เช้าวันต่อมาผมตื่นนอนด้วยความสดชื่น แต่พอพลิกตัวไปอีกฝั่งกลับพบกับเตียงนอนว่างเปล่า มองไปทางคอนโดแมวก็เห็นไอ้ตูมนอนตัวเหลืองอยู่ ส่วนเป่าเป้ยยังขดตัวนอนเป็นวงกลมอยู่บนหมอนอีกใบ
คุณไป๋ตื่นแล้วสินะ
พอลุกขึ้น เดินเข้าห้องน้ำไปแล้วก็ต้องยิ้มออกมา เพราะเห็นแปรงสีฟันของเราวางอยู่คู่กันในแก้วหน้ากระจก ผมจัดการล้างหน้าแปรงฟัน ออกจากห้องน้ำอีกครั้งก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังมาจากห้องครัวเลยเดินตรงไป และเจอเจ้าของบ้านยืนอยู่หน้าเครื่องชงกาแฟ
“คุณ...”
ส่งเสียงเรียกไปแค่นั้นอีกฝ่ายก็หันกลับมา ส่งยิ้มให้แล้วถามว่า
“กาแฟมั้ย”
“กาแฟดำเหรอ”
ผมถามก่อนจะเดินเข้าไปใกล้
“อื้ม กินได้มั้ย”
“ไม่มีหวานๆ เหรอ”
“หวานๆ” ระหว่างที่พูดอยู่นี่ เจ้าตัวก็ยื่นมือขึ้นเปิดตู้ด้านบน หยิบกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา แล้วยื่นหน้ากล่องให้ผมดู “วานิลลาลาเต้ได้มั้ย”
“เข้าทางเลย”
“งั้นรอแป๊บนึง”
พูดจบคุณไป๋ก็หยิบแก้วมาฉีกกาแฟใส่ก่อนจะเติมน้ำร้อน ในตอนที่ผมกำลังมองทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างเพลิดเพลิน อยู่ๆ ความรู้สึกอะไรบางอย่างก็ทำให้ต้องร้องออกมาเสียงดังลั่น
“โอ๊ย!”
“เป็นอะไรคุณ”
“ไอ้ตูมมันกัด...”
ระหว่างที่พูดผมก็ก้มหน้าลงไปมอง ก่อนจะชะงักไปเพราะไม่ใช่ไอ้ตูมหรอกที่กัดผม แต่เป็นเจ้าตัวเล็กพี่ใหญ่ที่สีส้มเข้มขึ้นทุกวันๆ กัดกันเสร็จยังจะเงยหน้ามาร้องแง้วโชว์เขี้ยวเล็กๆ ที่เพิ่งงอกให้ดู จะบ้าตาย
คนตรงหน้าผมกำลังหัวเราะกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วอยู่ๆ ก็มีเจ้าจิ๋วสามสีวิ่งตามมาเป็นตัวที่สอง ก่อนที่ผมจะถามขึ้น
“คุณปล่อยเด็กๆ ออกมาเหรอ”
“เปล่า...”
“ผมก็เปล่านะ”
เฮ้ย!
