงหน้ามีไอ้ตูมนั่งตัวตรงจ้องหน้ากันแล้วร้องเมี้ยว ส่วนทางขวามือมีคุณไป๋ที่หัวเราะจนลงไปนอน

ก่อนหน้านี้ระหว่างที่ผมกำลังคุยกับคนข้างๆ อยู่ๆ ไอ้ตูมที่ย่องมาจากไหนไม่รู้ ก็ดันกระโดดขึ้นมาบนตักผม แน่นอนว่าผมตกใจ ทั้งโยนทั้งถีบมันลงไปโดยไม่ทันดู พอรู้ว่าสิ่งที่หล่นตุ้บลงมาบนตัวคือไอ้แมวเหลือง สติถึงได้กลับคืนมา

ผมถอนหายใจ เอาขาลงกลับไปเหมือนเดิม ส่วนคนข้างๆ ที่ตอนนี้ลุกขึ้นนั่งและกำลังพยายามหยุดหัวเราะอย่างสุดความสามารถ ซึ่งบอกเลยว่าไม่ค่อยสำเร็จ

ยิ่งเห็นสีหน้าของผมที่เหมือนจะเป็นลมให้ได้เขาก็ยิ่งขำ ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาประคองใบหน้าผมเอาไว้แล้วขยับเข้ามาจูบเบาๆ บนริมฝีปาก

“ขวัญเอ๊ยขวัญมาเนอะ ดีขึ้นยัง”

ผมยิ้มมุมปาก ยกมือขึ้นมาจับมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ แล้วเป็นฝ่ายก้มลงไปจูบอีกครั้ง

ริมฝีปากที่ผมสัมผัสได้ช่างอบอุ่น ช่วยให้ความรู้สึกที่กระจัดกระจายเข้าที่ขึ้นมาก เขาปล่อยให้ผมเป็นคนนำ ส่วนตัวเองก็คล้อยตามไป ก่อนผมจะผละมือออกข้างหนึ่ง เปลี่ยนมาสัมผัสลำคอของคนตรงหน้าแล้วรั้งเขาเข้ามาให้แนบแน่นมากยิ่งขึ้น ตอนนั้นเองที่ปลายลิ้นของเราสัมผัสกัน

ผมจมดิ่งไปในความรู้สึกแสนหวาน ในขณะเดียวกันก็ชวนให้ตื่นเต้นจนรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ไหลผ่านทั่วร่าง และนั่นคือสัญญาณที่ผมต้องบอกตัวเองให้หยุด ถอนจูบออก มองสบตาเขา ขยับนิ้วหัวแม่มือจากลำคอมาสัมผัสริมฝีปากที่ตอนนี้เป็นสีเรื่อกว่าเก่า

ในตอนที่สายตากำลังจดจำภาพคุณไป๋ยกยิ้มเขินๆ ตอนนั้นแหละ ผมก็ได้รู้ว่าเสียงซึ่งดังอยู่ระหว่างที่เรากำลังจูบกันคือเสียงร้องของอีกาและเสียงพูดอันน่าขนลุกของยายแก่คนเดิม

“เมี้ยว...”

ขอบคุณไอ้ตูมที่ร้องขึ้นมา

ผมหันไปมองไอ้แมวส้มที่ต้องขอยืนยันอีกครั้งว่ามันอ้วนขึ้นทุกวัน จนแทบจะพูดได้ว่าอ้วนขึ้นทุกวินาทีที่หายใจ พอเห็นหน้ากวนตีน ตาสีเหลือง จมูกสีชมพูเลอะเทอะ แล้วก็ไอ้แต่แอบสงสัย

มันต้องเป็นแมวยังไงถึงได้ชอบมานั่งดูคนจูบกันวะ

แล้วอยู่ๆ คุณไป๋เขาก็ยกมือขึ้นตบโซฟาเพื่อเรียกให้มะตูมกระโดดขึ้นมาหา ก่อนจะลูบหัวเกาแก้มให้มันแล้วถามต่อ

“เจ็บมั้ยเนี่ยเรา เมื่อกี้โดนโยนลงไปใช่มั้ย”

ผมมองไอ้ตัวแสบที่เอาใบหน้าถูไปมากับฝ่ามือออดอ้อนคนพูด แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ไอ้แมวตอแหล!

แล้วพวกเราก็เริ่มดูหนังอีกครั้ง ด้วยท่าทางการนั่งที่ดูลงตัวยิ่งขึ้น ผมวาดแขนโอบเขาเอาไว้ ส่วนคุณไป๋ก็เอนตัวพิงลงมาบนอกผม โดยมีมะตูมขดตัวกลมอยู่บนตัก

สิ่งที่เหมือนเดิมก็คือมือข้างที่ว่างของผม ยังคงต้องกุมมือเขาเอาไว้แล้วยกขึ้นมาปิดตาตอนที่ผีทำท่าจะออกมา

เราต้องย้อนกลับไปเพื่อหาฉากล่าสุดที่ดูไว้ พอหนังเริ่มเล่นอีกครั้ง คนที่อยู่ในอ้อมแขนผมก็ถามขึ้นมา

“คุณจะดูตอนสองไหวมั้ยเนี่ย”

“สบาย สามตอนไปเลยถ้าคุณไม่ง่วงนอน”

และสิ่งที่ตอบกลับมาก็คือเสียงถอนหายใจ

พวกเราหยุดพักหลังดูตอนแรกจบ ก่อนที่คุณไป๋จะเดินเข้าไปในครัวเพื่ออบป็อปคอร์นด้วยไมโครเวฟ ส่วนผมแกะปลาเส้นที่ซื้อมา และขนมที่ว่าก็มีความสามารถทำให้เป่าเป้ยยอมลงจากมุมส่วนตัวบนบันได มานั่งจ้องหน้าผมแล้วร้องเมี้ยวเบาๆ ส่วนไอ้ตูมนี่แทบจะกระโดดมางับของกินไปจากมือผมอยู่แล้ว

พอเห็นท่าทางของเป้ยแล้วผมก็ต้องลุกขึ้น เดินไปหาอีกคนในครัว โดยที่มีสองแมวเดินตามมาติดๆ

“มีขนมแมวมั้ยคุณ ตูมกับเป้ยอยากกินขนมอะ”

ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็พยักหน้ารับ แล้วพูดต่อ

“เปิดตู้ด้านบนริมสุดติดตู้เย็นเลย ขนมกับอาหารแมวอยู่ในนั้น”

พอเปิดตู้ตามที่บอก ผมก็เจอกับเสบียงแมวเต็มไปหมด ก่อนจะเลือกหยิบอันที่เป็นขนมหน้าตาคล้ายบิสกิต แล้วก็เดินนำทั้งสองตัวกลับไปบริเวณห้องนั่งเล่น

กลายเป็นว่าระหว่างที่กำลังรอป็อปคอร์น ผมก็ต้องเลี้ยงแมวไปพลางๆ เราเริ่มดูตอนที่สองหลังจากคุณไป๋กลับมาพร้อมป็อปคอร์นในถ้วยใบใหญ่ น้ำอัดลมอีกแก้วแก้วกับหลอดที่ปักอยู่สองอัน

ผมมองแก้วน้ำ แล้วก็อมยิ้มกับความคิดที่เกิดขึ้นในใจ ถ้าเมื่อกี้จะจูบกันไปขนาดนั้น อันที่จริงก็ไม่จำเป็นจะต้องแยกหลอดแล้วล่ะมั้ง คิดเสร็จก็ตัดทอนคำพูดส่วนที่สุ่มเสี่ยงแล้วถามออกไป

“ต้องแยกหลอดด้วย?”

เหลือเชื่อดีที่เขาเข้าใจ ทำหน้ามุ่ยยกมือขึ้นมาชี้หน้าผมทีหนึ่งก่อนจะกลับไปดูซีรี่ส์ต่อ

สุดท้ายเราก็ดูจบสามตอนตามที่วางแผนเอาไว้ในเวลาเที่ยงคืนกว่า ไอ้ดึกน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ความรู้สึกของผมนี่สิ หลังจากเจอยายแก่ถอนฟันเข้าไป ไม่มีทางซะหรอกที่ผมจะกลับไปนอนที่บ้านคนเดียว ไม่มีทาง!

“คุณ...” ผมเอียงศีรษะไปพิงกับอีกคน ก่อนจะพูดต่อ “ผมนอนนี่นะ”

แล้วคำตอบที่ได้ยินก็ทำให้อึ้งไปเลย

“ก็ต้องนอนนี่สิ คุณล็อกประตูรั้วไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

เออ...นั่นสิ!

ผมมองสบตากับคนพูด ส่งยิ้มมุมปากไปให้แล้วถามว่า

“ล่อลวงผมอีกแล้วใช่มั้ย”

คนฟังยกมือขึ้นมาตีต้นแขนผมแทนคำตอบ หันไปหยิบหมอนใบหนึ่งมาโยนใส่กันเต็มๆ แล้วชวนเปลี่ยนเรื่อง

“ลุกขึ้นเลย! ผมจะกางโซฟาออกเป็นเตียง!”


= มีต่อนะคะ =

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0

เช้าวันต่อมาผมตื่นนอนด้วยความสดชื่น แต่พอพลิกตัวไปอีกฝั่งกลับพบกับเตียงนอนว่างเปล่า มองไปทางคอนโดแมวก็เห็นไอ้ตูมนอนตัวเหลืองอยู่ ส่วนเป่าเป้ยยังขดตัวนอนเป็นวงกลมอยู่บนหมอนอีกใบ

คุณไป๋ตื่นแล้วสินะ

พอลุกขึ้น เดินเข้าห้องน้ำไปแล้วก็ต้องยิ้มออกมา เพราะเห็นแปรงสีฟันของเราวางอยู่คู่กันในแก้วหน้ากระจก ผมจัดการล้างหน้าแปรงฟัน ออกจากห้องน้ำอีกครั้งก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังมาจากห้องครัวเลยเดินตรงไป และเจอเจ้าของบ้านยืนอยู่หน้าเครื่องชงกาแฟ

“คุณ...”

