ตอนที่ 27
บางที การที่ผมมาลิ้มรสชาติของคนที่แทบจะไม่มีเงินติดตัวดูบ้าง มันก็เป็นชีวิตอีกชีวิตหนึ่งที่สอนเราได้เหมือนกันนะ
เส้นทางสายเดิมๆ จากที่เคยมีรถ แต่มันเปลี่ยนทำให้ผมต้องเดินเข้ามาในโรงเรียน ....ผมรู้ว่าแต่ก่อนผมเป็นจุดสนใจจากหลายๆ คนในโรงเรียนขนาดไหน ... ถึงปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ บางคนที่มันเคยเกลียดเรามันก็สมน้ำหน้า ส่วนบางคนที่เค้าไม่เคยเกลียดเราก็เพียงแค่มีแต่ความสงสัยว่าทำไมผมถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้ .....
ป่านนี้ไอ้เอก กับไอ้นันต์ และซิวคงรออยู่ที่เดิม และผมกำลังจะไปหามัน ถ้าเผอิญไม่เดินไปชนใครเข้าให้เสียก่อน
“โอ๊ย...!!!”
“โอ๊ย.... !!!! ขอโทษครับ !!!” ยังดีครับที่ยังมีคำว่าขอโทษเอ่ยออกมาจากปากของมัน ผมกะจะสวนกลับเข้าไปให้อยู่แล้ว ทางเดินออกกว้าง ...แต่ดันเดินมาชนกันซะได้ แต่พอเงยหน้าขึ้นมา ไอ้สิ่งที่ว่าจะไม่ทำ มันกลับอยากทำขึ้นมาทันที
“ไอ้เรย์ !!!”
“ไอ้วัจน์ !!!”
มันเองก็คงจะตกใจพอๆ กัน เพราะหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว ผมกับมันไม่เคยเจอหน้ากันอีกเลย รุ่นเดียวกัน ม. เดียวกัน แต่ก็คนละห้อง แถม นักเรียนปีสุดท้าย ต่างก็ต้องยุ่งกับการที่จะหาที่เรียนต่อด้วย ต่างคนต่างไม่สนใจกันมากนัก อีกทั้งช่วงหลังๆ มาผมก็เริ่มๆ ที่จะทำตัวเงียบหายไปมากขึ้น
สายตาที่มันมองมาทางผมเหมือนกับไม่เชื่อตัวเอง ....มันก็แน่ล่ะ สายตาแบบนั้นผมเริ่มชินแล้วจากคนรอบข้าง เสื้อผ้าที่ดูซอมซ่อขึ้น เพราะว่าต้องรีดเสื้อผ้าเอง ซักเสื้อผ้าเอง ให้มันขาวได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งมากๆ แล้ว
“กูไม่อยากมีเรื่องกับมึงตอนเช้า” ทำอย่างกับผมอยากยุ่งกับมันอย่างนั้นเหมือนกัน จึงตัดสินใจเดินเลี่ยงออกมาจากมัน แล้วก็เข้าไปที่ห้องเรียน โดยไม่ได้หันหลังไปมองอีกเลย
ชีวิตในห้องเรียน ของผมผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย จนการเรียนมันแย่หนักลงไปกว่าเดิม บางครั้งการบ้าน ถ้าไม่ได้ซิวช่วย ผมก็คงจะตกไปหลายวิชา ไอ้นันต์ก็ห่วง และคอยดูผมไม่ห่าง จะมีเพียงก็แต่ไอ้เอกเท่านั้นที่ตอนนี้มันต้องไปเริ่มอะไรใหม่หลายๆ อย่าง และตอนนี้ถ้าผมพอทราบมันก็คงจะทบทวนตำราเรียนอยู่กับน้องเบสต์ เพื่อนของต้อง เบสต์เคยบอกผมเอาไว้ และยังจำได้ดี ถ้าต้องตื่นขึ้นมา แล้วจะต้องมาเจอผมอีก เบสต์คงไม่อยากให้ต้องตื่นขึ้นมา ขอให้ต้องหลับไปอย่างนั้นตลอด ..... มันเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจผมอย่างมาก ไม่แปลกที่เบสต์จะเกลียดผม เพราะผมก็ทำกับเพื่อนเค้าไว้อย่างหนัก ไม่แปลกที่ต้องจะเกลียดผม แต่ผมขอได้ไหม จะเกลียดจะฆ่าผมอย่างไง ก็ขอให้ต้องตื่นขึ้นมาเถอะ ต่อให้จากกันตลอดชีวิต จะแลกด้วยร่างกาย ชีวิตทั้งหมดของผมที่มี จะให้ทำอะไรก็ได้ ขอเพียงให้ต้องฟื้นขึ้นมา