เรายืนมองหน้ากัน ตกใจไปสักพัก แล้วพากันเดินออกไปดูหน้าบ้าน
ภาพที่เห็นก็คือเจ้าเหมียวตัวสีขาวล้วนซึ่งตอนนี้เริ่มมีสีเทาขึ้นแซมแบบเป่าเป้ยกำลังหล่นตุ้บลงมาจากแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดสำหรับกั้น หล่นปุ๊บก็ลุกปั๊บแล้ววิ่งตามพี่น้องสองตัวมาทันที
ส่วนเจ้าสีขาวส้มน้องเล็กสุด ตอนนี้ทำได้แค่เอาขาหน้าสองข้างเกาะรั้วเอาไว้ แล้วร้องเสียงดังเพราะอยากออกมาด้วย
ผมหลุดยิ้มกับภาพที่เห็น ก่อนจะก้มลงอุ้มเจ้าตัวสีขาวส้มขึ้นมา ลูบเบาๆ โดยที่เจ้าเหมียวยังเอาแต่โวยวายดังลั่น
ไม่ทันได้ทำอะไรเป่าเป้ยก็เดินตามพวกลูกๆ มา จัดการเลียตัวให้พวกดื้อที่พอเห็นแม่ปุ๊บก็พร้อมจะพุ่งเข้าไปดูดนมทันที เลียไปเลียมาสักพัก คุณเธอก็คาบหลังคอเจ้าพี่คนโต แล้วก็พากลับเข้าไปในคอก
หลังจากมองเหตุการณ์อยู่พักใหญ่ คุณไป๋ก็สรุปออกมา
“สงสัยต้องพาเด็กๆ ไปไว้ในกรงแล้วแหละ”
ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดต่อ
“ผมว่าน่าจะต้องดูเพศแล้วก็ตั้งชื่อด้วย”
“กำลังคิดอยู่พอดีเลย”
ระหว่างที่พวกผมกำลังจิบกาแฟกับกินขนมปังปิ้งรองท้องเป็นมื้อเช้า อาหารของพวกแมวเด็กก็โดนแช่เอาไว้ในนมเรียบร้อยแล้ว แต่ก่อนที่จะได้กินก็น่าจะต้องมาดูเพศกันก่อน
พวกผมหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมาแล้วว่า ระยะห่างระหว่างสองจุดที่ก้นคือตัวกำหนดเพศแมว ตัวผู้จะอยู่ห่างกันมากกว่าตัวเมีย ผมจัดการเซฟรูปตัวอย่างของทั้งเพศผู้และเพศเมียเอาไว้ในเครื่องเพื่อเป็นตัวช่วย...แล้วผมก็มาถึงจุดที่มีรูปก้นแมวอยู่ในโทรศัพท์มือถือจนได้
พอข้อมูลพร้อมก็ลงมือปฏิบัติ พวกเรามานั่งกันอยู่หน้ากรง และเริ่มจากจับเจ้าพี่ใหญ่ขึ้นมาหงายท้องเป็นตัวแรก ทั้งผมและคุณไป๋ก้มหน้าลงมองไปดูก้นเจ้าเหมียวใกล้ๆ
แล้วไอ้ตูมมันจะมามุงด้วยทำไมวะน่ะ!
เมื่อมองไปอีกทางก็เห็นเป่าเป้ยส่งสายตามาทางนี้ เหมือนจะถามว่าพวกมนุษย์ทำอะไรกับลูกๆ สุดที่รักของหนู พิจารณาอยู่สักพักผมก็พูดออกมา
“ผมว่ามันมีไข่”
พูดจบก็หันไปสบตากับคนที่นั่งอยู่ข้างกัน ก่อนเขาจะพยักหน้ารับ
“ผมก็ว่าตัวผู้นะ”
“โอเค สรุปไอ้ส้มตัวผู้ ไปกินข้าวได้”
ดูเพศเรียบร้อยผมก็จับไอ้ตัวแสบที่งับกันเมื่อเช้าไปวางหน้าถ้วยอาหาร แล้วเอื้อมมือไปจับตัวถัดไปออกมาจากคอก
คิวสองคือเจ้าขาวที่ตอนนี้เริ่มมีสีเทาแซมมากขึ้นเรื่อยๆ แบบที่เดาได้เลยว่าโตขึ้นคงสีคล้ายแม่น่าดู นั่งพิจารณาก้นแมวอยู่สักพัก ผมกับคุณไป๋ก็ลงความเห็นตรงกันว่าเป็นตัวผู้ ตามมาด้วยตัวที่สาม ที่หยิบขึ้นมาปุ๊บอีกคนก็พูดขึ้นทันที