ส่งเสียงเรียกไปแค่นั้นอีกฝ่ายก็หันกลับมา ส่งยิ้มให้แล้วถามว่า

“กาแฟมั้ย”

“กาแฟดำเหรอ”

ผมถามก่อนจะเดินเข้าไปใกล้

“อื้ม กินได้มั้ย”

“ไม่มีหวานๆ เหรอ”

“หวานๆ” ระหว่างที่พูดอยู่นี่ เจ้าตัวก็ยื่นมือขึ้นเปิดตู้ด้านบน หยิบกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา แล้วยื่นหน้ากล่องให้ผมดู “วานิลลาลาเต้ได้มั้ย”

“เข้าทางเลย”

“งั้นรอแป๊บนึง”

พูดจบคุณไป๋ก็หยิบแก้วมาฉีกกาแฟใส่ก่อนจะเติมน้ำร้อน ในตอนที่ผมกำลังมองทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างเพลิดเพลิน อยู่ๆ ความรู้สึกอะไรบางอย่างก็ทำให้ต้องร้องออกมาเสียงดังลั่น

“โอ๊ย!”

“เป็นอะไรคุณ”

“ไอ้ตูมมันกัด...”

ระหว่างที่พูดผมก็ก้มหน้าลงไปมอง ก่อนจะชะงักไปเพราะไม่ใช่ไอ้ตูมหรอกที่กัดผม แต่เป็นเจ้าตัวเล็กพี่ใหญ่ที่สีส้มเข้มขึ้นทุกวันๆ กัดกันเสร็จยังจะเงยหน้ามาร้องแง้วโชว์เขี้ยวเล็กๆ ที่เพิ่งงอกให้ดู จะบ้าตาย

คนตรงหน้าผมกำลังหัวเราะกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วอยู่ๆ ก็มีเจ้าจิ๋วสามสีวิ่งตามมาเป็นตัวที่สอง ก่อนที่ผมจะถามขึ้น

“คุณปล่อยเด็กๆ ออกมาเหรอ”

“เปล่า...”

“ผมก็เปล่านะ”

เฮ้ย!

เรายืนมองหน้ากัน ตกใจไปสักพัก แล้วพากันเดินออกไปดูหน้าบ้าน

ภาพที่เห็นก็คือเจ้าเหมียวตัวสีขาวล้วนซึ่งตอนนี้เริ่มมีสีเทาขึ้นแซมแบบเป่าเป้ยกำลังหล่นตุ้บลงมาจากแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดสำหรับกั้น หล่นปุ๊บก็ลุกปั๊บแล้ววิ่งตามพี่น้องสองตัวมาทันที

ส่วนเจ้าสีขาวส้มน้องเล็กสุด ตอนนี้ทำได้แค่เอาขาหน้าสองข้างเกาะรั้วเอาไว้ แล้วร้องเสียงดังเพราะอยากออกมาด้วย

ผมหลุดยิ้มกับภาพที่เห็น ก่อนจะก้มลงอุ้มเจ้าตัวสีขาวส้มขึ้นมา ลูบเบาๆ โดยที่เจ้าเหมียวยังเอาแต่โวยวายดังลั่น

ไม่ทันได้ทำอะไรเป่าเป้ยก็เดินตามพวกลูกๆ มา จัดการเลียตัวให้พวกดื้อที่พอเห็นแม่ปุ๊บก็พร้อมจะพุ่งเข้าไปดูดนมทันที เลียไปเลียมาสักพัก คุณเธอก็คาบหลังคอเจ้าพี่คนโต แล้วก็พากลับเข้าไปในคอก

หลังจากมองเหตุการณ์อยู่พักใหญ่ คุณไป๋ก็สรุปออกมา

“สงสัยต้องพาเด็กๆ ไปไว้ในกรงแล้วแหละ”

ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดต่อ

“ผมว่าน่าจะต้องดูเพศแล้วก็ตั้งชื่อด้วย”

“กำลังคิดอยู่พอดีเลย”

ระหว่างที่พวกผมกำลังจิบกาแฟกับกินขนมปังปิ้งรองท้องเป็นมื้อเช้า อาหารของพวกแมวเด็กก็โดนแช่เอาไว้ในนมเรียบร้อยแล้ว แต่ก่อนที่จะได้กินก็น่าจะต้องมาดูเพศกันก่อน

พวกผมหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมาแล้วว่า ระยะห่างระหว่างสองจุดที่ก้นคือตัวกำหนดเพศแมว ตัวผู้จะอยู่ห่างกันมากกว่าตัวเมีย ผมจัดการเซฟรูปตัวอย่างของทั้งเพศผู้และเพศเมียเอาไว้ในเครื่องเพื่อเป็นตัวช่วย...แล้วผมก็มาถึงจุดที่มีรูปก้นแมวอยู่ในโทรศัพท์มือถือจนได้

พอข้อมูลพร้อมก็ลงมือปฏิบัติ พวกเรามานั่งกันอยู่หน้ากรง และเริ่มจากจับเจ้าพี่ใหญ่ขึ้นมาหงายท้องเป็นตัวแรก ทั้งผมและคุณไป๋ก้มหน้าลงมองไปดูก้นเจ้าเหมียวใกล้ๆ

แล้วไอ้ตูมมันจะมามุงด้วยทำไมวะน่ะ!

เมื่อมองไปอีกทางก็เห็นเป่าเป้ยส่งสายตามาทางนี้ เหมือนจะถามว่าพวกมนุษย์ทำอะไรกับลูกๆ สุดที่รักของหนู พิจารณาอยู่สักพักผมก็พูดออกมา

“ผมว่ามันมีไข่”

พูดจบก็หันไปสบตากับคนที่นั่งอยู่ข้างกัน ก่อนเขาจะพยักหน้ารับ

“ผมก็ว่าตัวผู้นะ”

“โอเค สรุปไอ้ส้มตัวผู้ ไปกินข้าวได้”

ดูเพศเรียบร้อยผมก็จับไอ้ตัวแสบที่งับกันเมื่อเช้าไปวางหน้าถ้วยอาหาร แล้วเอื้อมมือไปจับตัวถัดไปออกมาจากคอก

คิวสองคือเจ้าขาวที่ตอนนี้เริ่มมีสีเทาแซมมากขึ้นเรื่อยๆ แบบที่เดาได้เลยว่าโตขึ้นคงสีคล้ายแม่น่าดู นั่งพิจารณาก้นแมวอยู่สักพัก ผมกับคุณไป๋ก็ลงความเห็นตรงกันว่าเป็นตัวผู้ ตามมาด้วยตัวที่สาม ที่หยิบขึ้นมาปุ๊บอีกคนก็พูดขึ้นทันที

“จริงๆ ตัวนี้ไม่ต้องดูก็ได้นะคุณ แมวสามสี ยังไงก็ตัวเมีย”

“อ้าว ทำไมอะ”

“ก็ส่วนใหญ่แมวสามมีมันมีแต่ตัวเมีย คุณเคยเจอแมวสามสีตัวผู้ปะล่ะ”

ผมส่ายหน้า อธิบายต่อ

“จะว่าไม่เคยเจอก็ใช่อยู่ คือก่อนจะเลี้ยงมะตูมอะ ผมไม่เคยสนใจหรอกว่าแมวตัวไหนจะเพศอะไร”

“เป็นงั้นไป”

“อืม ว่าแต่ทำไมแมวสามสีถึงได้มีแต่ตัวเมียล่ะ”

คนตรงหน้าผมเงียบไปสักพัก เหมือนจะใช้ความคิดเรียบเรียง แล้วอธิบายออกมา

“โครโมโซมที่เป็นตัวกำหนดเพศแมวอะคุณ มันจะมีหน้าที่กำหนดสีด้วย แล้วมันจะจับคู่สีออกมาเป็นสามสีได้เฉพาะในโครโมโซมของแมวเพศเมียเท่านั้น”

“อ๋อ...งั้นก็ไม่มีทางที่แมวสามสีจะเป็นตัวผู้ได้เลยดิ”

“มีอยู่นะ จำตอนเรียนวิทยาศาสตร์สมัยมัธยมได้ปะ เวลาจับคู่โครโมโซม ของผู้ชายจะออกมาเป็น XY ของผู้หญิงจะออกมาเป็น XX ใช่มั้ย แต่แมวสามสีตัวผู้อะ โครโมโซมจะจับกันเป็น XXY มันก็สามารถเกิดขึ้นได้แต่น้อยมาก แล้วแมวสามสีตัวผู้ก็จะเป็นหมันด้วย”

แล้วนี่ก็เป็นอีกครั้งที่คุณไป๋สามารถอธิบายเรื่องราวที่ซับซ้อนให้ออกมาเข้าใจง่าย ผมพยักหน้ารับ มองเจ้าลูกแมวสามสีที่อยู่ตรงหน้าแล้วพูดต่อ

“ถ้าเจ้านี่เป็นตัวผู้ขึ้นมาก็ดีนะ จะได้เอาไปโชว์ไงคุณ ค่าเข้าชมคนละยี่สิบบาท ไว้ซื้ออาหารเม็ด”

คนฟังขมวดคิ้วนิดๆ แล้วตอบกลับ

“ใครจะมาดูฮึ”

ผมหัวเราะรับ จับเจ้าตัวเล็กหงายท้อง ดูอยู่สักพักแล้วพูดออกมา

“อดแล้ว ตัวเมีย...”

พอผมพูดจบ เขาก็มาจับเจ้าตัวเล็กไป อุ้มให้หันหน้ามาหาผมแล้วพูดต่อ

“แต่คุณดูนี่ ดูสีตาดีๆ ผมว่าข้างนี้มีความอมฟ้า ส่วนอีกข้างเหมือนจะเริ่มเป็นสีเหลือง ดีไม่ดีอาจจะโตขึ้นมาตาสองสีนะ”

ได้ยินอย่างนั้น ผมก็ใช้นิ้วลูบหัวเจ้าเหมียวเบาๆ แล้วพูดต่อ

“ไปเอาสีดำมาจากไหนไม่รู้ แล้วยังจะตาสองสีอีกเหรอเรา”

ผมคุยกับแมวแต่กลับมีคนตอบ

“จะกี่สีก็ไม่เป็นไรเลยเนาะ ยังไงก็เป็นหลานอากงอยู่ดี”

อากง? ใครบางคนมาถึงจุดที่กลายเป็นอากงแมวไปแล้วเรียบร้อย

ผมหลุดยิ้ม ปล่อยเจ้าสามสีไปกินอาหาร แล้วมาดูตัวสุดท้ายที่ทำเอาลังเลสุดๆ คือระยะห่างระหว่างสองจุดมันไม่ชัดเจนเท่าพี่ๆ มันดูไกลกันมากกว่าเจ้าสามสี แต่ก็ยังไม่มีไข่แบบเจ้าส้มตัวแรก เราสองคนนั่งเงียบกันไปสักพักเพื่อพิจารณาอวัยวะเพศแมว ก่อนคุณไป๋จะเป็นคนสรุป

“ผมว่าตัวเมียแหละ คือมันก็ห่าง แต่ก็ไม่มีไข่อะ คุณว่าไง”

“ไม่รู้เลย คุณว่าไงผมว่าตามนั้นแล้วกัน เชื่อเซ้นส์คุณ”

“แน่ใจ?”