สมุดบันทึกของต้อง ผมอ่านซ้ำไปซ้ำมาจนจำมันขึ้นใจ จนจำได้หมดทุกบรรทัด ที่เด็กคนหนึ่ง หัวใจคนหนึ่งจะเขียนหาถึงพี่ชายของเขา ที่ผมไม่เคยรู้เลยจนบัดนี้ วันเวลาที่อยู่กับผม และจนเจอเบสต์ตอน ป.3 หัวใจของต้อง อยู่ที่ผมตลอด อดีตของต้องอยู่ที่ผมตลอด แม้กระทั่งฝันร้าย คนแรกที่ต้องตื่นขึ้นมา ต้องก็ยังเรียกผมอยู่
ไม่รู้ว่าต้องจะเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ หัวใจของต้องอยู่ที่ไหน ตอนนี้จะฝันร้ายหรือเปล่า ผมไม่เคยรู้เลย อย่างน้อยก็ยังดีที่พ่อกับน้าตายังให้ผมเยี่ยมต้องได้เหมือนเดิมแต่ก็เพียงแค่เสาร์กับอาทิตย์เท่านั้น ทุกครั้งก่อนจะไปทำงานที่ผับ ผมจะต้องเข้าไปเยี่ยมต้องก่อน และจะกลับออกมาทุกครั้งก่อนเวลา 5 โมงเย็น ไม่ใช่เพราะว่าผมต้องรีบไปทำงานเพราะเดี๋ยวนี้ เมื่อผมได้ร้องเพลงในผับนั้นแล้ว ผมก็เข้าสายได้กว่าคนอื่น เพียงแต่ที่ผมต้องออกมาก่อน คือผมไม่ต้องการเห็นน้าตา
.... ผมไม่ได้เกลียดน้าตาแล้ว แต่ผมไม่มั่นใจเลย ว่าน้าตาจะยังสงสารผม จะอภัยให้ผมแล้วหรือยัง กับสิ่งที่ผมได้ทำกับลูกเค้าเอาไว้.. ผมไม่กล้าสู้หน้าคนที่ผมทำร้ายได้ลงคอ
..........อภัยให้ผมเถอะ.......
คนในผับยังคงแน่นเหมือนเดิม และทุกครั้งที่ผมขึ้นไปร้อง ก็ได้รับเสียงปรบมือ ชื่นชมทุกครั้ง มันเป็นการง่ายกว่าเดิมมาก ที่ผู้หญิงจะเข้ามาหาผมแบบเดิม ผู้หญิงที่มีเงินพอโดยไม่สนใจว่าผมอยู่ในฐานะอะไร ตอนนี้จะจนเพียงไหน แต่ผมซะอีกที่กลับไม่สนใจคนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวเหล่านั้นเลย ร่างกายยังเป็นของผม แต่หัวใจผมยกให้ใครอีกคนไปแล้ว และมันไม่มีทางที่จะเปลี่ยนไปได้ ผมยังคงนั่งคุยกับแขกไปเรื่อยๆ ที่จะมีคนนั้นหรือคนนี้ เรียกให้ผมเข้าไปนั่งคุย ก็เป็นเรื่องปกติที่เราจะต้องเอ็นเตอร์เทนแขกที่เข้ามาในร้าน เพราะมันก็คือการบริการอย่างหนึ่ง จนได้ระยะเวลาที่พอเหมาะผมจึงขอออกมานั่งอยู่เพียงคนเดียว จนมีคนมานั่งข้างๆ ด้วยแต่ผมก็ยังไม่สนใจ
“น้องเค้ายังไม่ฟื้นอีกหรอ” เสียงที่อ่อนโยน และคุ้นหูผมมากทำให้ผมต้องหันกลับไปยังเสียงนั้น พี่ภา พอรู้เรื่องของผมบ้าง แต่ก็ไม่ละเอียดนัก ผมเล่าเพียงบางอย่างและบางอย่างก็จงใจปิดมันเสีย
“ยังครับ” คำตอบสั้นๆ ที่ผมบอกพี่เค้าไป ทำให้พี่ภายิ้มให้บางๆ ก่อนจะพูดขึ้นต่อ