“จริงๆ ตัวนี้ไม่ต้องดูก็ได้นะคุณ แมวสามสี ยังไงก็ตัวเมีย”
“อ้าว ทำไมอะ”
“ก็ส่วนใหญ่แมวสามมีมันมีแต่ตัวเมีย คุณเคยเจอแมวสามสีตัวผู้ปะล่ะ”
ผมส่ายหน้า อธิบายต่อ
“จะว่าไม่เคยเจอก็ใช่อยู่ คือก่อนจะเลี้ยงมะตูมอะ ผมไม่เคยสนใจหรอกว่าแมวตัวไหนจะเพศอะไร”
“เป็นงั้นไป”
“อืม ว่าแต่ทำไมแมวสามสีถึงได้มีแต่ตัวเมียล่ะ”
คนตรงหน้าผมเงียบไปสักพัก เหมือนจะใช้ความคิดเรียบเรียง แล้วอธิบายออกมา
“โครโมโซมที่เป็นตัวกำหนดเพศแมวอะคุณ มันจะมีหน้าที่กำหนดสีด้วย แล้วมันจะจับคู่สีออกมาเป็นสามสีได้เฉพาะในโครโมโซมของแมวเพศเมียเท่านั้น”
“อ๋อ...งั้นก็ไม่มีทางที่แมวสามสีจะเป็นตัวผู้ได้เลยดิ”
“มีอยู่นะ จำตอนเรียนวิทยาศาสตร์สมัยมัธยมได้ปะ เวลาจับคู่โครโมโซม ของผู้ชายจะออกมาเป็น XY ของผู้หญิงจะออกมาเป็น XX ใช่มั้ย แต่แมวสามสีตัวผู้อะ โครโมโซมจะจับกันเป็น XXY มันก็สามารถเกิดขึ้นได้แต่น้อยมาก แล้วแมวสามสีตัวผู้ก็จะเป็นหมันด้วย”
แล้วนี่ก็เป็นอีกครั้งที่คุณไป๋สามารถอธิบายเรื่องราวที่ซับซ้อนให้ออกมาเข้าใจง่าย ผมพยักหน้ารับ มองเจ้าลูกแมวสามสีที่อยู่ตรงหน้าแล้วพูดต่อ
“ถ้าเจ้านี่เป็นตัวผู้ขึ้นมาก็ดีนะ จะได้เอาไปโชว์ไงคุณ ค่าเข้าชมคนละยี่สิบบาท ไว้ซื้ออาหารเม็ด”
คนฟังขมวดคิ้วนิดๆ แล้วตอบกลับ
“ใครจะมาดูฮึ”
ผมหัวเราะรับ จับเจ้าตัวเล็กหงายท้อง ดูอยู่สักพักแล้วพูดออกมา
“อดแล้ว ตัวเมีย...”
พอผมพูดจบ เขาก็มาจับเจ้าตัวเล็กไป อุ้มให้หันหน้ามาหาผมแล้วพูดต่อ
“แต่คุณดูนี่ ดูสีตาดีๆ ผมว่าข้างนี้มีความอมฟ้า ส่วนอีกข้างเหมือนจะเริ่มเป็นสีเหลือง ดีไม่ดีอาจจะโตขึ้นมาตาสองสีนะ”
ได้ยินอย่างนั้น ผมก็ใช้นิ้วลูบหัวเจ้าเหมียวเบาๆ แล้วพูดต่อ
“ไปเอาสีดำมาจากไหนไม่รู้ แล้วยังจะตาสองสีอีกเหรอเรา”
ผมคุยกับแมวแต่กลับมีคนตอบ
“จะกี่สีก็ไม่เป็นไรเลยเนาะ ยังไงก็เป็นหลานอากงอยู่ดี”
อากง? ใครบางคนมาถึงจุดที่กลายเป็นอากงแมวไปแล้วเรียบร้อย
ผมหลุดยิ้ม ปล่อยเจ้าสามสีไปกินอาหาร แล้วมาดูตัวสุดท้ายที่ทำเอาลังเลสุดๆ คือระยะห่างระหว่างสองจุดมันไม่ชัดเจนเท่าพี่ๆ มันดูไกลกันมากกว่าเจ้าสามสี แต่ก็ยังไม่มีไข่แบบเจ้าส้มตัวแรก เราสองคนนั่งเงียบกันไปสักพักเพื่อพิจารณาอวัยวะเพศแมว ก่อนคุณไป๋จะเป็นคนสรุป
“ผมว่าตัวเมียแหละ คือมันก็ห่าง แต่ก็ไม่มีไข่อะ คุณว่าไง”
“ไม่รู้เลย คุณว่าไงผมว่าตามนั้นแล้วกัน เชื่อเซ้นส์คุณ”
“แน่ใจ?”
“อืม ไว้โตมามีไข่ค่อยเปลี่ยนก็ยังทัน”
“ได้เหรอ”
“โถ่ ของแบบนี้มันเปลี่ยนกันได้ตลอดแหละคุณ”
“นี่หมายถึงเพศแมวถูกมั้ย”
“อือฮึ?”