“อืม ไว้โตมามีไข่ค่อยเปลี่ยนก็ยังทัน”

“ได้เหรอ”

“โถ่ ของแบบนี้มันเปลี่ยนกันได้ตลอดแหละคุณ”

“นี่หมายถึงเพศแมวถูกมั้ย”

“อือฮึ?”

“โอเค ถ้าไม่ใช่ก็ค่อยเปลี่ยนแล้วกัน”

ระหว่างที่พวกลูกแมวกำลังก้มหน้าก้มตากินอาหาร ผมก็เอื้อมมือไปหยิบอาหารสูตรแม่และเด็กที่อยู่ในถาดของเป่าเป้ยมาเม็ดนึง แล้ววางลงในถ้วยของเจ้าพี่ใหญ่ พร้อมกับที่คำถามดังขึ้น

“คุณทำอะไรอะ”

“ลองดู”

พูดจบเจ้าเหมียวก็กินอาหารเข้าปากไป และออกแรงกัดดังกร้วม อาหารครึ่งนึงตกกลับลงไปในถ้วย ส่วนอีกครึ่งที่อยู่ในปาก ก็ถูกเคี้ยวแล้วกลืนลงท้องไปทันที ก่อนที่คุณไป๋จะถามขึ้น

“ฟันหักมั้ยนั่น”

“ไม่หักหรอก เมื่อเช้ายังกัดผมเป็นรูได้เลย”

พอคนฟังหันมาขำใส่กันนิดนึง ผมก็พูดต่อ

“คราวนี้ก็ได้เวลาตั้งชื่อละ คุณก่อนเลย”

“ผมเหรอ”

“อืม เลือกเลย คุณมีชื่อที่ตั้งไว้แล้วนี่”

คุณไป๋พยักหน้ารับ เงียบไป ก่อนจะชี้เจ้าตัวที่สีเหมือนเป่าเป้ย แล้วหันมาบอกกัน

“เจ้านี่สีเหมือนเป้ย ตัวผู้ด้วย ผมให้ชื่อเป่าเปา ความหมายเดียวกับเป่าเป้ย แล้วก็เจ้าส้มขาวหน้าหมวยที่สุด ผมให้ชื่อชิงชิง ความหมายคล้ายกับชื่อผม”

“ความหมายว่า?”

“ไป๋ชื่อผมแปลว่าขาวสะอาด ชิงก็คล้ายๆ กัน ใสสะอาด”

ผมยิ้มรับ อยู่ๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมาที่ได้รู้ความหมายของชื่อเขา ส่วนคนพูดก็ดูจะเขินไปอย่างไม่มีเหตุผล เรามองสบตากัน ก่อนที่เขาจะพูดต่อ

“อีกสองตัวก็เป็นความรับผิดชอบของคุณแล้ว”

“โอเค สองตัวนั้นสายตระกูลชื่อจีน ศิษย์ท่านอาจารย์เป่าเป้ย สองตัวที่เหลือนี่ศิษย์อาจารย์ตูม สายตระกูลชื่อมะ...”

ผมมองไอ้ตัวแสบอีกสองตัว แล้วใช้ความคิด ก่อนจะพูดออกมา

“สีส้มพี่ใหญ่ มะยม”

“มะยม? ตัวผู้ชื่อมะยมได้เหรอคุณ”

“ได้สิ ไอ้ตูมยังชื่อมะตูมเลย”

“ไม่เห็นเกี่ยว”

“เกี่ยวเหอะน่า ส่วนตัวสามสีชื่อ...”

ระหว่างที่ผมเงียบไป สีหน้าคนฟังก็บอกเลยว่ากำลังลุ้นเต็มที่

“มะ?”

“มะระ”

“มะระเนี่ยนะ?”

“อืม มะระน่ารักออก หรือคุณว่าไง”

คำตอบคือความเงียบ แต่ไม่นานคำอธิบายก็ตามมา

“คุณไม่ขัดตอนที่ผมตั้งชื่อแมว ผมก็จะไม่ขัดคุณเหมือนกัน มะระก็มะระ เรียกไปเรียกมาเดี๋ยวก็น่ารักเองแหละ”

“ใช่เลย มะไป๋”

เขายกมือขึ้นมาตีไหล่กันทันทีที่ได้ยินผมพูด แล้วสรุป

“สรุปมีมะยม เป่าเปา มะระ ชิงชิง”

“อื้ม คราวนี้ผมมีคำถาม คุณจะให้เด็กๆ กับใครมั้ย”

ถามจบ คนฟังก็รีบตอบกลับมาทันที

“ไม่ให้”

“ตอบไวมาก”

“ใช่ ต่อให้เป็นคุณผมก็ไม่ให้”

“ขนาดนั้นเลย”

“อืม ไม่ให้ไปอยู่ด้วยหรอก คุณจะได้คิดถึงลูกแมวแล้วมาที่บ้านผมบ่อยๆ ไง”

“ร้ายกาจเกินไปแล้ว...”

ผมพูดแล้วยกมือขึ้นหยิกแก้มเขาเบาๆ พร้อมเสียงหัวเราะ

พอช่วงบ่ายผมก็ต้องกลับมาบ้านตัวเองเพื่อทำกิจวัตรประจำวันหยุด ประเภทซักผ้ากวาดบ้านอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำ ก่อนออกจากบ้านข้างๆ มายังมีคนอ้อนทิ้งท้ายด้วยคำพูดสั้นๆ

“รีบไปรีบมานะ”



หลังจากผมจัดการธุระที่บ้านตัวเองเสร็จก็เดินกลับมาบ้านเขา พร้อมกับที่ได้ยินเจ้าของบ้านคุยโทรศัพท์อยู่พอดี

“ไม่เอาอะม้า ไป๋ไม่ไป”

เรียกแทนตัวเองว่าไป๋ด้วย พอผมส่งยิ้มไปให้เขาก็ยิ้มกลับมาแล้วพูดต่อ

“ฮื่อ! ไปตั้งหลายรอบแล้ว ขี้เกียจฟังพวกอาอี๊พูด บอกว่าไป๋งานเยอะก็แล้วกัน”

“...”

“ใช่ โตกันหมดแล้ว เพิ่งตั้งชื่อไปวันนี้เนี่ย...มะยม เป่าเปา มะระ แล้วก็ชิงชิง...ชื่อมะๆ ก็ตั้งตามมะตูมไงม้า”

“...”

“ยังเลย เนี่ยเดี๋ยวว่าจะไปหาอะไรกินละ”

“...”

“โอเคม้า ดูแลสุขภาพนะ ฝากสวัสดีป๊าด้วย”

“...”

“ครับ บ๊ายบาย”

วางสายเสร็จเขาก็หันมายิ้มให้กันด้วยท่าทางเพลียๆ จนผมต้องถาม

“เป็นอะไรฮึ”

“ทำไมอะ”

“ก็...คุณดูเหนื่อยๆ”

ได้ยินคำถามของผมเขาก็ขยับเข้ามาใกล้ โอบแขนกอดเอวแล้วซุกหน้าเข้ามาอ้อน

“หิวข้าวอะ อยากกินอาหารญี่ปุ่น”

“ไปมั้ยล่ะ เอารถคุณไปนะ ผมล็อกบ้านแล้วเรียบร้อย เดี๋ยวเลี้ยงเอง”

“เลี้ยงในโอกาส?”

ผมกอดเขากลับ จูบลงไปบนหน้าผาก แล้วพูดต่อ

“โอกาสที่คุณให้ผมตั้งชื่อแมวสองตัวแล้วกัน”

“งั้นถ้าจะออกไปหาอะไรกินก็...เก็บแมวก่อนเนอะ”

หลังผละอ้อมกอดออก พวกผมก็ไปเก็บพวกแมวเด็กใส่กรง เติมอาหารกับน้ำให้แมวโต แล้วก็พากันออกมากินมื้อเย็นที่ห้างสรรพสินค้า

อิ่มแล้วก็กลับบ้านไปรับมือกับยายแก่ต่อ

พวกเราเริ่มดูหนังกันประมาณสามทุ่มเหมือนเมื่อวาน และถ้าไม่ได้คิดไปเอง บอกเลยว่าผมรับมือกับผียายแก่ได้ดีขึ้น หรือไม่ก็เป็นเพราะยายแกทำตัวหลอนน้อยลง

วันนี้เราพับโซฟาให้เป็นเตียงตั้งแต่แรกแล้วก็นั่งเอนหลังยืดขากันอยู่บนนั้น

ส่วนพวกแมว ตอนแรกมีแค่เด็กๆ ที่โดนจับเข้าไปอยู่ในกรง สักพักความกังวลว่าพวกลูกแมวจะหิวนมก็ทำให้เป่าเป้ยต้องตามเข้าไป และสุดท้ายเพื่อความเท่าเทียม ผมก็จับไอ้ตูมใส่เข้าไปอีกตัว

อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าคืนนี้จะไม่มีแมวกระโดดขึ้นตักให้ผมตกใจจนสติแตกไปอีก

เรานั่งอยู่ในท่าเดิม รวมถึงผมที่เอามือเขามาปิดตาเหมือนเดิมด้วย พอถึงช่วงประมาณกลางตอนที่ห้า คนที่พิงอกผมอยู่ก็หาวขึ้นมาจนต้องถาม

“นอนมั้ย”

อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองสบตาผม พยักหน้าแล้วพูดต่อ

“จบตอนนี้แล้วกัน”

“อือฮึ”

หลังตอนที่ว่าจบลง พวกผมก็เตรียมตัวเข้านอน ระหว่างนั้นความกังวลที่มีมาตั้งแต่ช่วงเย็นของผมก็ยังไม่หายไป

วันนี้คุณไป๋ดูแปลกไปจริงๆ เหมือนจะซึมแต่ก็ไม่ได้ออกอาการมากขนาดนั้น ประมาณว่าไม่สดชื่นเหมือนที่เคยล่ะมั้ง เพราะเหตุนั้นตอนที่พวกเรานอนลงบนโซฟาเบด ผมก็ยังไม่สามารถละสายตาจากเขาไปได้

เมื่อวานพวกเราก็นอนกันแบบนี้ ผมทำแค่ขยับเข้าไปใกล้ จูบหน้าผากเขาเบาๆ เพราะกลัวว่าถ้ามากกว่านั้นมันจะเกินเลยจนคุมไม่อยู่ ส่วนเขาก็ยิ้มเขิน พลิกตัวหันหน้าไปอีกฝั่งก่อนจะหลับไป

ส่วนวันนี้ผมมองสบตาเขา ส่งยิ้มให้ ก่อนจะยกมือขึ้นตบบนไหล่ตัวเองแล้วถามต่อ

“นอนนี่มั้ย”

คำตอบคือการพยักหน้ารับ ก่อนเขาจะขยับตัวมานอนหนุนไหล่ผม แล้วพาดแขนตามมากอดเอาไว้

ทั้งบ้านมีแต่ความเงียบ...ผมยังไม่ง่วงขนาดนั้น ส่วนอีกฝ่ายที่นอนนิ่งๆ ผมก็รู้สึกได้ว่าเขายังไม่หลับ

เวลาผ่านไปสักพักคุณไป๋ก็พูดขึ้น

“คุณ...”