“เดี๋ยวซักวันเค้าก็ต้องฟื้นขึ้นมา พี่อยากให้วัจน์เข้มแข็ง คนที่ดูแลต้องนอกจากพ่อกับแม่แล้ว ยังมีวัจน์อีกคนหนึ่งนะ ถ้าวัจน์แย่ไป วัจน์ไม่รักตัวเอง แล้วใครจะเป็นคนดูแลต้องล่ะ” ผมก็คิดในใจ ถ้าผมแย่ไป ต้องจะดีใจหรือเสียใจ และก็คงเป็นอย่างแรกมากกว่า ถ้าเค้ารักผม เค้าต้องฟื้นขึ้นมาแล้ว ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ จนพี่จักรเดินเข้ามาและนั่งอยู่ข้างๆพี่ภา พร้อมกับตบไหล่ผม
“ไงไอ้เสือ สาวๆติดเกรียว สวยๆ ทั้งนั้น ไม่สนบ้างไงวะ” ผมยิ้มให้พี่จักร พร้อมกับส่ายหน้า ไม่ได้รังเกียจผู้หญิงพวกนั้น แต่ก็อย่างที่ผมบอก หัวใจผมอยู่กับอีกคนหนึ่งแล้ว พี่จักรพอทราบเรื่องของผมจากปากของพี่ภา เพราะเค้ายังเคยไปส่งผมที่หน้าโรงพยาบาลออกบ่อย แต่ก็ไม่ได้รู้เยอะอะไรมากนักเช่นกัน พี่จักรนี่เอง ที่ทำให้ผมรู้สึกคุ้นหน้า เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก
“เดี๋ยวน้องเค้าก็ฟื้น หมอที่นั่นเก่ง และก็รักษาได้ดีจนหายมาหลายคนแล้ว เพื่อนของน้องชายพี่ก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน เป็นมาไล่เลี่ยกันกับแฟนของวัจน์นั่นแหละ อายุก็น่าจะเท่าๆ กันมั้ง ตอนนี้ก็รอได้อย่างเดียวคือปาฏิหาริย์” พี่จักรพูดให้กำลังใจผมตลอดเวลา และทุกครั้งก็ยังถามกึ่งห่วง กึ่งแซว ว่าแฟนผมที่ผมทึกทักเอาเองว่าต้องคือคนรัก ว่าสวยขนาดไหน พี่จักรไม่รู้ว่าต้องคือผู้ชาย ผมไม่ได้บอกใครว่าคนที่ผมรอให้ฟื้นอยู่ ชื่อต้อง หรือชื่อนัญ ผมบอกอย่างเดียวว่าเค้าคนนั้นคือคนรักของผม
พี่จักรจะช่วยพี่ภาดูแลผับของที่นี่อีกเพียงแค่อาทิตย์เดียว ก่อนจะย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศและต้องไปดูแลงานเรื่องโรงแรมของครอบครัว และครั้งนี้พี่ภาก็คงจะไปเรียนต่อตามพี่จักรไปด้วยด้วย แต่กิจการของผับก็ยังคงอยู่ในการดูแลของพี่จักรต่อไป เว้นเสียแต่ว่าให้ใครมาดูแลก็เพียงเท่านั้น ผมไม่สนใจว่าใครจะเป็นหัวหน้าของผมคนใหม่ พี่จักรบอกเพียงว่าใจดี ถึงจะอายุน้อยหน่อย แต่ก็ดูแลงานที่บ้านและที่โรงแรมมาเยอะแล้ว
ผมร้องเพลงจนเสร็จ เพลงสุดท้ายเกือบเที่ยงคืน ก่อนจะขออนุญาตพี่ภากลับ วันนี้เป็นคืนวันเสาร์ ลูกค้าค่อนข้างเยอะ แต่หลังจากเที่ยงคืนไปแล้ว ก็จะมีนักร้องอีกวงหนึ่งเข้ามาร้องแทน และก็ไม่ใช่หน้าที่ของผมอีกต่อไป