“โอเค ถ้าไม่ใช่ก็ค่อยเปลี่ยนแล้วกัน”
ระหว่างที่พวกลูกแมวกำลังก้มหน้าก้มตากินอาหาร ผมก็เอื้อมมือไปหยิบอาหารสูตรแม่และเด็กที่อยู่ในถาดของเป่าเป้ยมาเม็ดนึง แล้ววางลงในถ้วยของเจ้าพี่ใหญ่ พร้อมกับที่คำถามดังขึ้น
“คุณทำอะไรอะ”
“ลองดู”
พูดจบเจ้าเหมียวก็กินอาหารเข้าปากไป และออกแรงกัดดังกร้วม อาหารครึ่งนึงตกกลับลงไปในถ้วย ส่วนอีกครึ่งที่อยู่ในปาก ก็ถูกเคี้ยวแล้วกลืนลงท้องไปทันที ก่อนที่คุณไป๋จะถามขึ้น
“ฟันหักมั้ยนั่น”
“ไม่หักหรอก เมื่อเช้ายังกัดผมเป็นรูได้เลย”
พอคนฟังหันมาขำใส่กันนิดนึง ผมก็พูดต่อ
“คราวนี้ก็ได้เวลาตั้งชื่อละ คุณก่อนเลย”
“ผมเหรอ”
“อืม เลือกเลย คุณมีชื่อที่ตั้งไว้แล้วนี่”
คุณไป๋พยักหน้ารับ เงียบไป ก่อนจะชี้เจ้าตัวที่สีเหมือนเป่าเป้ย แล้วหันมาบอกกัน
“เจ้านี่สีเหมือนเป้ย ตัวผู้ด้วย ผมให้ชื่อเป่าเปา ความหมายเดียวกับเป่าเป้ย แล้วก็เจ้าส้มขาวหน้าหมวยที่สุด ผมให้ชื่อชิงชิง ความหมายคล้ายกับชื่อผม”
“ความหมายว่า?”
“ไป๋ชื่อผมแปลว่าขาวสะอาด ชิงก็คล้ายๆ กัน ใสสะอาด”
ผมยิ้มรับ อยู่ๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมาที่ได้รู้ความหมายของชื่อเขา ส่วนคนพูดก็ดูจะเขินไปอย่างไม่มีเหตุผล เรามองสบตากัน ก่อนที่เขาจะพูดต่อ
“อีกสองตัวก็เป็นความรับผิดชอบของคุณแล้ว”
“โอเค สองตัวนั้นสายตระกูลชื่อจีน ศิษย์ท่านอาจารย์เป่าเป้ย สองตัวที่เหลือนี่ศิษย์อาจารย์ตูม สายตระกูลชื่อมะ...”
ผมมองไอ้ตัวแสบอีกสองตัว แล้วใช้ความคิด ก่อนจะพูดออกมา
“สีส้มพี่ใหญ่ มะยม”
“มะยม? ตัวผู้ชื่อมะยมได้เหรอคุณ”
“ได้สิ ไอ้ตูมยังชื่อมะตูมเลย”
“ไม่เห็นเกี่ยว”
“เกี่ยวเหอะน่า ส่วนตัวสามสีชื่อ...”
ระหว่างที่ผมเงียบไป สีหน้าคนฟังก็บอกเลยว่ากำลังลุ้นเต็มที่
“มะ?”
“มะระ”
“มะระเนี่ยนะ?”
“อืม มะระน่ารักออก หรือคุณว่าไง”
คำตอบคือความเงียบ แต่ไม่นานคำอธิบายก็ตามมา
“คุณไม่ขัดตอนที่ผมตั้งชื่อแมว ผมก็จะไม่ขัดคุณเหมือนกัน มะระก็มะระ เรียกไปเรียกมาเดี๋ยวก็น่ารักเองแหละ”
“ใช่เลย มะไป๋”
เขายกมือขึ้นมาตีไหล่กันทันทีที่ได้ยินผมพูด แล้วสรุป
“สรุปมีมะยม เป่าเปา มะระ ชิงชิง”
“อื้ม คราวนี้ผมมีคำถาม คุณจะให้เด็กๆ กับใครมั้ย”
ถามจบ คนฟังก็รีบตอบกลับมาทันที
“ไม่ให้”
“ตอบไวมาก”
“ใช่ ต่อให้เป็นคุณผมก็ไม่ให้”
“ขนาดนั้นเลย”
“อืม ไม่ให้ไปอยู่ด้วยหรอก คุณจะได้คิดถึงลูกแมวแล้วมาที่บ้านผมบ่อยๆ ไง”
“ร้ายกาจเกินไปแล้ว...”