“ฮึ?”

“วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายพ่อผม”

ฮะ? ผมอึ้ง

เอาจริงๆ ถ้าให้ผมลองเดาสักสิบครั้งว่าสาเหตุที่ทำให้บรรยากาศเศร้าๆ ปกคลุมอีกฝ่ายเอาไว้ในช่วงหัวค่ำคืออะไร มันคงไม่มีสักครั้งที่ผมจะคิดว่าเหตุผลคือเรื่องนี้

ผมกระชับอ้อมกอดแน่นเข้า จูบลงไปบนหน้าผาก แตะริมฝีปากค้างไว้พักใหญ่ ก่อนจะผละออกแล้วพูดออกมา

“คิดอยู่แล้ว ว่าทำไมวันนี้คุณดูไม่ค่อยสดใสเลย”

“อืม...”

เขารับคำ เงียบไป ก่อนที่ผมจะถามต่อ

“อยากเล่าอะไรให้ผมฟังมั้ย”

คุณไป๋นิ่งไปสักพัก เหมือนกำลังเรียบเรียงความคิดแล้วค่อยๆ เล่าออกมา

“พ่อกับแม่เลิกกันตั้งแต่ผมอายุยังไม่ถึงขวบ แล้วก็ไม่เคยรู้เลยว่าเพราะอะไร รู้แค่อาม่าชอบบอกอยู่ตลอดว่าถ้าผมไปอยู่กับพ่อผมจะลำบาก แต่เวลาพ่อมาหาผม มารับผมไปกินโน่นกินนี่ พ่อชอบพาผมไปกินอาหารญี่ปุ่นน่ะ สมัยนั้นนี่อาหารญี่ปุ่นคือหรูสุดๆ แล้วนะ ระหว่างที่นั่งกินอะไรอร่อยๆ พ่อก็จะบอกกันตลอด ว่าอาม่าพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ผมกับพ่อได้อยู่ด้วยกัน ผมโตมาแบบนั้น เหมือนอยู่ตรงกลางแล้วโดนพ่อกับอาม่าดึงไปมาตลอดเวลา”

“...”

“ส่วนหม่าม้า ถึงแม้จะแต่งงานใหม่หลังเลิกกับพ่อได้ไม่ถึงปี แต่หม่าม้าก็คอยดูแลผมเหมือนเดิม ป๊า...หมายถึงพ่อเลี้ยง ก็ดีกับผม แต่ทั้งสองคนไม่เคยรู้เรื่องนี้ เพราะผมเลือกที่จะไม่พูด”

“...”

“ผมมารู้ทุกอย่างตอนโต เพราะแม่บ้านเล่าให้ฟังว่าที่พ่อกับม้าเลิกกันเป็นเพราะอาม่า อาม่าผมรับไม่ได้ที่พ่อเป็นคนไทยแท้ๆ แล้วก็อยากให้ม้าแต่งงานกับคนที่มีเชื้อสายจีนมากกว่า การที่ม้าแต่งงานใหม่ก็เป็นการจัดการของอาม่าเหมือนกัน ตอนรู้ครั้งแรกผมสับสนมากเลย อยากจะโกรธอาม่าที่ทำให้ครอบครัวแตกแยก แต่ม้าผมก็มีความสุขดีกับการแต่งงานใหม่ที่อาม่าจัดขึ้น สุดท้ายก็เหมือนเดิม ผมเหมือนถูกคนโน้นคนนี้ดึงไปมาตลอดเวลา ไม่รู้เลยว่าควรจะอยู่ตรงไหน”

ฟังมาถึงตรงนี้แขนข้างนึงของผมก็กอดเขาแน่นเข้า ส่วนอีกข้างก็กุมมือเขาเอาไว้

“ขนาดตอนโต เรียบจบทำงานแล้ว ป๊ากับม้ารู้แหละว่าผมชอบผู้ชาย แต่ก็ขอให้ผมเก็บเรื่องนี้ไว้จากอาม่าจนสุดความสามารถ หรือแม้แต่การที่ก่อนหน้านี้ผมไม่สามารถมาอยู่บ้านหลังนี้ได้เพราะเป็นบ้านของพ่อ ก็เป็นคำสั่งของอาม่าเหมือนกัน”

“...”

“ชีวิตผมง่ายขึ้นมา หลังจากอาม่าเสียไปเมื่อสองปีก่อน แต่ก็แปลกดีเหมือนกันที่ผมเสียใจเอามากๆ เลยตอนที่รู้ว่าท่านจากไป ทั้งที่ชีวิตผมยุ่งเหยิงขนาดนี้ก็เพราะการบงการของอาม่าทั้งนั้น”

“เพราะคุณรักท่านไง”

“อืม ก็คงจะเป็นอย่างนั้น...ส่วนบ้านของพ่อ หลังจากม้าแต่งงานใหม่ก็มองหน้ากันไม่ติดไปเลย ทุกอย่างยิ่งแย่ลงตอนที่พ่อผมป่วยเป็นมะเร็ง ที่บ้านหวังว่าม้าจะแสดงความห่วงใยหรือมาดูแลบ้าง เพราะพ่อผมไม่ได้แต่งงานใหม่ แต่พอม้าไม่ได้ทำอะไรมากกว่าเข้าไปเยี่ยมครั้งสองครั้งกับกระเช้าหน้าตาธรรมดา ความสัมพันธ์ระหว่างสองบ้านก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่”

“...”

“สุดท้ายตอนที่พ่อเสีย ทางฝั่งคุณอาของผมก็ตัดสินใจเอากระดูกไปเก็บไว้ที่บ้าน ไม่ยอมให้ผมหรือว่าม้าไปไหว้ด้วยซ้ำ แม้แต่การที่บ้านหลังนี้เป็นของผม พวกเค้าก็ค้านอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่สามารถเอาชนะเอกสารที่พ่อทำไว้ได้”

แค่ฟังที่เขาเล่าผมก็เหนื่อยแทนแล้ว ชีวิตคนคนหนึ่งไม่ควรจะต้องมาแบกรับอะไรที่ยุ่งยากวุ่นวายขนาดนี้

“คุณเก่งมากเลยนะที่ผ่านทุกอย่างมาได้ งั้นพรุ่งนี้เราไปวัดมั้ย ถวายสังฆทานก็ได้ แล้วคุณก็ตั้งจิตอธิษฐาน ผมว่าพ่อคุณก็คงรับรู้ได้แหละ”

“อืม...ชั้นบนบ้านผมมีหิ้งพระเล็กๆ เมื่อเช้าตอนตื่นนอนผมก็ไปไหว้พระ ไม่รู้จะขออะไรเหมือนกัน สุดท้ายก็ได้แต่ขอให้พ่อมีความสุขดีไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน”

“ท่านต้องรับรู้แน่ๆ”

“เนอะ”

เขาพูดออกมาแค่นั้นแล้วก็ถอนหายใจ

“เมื่อตอนบ่ายม้าผมโทรมา คุณก็อยู่นี่...”

“ใช่...”

“ม้าโทรมาชวนไปไหว้พระที่ไทเปตอนปีใหม่ แล้วก็ถามถึงลูกแมวด้วย แต่ไม่พูดถึงพ่อสักคำ”

“...”

“เหมือนเด็กเลยเนอะ พอรู้ว่าพ่อแม่ไม่รักกันแล้วก็เสียใจ ซึมไปซะอย่างนั้น” ผมหันไปจูบหน้าผากเขาอีกครั้ง ก่อนจะตอบกลับ

“เพราะเป็นผู้ใหญ่ต่างหากล่ะ คุณถึงได้เสียใจ...”

เขาหัวเราะนิดๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด

“นั่นสิ ตอนเป็นเด็ก เศร้าแป๊บเดียว ได้ออกไปวิ่งเล่นขี่จักรยานเล่นก็หายแล้ว”

“ใช่ไหมล่ะ...เป็นไง ได้พูดออกมาแล้วสบายใจขึ้นมั้ย”

“มาก” เขาซุกใบหน้าลงมาบนไหล่ผมมากขึ้นแล้วพูดต่อ “ดีนะที่มีคุณมาคอยฟังเรื่องวุ่นวายของครอบครัวผม พวกเพื่อนๆ นี่ฟังจนเบื่อแล้ว จะโทรไปเล่าอีกบางทีก็เกรงใจ”

ผมยิ้มรับ ไม่ตอบอะไร ก่อนที่เขาจะพูดต่อ

“แต่งงานกันมั้ย”

คราวนี้ผมขมวดคิ้ว ก้มลงไปมองสบกับแววตาสีเข้มคู่นั้นที่มองมาแล้วกระพริบช้าๆ เหมือนกำลังล่อลวงกัน ผมพยายามตั้งสติไว้แล้วตอบกลับ

“ไม่ครับ”

“ใจร้ายอะ”

“ไม่ เพราะตอนนี้คุณกำลังรู้สึกเหงา แล้วก็แค่อยากมีใครอยู่ด้วย แต่จะรีบโอเคเลย ถ้าคุณมั่นใจแล้วว่ารักผมจริงๆ”

“ทีเวลาแบบนี้แล้วสติมั่นคงเชียวนะ ไม่สนุกเลย”