วันเสาร์ผมได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมต้องได้ บรรยากาศในห้องเปิดไฟเพียงสลัวๆ พยาบาลที่ถูกจ้างมาประจำยังคงไม่นอนหลับ เพราะพยาบาลของที่นี่ถูกจ้างมาถึงสามคน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอดระยะเวลา 24 ชั่วโมง น้าตาเป็นคนจ้างมาเอาไว้ ให้คอยดูแลต้องทุกๆ วัน เมื่อพยาบาลเห็นผม ผมไหว้ ก่อนที่พยาบาลนั้นจะออกไป ทุกครั้งที่ผมมาเยี่ยมต้อง พยาบาลที่นี่จะไม่มีใครอยู่ในห้อง เพราะรู้ว่าผมอยากมีเวลาส่วนตัวกับต้องให้ได้มากที่สุด พยาบาลออกไปแล้ว คนที่นอนอยู่ตรงหน้า ยังคงไม่ไหวติง ดวงตาของต้องยังคงปิดสนิท เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผมเจอ มือเล็กๆ ข้างนั้น มีสายน้ำเกลืออยู่ตลอดเวลา ต้องจากที่ร่างเล็กๆ อยู่แล้ว ทุกวันนี้ดูผอมกว่าเดิม ผิวพรรณของต้องยังคงสดใส ไม่มีอะไรผิดแผกไปมากนัก ผมเริ่มยาวขึ้น แต่ก็ยังคงนุ่มสลวยเหมือนเดิม ผมลูบหัวเบาๆ ช้าๆ ได้แต่ขอร้องให้ตื่นขึ้นมา ต้องเล็บยาวขึ้น แต่ก็ยังไม่มากนัก นิ้วก้อยเรียวๆ เมื่อครั้งที่เค้ายังเป็นเด็ก นิ้วก้อยนี้จะเกี่ยวกับนิ้วก้อยผมทุกครั้ง เวลาที่พาไปเดินเล่น ผมคิดถึงเด็กตัวเล็กๆ กลมๆ คนนั้น
บรรยากาศในห้องเงียบ สงบ ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นมาทั้งสิ้นแม้แต่เสียงเครื่องปรับอากาศผมก็ไม่ได้ยิน มือข้างหนึ่งผมจับอยู่ที่มือเล็กๆ นั้นอย่างทนุถนอม นั่งเงียบ ไม่พูดอะไร ขอเพียงได้เห็นหน้าเท่านั้นก็สุขใจ กรรไกรตัดเล็บ อยู่ข้างๆ ที่นอน เมื่อก่อนที่พยาบาลคนนั้นจะเดินออกไป ผมเห็นพี่เค้ากำลังจะตัดเล็บให้ต้องอยู่ ก่อนที่จะเดินออกไปเมื่อตอนที่ผมเดินเข้ามา
ผมค่อยๆ บรรจงตัดเล็บให้ต้องอย่างช้าๆ เพราะกลัวจะตัดเข้าไปโดนเนื้อ มือข้างนี้ เคยเงื้อมมือตบผมเมื่อครั้งที่แล้ว ตอนที่ผมเอาตุ๊กตาที่เป็นของขวัญวันเกิดที่พ่อเค้าให้ไว้ก่อนจะเสียไป เขวี้ยงทิ้ง
“ตื่นมา แล้วตบพี่อีกกี่ร้อยครั้งก็ได้นะ” เสียงอันแผ่วเบา พูดกับคนที่ไม่มีทางจะได้ยิน ผมค่อยๆ ตัดเล็บให้ต้องจากนิ้วชี้ ไปจนถึงนิ้วนาง น้ำตาจากลูกผู้ชายคนหนึ่งที่ในชีวิตนับครั้งได้จะไหลออกมาอย่างช้าๆ ผมสงสารต้อง และก็สมน้ำหน้าตัวเองที่ต้องมาเจอกับสิ่งแบบนี้ มือนุ่มๆ ข้างนั้น ผมเอามาแนบแก้มทุกครั้งที่เวลาได้อยู่กับต้อง น้ำตาไหลออกมาช้าๆ ถ้าผมอยู่กับคนอื่นคงไม่ร้องไห้ เพราะอายตัวเองที่ต้องมีน้ำตาต่อหน้าคนอื่น แต่สำหรับตอนนี้ ผมขอเถอะ อย่างน้อยน้ำตาที่ไหลออกมา มันก็ยังบรรเทา ความอัดอั้นตันใจ ความขมขื่นใจไปได้บ้าง
ขอร้อง........ ขอร้อง ....... ให้แลกด้วยอะไรก็ยอม ฟื้นมาเถอะนะ กลับมาเป็นต้องคนเดิม คนที่มีรอยยิ้มสดใสแบบเดิมเถอะนะ
“ฮึก .... ฮึก นัญ ตื่นมาเถอะนะ พี่ขอร้อง เห็นใจพี่ด้วย พี่ขอโทษ” ใบหน้าที่น้ำตาอาบแก้มก้มลงไปที่ฝ่ามือเล็กๆ นั้น ผมร้องไห้อย่างไม่อายใคร หัวใจมันปวดร้าว เมื่อไม่รู้ว่าคนที่ผมรักจะฟื้นตอนไหน จะได้ยินเสียงกันอีกหรือเปล่า จะเห็นต้องยิ้มสดใส จะเห็นต้องหัวเราะอีกบ้างหรือเปล่า