ผมพูดแล้วยกมือขึ้นหยิกแก้มเขาเบาๆ พร้อมเสียงหัวเราะ
พอช่วงบ่ายผมก็ต้องกลับมาบ้านตัวเองเพื่อทำกิจวัตรประจำวันหยุด ประเภทซักผ้ากวาดบ้านอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำ ก่อนออกจากบ้านข้างๆ มายังมีคนอ้อนทิ้งท้ายด้วยคำพูดสั้นๆ
“รีบไปรีบมานะ”
หลังจากผมจัดการธุระที่บ้านตัวเองเสร็จก็เดินกลับมาบ้านเขา พร้อมกับที่ได้ยินเจ้าของบ้านคุยโทรศัพท์อยู่พอดี
“ไม่เอาอะม้า ไป๋ไม่ไป”
เรียกแทนตัวเองว่าไป๋ด้วย พอผมส่งยิ้มไปให้เขาก็ยิ้มกลับมาแล้วพูดต่อ
“ฮื่อ! ไปตั้งหลายรอบแล้ว ขี้เกียจฟังพวกอาอี๊พูด บอกว่าไป๋งานเยอะก็แล้วกัน”
“...”
“ใช่ โตกันหมดแล้ว เพิ่งตั้งชื่อไปวันนี้เนี่ย...มะยม เป่าเปา มะระ แล้วก็ชิงชิง...ชื่อมะๆ ก็ตั้งตามมะตูมไงม้า”
“...”
“ยังเลย เนี่ยเดี๋ยวว่าจะไปหาอะไรกินละ”
“...”
“โอเคม้า ดูแลสุขภาพนะ ฝากสวัสดีป๊าด้วย”
“...”
“ครับ บ๊ายบาย”
วางสายเสร็จเขาก็หันมายิ้มให้กันด้วยท่าทางเพลียๆ จนผมต้องถาม
“เป็นอะไรฮึ”
“ทำไมอะ”
“ก็...คุณดูเหนื่อยๆ”
ได้ยินคำถามของผมเขาก็ขยับเข้ามาใกล้ โอบแขนกอดเอวแล้วซุกหน้าเข้ามาอ้อน
“หิวข้าวอะ อยากกินอาหารญี่ปุ่น”
“ไปมั้ยล่ะ เอารถคุณไปนะ ผมล็อกบ้านแล้วเรียบร้อย เดี๋ยวเลี้ยงเอง”
“เลี้ยงในโอกาส?”
ผมกอดเขากลับ จูบลงไปบนหน้าผาก แล้วพูดต่อ
“โอกาสที่คุณให้ผมตั้งชื่อแมวสองตัวแล้วกัน”
“งั้นถ้าจะออกไปหาอะไรกินก็...เก็บแมวก่อนเนอะ”
หลังผละอ้อมกอดออก พวกผมก็ไปเก็บพวกแมวเด็กใส่กรง เติมอาหารกับน้ำให้แมวโต แล้วก็พากันออกมากินมื้อเย็นที่ห้างสรรพสินค้า
อิ่มแล้วก็กลับบ้านไปรับมือกับยายแก่ต่อ
พวกเราเริ่มดูหนังกันประมาณสามทุ่มเหมือนเมื่อวาน และถ้าไม่ได้คิดไปเอง บอกเลยว่าผมรับมือกับผียายแก่ได้ดีขึ้น หรือไม่ก็เป็นเพราะยายแกทำตัวหลอนน้อยลง
วันนี้เราพับโซฟาให้เป็นเตียงตั้งแต่แรกแล้วก็นั่งเอนหลังยืดขากันอยู่บนนั้น
ส่วนพวกแมว ตอนแรกมีแค่เด็กๆ ที่โดนจับเข้าไปอยู่ในกรง สักพักความกังวลว่าพวกลูกแมวจะหิวนมก็ทำให้เป่าเป้ยต้องตามเข้าไป และสุดท้ายเพื่อความเท่าเทียม ผมก็จับไอ้ตูมใส่เข้าไปอีกตัว
อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าคืนนี้จะไม่มีแมวกระโดดขึ้นตักให้ผมตกใจจนสติแตกไปอีก
เรานั่งอยู่ในท่าเดิม รวมถึงผมที่เอามือเขามาปิดตาเหมือนเดิมด้วย พอถึงช่วงประมาณกลางตอนที่ห้า คนที่พิงอกผมอยู่ก็หาวขึ้นมาจนต้องถาม
“นอนมั้ย”
อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองสบตาผม พยักหน้าแล้วพูดต่อ
“จบตอนนี้แล้วกัน”
“อือฮึ”
หลังตอนที่ว่าจบลง พวกผมก็เตรียมตัวเข้านอน ระหว่างนั้นความกังวลที่มีมาตั้งแต่ช่วงเย็นของผมก็ยังไม่หายไป
วันนี้คุณไป๋ดูแปลกไปจริงๆ เหมือนจะซึมแต่ก็ไม่ได้ออกอาการมากขนาดนั้น ประมาณว่าไม่สดชื่นเหมือนที่เคยล่ะมั้ง เพราะเหตุนั้นตอนที่พวกเรานอนลงบนโซฟาเบด ผมก็ยังไม่สามารถละสายตาจากเขาไปได้
เมื่อวานพวกเราก็นอนกันแบบนี้ ผมทำแค่ขยับเข้าไปใกล้ จูบหน้าผากเขาเบาๆ เพราะกลัวว่าถ้ามากกว่านั้นมันจะเกินเลยจนคุมไม่อยู่ ส่วนเขาก็ยิ้มเขิน พลิกตัวหันหน้าไปอีกฝั่งก่อนจะหลับไป
ส่วนวันนี้ผมมองสบตาเขา ส่งยิ้มให้ ก่อนจะยกมือขึ้นตบบนไหล่ตัวเองแล้วถามต่อ
“นอนนี่มั้ย”
คำตอบคือการพยักหน้ารับ ก่อนเขาจะขยับตัวมานอนหนุนไหล่ผม แล้วพาดแขนตามมากอดเอาไว้
ทั้งบ้านมีแต่ความเงียบ...ผมยังไม่ง่วงขนาดนั้น ส่วนอีกฝ่ายที่นอนนิ่งๆ ผมก็รู้สึกได้ว่าเขายังไม่หลับ
เวลาผ่านไปสักพักคุณไป๋ก็พูดขึ้น
“คุณ...”
“ฮึ?”
“วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายพ่อผม”
ฮะ? ผมอึ้ง
เอาจริงๆ ถ้าให้ผมลองเดาสักสิบครั้งว่าสาเหตุที่ทำให้บรรยากาศเศร้าๆ ปกคลุมอีกฝ่ายเอาไว้ในช่วงหัวค่ำคืออะไร มันคงไม่มีสักครั้งที่ผมจะคิดว่าเหตุผลคือเรื่องนี้
ผมกระชับอ้อมกอดแน่นเข้า จูบลงไปบนหน้าผาก แตะริมฝีปากค้างไว้พักใหญ่ ก่อนจะผละออกแล้วพูดออกมา
“คิดอยู่แล้ว ว่าทำไมวันนี้คุณดูไม่ค่อยสดใสเลย”
“อืม...”
เขารับคำ เงียบไป ก่อนที่ผมจะถามต่อ
“อยากเล่าอะไรให้ผมฟังมั้ย”
คุณไป๋นิ่งไปสักพัก เหมือนกำลังเรียบเรียงความคิดแล้วค่อยๆ เล่าออกมา
“พ่อกับแม่เลิกกันตั้งแต่ผมอายุยังไม่ถึงขวบ แล้วก็ไม่เคยรู้เลยว่าเพราะอะไร รู้แค่อาม่าชอบบอกอยู่ตลอดว่าถ้าผมไปอยู่กับพ่อผมจะลำบาก แต่เวลาพ่อมาหาผม มารับผมไปกินโน่นกินนี่ พ่อชอบพาผมไปกินอาหารญี่ปุ่นน่ะ สมัยนั้นนี่อาหารญี่ปุ่นคือหรูสุดๆ แล้วนะ ระหว่างที่นั่งกินอะไรอร่อยๆ พ่อก็จะบอกกันตลอด ว่าอาม่าพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ผมกับพ่อได้อยู่ด้วยกัน ผมโตมาแบบนั้น เหมือนอยู่ตรงกลางแล้วโดนพ่อกับอาม่าดึงไปมาตลอดเวลา”
“...”
“ส่วนหม่าม้า ถึงแม้จะแต่งงานใหม่หลังเลิกกับพ่อได้ไม่ถึงปี แต่หม่าม้าก็คอยดูแลผมเหมือนเดิม ป๊า...หมายถึงพ่อเลี้ยง ก็ดีกับผม แต่ทั้งสองคนไม่เคยรู้เรื่องนี้ เพราะผมเลือกที่จะไม่พูด”
“...”