เขาตอบกลับ ทำหน้ามุ่ย ขยับตัวนิดหน่อยก่อนจะถามต่อ

“แล้วครอบครัวคุณล่ะ เป็นยังไงบ้าง”

ผมยิ้มรับแล้วก็เริ่มอธิบาย

“สมมติเรื่องที่คุณเล่าเมื่อกี้เป็นซีรี่ส์สามซีซั่น ซีซั่นละยี่สิบตอน เรื่องครอบครัวผมคงเป็นหนังสั้นที่จบในสิบห้านาที”

“ยังไงอะ”

“พ่อแม่ผมรู้จักกันตั้งแต่สมัยเด็กเลย แถมยังเลือกเรียนครูทั้งคู่น่ะ พอเรียนจบก็แต่งงานกัน พยายามสอบบรรจุให้ได้ในกรุงเทพฯ จนสำเร็จ แล้วก็ทำงาน หาเงิน เก็บเงิน ซื้อบ้านหลังที่ผมอยู่ แล้วก็มีลูกสองคน หญิงคนชายคน พอถึงวัยเกษียณก็กลับไปปรับปรุงที่ดินเก่าแก่ตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษให้เป็นบ้านสวน ปลูกผักปลูกผลไม้เล็กๆ น้อยๆ จะได้ช่วยประหยัดเงินบำนาญ จบ”

“ไม่ลุ้นเลย”

“ก็บอกแล้วว่าหนังสั้น”

“นั่นสิ แต่ก็ไม่แปลกใจหรอก แค่เห็นบรรยากาศบ้านคุณก็รู้แล้วว่าคงประมาณนี้”

“ทำไมอะ”

“เรียบง่ายแต่อบอุ่นไง”

สิ่งที่คิดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขาก็คือ

สักวันหนึ่งผมจะทำให้เขาได้อยู่ในบ้านแบบนั้น...



- to be continued -

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ลืมถามไปว่า

นอกจากโซฟาแล้ว  มุ้งลวดยังปลอดภัยไหม


เพราะที่บ้าน ทั้งโซฟา มุ้งลวด ......รอยเล็บของเหมียว เหมียว ฝากไว้

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
มะตูม เป่าเป้ย และลูกๆน่ารักมาก อินไปกับเรื่องจนอมยิ้มตามเลยค่ะ ตอนที่อ่านบรรยายเรื่องลูกแมว  :mew1:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
โอ๋ๆนะคุณไป๋  :จุ๊บๆ:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ขำคนกลัวผีอยู่ดี ๆ จบดราม่าเฉยเลย กอดคุณไป๋นะคะ

ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
พอเด็กๆโตต้องวุ่นวายแน่ๆ โซฟาที่เคนนอนดูเน็ตฟลิ๊กกันน่ะไม่รอดหรอก 555

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
น่ารักมากๆ เพิ่งจะได้ตามอ่าน ชอบบบบ ฮาตั้งแต่อุ้มเมาแล้วอุ้มแมวกลับบ้านล่ะ :hao7:

วันดีคืนดี ไอ้ตูมลูกชายหน้ามึนไปทำแมวสาวข้างบ้านท้อง แมวแพงผู้ดีไปอีก5555555

แต่ถึงไอ้ดีจะไปมีลูกเมียไม่ปรึกษาพ่อมัน แต่นำพาความรักมาให้พ่อแทน แถมหลานๆน่ารัก ซนร้ายกาจอีกเป็นโขยง  :laugh:

มะยม เป่าเปา มะระ ชิงชิง เป็นดีนะลู๊กก

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :heaven



มะระ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0


-11-



นอกจากไฟประดับกับต้นคริสต์มาสแล้ว สัญญาณที่บอกให้รู้ว่าเทศกาลปีใหม่กำลังจะมาถึงอีกอย่างก็คือลานเบียร์

แล้วก็เหมือนทุกปีที่เจ้านายจะพาทุกคนไปเลี้ยงเบียร์ตรงห้างสรรพสินค้าไม่ไกลจากออฟฟิศ โดยให้พวกผมทั้งหมดจอดรถทิ้งไว้บริษัท แล้วนั่งแท็กซี่กลับบ้านเพื่อความปลอดภัย

ตอนเย็นก็บอกคุณไป๋ไปแล้วนะว่าจะไปดื่มต่อ พร้อมฝากเลี้ยงข้าวไอ้ตูมสักมื้อ แต่หลังจากเริ่มเบียร์ทาวเวอร์ที่สี่ ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความไปหาเขา



‘ฟังเพลงรักแล้วคิดถึงคุณอะ’



ใครอายก็อายไปเหอะ ตอนนั้นน่ะผมไม่อายเลยสักนิดเดียวเพราะเมาหน่อยๆ หลังจากส่งไปไม่นาน อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาอย่างตรงประเด็น



‘เมาแล้วแน่ๆ ’

‘นิดหน่อย ทำไมรู้อะคุณ? ’

‘ยังจะถาม กลับยังไงเนี่ย? ’

‘แท็กซี่คับ ทิ้งรถไว้ออฟฟิศแล้ว’

‘ไปต่อมั้ย? ’

‘น่าจะไม่แหละ พรุ่งนี้ยังต้องทำงาน’

‘ให้ไปรับปะ? ’

‘ไม่เอาอะ เกรงใจคุณ’

‘ลานเบียร์ปิดกี่โมง’

‘เที่ยงคืน’

‘ห้าทุ่มปลายๆ ผมออกจากบ้านก็แล้วกัน’

‘มาจริงดิ? ’

‘ล้อเล่นมั้ง’

‘โอเค มาถึงแล้วโทรหาผมนะ’

‘อื้ม’




หลังจากนั้นผมก็ไมได้ไปกวนอะไรเขาอีก จนกระทั่งเจ้าตัวส่งข้อความมาบอกกันตอนห้าทุ่มปลายๆ ว่าออกจากบ้านมาแล้ว และในตอนที่ผมกำลังพยายามกินเบียร์ส่วนสุดท้ายให้หมดเพราะพนักงานจะมาเก็บทาวเวอร์กลับไป โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

พอมองหน้าจอก็เห็นว่าเป็นคุณไป๋ที่โทรมา ผมเลยกดรับสาย

“อยู่ไหนแล้วคุณ”

[มาถึงแล้วอะ ให้รอบนรถหรือว่าลงไปรับดี]

“ลงมาสิ”

ที่ตอบกลับไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากให้เขานั่งอยู่บนรถคนเดียว แล้วในตอนที่ทุกคนกำลังลุกขึ้นจากโต๊ะ ผมก็มองเลยไปเห็นว่าคุณไป๋กำลังเดินตรงมาทางนี้

ตอนนั้นแหละที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าถ้าเขาลงมาก็เท่ากับว่าต้องเจอพี่ๆ ที่ทำงานกับเจ้านายผมอะดิ

ผมน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่คุณไป๋เขาจะโอเคมั้ยนะ

ผมหันไปโบกมือให้คนที่ใส่เสื้อยืดกับกางเกงนอน ก่อนเขาจะโบกมือกลับมาด้วยท่าทีสบายๆ ในขณะเดียวกันคำถามจากพี่ซึ่งนั่งโต๊ะทำงานติดกับผมก็ดังขึ้น

“ใครอะ น้องมึงเหรอ”

“คนคุยผมไง เค้าอายุยี่สิบแปดเท่าพี่เลย”

แล้วเสียงถัดมาก็ดังมาจากคนรักของเจ้านายผม ที่เพิ่งมาถึงเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนเพื่อรับแฟนกลับบ้าน

“เฮีย ตอนอายุยี่สิบแปดเราดูดีแบบนั้นปะ”

“ไม่อะ เค้าดูสติดีกว่ามึงเยอะ”

คนฟังทำหน้ามุ่ย แล้วหันมาชวนผมคุยต่อ

“เค้าคือเจ้าของแมวตัวนั้นเหรอ”

“ใช่พี่”

เจ้าตัวพยักหน้ารับ พร้อมกับที่อีกฝ่ายมาถึงพอดี เขายกมือไหว้ทุกคน แล้วก็ดูออกแหละว่าเขินอยู่หน่อยๆ ผมเลยเดินไปหยุดอยู่ข้างเขา หันมาหาพี่ๆ แล้วถามต่อ

“พวกพี่มีใครจะติดรถกลับบ้านกับผมมั้ย”

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวกูไปส่งพวกมันเอง มึงกลับบ้านดีๆ แล้วกัน”

ได้ยินเจ้านายพูดอย่างนั้นผมก็พยักหน้ารับ ยกมือขึ้นไหว้ทุกคน ก่อนจะเดินแยกตัวมา สักพักคนที่เดินอยู่ข้างผมก็ถามขึ้น

“คนนั้นคือเจ้านายคุณเหรอ คนที่บอกให้กลับบ้านดีๆ อะ”

ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะยกมือขึ้นกอดคอพาดไหล่เขาแล้วพูดต่อ

“เป็นไง หล่อใช่ปะ”

“อืม ดูดีเลยอะ”

“งั้นผมคงต้องหล่อด้วยแล้วแหละ เพราะพี่ๆ ที่บริษัทบอกว่าผมกับเจ้านายหน้าเหมือนกัน”

สีหน้าของคนที่หันมามองกันทำให้ผมขำ กระชับแขนที่กอดไหล่เขาอยู่ให้แน่นขึ้นแล้วพูดต่อ

“ชีวิตดีเหมือนกันนะเนี่ย กินเบียร์เสร็จก็มีคนมารับกลับบ้าน”

ระหว่างนั้นคุณไป๋ก็พยายามผลักผมออกแต่ไม่สำเร็จ ก่อนจะพูดต่อ

“ไปไกลเลยๆ ผมอาบน้ำแล้ว เดี๋ยวกลิ่นเบียร์ติด”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็พยายามกอดเขาเข้ามาให้ใกล้กว่าเดิม จนรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาอย่างเอาเรื่องถึงได้ยอมปล่อย

“วันหลังไม่มารับแล้วนะ”

ระหว่างที่บ่น เขาก็ยกคอเสื้อตัวเองขึ้นมาดม แถมยังทำหน้ายุ่งไม่หาย

ผมมองภาพตรงหน้าแล้วได้แต่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี จนเขาต้องหันมาตีที่ต้นแขนเข้าให้

พอมาถึงรถคุณไป๋ก็ขึ้นไปนั่งตรงเบาะฝั่งคนขับ ส่วนผมนั่งข้างๆ แล้วเราก็เดินทางกลับบ้านกัน

ความรู้สึกของผมตอนนี้มันไม่ถึงกับว่าเมาจนไม่รู้เรื่องหรอก แค่อยู่ในระดับที่กล้ากว่าปกติ แล้วก็ความยั้งคิดลดน้อยลงนิดหน่อย นอกเหนือจากสิ่งเหล่านั้นก็คือความร้อน ดังนั้นพอโดนแอร์เย็นๆ ของรถ ผมก็ได้แต่เอนหัวไปพิงกระจก เพื่อให้ลมที่ออกมาเป่าเข้าปะทะหน้าเต็มๆ

สักพักอีกฝ่ายถามขึ้น

“เพลงอะไรอะ”

“ฮึ?”