“หักห้ามใจเถอะลูก ซักวัน ต้องก็ต้องฟื้นขึ้นมา ..... เข้มแข็งเข้าไว้ อย่าทำให้น้องเค้าเสียใจอีกเลยนะ” แค่ฟังจากน้ำเสียง ผมก็รู้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังผมนั้น มือเล็กๆ ที่วางไว้บนบ่า น้ำเสียงที่พูดมา ไม่ใช่ปลอบโยนผม แต่เป็นเพียงบอกกล่าวเหมือนกับให้กำลังใจตัวเอง ว่าลูกที่มีเหลืออยู่แค่คนเดียว ของผู้หญิงด้านหลังนี้ ซักวันคงจะต้องตื่นขึ้นมา ตามที่พูดเอาไว้
ผมหยุดร้องไห้ จริงอยู่ ผมไม่เกลียดน้าตาแล้ว ตั้งแต่เมื่อได้รู้ความจริง แต่ก็ยังคงกระดากอยูบ้าง ที่จะพูดคำว่า ขอโทษ จริงซินะ ผมไม่เคยชินกับการเป็นคนดีเลย
ไม่รู้ว่าน้าตาอยู่ตรงนั้นในห้องนั้นอีกนานเท่าไหร่ ระหว่างเราสองคน ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้น ยังขอบคุณที่เค้าไม่ไล่ผมออกจากห้องนี้ไป น้าตายังคงปล่อยให้ผมอยู่กับต้อง จนท้ายสุดเค้าก็เดินออกไปเอง เวลามันจะผ่านไปนานอีกเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ สำหรับวันเสาร์กับวันอาทิตย์ ที่ผมหยุดเรียน ในห้องของต้อง พยาบาลยังเดินมาตรวจอาการอยู่เรื่อยๆ นานๆ ทีหนึ่งจะมีหมอซักคนเดินเข้ามา อาหมอที่ผมพอคุ้นหน้าอยู่บ้างเพราะก็คงจะเป็นญาติห่างๆ ของไอ้นันต์นั้นแหละ
เรื่องราวมันมาแดงเพิ่มขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน หมอคนที่สนับสนุนและอนุมัติที่ให้นัญ สามารถให้เลือดกับผมได้จนเกินพิกัดกับการให้เลือด เพราะมันมีการตกลงกันลับๆ โดยมีเงินจำนวนมากอยู่เหมือนกัน ที่จะทำให้หมอคนหนึ่ง ผิดจรรยาบรรณที่เรียนมา ผมสงสัยอยู่นาน ว่านัญเอาเงินมาจากไหนก้อนโตขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ในบัญชีที่พ่อผมโอนเข้ามาให้ก็ไม่มียอดถอนออกไปซักยอดเดียว มีเพียงยอดเดียวเท่านั้นที่หายไปครั้งล่าสุด ก็คือเงินในบัญชี ของกรมธรรณ์ ที่พ่อของนัญทำเอาไว้ให้ก่อนเสียชีวิต
เค้าไม่ได้แตะต้องเงินของพ่อผมเลย
เวลาส่วนมาก ผมหมดไปกับการนั่งอ่านหนังสือให้นัญฟัง เพราะหวังในใจลึกๆ ว่านัญเองคงจะรับรู้และสัมผัสได้ว่า มีผมอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา และพร้อมจะชดใช้ทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อถึงวันที่นัญพร้อมจะตื่นขึ้นมา
อาหมอคนเดิม เข้ามาตรวจอีกครั้งในช่วงเย็น ก่อนที่ผมจะต้องไปร้องเพลงที่ร้านของพี่ภา สีหน้าที่ดูใจเย็นขึ้นของอาหมอ ทำให้ผมอดสงสัยที่จะถามไม่ได้