“ผมมารู้ทุกอย่างตอนโต เพราะแม่บ้านเล่าให้ฟังว่าที่พ่อกับม้าเลิกกันเป็นเพราะอาม่า อาม่าผมรับไม่ได้ที่พ่อเป็นคนไทยแท้ๆ แล้วก็อยากให้ม้าแต่งงานกับคนที่มีเชื้อสายจีนมากกว่า การที่ม้าแต่งงานใหม่ก็เป็นการจัดการของอาม่าเหมือนกัน ตอนรู้ครั้งแรกผมสับสนมากเลย อยากจะโกรธอาม่าที่ทำให้ครอบครัวแตกแยก แต่ม้าผมก็มีความสุขดีกับการแต่งงานใหม่ที่อาม่าจัดขึ้น สุดท้ายก็เหมือนเดิม ผมเหมือนถูกคนโน้นคนนี้ดึงไปมาตลอดเวลา ไม่รู้เลยว่าควรจะอยู่ตรงไหน”
ฟังมาถึงตรงนี้แขนข้างนึงของผมก็กอดเขาแน่นเข้า ส่วนอีกข้างก็กุมมือเขาเอาไว้
“ขนาดตอนโต เรียบจบทำงานแล้ว ป๊ากับม้ารู้แหละว่าผมชอบผู้ชาย แต่ก็ขอให้ผมเก็บเรื่องนี้ไว้จากอาม่าจนสุดความสามารถ หรือแม้แต่การที่ก่อนหน้านี้ผมไม่สามารถมาอยู่บ้านหลังนี้ได้เพราะเป็นบ้านของพ่อ ก็เป็นคำสั่งของอาม่าเหมือนกัน”
“...”
“ชีวิตผมง่ายขึ้นมา หลังจากอาม่าเสียไปเมื่อสองปีก่อน แต่ก็แปลกดีเหมือนกันที่ผมเสียใจเอามากๆ เลยตอนที่รู้ว่าท่านจากไป ทั้งที่ชีวิตผมยุ่งเหยิงขนาดนี้ก็เพราะการบงการของอาม่าทั้งนั้น”
“เพราะคุณรักท่านไง”
“อืม ก็คงจะเป็นอย่างนั้น...ส่วนบ้านของพ่อ หลังจากม้าแต่งงานใหม่ก็มองหน้ากันไม่ติดไปเลย ทุกอย่างยิ่งแย่ลงตอนที่พ่อผมป่วยเป็นมะเร็ง ที่บ้านหวังว่าม้าจะแสดงความห่วงใยหรือมาดูแลบ้าง เพราะพ่อผมไม่ได้แต่งงานใหม่ แต่พอม้าไม่ได้ทำอะไรมากกว่าเข้าไปเยี่ยมครั้งสองครั้งกับกระเช้าหน้าตาธรรมดา ความสัมพันธ์ระหว่างสองบ้านก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่”
“...”
“สุดท้ายตอนที่พ่อเสีย ทางฝั่งคุณอาของผมก็ตัดสินใจเอากระดูกไปเก็บไว้ที่บ้าน ไม่ยอมให้ผมหรือว่าม้าไปไหว้ด้วยซ้ำ แม้แต่การที่บ้านหลังนี้เป็นของผม พวกเค้าก็ค้านอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่สามารถเอาชนะเอกสารที่พ่อทำไว้ได้”
แค่ฟังที่เขาเล่าผมก็เหนื่อยแทนแล้ว ชีวิตคนคนหนึ่งไม่ควรจะต้องมาแบกรับอะไรที่ยุ่งยากวุ่นวายขนาดนี้
“คุณเก่งมากเลยนะที่ผ่านทุกอย่างมาได้ งั้นพรุ่งนี้เราไปวัดมั้ย ถวายสังฆทานก็ได้ แล้วคุณก็ตั้งจิตอธิษฐาน ผมว่าพ่อคุณก็คงรับรู้ได้แหละ”
“อืม...ชั้นบนบ้านผมมีหิ้งพระเล็กๆ เมื่อเช้าตอนตื่นนอนผมก็ไปไหว้พระ ไม่รู้จะขออะไรเหมือนกัน สุดท้ายก็ได้แต่ขอให้พ่อมีความสุขดีไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน”
“ท่านต้องรับรู้แน่ๆ”
“เนอะ”
เขาพูดออกมาแค่นั้นแล้วก็ถอนหายใจ
“เมื่อตอนบ่ายม้าผมโทรมา คุณก็อยู่นี่...”
“ใช่...”
“ม้าโทรมาชวนไปไหว้พระที่ไทเปตอนปีใหม่ แล้วก็ถามถึงลูกแมวด้วย แต่ไม่พูดถึงพ่อสักคำ”
“...”
“เหมือนเด็กเลยเนอะ พอรู้ว่าพ่อแม่ไม่รักกันแล้วก็เสียใจ ซึมไปซะอย่างนั้น” ผมหันไปจูบหน้าผากเขาอีกครั้ง ก่อนจะตอบกลับ
“เพราะเป็นผู้ใหญ่ต่างหากล่ะ คุณถึงได้เสียใจ...”
เขาหัวเราะนิดๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด
“นั่นสิ ตอนเป็นเด็ก เศร้าแป๊บเดียว ได้ออกไปวิ่งเล่นขี่จักรยานเล่นก็หายแล้ว”
“ใช่ไหมล่ะ...เป็นไง ได้พูดออกมาแล้วสบายใจขึ้นมั้ย”
“มาก” เขาซุกใบหน้าลงมาบนไหล่ผมมากขึ้นแล้วพูดต่อ “ดีนะที่มีคุณมาคอยฟังเรื่องวุ่นวายของครอบครัวผม พวกเพื่อนๆ นี่ฟังจนเบื่อแล้ว จะโทรไปเล่าอีกบางทีก็เกรงใจ”
ผมยิ้มรับ ไม่ตอบอะไร ก่อนที่เขาจะพูดต่อ
“แต่งงานกันมั้ย”
คราวนี้ผมขมวดคิ้ว ก้มลงไปมองสบกับแววตาสีเข้มคู่นั้นที่มองมาแล้วกระพริบช้าๆ เหมือนกำลังล่อลวงกัน ผมพยายามตั้งสติไว้แล้วตอบกลับ
“ไม่ครับ”
“ใจร้ายอะ”
“ไม่ เพราะตอนนี้คุณกำลังรู้สึกเหงา แล้วก็แค่อยากมีใครอยู่ด้วย แต่จะรีบโอเคเลย ถ้าคุณมั่นใจแล้วว่ารักผมจริงๆ”
“ทีเวลาแบบนี้แล้วสติมั่นคงเชียวนะ ไม่สนุกเลย”
เขาตอบกลับ ทำหน้ามุ่ย ขยับตัวนิดหน่อยก่อนจะถามต่อ
“แล้วครอบครัวคุณล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
ผมยิ้มรับแล้วก็เริ่มอธิบาย
“สมมติเรื่องที่คุณเล่าเมื่อกี้เป็นซีรี่ส์สามซีซั่น ซีซั่นละยี่สิบตอน เรื่องครอบครัวผมคงเป็นหนังสั้นที่จบในสิบห้านาที”
“ยังไงอะ”
“พ่อแม่ผมรู้จักกันตั้งแต่สมัยเด็กเลย แถมยังเลือกเรียนครูทั้งคู่น่ะ พอเรียนจบก็แต่งงานกัน พยายามสอบบรรจุให้ได้ในกรุงเทพฯ จนสำเร็จ แล้วก็ทำงาน หาเงิน เก็บเงิน ซื้อบ้านหลังที่ผมอยู่ แล้วก็มีลูกสองคน หญิงคนชายคน พอถึงวัยเกษียณก็กลับไปปรับปรุงที่ดินเก่าแก่ตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษให้เป็นบ้านสวน ปลูกผักปลูกผลไม้เล็กๆ น้อยๆ จะได้ช่วยประหยัดเงินบำนาญ จบ”
“ไม่ลุ้นเลย”
“ก็บอกแล้วว่าหนังสั้น”
“นั่นสิ แต่ก็ไม่แปลกใจหรอก แค่เห็นบรรยากาศบ้านคุณก็รู้แล้วว่าคงประมาณนี้”
“ทำไมอะ”
“เรียบง่ายแต่อบอุ่นไง”
สิ่งที่คิดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขาก็คือ
สักวันหนึ่งผมจะทำให้เขาได้อยู่ในบ้านแบบนั้น...
- to be continued -