ผมกลับมานั่งตัวตรง หันไปมองคนที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับถนน ก่อนจะได้ยินเขาตอบกลับ

“ก็เพลงที่ไลน์มาบอกกันไง...”

“อ๋อ ที่ผมฟังแล้วคิดถึงคุณอะนะ”

“อืม”

ผมยิ้มทันทีที่ได้ยินคำตอบและเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เขินแหละ ดูออก...

คำถามของเขาทำให้ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ต่อเข้ากับเครื่องเสียงในรถ หาเพลงพร้อมกับอธิบายไปด้วย

“ปีที่แล้วผมกับเพื่อนไปคอนเสิร์ตเคาต์ดาวน์ข้ามปี ตอนนั้นพวกผมโสดสนิททุกคน แล้วก็กอดคอกันร้องเพลงนี้ดังลั่น หลังจากนั้นไม่นานเพื่อนคนแรกก็กลับไปคืนดีกับแฟนเก่าแบบเข้าใจกันมากขึ้น ส่วนอีกคนก็ได้คบกับคนที่แอบชอบอยู่ในที่ทำงาน ทุกครั้งที่พวกมันมาอัพเดตว่าคืนดีกันแล้วนะ ได้คบกันแล้วนะ เราก็จะพูดถึงวันที่เรากอดคอกันร้องเพลงนี้ตลอด”

“...”

“แล้วก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละ วันนี้ผมฟังเพลงนี้แล้วคิดถึงคุณ”

“...”

“ชื่อเพลง ‘ขอเถอะปีนี้’ เคยฟังมั้ย”

พอเห็นว่าคำตอบคือการส่ายหน้า ผมก็เปิดเพลงให้เขาฟัง



แค่อยากที่จะรู้ว่าใครคือคนนั้นกัน เฝ้ารอ...

ต้องการได้เจอะเจอกับเธอคนที่แสนดี ที่เฝ้าคอย

อยากให้เธอรู้ยังรอเธออยู่ทุกเวลา เฝ้าแต่ภาวนา

หลบอยู่ตรงไหนทำไมไม่ปรากฏกายมา บอกหน่อย



ตราบใดฟ้ายังรอตะวันสาดส่องอยู่ตรงนี้

จะรอทุกนาทีเพราะรู้ว่ามีความหมาย

หากฟากฟ้ายังรอให้พบเจอกัน ในวันไหน

ก็ยังไม่รู้ว่ามันเมื่อไหร่ ที่จะได้พบเจอกันสักที...ปีนี้ขอให้เจอ




ผมมองคนที่กำลังกลั้นยิ้มระหว่างขับรถ พอเพลงจบถึงได้พูดออกมา

“คิดว่าจะไม่เจอซะแล้ว”


,


“ไม่ลงได้มั้ย”

ผมพูดอย่างนั้นออกมาตอนรถจอดตรงหน้าบ้าน ก่อนฝ่ายที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยจะหันมามองกัน ขมวดคิ้วใส่ ยกมือขึ้นผลักไหล่ผมแล้วพูดต่อ

“เข้าบ้านไปอาบน้ำก่อนไป”

“โอเคๆ”

ผมยอมลงจากรถ เข้าบ้านไปอาบน้ำสระผมและใส่ชุดนอนเรียบร้อย พอเดินออกมาหน้าบ้านก็คิดอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะคว้าไอ้ตูมมือหนึ่ง ลากเก้าอี้มือหนึ่ง มาหยุดอยู่ตรงกำแพงระหว่างบ้านผมกับเขา

สิ่งแรกที่ทำคือจับไอ้ตูมโยนข้ามรั้วไปก่อน ส่วนผมเองก็ขึ้นเก้าอี้ ปีนข้ามรั้วแล้วกระโดดลงไปที่สนามหญ้าบ้านคุณไป๋เขาอย่างง่ายดาย

ปีนบ้านเสร็จผมก็หิ้วแมวเดินไปเคาะประตูกระจก จนคนที่นอนอยู่บนโซฟาเบดสะดุ้งขึ้นทันที

เสียงเพลงที่ดังลอดออกมาบอกให้รู้ว่าเขากำลังฟังเพลงซึ่งผมเปิดในรถก่อนหน้านี้ พอหันมาเห็นหน้ากัน เจ้าตัวก็รีบกดหยุดเพลงทันที...ซึ่งก็ไม่ทันแล้วปะ

คนตรงหน้าลุกขึ้นมาเปิดประตู พร้อมกับที่ผมส่งยิ้มให้เขา พอเห็นท่าทางเขินๆ ก็ตัดสินใจที่จะไม่แกล้ง เอาเป็นว่าไม่พูดเรื่องเพลงก็แล้วกัน

“คุณมาไงเนี่ย ไม่ได้ยินเสียงประตูเปิดเลย”

ผมตอบกลับไปด้วยการชี้ที่กำแพงบ้าน แล้วอธิบาย

“ปีนเก้าอี้ แล้วข้ามมา”

“คุณ!”

“ก็ขี้เกียจเดินอ้อม กำแพงมันก็ไม่ได้สูงมากด้วย”

“อีกนิดก็เป็นโจรแล้วนะ”

“โจรอะไร เจ้าของเต็มใจให้เข้าบ้านขนาดนี้”

คุณไป๋ทำหน้างอทันทีที่ได้ยิน ก่อนผมจะพูดต่อ

“สระผมมาอะ เป่าผมให้หน่อยนะ”

คำตอบคือการถอนหายใจ พร้อมกับที่เจ้าของบ้านชี้ไปยังมุมที่เขานั่งทำงานอยู่ประจำ

“รอโน่นไป ขอไปหยิบไดร์ก่อน”

ผมพยักหน้ารับ แต่กลับเดินไปดูพวกแมวเด็กที่นอนอยู่ในกรงกับแม่อย่างน่ารัก

ถัดไปเป็นมะตูมซึ่งปีนขึ้นไปนอนบนคอนโดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันส่งสายตาให้ผมแล้วสะบัดหางไปมา ก่อนจะนอนลงหนุนขาหน้าตัวเองเตรียมจะหลับ ท่าทางดูน่าหมั่นไส้จนต้องเอื้อมมือไปตีหัวสักที ก่อนจะกลับมานั่งตรงจุดที่อีกฝ่ายบอกไว้

สักพักคุณไป๋ก็กลับมาพร้อมไดร์ในมือ ระหว่างที่เขากำลังใช้ไดร์เป่าให้ผมแห้ง เจ้าตัวก็พูดขึ้น

“วันเสาร์นี้ไปซื้อของเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ปะ”

“ไปด้วยได้ แต่ไม่เป็นเพื่อนได้ปะ”

“ฮื่อ!”

เขาตอบกลับพร้อมใช้มือข้างที่ว่างตีลงมาบนไหล่กันเต็มๆ จนผมต้องถามต่อ

“ซื้ออะไร...”

ผมหันไปหาเขา ก่อนจะโดนจับให้หันกลับแล้วเอ่ยเสียงดุ

“อย่าหันมาสิ นั่งนิ่งๆ”

“โอเคๆ”

“ซื้อของขวัญปีใหม่ให้คนที่ทำงานด้วยกัน น้องในเอเจนซี่คอยส่งงานให้อะ”

“อ๋อ ไปดิ”

“อาจจะนานหน่อยนะคุณ ผมจะเลือกเป็นอย่างๆ ให้แต่ละคนไปเลยอะ คือไม่ได้ซื้อแบบอย่างเดียวแล้วก็ยกโหลอะ”

พูดจบเขาก็หาวออกมา จนผมหลุดขำ

“ไม่เป็นไรหรอก ทีคุณยังขับรถไปรับกันตั้งไกล แล้วมายืนเป่าผมให้ตอนตีหนึ่งเลย”

“ในสภาพง่วงนอนด้วย”

“ใกล้แห้งยัง”

“อีกนิด ที่บ้านไม่มีไดร์แล้วปกติคุณทำไงเนี่ย”

“เวลาสระผมน่ะเหรอ”

“อืม”

“ถ้าไม่ปล่อยให้แห้งเอง ก็นอนเอาหัวห้อยลงจากเตียงแล้วใช้พัดลมเป่า”

“ฮะ? ไม่มึนหัวจริงดิ”

“หึ ชินแล้ว”

ตอนที่พูดอยู่เนี่ย ผมไม่เห็นหน้าเขาหรอก แต่ก็พอจะเดาได้อยู่ว่าคุณไป๋เขาจะทำหน้ายังไง เวลาผ่านไปสักพักแล้วเสียงไดร์เป่าผมก็เงียบลงพร้อมคำพูดที่ดังว่า

“เรียบร้อย”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ลุกขึ้น หันมายิ้มให้

“ดึกมากแล้ว เข้านอนดีกว่า”

คนฟังพยักหน้า เดินไปปิดประตูรั้ว ล็อกประตูบ้าน ส่วนผมปิดไฟเพดานแล้วเปิดโคมไฟทิ้งไว้ รออีกคนเดินมาทิ้งตัวนอนด้วยกัน ก่อนที่ผมจะขยับเข้าไปกอดเขาเอาไว้ และได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้น

“พรุ่งนี้ผมก็ต้องไปส่งคุณอีกถูกมั้ย”

“ใช่...เหมือนเด็กเลย ต้องมีคนไปรับไปส่ง”

พูดจบผมก็จูบลงไปบนหน้าผากของเขา กระชับอ้อมกอดให้แน่นเข้า แล้วพูดออกมาเบาๆ

“กู๊ดไนต์”