“นัญเป็นไงบ้างครับ”
“อาการโดยรวมดีขึ้น ไม่ทรุดลงไปกว่าเดิม อาเคยเจอเคสนี้ คนหนึ่ง นานแล้ว ตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียนแพทย์อยู่ที่อเมริกา” น้ำเสียงดูราบเรียบ และหยุดซักพักหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม ก่อนจะพูดขึ้นต่อ
“วัจน์อยากฟังไหม”
“ครับ” ผมตอบกลับไปช้าๆ ใจหนึ่งก็กลัว แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะรู้ว่าเป็นแบบไหน
“คนไข้รายนั้น กับต้อง ดูจากสภาพร่างกายภายนอกแล้ว แทบไม่ต่างกัน จริงอยู่ที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้ช้าเกินไป ทำให้เกิดคล้ายกับอาการฮีทสโตรก แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว สมองและก้านสมองของคนไข้รายนั้นกับต้อง ไม่ต่างกันเลย คือสมบูรณ์ทุกอย่าง ไม่มีอะไรเสียหายแม้แต่น้อย แม่แต่สมองเบื้องลึกที่สั่งการต่างๆ อันเหนือการควบคุมของจิตใจเรา ก็ไม่มีผลเสียหาย” อาหมอมองหน้าผม แล้วยิ้มขึ้นมาช้าๆ และพูดต่อไปก่อนจะหันไปมองหน้าต้องอีกครั้ง
“คนไข้รายนั้นที่อาเคยรักษา เค้าเป็นเพื่อนของอาเอง เค้ามีปัญหาทางบ้าน เค้าถูกพ่อทำร้ายตั้งแต่เด็กๆ เค้าเรียนเก่ง แต่เค้าก็มีปัญหาทางครอบครัว กลับไปบ้าน เค้าจะโดนพ่อทำร้าย บางทีก็โดนตี โดนซ้อม ...... เพราะอะไรวัจน์รู้ไหม” คำพูดนั้นหยุดเพียงแค่นั้น แต่ก็ยิ้มให้ผม และพูดต่อไปเหมือนเดิม หันไปมองหน้าของนัญอีกที
“เพราะพ่อของเค้า บังคับให้เค้าต้องขายตัวให้พวกคนที่มีอำนาจ มีเงินเยอะๆ พ่อเค้าติดการพนันอย่างหนัก จนถึงกับต้องขายลูกชายให้ไอ้พวกบ้าตัณหาเหล่านั้น ............. วันหนึ่ง เค้าโดนพ่อซ้อมหนักเกินไป จนเผลอล้ม และตกบันไดลงมา หัวไม่ได้รับการกระแทกอะไรทั้งสิ้น แต่เพื่อนของอา โดนมีดที่อยู่ข้างล่างตรงนั้น บาดยาวจนเกือบทั้งขา”
เสียงถอนหายใจยาวๆ ของอาหมอ ผมรับฟังอย่างนิ่งเงียบ ยังคงไม่พูดอะไรต่อไป
“เพื่อนของอาเสียเลือดมาก จนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ เป็นเจ้าชายนิทราอยู่เกือบเดือนถึงจะตื่นขึ้นมา” แค่ผมได้ยินแค่นั้น ความดีใจก็เกิดขึ้น ผมดีใจ ใช่ เพราะนั้นหมายถึงว่านัญก็น่าจะฟื้นขึ้นมา
“เพื่อนของอาฟื้นขึ้นมา ก็จะเหมือนกับนัญใช่ไหมครับอาหมอ” อาหมอยิ้มให้ผมแบบเดิม ก่อนจะเล่าใหม่อีกครั้ง
“ใช่ .... เพื่อนของอาฟื้น แต่วัจน์รู้ไหม เค้าฟื้นขึ้นมา เค้าจำได้หมดทุกคน ทุกคนรู้ และก็จำได้ เค้าจำแม่เค้าได้ เค้าจำอาได้ จำเพื่อนๆ ได้ จำได้แม้กระทั่งบางคนที่เดินสวนกันใน โรงพยาบาลตอนเรียน ......... มีเพียงคนเดียว ที่เค้าจำไม่ได้” ......
“ใครครับ......”
“พ่อของเค้าไงล่ะ เค้าจำพ่อเค้าไม่ได้ เค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกนี้มีพ่อของเค้าอยู่ สิ่งที่อาจะพูด อาจจะไม่เกิดกับต้องก็ได้ แต่สิ่งที่อาจะบอก ก็คือว่า มนุษย์เราสิ่งที่ซับซ้อนที่สุด และไม่สามารถมีเทคโนโลยีใดๆ จะแก้ปัญหา หรือหาต้นตอของมันพบ ก็คือ จิตใจ จิตใจที่ซับซ้อนและลึกที่สุด วัจน์รู้ไหม ว่าถ้าคนเราได้รับผลกระทบอะไรที่รุนแรงมากเกินไป เกินกว่าที่ตัวเองจะรับไหว จิตใจใต้สำนึกเราจะปกป้อง เพื่อให้ร่างกายยังมีชิวิตอยู่ โดยให้ร่างกายไม่ได้รับผลกระทบนั้น แต่ในทางตรงกันข้าม จิตใจก็จะสูญสิ้นโดยสิ้นเชิง หรือที่เราเรียกกันว่า “วิกลจริต” หรือ “คนบ้า” จิตใจสู้ไม่ไหว แต่ร่างกายยังคงอยู่ ......... เพื่อนของอาไม่ได้บ้า แต่จิตใจของเค้าปกป้องตัวเองไว้ ทำให้เค้าจำพ่อของเค้าไม่ได้ จนถึงทุกวันนี้ เกือบ 20 ปี เค้าก็ไม่สามารถจำพ่อของเค้าเองได้”
สิ่งที่ผมได้ยิน ถึงแม้อาหมอจะพูดโดยอ้อมๆ ให้รู้ว่า ถ้านัญฟื้นขึ้นมา นัญอาจจะจำผมไม่ได้
ถูกต้องแล้ว เพราะผมทำกับเค้าเอาไว้มากเกินไป
อาหมอไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่ว่าอะไรผมทั้งสิ้น ไม่แม้กระทั่งพูดขึ้นมาซักนิดว่า นัญอาจจะตื่นขึ้นมาแล้วจำผมก็ได้ มันอาจจะไม่ใช่เคสแบบที่อาหมอเล่าให้ฟัง แต่เปล่าเลย ผมรู้ว่าอาหมอทราบดี เพราะคงคุยกันแล้วในกลุ่มของผู้ใหญ่ ว่าทำไมนัญถึงต้องมาอยู่สภาพเช่นนี้
ผมไหว้อาหมอ ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง
ไม่เป็นไร ...........
ถ้าฟื้นขึ้นมาแล้ว จำผมไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ถ้ามีโอกาส ขอแค่ซักครั้ง ผมจะเริ่มใหม่ และยกชีวิตทั้งชีวิตนี้เพื่อให้คนที่ผมรัก
............. วันนี้วันเสาร์ ............. คนที่ร้านน่าจะเยอะ
ผมแหงนมองดูบนฟ้า ท้องฟ้าในกรุงเทพฯ ที่แทบจะไม่มีดาวให้เห็นซักดวง วันนี้ต้นเดือน วันที่ 1 ธันวา วันนี้มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่าพระจันทร์ยิ้ม ผมยิ้มให้กับพระจันทร์นั้น เพราะมันน่ารัก และสวยงามเสมอ พร้อมกับจับมือถือออกมา และถ่ายรูปเก็บเอาไว้
“พี่เก็บเอาไว้ให้นัญนะ ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ พี่จะให้นัญนะครับ”
ผมยิ้มให้กับตัวเอง เดินไปช้าๆ ออกจากโรงพยาบาล
ใช่แล้ว นัญยังคงไม่ตื่น เมื่อเช้าผมสังเกตเห็นมีเค๊กก้อนหนึ่งวางอยู่บนหัวเตียง ใช่ วันนี้วันเกิดนัญ เค๊กก้อนนั้น ก็คงจะเป็นของน้าตา ส่วนผมหรอ รอให้นัญฟื้นขึ้นมาก่อน ผมคงจะสวมให้ ในวันที่พร้อม
เงินเก็บพอมีบ้าง ผมยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้ง ก่อนที่จะเก็บกล่องแหวนเข้าไปในกระเป๋าเช่นเดิม
...
[/color]