- มีต่อนะคะ -


ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0

- - -


วันนี้พวกผมมาที่ห้างสรรพสินค้าในเมือง เพราะคุณไป๋ต้องซื้อของขวัญปีใหม่ตามที่คุยเอาไว้ พอเข้ามาในห้างเราก็ได้เจอกับต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ประดับไฟหลากสี และตกแต่งด้วยของน่ารักๆ

ตอนนี้อีกฝ่ายได้ของที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ผมช่วยเขาถือไว้บางส่วน เป้าหมายต่อไปของพวกเราคือการหาอะไรกินเป็นมื้อเย็น ผมอยากกินชาบูแล้วเขาก็ไม่ขัด

ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ เลยชวนเขาคุย

“เดี๋ยวกินอะไรเสร็จ เราเอาของไปเก็บที่รถแล้วไปเดินดูไฟด้านหน้ากันมั้ย”

“ดูไฟเหรอ”

“ใช่”

“ที่บ้านก็มีหลอดไฟให้ดูนะ”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ยื่นมือไป ตั้งใจจะเอาตะเกียบจิ้มจมูกเข้าให้ พออีกฝ่ายเอนตัวหลบ ผมก็พูดต่อ

“มันมีต้นคริสต์มาส ซานต้า แล้วก็กวางเรนเดียร์ด้วยคุณ”

“อ๋อ ก็ไปดิ”

“อีกฝั่งนึงมีลานเบียร์ด้วยนะ”

“จะไปย้อนความหลังเหรอ”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ถอนหายใจ นึกถึงวันที่ผมไลน์ไปหาจนเขาต้องมารับขึ้นมาทันที

ถ้าไม่ทำเรื่องขายหน้าก็ไม่ใช่พ่อไอ้ตูมสิ ถูกมั้ย

 

กินข้าวเสร็จพวกผมก็จัดการเอาของที่ซื้อมาไปเก็บไว้ในรถ ระหว่างทางที่เดินกลับเข้ามาในห้าง เราก็คุยกันเรื่องที่พวกเด็กๆ กำลังจะอายุครบสองเดือนซึ่งเป็นกำหนดของการฉีดวัคซีนเข็มแรก เลยน่าจะต้องโทรไปนัดเวลาที่โรงพยาบาลเอาไว้ก่อน อีกอย่างคือต้องปรึกษาเรื่องของเป้ยด้วย เพราะอีกฝ่ายตั้งใจจะให้เป่าเป้ยทำหมันทันทีหลังลูกหย่านม

แล้วอยู่ๆ คนที่เดินอยู่ข้างกันก็ชะงักไป ผมหันไปมองเขา แต่สายตาของเขามองไปที่อื่น

คุณไป๋มองสบตาอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง เขาใส่แว่นสายตา สวมเสื้อสีขาวกับเนกไทสีอ่อน ข้างๆ ผู้ชายคนนั้นมีผู้หญิงยืนอยู่ พวกเขาจับมือกัน อันที่จริงก็ไม่ต่างจากเราสองคน

“ไป๋...”

“...หวัดดี”

คุยกันสั้นๆ แค่นั้น แค่สองสามคำ แต่แค่นี้รู้แล้วว่าคนตรงหน้าต้องเป็นแฟนเก่าเขาแน่ๆ

ก่อนคำพูดที่ดังขึ้นมาจะขัดจังหวะความคิดของผม

“เพื่อนเหรอคะ”

เฮ้อ...!

“อืม เพื่อนพี่เอง ไป๋เป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย”

“สบายดี...”

คำพูดนั้นมาพร้อมกับมือที่กุมมือผมแน่นเข้า พอรู้สึกอย่างนั้นผมก็แค่ใช้หัวแม่มือลูบไปมาที่มือเขา ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ากำลังปลอบใจหรือให้กำลังใจกันแน่

“ดีแล้ว เหมือนเราไม่เจอกันนานเลยเนอะ สองปีกว่าได้แล้วมั้ง”

“ประมาณนั้นแหละ”

“แล้วนี่ไป๋มาทำอะไร”

“ซื้อของ กินข้าว เดี๋ยวจะไปเดินเล่นต่อ”

“งั้น...พี่ไม่กวนแล้ว”

“...”

“ดีใจที่ได้เจอนะ”

คนที่ยืนอยู่ข้างผมพยักหน้ารับ ไม่ตอบกลับแล้วรีบเดินต่อทันที พอผ่านตรงนั้นมาเขาก็ยังไม่พูดอะไร จนผมต้องแกล้งแกว่งแขนไปมาเบาๆ ก่อนจะโดนบ่นจนได้

“แกว่งแขนทำไมเนี่ย”

ผมทำแค่หัวเราะกลับไป ส่วนอีกฝ่ายถอนหายใจ เดินเงียบๆ ไปสักพักเขาก็พูดออกมา

“เมื่อกี้แฟนเก่าอะ”

“ชัวร์ดิ ให้ไอ้ตูมมาดูยังรู้เลยว่าเมื่อกี้แฟนเก่าคุณ”

“มะตูมเนี่ยนะ?”

“อื้อ! ไอ้ตูมหน้าเหลืองนั่นแหละ”

“ไม่น่ามาที่นี่วันนี้เลย”

“ทำไมอะ คุณต้องซื้อของ แล้วที่นี่ก็ของเยอะกว่าห้างแถวบ้านเรา ไม่ดีตรงไหน”

“ก็ไม่ดีที่เจอแฟนเก่าไง”

“แต่ก็มีเรื่องดีด้วยนะ?”

“ดีอะไร ได้กินชาบู?”

“ได้เห็นคุณในโหมดที่ไม่ได้เห็นมาสักพักแล้ว”

“โหมดอะไร”

“โหมดเย็นชาอะดิ เหมือนช่วงแรกๆ ที่เรารู้จักกันเลย ทำหน้านิ่ง ตาแข็ง พูดจาห้วนๆ ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ”

ระหว่างที่ผมพูดนี่ก็โดนค้อนเข้าเต็มๆ ก่อนคำถามจะตามมา

“อยากเห็นอีกปะล่ะ”

น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปทันทีทำเอาผมต้องหันไปส่งยิ้มให้แล้วส่ายหน้า

“อย่าทำหน้าหงิกดิคุณ เป็นเด็กไม่ดีซานต้าไม่เอาของขวัญมาหย่อนไว้ให้หน้าบ้านนะ”

“นี่กี่ขวบนะ”

“ยี่สิบหกครับผม”

ผมตอบเจือเสียงหัวเราะก่อนจะเดินออกจากห้างสรรพสินค้าไปยังลานที่ถูกจัดเอาไว้สำหรับต้อนรับเทศกาล พวกเราเดินดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยๆ อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีอะไรนอกจากไฟหรือของประดับ เดินเล่นอยู่ไม่นานก็ตกลงกันว่าจะกลับบ้านแล้วก็มารู้ว่าคิดผิดสุดๆ ตอนที่ติดแหง็กอยู่บนถนนนี่แหละ เย็นวันเสาร์ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

ระหว่างนั้นอยู่ๆ ผมก็นึกสงสัยจนอยากจะถามขึ้นมา

“คุณ...ผมถามอะไรหน่อยสิ”

“ฮึ?”

“เมื่อกี้อะ คุณดูเหมือนยังโกรธเค้าอยู่มากๆ เลย”

“เมื่อกี้? แฟนเก่าผมอะนะ?”

“อือ ผมก็ไม่แน่ใจว่าควรถามมั้ย แต่ถ้าคุณไม่สบายใจก็คิดว่าไม่เคยถามไปก็แล้วกัน”

“อืม...อยากถามอะไรล่ะ”

“ไม่รู้สิ ก็แค่อยากรู้เรื่องคุณให้มากกว่านี้มั้ง”

คนฟังถอนหายใจ แล้วก็ส่ายหน้า

“เพื่อความแฟร์ ผมเล่าแล้ว คุณก็ต้องเล่าด้วย”

“โอเค ดีล”

“ก็...ผมกับเค้าเลิกกันไปสักเกือบสามปีได้แหละ แล้วก็คบกันประมาณสามปีเหมือนกัน เรารู้จักกันเพราะอาม่าผมเริ่มป่วยแล้วก็เข้าโรงพยาบาล แต่เค้าไม่ใช่หมอที่รักษาอาม่าผมนะ เค้าเป็นหมอเด็ก”

“หมออีกแล้วเหรอ คนที่เคยจีบคุณอีกคนนึงก็หมอนี่”

“อือฮึ”

“ไม่ได้ละ ผมต้องไปหัดดูลายมือแล้วมั้ง”

“จะทำอะไร”

“ดูดวงไง เรียนหมอตอนนี้น่าจะไม่ทันแล้วอะ เป็นหมอดูแทนแล้วกัน”

“ตลกละ!”

“ไม่แกล้งแล้ว ยังไงต่อๆ”

“พอดีว่าเราชอบนักเขียนคนเดียวกัน เลยมีเรื่องให้ได้คุยเยอะแยะเลย จนพัฒนามาเป็นแฟน ปัญหาเริ่มจากตลอดระยะเวลาที่คบกัน เค้าไม่เคยเปิดตัวผมในฐานะคนรักเลย”

พูดจบเขาก็กดมุมปากเป็นรอยยิ้มเซ็งๆ

“อ้าว...”

“คือ...อันที่จริงจะว่าเค้าก็ไม่ได้นะ มันเป็นเรื่องที่เราตกลงกันไว้ตั้งแต่ตอนคุยแล้ว ว่าถ้าคบก็ต้องคบแบบเงียบๆ พูดให้แย่หน่อยก็แอบคบนั่นแหละ เพราะพ่อเค้าค่อนข้างมีหน้ามีตาในวงการของพวกหมอ แล้วก็จำเป็นมากๆ ที่จะต้องรักษาภาพลักษณ์ ในตอนนั้นผมเข้าใจได้ เพราะผมก็มีปัญหาเดียวกัน คือเรื่องอาม่าที่เคยเล่าให้คุณฟัง จำได้มั้ย”

“อือฮึ”

“ตอนนั้นผมคงรักเค้ามากแหละ ก็เลยยอมตกลงคบด้วย ความสัมพันธ์เลยเป็นแบบพออยู่นอกคอนโดเราคือเพื่อนกัน แล้วก็จะเป็นคนรักเฉพาะเวลาอยู่ในห้อง ตอนแรกมันก็ดีนะ แต่พอนานไปคำถามมันก็มากขึ้นเรื่อยๆ ผมสงสัยว่าเราจะอยู่อย่างนี้ไปได้ตลอดชีวิตจริงๆ ดิ”

“...”

“แล้วทำไมผมต้องทำตัวเหมือนกำลังทำความผิด ยิ่งพอมองไปที่คู่อื่น มันก็อดคิดไม่ได้ว่าเพราะอะไรเค้าถึงสามารถรักกันได้ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบของความเป็นเพศที่ต่างหรือเหมือนกัน ความคิดพวกนั้นมันเหมือนค่อยๆ กัดกินความรักที่เคยมีจนน้อยลงทุกวัน โดยที่ผมก็ไม่รู้ตัว”

“...”

“แต่พอถึงจุดนึงอะ ผมก็พบว่าตัวเองมองไม่เห็นอนาคตร่วมกับคนคนนี้ไปแล้ว ตอนนั้นผมถามว่าเค้ามองเรื่องของเราในวันข้างหน้าไว้ยังไงบ้าง คำตอบก็คือเราทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอแล้ว มันคือประโยคที่ดี แต่สำหรับผมในตอนนั้นได้ยินแล้วโคตรจะรู้สึกแย่เลย เพราะไอ้การทำวันนี้ให้ดีที่สุดอะไรนั่นอะ มันคือสิ่งเดียวที่สามารถทำได้ไง”

“...”

“ผมอาจจะแย่เองที่ไม่สามารถรักษาสัญญา ทำตามข้อตกลงที่เราคุยกันเอาไว้ตั้งแต่แรก สุดท้ายผมก็ตัดสินใจบอกเลิกเค้าอย่างใจเย็น แต่เค้าเป็นคนเริ่มทะเลาะ เราเลยจบกันแบบไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

ผมเงียบและรับฟัง สิ่งที่คิดอยู่ในใจตอนนี้ก็คือ...วันนี้เขามากับผู้หญิง แล้วก็เหมือนว่าอีกฝ่ายจะอ่านใจกันได้ เขาเลยพูดออกมา

“ที่เราเห็นวันนี้ มันอาจจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้องสำหรับเค้าแล้วก็ได้ ส่วนผมก็อาจจะเป็นเรื่องผิดพลาดเรื่องนึงที่เค้าสามารถแก้ไขและก้าวข้ามผ่านมันไปได้ในที่สุด”

ผมเห็นด้วยกับคำพูดของเขา ก่อนจะเสริม

“มันก็ช่วยไม่ได้ปะ ถ้าบางครั้งเราจะกลายเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในชีวิตของใครบางคน”

“ก็ใช่ไง ผมก็อาจจะยังโกรธเค้าอยู่นิดๆ ล่ะมั้ง ไม่ได้โกรธที่เราจบกัน ไม่ได้โกรธที่เค้าเปลี่ยนไปคบกับผู้หญิง อาจจะแค่ไม่สามารถลืมคำพูดหลายอย่างที่เค้าพูดในวันที่เลิกกันได้ ตอนนี้ก็ไม่ได้เกลียดนะ แต่คงรู้สึกดีกับเค้าไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะในฐานะอะไร”

“บางทีชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละเนอะ”

“อืม...ของผมจบละ ตาคุณแล้ว”

“ผมเหรอ แฟนคนล่าสุดที่คบคือตอนผมอยู่ปีสามอะ สี่ห้าปีที่แล้วโน่น”

“เค้า...เป็นไงบ้าง”

และสิ่งที่ผมตอบกลับไปคือการถอนหายใจ พอละสายตาจากรถคันข้างหน้าที่จอดติดไฟแดงอยู่แล้วมองไปที่อีกคน ผมก็ตัดสินใจสารภาพออกไปตามตรง

“คือ...พูดแล้วต้องดูแย่แน่เลยว่ะคุณ”

“อือฮึ เห็นสีหน้าก็รู้แล้ว”

“เราคบกันเพราะเค้ามาบอกว่าชอบผม ฝั่งผมเองอะ รู้สึกว่าเค้าก็ดี นิสัยดี น่าจะคบกันได้ อีกอย่างเค้าหน้าตาดีด้วย

“แล้ว?”

“แล้วคณะที่ผมเรียนมันก็ยุ่งมาก ผมเลยไม่มีเวลาให้ เค้าก็เหมือนน้อยใจอะคุณ มาหาผมที่คณะ แล้วก็ถามว่าผมรักเค้ามั้ย”

“คุณตอบว่าไม่...”

“ใช่ ผมตอบไปแบบนั้น คือเรื่องเรียนมันทั้งเครียดทั้งเหนื่อยจนแบบ ไม่อยากจะรักษาอะไรไว้แล้วอะ เลยเลือกที่จะพูดความจริง แล้วผมก็โดนตบใต้ตึกคณะ คนเห็นเพียบ วันต่อมาหน้าบวมเหมือนโดนต่อยเลยคิดดู”

สิ่งที่คุณไป๋ทำคือการหัวเราะ และต่อให้เขาจะพยายามกลั้นไว้ สุดท้ายยังไงก็ยังหลุดหัวเราะออกมาอยู่ดี

“เค้าคงโกรธมากจริงๆ นั่นแหละ คือผมก็ยังเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กกับเค้าอยู่นะ แล้วช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็เห็นว่าแฟนขอเค้าแต่งงานที่ปารีส”

“โห...”

“ผมก็เลยแบบ ไปเมนต์แสดงความยินดี ในฐานะพี่ชายหรืออะไรก็ได้ ทำนองนี้”

“แล้วเป็นไง”

“เค้าลบคอมเมนต์ของผม”

ตอนนั้นเองที่คนฟังหัวเราะออกมาอย่างไม่เก็บอาการอีกต่อไป พอเห็นท่าทางอารมณ์ดีของอีกฝ่าย ผมก็พูดต่อ

“คุณอะ แทนที่จะสงสาร”

“แล้วคุณไปเมนต์ทำไมอะ”

“ก็อยากแสดงความยินดีไง”

พอผมพูดแบบนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอีก ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ส่งสายตาขำขันมาทางนี้แล้วพูดต่อเสียงอู้อี้เพราะมีมือบังอยู่

“โอเค ไม่ขำก็ไม่ขำ”

เห็นว่าอีกฝ่ายหัวเราะไม่หยุดผมก็ยื่นมือไปจับมือเขา แล้วดึงมางับเข้าทีหนึ่งก่อนจะยอมปล่อย พร้อมกับที่เขาพูดต่อ

“ตอนแรก ผมตั้งใจว่าจะพอสักทีกับเรื่องอะไรทำนองนี้ คุณรู้มั้ย”

“จริงดิ ทำไมล่ะ”

“เหนื่อยๆ มั้ง เวลาเรารู้สึกชอบหรือกำลังคบกับใครสักคนมันก็สนุกดีนะ แต่ละวันมีแต่เรื่องใหม่ๆ ให้ได้เจอตลอดเลย แต่การที่เราไม่ชอบใครเลย มันก็ไม่ได้แย่”

“...”

“สมมติว่าความรู้สึกเป็นกราฟ เวลามีความรักมันก็จะขึ้นสูงบ้างลงต่ำบ้าง แล้วแต่อารมณ์ใช่มั้ย แต่ถ้าไม่มีความรักมันก็เป็นเส้นตรงอยู่ในระดับกลางๆ ไม่สูงไม่ต่ำ แต่ก็จะเป็นอย่างนั้นไปตลอด ซึ่งมันก็สบายใจดี มั่นคงด้วย ผมอยู่กับเป้ยทุกวันก็ไม่เหงาซะหน่อย”

“แล้วทำไมถึงเปิดโอกาสให้ผม”

คำตอบคือการที่เขาเอื้อมมือมาจับมือผมที่ตอนนี้วางอยู่บนคันเกียร์รถ ก่อนคำอธิบายจะตามมา

“คำตอบอยู่ตรงเนี้ย...”

“ยังไงฮึ”

“วันที่เราไปงานลอยกระทงด้วยกันอะ คุณจับมือผมเดินได้หน้าตาเฉยเลย ตอนแรกผมกังวลว่าคุณจะรู้สึกยังไงที่โดนมองเพราะเดินจูงมือกับผู้ชายด้วยกัน แล้วสิ่งที่ผมเห็นคืออะไรรู้มั้ย”

“...”

“คุณไม่ได้แคร์ด้วยซ้ำว่าใครจะมองหรือไม่มอง”

“ก็จริง”

“เหมือนคุณอยากทำแล้วก็ทำเลย คนอื่นไม่ได้อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ”

“เราสองคนก็ไม่ได้เป็นดาราอะไรปะคุณ ใครจะมาสนใจว่าคนโน้นจะเดินจับมือกับคนนี้ ถ้าไม่ใช่คนดัง”

“คนขายกรงแมวมองแน่แล้วแหละคนนึง แล้วก็คนเฝ้ามอ’ ไซด้วย”

“จริงดิ?”

“อื้ม!”

“ไม่เห็นรู้เลย”

“ก็นั่นแหละ...แต่มันก็ทำให้ผมตัดสินใจว่าจะลองดูอีกสักครั้ง”

ผมยิ้มรับสิ่งที่ได้ยิน แล้วตอบกลับไป

“แล้วคุณจะได้รู้ว่ามันคือการตัดสินใจที่เจ๋งที่สุดในชีวิต”

ผมพูดแล้วกลับไปจดจ่อกับถนนต่อเพราะสัญญาณจราจรเปลี่ยนเป็นไฟเขียวเรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นเองที่เสียงจากคนข้างๆ ดังขึ้นมา

“โม้ โคตรโม้เลย”

 

- to be continued -

 

talk .

มีอะไรมาอวดกันแหละ

ท๊าดาน~




ตอนนี้สำนักพิมพ์ลงรูปโปรโมทนิยายเรื่องนี้แล้วนะคะ

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ตามลิ้งนี้เลย >

ลิขสิทธิ์ยังคงอยู่กับสำพักพิมพ์ EverY เจ้าเดิม

หมายความว่าเร็วๆนี้ก็จะได้เจอกับ ชุนไป๋ ตูมเป้ย แบบรูปเล่มกันแล้วน้า : )

 

ปล. สำหรับเพลงที่นายชุนบอกว่าฟังแล้วคิดถึงคุณไป๋คือเพลงนี้ค่ะ ขอเถอะปีนี้ - SOMKIAT

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ


ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
  :mew5:      :mew5:      :mew5:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ถ้าไม่อกหักก็ไม่เจอรักดี ๆ นะสิ
สองคนนี้เหมาะกันที่สุดแล้ว

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 o13


มันก็จริง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด