Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 48] 26/11/2020  (อ่าน 21186 ครั้ง)

ออฟไลน์ Icegemini04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 22] 29/11/2019
«ตอบ #60 เมื่อ29-11-2019 15:33:14 »

 :z3: :z3:

ทำอะไรรรรรรร. อยากรู้ด้วยคนนนนน

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 22] 29/11/2019
«ตอบ #61 เมื่อ29-11-2019 17:15:13 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 22] 29/11/2019
«ตอบ #62 เมื่อ29-11-2019 20:40:22 »

อ้าว เกิดอะไรขึ้น

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 22] 29/11/2019
«ตอบ #63 เมื่อ29-11-2019 21:19:52 »

ติดมากกอีพี่คงแบบเฟลสุดดด น้องบอกจะส่งครีมมาให้ ก็คงไม่คิดว่าจะส่งมาเยอะจัด แบบหน้าแตกไปเลยมั่นมานานมากว่าหล่อ เจอน้องส่งไปเป็นกล่องใหญ่คงประโคมสุดตัวกันเลยทีเดียว

อยากอ่านต่อแล้ววว ติดมากค่ะ สนุกมากเลย ;)


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 22] 29/11/2019
«ตอบ #64 เมื่อ29-11-2019 23:39:41 »

ไปทำอะไรมาหล่ะอยากรู้ๆ

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 23] 1/12/2019
«ตอบ #65 เมื่อ01-12-2019 12:31:59 »

23

หลี่คุนรู้สึกเหมือนโดนดูถูก สายตาของผู้ฝึกยุทธ์อย่างเขาย่อมเฉียบคมกว่าคนทั่วไป ใบหน้าของจางอี้หลงแม้จะหล่อเหลาเยาว์วัยไร้ริ้วรอยแต่มีบางจุดไม่เป็นธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ผลของขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิที่เขาส่งไปให้ด้วยความห่วงใยเลย
 
“ขึ้ผึ้งที่ผมส่งไปให้ทุกเดือน พี่ไม่ได้ใช้มันเลยเหรอครับ”
 
จางอี้หลงทำหน้าไม่ถูก เขาอุตส่าห์เอาใบหน้าที่ฟื้นฟูมาอย่างดีให้คนตรงหน้าดูถึงเมืองไทย หวังจะล้างคำพูดที่ว่าตัวเองหน้าแก่กว่าวัย ทำไมกลับโดนโกรธเสียได้
 
ที่จริงหลังจากที่จางอี้หลงได้รับขี้ผึ้งกระปุกแรกก็ได้ทดลองใช้อยู่หลายวันและเห็นผลว่าผิวหน้าดีขึ้นจนไม่น่าเชื่อ เขากังวลว่าสินค้าตัวนี้ของหลี่คุนอาจจะผสมสารออกฤทธิ์ต้องห้ามบางอย่าง จึงเอาขี้ผึ้งที่เหลือส่งไปยังห้องปฏิบัติการของบริษัทในเครือให้ตรวจสอบดู หากเป็นเช่นนั้นจริงเขาจะได้รีบเตือนให้หลี่คุนหยุดขายก่อนที่จะเกิดอันตรายกับผู้ใช้จนเป็นเรื่องใหญ่โต โชคดีที่ไม่พบสารอันตรายใดๆ แต่การที่ห้องแล็บไม่สามารถวิเคราะห์สูตรการผลิตที่แน่ชัดออกมาได้ทั้งๆ ที่มีเครื่องมือทันสมัยเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศทำให้ชายหนุ่มแปลกใจเป็นอย่างมาก แม้จะทำการทดสอบจนใช้ตัวอย่างไปจนหมดก็ทราบเพียงคร่าวๆ ว่ามีส่วนประกอบหลักเป็นพืชสมุนไพรจำนวนหนึ่งเท่านั้น
 
จนเมื่อได้รับขี้ผึ้งกระปุกที่สอง จางอี้หลงจึงตัดสินใจส่งไปที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ภายนอกที่เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรโดยเฉพาะ ไม่คาดว่าสถาบันแห่งนี้ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จในการถอดสูตรขี้ผึ้งของหลี่คุน นักวิจัยสามารถระบุชื่อสมุนไพรออกมาได้แปดชนิดด้วยการวิเคราะห์สารประกอบธรรมชาติที่ซับซ้อนออกมาเทียบกับฐานข้อมูล แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถหาสัดส่วนที่สมดุลของสมุนไพรแต่ละตัวได้ ตัวอย่างเลียนแบบที่ดีที่สุดที่พวกเขาทำได้มีประสิทธิภาพไม่ถึงหนึ่งในสี่ของของจริง นี่เป็นเรื่องที่นักวิจัยขบคิดเท่าใดก็ยังไม่เข้าใจ
 
ในระหว่างนั้นจางอี้หลงก็เข้าไปฟื้นฟูสภาพผิวที่คลินิกที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมือง เขาเสียความมั่นใจเรื่องหน้าตาของตัวเองไปไม่น้อยจนต้องทำเรื่องที่แต่ก่อนไม่เคยคิดสนใจจะทำ งานหนักที่ทำมาตลอดตั้งแต่ตอนวัยรุ่นประกอบกับการพักผ่อนที่ไม่ค่อยเพียงพอเริ่มส่งผลต่อใบหน้าจริงๆ หลี่คุนอายุน้อยกว่าเขาถึงหกเจ็ดปีแถมยังผิวพรรณดีดูอ่อนกว่าวัยอย่างไม่น่าเชื่อทำให้ความแตกต่างระหว่างกันมีมากเกินไป แม้ว่าขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิจะดูว่าให้ผลดีแต่ยาทาภายนอกเช่นนี้คงต้องใช้เวลาเป็นปีๆ จางอี้หลงทั้งใจร้อนทั้งเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์และการแพทย์ปัจจุบันมากกว่า เขาเลือกคอร์สราคาสูงตามที่แพทย์แนะนำว่าช่วยลดริ้วรอยและทำให้หน้าใส มีทั้งฉีดโบท็อกซ์ ร้อยไหม ฟิลเลอร์ เมโสแฟต และอีกหลายอย่างที่จำไม่ได้  รู้แต่ว่าต้องไปนอนเจ็บตัวอยู่หลายครั้งกว่าจะครบคอร์ส เขาเกลียดเข็มพวกนั้นจริงๆ
 
จางอี้หลงไม่ใช่คนที่ใส่ใจเรื่องรูปร่างหน้าตาของตัวเองเท่าใดนัก แต่ในเมื่อหลี่คุนหล่อเหลาไร้ที่ติเช่นนี้เขาก็ควรทำตัวให้คู่ควรเสียหน่อย เรื่องเงินไม่ใช่ประเด็น แต่เขายอมเจ็บตัวและเสียเวลาจนสามารถลบช่องว่างระหว่างวัยได้ขนาดนี้ ทำไมคนตรงหน้าคำชมสักนิดยังไม่มีแล้วยังดูไม่พอใจอีก ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างจนไม่อยากตอบอะไรออกไป
 
“มาให้ผมดูหน่อย พี่ก้มลงอีกนิดได้ไหมครับ”
 
หลี่คุนพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบลงกว่าเดิมและเจ้อไปด้วยความสนใจ จางอี้หลงสูงกว่าเขาพอประมาณ หลี่คุนจึงเอื้อมมือไปประคองใบหน้าของอีกฝ่ายให้ก้มลงต่ำเพื่อจะสังเกตให้ชัดเจน ปราณอำนาจที่แผ่ออกมาในระยะประชิดทำให้เขาต้องโคจรพลังช้าๆ ทั่วร่างเพื่อไม่ให้ถูกกดดันและดึงดูดจนเสียสมาธิ หลี่คุนเคลื่อนปราณไปที่ปลายนิ้วก่อนจะลูบไล้เบาๆ ไปทั่วหน้าของจางอี้หลงเพื่อตรวจสอบความผิดปกติที่เห็นในตอนแรก
 
จางอี้หลงเกร็งตัวเล็กน้อย เขาไม่เคยมีโอกาสมองหน้าอีกฝ่ายใกล้ๆ อย่างนี้มาก่อน ใบหน้างดงามทว่าหล่อเหลาดูจริงจังกับดวงตาเรียวยาวส่องประกายสงสัยใคร่รู้นั้นดูดึงดูดจนเขาเผลอเอนหน้าเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
 
“พอแล้วครับ ไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้”
 
หลี่คุนร้องขึ้นมาก่อนจะถอยหลังออกในทันที ปราณอำนาจกลิ่นอายบุรุษและพลังหยางที่แผ่ออกมาในระยะประชิดสร้างความกดดันจนเขาต้องผละออกทั้งๆ ที่โคจรพลังต้านไว้แล้ว พลังหยางงั้นหรือ? ก่อนหน้านี้เขามัวแต่สนใจใบหน้าของจางอี้หลงจนไม่ได้สังเกตว่าบุรุษผู้นี้มีมีพลังหยางที่เข้มข้นรุนแรงจนน่าตกตะลึงขนาดไหน จากสัมผัสเมื่อครู่เขารู้สึกราวกับพลังหยางของอีกฝ่ายพยายามทะลุทะลวงเข้าสู่ร่างกายเขาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปิดช่องลมปราณของเคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารีไว้ แต่ก่อนเขาไม่ชอบปราณอำนาจของอีกฝ่ายเลยไม่เคยได้ใกล้ชิดเกินความจำเป็นจนพลาดเรื่องนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
 
“ตกลงหน้าพี่เป็นยังไงครับ มันดูไม่ดีเหรอ พี่ว่าพี่ไม่ได้ดูแก่ก่อนวัยอย่างที่น้องคุนบอกแล้วนะ”
 
จางอี้หลงที่ได้สติแล้วเช่นกันถามคำถามที่คาใจออกมา
 
“มันก็ใช่ครับ แต่สิ่งที่พี่ทำมันเกินไป ร่างกายนี้ล้วนเป็นสิ่งที่บิดามารดาให้มา เราควรจะต้องทะนุถนอมให้ดี พี่ไปทำอะไรมากันแน่ ตรงหน้าผากกับหางตาเหมือนถูกพิษจนกล้ามเนื้อเป็นอัมพาตเล็กน้อย ตรงร่องแก้มมีสิ่งแปลกปลอมแทรกอยู่ใต้ผิว ถ้าพี่ตั้งใจทำมันเพื่อจะได้ดูหนุ่ม ผมว่ามันน่าจะได้ผลแค่ชั่วคราวเท่านั้น แล้วก็อาจมีผลเสียอย่างอื่นผมยังไม่แน่ใจ ถ้าทำตอนอายุมากๆ ก็พอเข้าใจได้ แต่พี่ยังหนุ่มยังแน่นมันมีวิธีอื่นที่เหมาะสมกว่านะครับ”
 
หลี่คุนใช้ลมปราณตรวจสอบจนเข้าใจขึ้นมาบ้าง นี่มันคล้ายคลึงกับโอสถพรรคมารที่ใช้ในการแปลงโฉมอยู่ไม่น้อย เมื่อดูใกล้ๆ ยิ่งเห็นความไม่เป็นธรรมชาติได้ชัด เสียดายใบหน้าหล่อเหลาคมสันนี้ยิ่งนัก
 
จางอี้หลงก็ตกใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมาเหมือนกัน แต่เมื่อคิดอีกทีการที่ใบหน้าเขาดีขึ้นขนาดนี้ภายในเวลาไม่นาน เด็กฉลาดอย่างหลี่คุนต้องเดาได้ว่าเขาไปฉีดโบท็อกซ์เติมฟิลเลอร์อะไรพวกนี้มาอยู่แล้ว โบท็อกซ์เองก็พัฒนามาจากสารพิษ สิ่งที่พูดมาก็ไม่ผิด
 
“พี่ก็แค่ไปทำคอร์สฟื้นฟูผิวหน้ามาครับ แต่ถ้าน้องคุนไม่ชอบ ทีหลังพี่จะได้ไม่ไปอีก เห็นหมอว่าไม่เกินปีมันก็ค่อยๆ กลับมาเหมือนเดิมแล้ว”
 
จางอี้หลงตอบ นึกดีใจที่ต่อไปไม่ต้องเสียเวลาไปนอนเจ็บตัวให้หมอจิ้มหน้าอีกแล้ว ลาแล้วลาลับนะไอเข็มบ้า เขาไม่ใช่ดาราไม่จำเป็นต้องหล่อขนาดนั้นก็ได้
 
“ช้าเกินไปครับ ของแบบนี้ทิ้งไว้ในร่างกายนานๆ ไม่น่าดี พี่มาไทยเที่ยวนี้พอมีเวลาไหมครับ ผมสามารถขับพิษออกมาให้พี่ได้นะครับถ้าพี่ไว้ใจ แต่ต้องไปทำที่คอนโดผมนะเพราะต้องใช้ยากับเครื่องมือบางอย่าง”
 
“ไปครับไป เที่ยวนี้พี่มาเมืองไทยก็จะมาพักยาวๆ นี่แหละ ทำงานมากเกินไปก็ไม่ดีนะ เดี๋ยวหน้าแก่ไปกว่านี้”
 
“งั้นไปเลยไหมครับ คนมารุมอะไรกันตรงนี้ตั้งมากมาย”
 
หลี่คุนบ่นเมื่อมองไปรอบๆ แล้วพบคนกลุ่มใหญ่จ้องมองมาที่พวกเขาทั้งคู่คล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ ก็แค่คนสองคนยืนคุยจับหน้าจับตากันนิดหน่อยไม่รู้จะมองทำไม เขายิ่งไม่อยากเป็นเป้าสายตาจึงรีบจับมืออีกฝ่ายพาเดินออกไปตรงจุดที่คนขับรถรออยู่ จางอี้หลงสะดุ้งเล็กน้อยอีกมือคว้ากระเป๋าเดินทางใบย่อมลากตามไปทันที ในใจนึกว่าในโชคร้ายยังมีโชคดี ถึงจะไม่ได้รับคำชมให้สมกับความพยายาม แต่ก็ได้บุกไปถึงคอนโดน้องคุนเลยนะ ยิ่งตื่นเต้นพลังหยางเข้มข้นก็ทวีความรุนแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ หลี่คุนถึงได้เปลี่ยนมาจับมือแบบประสานนิ้วแถมยังผ่อนฝีเท้ารอจนทั้งคู่ตัวเกือบติดกัน จางอี้หลงใจสั่นเล็กน้อยกับความใกล้ชิดนี้ นี่คนข้างๆ เริ่มเปิดใจแล้วใช่ไหมถึงได้มาสัมผัสแนบแน่นไม่มีทีท่าห่างเหินเหมือนเดิม

.... ต่อตรงนี้....

เมื่อเห็นคอนโดขนาดกลางที่หลี่คุนพักจางอี้หลงก็รู้สึกว่าไม่เลวเลยแม้จะไม่หรูหราอะไร ระบบความปลอดภัยนับว่าใช้ได้ ผู้คนไม่พลุกพล่านจนเกินไป การดูแลของส่วนกลางก็ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี พอเข้าไปในห้องก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ เจือกลิ่นสมุนไพรจางๆ ชวนให้นึกถึงผู้เป็นเจ้าของ พื้นที่ในห้องไม่ใหญ่มากในขณะที่ข้าวของดูออกจะเยอะไปเสียหน่อย แต่พอหลี่คุนเปิดประตูด้านข้างก็พบว่ามันทะลุไปที่คอนโดอีกห้องหนึ่งที่ใหญ่กว่าห้องนี้มาก
 
“ของรกหน่อยนะครับ ผมเพิ่งโอนคอนโดห้องติดกันและทำประตูเชื่อมเสร็จ ยังไม่ได้แบ่งของจากห้องนี้ไป พี่อี้หลงเอาเครื่องดื่มอะไรครับ น้ำเย็น น้ำอัดลม หรือน้ำชาก็มี”
 
“ชาก็ได้ครับ”
 
หลี่คุนกุลีกุจอไปทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี จางอี้หลงนับว่าเป็นแขกคนแรกที่มาเยือนถ้าไม่นับตินและเพื่อนของซูเอ๋อร์ที่สนิทกัน ไม่นานชาร้อนกาหนึ่งก็ถูกยกมาวางพร้อมกับจอกชาใบเล็กสองใบ
 
“ขออภัยที่ไม่มีชาดีมาต้อนรับ ต้องขายหน้าพี่แล้ว”
 
หลี่คุนพูดออกตัวขณะที่รินชาส่งให้กับแขกอย่างเป็นพิธีรีตองด้วยท่วงท่าราวกับคุณชายตระกูลสูง จางอี้หลงรับจอกชามาจิบอย่างประหลาดใจ ใบชาคุณภาพไม่เลวเลยถูกชงอย่างบรรจงรินลงในจอกชาเนื้อดี นับเป็นความพิถีพิถันแบบดั้งเดิมของจีนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอจากเด็กหนุ่มอายุยี่สิบเศษเช่นนี้ ดูเป็นคนจีนชั้นสูงยิ่งกว่าเขาเสียอีก ทีแรกยังคิดว่าอีกฝ่ายจะเอาชาบรรจุขวดแช่เย็นแบบที่วัยรุ่นดื่มกันมาให้
 
“นี่ก็ดีมากแล้ว ไม่รู้ว่าน้องคุนชอบดื่มชา ไว้วันหลังพี่จะเอาชาดีๆ จากเมืองจีนมาฝาก”
 
การที่ได้รู้จักความชอบเล็กๆ น้อยๆ ของคนที่ตัวเองสนใจมันรู้สึกดีจริงๆ
 
“ได้ยินว่าชาดีจริงๆ เดี๋ยวนี้ราคาสูงมาก พี่ไม่ต้องลำบากหรอกครับ งั้นถ้าหายเหนื่อยแล้ว ผมจะตรวจดูใบหน้าพี่ให้ละเอียดแล้วเริ่มรักษาเลยนะครับ พี่จะได้ไม่เสียเวลามาก”
 
ยังไม่ทันที่จะได้เริ่มกระบวนการรักษา ซูกัสในชุดนักเรียนมัธยมกางเกงน้ำเงินก็เปิดประตูห้องเข้ามาอย่างร่าเริง
 
“พี่คุน ผมกลับมาแล้ว อ้าว มีแขก พี่ เอ่อ พี่อี้หลงใช่เปล่าครับ ผมซูกัสเอง ที่เคยเจอกันตอนหลังละครไง”
 
เด็กหนุ่มยกมือไหว้ชายหนุ่มร่างสูงที่เจอในห้องพี่ชายอย่างนอบน้อมแล้วส่งยิ้มหวานจนตาเป็นรูปจันทร์เสี้ยว จางอี้หลงเห็นแล้วก็อดรู้สึกดีด้วยไม่ได้ คนพี่หล่อเหลาแฝงความสูงส่งน่าค้นหา คนน้องน่ารักเปิดเผยจริงใจ ช่างเป็นคู่พี่น้องที่ชวนให้ใจละลายเสียจริงๆ
 
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนสิ หรือจะอาบน้ำเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่ต้องขับพิษให้พี่อี้หลงใช้เวลาซักพัก ถ้าหิวก็หาอะไรกินไปก่อนนะ”
 
“ขับพิษแบบเดียวกับที่พี่ทำให้ผมตอนนั้นใช่ไหม เดี๋ยวผมอยู่ช่วยด้วย งั้นผมไปเตรียมชุดฝังเข็มมาให้เลยนะครับ”
 
ซูกัสวิ่งหายไปอีกห้องหนึ่งขณะที่จางอี้หลงกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก
 
“ฝังเข็ม!!!?”
 
“ใช่ครับ เดี๋ยวผมจะฝังเข็มบนหน้าพี่ ไม่ต้องห่วงนะครับ ถึงผมไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ แต่เรื่องฝังเข็มนี่ หมอภีมที่เป็นผู้ถือหุ้นอีกคนของฉางอันโอสถรับประกันให้ได้เลย พี่ไปนอนตรงโซฟาเลยครับ เดี๋ยวซูเอ๋อร์เอาเข็มมาแล้วจะได้เริ่มฝังเลย”
 
“ต้องฝังเยอะไหมครับน้องคุน” เสียงสั่นเล็กน้อย
 
“แค่สิบห้าสิบหกเล่มก็น่าจะพอครับ เดี๋ยวผมดูอีกที”
 
พอซูกัสเอาเข็มที่ฆ่าเชื้อเสร็จแล้วมาให้ จางอี้หลงก็ต้องขึ้นไปนอนให้หลี่คุนเอาเข็มฝังลงไปบนหน้าที่ละเล่มๆ อย่างตัวเกร็งไม่กล้ากะดุกกะดิก ในใจคร่ำครวญว่าอยู่ดีไม่ว่าดี ไปให้หมอที่เมืองจีนเอาเข็มฉีดโน่นฉีดนี้เข้าใบหน้าไม่รู้กี่รอบเพื่อน้องคุน กลับต้องมาโดนน้องคุนฝังเข็มสิบกว่าเล่มเพื่อแก้สิ่งที่ทำไป
 
หลังจากฝังเข็มจนครบทุกตำแหน่งหลี่คุนก็บอกให้จางอี้หลงนอนนิ่งๆ เพื่อให้เข็มค่อยๆ ขับสิ่งแปลกปลอมออกมา จากนั้นก็ขอตัวไปทำงานโดยให้น้องชายคอยเฝ้าดูอาการไว้ เด็กช่างพูดอย่างซูกัสมีหรือจะเฝ้าเฉยๆ เขาสรรหาเรื่องราวต่างๆ มาเล่าให้ฟังได้ไม่หยุดถึงอีกฝ่ายจะต้องทำหน้านิ่งตอบอะไรกลับไม่ได้ก็ตาม
 
“พี่อี้หลงเกิดที่เมืองจีนเหรอครับ ทำไมพูดไทยชัดจัง แล้วมารู้จักพี่คุนได้ยังไง พี่รู้เปล่าว่าพี่เป็นคนแรกเลยนะนอกจากเพื่อนสนิทของพี่คุนกับเพื่อนผมที่พี่คุนให้เข้ามาที่ห้อง สงสัยเพราะพี่คุนชอบกู่ฉินที่พี่ให้มาก เล่นเกือบทุกวันเลย เห็นว่าแพงมากเลยใช่เปล่าครับ ผมชอบตอนที่พี่เป่าขลุ่ยคู่กับกู่ฉินของพี่คุนจังเลย พี่คุนบอกว่าเพิ่งเคยได้ยินพี่อี้หลงเล่นวันนั้นเป็นครั้งแรก ผมบอกเพื่อนก็ไม่มีใครเชื่อนะครับ เข้าคู่กันอย่างนั้นแล้วบอกว่าไม่เคยซ้อมด้วยกันจะเทพเกินไปแล้ว”
 
คนฟังได้ยินแล้วต้องเกร็งหน้าแทบแย่ อยากจะยิ้มก็ยิ้มไม่ได้ ได้แต่นอนฟังต่อไป
 
“พี่ได้กลิ่นยาไหมครับ นี่พี่คุนกำลังฝึกเคี่ยวยาอยู่ในห้องอักษร ไม่รู้ทำไมพี่เค้าถึงเรียกว่าห้องอักษร ในห้องนั้นก็ไม่เห็นมีหนังสืออะไรเท่าไหร่ เหมือนเป็นห้องทำงานมากกว่า พี่คุนเขาชอบใช้พู่กันจดงานเป็นภาษาจีนอะไรไม่รู้ผมอ่านไม่ออก แล้วก็มีพวกขวดใส่สมุนไพรกับเตาไฟฟ้าเล็กๆ ไว้ฝึกเคี่ยวยาด้วย พอเสร็จแต่ละทีดูเหนื่อยจนหมดแรง แต่ถ้าทำขายจริงๆ อย่างขี้ผึ้งโอสถ พี่คุนจะไปทำที่เคาเตอร์ครัวครับ เพราะต้องใช้หม้อใบใหญ่ กวนกันเมื่อยมือเลย ยังดีที่ทำแค่เดือนละครั้ง เสร็จแล้วก็เกณฑ์ผมกับเพื่อนมาช่วยกันแบ่งใส่กระปุก ผนึกครั่ง แล้วก็แพ็คใส่กล่องส่งให้บริษัทขนส่ง แต่ค่าจ้างดีครับ ไม่บ่น ฮ่าๆ”
 
ถ้าไม่ถูกเข็มปักหน้าอยู่จางอี้หลงคงอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจไปแล้ว ไม่คิดว่าขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิที่สร้างความลำบากให้นักวิจัยชั้นแนวหน้าของจีนจนแทบเผาตำราทิ้ง จะเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนที่กวนเองบรรจุเองง่ายๆ เหมือนครีมเถื่อน การค้าของฉางอันโอสถที่พวกเขาคุยกันมักเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการตลาด หลี่คุนไม่เคยพูดถึงการผลิตจนเขาคิดว่าเป็นการสั่งทำหรือไม่ก็รับมาจากโรงงานยาอื่น ไม่รู้ได้สูตรมาอย่างไรแน่
 
ซูกัสเล่าเรื่องของหลี่คุนออกมาไม่หยุดแต่คนฟังก็ยังฟังอย่างตั้งใจไม่มีเบื่อ เด็กหนุ่มนึกในใจว่าพี่ชายคนนี้เป็นผู้ฟังที่ดีเสียจริงๆ เขาเล่าต่อไปได้สักพักหลี่คุนก็เปิดประตูห้องอักษรเดินออกมาด้วยท่าทางหมดแรง หลี่คุนเข้ามาตรวจสอบสภาพใบหน้าของจางอี้หลงแล้วก็บอกว่ายังต้องทิ้งไว้อีกพักใหญ่
 
“พี่อี้หลง ผมขอลองจับหน้าท้องพี่หน่อยได้ไหม”
 
อาการเด็ดแอร์จากคำขอของหลี่คุนเกิดขึ้นในฉับพลัน อะไร? ยังไง? ทำไม? จางอี้หลงอยากรู้สาเหตุอย่างที่สุดแต่จนใจที่ยังขยับปากไม่ได้ ไม่รู้ว่าการจับหน้าท้องเกี่ยวอะไรกับการรักษาหน้า โชคดีที่เด็กช่างพูดอย่างซูกัสถามแทนให้ พร้อมทั้งเดาคำตอบให้เสร็จสรรพ
 
“เอ๋า แล้วจะไปจับของพี่เขาทำไมครับ อ๋อ ผมรู้แล้ว พี่คุนอยากรู้ว่าพี่อี้หลงมีซิกส์แพคหรือเปล่าใช่ไหมครับ ถ้ามีจะได้ถามเคล็ดลับ ผมบอกพี่แล้วว่าเอาแต่รำมวยจีนบนดาดฟ้าน่ะกล้ามไม่ขึ้นหรอก ต้องเข้ายิม ผมก็อยากมีมั่ง ไอกันดั้มก็ชวนไปอยู่ แต่พี่แฮ็คส์บอกว่าไม่ต้องไป งั้นพี่คุนก็เปิดดูเลยสิครับ พี่อี้หลงไม่ว่าอะไรหรอก ใช่ไหมครับพี่”
 
จางอี้หลงฟังเด็กหนุ่มที่พูดเองเออเองแล้วก็กลุ้มใจ เขาจะโต้แย้งอะไรได้ในเมื่อถูกเข็มปักหน้าแบบนี้ ว่าแต่ให้น้องคุนจับซิกส์แพคตัวเองนี่มันจะดีจริงๆ เหรอ ถึงจะมั่นใจที่เทรนเนอร์ชมอยู่ก็เถอะ
 
จางอี้หลงลังเลแต่หลี่คุนกลับรวบรัดชัดเจนยิ่งนัก เขาเลิกชายเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นทันทีจนเห็นกล้ามหน้าท้องหกลูกคมชัดที่มีไรขนเรียงตัวสวยไล่ลงจากสะดือหายไปในขอบกางเกงก่อนจะเอามือลูบไล้ไปมาอย่างช้าๆ ใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าค่อยๆ สดชื่นขึ้น หลี่คุนไม่รีบร้อน เขาวนมือไปเรื่อยๆ พร้อมกับค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงที่ละนิดๆ จนแทบดูไม่ออก ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากถามในสิ่งที่ดูไม่เกี่ยวข้องขึ้นมา
 
“ซูเอ๋อร์ โทรศัพท์ใหม่ของน้อง ที่บอกว่าเติมไฟได้เร็วๆ เขาเรียกว่าฟังก์ชันอะไรนะ”
 
“อ๋อ เค้าเรียกควิกชาร์จ สะดวกมากเลยนะ เสียบแป๊บเดียวก็เต็มแล้ว”
 
“อืม สะดวกจริงๆ ด้วย”
 
จางอี้หลงฟังอย่างไม่เข้าใจ ทำไมไม่ถามว่าซิกส์แพ็คที่เขาภูมิใจนี้ต้องทำยังไงถึงได้มา เขาจะได้เล่าให้ฟังว่าต้องลำบากอดทนฝึกซ้อมมีวินัยในตัวเองขนาดไหน แต่ที่แน่ๆ มือขาวๆ เรียวๆ ที่ลูบหน้าท้องเขาอยู่นี่มันให้ความรู้สึกดีเหลือเกิน ตอนนี้นอกจากจะต้องเกร็งใบหน้าไม่ให้ขยับแล้วยังต้องบังคับส่วนล่างไม่ให้ขยายด้วย โชคดีที่เขาไม่ต้องทรมานอยู่นาน หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวใบหน้าของหลี่คุนก็เจือสีแดงระเรื่อดูเปล่งปลั่งสดใสเต็มที่ เขาเอามือออกท่ามกลางความโล่งใจปนเสียดายของอีกฝ่าย แล้วบอกว่าจะกลับไปทำงานอีกรอบให้ซูกัสอยู่เป็นเพื่อนจางอี้หลงต่อ
 
ตอนที่จางอี้หลงส่องกระจกหลังจากที่หลี่คุนถอนเข็มออกจนหมดเขายังไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าใบหน้าของเขาแทบจะกลับไปเหมือนเดิมก่อนเข้าคอร์สฟื้นฟูยกกระชับผิวหน้าได้จริงๆ ฝีมือการฝังเข็มของหลี่คุนจะน่าทึ่งเกินไปแล้ว แต่คิดอีกทีชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดแทบหลั่งน้ำตาให้กับใบหน้าวัยสามสิบกว่าของตัวเอง ความเจ็บตัวการเสียเวลาและเงินหลายหมื่นหยวนที่ใช้ไปหายวับไปในพริบตา
 
“พี่อี้หลงอย่าใจร้อนครับ ค่อยๆ ทาขี้ผึ้งที่ผมให้ไปทุกวัน ไม่น่าเกินสามเดือนก็หล่อกว่าเดิมแล้ว วันนี้เสร็จแล้วครับ พี่จะกลับหรือยัง ผมว่าเราออกไปหาอะไรทานกันแล้วพี่ค่อยออกไปดีไหมครับ พี่พักโรงแรมไหน อยู่ไกลหรือเปล่า”
 
หลี่คุนที่แอบดูดซับพลังหยางของอีกฝ่ายไปแล้วเป็นรอบที่สี่มองจางอี้หลงอย่างอาลัยอาวรณ์ พี่อี้หลงนี่ดีจริงๆ นะ เหมือนฟังก์ชันควิกชาร์จในโทรศัพท์ซูเอ๋อร์เลย แค่ลูบท้องแป๊บเดียวก็เติมกำลังภายในบุปผาวารีขั้นที่หนึ่งของเขาได้เต็มปรี่แล้ว แค่ไม่กี่ชั่วโมงวันนี้เขาก็ทดลองฝึกฝนการหลอมยาระดับปฐพีไปได้หลายรอบ พอได้ฝึกต่อเนื่องแบบนี้ก็ก้าวหน้ากว่าตอนที่ต้องเว้นช่วงเป็นวันมาก
 
“พี่ยังไม่ได้จองไว้เลยครับ ไม่รู้ว่าโรงแรมแถวนี้แพงเปล่า”
 
“อ้าว แล้วทุกทีพี่พักที่ไหนครับ”
 
“ถ้าพี่มาทำงาน บริษัทเขาจะเตรียมให้ครับ แต่เที่ยวนี้พี่มาพักผ่อนเลยต้องหาเอง ลืมไปเลย ไม่รู้โรงแรมจะเต็มหมดยัง” ต้องได้ผลสิ น้องคุนเป็นคนมีน้ำใจ
 
“งั้นคืนนี้พี่พักห้องผมไปก่อนไหมครับ อาจจะไม่สะดวกเหมือนอยู่โรงแรม แต่ก็มีห้องนอนว่างตรงที่เพิ่งทำใหม่” อยู่ซักคืนเถอะพี่อี้หลง หลอมยานี่มันเปลืองลมปราณจริงๆ
 
“แหม พี่เกรงใจจังเลย น้องคุนเปิดเป็นเกสต์เฮาส์ให้เฉพาะพี่ได้ไหมครับ พี่ขอนอนหลายคืนหน่อย จะได้ประหยัดเงิน” จริงๆ นอนห้องเดียวกับน้องคุนเลยก็ได้นะ จะได้ยิ่งประหยัดแอร์
 
“พี่จะอยู่หลายๆ คืนจริงเหรอครับ อย่าหลอกผมนะ อยู่นานๆ เลยครับพี่อี้หลง ไม่คิดเงิน แต่ขอดูหน้าท้องพี่อีกเรื่อยๆ นะครับ” ขอให้พี่อี้หลงอยู่เป็นเดือนเลยได้ไหม ใช้งานดีที่สุดแล้วคนนี้
 
“พี่น้องกัน ซิกส์แพคพี่ก็เหมือนของน้องคุนอยู่แล้ว งั้นพี่ไม่เกรงใจล่ะ ขอนอนกับน้องคุนยาวๆ เลยนะ” แค่วันแรกก็โดนน้องคุนลูบซิกส์แพคแล้ว วันต่อๆ ไปจะขนาดไหนนี่
 
“นั่นสิครับ พี่น้องกัน ไม่มีอะไรต้องเกรงใจ”
 
“ฮ่าๆๆๆๆ”
 
เสียงหัวเราะดังประสานกันอย่างสมใจในเป้าหมายแอบแฝงด้วยกันทั้งคู่


##############

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 23] 1/12/2019
«ตอบ #66 เมื่อ01-12-2019 20:44:16 »

5555 อีพี่คิดไม่ถึงงง


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ Icegemini04

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 23] 1/12/2019
«ตอบ #67 เมื่อ01-12-2019 21:47:17 »

5555555 ต่างคนต่างร้าย มีแผนการของตัวเองงง

 :laugh: :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 23] 1/12/2019
«ตอบ #68 เมื่อ01-12-2019 22:52:14 »

แหม น้องคุน ไปหาพลังหยางซะทั่ว เสียชื่อว่าชอบสกินชิฟ
พลาดพี่อี้หลงไปได้

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 24] 3/12/2019
«ตอบ #69 เมื่อ03-12-2019 14:05:21 »

24


จางอี้หลงมาพักด้วยแค่ไม่กี่วันแต่ก็ช่วยทำให้การฝึกหลอมรวมโอสถระดับปฐพีของหลี่คุนก้าวหน้ารวดเร็วราวกับติดปีก หลี่คุนนึกชื่นชมร่างกายที่เปี่ยมไปด้วยพลังหยางอันเข้มข้นและบริสุทธิ์ยิ่งนัก แถมเจ้าตัวยังเหมือนรู้ความ พอเขาหลอมยาจนพลังหมดเมื่อใด เปิดประตูออกมาก็จะพบจางอี้หลงอยู่ตรงหน้าห้องแล้ว คนผู้นี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรทำถึงได้ชอบถอดเสื้อฝึกร่างกายด้วยท่าร่างที่เรียกว่าซิทอัพจนเหงื่อท่วมแผ่กลิ่นอายบุรุษเพศเต็มห้องไปหมด หลี่คุนไม่ได้ว่าอะไร เช่นนี้นับว่าสะดวกยิ่งนัก เขาทำทีขอจับหน้าท้องเหมือนทุกทีเพื่อดูดซับพลังหยางมาเติมเต็มลมปราณที่ว่างเปล่าของตัวเอง ถึงหน้าท้องแข็งๆ เต็มไปด้วยไรขนชุ่มเหงื่อจะไม่น่าสัมผัสเพียงใด แต่ตำแหน่งนี้มีพลังหยางเข้มข้นที่สุดแล้วรองจากจุดต้องห้ามนั้น เขาลูบวนไปวนมาไม่นานก็สามารถกลับไปฝึกหลอมยาต่อได้ทันที
 
เมื่อมีแหล่งพลังให้ใช้อย่างสิ้นเปลืองเขาจึงเริ่มทดลองฟื้นฟูวรยุทธ์ที่ต้องใช้พลังลมปราณมากขึ้น หากวันไหนกลับมาเร็ว เขาจะขึ้นไปที่ดาดฟ้าคอนโดในตอนที่ยังมีแดดอยู่เพราะเป็นช่วงที่ไร้ผู้คน หลี่คุนทำท่ายืนนั่งม้าปล่อยให้ร่างกายอาบแสงอาทิตย์ที่ทรงพลังร้อนแรงสดชื่นซึ่งหาได้ยากยิ่งนักในชาติก่อนจนเต็มที่ หลังจากนั้นก็เริ่มฝึกฝนโดยร่ายรำท่าเท้าท่องคลื่นน้อยเจ็ดสิบสองตำแหน่งพันหมื่นวิถีผันแปรซึ่งเป็นวิชาที่ไม่ต้องใช้กำลังภายในออกมาชุดใหญ่ ในใจนึกเฟ้นหาสรรพวิชามากมายในหัวว่ามีกระบวนท่าใดที่น่าจะเหมาะกับระดับกำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นที่หนึ่งบ้าง
 
ในที่สุดเขาก็ตกลงใจเลือกฝ่ามือเมตตาบารมีของวัดเส้าหลิน วิชานี้ใช้ลมปราณไม่มากนักเพราะไม่ได้มีไว้จู่โจมให้ถึงแก่ชีวิต แต่เน้นไปที่การสยบคู่ต่อสู้ไม่ให้ทำร้ายผู้อื่นมากกว่า ในอดีตวัดเส้าหลินมักจะถ่ายทอดให้กับศิษย์ฆราวาสเพื่อใช้ป้องกันตัวเองจากคนพาล ความทรงจำของหลี่คุนมีท่วงท่าที่ถูกต้องของฝ่ามือเมตตาบารมีอยู่แล้ว เขาเพียงแต่ร่ายรำมันออกมาพร้อมๆ กับโคจรลมปราณไปยังจุดพลังต่างๆ บนร่างกายให้สอดคล้องกัน แต่กระบวนท่าของฝ่ามือนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องสิ้นเปลืองกำลังภายในอยู่บ้าง เพียงไม่นานกำลังที่สะสมไว้ของเขาก็หมดลง
 
หลี่คุนร้องอุทานว่าบัดซบอยู่ในใจ หากเป็นเช่นนี้ในการต่อสู้จริงจะทำเช่นไร เขานึกถึงตอนที่เข้าจู่โจมแฮคส์ที่อยู่ในวงล้อมของบอดี้การ์ด ถึงผู้คนสมัยนี้จะไม่มีวรยุทธ์แล้วแต่ถ้ามากันหลายคนเขาคงจัดการไม่ไหวอยู่ดี หลี่คุนกำลังคิดว่าจะลงไปทำควิกชาร์จกับจางอี้หลงเพื่อกลับมาฝึกฝนท่าฝ่ามืออีกสักรอบก็พอดีมองเห็นเจ้าตัวยืนมองอยู่เงียบๆ ใต้ร่มไม้ที่ห่างไปพอสมควรจึงส่งเสียงทัก
 
“พี่อี้หลง ขึ้นมาทำอะไรบนนี้ครับ”
 
จางอี้หลงเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับสายตาแปลกๆ ที่จับจ้องอย่างผิดสังเกต หลี่คุนเหลือบมองร่างกายตัวเองก็ไม่รู้สึกว่ามีตรงไหนผิดปกติ ก็แค่ชุ่มเหงื่อจนทำให้เสื้อยืดสีขาวบางๆ ที่สวมอยู่แนบติดลำตัวไปบ้าง
 
“เห็นซูกัสบอกว่าน้องคุนชอบขึ้นมารำมวยจีนบนนี้ พี่เลยลองขึ้นมาดู แล้วออกกำลังกลางแดดอย่างนี้ไม่ร้อนแย่เหรอครับ”
 
“ผมชอบอากาศอุ่นๆ ครับ ตอนเด็กๆ ต้องออกมาฝึกกลางอากาศหนาวๆ ทรมานจริงๆ มองไปทางไหนก็ขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาผมเกลียดมากเลย”
 
จางอี้หลงทำท่าสะกิดใจเหมือนจะถามอะไร ก็พอดีกับที่หลี่คุนดึงชายเสื้อออกมาเช็ดเหงื่อที่ใบหน้าจนหน้าท้องเปิดโล่งเสียก่อน พอเห็นอีกฝ่ายดูนิ่งอึ้งดูลอยๆ ไปไม่ได้ถามอะไรขึ้นมาอย่างที่คิด หลี่ที่เช็ดเหงื่อเปิดเสื้อผึ่งลมจนรู้สึกสบายตัวขึ้นบ้างแล้วเลยพูดต่อ
 
“พี่มาก็ดีแล้วครับ ขอผมดูหน้าท้องพี่อีกทีสิครับ”
 
อีกฝ่ายเปิดเสื้อออกให้หลี่คุนลูบคลำอย่างว่าง่าย ในใจยังนึกถึงภาพหน้าท้องขาวเนียนไร้ไขมันส่วนเกินมีลอนกล้ามเนื้อจางๆ ที่เพิ่งเห็นไปเมื่อสักครู่
 
“น้องคุนไม่อยากมีซิกส์แพคชัดๆ แบบนี้บ้างเหรอ พี่ช่วยเทรนให้ได้นะ”
 
หลี่คุนหัวเราะเบาๆ ปากตอบปฏิเสธไป ในยุคสมัยเขาหากไม่นับแม่ทัพขุนพลที่มีเกียรติอยู่บ้าง ก็มีแต่ข้าทาสใช้แรงงานฐานะต่ำต้อยหรือคนเถื่อนนอกกำแพงใหญ่เท่านั้นที่จะมีกล้ามเนื้อเช่นนี้ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ก็เน้นที่ความสมดุลของร่างกายและกำลังภายในมากกว่าการเพาะบ่มกล้ามเนื้อจนใหญ่โต เขาเข้าใจว่ายุคนี้นิยมร่างกายแบบคนตรงหน้าด้วยความคิดว่ามันสะท้อนถึงรูปลักษณ์ในอุดมคติของบุรุษเพศ หากเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างการฝึกมวยของตินก็แล้วไปเถิด แต่ถ้าจงใจเร่งรัดเพื่อความสวยงามก็คงน่าขันเกินไป
 
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบรับ จางอี้หลงก็เปลี่ยนเรื่อง
 
“ท่ามวยจีนของคุนนี่แปลกตาจริงๆ นะ พี่ว่าที่เขาฝึกกันที่จีนก็ไม่ใช่แบบนี้ แล้วตอนช่วงแรกๆ นี่ไม่ใช่ว่ามันคล้ายๆ กับท่าเต้นที่น้องคุนเคยโชว์ที่สนามบินต่อหน้าแฮ็คส์ที่เป็นนักร้องเหรอ ตกลงมันเป็นท่าเต้นหรือท่ามวยกันแน่”
 
“เอ่อ ก็ประยุกต์ผสมๆ กันน่ะครับ ไม่งั้นมันก็ซ้ำกับคนอื่น”
 
“พี่ดูซะเพลินเลย ตอนนั้นที่สนามบินเห็นแป๊บเดียว ดูๆ ไปมันก็เหมือนท่าต่อสู้อยู่นะ เสียดายใช้แค่เท้าเท่านั้น ถ้าใช้มือโจมตีด้วย น่าจะใช้งานจริงได้เลย”
 
“พี่อี้หลงรู้เรื่องวิชาต่อสู้ด้วยเหรอครับ”
 
หลี่คุนเริ่มระแวง
 
“ก็ไม่เชิงหรอก แค่บริษัทเกมในเครือมีทำพวกเกมต่อสู้ที่อิงมาจากกังฟูอยู่น่ะ”
 
พอรู้ว่าเป็นแค่เกมหลี่คุนก็โล่งใจ แต่ถึงปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ของยุคนี้จะมาด้วยตัวเอง คาดว่าคงดูไม่ออกถึงความตื้นลึกหนาบางของเคล็ดวิชาลับที่เขาฝึกซ้อมไปเมื่อครู่แม้เพียงหนึ่งส่วน น่าเศร้าที่ศาสตร์ความรู้อันยิ่งใหญ่ของชาวฮั่นแขนงนี้เมื่อผ่านยุคสมัยมาจะสูญหายไปเกือบหมด หากขุมความลับของตระกูลหลี่แห่งฉางอันไม่ได้สาบสูญไปพร้อมกับชีวิตเขาในชาติก่อน อาณาจักรจีนอาจจะคงความยิ่งใหญ่มาได้จนถึงทุกวันนี้
 
เมื่อซึมซับพลังหยางจนเต็ม หลี่คุนก็กลับไปฝึกฝ่ามือเมตตาบารมีและท่าเท้าท่องคลื่นต่อโดยไม่สนใจจางอี้หลงที่หาที่ทางให้ตัวเองแล้วนั่งเฝ้ามองอย่างไม่ละสายตา
 
หลี่คุนใช้ประโยชน์จากช่วงที่จางอี้หลงมาพักอยู่ด้วยอย่างเต็มที่ ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ทราบแต่หลี่คุนก็ตั้งใจจะตอบแทนอะไรกลับไปบ้าง เขาเคยจับชีพจรดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายทำงานหนักเกินไป เมื่อรวมกับพักผ่อนไม่เพียงพอและมลภาวะที่คนยุคนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงทำให้ร่างกายทรุดโทรมกว่าวัยไปบ้าง โชคดีที่ร่างกายของจางอี้หลงยอดเยี่ยมยิ่งนัก ทั้งเต็มเปี่ยมไปด้วยความอดทนทั้งสามารถฟื้นฟูตัวเองได้เร็ว หากกล่าวว่าตินสหายของเขามีร่างกายที่สุดยอดสำหรับการเป็นองครักษ์เงา จางอี้หลงก็เรียกได้ว่ามีร่างกายที่เหมาะกับการเป็นแม่ทัพอย่างที่หาได้ยากนักเช่นกัน หากทั้งคู่เกิดเร็วกว่านี้สักหลายร้อยปี ย่อมกลายเป็นยอดคนในเส้นทางของตนเองเป็นแน่
 
พรสวรรค์นี้ของจางอี้หลงทำให้การหักโหมทำงานในอดีตส่งผลต่อร่างกายไม่มากนักแต่ก็ยังปรากฏร่องรอยบนใบหน้าอยู่ดี แม้เขาจะฝังเข็มขับพิษที่ตกค้างออกและกรุยเส้นลมปราณที่อุดตันบนใบหน้าให้แล้ว แต่เมื่อกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมนานๆ ริ้วรอยก่อนวัยย่อมกลับมาเยือนอีก แม้จะทาขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิไปเรื่อยๆ ก็ไม่แน่ว่าจะรักษาความหล่อเหลาของใบหน้านี้ไว้ได้เต็มสิบส่วน หลี่คุนจึงมีความคิดที่จะฝังเข็มเพื่อกรุยเส้นลมปราณตลอดทั้งร่างให้เพื่อเป็นการตอบแทน
 
แน่นอนว่าเขาไม่ได้กล่าวเช่นนั้นออกมาโดยตรง เพียงแต่บอกว่าจะช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ด้วยการฝังเข็ม เมื่อเห็นจางอี้หลงทำหน้าเหมือนกลืนยาขมเมื่อได้ยินคำว่าเข็มเขาก็ต้องแอบหัวร่ออยู่ในใจ จากความใกล้ชิดกันในช่วงหลายวันที่ผ่านมาหลี่คุนได้แอบประเมินบุรุษผู้มีปราณอำนาจอันเข้มข้นผู้นี้เสียใหม่ ที่แท้จางอี้หลงก็มิได้น่ากลัวหรือมีเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจอันใด ประสบการณ์ชาติก่อนที่ว่าคนที่มีปราณอำนาจมักชอบฉกฉวยหาประโยชน์จากคนอื่นน่าจะไม่จริงเสมอไป หากเป็นคนเผด็จการเจ้าเล่ห์ชอบครอบงำผู้คนมีหรือจะกลัวเข็มเล็กๆ จนเสียงสั่นแต่ไม่ยอมรับว่าตัวเองกลัว

อีกประการหนึ่งถ้าจางอี้หลงรู้จักใช้ปราณอำนาจของตัวเองจริง ความสำเร็จของชีวิตในวัยยี่สิบแปดย่อมต้องสูงล้ำกว่านี้ ตำแหน่งที่ปรึกษาจากบริษัทแม่แม้จะฟังดูดี แต่เอาเข้าจริงก็คงแค่ลูกจ้างคนหนึ่ง มิเช่นนั้นจะต้องกังวลกับค่าโรงเตี้ยมไม่กี่ตำลึงจนต้องมาอาศัยอยู่ที่คอนโดเขาหรือ เสื้อผ้าที่ใช้ตอนอยู่ที่นี่ก็ไปซื้อจากห้างที่ขายของราคาถูก หลี่คุนมิได้ดูแคลนคนที่ฐานะ เขาเพียงแต่คิดว่าในเมื่อจางอี้หลงเป็นเพียงคนธรรมดาเขาก็ไม่จำเป็นต้องระวังตัวเช่นที่ผ่านมา
 
คิดไปแล้วก็นับเป็นโชคดีของจางอี้หลงที่ไปได้กู่ฉินล้ำค่าตัวนั้นมาจากที่ใดก็ไม่รู้ ในเมื่อเขาใช้มันแปลงเป็นหุ้นในฉางอันโอสถแล้ว ต่อไปต้องได้ส่วนแบ่งไม่น้อย ถึงอย่างไรความรู้ทางธุรกิจของจางอี้หลงก็เป็นของจริง การให้เขาเป็นหุ้นส่วนเล็กๆ ย่อมสร้างประโยชน์ให้กับฉางอันโอสถเหมือนกับที่คหบดีเลี้ยงบัณฑิตตกยากไว้ในจวนเพื่อไว้หารือหรือใช้งานอักษรต่างๆ
 
จางอี้หลงถูกทั้งหลี่คุนและซูกัสกล่อมเรื่องการฝังเข็มทั้งร่างเพื่อฟื้นฟูร่างกายจนยอมจำนนในที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ผลัดผ่อนไปจนถึงวันสุดท้ายก่อนที่จะกลับจีน ซูกัสตื่นแต่เช้ามาช่วยเตรียมชุดฝังเข็มให้ก่อนที่จะออกไปเรียนพิเศษกับเพื่อน จางอี้หลงมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เมื่อเห็นเข็มหลายสิบเล่มเรียงรายอยู่ในกล่องโลหะ
 
“น้องคุน ต้องฝังทั้งหมดนี้เลยหรือครับ พี่ไม่กลายเป็นเม่นไปก่อนเหรอ”
 
หลี่คุนได้ยินเสียงที่สั่นนิดๆ จากชายร่างสูงใหญ่ที่นอนสวมกางเกงขาสั้นตัวเดียวบนโซฟาแล้วก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้
 
“ใช้แค่บางส่วนแค่นั้นแหละครับ เจ็บเหมือนมดกัด พี่จะกลัวอะไร แต่อาจจะฝังลึกกว่าตอนฝังที่หน้าหน่อยนะครับ เส้นมันลึกกว่า ต้องแทงเข็มลงไปให้ถึง แล้วก็ต้องหมุนเข็มไปมาหลายๆ รอบ”
 
“ไม่ต้องบรรยายแล้ว น้องคุนจะฝังก็ฝังเลยเถอะ”
 
จางอี้หลงกัดฟันแล้วหลับตาปี๋ หลี่คุนส่ายหน้าเบาๆ แล้วก็เริ่มลงมือฝังเข็มตามจุดต่างๆ อย่างชำนาญ ร่างกายตรงหน้าเต็มไปด้วยมัดกล้ามชัดเจน เขาจับไปตรงไหนก็แน่นมือไปหมด อาจจะไม่ได้ปูดโปนใหญ่โตจนน่าเกลียดแต่ก็เกินความจำเป็นสำหรับอาชีพที่เน้นใช้สมองมิใช่กำลังกาย ถ้าเป็นนักมวยอย่างศิษย์พี่เมฆขาวก็ว่าไปอย่าง
 
หลี่คุนไม่ต้องใช้โอสถเข้าช่วยในการฝังเข็มเพื่อไล่เปิดเส้นทางลมปราณเหมือนที่เคยทำกับตัวเอง ตอนนี้เขาสามารถใช้กำลังภายในของตัวเองทำหน้าที่นั้นแทน ถึงแม้กำลังภายในบุปผาเร้นวารีขั้นที่หนึ่งจะหมดลงหลังจากที่ใช้กรุยเส้นลมปราณได้ไม่กี่จุด แต่เขาสามารถดึงพลังหยางของจางอี้หลงมาเติมเต็มจุดตันเถียนที่ว่างเปล่าได้ทันที เมื่อเป็นเช่นนี้การเปิดช่องลมปราณจึงทำได้รวดเร็วมาก ยิ่งเป้าหมายเป็นแค่การให้ลมปราณที่เคยติดขัดอุดตันโคจรทั่วร่างได้ดีขึ้นจนสามารถขับมลพิษและพลังด้านลบออกมาได้เอง เมื่อไม่ได้ต้องการให้จางอี้หลงถึงขนาดสามารถใช้กำลังภายในได้ ขั้นตอนในการรักษาจึงเรียบง่ายรวดเร็วยิ่งนัก ในช่วงไม่กี่ก้านธูป หลี่คุนก็สามารถทะลวงเส้นลมปราณหลักในร่างของจนเปิดโล่งถึงกันได้ตามที่ต้องการ
 
หลี่คุนยิ้มอย่างพอใจในพัฒนาการของตัวเอง เห็นทีว่าเขาจะต้องทำเช่นเดียวกันนี้ให้กับซูเอ๋อร์และตินบ้างสักคราหนึ่ง หลี่คุนดูดซับพลังหยางเพื่อเติมเต็มจุดตันเถียนที่แห้งเหือดของตัวเองจากการรักษาในขั้นตอนสุดท้าย ช่างสะดวกสบายอะไรเช่นนี้ หลังจากจางอี้หลงกลับไปเขาคงต้องคิดถึงอีกฝ่ายมากแน่ๆ
 
ทันใดนั้นความคิดอันไม่เหมาะสมอย่างยิ่งก็แวบเข้ามาในหัว  ถ้าเขาเอาพลังหยางของจางอี้หลงมาใช้จนบรรลุขั้นสองของเคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารีได้ การฝึกยุทธ์ย่อมก้าวหน้ากว่านี้มาก แต่หากทำเช่นนั้น บุรุษผู้นี้ต้องกร่นด่าไปถึงบรรพบุรุษว่าเขาเป็นต้วนซิ่วแน่ หลี่คุนมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังหลับตาแน่นของอีกฝ่ายอย่างลังเล ถ้าเขาไม่ลงมือในครั้งนี้ ก็ไม่รู้เมื่อใหร่ที่จางอี้หลงจะมานอนทอดกายให้เขาตรงหน้าอีก แต่ถึงเขากระทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ลงไป ก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จสมใจ การก้าวข้ามสู่กำลังภายในบุปผาขั้นที่สองย่อมต้องใช้พลังหยางที่มากมายกว่าตอนบรรลุขั้นที่หนึ่งเป็นหลายเท่าทวีคูณนัก
 
จางอี้หลงขยับตัวเล็กน้อยคล้ายจะลืมตาตื่นขึ้น หลี่คุนตัดสินใจลงมือในทันที เมื่อคิดตกแล้วเขาก็ไม่เหลือความลังเลแม้แต่น้อย ทุกท่วงท่าการกระทำล้วนหมดจดรวบรัด ดรรชนีจี้ออกไปตามจุดทั้งสี่บนร่างตรงหน้าด้วยความเร็วสุดประมาณจนคล้ายเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน จางอี้หลงคอพับคออ่อนไร้สิ้นเรี่ยวแรงหมดสติไปในทันที หลี่คุนจับใบหน้าหล่อเหลาพลิกไปมาจนมั่นใจว่าไม่รู้สึกตัว แล้วจึงผินหน้าไปทางอื่นก่อนจะจับขอบกางเกงยางยืดของอีกฝ่ายรูดลงไปพร้อมกับกางเกงชั้นในจนติดหัวเข่า ปากพึมพำเบาๆ คุณชายจาง ข้าหลี่คุนขอล่วงเกินแล้ว  มือทั้งสองข้างผละออกจากขอบกางเกงลูบคลำสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงแหล่งกำเนิดของพลังหยางอันเข้มข้น นิ้วเรียวขาวราวหยกมันแพะเกาะกุมไปที่ถุงหนังใบเขื่องทว่าอ่อนนุ่มปกคลุมด้วยเส้นไหมหยาบๆ  ก่อนจะกอบกุมแนบแน่นจนล้นอุ้งมือทั้งสองข้าง

กระบวนท่าต่างๆ นี้ ยามบรรยายเชื่องช้า แท้ที่จริงรวดเร็วชั่วพริบตา เพียงเพิ่มแรงบีบเค้น พลังหยางมหาศาลจากจุดกำเนิดที่เก็บกักไว้กว่ายี่สิบแปดปีก็ไหลทะลักเข้าสู่จุดตันเถียนของเขาจนท่วมท้น ทันใดนั้นลมปราณของหลี่คุนเกิดการระเบิดขึ้นจากภายในแล้วกระจายออกคล้ายดอกไม้ไฟถึงสองครั้งติดกัน จุดตันเถียนขนาดเมล็ดผลท้อพลันขยายออกจนมีขนาดเท่าผลพุทราสด การกระทำไร้ยางอายของหลี่คุนกลับตอบแทนมาด้วยกำลังภายในบุปผาเร้นวารีสองขั้นครึ่ง!!!
 
หลี่คุนถึงกับตะลึงเมื่อแน่ใจว่าว่าตนเองก้าวข้ามขั้นที่สองไปอีกถึงครึ่งขั้น ไร้ยางอายแล้วอย่างไร ในเมื่อพลังที่ครอบครองเป็นของจริง เขาเริ่มเข้าใจขึ้นมาว่าทำไมจอมยุทธ์มากมายถึงได้ทิ้งอุดมการณ์ไปฝึกปรือตนด้วยวิถีมารเพียงเพื่อจะได้ทะลวงผ่านขีดจำกัดของตัวเองไปได้
 
“พวงหยกอันประเสริฐ!!!”
 
หลี่คุนอดร้องอุทานอย่างชื่นชมไม่ได้ สายตาเผลอมองไปยังสิ่งที่ยังกอบกุมอยู่ในอุ้งมือแล้วก็สะดุ้งเล็กน้อย เขาปล่อยมือในทันทีแล้วรีบดึงกางเกงยางยืดของจางอี้หลงกลับขึ้นมาให้อยู่ในสภาพเดิม หลี่คุนถ่ายเทกำลังภายในบุปผาเร้นวารีระดับสองขั้นครึ่งเพื่อช่วยฟื้นฟูเส้นลมปราณอีกครั้งก่อนจะคลายจุดสลบให้กับจางอี้หลง

ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันทีพร้อมกับท่าทางสดชื่นดูกระปรี้กระเปร่า
 
“นี่พี่เผลอหลับไปเหรอ น่าอายจัง เสร็จแล้วใช่ไหม พี่ว่ารู้สึกดีขึ้นกว่าตอนก่อนฝังเข็ม เหมือนหายใจโล่งขึ้น คงไม่ได้อุปทานไปหรอกนะ”
 
จางอี้หลงลุกขึ้นนั่งบนโซฟาท่าทางโล่งใจที่การฝังเข็มจบลงแล้ว เขาหยิบโทรศัพท์ที่วางพิงข้าวของกระจุกกระจิกตรงชั้นข้างๆ โชฟามาจิ้มๆ สองสามทีแล้วจึงหยิบเสื้อผ้าที่ถอดพาดออกมาสวม หลี่คุนรู้สึกเคอะเขินอยู่บ้างกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปจึงตั้งใจปลีกตัวออกไปก่อน
 
“รู้สึกแบบนั้นก็ดีแล้วนี่ครับ พี่จะไปตอนบ่ายใช่ไหม เก็บของเรียบร้อยยัง ตามสบายเลยนะพี่ เดี๋ยวผมขอตัวไปฝึกบนดาดฟ้าก่อน วันหยุดอย่างนี้จะได้ต่อเนื่องนานๆ หน่อย”
 
“ดีเลย พี่กำลังอยากไปดูท่าเต้นที่ใช้แต่เท้าของน้องคุนอีกครั้งอยู่พอดี แล้วพี่มีอะไรจะให้ด้วย”
 
“อะไรครับ จริงๆ พี่อย่าขึ้นไปเลย พี่ไม่ชอบแดดไม่ใช่เหรอ”
 
หลี่คุนอยากรีบไปฝึกฝ่ามือเมตตาบารมีกับกำลังภายในบุปผาเร้นวารีสองขั้นครึ่งเต็มที่แล้ว ถ้าจางอี้หลงตามไปดู ก็ชอบแต่ให้เขาร่ายรำท่าเท้าท่องคลื่นน้อยทุกที จริงๆ อีกฝ่ายเคยขอถ่ายคลิปด้วยซ้ำแต่เขาปฏิเสธไป ถึงอย่างไรท่าเท้าท่องคลื่นน้อยก็เป็นวิชาลับประจำตระกูลหลี่ แม้ในยุคนี้จะไม่มีใครเข้าใจตื้นลึกหนาบางของวิชานี้ การเผยแพร่ออกไปก็ดูจะไม่เคารพบรรพชนอยู่บ้าง แต่เมื่อนึกถึงว่าตัวเองเพิ่งล่วงเกินคนผู้นี้ไป ก็ไม่อยากขัดใจจางอี้หลงในครั้งนี้
 
ปรากฎว่าที่จางอี้หลงขอไปดูเขาฝึกมวยเพราะอยากมอบรองเท้าผ้าใบคู่หนึ่งให้ทดลองใส่ดูก่อนจะมอบเป็นของขวัญ หลี่คุนเกรงใจไม่อยากรับเพราะท่าทางน่าจะราคาสูงเอาการ หลังจากโดนคะยั้นคะยออยู่นานเขาก็ยอมใส่รองเท้าคู่นั้นร่ายรำท่าเท้าท่องคลื่นให้จางอี้หลงดูอยู่หลายรอบ มิคิดว่ารองเท้าที่คนยุคนี้ประดิษฐ์มาเพื่อใช้เล่นกีฬาจะช่วยเสริมการเคลื่อนไหวของเท้าได้ดีขนาดนี้ หลี่คุนร่ายรำไปตามพันหมื่นวิถีผันแปรของกระบวนท่าเท้าท่องคลื่นน้อยแล้วรู้สึกคล่องตัวยิ่งนัก เขาได้สวมรองเท้าผ้าใบของคุณานนท์อยู่บ้าง แต่ไม่อาจเทียบเคียงกับรองเท้าคู่นี้ได้เลย
 
หลังจากชมสิ่งที่เข้าใจว่าเป็นการเต้นแบบประยุกต์ของหลี่คุนจนเป็นที่พอใจแล้วจางอี้หลงก็ไม่ได้อยู่รบกวนการฝึกต่อ เขาเพียงแต่ขอเอารองเท้าคู่นั้นกลับไปด้วยก่อนบอกว่าจะเอาไปใส่กล่องให้สมกับเป็นของขวัญที่จะมอบให้ก่อนจากกัน หลี่คุนไม่ได้ว่าอะไร ถึงอย่างไรฝ่ามือเมตตาบารมีที่เขาตั้งใจจะฝึกต่อก็ไม่ได้มีท่าเท้าที่ซับซ้อนอะไร กำลังภายในบุปผาเร้นวารีสองขั้นครึ่งทำให้เขามีลมปราณสำรองจนสามารถโคจรพลังร่ายรำท่าฝ่ามือที่เคยติดขัดออกมาได้ดียิ่งขึ้น การฝึกยุทธ์ของเขากินเวลาช่วงเช้าไปจนเกือบเที่ยงซึ่งเป็นเวลาที่เขานัดกับจางอี้หลงไว้ว่าจะทานข้าวร่วมกันก่อนที่จะออกไปส่งอีกฝ่ายที่สนามบิน
 
ในที่สุดช่วงวันหยุดที่ยาวนานที่สุดในรอบหลายปีของจางอี้หลงก็สิ้นสุดลง ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนที่นั่งกว้างขวางหรูหราชั้นเฟิร์สคลาสของเที่ยวบินกรุงเทพเซินเจิ้น พนักงานต้อนรับยอบตัวเข้ามาดูแลอย่างนอบน้อมพร้อมกับเสนอเครื่องดื่มที่จะเสิร์ฟให้ก่อนเครื่องออก ไม่บ่อยนักที่แอร์ประจำที่นั่งชั้นหนึ่งอย่างเธอจะเจอนักธุรกิจหน้าตาดีอายุน้อยเช่นนี้ จางอี้หลงเลือกไวน์ขาวจากรายการเครื่องดื่มแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปลี่ยนเป็นโหมดเครื่องบิน เขานั่งพิงหลังอย่างผ่อนคลาย มือข้างหนึ่งเปิดดูคลิปที่แอบตั้งกล้องบันทึกขั้นตอนการฝังเข็มที่น่าทึ่งของหลี่คุนเมื่อเช้าไว้ มืออีกข้างก็ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบอย่างพอใจไปเรื่อยๆ จางอี้หลงดูคลิปอย่างครุ่นคิดไปจนเกือบจบก็เห็นเหตุการณ์วาบหวิวที่ทำให้เขาสำลักพ่นไวน์ราคาแพงกระจายไปทั่วอย่างไม่เหลือมาดนักธุรกิจระดับสูงที่บรรดาแอร์แอบชื่นชม

#########################

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 24] 3/12/2019
« ตอบ #69 เมื่อ: 03-12-2019 14:05:21 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 24] 3/12/2019
«ตอบ #70 เมื่อ03-12-2019 18:36:12 »

 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 24] 3/12/2019
«ตอบ #71 เมื่อ03-12-2019 19:55:50 »

ว่าแล้วมีแอบถ่ายน้องคุน

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: Blue Dragon in the Red Ocean [บทที่ 24] 3/12/2019
«ตอบ #72 เมื่อ04-12-2019 22:45:26 »

Omggggg ตายแร้วววว แตกเปงแตกก


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
 25

หลี่คุนไปส่งจางอี้หลงที่สนามบินแล้วก็รีบกลับมาที่คอนโดทันที เขาตั้งใจจะรีบทดลองหลอมโอสถด้วยกำลังภายในบุปผาเร้นวารีสองขั้นครึ่ง แน่นอนว่าก่อนจากกันเขาได้ดูดซับพลังหยางจนเต็มที่แล้ว ต่อไปเขาจะคิดถึงความสะดวกสบายนี้ถึงเพียงไหนกันนะ เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็เห็นซูเอ๋อร์ที่กลับจากเรียนพิเศษแล้วกำลังลูบคลำรองเท้ากีฬาที่จางอี้หลงมอบให้เขาอย่างตื่นเต้น
 
“พี่คุน ไปได้มายังไงครับ รุ่นนี้เทพมากๆ หายากสุดๆ นักกีฬาดังๆ ยังใช้กันเลย โอ๊ย ผมอยากได้บ้าง”
 
หลี่คุนลูบหัวซูเอ๋อร์อย่างเอ็นดู ในใจคิดว่าจะต้องเสาะหาของสิ่งนี้ที่มีขนาดเหมาะสมกับเท้าของน้องชายมาให้จนได้ หากหายากจริงอาจจะต้องขอร้องจางอี้หลง มอบเงินให้มากหน่อยอีกฝ่ายคงไม่ปฏิเสธ คนผู้นี้หน้าใหญ่ใจโตจริงๆ แม้ไม่ค่อยมีเงิน ยังอุตส่าห์สรรหาของดีมาให้เขา
 
พูดคุยกับซูเอ๋อร์อยู่ครู่หนึ่ง หลี่คุนก็รีบเข้าห้องอักษรไปเพื่อปรุงยา เขาหยิบโถกระเบื้องที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะขึ้นมาทีละใบเพื่อตักตวงวัตถุดิบล้ำค่าภายในมาใส่ในหม้อหลอมยาตามตำหรับที่อยู่ในหัว หลี่คุนขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าของบางโถเหมือนจะพร่องไปจากครั้งก่อน ถ้าเป็นผงคงดูไม่ออก แต่อันที่หั่นเป็นชิ้นไว้แล้วน่าจะหายอย่างน้อยชิ้นหนึ่งเป็นแน่ หลี่คุนมีความจำที่ดีมากจากพรสวรรค์และการฝึกฝนในวัยเด็ก มิฉะนั้นเขาคงไม่สามารถจดจำคัมภีร์ตำราลับมากมายไว้ในหัวได้ โชคดีที่ความสามารถนี้ดูจะติดตามดวงจิตมาด้วย พอสังเกตไปรอบๆ ก็พบว่าตำแหน่งข้าวของสมุดเครื่องใช้ดูจะคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อยจากที่เขาจำได้ในบางจุด หลี่คุนเห็นแล้วก็ออกจากห้องทันที
 
“ซูเอ๋อร์ พี่ชายบอกแล้วไง ว่าอย่าไปยุ่งในห้องอักษรของพี่”
 
“ผมไม่ได้เข้าไปทำให้อะไรเสียหายสักหน่อย”
 
“ในนั้นมีข้าวของส่วนตัวของพี่ตั้งมาก ยังไงเราก็ไม่ควรเข้าไปโดยพละการ”
 
ในยุคของหลี่คุน ห้องอักษรของประมุขบ้านถือเป็นสถานที่หวงห้ามที่สุดในจวน ในนั้นอาจมีความลับที่ไม่ควรเผยแพร่อยู่มากมาย แม้แต่ฮูหยินหรือบุตรชายคนโตของเจ้าของบ้านก็มิอาจเข้าไปได้โดยไม่ได้รับอนุญาต หลี่คุนโต้กลับเสียงดังด้วยเห็นว่าอีกฝ่ายละเลยกฎพื้นฐานนี้ เขาลืมไปว่านี่เป็นธรรมเนียมโบราณที่ซูกัสไม่เข้าใจ
 
“ทำไมพี่คุนต้องหวงขนาดนี้ด้วย ผมเป็นน้องชายพี่นะ ถึงไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆ แต่เราก็โตมาด้วยกัน แต่ก่อนพี่ไม่เคยมีความลับอะไรกับผม แล้วเดี๋ยวนี้ทำไมต้องกีดกันผมออกมามากขึ้นทุกที ในห้องนั้นก็ไม่เห็นมีอะไรเลย ผมเข้าไปดูไม่รู้กี่ทีแล้ว แต่เรื่องแปลกๆ อย่างอื่นที่ผมถามไป พี่ไม่เคยพูดความจริงออกมาเลย”
 
หลี่คุนได้ยินก็ตกใจ ดูภายนอกเหมือนไม่มีอะไร แต่ภายในใจซูเอ๋อร์คาดว่าคงเห็นความผิดปกติและสะสมความข้องใจมานานแล้ว เขาไม่ได้อยากปิดบังความจริงจากน้องชายคนสนิทของร่างนี้ แต่จะให้เขาบอกไปได้อย่างไรว่าพี่ชายที่แท้จริงของซูเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ในร่างนี้แล้ว แต่เป็นดวงจิตเร่ร่อนจากอดีตอันห่างไกลที่เข้ามาสวมรอยอาศัยอยู่ หากถามถึงคุณานนท์ เขาเองก็ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นยังจะมีโอกาสกลับเข้าร่างนี้ในวันข้างหน้าหรือได้ตายจากไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะโศกเศร้าขนาดไหนหากความจริงเปิดเผย เมื่อถึงตอนนั้นความรักความอบอุ่นที่คนรอบข้างมีให้แก่เขาคงเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวและเกลียดชัง
 
ตำแหน่งซื่อจื่อของตระกูลหลี่แห่งฉางอันทำให้หลี่คุนต้องแยกตัวออกมาฝึกฝนร่ำเรียนอย่างหนักตั้งแต่เล็ก ไม่มีโอกาสใกล้ชิดสนิทสนมกับญาติพี่น้องเหมือนคนอื่น ยังไม่ถึงสิบขวบปีบิดามารดาก็มาด่วนจากไปพร้อมๆ กัน ชีวิตในฐานะผู้นำตระกูลหลังจากนั้นยิ่งอ้างว้างโดดเดี่ยว หากไม่มีเด็กหญิงผู้สดใสบริสุทธิ์มาอยู่ข้างกายเขาคงผ่านช่วงเวลาที่แสนลำบากนั้นได้ยากยิ่ง เด็กหญิงเติบโตขึ้นมาจนกลายเป็นสตรีที่เขาให้ใจหวังจะร่วมสร้างครอบครัวที่อบอุ่นเป็นของตนเอง กาลกลับเป็นว่านางได้หักหลังส่งเขาไปสู่เงื้อมมือของขุนนางชั่วบิดาของนางจนเขาถูกบีบคั้นให้ต้องจบชีวิตลงอย่างหนาวเหน็บในชาติที่แล้ว
 
ซูเอ๋อร์ผู้เป็นน้องชาย ตินผู้เป็นสหายสนิท บิดามารดาของคุณานนท์ที่เขายังไม่มีโอกาสพบหน้าได้แต่สนทนาไถ่ถามทุกข์สุขกันผ่านหน้าจอ เขาตั้งใจจะดูแลคนรอบข้างของคุณานนท์ให้ดีที่สุดโดยไม่อาจเอาตัวเข้าไปผูกพัน แต่ใจที่โหยหาความอบอุ่นของครอบครัวทำให้เขาถลำตัวเข้าไปทีละนิด ยามนี้จะกลับตัวก็ไม่ได้ให้เดินต่อไปก็คงไม่ถึง ในที่สุดซูเอ๋อร์ก็แสดงความสงสัยคับข้องใจออกมา เขาไม่อยากโกหกอีกแล้วแต่ก็มิอาจบอกความจริงได้
 
“อย่าโกรธพี่ชายเลยนะซูเอ๋อร์ พี่มิได้อยากปิดบังอะไร หากเป็นไปได้ภายหน้าพี่ย่อมบอกเราทั้งหมด แต่ตอนนี้ขอให้มั่นใจว่าพี่มีแต่จะทำเรื่องที่ดีที่สุดให้กับน้อง”
 
หลี่คุนมองดวงตาแดงเรื่อของซูเอ๋อร์ด้วยความอึดอัดใจ ตอนนี้ดูเหมือนซูเอ๋อร์จะน้อยใจจนไม่ฟังอะไร คงต้องปล่อยให้อารมณ์เย็นลงก่อนค่อยพูดจากันอีกที เขาพึมพำปลอบโยนไปอีกสองสามคำก่อนจะหลบเข้าห้องอักษรไป
 
ซูกัสเองก็คว้ากระเป๋าเงินและโทรศัพท์มือถือเดินผลุนผลันออกจากคอนโดเหมือนกัน เด็กหนุ่มไม่อยากดึงดันจนต้องทะเลาะใหญ่โตกับพี่ชาย ตั้งแต่พี่คุณฟื้นจากอุบัติเหตุครั้งนั้นก็มีอะไรแปลกไปหลายอย่าง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจในทางที่ดี ทั้งความชำนาญในการฝังเข็มปรุงยาดีดพิณที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่คุนทำได้ ทั้งบุคลิกที่แฝงความสูงศักดิ์สง่างามเด็ดขาดในบางครั้ง แต่สิ่งที่ซูกัสไม่ชอบใจมากๆ คือ เขารู้สึกว่าตัวเองเข้าไม่ถึงเบื้องลึกในจิตใจของพี่คุนเหมือนเดิม แม้สิ่งที่แสดงออกจะดีและทุ่มเทเพื่อเขาเพียงไร แต่เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงความระวังตัวปิดบังซ่อนเร้นอะไรบางอย่าง เขาอาจจะคิดมากไปเอง แต่เหตุการณ์วันนี้ทำให้รู้แล้วว่าสิ่งที่เขาคิดมันเป็นจริง
 
ซูกัสขึ้นรถไฟฟ้าไปที่ห้างหรูหราแห่งใหม่ เขาตั้งใจจะไปเดินเล่นเพื่อคลายความเสียใจลง แวบแรกเขาคิดจะไประบายความในใจนี้กับแฮ็คส์ แต่นึกไปอีกทีเขาก็ไม่อยากเอาเรื่องส่วนตัวของพี่ชายไปเล่าให้แฟนตัวเองที่พี่คุนอาจยังมองว่าไม่ได้รู้จักกันดี ซูกัสเดินไปเดินมาอยู่ในห้าง ข้าวของมากมายที่น่าดึงดูดใจสำหรับวัยรุ่นกลับไม่ทำให้เขาสลัดความกังวลสงสัยออกไปได้เลย ในที่สุดก็มานั่งอยู่ตรงสวนหย่อมภายในตัวห้างอย่างซึมเซา
 
นั่งอยู่ได้สักพักก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกจ้องมอง ซูกัสเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่ามี รปภ. วัยหนุ่มคนหนึ่งกำลังมองมาที่เขา  เด็กหนุ่มรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ตั้งแต่ที่พี่คุนช่วยรักษาหน้าเขาจนหล่อเหลาก็มักจะมีคนจ้องมองอยู่บ่อยๆ เพียงแต่ไม่โจ่งแจ้งเช่นนี้ เมื่อเห็นเขามองกลับ รปภ. คนนั้นก็ยกมือขึ้นเหมือนทักทาย ซูกัสทำหน้าเลิ่กลั่ก ไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อยทักทำไม ยิ่งพอเห็นอีกฝ่ายเดินตรงเข้ามาหาเขาก็ยิ่งรู้สึกระแวง มัดกล้ามที่เห็นได้ชัดภายใต้เครื่องแบบตึงเปี๊ยะเพิ่มความน่ากลัวจนเขาอยากลุกเดินหนี แต่คิดอีกทีอยู่ในห้างใหญ่โตผู้คนมากมาย อีกฝ่ายก็มีหน้าที่รักษาความปลอดภัย คงไม่มีอะไรหรอก
 
“ทำไมมาคนเดียวล่ะซูกัส”
 
เด็กหนุ่มนั่งตัวแข็งขนลุกซู่ ทำไมถึงรู้จักชื่อเขาได้ล่ะ ในใจนึกหนังฆาตกรรมที่โจรโรคจิตมักจะสืบประวัติเหยื่อก่อนลงมือ แต่จะว่าไปเสียงนี้ก็ฟังดูคุ้นเคยอยู่บ้าง ซูกัสมอง รปภ. หนุ่มอีกที ใบหน้าเรียบๆ นั้นจะว่าเคยเห็นก็ไม่แน่ใจ  หรือเพราะดูธรรมดาไปจนไปเหมือนคนที่เขาเคยเจอ
 
“พี่ถามทำไมไม่ตอบ ไอ้เชี่ยคุนมันไม่มาด้วยเหรอ”
 
คำถามที่สองจุดประกายวาบให้กับเด็กหนุ่ม คนที่เรียกพี่คุนได้สนิทสนมขนาดนี้มีคนเดียว
 
“พี่ติน!! นี่ปลอมตัวมาทำอะไรที่ห้างครับ ผมกลัวจนเกือบฉี่ราดแล้ว”
 
“ปลอมตัวห่านอะไร ไอเด็กเอ๋อ ก็แค่ใส่เครื่องแบบ รปภ. ไม่ได้ทำอะไรกับหน้าตาผมเผ้าซักกะนิด ทำไมชอบโดนแบบนี้อยู่เรื่อยวะกู”
 
“แต่มันดูผิดตาไปมากเลยนะครับ ตอนแรกผมจำไม่ได้เลยว่าเป็นพี่ หรือเพราะเคยเห็นแต่พี่ใส่ชุดนักศึกษาหรือไม่ก็ชุดกีฬา”
 
“จะใส่ชุดอะไร คนสมองปกติเขาก็ต้องจำได้เปล่าวะ”
 
รู้สึกเหมือนถูกด่าว่าโง่ซูกัสเลยไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรอีก เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นประเภทปากร้ายใจดี ปกติก็ไม่ค่อยพูดมากเท่าไหร่ แต่ถ้าเปิดปากละก็เลือดซิบ แม้แต่พี่คุนที่ดูยอดเยี่ยมสูงส่งก็ยังไม่เว้น
 
“แล้วเรามานั่งจ๋องอะไรอยู่คนเดียว ไม่ลากไอ้คุนมาด้วยเหรอไอเด็กติดพี่ งั้นพี่พาไปกินไอติมไหม ทำหน้าที่แทนไอ้คุนมันซักวันนึง”
 
“แล้วพี่ไม่ต้องเฝ้ายามเหรอ”
 
“ไม่ต้องๆ พี่เลิกเมื่อไหร่ก็ได้ แค่มาลองเรียนรู้งานเฉยๆ ไปกันเลยไหม”
 
ซูกัสพยักหน้า ไปทานไอสครีมกับพี่ตินก็ดีเหมือนกัน เห็นแล้วก็นึกได้ว่าคนที่รู้จักพี่คุนดีมากๆ อีกคนนอกจากตัวเขาเอง ก็คงมีแต่พี่ตินที่เป็นเพื่อนสนิท เขาจะได้ลองปรึกษาเรื่องนี้ดูว่าเห็นเหมือนกันหรือเปล่า
 
ตินถอดเสื้อเครื่องแบบออกเหลือแต่เสื้อยืดรัดกล้ามข้างใน เขาบอกว่าคนจะได้ไม่เข้าใจผิดว่าเขากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ซูกัสมองหุ่นล่ำๆ กล้ามอกเป็นลูกเห็นหัวนมดุนทะลุเสื้อแล้วก็เบะปากด้วยความหมั่นไส้เบาๆ หุ่นดีกว่าพี่แฮ็คส์แล้วยังไง หน้ากับหุ่นไปคนละทางแบบนี้ยังไงสาวก็ไม่กรี๊ด
 
ระหว่างที่รอไอสครีม ซูกัสที่โดนตินทำให้ตกใจแล้วเปลี่ยนมาขำตัวเองลืมเรื่องกังวลใจไปบ้างก็ชวนคุยด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้น
 
“ทำไมพี่ต้องมาทำงานพิเศษเป็น รปภ. ด้วยอ่า ถ้าอยากหาเงิน ก็ไปช่วยพี่คุนแพ็คขี้ผึ้งก็ได้นิ ทำเดือนนึงไม่กี่วันเอง”
 
“พี่แค่มาเรียนงานที่บริษัทรักษาความปลอดภัยที่พ่อพี่หุ้นกับเพื่อน เพื่อนพ่อเขาอยากจะวางมือแล้ว ธุรกิจนี้หาคนก็ยาก ฝึกคนก็ยาก กำไรก็ไม่ได้เยอะ พ่อพี่เองงานราชการก็มาก ไม่มีเวลามาดูหรอก ก็เลยให้พี่มาลองดูว่าอยากจะรับช่วงต่อหรือเปล่า แต่ดูๆ แล้วก็ไม่ใช่แนวถนัดว่ะ ถ้าเป็นงานรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์ก็ว่าไปอย่าง”
 
“พ่อพี่รับราชการเหรอ”
 
“อื้อ เป็นสันติบาลน่ะ”
 
“โห คือตำรวจนอกเครื่องแบบใช่ป่ะ แบบที่ต้องแฝงตัวไปสืบราชการลับ แล้วตอนสุดท้ายก็เฉลยว่า ‘ผม ร้อยตำรวจเอกจุดจุดจุด ปลอมตัวมาครับผม’ มิน่า พี่ถึงปลอมตัวเก่ง”
 
“ไม่ได้ปลอมเฟ้ย ดูละครมากไปป่ะ ตำรวจสันติบาลเขาทำพวกเรื่องข่าวกรอง กับงานรักษาความปลอดภัยให้วีไอพีแขกบ้านแขกเมือง ไอเรื่องสืบข่าวอะไรมันก็ต้องมี แต่ไม่ได้ปัญญาอ่อนแบบซูเอ๋อร์ว่า”
 
“โหยพี่ เรียกซูกัสก็ดีอยู่แล้ว ซูเอ๋อร์ให้พี่คุนเรียกคนเดียวเหอะ”
 
“ก็ทำตัวเอ๋อๆ เองนี่หว่า”
 
“พี่อย่าด่าผมอีกเลย วันนี้ผมโดนมาเยอะแล้ว พี่คุนเป็นอะไรไม่รู้ อยู่ๆ ก็เสียงดังหาว่าผมเข้าไปซนในห้องทำงานพี่เขา นานๆ ผมจะเข้าไปทีแล้วก็ไม่ได้แตะต้องอะไรด้วย พี่ว่าเดี๋ยวนี้พี่คุนไม่เหมือนเดิมเปล่า”
 
“เรื่องอะไรล่ะที่ว่าไม่เหมือนเดิม”
 
“ที่ชัดๆ ก็อยู่ๆ พี่เขาก็ฝังเข็มเป็น แล้วก็ผสมยาได้เอง มีท่าเต้นหรือมวยจีนก็ไม่รู้แบบแปลกๆ อ้อ แล้วก็ดีดพิณได้เพราะด้วยนะ ที่ผมลงคลิปไง”
 
“มันก็เรียนก็หัดกันได้ป่ะ”
 
“เรื่องพวกนี้มันน่าจะยากไม่ใช่เหรอพี่ จู่ๆ จะเก่งขึ้นมาเลยได้ไง”
 
“แล้วเราคิดว่าไงล่ะ”
 
“พี่เคยอ่านนิยายทะลุมิติเปล่า ที่วิญญาณนางเอกย้อนเวลากลับไปเป็นพันปีแล้วเข้าร่างคุณหนูที่โดนกลั่นแกล้งจนจมสระบัวตาย พอฟื้นมาก็เอาวิชาความรู้เล่ห์เหลี่ยมของคนศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดไปใช้ต่อกรกับพวกคนชั่ว จากนั้นก็ได้แต่งงานกับองค์ชายที่ไม่เป็นที่โปรดปราน แล้วสุดท้ายก็ช่วยสามีให้ขึ้นครองบัลลังก์ ตัวเองก็กลายเป็นฮองเฮา อะไรแบบนี้อ่ะ ผมว่าพี่คุนคนนี้ก็เหมือนกัน  อาจจะมาจากศตวรรษที่สามสิบที่วิทยาการก้าวหน้าจนสามารถอัพโหลดความรู้ต่างๆ เข้าสมองคนได้โดยตรง จากนั้นก็ย้อนเวลามาเป็นพันปีสู่ยุคปัจจุบัน ซึ่งเทียบแล้วคือยุคโบราณของเขา ก็เลยมีความรู้จากโลกอนาคตติดมาด้วย”
 
“ไอ้คุนหรือโดเรม่อนวะ ไปเอามาจากไหนเนี่ย กาวมาก”
 
“ก็ผมคิดไม่ออก มั่วไปมั่วมาก็เลยเป็นแบบนี้ ถ้าจริงนี่เหมือนพวกเราเป็นตัวละครในนิยายออนไลน์เลยนะ ไม่รู้คนอ่านจะชอบผมบ้างเปล่า ผมอยากไปแอบอ่านตอนจบจัง จะได้รู้ทุกอย่างแล้วตัดสินใจไม่ผิด พี่ว่าผมเอาพล๊อตนี้ไปเขียนนิยายลงเน็ตบ้างดีไหม ไหนๆ ก็คิดออกมาแล้ว เผื่อดังจะได้รวมเล่มขายอีบุ๊คกะเขาบ้าง”
 
“พี่ว่าเราไม่ต้องสงสัยไอ้คุนแล้ว สงสัยตัวเองเถอะว่ายังปกติหรือเปล่า”

“ไม่งั้นพี่จะอธิบายเรื่องพี่คุนยังไง”
 
“พี่เราอาจจะซุ่มหัดโน่นหัดนี่มาเป็นปีๆ แล้วก็ได้ พอมั่นใจถึงค่อยเอาออกมาโชว์”
 
“อืม ก็ดูมีเหตุผลกว่าเรื่องของผมอยู่บ้างนะ พี่คุนหัวดีความจำดีตั้งแต่เด็กแล้ว ถ้าตั้งใจจริงทำไมจะทำไม่ได้ เฮ้อ สบายใจล่ะ”
 
“อ้าว หายสงสัยง่ายจัง แค่นี้เรื่องยังไม่กระจ่างหรอกนะ วิชาพวกนี้คงหัดเองไม่ได้ ไอที่ผสมยาเจ๋งๆ ออกมา พี่ว่าถ้ามีสูตรก็คงไม่ยากล่ะมั๊ง แต่ฝังเข็มกับกู่ฉินยังไงต้องมีคนที่เชี่ยวชาญจริงๆ มาสอน ที่คุนมันบอกคนอื่นว่าเคยเรียนพิณเมื่อตอนเด็กกับอากงของเพื่อนน่ะไม่ใช่เรื่องจริง พี่อยู่ห้องเดียวกับมันมาตั้งแต่เด็กไม่เห็นมันเคยไปเรียนอะไรแบบนี้เลย น่าจะต้องมีคนอื่นสอนให้”
 
“พี่อี้หลงแน่ๆ พี่เขาเป็นคนให้กู่ฉินมาเอง แล้วเป่าขลุ่ยจีนได้เพราะขนาดนั้นกู่ฉินก็น่าจะเล่นเป็นด้วย ผมนึกออกแล้ว พี่คุนเคยบอกว่าพี่อี้หลงเป็นหุ้นส่วนในบริษัทยาที่พี่คุนเปิด สูตรยาพวกนั้นก็น่าจะมาจากพี่อี้หลงนั่นแหละ คงเอามาจากประเทศจีน ส่วนหุ้นส่วนอีกคนก็คือพี่หมอภีม แล้วพี่หมอภีมก็เป็นหมอฝังเข็ม โป๊ะเชะ! เขาคงมีข้อตกลงลับทางธุรกิจด้วยกันเลยให้เด็กอย่างผมรู้ไม่ได้ ปริศนาทั้งหมดไขกระจ่างแล้ว!!!โอ๊ย ดีใจ พี่คุนก็ยังเป็นพี่คุนคนเดิม ซูเอ๋อร์ เจ้ามันคิดมากไปเอง”
 
ตินมองซูกัสที่กลับไปร่าเริงเหมือนเดิมแล้วก็ยิ้มน้อยๆ เขาคงกังวลใจตามซูกัสไปด้วยถ้าไม่รู้สึกว่าแม้จะมีบางอย่างแปลกไปแต่นิสัยลึกๆ ของเพื่อนดูจะไม่ได้เปลี่ยน รักความยุติธรรม แรงมาแรงตอบแต่ไม่ร้าย ชอบช่วยเหลือคน แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดคงไม่เรียบง่ายอย่างที่ว่ามาแน่ แต่สิ่งที่ซูกัสคาดเดาก็น่าจะมีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย ถึงจะไม่ทราบแน่ชัดแต่เขาก็พอประเมินได้ว่าธุรกิจยาของคุณานนท์มีโอกาสขยายใหญ่โตทำเงินทำทองได้มากขนาดไหน ไม่รู้ว่าอะไรเป็นความลับที่อยู่เบื้องหลัง แต่เพื่อนเขาก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยุคนี้แม้แต่เด็กอายุไม่ถึงยี่สิบก็เป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จได้ ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดเขาก็จะไม่ถาม หน้าที่ของเพื่อนที่ดีในแบบของเขาคือการอยู่ข้างๆ คอยสนับสนุนให้กำลังใจแต่ไม่เข้าไปก้าวก่าย แต่เมื่อใดที่เพื่อนขอความช่วยเหลือเขาก็จะเข้าไปในทันที
 
ตอนนี้ที่ตินรู้สึกกังวลคือคนที่ไม่ธรรมดาอย่างจางอี้หลง นักธุรกิจที่ดูคร่ำหวอดคนนั้นเห็นอะไรในตัวเพื่อนเขาถึงพยายามเข้าหาทั้งทางด้านธุรกิจและด้านส่วนตัว คุณานนท์จะถูกหลอกให้ทำเรื่องผิดกฎหมายเช่นใช้เป็นแหล่งฟอกเงินหรือเปล่า เห็นทีเขาต้องให้พ่อช่วยตรวจสอบเบื้องหลังของคนๆ นี้ อาจจะยากสักหน่อยเพราะต้องสืบหาข้อมูลข้ามประเทศ แต่เชื่อว่าพ่อน่าจะพอมีหนทาง
 
ในช่วงเวลาเดียวกันแต่ข้ามฟ้าไปที่ประเทศจีน ไฮโซแบงค์ก็ได้เดินทางมาถึงปักกิ่งตามคำเชิญของเกาเฉียนนักเปียโนที่มีชื่อเสียงของจีน ทั้งคู่เคยเรียนด้วยกันที่มหาวิทยาลัยด้านดนตรีในกรุงเวียนนาโดยมีความสัมพันธ์ที่เรียกได้ว่าเป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อ สาเหตุของคำเชิญนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเปียโน แต่เกิดจากคำขอร้องของชายชราผู้หนึ่งซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของวัฒนธรรมดนตรีแบบดั้งเดิมของประเทศจีน
 
“ท่านปรมาจารย์หานเกิงเว่ยอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ท่านทุ่มเทให้กับการอนุรักษ์ฟื้นฟูดนตรีจีนโบราณมาตลอดหลายสิบปีจนได้รับการยกย่องจากรัฐบาล เป็นบุคคลที่คนรุ่นใหม่อย่างพวกเราไม่อาจลบหลู่ได้อย่างเด็ดขาด”
 
เกาเฉียนอธิบายข้อมูลของบุคคลสำคัญที่ทั้งคู่กำลังจะไปพบให้แบงค์ฟังเป็นภาษาอังกฤษ ที่มาของเรื่องนี้นั้นเกิดจากคลิปวิดีโออันหนึ่งซึ่งแบงค์ได้แชร์ลงในชาแนลของตัวเองเมื่อหลายเดือนก่อน ท่ามกลางผู้คนพลุกพล่านเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้นกลับเผยให้เห็นถึงภาพของบุรษหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติท่วงท่าสง่างามในชุดจีนโบราณสีขาวกำลังดีดพิณกู่ฉินเป็นท่วงทำนองทุ้มต่ำคล้ายคร่ำครวญอาวรณ์ถึงอดีตที่ไม่อาจหวนคืน
 
คลิปนี้ได้รับความสนใจจากผู้ติดตามของแบงค์อยู่บ้างแต่ไม่นานนักเพราะหลังจากนั้นก็มีคลิปที่ใหม่ที่เป็นแนวเพลงจีนเหมือนกันแต่เป็นการเล่นประสานของนักดนตรีมากความสามารถถึงสี่คนซึ่งรวมทั้งแบงค์ด้วย เพลงจากซีรีส์ดังในคลิปใหม่มีท่วงทำนองแบบป๊อปจึงติดหูกว่า ประกอบกับมีคนหน้าตาดีหลายคนในคลิปจึงได้รับความนิยมจนกลบความสนใจของคลิปที่แชร์มาในตอนแรกไป
 
มีเพียงเกาเฉียนที่แม้จะเป็นนักดนตรีคลาสสิกแบบตะวันตก แต่ก็มีรากเหง้าความเป็นจีนอยู่มากจนมิอาจตัดใจจากคลิปแรกได้ เขาอยากให้เพื่อนพ้องทางดนตรีในประเทศจีนได้ฟังบทเพลงกู่ฉินที่เข้าถึงจิตวิญญาณเช่นนี้ แต่ถ้าแชร์หรือส่งลิ้งค์ยูทูบนี้ให้ไป คนในประเทศจีนก็เปิดไม่ได้อยู่ดี เกาเฉียนไม่ได้เก่งไอทีนัก เขาไม่รู้ว่าจะเก็บคลิปในยูทูบไว้ได้อย่างไร ในที่สุดพอใกล้จะถึงวันที่จะต้องกลับประเทศจีน เขาจึงแก้ปัญหาแบบกำปั้นทุบดินด้วยการเปิดคลิปนี้ด้วยคอมพิวเตอร์แล้วถ่ายหน้าจอด้วยกล้องมือถือ ถึงคุณภาพคลิปที่ได้จะไม่ดีนักแต่อย่างน้อยก็ส่งต่อไปให้คนอื่นที่จีนดูได้
 
ปรากฎว่าเพื่อนๆ ของเกาเฉียนที่ชำนาญด้านกู่ฉินให้ความสนใจคลิปนี้มาก ทั้งรูปร่างหน้าตาที่น่ามองของคนเล่น ทั้งฝีมือที่น่าประทับใจ และความล้ำค่าของกู่ฉินตัวนั้น แต่ที่ทุกคนติดใจคือบทเพลงที่งดงามเช่นนี้เหตุใดถึงไม่เคยมีใครได้ฟังมาก่อน ต่อมาคลิปก็ถูกส่งต่อไปในแวดวงอาจารย์ด้านกู่ฉิน สุดท้ายก็มีคนเอาไปเปิดให้ปรมาจารย์หานเกิงเว่ยดู เพียงเท่านั้นก็มีคำขอร้องจากท่านผู้เฒ่าให้เชิญตัวเด็กหนุ่มคนนี้มาให้ได้
 
ลูกศิษย์ลูกหาของท่านปรมาจารย์ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสืบกลับมาจนถึงเกาเฉียนซึ่งเป็นผู้ที่ส่งคลิปคนแรก นักเปียโนหนุ่มชาวจีนรีบติดต่อแบงค์ทันที ไฮโซหนุ่มยืนยันว่าไม่อาจเปิดเผยตัวของเด็กหนุ่มในชุดจีนสีขาวนั้นได้จนกว่าจะทราบจุดประสงค์ที่ชัดเจน ในที่สุดจึงเกิดคำเชิญนี้ขึ้นเพื่อให้แบงค์ได้มาพูดคุยกับท่านผู้เฒ่าด้วยตนเอง
 
ปรมาจารย์หานเกิงเว่ยนับว่ายังดูกระฉับกระเฉงแม้ว่าจะอยู่ในวัยเจ็ดสิบกว่าแล้ว ที่สำคัญคือแววตาที่ยังสดใสมุ่งมั่นบ่งบอกว่ายังมีไฟที่จะสานต่อในสิ่งที่รัก บุรุษต่างวัยต่างเชื้อชาติสนทนากันโดยมีเกาเฉียนทำหน้าที่เป็นล่าม
 
“ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสสนใจอะไรในเด็กหนุ่มคนนั้นครับ หรือว่าเพราะฝีมือการเล่นกู่ฉิน แต่ประเทศจีนกว้างใหญ่ขนาดนี้ จะหาคนเล่นเก่งๆ ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรนะครับ”
 
“ฝีมือนับว่าเยี่ยมแต่ก็ยังไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบ ที่จริงเด็กคนนั้นมีศักยภาพมากนะ แต่เหมือนการเคลื่อนไหวของนิ้วมือยังตามไม่ทันความคิดอยู่บ้าง  ดูไปแล้วก็แปลก ความเชี่ยวชาญในหัวนับว่าสูงล้ำแต่กลับไม่สัมพันธ์กับมือ เหมือนไม่ได้ฝึกซ้อมให้กล้ามเนื้ออยู่ตัว ไม่รู้ว่าเขาได้รับอุบัติเหตุจนไม่ได้เล่นมาเป็นหลายๆ ปีหรือเปล่า แต่ที่ฉันสนใจจริงๆ ไม่ใช่อยู่ที่ฝีมือการเล่น แต่เป็นบทเพลงที่บรรเลง”
 
“เกาเฉียนบอกผมแล้วว่าไม่มีใครเคยได้ยินเพลงนั้นมาก่อน หรือว่าจะถูกแต่งขึ้นมาใหม่ ท่านผู้เฒ่าสนใจความสามารถในการแต่งเพลงของเขาใช่ไหม”
 
“เพลงนั้นไม่ได้ถูกแต่งขึ้นมาใหม่ ฉันรู้จักมันมาก่อน แต่แค่บนกระดาษนะ”
 
“หมายความว่า...”
 
“บทเพลง ‘สายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยว’ นี้ มีการบันทึกไว้ในพงศาวดารสมัยราชวงศ์ถังว่าเป็นบทเพลงที่โศกเศร้าแต่ว่างดงามที่สุดเท่าที่ได้มีการประพันธ์ขึ้นมา แต่น่าเสียดายที่ทำนองที่แท้จริงขาดการสืบทอดจนสูญหายไปในสมัยราชวงศ์หยวน จนเมื่อสามสิบปีที่แล้วถึงได้มีการค้นพบเอกสารโบราณที่บันทึกทำนองเพลงนี้ไว้เป็นตัวหนังสือ เพียงแต่อักษรที่ใช้ไม่ได้สมบูรณ์เช่นโน๊ตแบบบรรทัดห้าเส้นของตะวันตก ทำให้ทราบเพียงเสียงสูงต่ำของบทเพลงขาดข้อมูลความสั้นยาวหนักเบาของแต่ละเสียง และโชคร้ายไปกว่านั้นที่เอกสารดังกล่าวได้ถูกทำลายไปบางส่วนทำให้บทเพลงในท่อนแยกหายไป ฉันใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตค้นคว้าคาดเดาทำนองและจังหวะที่สมบูรณ์ของบทเพลงนี้ แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่บรรยายไว้ในพงศาวดาร ทำนองที่ฉันฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ยังขาดความลึกซึ้งอย่างที่ควรจะเป็น”
 
“ท่านผู้เฒ่าหมายความว่าบทเพลงในคลิปนั้นคือเพลงที่สาบสูญไปแล้วหลายร้อยปีหรือครับ ท่านจะแน่ใจได้ยังไง”
 
“เสียงสูงต่ำของเพลงที่บรรเลงในคลิปตรงกับที่อยู่ในเอกสารโบราณฉบับนั้นไม่ผิดแน่ ความสั้นยาวของเสียงที่ใช้ทำให้เพลงนี้ลึกซึ้งกว่าที่ฉันจินตนาการไว้อีก น่าเสียดายที่เขายังเล่นไม่จบก็เปลี่ยนไปเล่นเพลงอื่นเสียก่อน ฉันต้องการพบเด็กหนุ่มคนนั้น ฉันอยากฟังบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวที่แท้จริงกับหูตัวเองก่อนที่จะตาย”
 
“ผมยังรับปากไม่ได้จริงๆ ครับ อีกอย่างมันฟังดูน่าเหลือเชื่อเกินไปที่อยู่ๆ เพลงนี้จะปรากฏขึ้นนอกประเทศจีน”
 
“เพลงนี้เป็นสมบัติแห่งชาติของประเทศเรา ได้โปรดนำกลับคืนมายังบ้านเกิดด้วย”
 
แบงค์ตอบไปแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่าจะพยายามหาทางช่วย ในใจคิดว่าคุณานนท์มีความเป็นมาที่แท้จริงยังไงกันแน่ เขาติดใจตั้งแต่การฝังเข็มที่ทำให้มือขยายได้อย่างน่าอัศจรรย์แล้ว เขามาจีนเที่ยวนี้ก็จะถือโอกาสคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านฝังเข็มของจีนว่ามันเป็นไปได้ยังไง ทั้งเรื่องขี้ผึ้งโอสถที่ทุกวันนี้ถึงเขาจะเลิกขายไปแล้วแต่ก็ยังมีคนมาตื้อขอซื้ออยู่เป็นประจำ ลำพังที่เขาต้องหามาให้คนในครอบครัวใช้ในแต่ละเดือนก็ไม่พออยู่แล้ว วันนี้ยังมีเรื่องบทเพลงในตำนานที่สาบสูญไปอีก เห็นทีจะต้องหาคนไปสืบข้อมูลทุกอย่างของคุณานนท์ให้ละเอียดอีกครั้งเสียแล้ว
 
เมื่อแบงค์ลากลับไป ปรมาจารย์หานเกิงเว่ยก็ได้เรียกลูกศิษย์เข้ามาสั่งความทันที
 
“ส่งคนไปติดตามและสืบเรื่องของนักเปียโนชาวไท่กั๋วคนนั้น เขาจะต้องรู้จักกับชายหนุ่มชุดขาวในคลิปแน่ ฉันจะไปพบนายพลหยางด้วยตัวเองเพื่อขอความช่วยเหลือในเรื่องนี้ ไม่ว่าอย่างไรเราจะต้องเอาบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวกลับคืนมาประเทศจีนให้ได้!!!”

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ตอนพิเศษ ขุนนางชั่วแห่งต้าหมิง

################

ราตรีที่มีหิมะโปรยปรายหนาวเหน็บยิ่งนัก ผู้คนในเมืองใหญ่เช่นนี้ล้วนซุกตัวอยู่บนเตียงนอนอุ่นสบาย แต่ในจวนอันงดงามของเสนาบดีกลาโหมแห่งอาณาจักรต้าชิงกลับมีบุรุษวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่นั่งร่ำสุราในศาลากลางสวนเพียงลำพัง ทุกคนในจวนรู้ดีว่าในเวลาเช่นนี้มิอาจเข้าไปรบกวนนายท่านได้ แม้จะกังวลว่าท่านขุนนางใหญ่จะต้องพิษลมเย็นจนถึงแก่เจ็บไข้ขนาดไหนแต่ทุกคนก็รักชีวิตของตัวเองมากกว่า เสียงสะอื้นโหยหาเช่นนั้น หากมีผู้ใดเข้าไปพบเห็น นายท่านผู้ไร้ความปราณียังจะปล่อยให้มีชีวิตต่อไปได้ฤา
 
พ่อบ้านคนสนิทซ่อนตัวเฝ้ารอรับใช้อยู่ตรงด้านนอก หากคืนนี้นายท่านร่ำไห้เมาสุราจนหลับไหลก็ดีไป แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นเห็นทีคุณชายที่เรือนตะวันออกจะต้องรับเคราะห์หนัก น่าสงสารคุณชายท่านนี้ยิ่งนัก เป็นบุตรชายของขุนนางต้องโทษที่เดิมต้องถูกเนรเทศไปหัวเมืองชายแดนก็นับว่าอนาถแล้ว แต่กลับถูกนายท่านซื้อตัวมาเป็นชายบำเรอเช่นนี้ช่างหยามศักดิ์ศรีคนเหลือเกิน
 
นายท่านช่างแปลกคนยิ่งนัก ยามปกติดูแลประคบประหงมคุณชายไม่ได้ขาด อาภรณ์สีขาวล้วนที่สั่งให้คุณชายสวมใส่ล้วนใช้ผ้าบรรณาการค่าควรเมือง แม้แต่กู่ฉินมีชื่อราคาสูงลิ่วก็ยังทุ่มประมูลสรรหามาให้ แต่ยามอารมณ์แปรปรวนเช่นค่ำคืนนี้ นายท่านจะใช้ร่างกายที่เคยทะนุถนอมนั้นมาสมสู่เยี่ยงสัตว์ป่า เห็นทีจะต้องให้เด็กไปแจ้งคุณชายให้เตรียมขยายร่างกายให้พร้อม คืนนี้จะได้ไม่น่าสมเพชจนเกินไป
 
แม้อากาศหนาวเหน็บ แต่ในใจของเสนาบดีกลาโหมกลับเย็นเยียบยิ่งกว่า ความทรงจำในอดีตปรากฎขึ้นในหัวราวกับภาพฝัน จากเด็กกำพร้าหลายสิบคนที่ตระกูลหลี่แห่งฉางอันได้อุปการะไว้ มีเขาคนเดียวที่เฉลียวฉลาดมีไหวพริบจนได้รับการส่งเสียให้เล่าเรียนในสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียง จากผลการสอบที่ยอดเยี่ยมเขาจึงถูกเรียกเข้าจวนอยู่หลายครั้งเพื่อรับรางวัลและฟังคำสั่งสอนจากนายท่าน ที่นั่นเองเขาได้มีโอกาสพบกับคุณชายน้อยซื่อจื่อของตระกูล แม้ยังเป็นเด็กแต่ใบหน้าน่ารักฉายแววหล่อเหลานั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความสง่างามสูงศักดิ์จนละสายตาไม่ได้ เสียงร่ำลือว่านายน้อยเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ศาสตร์ความรู้ทั้งบู๊ทั้งบุ๋นสำหรับผู้ใหญ่กลับถูกเด็กวัยเท่านี้ศึกษาออกมาได้อย่างแตกฉาน
 
เขาแอบเฝ้ามองนายน้อยอยู่ห่างๆ  ยิ่งเติบใหญ่ขึ้นความงดงามหล่อเหลาก็เพิ่มพูนทวี ในด้านความสามารถนั้นแม้แต่ผู้อาวุโสของตระกูลยังออกปากว่าเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากในรอบร้อยปี ไม่รู้ด้วยเหตุใด เด็กกำพร้าไร้ที่มาอย่างเขาถึงได้เกิดแรงผลักดันที่จะก้าวไปข้างหน้า เขาเคยคิดว่าตัวเองทำไปเพื่อตอบแทนบุญคุณตระกูลหลี่ไม่ให้เสียแรงที่อุตส่าห์ส่งเสียเล่าเรียน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาถึงรู้ว่ามันไม่ใช่ เขาไม่พอใจช่องว่างอันยิ่งใหญ่ระหว่างเด็กกำพร้าต่ำต้อยกับซื่อจื่อของตระกูลใหญ่ฐานะร่ำรวยอย่างตระกูลหลี่แห่งฉางอัน
 
เขามุมานะจนสอบได้เป็นซิ่วไฉอันดับหนึ่งของอำเภอ ในที่สุดเขาก็พบหนทางของตนเอง ตระกูลหลี่แม้จะดูร่ำรวยเพียงใดแต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดเข้าสู่เส้นทางขุนนาง หากเขาผ่านการสอบเช่นนี้เรื่อยๆ จนได้เป็นจอหงวนและเข้ารับราชการ ถึงตอนนั้นตระกูลหลี่จะนับว่าเป็นอะไรได้
 
ทางเดินเส้นนี้มิใช่ง่าย เขาอาศัยรูปร่างหน้าตาและเล่ห์เหลี่ยมวาจาอันแพรวพราว หลอกล่อมีสัมพันธ์กับหญิงสาวชาวบ้านบุตรีพ่อค้าธิดาขุนนางมากมายเพื่อที่จะได้เส้นสายข้อมูลทุนทรัพย์มาเอื้อประโยชน์ในการสอบ แต่มิว่าจะเป็นนางใด ก็ไม่อาจเติมเต็มหลุมแปลกปลอมในใจลงได้ ในตอนที่เขาสอบได้เป็นที่หนึ่งระดับมณฑล ก็พลั้งพลาดมีบุตรสาวนอกสมรสกับหญิงชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งได้ปกปิดไว้เพื่อไม่ให้กระทบกับชื่อเสียง
 
ในยามนั้นเขาก็นับว่ามีหน้ามีตาขึ้นมากแล้ว กระทั่งงานวันเกิดของนายน้อยที่กลายมาเป็นผู้นำตระกูลหลี่หลังการจากไปของนายท่านเมื่อหลายปีก่อนก็ยังได้รับเชิญให้เข้าร่วมด้วย เขาได้เข้าคารวะนายน้อยผู้มีท่วงท่าสง่าผ่าเผยและใบหน้าหล่อเหลางดงามจนละสายตาไม่ได้ กระทั่งคำบอกกล่าวด้วยความเมตตาที่ว่าหากเขาสอบผ่านจนได้เป็นขุนนางขั้นหกขึ้นไปจะให้เป็นไทไปตั้งวงศ์ตระกูลของตัวเองก็ยังแทบไม่รับรู้ มารู้สึกตัวอีกทีตอนได้ยินสำเนียงกู่ฉินอันไพเราะงดงามที่นายน้อยบรรเลงขึ้นตามคำขอของญาติพี่น้อง ภาพบุรุษชุดขาววัยกำลังย่างเข้าสู่ความเป็นหนุ่มบรรจงดีดกู่ฉินในบทเพลงสายธารครวญขุนเขาคนึงในคืนจันทร์เสี้ยวครั้งนั้นยังตราตรึงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำแม้เวลาจะผ่านไปแสนนาน
 
ด้วยความพยายามอย่างบ้าคลั่งทั้งในการศึกษาและการใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ ในที่สุดเขาก็ได้ตำแหน่งจอหงวนในการสอบหน้าพระพักตร์จนได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางหนุ่มอนาคตไกล เขาตกแต่งภรรยาเอกภรรยารองและอนุคนแล้วคนเล่าเพื่อสร้างสายสัมพันธ์มาหนุนความก้าวหน้าของตัวเอง อีกเพียงไม่นาน ตระกูลหลี่ที่มีเพียงแค่ความร่ำรวยก็จะไม่ต่างอะไรกับฝุ่นผงใต้เท้าของขุนนางอย่างเขา
 
แต่แล้วสิ่งที่ใกล้เพียงเอื้อมมือที่แท้กลับอยู่ห่างไกลไม่ต่างจากดวงจันทร์บนฟากฟ้า ด้วยความไว้วางใจจากท่านมหาเสนาบดีเขาบังเอิญได้รู้ความลับที่น่าตกตะลึงของราชสำนัก ตระกูลหลี่แห่งฉางอันมิใช่ตระกูลร่ำรวยธรรมดาแต่กลับเป็นถึงเสาหลักอันซ่อนเร้นที่คอยค้ำจุนบ้านเมืองอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์อันยาวนาน มิรู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ราชวงศ์และชาติบ้านเมืองได้รับความช่วยเหลือจากสรรพวิชาลึกลับมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาแพทย์และวรยุทธ์ที่ล้ำเลิศของตระกูลหลี่ 
 
เมื่อเป็นเช่นนี้จะต้องให้เขาปฏิวัติยึดอำนาจของฮ่องเต้เลยหรือถึงจะสามารถอยู่เหนือตระกูลที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ เขายังไม่ขวัญกล้าถึงเพียงนั้น หากไม่อาจอยู่เหนือได้ก็ไร้โอกาสครอบครอง ในเมื่อเขาขึ้นสูงไปกว่านี้มิได้ก็มีทางเดียวคือต้องกระชากสิ่งที่เกินเอื้อมให้ตกลงมา เขาทุ่มเทกำลังมากมายสืบความลับที่มาของอำนาจตระกูลหลี่ ทำแม้กระทั่งลอบส่งลูกสาวนอกสมรสที่ยังเยาว์ของตัวเองไปอยู่ข้างกายนายน้อย

เขาค่อยๆ ดำเนินการแต่ละเรื่องอย่างใจเย็น อำนาจตระกูลหลี่ลึกล้ำมิอาจสั่นคลอนได้โดยง่าย แต่ไม่มีอะไรเกินความพยายามของมนุษย์ ยิ่งเป็นมนุษย์ไร้คุณธรรมที่ไม่เลือกวิธีการด้วยแล้ว หลายปีต่อมาเขาก็พร้อมที่จะลงมือในขั้นสุดท้าย ขอเพียงเปิดผนึกหีบกลแห่งฉางอันได้ อำนาจในการควบคุมองครักษ์เงาสุสานบรรพชนและขุมความลับที่สืบทอดมาตั้งแต่ราชวงค์ถังของตระกูลหลี่ก็จะตกอยู่กำมือเขา เช่นเดียวกับตัวผู้นำตระกูลที่ยามนั้นจะไม่เหลืออะไรเลย
 
แต่นายน้อยที่สำเร็จเคล็ดวิชากำลังภายในเก้ามังกรถึงขั้นเจ็ด ก็มิใช่สิ่งที่เขาหรือจอมยุทธ์ในใต้หล้าจะต่อกรได้ เขาจึงให้บุตรสาวลอบวางยาพิษสะบั้นชีพจรและชักนำกองทหารปืนไฟของคนเถื่อนตาสีฟ้าจากโพ้นทะเลไล่ล่าจนบุรุษในความทรงจำผู้นั้นต้องมาจนมุมอยู่ตรงขอบเหวลึกของผากาลวิปโยคในตำนาน อีกเพียงไม่กี่อึดใจ เขาก็จะได้ทั้งอำนาจและตัวคนมาอยู่ในครอบครอง เขายกมือขึ้นทำทีเหมือนจะส่งสัญญาณสั่งยิงไปที่กองทหารปืนไฟเพื่อบีบคั้นให้คนในวงล้อมเผยความลับสุดท้ายออกมา
 
ท่ามกลางความเหน็บหนาวของหิมะสีขาวโพลน บุรุษหนุ่มรูปงามยิ้มเหยียดให้กับคนชั่วร้ายอย่างเขา ใบหน้าขาวคมสันเงยขึ้นเล็กน้อย ไร้คำพูดเอื้อนเอ่ย สายตาทอดไปยังฟ้าคราม แสงสลัวของฤดูเหมันต์กระทบใบหน้า หิมะบางเบาราวขนนกเริ่มโปรยปราย สายลมพัดเส้นผมม้วนปลิวไสว ชายแขนเสื้อสีขาวโบกสะบัด แลดูสูงส่งดุจดั่งเทพเซียนผู้ละทิ้งโลกโลกีย์อย่างไร้อาวรณ์  ก่อนที่ร่างนั้นจะพลันถอยหลังทิ้งตัวลงไปยังหุบเหวเบื้องล่างโดยไม่ลังเล
 
นั่นคือภาพสุดท้ายของคนเพียงผู้เดียวในดวงใจที่เขาได้ประทับไว้จนชั่วกาล
 
คืนนี้หิมะโปรยปรายเช่นเดียวกับวันนั้น เวลาล่วงเลยไปแล้วหลายปี แต่ภาพบุรุษรูปงามชุดขาวทิ้งตัวลงไปยังหุบเหวลึกยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำที่ปรากฎขึ้นในฝันร้ายทุกค่ำคืน
 
เขาเดินโซเซเปิดประตูเข้าไปในเรือนปีกตะวันออก ชายในชุดขาวรูปร่างคล้ายบุรุษในความทรงจำยืนก้มหน้าตัวสั่นด้วยความกลัว เขาเอื้อมมือกระชากอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมกอด ส่งเสียงร่ำไห้แทบไม่เป็นภาษา
 
“นายน้อย ท่านกลับมาแล้วใช่ไหม อย่าจากข้าไปอีก ท่านชอบลูกสาวข้า ข้าจะให้นางหย่าขาดจากสามีมาเป็นอนุท่านดีหรือไม่ หีบกลแห่งฉางอันถูกทำลายไปแล้ว ตระกูลหลี่ของท่านก็เร้นหายไปจากต้าหมิง ราชสำนักระส่ำระสาย แต่ไม่ต้องกลัว ท่านมาอยู่กับข้า ข้าเป็นถึงเสนาบดี ไม่ใช่เด็กกำพร้าต่ำต้อยอีกแล้ว ข้าจะปกป้องท่านเอง”
 
เสียงคร่ำครวญแปรเปลี่ยนกลายไปเป็นความเกรี้ยวกราด คนที่อยู่ในอ้อมกอดหาใช่คนในความทรงจำไม่ เสียงครวญครางโหยหวนราวกับการสมสู่ของเดรัจฉานดังขึ้นท่ามกลางจวนอันเงียบสงัด เนิ่นนานจนค่อยสงบลง เสียงสะอื้นไห้เช่นเดียวกับตอนแรกค่อยๆ ดังขึ้นมาอีก ก่อนจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นเสียงรุนแรงเร่าร้อนทรมานของแรงกำหนัดอันดำมืด วนเวียนเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจวบจนฟ้าสาง

##################

#อี้หลงคุน

ออฟไลน์ yunjae_yusoo_mi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เหมือนเรื่องจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
แถมดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ หวังว่าจะไม่ทิ้งกันไป

อีกเรื่อง คนที่ไม่น่าไว้ใจก็คือ คุณพี่จาง เนี่ยแหละ
แอบตรวจสอบสูตรของน้อง และก็น่าจะเป็นคนเอาส่วนผสมในห้องอักษรไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-12-2019 12:56:02 โดย yunjae_yusoo_mi »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
พี่อี้หลง มือไวนัก! โดนน้องคุนควักพวงยังถือว่าน้อยไป น่าจะบีบให้หน้าเขียวไปเลย ฮึ่ย!

ตลกติณอ้ะ ไร้จุดเด่นจนกลมกลืนจริง ๆ ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ

อ่านตอนพิเศษแล้วเศร้าใจ ความปรารถนารุนแรงบิดเบี้ยวของคน ๆ เดียว ทำลายทุกอย่างจนย่อยยับเลย สงสารคนที่มาเป็นตัวแทน

พิณนั้นมีที่มาอย่างนี้นี่เอง

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เรื่องเข้มข้นขึ้น ไม่ชิวๆแล้ว

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
แหม่ เหมือนคุณ insomniac เริ่มรู้โทนอารมณ์คนอ่านเลยครับ (ฮา)

สำหรับผม ผมเริ่มรู้สึกว่าเรื่องเนือยนิดนึง เพราะการแสดงออกของแต่ละตัวละครไปไม่สุดในมิติของจุดเด่นแต่ละตัว เลยทำให้เหมือนกลืนๆกับเรื่องไปหมด แม้กระทั่งคู่หลัก (จางอี้หลงกับหลี่คุน) ซึ่งอันนี้ผมเดาจากแท็กนะครับ ก็ยังรู้สึกว่าไม่ว้าว เช่นเดียวกับคู่รอง (แฮ็คส์กับซูกัส) ที่ดูคาแรกเตอร์จืดเกินไปหน่อยทำให้กลืนไปกับเรื่องมากๆ

ในบางเคส เราไม่จำเป็นต้องยัดทุกตัวละครหรือทุกบทเข้ามาให้มีบทบาทนะครับ การใส่เข้ามาทั้งหมดมันจะทำให้จับโฟกัสไม่ได้ ประโยชน์อีกอย่างนึงที่ถ้าไม่ต้องใส่บททุกตัวละครในฉากนึงคือ เผื่อเอาไว้เราขยายสเกลเรื่อง บทตัวละครที่เว้นว่างๆไปในอีเวนท์นั้น เราสามารถเอามาประดิษฐ์พล็อตรองเชื่อมต่อได้ ตัวอย่างที่เห็นชัดๆคือฉากเล่นเปียโนในละครเวที ทุกตัวละครใส่มาหมดเลย แบงค์ จางอี้หลง หลี่คุน ซูกัส เพื่อนซูกัส ติน เพื่อนนักค่ายมวย สังเกตว่ามันดู...เยอะ (ฮา) แล้วเรายังอัดเรื่องของการอยู่เหนือแบงค์ของจางอี้หลงผ่านการเล่นดนตรีเข้ามาอีก ยังโชว์เรื่องการผสานบีทบ็อกเข้ามาด้วยของแฮ็คส์ มันเลยทำให้สาส์นแท้จริง เรื่องความไพเราะของบทเพลงที่หายสาบสูญ โดนกลืนไปท่ามกลางฉากบรรยายเรื่องอื่นๆน่ะครับ พอสาส์นไม่เด่น มาอ่านตอนที่แบงค์โชว์ให้ปรมาจารย์ในประเทศจีนเห็นก็เลยดูดรอปความน่าสนใจลงไป

พอเจอคุณ insomniac เอาบทบรรยายหุ่นของตินมายั่ว เลยหนีไม่รอดครับ (ฮา) ต้องกลับมาดูพ่อหนุ่มหุ่นฟิตเสื้อ โอ้โฮฮฮ นี่แหละครับนักรบที่เรารอคอย! /หัวเราะ ไม่งั้นก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้วครับ ในบรรดาตัวละครเรื่องนี้ ผมนี่ FC ติณสุดแล้ว ฮะๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-12-2019 17:03:48 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ความลับเริ่มจะรั่วทีละอย่างสองอย่างแล้วนะ จะเอาตัวรอดกันยังไง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ต้องขอชมว่า​ โดยรวม​ สนุก​ แพรวพราว​ และลื่นไหล
แม้ในบทท้ายๆ​ จะยืดยาดไปบ้าง​ แต่ก็ยังชวนติดตาม​ ชวนลุ้นอยู่​

ขอตินิดนึงว่า​ เหมือนผู้เขียนต้องการแชร์บทให้แต่ละคนอย่างเท่าเทียมกัน​ เรียกได้ว่าไม่มีตัวไหนที่ถูกลืม​ เลยทำให้อัดแน่นไปจนล้นๆ​ ไม่กระชับ​

แต่อย่างที่บอกโดยรวมแล้วสนุกดี​ค่ะ
จะติดตามจนจบ

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
รู้ตัวว่ายังเขียนไม่ค่อยดีแต่ไม่รู้ว่าควรปรับที่จุดไหน การมีคนอ่านมาช่วยให้ความเห็นอย่างตั้งใจแบบนี้ช่วยได้เยอะเลยครับ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
คิดถึงแล้ววว หายไปนานจังเลยย

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อย่าหายไปนานซิครับคิดถึง  :L1: :L1:

ออฟไลน์ Honeyhoney

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
 :mew1: อ่านรวดเดียวสนุกมากกกก รอดูปมต่าง.ๆ เฉลยย

ออฟไลน์ nizxx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รู้สึกเหมือนยังเดินทางไม่ถึงกลางเรื่องเลยค่ะ ปริ่มๆมาก สุดท้ายความพยายามทุกอย่างสูญเปล่านะลุงนะ อยากครอบครอบเขาแต่เขามีปีก เขาไม่ยอมอยู่ในกรงอะ กางปีกเลยจ่ะ ขำความสกินชิพแอบทัชๆของยัยน้องไม่ไหว ก็รู้สึกผิดบาปแหละ แต่พลังก็ก้าวหน้าไง พี่อี้ตาเหลือกแล้วโดนน้องลวนลามไม่รู้ตัว55555555555555555555 นี่ถ้าน้องกัสเราเชื่อความเพ้อเจ้ออีกนิดก็ใกล้ความจริงแล้วนะ อีกนิดนึง น้องจะได้กลับไปเยือนจีนแล้ว สะไภ้จีนนนนน เรื่องนี้พระเอกค่าตัวแพงมาก บทน้อยกว่าพี่ตินอีก5555555555

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
26

 
ขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิที่ก่อนหน้านี้ก็ขายมาได้อย่างราบรื่นอยู่หลายเดือนเริ่มมีคู่แข่งตัวจริงปรากฎตัว บริษัทเครื่องสำอางค์รายหนึ่งได้ออกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตัวใหม่ชื่อ ขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮา ออกมา ทั้งชื่อและบรรจุภัณฑ์ล้วนชวนให้อดเปรียบเทียบกับสินค้าของหลี่คุนไม่ได้ ยิ่งเมื่อเจ้าของโหมซื้อโฆษณาให้ทั้งดาราทั้งเน็ตไอดอลโปรโมทผลิตภัณฑ์ออกตามสื่อโซเชียลต่างๆ คนที่ไม่อยู่วงในจริงๆ แต่เคยได้ยินข่าวลือเรื่องขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิมาบ้างก็คิดว่าขี้ผึ้งฮองเฮานี่แหละคือใช่สิ่งที่ไฮโซใช้กัน
 
หลี่คุนเห็นโฆษณาพวกนี้ผ่านๆ ทางโซเชียลก็ไม่ได้สนใจคิดว่าคงไม่ต่างกับของเลียนแบบที่เคยมีมาแป๊บๆ แล้วก็เงียบหายไป ถึงจะได้ยินคำชื่นชมทางอินเตอร์เน็ตอยู่บ้างแต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นหน้าม้า แต่พอพวกซูเอ๋อร์ทดลองสั่งซื้อมาให้ดูหลี่คุนก็ต้องตกตะลึง เพียงได้กลิ่นก็ทราบว่าขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮานี้มีส่วนผสมหลายอย่างใกล้เคียงกับขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิของเขามาก พอลองใช้ปราณตรวจสอบดูก็พบว่าสัดส่วนของสมุนไพรมีความถูกต้องอยู่ไม่น้อย
 
ต่อให้เป็นปรมาจารย์ด้านการปรุงยาในยุคของเขา การจะลอกเลียนโอสถของผู้อื่นโดยไม่ทราบสูตรต้นฉบับก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ทันที จะต้องอาศัยทั้งโชคและเวลาในการพยายามลองผิดลองถูกอยู่หลายๆ ปี แต่สินค้าของเขาเพิ่งออกขายได้ไม่ถึงครึ่งปี ในยุคนี้จะยังหลงเหลือปรมาจารย์โอสถที่มีความสามารถกว่าในอดีตอีกหรือ ถ้าไม่พบว่าส่วนประกอบของขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮามีสมุนไพรไทยสองสามชนิดผสมอยู่ด้วยซึ่งเป็นตำหรับที่เขาพัฒนาขึ้นเอง หลี่คุนคงนึกว่าสินค้าคู่แข่งนี้ใช้สูตรที่สืบทอดต่อเนื่องมาจากยุคโบราณจริงๆ
 
หลี่คุนตื่นตระหนกกับเรื่องนี้มาก ขี้ผึ้งจักรพรรดิเป็นสินค้าที่สร้างกำไรกว่าเจ็ดแปดส่วนให้กับฉางอันโอสถ น้ำมันมวยมีคุณแม้ยอดขายจะสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่กำไรต่อหน่วยยังน้อยเมื่อเทียบกับขี้ผึ้งจักรพรรดิ ไหนจะต้องแบ่งออกไปให้กับโรงงานผู้ผลิต ครูมี ค่ายมวย ศ.เผด็จศึก และร้านค้าต่างๆ ทั้งออนไลน์และหน้าร้านจริง น้ำมันมวยมีคุณมีอนาคตที่ดีแต่ตอนนี้เขายังต้องพึ่งพาขี้ผึ้งจักรพรรดิอยู่ หากได้รับผลกระทบจากการแข่งขันนี้มากๆ เข้า ต่อไปเขาจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อวัตถุดิบเพื่อปรุงยาระดับปฐพีที่ใกล้ความจริงขึ้นมาทุกที
 
หลี่คุนเร่งตรวจสอบสินค้าคู่แข่งโดยละเอียด สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เขาคิด ถึงคู่แข่งจะสามารถลอกเลียนส่วนผสมและสัดส่วนเบื้องต้นของขี้ผึ้งจักรพรรดิได้ แต่เมื่อไม่มีการใช้ปราณตรวจสอบความผันแปรของวัตถุดิบแต่ละแหล่งแต่ละล๊อตเพื่อปรับสัดส่วนในการปรุงยาโดยละเอียดอย่างที่เขาทำ โอสถเลียนแบบที่ได้จึงมีสรรพคุณแค่เพียงสองส่วนเท่านั้น แต่เจ้าของผลิตภัณฑ์เหมือนจะทราบจุดอ่อนตรงนี้ จึงได้มีการผสมตัวยาสมัยใหม่ที่ค่อนข้างแรงลงไปช่วยเสริม การใช้ในตอนแรกจะรู้สึกว่าได้ผลเร็วอยู่บ้าง แต่ในระยะยาวย่อมไม่ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวได้ต่อเนื่องอย่างขี้ผึ้งจักรพรรดิ
 
ถึงจะมีความต่างตรงนี้แต่ก็ยากที่ลูกค้าจะรับรู้ได้ในระยะเวลาอันสั้น นี่นับเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อการทำมาหากินของหลี่คุน เขายังนึกไม่ออกว่าสูตรยามันรั่วไหลไปขนาดนี้ได้ยังไงในเมื่อเขาเป็นคนคิดเองผสมเองทั้งหมด เด็กๆ เพื่อนซูเอ๋อร์ที่มาช่วยก็ไว้ใจได้และทำแค่เรื่องบรรจุและแพ็คของ  แต่ในเมื่อสินค้าเขาโดนลอกเลียนแบบแน่ๆ มันน่าจะมีวิธีทางกฎหมายอะไรของยุคนี้ที่จะจัดการได้ หลี่คุนติดต่อนักกฎหมายของบริษัทเพื่อขอความเห็นทันที
 
LY : มันยากมากๆ นะครับบอสที่จะเอาเรื่องนี้มาเป็นมูลฟ้อง ชื่อขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮากับขี้ผึ้งโอสถจักพรรดิ มันก็ไม่ได้เหมือนกันขนาดทำให้คนเข้าใจผิด บรรจุภัณฑ์ก็แค่คล้ายๆ ในต่างประเทศมีการฟ้องกันเรื่องลุคแอนด์ฟิลของสินค้าไอที แต่ผมว่าศาลไทยยังไม่รับฟ้องเรื่องแบบนี้
 
LK : แล้วที่สูตรยาโดนลอกเลียนล่ะครับ
 
LY : ในทางธุรกิจมีวิธีปกป้องสินค้าอยู่สองแบบ อย่างแรกคือการจดทรัพย์สินทางปัญญา แต่เจ้าของต้องเปิดเผยข้อมูลสูตรโดยละเอียดเลยนะครับ และต้องพิสูจน์ด้วยไม่เหมือนกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ข้อดีคือได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย ข้อเสียคือทุกคนสามารถเห็นรายละเอียดนั้นได้ ถ้ามีใครหาทางพลิกแพลงจนหลุดจากกรอบที่เราจดไว้ก็สามารถผลิตสินค้ามาแข่งได้ทันที ส่วนอีกวิธีคือเก็บไว้เป็นความลับทางการค้า แต่ถ้ารั่วไหลไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ ยกเว้นจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นการขโมยหรือได้มาอย่างผิดกฎหมายครับ
 
LK : ซับซ้อนจังครับ ดูเหมือนเราจะยังทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้
 
LY : ถ้ามีข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติมมากกว่านี้ก็อาจยื่นฟ้องได้ครับ แต่ผมเช็คแล้วบริษัทที่เป็นเจ้าของสินค้าตัวนี้ดูเหมือนจะมีเครือธุรกิจขนาดใหญ่หนุนหลังอยู่ เขาคงมีทั้งเงินทั้งทนายเก่งๆ ท่าทางจะต้องสู้กันยาว ผมเพิ่งจบใหม่กระดูกยังอ่อน ถ้าจะเอาจริงบอสคงต้องจ้างทนายที่มีประสบการณ์เรื่องแบบนี้ ค่าตัวคงสูงมาก
 
LK : ยังไม่มีหลักฐานอะไรเลยว่าเขาได้สูตรไปได้ยังไง แล้วเราจะเล่นประเด็นที่เขาโฆษณาว่าเป็นขี้ผึ้งสมุนไพร แต่จริงๆ ผสมสารเคมีลงไปด้วยได้ไหมครับ
 
LY : น่าจะยากนะครับ เขาไม่ได้บอกว่าเป็นสมุนไพรร้อยเปอร์เซ็นต์ปราศจากสารเคมี แล้วก็ระบุชื่อสารออกฤทธิ์ไว้บนกล่องตามกฎหมายแล้ว ถึงจะพิมพ์ตัวเล็กๆ จางๆ ก็เถอะ คนใช้ส่วนใหญ่ไม่อ่านดูเองกฎหมายก็ไม่รู้จะช่วยยังไง
 
LY : ยังมีข้อมูลอีกอย่างที่ต้องบอกบอสครับ บริษัทที่จำหน่ายขี้ผึ้งฮองเฮานี้ เมื่อก่อนเคยมาขอซื้อสูตรขี้ผึ้งจักพรรดิด้วย ถ้าไม่ได้ก็ขอซื้อทั้งกิจการฉางอันโอสถเลย พอบอสให้ผมปฏิเสธไป ก็ตอบกลับแบบไม่ค่อยดี
 
LK : จำได้แล้วครับ งั้นรอดูไปก่อนละกัน
 
การโหมโฆษณาของขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮาเริ่มมีผลกระทบต่อยอดขายขี้ผึ้งจักรพรรดิ แค่ชื่อก็รู้สึกว่าโดนข่มแล้ว ระหว่างจักรพรรดิกับฮองเฮา คนที่ใส่ใจเลือกเฟ้นเครื่องประทินโฉมแน่นอนว่าคือฝ่ายหลัง มีสมาชิกที่ลองใช้สินค้าตัวใหม่แล้วรู้สึกว่าดีคล้ายๆ กันก็เริ่มไขว้เขว พอเห็นว่าราคาก็ย่อมเยากว่า มีดาราไอดอลที่มีชื่อเสียงมายืนยันคุณภาพ หาซื้อก็ง่าย ในที่สุดก็เริ่มชวนๆ กันยกเลิกสมาชิกขี้ผึ้งจักรพรรดิไปหลายราย ต่อมาก็เริ่มจุดกระแสบอกต่อกันเรื่อยๆ ทำให้ยอดสมาชิกตกลงไปไม่น้อย
 
หลี่คุนโต้กลับด้วยการขอให้ทีมขายหนุ่มหล่อชุดเดิมมาช่วยชี้แจงความแตกต่างของผลิตภัณฑ์สองตัวนี้ให้กับลูกค้าปัจจุบันและก็เดินสายหาลูกค้าเพิ่ม แต่เมื่อเหตุเกิดกระทันหันเช่นนี้ หมอภีมก็งานยุ่งมาก ส่วนนักขายมือทองอย่างแบงค์บอกว่าติดธุระอยู่ที่จีน ยังกลับมาช่วยทันทีไม่ได้ ความเสียหายจึงถูกชะลอไว้ได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น คนที่เคยคิดว่าจะเป็นลูกค้าใหม่ได้ ส่วนใหญ่เก็บความไม่พอใจที่ต้องรอคิวสมาชิกขี้ผึ้งจักรพรรดิอยู่นาน ตอนนี้เลยหันไปใช้ขี้ผึ้งฮองเฮากันหมดแล้ว สมาชิกหดหายลูกค้าใหม่ก็ไม่มา ถ้าไม่มีรายได้จากน้ำมันมวยมีคุนมาช่วยไว้ อย่าว่าแต่เงินที่จะเอาไปซื้อวัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถระดับปฐพีเลย เกรงว่าแม้แต่ค่าผ่อนคอนโดของเดือนนี้หลี่คุนก็ยังไม่มีปัญญา แต่เดือนต่อๆ ไปไม่รู้สถานการณ์จะเป็นอย่างไร
 
หลี่คุนคิดว่าตัวเองไม่ควรทุ่มเงินไปกับการทดลองโอสถระดับปฐพีจนไม่เหลือเงินเก็บเลยเช่นนี้ แต่โลกนี้ไหนเลยจะมียาแก้เสียใจภายหลัง เขาทำได้แค่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ดีที่สุด ตอนนี้มีปัญหาสองอย่าง อย่างแรกคือต้องพยายามเพิ่มยอดขายสินค้าเดิมหรือหาผลิตภัณฑ์ใหม่มาทำให้สภาวะการเงินของบริษัทกลับมาเป็นปกติ แต่ถ้ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่สองเรื่องที่ว่าความลับรั่วไหลไปได้อย่างไร เขาจะวางใจออกผลิตภัณฑ์ใหม่ได้อย่างไร
 
เมื่อเจอปัญหาธุรกิจที่พัวพันเช่นนี้ หลี่คุนนึกถึงแต่จางอี้หลง แต่ตั้งแต่อีกฝ่ายกลับไป การพูดคุยผ่านแชทระหว่างทั้งคู่ดูจะน้อยลง หลี่คุนแปลกใจกับเรื่องนี้มาสักพักแล้ว แต่จางอี้หลงเคยพูดว่างานยุ่งมาก ประกอบกับเขาเองถึงจะสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากขึ้นจากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยหลายวัน แต่ก็ยังละอายใจกับเรื่องน่าอายที่แอบทำลงไป เขาจึงรู้สึกเข้าหน้าไม่ติดอยู่บ้างถึงอีกจางอี้หลงจะไม่รู้ตัวก็ตาม แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์คับขันเช่นนี้เขาจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจริงๆ
 
LK : พี่อี้หลงครับ
 
LK : ทักๆ ครับพี่
 
LK : ตอบน้องหน่อย
 
ZYL : มีอะไรครับ
 
LK : ขอคำปรึกษาครับ พี่สะดวกไหม
 
ZYL : พอได้ แต่มีเวลาไม่มากนะ
 
LK : ในทางธุรกิจ เขาใช้วิธีไหนในการขโมยความลับของคู่แข่งครับ พวกสูตรการผลิตอะไรแบบนี้
 
ZYL : สรุปว่าน้องคุนสนใจเรื่องการล้วงของลับของคนอื่นสินะ จริงๆ ก็มีหลายวิธี ง่ายๆ เลยก็ซื้อข้อมูลจากคนใน หรือซื้อตัวคนที่รู้ออกมาเป็นพนักงานตัวเองเลย แต่ถ้าเจาะไม่ได้ ก็อาจจะสืบจากคู่ค้ารายต่างๆ ที่ส่งวัตถุดิบให้ แต่เดี๋ยวนี้เขามักทำวิศวกรรมย้อนกลับ ก็เอาสินค้าคู่แข่งมาชำแหละเลยว่าประกอบด้วยอะไร ถ้าเป็นพวกผลิตภัณฑ์เคมีหรือยา ก็ส่งเข้าห้องแลบวิเคราะห์องค์ประกอบเลยว่ามีสารเคมีอะไรบ้าง แล้วก็เอาไปเทียบฐานข้อมูลถอดออกมาเป็นรายการวัตถุดิบได้ ถ้าคู่แข่งไม่ได้จดสิทธิบัตรไว้ก็เสร็จเรา
 
LK : วิเคราะห์องค์ประกอบนี่ง่ายอย่างนั้นเลยเหรอครับ
 
ZYL : เดี๋ยวนี้เครื่องมือวิเคราะห์ทดสอบมันละเอียดมาก เทคโนโลยีที่ใช้ก็มีหลายแบบ อย่าว่าแต่สารเคมีตัวเดี่ยวๆ เลย ขนาดสารซับซ้อนทางชีวภาพเช่นสมุนไพรต่างๆ ยังวิเคราะห์ออกมาได้หมด ทำไม เราจะไปล้วงอะไรใครเหรอครับ
 
LK : เปล่าครับ คือตอนนี้ขี้ผึ้งโอสถจักพรรดิของเราโดนคู่แข่งเลียนแบบสูตร ถึงคุณภาพจะไม่ดีเท่า แต่เขาโหมโฆษณาทั้งออฟไลน์ออนไลน์ ตอนนี้ยอดเราตกลงเรื่อยๆ จนสภาพทางการเงินมีแนวโน้มไม่ดี ต้องขอโทษพี่อี้หลงในฐานะผู้ถือหุ้นด้วยที่ผมดูแลไม่ดี
 
ZYL : อืม เรื่องใหญ่จริงๆ แล้วเราจะให้พี่ช่วยอะไร
 
LK : ผมอยากพยายามด้วยตัวเองก่อนครับ ตอนนี้ขอแค่คำปรึกษา ส่วนหนึ่งที่เขาขายดีกว่าเราเพราะราคาต่ำกว่า พี่ว่าเราลดราคาลงสู้ดีไหมครับ
 
ZYL : ทำอย่างนั้นก็เป็น Red Ocean สิ
 
LK : หมายถึงอะไรครับ???
 
ZYL : เป็นศัพท์ด้านกลยุทธ์ธุรกิจครับ หมายถึงการแข่งขันในสินค้าบริการที่เหมือนๆ กัน จนสุดท้ายต้องมาแข่งกันที่ราคา คนหนึ่งลดราคาลงก็เหมือนแทงคู่แข่งจนเลือดไหลไปหนึ่งแผล อีกคนก็ลดราคาสู้ให้ต่ำลงไปอีกก็เหมือนแทงกลับหนึ่งแผล ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ไม่เหลือกำไรกันเลย มีแต่บาดแผลที่ผลัดกันแทงเลือดไหลนองจนกลายเป็นทะเลสีแดงหรือเรดโอเชียนที่ว่า
 
LK : โอ้วว แล้วจะออกจากสถานการณ์น่ากลัวนี้ได้ยังไงครับ
 
ZYL : ก็ต้องหานวัตกรรมใหม่ๆ ให้สินค้าบริการของเราจนไม่ต้องแข่งด้านราคา ที่พี่เคยสอนในวันแรกที่เราเจอกันไง ถ้าทำได้สำเร็จก็เหมือนเราหนีออกจากทะเลเลือดไปสู่ทะเลสีน้ำเงินแห่งใหม่ที่เรียกว่า Blue Ocean ครับ
 
LK : แต่ตอนนี้ลูกค้ารู้สึกว่าขี้ผึ้งของเราไม่ได้ต่างจากคู่แข่งนะครับ กว่าจะเห็นความต่างคงต้องใช้เวลา ถ้าไม่ลดราคาตอนนี้จะขายได้ยังไง
 
ZYL : พี่ว่าขี้ผึ้งน้องคุนมีนวัตกรรมในตัวเองอยู่แล้ว ควรต้องขึ้นราคาครับ
 
LK : ยิ่งขายไม่ได้เข้าไปอีก เดือนหน้าผมจะไม่มีเงินผ่อนคอนโดอยู่แล้วนะพี่
 
ZYL : น้องคุนบอกเองนะว่าสินค้าคู่แข่งไม่ดีเท่าของเรา พี่ก็มั่นใจอย่างนั้น น้องคุนแค่ต้องออกขี้ผึ้งสูตรใหม่ คุณภาพจริงๆ จะปรับปรุงขึ้นมากน้อยไม่สำคัญ ของเราดีอยู่แล้ว แต่ต้องมีเรื่องราวภาพลักษณ์ประกอบว่าเป็นของใหม่ที่ดีกว่าเดิมในทุกด้าน ทีนี้ประกาศให้สมาชิกปัจจุบันจะซื้อได้ในราคาเดิมหากยังเป็นสมาชิกต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ส่วนลูกค้าใหม่จะต้องซื้อในราคาเต็มที่แพงขึ้น พี่ว่าขึ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์ไปได้เลย
 
LK : แพงขึ้นอีกตั้งห้าส่วน แล้วใครจะซื้อครับ ฮือ เจ๊งแน่ๆ
 
ZYL : ลองคิดตามนะครับ ถ้าทำอย่างนี้ ขี้ผึ้งของเราจะต่างกับคู่แข่งทั้งด้านภาพลักษณ์และราคาอย่างชัดเจน พอคนเห็นราคาที่ต่างกันขนาดนี้ เขาย่อมไม่คิดว่าคุณภาพจะเหมือนกัน ส่วนจะจริงหรือเปล่า น้องคุนก็บอกแล้วว่าเวลาจะเป็นตัวพิสูจน์ ไหนๆ กำลังการผลิตขี้ผึ้งจักพรรดิก็เพิ่มขึ้นมากไม่ได้ ถ้าไม่ถือโอกาสขึ้นราคาตอนนี้ ต่อไปจะเพิ่มกำไรได้ยังไง
 
LK : ฟังดูเสี่ยงมากเลยครับ
 
ZYL : พี่รับรองว่าลูกค้าปัจจุบันที่เชื่อมั่นในขี้ผึ้งของน้องคุน ยังไงก็ไม่กล้ายกเลิกสมาชิก ไม่งั้นตอนกลับมาเป็นใหม่จะต้องจ่ายแพงกว่าเดิม เราก็ใช้ฐานสมาชิกตรงนี้เลี้ยงไปก่อน พอลูกค้าใหม่หรืออดีตลูกค้าทราบความแตกต่าง ก็ต้องยอมจ่ายที่ราคาสูงขึ้น อาจจะใช้เวลาหน่อย แต่สุดท้ายไปได้สวยแน่นอน
 
LK : ผมเริ่มเห็นด้วยแล้วครับ แต่กว่าจะเห็นผล บริษัทเงินไม่พอแน่ๆ
 
ZYL : เรื่องนี้พี่ขออนุญาตช่วยนะครับ น้องคุนต้องเพิ่มทุนบริษัท แล้วพี่จะเป็นคนใส่ทุนส่วนใหม่ให้เองและซื้อหุ้นตรงจากเราส่วนหนึ่งด้วย ตอนนี้พี่ประเมินมูลค่าฉางอันโอสถไว้สูงกว่าเดิมมาก รับรองน้องคุนจะต้องพอใจ สัดส่วนใหม่พี่จะถือเป็นประมาณสิบห้าเปอร์เซ็นต์ น้องคุนก็ยังเป็นหุ้นใหญ่และฝ่ายบริหารอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
 
LK : จริงเหรอพี่ ถ้าอย่างนั้นผมก็มีเงินไปผ่อนคอนโดแล้ว แต่ว่าพี่มีเงินเยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ
 
ZYL : พี่มีทางของพี่ครับ น้องคุนไม่ต้องเป็นห่วง นั่งรอรับเงินได้เลย
 
LK : ขอบคุณนะพี่อี้หลง ถ้าไม่ได้พี่ช่วยผมตายแน่ๆ ดีล่ะ ผมจะรีบไปคิดสูตรขี้ผึ้งตัวใหม่ รับรองดีกว่าตัวเดิมไม่น้อยแน่ๆ
 
ความเชี่ยวชาญในการปรุงยาของหลี่คุนเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลัง เขาใช้เวลาไม่นานนักในที่สุดปรับขี้ผึ้งบำรุงผิวพรรณสูตรใหม่ที่ทั้งดีกว่าเดิมและลดต้นทุนลงได้อีก ที่สำคัญเขามั่นใจในความซับซ้อนของสูตรที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม ถ้าของเก่ายังเลียนแบบได้แค่นั้นของใหม่ก็ไม่ต้องพูดถึง หลังจากประชุมหารือกับพวกเด็กๆ เขาก็ตัดสินใจตั้งชื่อสินค้าตัวนี้ว่า ‘ขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิกตัญญู’
 
เรื่องราวเบื้องหลังที่เด็กๆ นำโดยซูเอ๋อร์ที่มีจินตนาการบรรเจิดกว้างไกลช่วยกันแต่งคือ ขี้ผึ้งสูตรนี้ได้สืบทอดจากตำหรับของฮ่องเต้ในยุคจีนโบราณที่มีราชโองการให้หมอหลวงระดมความรู้ทั่วหล้าปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับให้ฮ่องเต้ทูลถวายต่อองค์ไทเฮาผู้เป็นมารดาเพื่อแสดงความกตัญญู ลองคิดดูว่าระหว่างฮองเฮากับไทเฮา ใครจะต้องการสรรพคุณการลบเลือนริ้วรอยที่มากกว่ากัน อีกทั้งของที่บุรุษผู้อยู่เหนือคนใต้หล้านำมาให้แก่มารดาย่อมต้องดีที่สุด เพียงแค่เพิ่มความว่ากตัญญูลงในชื่อ เรื่องราวก็เหนือชั้นกว่าสินค้าคู่แข่งไปไกลลิบแล้ว
 
สินค้าตัวใหม่ที่มาทดแทนของเดิมพร้อมกับราคาที่ปรับขึ้นถูกประกาศให้สมาชิกทราบในทันที เรื่องราวน่าประทับใจระหว่างฮ่องเต้และไทเฮาได้ถูกถ่ายทอดเติมแต่งโดยทีมขายหนุ่มหล่ออย่างซาบซึ้งและเต็มไปด้วยสีสรร สมาชิกที่อยู่ระหว่างชั่งใจว่าจะย้ายค่ายหรือไม่ ตัดสินใจที่จะรอดูสถานการณ์ก่อน ความเสียหายไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะกลับมาเป็นปกติหรือไม่ หลี่คุนเข้าใจว่ามันต้องใช้เวลา ตอนนี้เขาต้องรีบดำเนินการเรื่องเพิ่มทุนกับขายหุ้นบางส่วนให้กับจางอี้หลงเพื่อให้มีเงินมาหมุนเวียนใช้ในธุรกิจและใช้จ่ายส่วนตัว เลยถือโอกาสเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้หมอภีมทราบในฐานะผู้ถือหุ้นอีกรายหนึ่ง
 
“คุณคุณานนท์ตัดสินใจไปแล้ว ผมก็ไม่มีอะไรขัดข้องหรอกครับ ที่มาถือหนึ่งเปอร์เซ็นต์นี่ก็ช่วยให้มีผู้ถือหุ้นครบสามคน คลีนิคฝังเข็มผมก็ไปได้ดีอยู่ ถ้าจะให้ช่วยอะไรก็บอกได้นะครับ ส่วนเพิ่มทุนครั้งนี้ผมก็ขอตามเพื่อรักษาสัดส่วนให้เป็นหนึ่งเปอร์เซ็นต์เหมือนเดิมแล้วกัน หุ้นนิดเดียวถึงราคาใหม่จะสูง คูณแล้วส่วนของผมก็ไม่ได้ใช้เงินเยอะอะไร”
 
“ขอบคุณมากครับ ตอนนี้การเงินผมไม่ค่อยดี งั้นเรื่องรากเหอโส่วอูอายุร้อยปีขึ้นไปที่ผมให้คุณหมอช่วยหา ถ้าเจอก็นิ่งๆ ไว้ก่อนนะครับ ไว้มีเงินค่อยว่ากันใหม่ แล้วตัวแผนธุรกิจใหม่ คุณหมอมีอะไรจะแนะนำบ้างไหมครับ”
 
“ผมเป็นหมอ เรื่องธุรกิจลึกๆ ผมก็ไม่ทราบหรอกครับ แต่ถ้ามองมุมกลับ พอตั้งราคาขี้ผึ้งใหม่ให้สูงขนาดนั้น คนที่เป็นอดีตสมาชิกที่เขาอยากจะกลับมาใช้ของเรา พอเจอราคาสูงๆ เขาจะไม่ชะงักเอาเหรอ ถ้าราคาเท่าเดิม เขาก็คงทะยอยกลับเรื่อยๆ อย่างนี้คล้ายๆ เราปิดประตูไม่ยอมให้เขากลับบ้านนะครับ ถ้าไม่บอกคงนึกว่าตั้งใจเอื้อประโยชน์ให้คู่แข่ง แต่ผมเข้าใจว่าเรื่องนี้ประกาศออกไปแล้ว คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้สินะครับ”
 
หลี่คุนนิ่งไปเกิดความรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาบ้าง เขาไม่เคยมองในแง่นี้เลย และยิ่งหวั่นใจขึ้นอีกเมื่อได้ยินคำพูดทิ้งท้ายของหมอภีม
 
“สุดท้ายถ้าลูกค้ามองว่าความต่างในคุณภาพนี้ไม่คุ้มค่าเงิน คุณคุณานนท์ไม่ต้องเพิ่มทุนหรือเทขายหุ้นออกไปเรื่อยๆ เหรอครับ สุดท้ายใครกันที่จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทนี้”
 
###################

ขออภัยครับ หายไปนานมากกกก

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
27

 
หลี่คุนเฝ้ารอผลจากใจจดใจจ่อว่าแผนธุรกิจใหม่ของขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิกตัญญูจะไปได้ดีขนาดไหน ความเห็นจากหมอภีมก็น่ากังวล แต่เขาเลือกที่จะใช้วิธีของจางอี้หลงไปแล้ว มีแต่ต้องเดินหน้าต่อ จะว่าไปมันก็มีเหตุผลทั้งคู่ เพียงแต่สุดท้ายขึ้นอยู่กับลูกค้าว่าให้น้ำหนักอะไรมากกว่ากันระหว่างเงินกับความงาม ยอดยืนยันสมาชิกทั้งเก่าและใหม่จะตัดตอนใกล้ๆ สิ้นเดือนช่วงนี้จึงยังทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ หลี่คุนรู้สึกเคว้งคว้างอยู่ไม่น้อย ในทางธุรกิจเขาก็ไม่รู้จะไปปรึกษาใครนอกจากจางอี้หลง แต่อีกฝ่ายก็ดูจะธุระยุ่งเสียเหลือเกิน ยังดีที่เจียดเวลามาตอบคำถามของเขาบ้างโดยมีคำแนะนำให้ว่าช่วงนี้คือต้องศึกษาคู่แข่งให้ดี ในยุคนี้คนที่มีข้อมูลเชิงลึกที่ถูกต้องกว่าจะเป็นผู้ชนะในสงครามธุรกิจ หลี่คุนฟังแล้วก็รู้สึกคล้ายกับหลักการรู้เขารู้เราในตำราพิชัยสงครามซุนวู ต่างกันที่ในอดีตมีปัญหาว่าจะหาข้อมูลข่าวสารจากไหนและส่งไปให้ทันท่วงทีได้อย่างไร แต่สมัยนี้ที่สามารถส่งข่าวได้รวดเร็วเพียงพริบตา กลับมีปัญหาว่าข้อมูลมีมากมายมหาศาลจนเกินไปไม่รู้อันไหนจริงอันไหนปลอมอันไหนสำคัญอันไหนไม่สำคัญ
 
หลี่คุนตัดสินใจเริ่มจากบริษัทคู่แข่ง เขาให้นักกฎหมายช่วยตรวจสอบความเป็นมาให้ว่าเป็นบริษัทของเครือกิจการไหน โครงสร้างผู้ถือหุ้นมีใคร ทุนจดทะเบียนเท่าไหร่ ก่อตั้งมานานแล้วหรือยัง ส่วนนักบัญชีก็ให้ช่วยเอาข้อมูลงบการเงินมาวิเคราะห์ให้ อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมีทุนมากน้อยขนาดไหน นักกฎหมายรับเรื่องไปแล้วกลับมาบอกว่าต้องใช้เวลาสักพักเพราะบริษัทนี้มีการถือหุ้นที่ค่อนข้างอำพราง จึงต้องค่อยไล่ผู้ถือหุ้นที่ซ้อนกันขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงจะเจอเจ้าของที่แท้จริง
 
หลี่คุนไม่แน่ใจว่าทำไมช่วงหลังนี้ ตินดูจะเกาะติดกับเขามากกว่าเดิม จะบอกว่าเป็นห่วงธุรกิจของเขาที่กำลังมีปัญหาก็ไม่เชิง ใช่ว่าตินจะแสดงอาการผิดปกติให้เห็น เพียงแต่หลี่คุนมีความรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับตามอง ต่างจากซูเอ๋อร์ที่อยู่ๆ ก็ไม่ได้แสดงอาการสงสัยติดใจในเรื่องที่อธิบายได้ยากของเขาอีก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยทำท่าเหมือนจะทะเลาะกันใหญ่โตเพราะเรื่องนี้ น้องชายที่มองโลกในแง่ดีไม่คิดอะไรมากเช่นนี้น่ารักเหลือเกิน แต่เนื่องจากเขาไม่เหลือวัตถุดิบที่จะใช้ฝึกหลอมยาระดับปฐพีแล้ว หลี่คุนเลยมีเวลาว่างตามตินไปค่ายมวยเพื่อช่วยครูมีนวดพวกพี่ๆ น้องๆ นักมวยตามที่โดนชวน
 
หลี่คุนได้รับการต้อนรับอย่างดีทุกครั้งที่มาที่ค่ายครูเผด็จ เดิมก็ด้วยฝีมือในการนวดที่สืบทอดมาจากครูมี ต่อมาก็เพิ่มฐานะผู้สร้างสรรน้ำมันมวยมีคุณที่สร้างกำไรทำให้ค่ายอยู่ในภาวะตกต่ำยังสามารถเลี้ยงนักมวยฝึกหัดที่ยังไม่มีค่าตัวไว้ได้ แม้แต่ครูแผ่นดินลูกชายครูเผด็จที่รับช่วงบริหารค่ายมวยต่อจากผู้เป็นพ่อยังต้องเกรงใจหลี่คุณอยู่เจ็ดแปดส่วน เขาเพิ่งเสร็จจากการช่วยครูมีนวดนักมวยไปสี่ห้าคนก็มีคนมาตามให้ไปพบครูแผ่นดิน
 
ครูแผ่นดินเป็นหนุ่มใหญ่พ่อหม้ายเมียทิ้งมีลูกชายวัยมอต้นหนึ่งคน วันนี้ดูหน้าตาเต็มไปด้วยความกังวลเหมือนเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น หลี่คุนเห็นแล้วก็แปลกใจมาก ถึงค่ายจะยังอยู่ระหว่างฟื้นตัว แต่ปัญหาเรื่องเงินก็ถูกแก้ไขไปแล้วด้วยส่วนแบ่งกำไรจากน้ำมันมวยที่มีเข้ามาทุกเดือน ถึงตอนนี้คู่แข่งอย่างขี้ผึ้งฮองเฮาจะทำให้ฉางอันโอสถอยู่ในสภาวะที่ไม่ค่อยมีกำไรนัก แต่นั่นไม่กระทบต่อส่วนแบ่งของค่ายที่มาจากน้ำมันมวยมีคุณซึ่งยังไปได้ดีอยู่
 
“คุน พี่ปรึกษาหน่อยว่ะ ถ้าพี่ขอยกเลิกว่าต่อไปไม่เอาส่วนแบ่งของน้ำมันมวยมีคุณแล้ว แต่ขอเป็นสักเงินก้อนแทนได้ไหมวะ แลกกับสิทธิ์ขาดให้เราสามารถใช้ชื่อค่ายมวยพี่ได้ตลอดไป”
 
“ไม่ดีหรอกพี่ ถึงตอนนี้ส่วนแบ่งที่ค่ายได้จะยังไม่เยอะมาก แต่ต่อไปมีแต่จะโตขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งก็มาจากชื่อเสียงความเป็นต้นตำหรับมวยไทยของค่าย พี่ดินเอาสิทธิ์มาขายขาดแบบนี้จริงๆ ตัวเองเสียเปรียบนะ”
 
“พี่ไม่มีทางเลือกแล้วว่ะ ถ้าสิ้นปีนี้ไม่มีเงินก้อนไปให้ ที่ดินแปลงนี้จะถูกธนาคารยึด ถึงตอนนั้นยังไงค่ายมวยก็ต้องปิดอยู่ดี”
 
“เดี๋ยวพี่ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงได้เร่งด่วนแบบนี้”
 
หลี่คุนฟังแล้วก็ยิ่งให้เจ็บใจตัวเองที่ไม่เก็บเงินก้อนเอาไว้เลย วัตถุดิบล้ำค่าที่ทุ่มเทเงินซื้อหามาเพื่อใช้ปรุงยาระดับปฐพีแล้วยังไม่สำเร็จ ตอนนี้กลายเป็นก้อนเหนียวๆ ดำๆ เก็บใส่โถกระเบื้องไว้เต็มไปหมดไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ทำไมเรื่องต้องมาเกิดตอนที่เขาถังแตกแบบนี้
 
แผ่นดินเล่าเรื่องเมื่อห้าปีก่อนให้หลี่คุนฟัง ตอนนั้นยิมมวยไทยในรูปแบบทันสมัยสำหรับคนรุ่นใหม่กำลังได้รับความนิยม แผ่นดินก็ได้ร่วมหุ้นกับเพื่อนไปเปิดยิมลักษณะนี้ในห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่แห่งหนึ่ง ตอนนั้นจึงได้มาขอให้ครูเผด็จเอาที่ดินแปลงนี้ไปเป็นหลักประกันเพื่อกู้เงินก้อนใหญ่จากธนาคารมาลงทุน ในตอนแรกธุรกิจก็ดูจะไปได้ดีด้วยมีชื่อเสียงของค่ายมวย ศ.เผด็จศึกหนุนหลังอยู่ แถมยังมีนักมวยดังๆ ของค่ายผลัดกันไปเป็นเทรนเนอร์ด้วย
 
แต่ต่อมาก็มีนายทุนใหญ่มาเปิดธุรกิจแบบเดียวกันด้วยสถานที่ที่ใหญ่และตกแต่งสวยหรูกว่า การฝึกหัดมวยก็สบายๆ ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องชกมวยได้จริงๆ เน้นไปที่การตั้งท่าเพื่อถ่ายรูปเท่ๆ มากกว่า นอกจากนั้นยังสร้างบรรยากาศด้วยพริตตี้สาวในชุดนักมวยสั้นๆ เดินไปเดินมา รูปแบบนี้กลับถูกจริตลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีฐานะมากกว่า ยิมมวยไทยที่เน้นการฝึกแบบเข้มงวดจริงจังเพื่อให้เป็นมวยจริงๆ ของแผ่นดินก็ค่อยๆ ซบเซาลง สุดท้ายแผ่นดินก็ต้องยอมรับว่าแนวทางของตัวเองไม่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าจนต้องปิดยิมมวยลงพร้อมกับหนี้สินก้อนใหญ่
 
หลังจากเคลียร์หนี้ด้วยสินทรัพย์บางส่วนไปและเข้าสู่การประนอมหนี้ ค่ายมวย ศ.เผด็จศึก ก็มีภาระที่ต้องผ่อนจ่ายดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นพร้อมเงินต้นอีกเล็กน้อยในแต่ละเดือน โดยมีเงื่อนไขที่จะต้องชำระเงินต้นอีกก้อนหนึ่งทุกๆ สิ้นปี นี่เป็นเหตุให้ทางค่ายไม่มีเงินทุนมาใช้จ่ายในการดึงตัวหรือพัฒนานักมวยในช่วงหลังๆ จนเริ่มตกต่ำลง ด้วยความประหยัดของแผ่นดิน ทำให้ชำระเงินรายเดือนได้ครบถ้วนตลอด แต่ปัญหาคือเงินก้อนที่ต้องจ่ายสิ้นปีนี้
 
“แล้วปีก่อนๆ พี่ดินทำยังไงครับ”
 
“ก็พยายามออมเงินไว้จนสิ้นปี แล้วไปเจรจากับแบ๊งค์ มีเท่าไหร่ก็จ่ายไปเท่านั้น ทุกปีเขาก็ยอมนะ แต่ปีนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ผู้จัดการยืนยันหนักแน่นว่าต้องเอามาให้ครบยอด ไม่งั้นจะยึดที่ดินไปขายทอดตลาด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าจะผ่อนผันให้เหมือนทุกปีอยู่เลย”
 
“แล้วทางด้านเงินรางวัลจากแข่งชกมวยไม่มีบ้างเหรอ พี่ได้เงินส่วนแบ่งจากน้ำมันมวยไปดูแลนักมวยมากขึ้น คนที่คิดจะออกก็อยู่ต่อ ผลงานรวมๆ น่าจะดีขึ้นนะครับ ไหนจะพวกสปอนเซอร์อีก”
 
“มันก็เหมือนจะดีนะ มีสปอนเซอร์เข้ามาคุยเกือบจะตกลงกันได้แล้ว แต่ดันเกิดเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงค่ายซะก่อน คุนยังไม่รู้เรื่องล่ะสิ ตินมันไม่ได้เล่าใช่ไหม พี่เองก็ไม่อยากจะเล่าเลยว่ะ ขายขี้หน้าชะมัด”
 
“เกิดอะไรพี่ นอกจากเรื่องหนี้แล้วยังมีอะไรอีก”
 
“ก็ไอ้จอมกับไอ้เด่นนะสิ ก่อเรื่อง”
 
“สองคนนี้อ่ะนะ ปกติเห็นเชื่อฟังพี่กับพวกครูฝึกจะตาย จะก่อเรื่องอะไรได้”
 
หลี่คุนแปลกใจ จอมกับเด่นเป็นนักมวยวัยสิบแปดสิบเก้าปีที่มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของค่ายหลายปีแล้ว มาจากคนละจังหวัด คนหนึ่งเข้มคนหนึ่งขาวแต่ก็สนิทกันดี ตอนนี้ทั้งคู่ขึ้นชกจนเริ่มมีค่าตัวแล้ว
 
“มันมีปัญหา คนนึงยายป่วย คนนึงที่นาพ่อจะถูกยึด แล้วดันไปเข้าตาสตูดิโอถ่ายภาพที่ไหนไม่รู้ ชวนมันไปถ่ายนู้ดคู่ พวกแม่งก็ไป กลับมาก็ปิดเงียบ จนหนังสือใกล้จะออก พี่ถึงได้เห็นรูปที่เขาโปรโมทมา ผ่างเลยว่ะ ทั้งเสื้อทั้งกางเกงมวยตอนก่อนที่จะถอด มีชื่อค่ายมวยเราหราเลย พี่พยายามติดต่อทางสำนักพิมพ์ไปว่าอย่าเพิ่งเผยแพร่ แต่เขาไม่รับรู้บอกว่าออกเป็นอีบุ๊คส่งไฟล์ไปที่ไต้หวันแล้ว สุดท้ายเล่มเต็มก็ออกมา แล้วธีมก็ดันเป็นนักมวยนวยเนียกันด้วยนะ ไปถ่ายที่ค่ายมวยไหนก็ไม่รู้ ไม่ใช่ของเรา ตากล้องก็โรคจิต ให้แม่งเลื้อยกันไปทั่วค่าย บนเวทีบ้าง ในห้องน้ำบ้าง แนวเพื่อนนักมวยแมนๆ คลุกวงในกันเอง พี่งี้หน้าชาเลยว่ะ ใครเห็นก็ต้องนึกว่าเป็นที่ค่ายเรา ปกติหนังสือหัวนี้แรงอย่างนี้ซะที่ไหน ช่วงนี้หนังสือออกน้อย เล่มนี้เลยกลายเป็นค่อนข้างดังขึ้นมา สองตัวนั้นมันก็หน้าตาใช้ได้ อย่างอื่นก็ไม่น้อยหน้า บ้านๆ แปลกตาดีด้วยมั๊ง ไม่ใช่ตี๋ๆ ขาวๆ เข้ายิมตากแอร์แบบเล่มอื่น”
 
หลี่คุนฟังเก็บรายละเอียดไปเรื่อยๆ ไม่ขัดจังหวะ
 
“สักพักคนในแวดวงมวยก็เริ่มรู้ พอส่งต่อๆ กัน เรื่องก็ไปถึงผู้ใหญ่ในสมาคม พี่ถูกเรียกไปตักเตือน ถึงไม่ได้ถ่ายที่ค่าย ศ.เผด็จศึก แต่ก็เถียงไม่ออกว่าไอ้สองตัวนั้นมันไม่ใช่นักมวยเรา ตอนนี้ค่ายเราเลยถูกมองว่าเป็นค่ายมวยโป๊ๆ เปลือยๆ ไปแล้ว ชื่อเสียงเสียหาย โปรโมเตอร์มวยก็สลับเอานักมวยเราออก สปอนเซอร์ก็เปลี่ยนใจ นี่พ่อพี่ยังไม่รู้เรื่องเลยนะ กลัวแกเป็นลม”
 
“แล้วจอมกับเด่นว่าไงล่ะพี่”
 
“จะว่าไงได้ นี่พี่ต้องไปช่วยมาจากยำตีนของคนอื่นๆ มันสองตัวก็สำนึกนะที่ทำลายชื่อเสียงของค่าย แต่คนที่จ้างงานบอกว่าถ้าไม่ยอมใส่กางเกงมวยที่มีชื่อค่ายก็จะไม่ให้เงิน ขอต่อรองเป็นกางเกงมวยธรรมดาเขาก็ไม่เอา มันเข้าตาจน ร้อนเงิน ก็เลยจำใจทำไป”
 
“แล้วพี่จะไล่จอมกับเด่นออกไหม”
 
“อยากไล่ก็ไล่ไม่ลงว่ะ บอกว่าไม่มีที่ไป ค่ายมวยอื่นก็ไม่มีทางรับพวกมัน ไม่งั้นก็ต้องกลับต่างจังหวัดไปทำนา ไม่มีโอกาสอะไรในชีวิตอีก แต่สุดท้ายถ้าโดนยึดที่ ก็คงไม่มีที่ไปกันทั้งค่ายละวะ”
 
“พี่ว่ามีคนจงใจทำให้เกิดเรื่องพวกนี้เปล่า”
 
“ก็เป็นไปได้ เหมือนตั้งใจทำลายชื่อเสียงค่าย ก่อนหน้านี้ก็มีเด็กมาบอกว่ามีคนจะจ้างมันล้มมวยด้วย แต่มันไม่เอา รีบมาบอกพี่ก่อน ถ้าถูกจับได้นี่ใครจะมาเชื่อถือค่ายเราอีก ตั้งแต่เกิดเรื่องไอ้จอมไอ้เด่น คุนรู้เปล่า มีแต่คนโทรเข้ามือถือพี่มาขอมาถ่ายทำชีวิตนักมวยแบบวาบหวิวในค่ายบ้าง ขอให้ส่งเด็กคนนั้นคนนี้ไปเอ็นเตอร์เทนบ้าง ไม่รู้มาจากไหนกันมากมาย ทั้งๆ ที่เบอร์นี้พี่ให้เฉพาะคนวงในสำหรับติดต่อเรื่องมวยเท่านั้น ตอนหลังก็เริ่มกระจายไปทั่ว ขนาดเพื่อนพี่ยังโทรมาถามเลยว่ามีนักมวยรับงานเสริมเปล่า แล้วก็โดนปล่อยข่าวในวงการมวยอีกว่าน้ำมันมวยมีคุณของค่ายเราเอาไว้ใช้มั่วเซ็กส์ได้ดีกว่าใช้นวดตัวอีก ไม่รู้เริ่มมีผลกระทบกับยอดขายบ้างหรือเปล่า”
 
มีสิครับ ว่าแล้วทำไมยอดล่าสุด ถึงขายดีเป็นพิเศษ หลี่คุนตอบในใจ
 
“เดี๋ยวเรื่องเงินส่งธนาคาร ผมขอไปทำการบ้านก่อนนะครับ ยังไงจะพยายามหาทางออกให้อย่างเต็มที่ พี่ประคองขวัญคนในค่ายไว้ก่อน อย่าให้ใครออกเด็ดขาด รวมถึงสองคนนั้นด้วย”
 
“ถ้ามีคนตั้งใจทำลายค่ายมวยนี้จริง คุนเองก็ต้องระวังหน่อยนะ ตอนนี้ทั้งชื่อเสียงทั้งแหล่งรายได้ของค่ายก็ถูกตัดหมดแล้ว เหลือแต่น้ำมันมวยมีคุณนี่แหละ เรื่องที่คุนเป็นเจ้าของตัวจริงแถวนี้ก็รู้กันทั้งนั้น ถ้าเขาจะตัดแหล่งรายได้สุดท้าย ก็อาจจะพุ่งเป้าไปที่ธุรกิจน้ำมันมวยหรือไม่ก็ตัวคุนเลย”
 
แผ่นดินพูดอย่างเป็นห่วง
 
“ก็อยากให้มาเหมือนกันครับ”
 
 “อย่าพูดเป็นเล่นไป พวกอันธพาลน่ะ มันทำได้ทุกอย่าง เดี๋ยวขากลับให้พวกนักมวยเดินไปส่งจนถึงรถไฟฟ้าไหม มันมีจุดเปลี่ยวๆ อยู่”
 
ทำเลของค่ายมวย ศ.เผด็จศึกนับว่าไม่เลว ถึงจะอยู่ห่างย่านชุมชนออกไปหน่อย แต่ก็ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ยิ่งภายหลังมีการสร้างสถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายตรงบริเวณใกล้เคียง ทำให้สามารถเดินทางมาด้วยรถไฟฟ้าได้ แต่ต้องเดินลัดเลาะต่ออีกเป็นระยะทางไกลพอสมควร ราคาที่ดินที่พุ่งสูงขึ้นตามความเจริญ อาจเป็นสาเหตุให้ธนาคารเริ่มเร่งรัดหนี้สินก็เป็นได้
 
“ไม่ต้องหรอกพี่ ผมเดินไปกับไอ้ติน กล้ามซะขนาดนั้น ใครจะมาทำอะไรได้”
 
ปรากฏว่ามี และมากันเยอะด้วย!!!
 
หลี่คุนกับตินเดินมาตามถนนเส้นเล็กๆ ที่นอกจากนักมวยในค่ายแล้วก็แทบจะไม่มีใครใช้กันก็เจอกับคนชุดดำกลุ่มใหญ่ดักรออยู่ จิตสังหารที่หลี่คุนรู้สึกได้บอกว่าคนพวกนี้ไม่ได้มาดี ตินหันมาสบตากับเขาเหมือนจะเตือนให้ระวังตัว คนบางส่วนตีโอบไปด้านหลังแสดงท่าทีว่าจะกันไม่ให้พวกเขาหนีกลับไปทางค่ายมวย
 
“จับตัวไอ้หน้าหล่อให้ได้!! ระวังไอ้ล่ำด้วย ท่าทางมันจะเป็นนักมวย”
 
คนเป็นหัวหน้าออกคำสั่ง ลูกน้องกว่าสิบคนเคลื่อนไหวทันที คนจำนวนเยอะแต่การลงมือไม่สับสน หลี่คุนเห็นแล้วก็นึกในใจว่าไม่ใช่อันธพาลทั่วไปแน่ น่าจะเป็นมืออาชีพในการทำเรื่องชั่วช้า
 
ตินเอาตัวเข้ามาขวางระหว่างคนชุดดำกับหลี่คุน ชายหนุ่มตั้งการ์ดแบบนักมวยฉายแววอันตรายออกมา ท่าทางพึ่งพาได้จนหลี่คุนรู้สึกตื้นตันในตัวเพื่อน เขาเริ่มใช้ท่าเท้าท่องคลื่นเพื่อเตรียมรับมือกับชายชุดดำที่เข้ามาจากทุกทิศทุกทาง
 
“อย่าเคลื่อนไหวมั่วซั่ว อยู่ข้างกูไว้”
 
ท่าเท้าท่องคลื่นยังไม่ทันได้เปล่งประกาย หลี่คุนก็ถูกตินฉุดตัวกลับเข้ามาอยู่ใกล้ๆ หนุ่มนักมวยโยกตัวฟุตเวิร์คไป รอบๆ ตัวเพื่อน คอยออกหมัดใส่คนที่บุกเข้ามา ฝีมือของตินไม่ธรรมดา เขาเรียนมวยไทยมาตั้งแต่เด็ก ถึงจะไม่ได้ขึ้นชกอาชีพ แต่น้ำหนักหมัดนั้นน็อคคนส่วนใหญ่ได้เลย คนแรกที่บุกเข้ามาเจอจังๆ ถึงกับหงายหลังไป มิเสียแรงที่สัดส่วนร่างกายยอดเยี่ยมเหมาะแก่การฝึกยุทธ์ยิ่งนัก
 
“เข้าไปพร้อมๆ กัน จัดการไอ้นักมวยก่อน ที่เหลือล้อมไว้ด้านนอก อย่าให้ไอ้หล่อหนีไปได้”
 
ชายชุดดำดาหน้ากันเข้ามา ตินรีบกระซิบบอก
 
“ถ้ามีช่องมึงรีบหนีไปก่อนเลยนะ ค่อยตามคนมาช่วยกู”
 
ถ้าหลี่คุนใช้ท่าเท้าท่องคลื่นก็คงหนีไปได้อย่างง่ายดายนัก แต่เขาหรือจะทิ้งเพื่อนไปเช่นนั้น ตอนนี้ตินรับศึกหนักจากหลายทาง เขาล้มไปได้อีกคน แต่กำลังถูกเล่นงานจากสองคนที่เข้ามาเสริม หลี่คุนใช้ท่าเท้าท่องคลื่นพลิกพริ้วเอาตัวเข้าไปขวางอย่างรวดเร็ว เขาเกร็งกำลังภายในซัดฝ่ามือเมตตาบารมีเข้าใส่ทันที ชายชุดดำรู้สึกเหมือนโดนพลังประหลาดปะทะอย่างแรงแล้วแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เขากระเด็นออกไปไกลกองอยู่บนพื้นแล้วขยับตัวไม่ได้อีกเลย
 
“เกิดอะไรขึ้นวะ”
 
ตินที่ยังพัวพันกับชายชุดดำอีกคนเห็นเหตุการณ์เพียงแว้บๆ ด้วยหางตาร้องถามขึ้น หลี่คุนชะงักท่าร่างที่กำลังจะใช้ฝ่ามือเมตตาบารมีจัดการคนทั้งหมดในคราเดียว ช่วงนี้ตินเหมือนจะสงสัยในตัวเขา ถ้าเผยวรยุทธ์นี้ออกไปอีกเขาคงไม่มีทางอธิบายได้แน่ ในระหว่างนั้นเอง หัวหน้าของชายชุดดำก็เหมือนจะหมดความอดทน
 
“แค่เด็กสองคนยังจัดการไม่ได้ เอากระบองไฟฟ้าไปช๊อตมันให้จบๆ ไป เสียเวลาจริง งานง่ายๆ แค่นี้”
 
หลี่คุนยังลังเลว่าจะจัดการสถานการณ์นี้อย่างไรโดยไม่ให้เพื่อนรู้ความลับนี้ เขาไม่อยากเสียความเป็นเพื่อนของตินไป แต่ความล่าช้าอันนี้ทำให้ตินถูกกระบองไฟฟ้าช๊อตจนลงไปกองกับพื้น ชายชุดดำรีบกรูเข้าไปรุมอัดหนุ่มนักมวยจนร่างกระตุกก่อนจะแน่นิ่งไป
 
หลี่คุนแผ่รังสีฆ่าฟันอันอำมหิตออกมาอย่างรุนแรงจนแม้แต่คนธรรมดาอย่างชายชุดดำยังสัมผัสได้ พวกเขามองอย่างเสียวสันหลังไปที่ชายหนุ่มรูปงามที่ตอนแรกคิดว่าอ่อนแอกว่าอีกคน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นเพียงเงาพร่าเลือนเคลื่อนที่ไปมาอย่างซับซ้อนมองตามไม่ทัน รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกกระแทกอย่างแรงตรงหน้าอกกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง ทั่วร่างเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยพลังประหลาดถ้าไม่สลบก็ขยับตัวไม่ได้ เพียงไม่กี่อึดใจคนชุดดำนับสิบก็ลงไปนอนกองกับพื้นจนหมด ตั้งแต่อยู่ในวงการใต้ดินมา ไม่มีใครเคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน
 
ตอนนี้เหลือชายชุดดำที่เป็นหัวหน้าเพียงคนเดียว ดวงตากร้านชีวิตนั้นเบิกโพลงอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น เขาล้วงด้านในเสื้อแจ็คเก็ตหยิบเอาปืนพกสีดำทะมึนขึ้นมา แต่ยังไม่ทันจะปลดล็อก คนที่เคยเป็นเป้าหมายในการลงมือก็มาอยู่ตรงหน้าในพริบตาต่อมาร่างเขาก็ลงไปกองอยู่บนพื้นเหมือนคนอื่นแต่ดูจะเจ็บปวดกว่ามาก
 
หลี่คุนใช้เท้าเตะปืนไฟที่เขาแสนเกลียดชังทีเดียวลอยไปไกลหลายร้อยเมตรจนตกลงไปกลางแม่น้ำเจ้าพระยาที่เห็นอยู่ไกลลิบๆจากนั้นเขาก็รีบตรวจสอบในปากของคนร้ายตรงหน้า เมื่อไม่พบยาพิษฆ่าตัวตายซ่อนไว้ที่ฟันก็วางใจเริ่มสอบสวนทันที
 
“พูด!!! แกต้องการอะไร”
 
แม้ความเจ็บปวดที่ได้รับจะทำให้สติยังไม่กลับคืนมาเต็มที่ แต่หัวหน้าชายชุดดำก็สัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามชวนขนลุก บรรยากาศแทบไม่ต่างจากนายทหารชั้นแม่ทัพที่เขาเคยเจอมา แต่นายจ้างตัวจริงก็ดูจะมีความเป็นมาใหญ่หลวงเช่นกันเช่นกัน เมื่อเทียบกับเด็กที่มีประวัติแสนธรรมดาคนนี้ เขาจึงเลือกที่จะไม่ปริปาก
 
แต่หลี่คุนไม่ได้มีความอดทนมากนัก ชายชุดดำรู้สึกหมือนโดนกดเบาๆ ตรงข้อพับแขน ทันใดนั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสเจียนตายก็ลามไปทั่วร่าง
 
“ยังไม่รีบพูดอีก ทัณฑ์แยกเส้นเอ็นนี้แกรับไหวเหรอ”
 
ความเจ็บปวดระลอกใหม่ถาโถมเข้ามาเมื่อจุดเดิมตรงข้อพับถูกกระตุ้น เขารับไม่ไหวจริงๆ
 
“ยอมแล้วๆ มีคนจ้างผมมา ให้จับตัวคุณไป”
 
“เพื่ออะไร”
 
“ผมไม่รู้ เหมือนเขาต้องการของหรือข้อมูลอะไรสักอย่างจากคุณ”
 
หลี่คุนอ่านลักษณะของชีพจรแล้วคาดว่าคนผู้นี้ไม่ได้โกหก
 
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี”
 
หลี่คุนตบหน้าฉาดใหญ่เพื่อระบายโทสะ ยังไม่ทันที่เขาจะได้ลงมือต่อ เสียงครางเบาๆ จากทางด้านหลังหันเหความสนใจของหลี่คุนไปอีกทาง
 
“โอย ไอคุน อยู่ไหน... หนีไป...”
 
เขาไม่ควรมาเสียเวลากับเศษสวะตรงหน้า ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคืออาการบาดเจ็บของเพื่อน หลี่คุนเก็บงำประกายฆ่าฟันแล้วรีบเข้าไปตรวจสอบอาการของตินทันที โชคดีที่อาการไม่หนักหนาอย่างที่คิด หลี่คุนลอบถ่ายทอดลมปราณเข้าไปช่วยฟื้นคืนกำลังและสลายจุดฟกช้ำทั่วร่าง เพียงชั่วครู่ตินก็ได้สติเต็มที่แล้วมองบรรดาชายชุดดำที่นอนฟุบอยู่รอบๆ
 
“เกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมพวกมันหมอบกันหมดแบบนี้”
 
“พอดีไอ้นั่นมันโดนมึงต่อยจนเกือบหมดแรงแล้วก่อนมึงจะล้มลง กูฉวยโอกาสแย่งกระบองไฟฟ้ามาได้ เลยไล่ซ๊อตพวกมันสลบไปทีละคนเพิ่งจะเสร็จนี่แหละ”
 
“มึงเจ๋งว่ะ ไม่น่าเชื่อเลย รีบออกไปจากตรงนี้ก่อนที่พวกมันจะฟื้นขึ้นมาเถอะ กูว่ากูพอเดินไหว ไม่รู้พวกแม่งมาจากไหนกันว่ะ อยู่ๆ ก็เข้ามาเล่นงานเฉยเลย”
 
อานุภาพของฝ่ามือเมตตาบารมีมิใช่สามัญ แม้จะไม่ทำอันตรายถึงอวัยวะภายใน เกรงว่าภายในสามชั่วยามคงยังไม่มีใครลุกขึ้นมาได้ หลี่คุนยังอยากจะสืบความกับพวกคนร้ายอีกสักหน่อย แต่ก็ไม่อาจสร้างความน่าสงสัยไปมากกว่านี้จึงรีบประคองตินเดินออกมา
 
จนเมื่อขึ้นมานั่งบนแทกซี่ได้ตินถึงรู้สึกโล่งใจ เขารีบโทรหาคนรู้จักที่เป็นตำรวจให้เข้าไปดูที่เกิดเหตุ ทั้งคู่ตกลงกันแล้วว่าจะไม่เอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีนี้โดยตรงจึงฝากตำรวจช่วยสืบต่อว่าใครเป็นคนจ้างวานให้ลักพาตัวในครั้งนี้ ไม่คาดว่าตำรวจจะแจ้งมาภายหลังว่าไม่พบผู้ร้ายแล้วตอนที่เดินทางไปถึง ตินไม่แปลกใจอะไรเพราะรู้ว่าตำรวจไทยไม่ได้มีกำลังคนหรือทรัพยากรมากพอที่จะทำงานได้ฉับไวขนาดนั้น แต่หลี่คุนยังข้องใจอยู่มาก คนกลุ่มนั้นโดนฝ่ามือเมตตาบารมีไปไม่น่าจะสามารถขยับเขยื้อนได้ด้วยตัวเอง แล้วเขาก็นึกได้ว่ามีคนหนึ่งที่ไม่ได้ถูกสยบด้วยฝ่ามือแต่โดนหมัดของตินสอยจนสลบไปในช่วงแรก คาดว่าคงฟื้นขึ้นมาก่อนแล้วขอความช่วยเหลือจากคนอื่นจนหลบหนีไปได้อย่างน่าเสียดาย
 
ไม่รู้คนที่จ้างลักพาตัวเขามีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ หรือจะเป็นคนเดียวกับที่จงใจจะทำลายค่ายมวย ศ.เผด็จศึกอย่างที่ครูแผ่นดินให้ระวังตัว หลี่กำลังประเมินสถานการณ์อยู่ก็พอดีมีข้อความจากนักกฎหมายเข้ามา
 
LY : ได้ข้อมูลเชิงลึกของบริษัทเครื่องสำอางผู้ผลิตและจำหน่ายขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮาแล้วครับบอส บริษัทนี้เพิ่งตั้งได้ไม่นาน น่าจะเพื่อมาขายขี้ผึ้งฮองเฮาโดยเฉพาะ ถึงเป็นบริษัทใหม่ แต่ตรวจสอบได้ว่ามีกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเป็นบริษัทแม่ของบริษัทเครื่องสำอางแห่งนี้ หรืออย่างน้อยก็เป็นกลุ่มที่หนุนหลังอยู่ครับ กลุ่มธุรกิจนี้ไม่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางหรือยา แต่เป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม มีแบรนด์ในเครือมากมาย ทั้งเครื่องดื่มชูกำลัง น้ำเกลือแร่ น้ำชา น้ำผลไม้ น้ำอัดลม เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ รายละเอียดผมแนบมาเป็นไฟล์ครับ
 
หลี่คุนอ่านข้อมูลและผลิตภัณฑ์ของกลุ่มที่คาดว่าเป็นบริษัทแม่ตัวจริงนี้แล้วรู้สึกคุ้นมาก อย่างน้อยเขาก็เคยกินชาอู่หลงบรรจุขวดรสชาติแย่ๆ แบบนี้มาแล้ว เมื่อเปิดดูรายชื่อคณะกรรมการบริหารก็ถึงกับพบชื่อที่คุ้นเคยชื่อหนึ่ง

########

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
28

ยอดสั่งซื้อและจำนวนสมาชิกของขี้ผึ้งโอสถจักรพรรดิกตัญญูประจำเดือนออกมาแล้ว ปรากฎว่าผลตอบรับมีบางส่วนเป็นตามที่จางอี้หลงคาดคือยอดสมาชิกที่เคยลดลงเรื่อยๆ ในช่วงสองเดือนก่อน ตอนนี้กลับมาคงที่แล้ว แต่สมาชิกที่เคยยกเลิกไปก็ยังไม่ได้กลับมาซึ่งตรงกับที่หมอภีมตั้งข้อสังเกต สถานการณ์เงินขาดมือจึงดำเนินต่อไป หลี่คุนคิดว่าคงต้องรอให้ลูกค้าเห็นความแตกต่างระหว่างขี้ผึ้งฮองเฮากับขี้ผึ้งจักรพรรดิทั้งตัวเก่าและตัวใหม่มากกว่านี้
 
ขั้นตอนเพิ่มทุนบริษัทยังต้องใช้เวลา โชคดีที่หลี่คุนได้รับเงินค่าหุ้นล่วงหน้าก้อนใหญ่จากจางอี้หลงแล้ว ก่อนหน้านี้เขายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าอีกฝ่ายจะหาเงินมาได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าจางอี้หลงเป็นแค่ลูกจ้างบริษัทคนหนึ่งเหรอ ทำไมเวลาเพียงเท่านี้ถึงหาเงินมาได้แถมยังเอามาให้ใช้ก่อนทั้งที่เอกสารทางกฎหมายยังไม่เสร็จโดยไม่กลัวว่าจะถูกเขาโกง
 
หลี่คุนพยายามติดต่อไฮโซแบงค์เพื่อสอบถามเรื่องเจ้าของที่แท้จริงของขี้ผึ้งสมุนไพรฮองเฮาแต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่เป็นที่น่าพอใจ อีกฝ่ายเพียงแต่แชทตอบกลับมาสั้นๆ ว่าตอนนี้อยู่ที่ประเทศจีนยังไม่สะดวกที่จะให้คำอธิบายในเรื่องนี้ และหวังว่าหลี่คุนจะเห็นแก่สิ่งที่เขาเคยทุ่มเททำให้กับขี้ผึ้งจักรพรรดิ ขอให้อย่าเพิ่งลงมือใดๆ จนกว่าเขาจะกลับไปถึงเมืองไทย
 
หลี่คุนยังค่อนข้างกังวลกับเหตุการณ์ที่ถูกรุมทำร้ายเมื่อหลายวันก่อน ถึงยังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ที่แน่ๆ มันทำให้ตินต้องมาเจ็บตัว แม้เขาจะฟื้นฟูวรยุทธ์ได้จนการจัดการคนพวกนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ในหลายๆ สถานการณ์ เขาคงไม่สามารถเปิดเผยฝีมือที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกยุคนี้ออกไปได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าคนร้ายเลือกใช้ปืนตั้งแต่แรกจะเกิดอะไรขึ้น ท่าเท้าท่องคลื่นของเขาจะรวดเร็วและพรางตาคนแค่ไหน ขอแค่ลูกปืนมั่วๆ นัดหนึ่งก็อาจจบชีวิตเขาลงได้ หลี่คุนชิงชังคนขี้ขลาดที่ใช้อาวุธประเภทนี้ยิ่งนัก เมื่อนึกถึงว่าชาติก่อนเขาก็ถูกอำนาจของมันตัดหนทางจนต้องจบชีวิตลง จะบอกว่าถูกงูกัดครั้งเดียวกลัวเชือกไปเจ็ดปีก็ไม่ผิด
 
หากในยุคนี้ยังมีองครักษ์เงาคงดีไม่น้อย องครักษ์เงาแต่ละคนฝึกฝนวิชาเฉพาะตัวไปมาไร้ร่องรอย ชำนาญการพรางตัวสะกดรอยดักฟัง แฝงกายติดตามให้การคุ้มกัน ไปจนถึงการลอบสังหาร ในบางเรื่องหลี่คุนเองยังไม่เชี่ยวชาญเท่า นับเป็นฐานอำนาจที่แท้จริงของตระกูลหลี่ในชาติที่แล้ว หากมีติดตามเขาสักคนสองคน ชายชุดดำพวกนั้นคงถูกลอบจัดการโดยที่เขาไม่ต้องลงมือเองไปแล้ว
 
ตินมีสัดส่วนร่างกายยอดเยี่ยมที่เหมาะกับการฝึกวรยุทธ์กับใบหน้าแสนธรรมดาสามัญไม่เป็นที่จดจำของผู้คน คุณลักษณะที่เหมาะกับการเป็นองครักษ์เงาเช่นนี้กลับปรากฎขึ้นในอีกหกเจ็ดร้อยปีให้หลังชวนให้เสียดายยิ่งนัก ถ้าไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะตกใจกลัวจนเสียเพื่อนเขาคงยอมเปิดเผยความลับและชักชวนให้มาฝึกฝนวิชาเพื่อเป็นหัวหน้าองครักษ์เงาไปแล้ว
 
ถึงจะทำเช่นนั้นไม่ได้แต่หลี่คุนก็ไม่อาจยินยอมให้เพื่อนตกอยู่ในอันตรายเช่นวันนั้นได้อีก เขาสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะดูแลคนรอบตัวของคุณานนท์ให้ดีที่สุด และที่สำคัญตินคือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวหลังจากที่ข้ามเวลามาในความรู้สึกที่แท้จริงของเขาเช่นกัน
 
หลี่คุนมียาไม่สมบูรณ์ที่ได้จากการฝึกหลอมรวมวัตถุดิบล้ำค่าให้เป็นโอสถระดับปฐพีอยู่เป็นจำนวนมาก หลังจากที่ไม่มีเงินซื้อวัตถุดิบใหม่ๆ มาฝึกเพิ่ม เขาก็ได้ลองเอายาที่ล้มเหลวพวกนี้มาชำระความบริสุทธิ์เพิ่มโดยใช้พลังลมปราณ หลี่คนได้ความคิดนี้มาจากการรณรงค์เรื่องการคัดแยกและรีไซเคิลขยะพลาสติกที่คอนโดตัวเอง แม้จะทำให้ของที่ล้มเหลวไปแล้วกลับมาเป็นโอสถปฐพีไม่ได้ แต่โอสถที่ผ่านการชำระด้วยวิธีนี้กลับมีสรรพคุณของโอสถปฐพีแฝงอยู่บ้าง ถ้าจะให้เปรียบเทียบเทียบก็คงใกล้เคียงกับโอสถปฐพีที่มีความบริสุทธิ์เพียงครึ่งส่วน
 
วิธีการนี้สิ้นเปลืองลมปราณมาก แต่เนื่องจากหลี่คุนได้บรรลุเคล็ดวิชาบุปผาวารีถึงระดับสองขั้นครึ่งแล้ว หากเติมพลังในจุดตันเถียนมาจนเต็ม อย่างน้อยก็ต้องชำระยาที่ไม่สมบูรณ์พวกนั้นออกมาเป็นโอสถปฐพีเทียมได้หนึ่งเม็ด แต่ไม่ใช่ทุกวันจะทำเช่นนี้ได้ เคล็ดวิชาบุปผาวารีระดับสองขั้นครึ่งยากนักจะเติมเต็มได้ด้วยพลังหยางของคนธรรมดาไม่กี่คน การจะเข้าไปนัวเนียเพื่อนร่วมภาคมากขนาดนั้นแม้แต่หลี่คุนที่พยายามทำเป็นหน้าหนามาตลอดก็ยังรู้สึกไม่เหมาะสมอยู่บ้าง
 
แหล่งที่ดีที่สุดในการเก็บพลังหยางในมหาลัยคือพวกชมรมกีฬาต่างๆ การที่อยู่ๆ มีคนดังของมหาลัยเข้าไปแวะเวียนทำความสนิทสนมแล้วอาสาช่วยนวดคลายกล้ามเนื้อให้บรรดานักกีฬาสร้างความแตกตื่นให้กับคนในชมรมเหล่านั้นอยู่มาก หลี่คุนอาศัยความหน้าหนาทำเช่นนี้ในวันที่มีเวลาว่างช่วงเย็น ในที่สุดก็สามารถรีไซเคิลโอสถปฐพีเทียมออกมาเก็บสะสมได้สิบกว่าเม็ด ทั้งหมดเป็นโอสถเสริมสร้างบำรุงปราณซึ่งเป็นโอสถที่มีระดับความยากในการปรุงน้อยที่สุดในบรรดาโอสถปฐพีทั้งหมด เขาได้ทดลองกับตัวเองแล้วว่าปลอดภัยและมีสรรพคุณอยู่บ้าง แต่เขาที่ใช้แนวทางของเคล็ดวิชาบุปผาวารีในการสร้างปราณไปแล้วโอสถนี้จึงไม่มีประโยชน์อันใด
 
สิ่งที่หลี่คุนทำเพื่อเตรียมตัวหากเกิดเหตุเช่นนี้อีกคือการฝึกฝนวิชาใหม่ที่ไม่เผยร่องรอยในการลงมือ ฝ่ามือเมตตาบารมีใช้ได้ผลดีอย่างยิ่งแต่การลงมือสง่าผ่าเผยโดดเด่นเกินไปไม่เหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องเร้นกาย เขาคิดถึงท่านแม่ผู้งดงามที่จากไปก่อนวัยอันควรแล้วรู้สึกว่าไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าเคล็ดวิชาลับประจำตัวท่านแม่ที่ชื่อว่า ดรรชนีภูติบุปผาไร้ลักษณ์
 
แม้ว่าไม่เคยฝึกฝนวิชานี้โดยตรงเพราะไม่เข้ากับแนวฝีมือหลักของเขาในชาติก่อน แต่หลี่คุนก็เห็นมารดาใช้วิชานี้ต่อหน้ามานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เด็ก เพียงขยับนิ้วเบาๆ อย่างนุ่มนวลคล้ายปลิดกลีบดอกไม้ พลังดรรชนีอันแรงกล้าก็จะพุ่งผ่านอากาศตามทิศทางที่ต้องการไปได้ไกลถึงเกือบสิบจั้ง พลังดรรชนีนี้สามารถผันแปรได้อย่างน่าอัศจรรย์ จะใช้ป้องกันจู่โจมสะกัดจุดรักษาหรือแม้แต่ลอบสังหารก็ทำได้ทั้งนั้นหากผู้ใช้มีความเชี่ยวชาญและกำลังภายในที่มากพอ เนื่องจากสิ่งที่ส่งออกไปเป็นกำลังภายในกระแสหนึ่งจึงมองไม่เห็นและยากแก่การป้องกันยิ่งนัก
 
ในชาติก่อนหลี่คุนท่องจำคัมภีร์ภูติบุปผาไร้ลักษณ์จนขึ้นใจดั้งแต่เด็กแล้วแต่ยังไม่เคยฝึกฝนมาก่อน ยามนี้จึงค่อยๆ ฝึกหัดไปทีละนิดอย่างยากลำบากไม่น้อย โชคดีที่เขาจำท่วงท่าและกระแสกำลังภายในของท่านแม่ในยามที่แสดงวิชานี้ออกมาได้ขึ้นใจ หลังจากศึกษาทดลองหามรุ่งหามค่ำอยู่หลายวันก็เห็นเค้าลางที่จะบรรลุวิชานี้ในขั้นแรก
 
ท่าร่างและวิถีโคจรพลังไม่ใช่ปัญหา สิ่งที่ขาดแคลนกลับเป็นลมปราณที่มีจำกัด แม้จะสำเร็จเคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารีถึงระดับสองขั้นครึ่ง แต่เมื่อเทียบกับกำลังภายในของมารดาในครั้งกระโน้นนับว่าห่างไกลมากมายนัก หลี่คุนจึงไม่สามารถส่งกำลังภายในออกจากดรรชนีให้พุ่งไปข้างหน้าในรูปไร้ลักษณ์ซึ่งเป็นจุดเด่นของเคล็ดวิชานี้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร
 
หากนี่เป็นวิชาอื่นหลี่คุนคงถอดใจไปนานแล้ว แต่ในโลกใหม่ที่ไม่หลงเหลือสิ่งใดให้ระลึกถึงอดีต ข้าวของเครื่องใช้หนังสือตำราเครื่องประดับอาภรณ์ที่เป็นของมารดาคงสูญหายไปหมดสิ้นตามกาลเวลา ดรรชนีภูติบุปผาไร้ลักษณ์จึงเป็นเหมือนสายสัมพันธ์เชื่อมโยงเขากับท่านแม่ที่ยังเหลืออยู่ หลี่คุนคิดหาวิธีพลิกแพลงต่างๆ มากมายที่จะทำให้วิชาโปรดของมารดากลับมามีคุณค่าในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
 
หลี่คุนหลับไหลไปด้วยความเหนื่อยอ่อนหลังจากที่ครุ่นคิดเรื่องดรรชนีภูติบุปผาไร้ลักษณ์อย่างหนัก เขาฝันถึงอดีตที่ตัวเองในวัยเด็กกำลังคร่ำเคร่งกับการท่องตำราจนดึก มารดาผู้งดงามและใจดีได้เข้ามาในห้องพร้อมกับถ้วยขนมร้อนๆ มีควันขึ้นส่งกลิ่นหอมน่ารับประทาน
 
‘เสี่ยวคุน เจ้าหิวหรือไม่ แม่ต้มถั่วเขียวกับรากบัวร้อนๆ มาให้ เจ้าพักทานสักครู่เถอะ ท้องอิ่มแล้วค่อยกลับไปอ่านตำราต่อ’
 
‘เป็นท่านแม่ที่รู้ใจลูกที่สุด ถั่วเขียวต้มน้ำตาลฝีมือมารดาทานตอนหนาวๆ เช่นนี้ดียิ่งนัก’
 
‘บิดาเจ้าก็ช่างใจร้าย ลูกยังเล็กนักจะกะเกณฑ์ให้ท่องคัมภีร์ยากๆ เล่มนี้ในคืนเดียวได้ยังไง’
 
‘ท่านแม่ ข้าไม่ใช่เด็กนะ ข้าแปดขวบแล้ว แล้วคัมภีร์เล่มนี้ก็ไม่ได้ยากอะไรสำหรับข้า อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็น่าจะจำได้ทั้งหมดแล้ว’
 
‘เด็กโง่ ถ้าเจ้าโตแล้วจะมีเม็ดถั่วติดปากแบบนี้หรือเสี่ยวคุน มา แม่เอาออกให้’
 
ภาพมารดาผู้งดงามในความฝันขยับนิ้วเล็กน้อยแทบสังเกตไม่เห็น พลังอบอุ่นสายหนึ่งก็พุ่งไปยังเม็ดถั่วที่ติดมุมปากของหลี่คุนจนหลุดออกอย่างอ่อนโยนและสลายหายไปไม่เหลือร่องรอยโดยไม่ทันตกถึงพื้น
 
‘ท่านแม่ ดรรชนีภูติบุปผาไร้ลักษณ์ของท่านยอดเยี่ยมที่สุด เช่นนี้เองท่านพ่อถึงไม่กล้ารับอนุ’
 
ท่านพ่อที่เดินเข้ามาในห้องทันได้ยินบทสนทนาของสองแม่ลูกหัวร่อเสียงดัง
 
‘ฮ่าๆๆๆ บุตรคนดี เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว ท่านแม่ของเจ้าทั้งงดงามทั้งเก่งกล้าไม่มีใครเทียบ ถ้าข้ายังขวัญกล้ารับอนุก็นับว่าเป็นตัวโง่งมแล้ว’
 
ในสายตาของหลี่คุนท่านพ่อสง่างามยิ่งนัก มือข้างหนึ่งประคองกอดท่านแม่ อีกข้างลูบศีรษะตัวเขาในวัยแปดขวบ ภาพที่เห็นในฝันช่างเต็มไปด้วยความสุขอันแสนอบอุ่นของครอบครัวเหลือเกิน
 
หลี่คุนตื่นขึ้นทั้งน้ำตา ความอ่อนโยนของท่านแม่ท่านพ่อในความฝันทำให้เขานึกถึงอดีตที่ไม่อาจหวนคืนจนตกอยู่ในภวังค์อีกพักใหญ่ แต่แล้วก็นึกสะกิดใจในกระบวนท่าที่ท่านแม่ใช้จัดการกับถั่วเขียวเมล็ดนั้น ท่านแม่จงใจให้เมล็ดถั่วหลุดจากริมฝีปากของเขาไปก่อน กำลังภายในที่ค้างอยู่ในนั้นจึงค่อยสลายเมล็ดถั่วให้หายไปในภายหลัง คงกลัวว่าพลังที่ใช้สลายเมล็ดถั่วจะสร้างความรำคาญให้กับเขา ช่างเป็นการควบคุมพลังที่แม่นยำจนน่าเหลือเชื่อ ถ้าเมล็ดถั่วสามารถโอบอุ้มพลังไร้ลักษณ์ของท่านแม่ไว้ได้ เช่นนี้เขาเองก็น่าจะส่งพลังดรรชนีภูติบุปผาออกไปในระยะไกลโดยใช้เมล็ดถั่วเขียวเป็นสื่อได้เช่นกัน
 
หลี่คุนตื่นเต้นกับแนวทางการพลิกแพลงดรรชนีภูติบุปผาที่ท่านแม่บอกใบ้มาให้ในฝันนี้มาก เขารีบไปตลาดแต่เช้าซื้อถั่วเขียวมาถุงใหญ่ หลังจากฝึกหัดอยู่ไม่นาน เขาก็สามารถหลอมรวมกำลังภายในของดรรชนีภูติบุปผาจำนวนเล็กน้อยลงในเมล็ดถั่วแล้วส่งออกไปในระยะทางที่ไกลออกไปได้สำเร็จ นี้เป็นทักษะที่เขาได้จากการฝึกฝนพลิกแพลงการหลอมรวมยาด้วยลมปราณอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา
 
พลังเพียงเล็กน้อยที่เขาหลอมรวมลงในเมล็ดถั่วนี้ แท้จริงแล้วกลับเพียงพอที่จะสะกัดจุดของคนผู้หนึ่งได้ชั่วครู่จากระยะไกล แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นไร้ลักษณ์อย่างของมารดา แต่ถั่วเขียวนั้นเมล็ดเล็กยิ่งนัก เมื่อส่งออกไปในอากาศก็ยากที่ผู้ใดจะมองออก ต่อไปนี้เขาก็สามารถลงมือกระทำการบางอย่างได้อย่างไร้ร่องรอยแล้ว หลี่คุนนึกโขกศีรษะคารวะมารดาอย่างซาบซึ้งอยู่ในใจ
 
ในที่สุดหลี่คุนก็สามารถปิดจุดอ่อนบางส่วนของวิชากำลังภายในของตัวเองได้ ท่าเท้าท่องคลื่นน้อย ฝ่ามือเมตตาบารมี ดรรชีภูติบุปผาถั่วเขียว น้ำมาเอาดินต้านทหารมาเอาขุนพลเข้ารับมือ เขาสามารถเลือกใช้สามวิชานี้ได้ตามสถานการณ์ หรือใช้ร่วมกันเพื่อเสริมอานุภาพให้สูงขึ้น ต่อไปหากมีคนมาลุมทำร้ายอีกการป้องกันตัวเองย่อมไม่มีปัญหาแน่ แต่เขาก็มิอาจคอยคุ้มครองตินได้ตลอดเวลาเช่นกัน
 
ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน หลี่คุนจึงหลอกตินมาที่คอนโดแล้วก็สกัดจุดให้หมดสติไป จากนั้นก็เปลื้องเสื้อผ้าออกจนเหลือแต่กางเกงชั้นในเพื่อทำการฝังเข็มทั้งตัว จุดฝังเข็มในครั้งนี้ซับซ้อนกว่าที่เขาเคยทำให้จางอี้หลงมากมายนักจนตินดูคล้ายเม่นไปจริงๆ หลี่คุนเห็นแล้วก็อดคิดถึงบุรุษตัวโตผู้แอบกลัวเข็มคนนั้นไม่ได้ หากโดนแบบนี้เข้าคาดว่าอาจจะถึงขั้นเป็นลมได้
 
หลี่คุนใช้กำลังภายไล่เปิดเส้นทางลมปราณของตินไปเรื่อยๆ เคล็ดวิชาบุปผาเร้นวารีสองขั้นครึ่งทำให้การเปิดช่องลมปราณทำได้รวดเร็วกว่าเดิมมาก ครั้งนี้เป้าหมายไม่ได้เป็นเพียงแค่การให้ลมปราณที่เคยติดขัดอุดตันโคจรทั่วร่างได้ดีขึ้นเหมือนที่เคยทำให้กับจางอี้หลง แต่ต้องการให้เส้นลมปราณเปิดโล่งจนถึงระดับที่ฝึกฝนกำลังภายในได้ กว่าที่จะฟื้นฟูได้สำเร็จจึงกินเวลาไปถึงหนึ่งชั่วยาม
 
หลี่คุนหยิบโอสถบำรุงปราณระดับปฐพีเทียมในขวดหยกขึ้นมาหนึ่งเม็ดดีดเข้าปากของตินไป หลังจากเอาเข็มออกและสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วจึงตบคลายจุดสลบให้กับเพื่อน ตินตกใจมากที่พอมาถึงห้องของหลี่คุนแล้วตัวเองก็หลับไปถึงสองชั่วโมงจนท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว แต่การหลับลึกแบบแปลกๆ นี้ทำให้เขารู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างบอกไม่ถูก ในร่างกายรู้สึกคล้ายว่ามีกระแสบางเบาทว่าอบอุ่นอันหนึ่งเคลื่อนไปมา สุดท้ายเขาก็ไม่ได้สอนคอมพิวเตอร์ให้หลี่คุนอย่างที่ตั้งใจเพราะเจ้าของห้องบอกว่าค่ำแล้วให้ออกไปทานข้าวกันก่อนกลับแล้วค่อยมาวันอื่น
 
หลังจากนั้นก็เหมือนจะมีเหตุให้ตินต้องตามคุณานนท์กลับมาที่คอนโดบ่อยๆ บางครั้งเขาก็หลับลึกไปโดยไม่รู้ตัว บางทีเช่นครั้งนี้เพื่อนสนิทที่หมู่นี้มีท่าทางแปลกๆ ก็ชวนเขาทำเรื่องที่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสนใจเช่นการฝึกสมาธิ พอเขาปฏิเสธไปเพื่อนรูปหล่อก็หาเหตุผลต่างๆ นาๆ ว่าฝึกสมาธิแล้วจะทำให้เรียนหนังสือเข้าใจมากขึ้น เอาไปใช้วิชาต่อสู้อย่างมวยไทยก็จะเพิ่มความเฉียบขาด สุดท้ายก็ทำท่าอ้อนขึ้นมาดื้อๆ เมื่อเห็นเขาไม่สนใจ หน้าตาแบบนี้พอมาทำท่าอ้อนๆ แบบสมัยเด็กทำให้เขานึกถึงเมื่อก่อนขึ้นมาสุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ลง
 
“ตินมึงทำตามกูนะ การฝึกสมาธิแบบนี้ง่ายมากๆ เลย”
 
“มึงไปเอามาจากไหนวะไอ้คุน เกิดทำผิดวิธีเอ๋อแดกไปจะทำยังไง ถ้ามึงสนใจจริงไปเรียนที่วัดไม่ดีกว่าเหรอ”
 
“วัดเหรอ ไม่ไปดีกว่า เดี๋ยวเจอพระแล้วท่านทักอะไรออกมา”
 
ตินเห็นเพื่อนตอบแบบนั้นพร้อมท่าทางหวั่นๆ ก็นึกแปลกใจ แค่ไปวัดแล้วเจอพระ ทำไมจะต้องทำท่ากลัวขนาดนั้น พระนะไม่ใช่ผีซะหน่อย
 
“ติน ค่อยๆ ทำแบบนี้นะ จะหลับตาก็ได้จะได้รวมสมาธิได้ง่ายขึ้น ลองนึกภาพจุดตันเถียนของมึงนะ เพ่งความสนใจไปจนมันเริ่มเกิดความร้อนอุ่นๆ เป็นจุดเล็กๆ มันน่าจะเริ่มจากขนาดแค่เม็ดทราย เล็กจนเกือบมองไม่เห็น แต่รู้สึกได้ ไม่ต้องรีบ ช้าๆ ช้าๆ เพ่งไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ”
 
“อ๊ะ?”
 
“เริ่มรู้สึกแล้วใช่ไหม เยี่ยม นับว่ามึงมีพรสวรรค์เหมือนกันนะติน”
 
“เปล่า กูจะถามว่าจุดตันเถียนคืออะไรวะ”
 
“เอิ่ม งั้นมึงไม่ต้องสนใจ เอาเป็นว่ามึงเพ่งสมาธิไปตรงจุดต่ำกว่าสะดือลงไปสามนิ้วมือชิดกัน”
 
“สามนิ้วมือนะ โอเค อือ แปลกดีเหมือนกันที่ต้องเพ่งสมาธิไปที่ไข่ตัวเอง”
 
“ควายติน!!! กูบอกว่าสามนิ้วมือชิดกันก็ต้องตามขวางสิวะ มึงทำนิ้วชิดกันตามยาวได้เหรอสัด!!!”
 
“อ่อๆ มึงก็ไม่บอกให้ละเอียด งั้นต้องอยู่ตรงแถวท้องน้อยสินะ แล้วไงต่อ”
 
“เออ เพ่งไปตรงท้องน้อยจนรู้สึกว่ามันมีจุดอุ่นๆ เกิดขึ้น จากจุดที่แทบมองไม่เห็นค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนเท่าเม็ดทราย จะเล็กกว่านั้นก็ไม่เป็น ขอแค่มึงรู้สึกได้ถึงจุดนั้นก็พอ ถ้ารู้สึกว่ามันเสถียรพอแล้วค่อยๆ กำหนดจิตให้มันเคลื่อนออกจากท้องน้อยไปทางซ้ายไล่ลงตามขาไปจนสุดที่ปลายนิ้วเท้าแล้วก็ค่อยๆ ไล่กลับขึ้นมาที่ละนิดไปจนสุดปลายแขนซ้าย จากนั้นก็วนกลับลงมาที่หัวไหล่แล้วค่อยๆ ขึ้นไปบนกระหม่อม นี่นับเป็นครึ่งรอบ จากกระหม่อม เพ่งสมาธิให้จุดที่ว่าไล่ไปที่ร่างกายซีกขวาตามเส้นทางเดียวกับที่มาจากด้านซ้าย ไปตามปลายแขน ปลายขา จนวนกลับมาที่ตรงหน้าท้องจุดเดิมเป็นหนึ่งรอบ มึงตามทันเปล่าติน”
 
“ก็ได้อยู่ แต่มันติดๆ ขัดๆ”
 
“แค่วนครบรอบได้ก็เก่งแล้ว ลองอีกทีสิ มันน่าจะค่อยๆ สะดวกขึ้น พอครบรอบแล้วก็ลองทำต่อไปเรื่อยๆ จนกว่ากูจะบอกให้พอนะ แต่ถ้ามึงเบื่อก่อนก็บอกกูได้ ครั้งแรกไม่ต้องหักโหมมาก”
 
หลี่คุนเห็นตินไม่ตอบอะไร แต่นั่งโคจรพลังขั้นพื้นฐานด้วยวิธีที่เขาหลอกว่าเป็นการนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทางสงบนิ่งลมหายใจเข้าออกดูถูกต้องก็เบาใจ เขาหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์แชทรายงานสถานการณ์ต่างๆ ของฉางอันโอสถไปหาจางอี้หลง อีกฝ่ายท่าทางยุ่งเหมือนทุกที นอกจากคำแนะนำเล็กน้อยๆ แล้วก็ไม่ได้ช่วยเขาตัดสินใจอะไร บอกว่านั่นเป็นสิ่งที่หลี่คุนในฐานะผู้บริหารของบริษัทต้องจัดการเอง หลี่คุนจึงเปลี่ยนเรื่องไปเล่าเหตุการณ์ที่เกือบโดนลักพาตัวไปเมื่อหลายวันก่อน กลายเป็นว่าจางอี้หลงสนใจเรื่องนี้มาก ถามไม่หยุดว่าตัวหลี่คุนเองได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า เรื่องเกิดขึ้นได้ยังไง ใครเป็นคนทำ แล้วเอาตัวรอดมาได้อย่างไร ยิ่งรู้ว่าฝ่ายคนร้ายมีปืนก็ยิ่งดูตกใจมาก ถามรายละเอียดกลับมายาวเหยียดจนเขาตอบแทบไม่ทัน แถมตบท้ายด้วยว่าจะรีบเคลียร์งานแล้วมากรุงเทพให้เร็วที่สุด กว่าเขาจะค่อยๆ พิมพ์ตอบจนอีกฝ่ายพอใจ เวลาก็ล่วงเลยไปนานกว่าที่ควรสำหรับการฝึกโคจรพลังครั้งแรก
 
“ตินๆ พอได้แล้ว”
 
“พอแล้วเหรอ กำลังเพลินๆ อยู่เลย นั่งสมาธิวิธีมึงนี่แปลกดีนะ ไม่เหมือนที่กูเคยได้ยินมา กูทำไปเรื่อยๆ พอหลายๆ รอบเข้า ก็รู้สึกอุ่นๆ ยังไงไม่รู้ ไม่ได้ว่าร้อนแบบเหงื่อแตกนะ คือมันอุ่นสบายชอบกล”
 
“ใช่เลย มึงมาถูกทางแล้ว เก่งเหมือนกันนี่หว่า ต่อไปมึงก็พยายามเลี้ยงจุดที่ท้องน้อยไว้นะ อย่าให้มันหายไป ถ้ามันเย็นลงหรือขนาดเริ่มเล็กกว่าเม็ดทราย มึงก็โคจร เอ่อ เพ่งสมาธิให้มันวนรอบร่างกายแบบเมื่อกี้หลายๆ รอบจนกว่ามันจะแข็งแรงขึ้น”
 
“ไม่น่าหายไปหรอกมั๊ง ก็จุดมันใหญ่กว่าเม็ดทรายตั้งเยอะ”
 
“มึงอย่ามาโม้ เพิ่งครั้งแรกมันจะใหญ่แบบนั้นได้ยัง”
 
หลี่คุนรู้สึกขำมากกับสิ่งที่ตินบอก คนที่เกิดในยุคที่เต็มไปด้วยมลภาวะจนเส้นชีพจรอุดตันมาทั้งชีวิต เพิ่งถูกทะลวงออกได้ไม่กี่วัน อาศัยโอสถบำรุงปราณขั้นปฐพีแบบเทียมๆ และเพิ่งฝึกโคจรพลังเป็นวันแรก จะมีจุดตันเถียนขนาดใหญ่กว่าเม็ดทรายได้ยังไง
 
แต่ดูอีกที ท่าทางของตินก็ไม่คล้ายโกหก เขาจับข้อมือของเพื่อนเพื่อตรวจสอบระดับของกำลังภายใน แล้วต้องตกใจเมื่อพบว่ามีกระแสพลังสายหนึ่งสะท้อนปราณของเขากลับมาจนรู้สึกได้ชัดเจน เขาคาดว่าตอนนี้ตินน่าจะมีขนาดของจุดตันเถียนเกือบเท่าเมล็ดถั่วเขียวแล้ว
 
อัจฉริยะ!!!
 
หลี่คุนตีอกร่ำไห้อยู่ในใจทั้งอิจฉาทั้งเสียดาย ด้วยสภาพที่ตินเป็นอยู่แต่กลับทำได้ถึงขั้นนี้ในเวลาสั้นๆ ถ้าไม่เรียกว่าอัจฉริยะระดับหนึ่งในสิบหมื่นก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว คนเช่นนี้หากไปเกิดในยุคของเขาแล้วฝึกฝนกำลังภายในเก้ามังกรบรรพกาลตระกูลหลี่ตั้งแต่เด็ก มิแน่ว่าอาจจะบรรลุได้ถึงขั้นสูงสุด ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน
 
แต่ต่อให้เป็นอัจฉริยะจริง ด้วยข้อจำกัดของสภาพแวดล้อมในยุคนี้ และอายุที่เลยวัยเริ่มฝึกกำลังภายในมามากแล้ว ผลสำเร็จของตินคงก้าวหน้าไปกว่านี้ได้ไม่เท่าไหร่ สุดท้ายคงมิอาจเทียบกับเคล็ดวิชากำลังภายในบุปผาวารีที่เขาเลือกฝึกได้แม้แต่น้อย ถึงกระนั้นหลี่คุนก็ยังอดอิจฉาไม่ได้ กำลังภายในของตินเกิดจากตัวเองโดยแท้ สามารถฟื้นฟูเพิ่มเติมได้ไม่เหมือนกับเขาที่ต้องอาศัยพลังหยางจากผู้อื่น แค่ในแง่ศักดิ์ศรีก็ดูจะต่างกันแล้ว
 
หลังจากทดลองฝึกสมาธิด้วยวิธีของคุณานนท์จนเสร็จตินก็โดนปล่อยตัวกลับบ้าน ระหว่างทางเขาก็อดเพ่งสมาธิให้จุดตรงท้องน้อยหมุนวนไปทั่วร่างไม่ได้ ยิ่งทำความติดขัดที่มีในตอนแรกๆ ก็ลดลงเรื่อยๆ เดินเหินก็ตัวเบาร่างกายสดชื่นแคล่วคล่องกระปรี้กระเปร่าแปลกๆ แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นผลของการฝึกสมาธิแบบใหม่นี้ น่าจะเป็นฤทธิ์ของยาลูกกลอนสมุนไพรเม็ดเล็กๆ ที่คุณานนท์ให้กินก่อนกลับมากกว่า ตินไม่ได้คิดมากอะไรเห็นว่าขี้ผึ้งสมุนไพรที่เพื่อนผสมเองดูได้ผลดี แค่ยาลูกกลอนบำรุงร่างกายคงไม่มีอันตรายอะไร แต่พอกินลงไปก็รู้สึกซู่ซ่าแปลกๆ สงสัยว่าอาจมีฤทธิ์กระตุ้นแบบคาเฟอีนในกาแฟ คุณานนท์คงไม่ได้ผสมอะไรที่ไม่ควรใช้อย่างใบกระท่อมกัญชงกัญชาลงไปหรอกนะ ถ้าจริงเขาจะอัดหน้าให้หมดหล่อเลย
 
ตอนปิดไฟเตรียมจะเข้านอนคืนนั้น ตินก็ยังเผลอตัวเคลื่อนจุดอบอุ่นจากท้องน้อยให้หมุนวนในร่างกายไปเรื่อยๆ ก่อนที่เขาจะหลับไปก็ได้ยินเสียงลุงป้าข้างบ้านคุยกัน เขารู้สึกแปลกใจมาก ระยะห่างระหว่างบ้านสองหลังก็ไม่ได้ติดกันมาก แถมยังมีผนังกั้นอยู่หลายชั้นทำไมเสียงถึงเล็ดลอดออกมาได้ ลุงป้าคงไม่ลุกขึ้นมาตะโกนคุยกันกลางดึกหรอกนะ มือควานหารีโมทกดปิดแอร์แล้วเงี่ยหูฟังไปเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงยามค่ำคืนอื่นๆ ที่ปกติจะไม่ได้ยินเข้ามาในห้อง เสียงถีบจักรยานดังเอี๊ยดอ๊าดไปรอบๆ หมู่บ้านของ รปภ. เสียงสัตว์เลื้อยคลานอะไรสักอย่างวิ่งไปตามใบไม้แห้งกรอบ แม้กระทั่งเสียงน้ำหยดติ๋งๆ จากก๊อกที่ปิดไม่สนิทของบ้านไหนสักแห่งไกลออกไปก็ยังได้ยิน
 
ตินลืมตาโพลง พอหันไปรอบๆ ห้องที่เกือบมืดสนิทก็ตกใจที่ตัวเองพอจะมองเห็นสิ่งของในห้องได้ราวกับมีใครมาเปิดไฟดวงจิ๋วทิ้งไว้ แม้แต่ตัวอักษรที่สันหนังสือบนชั้นด้านตรงข้ามก็อ่านออกเสียด้วยซ้ำ ตินหายง่วงทันทีด้วยความแปลกใจว่าทำไมถึงเกิดหูไวตาไวอย่างผิดปกติขึ้นมาแบบนี้ เขาคิดหาสาเหตุอยู่ครู่หนึ่งก็ลงจากเตียงลุกขึ้นยืนทำมือเป็นท่าไอเลิฟยูแต่หงายฝ่ามือขึ้นตรงระดับเอวขนานกับพื้น เขากลั้นหายใจอย่างลุ้นระทึกแล้วยื่นออกไปข้างหน้าอย่างเร็ว เมื่อรออยู่ชั่วครู่ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติออกมาจากข้อมือก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วพึมพำกับตัวเองเบาๆ
 
“นึกว่าไปโดนแมงมุมกัมมันตภาพรังสีกัดมาซะอีก

##########

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
29

จางอี้หลงไม่ได้ผิดคำพูดที่บอกว่าจะรีบเคลียร์งานแล้วมากรุงเทพให้เร็วที่สุด เพียงสองวันหลังจากที่หลี่คุนบอกเรื่องที่มีคนจะลักพาตัวไปหนุ่มนักธุรกิจก็บินมาถึงไทยแต่เช้าตรู่ หลี่คุนนั่งรถคันเดิมมารับที่สนามบินซึ่งครั้งนี้เป็นที่ดอนเมือง
 
จางอี้หลงที่เพิ่งลงจากเครื่องดูอ่อนล้าอยู่บ้างแต่ใบหน้านั้นหล่อเหลาอ่อนวัยเป็นธรรมชาติกว่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อนมาก หลี่คุนเห็นก็พอใจเป็นอย่างมากที่การฝังเข็มและขี้ผึ้งจักรพรรดิของเขาใช้ได้ดีกับคนตรงหน้า ผลลัพธ์อันนี้เมื่อรวมกับปราณอำนาจตามธรรมชาติของจางอี้หลงแล้วทำให้หลี่คุนเข้าใจว่าหล่อเหลาองอาจถึงกระดูกเป็นเช่นไร
 
จางอี้หลงปล่อยให้หลี่คุนเอามือลูบไล้ใบหน้าตัวเองอย่างสบายอารมณ์โดยไม่สนใจผู้คนมากมายที่มองมา จากความทุ่มเทในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทำให้เขาเข้าใจคนตรงหน้ามากขึ้น จนเมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้น เขาก็จับมือหลี่คุนแบบประสานแนบแน่นพาเดินออกไปจากสนามบินโดยมีสายตาของผู้คนมองตามกระซิบกระซาบไล่หลังมา หลี่คุนได้โอกาสก็ดูดซับพลังหยางมาเติมเต็มจุดตันเถียนที่พร่องอยู่บ้าง ดูเหมือนการเปิดช่องทางลมปราณให้เดินสะดวกขึ้นเมื่อครั้งที่แล้วจะทำให้สุขภาพของจางอี้หลงดีขึ้นจริงๆ พลังหยางถึงได้สมบูรณ์ขึ้นไปอีก ยังเดินกุมมือกันไปไม่เท่าไหร่ก็เต็มแล้ว
 
เมื่อมาถึงรถคันหรูคนขับก็รีบเปิดประตูให้อย่างนอบน้อม จางอี้หลงกับหลี่คุนนั่งคู่กันที่เบาะหลังนุ่มสบาย
 
“ทำไมวันนี้พี่มาลงที่ดอนเมืองล่ะครับ”
 
“พี่อยากมาถึงเร็วๆ พอเคลียร์งานจบเมื่อคืนไฟล์ทไหนออกก่อนพี่ก็เอาเลยครับ”
 
“ไม่เห็นจะต้องรีบแบบนี้เลย แล้วเที่ยวนี้พี่มาทำงานหรือมาส่วนตัวครับ”
 
“พี่อยากรีบมาเห็นกับตาว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ครั้งนี้ก็มาทั้งสองอย่างครับ เรื่องงานด้วยเรื่องส่วนตัวด้วย”
 
“งั้นก็เบิกค่าโรงแรมได้สิครับ จะได้นอนหรูๆ สบายๆ”
 
“ไม่ควรครับ มันมีเรื่องส่วนตัวปนด้วยไม่ใช่งานอย่างเดียว ถ้าพี่เบิกค่าโรงแรมมันจะเอาเปรียบบริษัท พี่คงต้องขอไปนอนที่คอนโดน้องคุนเหมือนเดิมครับ”
 
“ไม่มีปัญหาครับ พี่อี้หลงมาถึงวันนี้จะเข้าประชุมผู้ถือหุ้นเรื่องเพิ่มทุนฉางอันโอสถที่มีจดหมายเชิญไปด้วยหรือเปล่า นักกฏหมายของบริษัทเห็นพี่ไม่ได้ตอบรับก็เลยจะใช้เวียนเอกสารเอาเหมือนคราวก่อน แต่พี่มาเองแล้วจะเข้าประชุมกับผมและหมอภีมไหมครับ ห้าโมงครึ่งเย็นวันนี้”
 
“ก็ตั้งใจไว้อย่างนั้นครับ”
 
จางอี้หลงตอบ ก็พอดีกับมีสายโทรศัพท์เข้า เขาจึงรับสายด้วยหูฟังไร้สายตัวเล็ก
 
“เหวย?”
 
หลี่คุนฟังคนที่นั่งข้างๆ คุยโทรศัพท์เป็นภาษาจีนด้วยความสนใจ ภาษาที่เขาใช้ในชาติก่อนกับภาษาจีนในยุคนี้เป็นภาษาเดียวกันก็จริง แต่สำเนียงการออกเสียงเปลี่ยนไปตามกาลเวลาอยู่บ้าง แล้วก็มีคำศัพท์ใหม่ๆ ที่เขาไม่รู้จักมากมาย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพอจับใจความได้ จางอี้หลงหันมามองหลี่คุนเล็กน้อยก่อนจะหันไปอีกทางกระชับหูฟังให้แน่นแล้วเบาเสียงลง หลี่คุนจึงหันไปมองหน้าต่างอีกด้านเช่นกันทำเป็นเหมือนไม่เข้าใจภาษาจีน ดูเหมือนจะเป็นมารยาทในสังคมที่จะไม่ฟังผู้อื่นสนทนาโทรศัพท์ แต่จริงๆ เขาก็แอบเงี่ยหูฟังอยู่ แถมยังลอบโคจรพลังให้การได้ยินไวขึ้นอีก แม้เสียงปลายสายที่ออกจากหูฟังไร้สายจะเบามากและอุดอยู่ในหูของอีกฝ่ายแต่ผู้ฝึกยุทธ์อย่างเขาก็ยังพอฟังได้ยิน
 
จางอี้หลงแทบไม่พูดอะไร ดูเหมือนกำลังฟังรายงานจากคนที่โทรเข้ามาอยู่ หลี่คุนได้ยินไม่ทั้งหมดและฟังเข้าใจเป็นช่วงๆ ไม่ปะติดปะต่อนัก
 
‘…เราเตรียมระบบประมวลผลขนาดใหญ่บนกลุ่มเมฆเสร็จแล้วครับ การเรียนรู้ของเครื่องจักรกลด้วยการจำลองการเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าเดิมอย่างน้อยห้าเท่า ตำแหน่งแรกน่าจะออกมาในวันสองวันนี่แหละครับ…’
 
‘…ส่วนเรื่องนั้นก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่ใช่จุดมั่วๆ แน่ แต่อาจารย์กล่าวว่าลึกล้ำเกินไปจนยังบอกเป้าหมายทางการแพทย์ไม่ได้…’
 
‘…ไม่มีความคืบหน้าเลยครับทั้งของเก่าของใหม่ ดูเหมือนว่าของใหม่จะซับซ้อนกว่าเดิมด้วยซ้ำ ผลสรุปออกมาแล้วว่า ตัวอย่างที่ท่านนำมาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับสูตรเลยครับ…’
 
‘…ใช่ครับ เรามีสัญญารักษาความลับอย่างเข้มงวด…’
 
‘…ทีมวิจัยขอเวลาเพิ่มครับ มีหลายตัวยังไม่เคยเจอมาก่อน เขาขอให้เชิญศาสตราจารย์อีกท่านที่เชี่ยวชาญภาษาเซี่ยจากเป่ยต้ามาร่วมทีมด้วย แต่ผมเกรงว่าจะคุมข่าวไม่อยู่ เขาอาจจะขอไปต่อยอดกับงานที่เขาศึกษาอยู่เดิม…’
 
‘…ทีมถอดรหัสกำลังทำเต็มที่ครับ ถ้าได้เอกสารมาเพิ่มอีกซักหลายๆ สิบหน้า น่าจะเพิ่มโอกาสที่จะถอดความให้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้นครับ…’
 
หลี่คุนคิดว่าจางอี้หลงคงคุยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอยู่ ท่าทางคงกำลังทำโครงการอะไรที่ใหญ่โตซับซ้อนไม่น้อย ดูมีประเด็นหลายเรื่องที่ต้องติดตาม งั้นที่หายไปก่อนหน้านี้คงเพราะยุ่งจริงๆ แต่เขาอดสะกิดใจบางจุดไม่ได้ เขาคิดว่าได้ยินปลายสายพูดถึงภาษาเซี่ย  จะใช่ภาษาเซี่ยตะวันตกที่เขาใช้จดบันทึกอยู่ทุกวันหรือเปล่า ธุรกิจอะไรจะมาเกี่ยวข้องกับภาษาโบราณที่หายสาบสูญไปในประวัติศาสตร์ เขาอาจแค่ฟังผิดไป หรืออาจจะเป็นชื่อภาษาคอมพิวเตอร์สักภาษาหนึ่งในจำนวนที่มีอยู่มากมาย ดูแล้วไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนยุคนี้จะเข้าใจภาษาโบราณที่แม้แต่คนในยุคราชวงศ์หมิงยังไม่รู้จัก ยังไงก็ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี
 
เมื่อถึงคอนโด จางอี้หลงก็เปิดกระเป๋าเอาชาจีนขึ้นมาสองสามกระป๋อง แค่เปิดฝาออกมาโดยยังไม่ได้ชงกลิ่นหอมละมุนที่ออกมาก็ทำให้หลี่คุนมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจเหมือนเด็กได้ของเล่นจนแก้มแดงไปหมด
 
“ชาหลงจิ่งของหางโจว!!! ท่านแม่กับผมชอบที่สุด ไม่นึกว่าเดี๋ยวนี้ยังมีอยู่”
 
หลี่คุนอดทนรักษามารยาทต่อไปไม่ได้รีบเอาของฝากไปติดไฟต้มน้ำเพื่อจะลิ้มรสชาดีให้เร็วที่สุด ไม่นานกลิ่นหอมกรุ่นก็โชยออกมาพร้อมๆ กับที่หลี่คุนยกถาดน้ำชากลับออกมาอย่างกระตือรือล้น
 
“ชายิ่งชงยิ่งเข้มข้น คนยิ่งคบยิ่งสนิทแนบแน่น พี่อี้หลง เชิญดื่ม”
 
จางอี้หลงได้ยินคำว่า ‘คบ’ กับคำว่า ‘แนบแน่น’ ก็ยิ้มมุมปากอย่างกลั้นไม่อยู่ ไม่ว่าความหมายของคนพูดจะเป็นอย่างไร เขาก็จะเข้าใจอย่างที่เขาอยากเข้าใจ
 
หลี่คุนจิบชาอึกเล็กๆ แล้วหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
 
“ที่แท้เป็นใบชาหลงจิ่งทะเลสาบซีหู กลิ่นหอมรสชาติดียิ่งนัก เสียดายที่ไม่ใช่เป็นยอดชาที่เด็ดก่อนเทศกาลเช็งเม้ง ราคาแพงมากหรือไม่พี่อี้หลง วันหน้าเผื่อผมจะฝากซื้อมามากหน่อย”
 
จางอี้หลงแปลกใจไม่น้อย หลี่คุนบอกแหล่งที่มาและระยะเวลาเด็ดใบชาได้ถูกต้องเพียงแค่จิบแรก แสดงว่าต้องได้เคยดื่มอยู่เป็นประจำ แต่กลับไม่รู้ราคาของชาที่มีชื่อเสียงชนิดนี้
 
“ไม่แพงเท่าไหร่หรอก คนทั่วไปไม่ค่อยนิยมดื่ม แต่จะหายากสักหน่อย น้องคุนไม่ต้องฝากซื้อหรอก ถ้าพี่หามาได้จะเอามาฝากอีก ถือว่าเป็นค่าที่พักไง”
 
“ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนพี่อี้หลงด้วย คนสมัยนี้แปลกจริงๆ ชาดีๆ อย่างนี้กลับไม่ชอบ ไปดื่มกากชารสหยาบๆ ผสมน้ำตาลแช่เย็นน่าคลื่นไส้นัก”
 
จางอี้หลงคิดในใจ ไม่แพงเท่าไหร่จริงๆ คิดเป็นเงินไทยก็แค่ไม่กี่ร้อยบาท......…ต่อกรัม คนทั่วไปถึงได้ไม่นิยมดื่ม ถ้าเป็นยอดชาที่เด็ดก่อนเทศกาลเช็งเม้งละก็ราคาจะขึ้นไปถึงสามสี่พันบาทต่อกรัม น้องคุนช่างรสนิยมดียิ่งนัก ภายหน้าจะต้องหาเงินให้มากหน่อยจะได้เลี้ยงดูไหว
 
หลังจากทานอาหารเช้าง่ายๆ และพูดคุยกันพักใหญ่ หลี่คุนเห็นคนที่เดินทางมามีท่าทางอ่อนล้าก็เสนอให้ไปอาบน้ำและงีบเอาแรงเสียหน่อย จางอี้หลงเห็นดีด้วย เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อไขข้อข้องใจอะไรหลายๆ อย่าง พอได้ยินว่ามีคนจ้องทำร้ายหลี่คุนก็ใจไม่ดีต้องรีบบินมาดูให้เห็นกับตาว่าน้องยังสบายดีไม่บุบสลายที่ตรงไหน พอเคลียร์งานได้ก็นั่งเครื่องบินเที่ยวแรกมาเลยโดยไม่เกี่ยงว่าจะไม่มีชั้นเฟิร์สคลาส แต่ปรากฎว่าเป็นสายการบินราคาประหยัด ที่นั่งคับแคบไม่เหมาะกับคนตัวสูงใหญ่อย่างเขาทำให้ต้องนั่งตาค้างมาจนถึงเมืองไทยแม้จะเป็นเที่ยวบินกลางคืน เมื่อได้เจอตัวหลี่คุนจนโล่งใจแล้ว ความเหนื่อยล้าที่สะสมก็เริ่มแสดงอาการออกมา
 
เขารีบอาบน้ำฟอกสบู่ที่ดูเหมือนหลี่คุนจะทำเองจนเนื้อตัวมีกลิ่นหอมแบบเดียวกับน้องแล้วก็มีความสุขมาก พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดบางๆ ราคาถูกเหมาะกับอากาศเมืองไทยที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนก็รู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน หลี่คุนให้เขานอนที่โซฟาตัวเดิมบอกว่าจะช่วยนวดผ่อนคลายความเมื่อยล้าให้
 
แค่เห็นโซฟาตัวนี้เขาก็นึกถึงคลิปจนรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาบ้าง กางเกงขาสั้นที่สวมอยู่ไม่ได้ช่วยปกปิดอะไรมากนัก ยิ่งพอนอนทอดตัวถูกมือขาวๆ นวดไปตามร่างกายส่วนต่างๆ บางอย่างก็ยิ่งออกหน้าออกตามากขึ้นเรื่อยๆ จางอี้หลงไม่คิดจะปกปิดอะไร ร่างกายของเขาไม่ได้มีตรงไหนที่เป็นความลับสำหรับหลี่คุนอีกแล้ว มีแต่อยากจะแสดงความพร้อมของศักยภาพอันยิ่งใหญ่ให้เห็น เผื่ออีกฝ่ายจะสนใจทำสิ่งที่คืบหน้ามากกว่าครั้งก่อนที่แค่สัมผัสเฉยๆ
 
หลี่คุนไม่ได้ตาบอด เขาย่อมสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงตรงหน้าที่เกือบจะทิ่มตาอยู่แล้ว ในชาติก่อนตอนที่ออกไปทำภารกิจใหญ่ตามหัวเมืองห่างไกล เขารอนแรมร่วมกินร่วมนอนกับกลุ่มองครักษ์เงาอยู่เป็นเดือนๆ ย่อมเข้าใและคุ้นเคยกับธรรมชาติของชายฉกรรจ์เป็นอย่างดี พลังหยางของจางอี้หลงบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้แสดงว่าไม่ได้ผ่านการร่วมหอกับอิสตรีมาอย่างน้อยก็หนึ่งปี และดูจากการหักโหมงานที่ผ่านมาคาดว่าแม้แต่การช่วยเหลือด้วยตัวเองคงไม่ได้กระทำ
 
แต่พี่อี้หลงดีกับเขาถึงเพียงนี้ หากปล่อยให้สถานการณ์กระอักกระอ่วนใจเช่นนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ พี่อี้หลงจะขายหน้าเอาได้ เขารีบกดจุดสามสี่จุดแฝงไปกับการนวดเพื่อไล่เลือดลมออกจากส่วนนั้นทันที ในเวลาไม่นานความคึกครื้นตรงบริเวณนั้นก็หายไปกลับเข้าสู่ความสงบเหมือนทะเลราบเรียบไร้คลื่น หลี่คุนลอบมองจางอี้หลงเห็นใบหน้าแดงก่ำหลบสายตาเหมือนอับอายเสียเต็มปะดาแล้วก็โล่งใจ เขาตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว หากปล่อยไปโดยไม่ลงมือจัดการ พี่อี้หลงคงรู้สึกขายหน้ามากกว่านี้
 
จางอี้หลงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมความอหังการของเขาอยู่ดีๆ ถึงได้ห่อเหี่ยวเหมือนลูกโป่งยางขนาดห้าสิบหกมิลลิเมตรถูกปล่อยลม เขาไม่เคยมีประวัติเช่นนี้มาก่อน ที่สำคัญมันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาน้องคุนด้วย น้องจะคิดว่าเขาไม่แข็งแรงสมบูรณ์หรือไม่ จางอี้หลงอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว ได้แต่ต้องแกล้งทำเป็นหลับจนสุดท้ายก็หลับไปจริงๆ
 
หลี่คุนเห็นจางอี้หลงหลับไปแล้วก็เปลี่ยนจากการนวดร่างกายไปเป็นการใช้กำลังภายช่วยกรุยช่องทางเส้นลมปราณให้เปิดโล่งขึ้น คนผู้นี้ยังหักโหมร่างกายไม่เลิกเขาจึงต้องช่วยปรับสภาพร่างกายให้สามารถขับมลพิษตกค้างและความเครียดสะสมได้ดียิ่งขึ้นอีก เมื่อทำเสร็จตามที่ตั้งใจเขาก็รู้สึกว่าเป็นโอกาสดีที่มีแหล่งพลังหยางมาถึงที่ หลี่คุนไปหยิบโถกระเบื้องเก็บยาที่ไม่สมบูรณ์ที่ยังเหลืออีกมากมายมาวางข้างๆ โซฟา มือหนึ่งดูดพลังหยางจากจางอี้หลงที่นอนอยู่แปลงเป็นกำลังภายในเข้าไปเก็บในจุดตันเถียน พร้อมๆ กันนั้นก็ดึงกำลังกำลังภายในจากจุดตันเถียนให้วิ่งไปที่มืออีกข้างเพื่อชำระความบริสุทธิ์ของยาที่ไม่สมบูรณ์ กระบวนการเช่นนี้เหมือนกับไลน์การผลิตแบบต่อเนื่องของโลกยุคใหม่ที่หลี่คุนเคยดูในสารคดี แม้การใช้ปราณชำระโอสถจะสิ้นเปลืองกำลังภายในมากแต่พอมีแหล่งพลังงานที่ไม่จำกัดปัญหานี้จึงหมดไป ของในโถกระเบื้องถูกรีไซเคิลออกมาเรื่อยๆ อย่างมีประสิทธิภาพ จนในที่สุดเขาก็ได้โอสถบำรุงปราณระดับปฐพีเทียมบรรจุเต็มในขวดหยกหลายขวดเรียงรายเต็มไปหมดภายในก่อนเที่ยงของวัน
 
หลี่คุนมองขวดหยกพวกนั้นอย่างอิ่มเอมใจ ปกติเขาต้องไปช่วยนวดให้ชมรมกีฬาต่างๆ เป็นชั่วโมงถึงจะเติมพลังได้จนเต็มซึ่งเอามาใช้ชำระโอสถบำรุงปราณได้เม็ดสองเม็ดเท่านั้น  ถ้าไม่มีจางอี้หลง ไม่รู้ว่าอีกกี่เดือนเขาถึงจะรีไซเคิลหมด

……
 
เพราะเป็นบริษัทเล็กๆ คล้ายพวกสตาร์ทอัพ ทั้งเจ้าของและพนักงานก็ทำกันแบบพาร์ทไทม์ การประชุมผู้ถือหุ้นของฉางอันโอสถจึงจัดกันง่ายๆ ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในเวลาหลังเลิกงาน
 
นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ถือหุ้นของบริษัทจะได้พบหน้าพร้อมๆ กัน จึงต้องมีการทักทายกันตามมรรยาทอยู่บ้าง
 
“ตอนแรกไม่คิดว่ามิสเตอร์จางจะมาประชุมด้วยนะครับ เลยโชคดีได้เจอกัน”
 
หมอภีมชวนคุยพอเป็นพิธีหลังจากแนะนำตัว เขาลอบมองคู่สนทนาอย่างประเมิน ถึงจะอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ร์ตกางเกงสแล็คแบบกึ่งทางการ แต่ดูอย่างไรก็มีราศรีของนักธุรกิจใหญ่ ไม่น่าจะเป็นแค่ลูกจ้างบริษัทที่ยังต้องประหยัดโน่นประหยัดนี่แบบที่คุณานนท์เคยเล่าให้ฟัง
 
“พอดีเคลียร์งานได้ทันนะครับ เลยบินมาลงดอนเมืองเมื่อเช้านี้”
 
ดอนเมืองมีแต่โลว์คอสท์แอร์ไลน์ หรือว่าจะเป็นอย่างที่หลี่คุนว่าจริงๆ หมอหนุ่มคิด แต่ดูจากแบรนด์เสื้อเชิร์ตที่ใส่มา ถ้าไม่ใช่ของปลอม ก็ต้องมีฐานะไม่ธรรมดา
 
“เงินเพิ่มทุนที่คุณลงมา นี่ช่วยบริษัทได้เยอะเลยนะครับ ผมเองเป็นหมอไม่ได้เข้าใจเรื่องธุรกิจเท่าไหร่ เลยแค่ตามเพื่อคงสัดส่วนหนึ่งเปอร์เซ็นต์ไว้ โชคดีที่มิสเตอร์จางหาเงินได้เร็ว เห็นว่าส่งมาให้ก่อนแล้วด้วยซ้ำ ไม่ทราบว่ามีแหล่งเงินทุนจากไหนหรือครับ”
 
นี่เป็นอีกเรื่องที่ภีมไม่เข้าใจ ถ้าจางอี้หลงเป็นพนักงานธรรมดาจริงๆ ถึงจะพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ก็ไม่น่าจะกล้าทุ่มมาลงกับบริษัทใหม่ที่แทบไม่มีอะไรแบบนี้ แต่ถ้าเป็นนักธุรกิจใหญ่อย่างที่คิด ก็ไม่น่าที่จะเสียเวลามายุ่งอะไรกับบริษัทเปิดใหม่ขนาดเล็กจิ๋วที่อยู่คนละประเทศด้วยซ้ำ ใจเขาเอนเอียงไปข้อหลัง แสดงว่าต้องมีวัตถุประสงค์แอบแฝงแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งระแวงแทนคุณานนท์
 
“ก็พอหาได้ครับ บริษัทดีๆ อย่างนี้ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะถือหุ้นให้เยอะหน่อย”
 
“พี่อี้หลงพูดแบบนี้เดี๋ยวราคาหุ้นต้องเพิ่มหน่อยแล้ว เราเริ่มประชุมกันเลยดีไหมครับ เสร็จแล้วค่อยคุยกันต่อ”
 
หลี่คุนเกรงใจนักกฎหมายอดีตนายแบบที่มาทำพาร์ทไทม์ให้กับบริษัทว่าจะต้องรอนาน ก็เลยตัดบทให้เริ่มการประชุมที่มีนักกฎหมายเป็นผู้ดำเนินการประชุมโดยมีหลี่คุนผู้ถือหุ้นใหญ่และฝ่ายจัดการเป็นประธานการประชุม
 
การประชุมวาระเพิ่มทุนบริษัทเป็นไปอย่างพอเป็นพิธี ในเมื่อหลี่คุนที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เห็นชอบ คนอื่นจะโหวตอย่างไรก็ไม่มีผลอะไร เพียงครู่เดียววาระนี้ก็จบลง หลี่คุนเห็นว่ามีผู้ถือหุ้นอยู่กันครบเลยเล่าสถานการณ์ล่าสุดของกิจการที่ยังทรงๆ อยู่ให้ที่ประชุมฟังรวมถึงเรื่องของคู่แข่งที่สืบมาได้ด้วย
 
“ตกลงบริษัทคู่แข่งนี่น่าจะเป็นบริษัทลูกในกลุ่มธุรกิจของตระกูลไฮโซแบงค์คนนั้นหรือนี่ มันทำอย่างนี้ได้ยังไง ตัวเองเป็นคนช่วยขายขี้ผึ้งอยู่ตั้งหลายเดือน ข้อมูลอะไรๆ ก็คงรู้หมด อย่างนี้ถือว่าเอาความลับข้างในไปใช้ประโยชน์จนสร้างความเสียหายกับฉางอันโอสถนะ น้องคุนจะจัดการอย่างไงต่อกับคนๆ นี้ครับ”
 
จางอี้หลงของขึ้นกับข้อมูลใหม่ที่หลี่คุนไม่ได้บอกมาก่อน เรื่องทางธุรกิจก็แล้วไปเถอะเขาตั้งใจอยู่แล้วว่าต้องปล่อยให้น้องตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่พอนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาเนี๊ยบๆ สไตล์ลูกหลานไฮโซที่เคยเล่นดนตรีด้วยกันตอนวันแสดงละครเวทีแล้วก็หมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก ทำไมรอบตัวน้องคุนถึงได้มีแต่คนหน้าตาดีนะ หมอภีมก็ดูเกินหมอไปมาก วันๆ ใส่แต่หน้ากากอนามัยไม่รู้จะต้องดูดีตี๋อินเตอร์ไปทำไม แล้วนักกฏหมายพาร์ทไทม์อะไรนี่จำเป็นต้องคิ้วเข้มจมูกโด่งขนาดนี้ด้วยเหรอ ไปหามาจากไหนกันนักหนา เห็นแล้วหงุดหงิด
 
“ก็ไม่ยังไงครับ เรื่องบริษัทคู่แข่งก็คงสืบต่อไปว่าเขาเอาความลับเราไปได้ยังไง แต่คุณแบงค์นี่ไม่เกี่ยวข้องแน่ๆ ที่ขี้ผึ้งจักรพรรดิติดตลาดได้ก็เพราะเขา ทุกวันนี้เขาก็ยังอุดหนุนเดือนละหลายๆ กระปุกอยู่เลย เห็นว่าใช้กันทั้งบ้าน พอดีตอนนี้เขาอยู่ที่จีน ถ้ากลับมาผมจะคุยกับเขาอีกทีครับ”
 
จางอี้หลงได้ยินก็ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ คนแบบนี้น้องคุนจะเก็บไว้ทำไม
 
“ทำไมน้องคุนมั่นใจจังครับ พี่ว่ามันน่าสงสัยที่สุด ทั้งรู้ข้อมูลภายใน ทั้งมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทคู่แข่ง”
 
ถ้าแบงค์จะทิ้งมือคู่นั้นและเส้นทางทางดนตรีแลกกับธุรกิจเล็กๆ ที่ไม่ได้เศษเสี้ยวของที่บ้านตัวเองก็เอาเถอะ หลี่คุนคิด
 
“เอาเป็นว่าผมมีเหตุผลที่ทำให้มั่นใจครับ แต่คงบอกออกมาชัดๆ ไม่ได้ ไม่รู้คุณหมอภีมมีความเห็นยังไงครับ”
 
“คุณแบงค์นี่คนที่เป็นไฮโซกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มใช่ไหมครับ ผมพอรู้จักอยู่เพราะเขาเคยมาปรึกษาเรื่องฝังเข็ม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นคนไข้ผมหรอกครับ สิ่งที่เขาอยากทำมันใช้การฝังเข็มไม่ได้ต้องผ่าตัดโน่นเลย แต่เรื่องที่ตอนนี้เขาอยู่จีนน่าจะจริง เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยติดต่อขอทราบชื่อแพทย์ฝังเข็มที่มีชื่อเสียงในจีนจากผมไป บอกว่าจะไปตระเวนปรึกษาดู ถ้าเขาไปหาทั้งหมดจริงตามลิสท์ที่ผมให้ น่าจะต้องอยู่เกือบเดือน ถ้าจะบอกว่าน่าสงสัยก็พูดได้ไม่เต็มปาก ผมว่าเราควรมองความเป็นไปได้อื่นๆ นะครับ  อย่างเช่นว่า ยังมีใครที่รู้ข้อมูลธุรกิจของฉางอันโอสถโดยละเอียดอีกบ้าง”
 
นักกฎหมายสะดุ้งเฮือกรีบพูดขึ้นมาว่า
 
“ไม่ใช่ผมนะครับ ผมทำแต่เอกสารกฏหมาย กับเป็นตัวแทนบอสติดต่อคนข้างนอกนิดหน่อย ผมไม่รู้เรื่องธุรกิจอะไรของบอสเลยนอกจากว่าทั้งขี้ผึ้งจักรพรรดิกับน้ำมันมวยมีคุณใช้ดีมากๆ ทั้งคู่”
 
“นั่นไง มันต้องเป็นคนที่รู้ธุรกิจ เผลอๆ อาจจะมีส่วนในการวางกลยุทธ์ให้เสียเปรียบคู่แข่ง รวมถึงอาจพยายามจะครอบงำบริษัทด้วย”
 
หมอภีมสงสัยในกลยุทธ์ที่ให้ขึ้นราคาขี้ผึ้งของจางอี้หลงมาก เขาเป็นหมอคงไม่ได้โง่มากหรอกมั๊ง นี้มันเหมือนยื่นดาบให้ศัตรูชัดๆ เขาเคยพูดเตือนสติคุณานนท์ไปแล้ว แต่วันนี้จะพูดอีก ต่อหน้าตัวการนี่แหละ
 
“หมอพูดแบบนี้ตั้งใจหมายถึงผมหรือเปล่า งั้นระบุชื่อมาเลยก็ได้”
 
จางอี้หลงลุกขึ้นถลกแขนเสื้อถึงข้อศอก ท่าทางท้าต่อยท้าตีมาก เหมือนอันธพาลมากกว่านักธุรกิจไปแล้ว ปกติไม่ว่าวงเจรจาธุรกิจระดับไหนเขาก็ควบคุมอารมณ์ไม่ให้ใครอ่านเกมออกได้ตลอด แต่มาใส่ความกันต่อหน้าน้องคุนนี่ยอมไม่ได้จริงๆ
 
“อย่าทะเลาะกันครับ ผมเชื่อใจพี่อี้หลงมาก พี่ไม่มีทางทำไม่ดีกับฉางอันโอสถหรอกใช่ไหมครับ”
 
จางอี้หลงเห็นหลี่คุนแสดงออกว่าเชื่อใจเขาเต็มที่ก็ใจเย็นลง
 
“แน่นอนครับ ที่พี่เข้ามาถือหุ้นเพิ่มนี่ก็หวังดีจริงๆ ไม่ได้คิดจะมาครอบงำอะไรเลย”
 
“ที่จริงตอนนี้ผมก็ต้องการเงินอีกก้อนอยู่พอดี ถ้าพี่อี้หลงสนใจและให้ราคาเท่าเดิม ผมก็อยากจะขายหุ้นอีกสิบเปอร์เซ็นต์ให้ครับ”
 
“หุ้นของฉางอันโอสถปล่อยออกมาเท่าไหร่ พี่เอาหมดเลย ถ้าจะให้ดี ไอ้หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของคนที่ดีแต่พูดไม่ได้ทำอะไรจะขายๆ มาก็ได้นะ หาคนหน้าตาธรรมดาสักคนมาถือแทน ตินเพื่อนน้องคุนก็ได้”
 
ระหว่างที่หมอภีมกับจางอี้หลงทำหน้าตึงใส่กัน นักกฎหมายก็ทำท่าบุ้ยปากให้หลี่คุนเหมือนมีเรื่องจะบอกแต่ไม่อยากให้หมอภีมกับจางอี้หลงได้ยิน
 
“ไม่เป็นไรครับ บอกมาในที่ประชุมเลยก็ได้ ผมเปิดเผยอยู่แล้ว”
 
หลี่คุนบอก
 
“บอสทราบใช่ไหมครับว่าสำหรับบริษัทจำกัด ถ้ามีผู้ถือหุ้นรายหนึ่งถือถึงยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ เขาจะมีสิทธิ์คัดค้านการตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ของบริษัทได้ เช่นการแก้ไขข้อบังคับบริษัท การเพิ่มทุนลดทุนควบรวมบริษัท เมื่อการเพิ่มทุนและการขายหุ้นครั้งนี้แล้วเสร็จ มิสเตอร์จางจะถือหุ้นสิบห้าเปอร์เซนต์ในบริษัท ถ้าบอสขายหุ้นให้มิสเตอร์จางอีกสิบเปอร์เซ็นต์ เขาจะมีอำนาจในการใช้สิทธ์คัดค้านที่ว่าทันที ต่อไปบอสจะทำอะไรสำคัญๆ กับบริษัท บอสจะต้องไปปรึกษาขอการสนับสนุนจากมิสเตอร์จางก่อนทุกครั้งนะครับ”
 
“ไม่มีปัญหาอะไรนี่ครับ ปกติผมก็ปรึกษาพี่อี้หลงอยู่แล้ว ที่สำคัญผมมั่นใจในพี่นะครับ”
 
ประโยคสุดท้ายหลี่คุนหันมาพูดกับเจ้าตัวโดยตรง จางอี้หลงเห็นอีกฝ่ายเชื่อมั่นขนาดนี้ก็ดีใจน้ำตาแทบไหล ความจริงใจของเขาได้ซึมซับเข้าไปอยู่ในใจของน้องคุนแล้ว
 
ในที่สุดการประชุมก็จบลง แต่ก่อนจะแยกย้ายกัน หมอภีมก็แอบดึงตัวหลี่คุนแยกออกไปคุยต่างหาก
 
“ผมว่าคุณคุณานนท์ ไม่น่าจะขายหุ้นให้เขาง่ายๆ นะครับ ผมเห็นแล้วท่าทางไม่น่าไว้ใจเลย ผมว่าเขาต้องตั้งใจจะเทคโอเวอร์ฉางอันโอสถอยู่แน่ๆ”
 
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าพี่อี้หลงเค้าอยากได้ ก็เอาไปเลย”
 
“ไว้ใจเขาขนาดนั้นเลยเหรอครับ งั้นคงเป็นเรื่องความสัมพันธ์ส่วนบุคคลแล้ว ขอโทษที่ผมก้าวก่ายนะครับ”
 
“ไม่ใช่ครับคุณหมอ ผมหมายถึงว่าถ้าพี่เขาอยากได้ ก็เอาเงินมาซื้อหุ้นไปให้หมดเลย ตัวบริษัทฉางอันโอสถมีอะไรซะที่ไหน ทรัพย์สิน โรงงาน คน องค์ความรู้ ไม่มีทั้งนั้น ขี้ผึ้งจักรพรรดิผมก็ทำเอง สูตรก็อยู่หัว ถ้าผมออกมาก็จบทำต่อไม่ได้ น้ำมันมวยมีคุนมีสูตรที่ทำสัญญาจ้างโรงงานผลิตก็จริง แต่มีสัญญาผูกไว้ว่าต้องแบ่งกำไรให้กับลุงมีเจ้าของสูตรดั้งเดิมกับค่ายมวย ศ.เผด็จศึกเจ้าของแบรนด์ ผมขายหุ้นเที่ยวนี้ก็จะเอาไปซื้อสิทธิ์รับส่วนแบ่งกำไรคืนจากค่ายมวยมาไว้กับตัว ถ้าฉางอันโอสถเปลี่ยนเจ้าของ สิ่งที่ทำได้จริงๆ ก็มีแค่ขายน้ำมันมวยมีคุน ซึ่งต้องแบ่งกำไรมาให้ผมอยู่ดี ได้เงินก้อนตอนขายหุ้นแล้ว นอนเฉยๆ ยังได้ส่วนแบ่งอีก ถ้าเบื่อก็ค่อยตั้งบริษัทใหม่ มีอะไรที่ต้องกังวลครับ”
 
หมอภีมหนาวไปทั้งตัว นึกอวยพรให้จางอี้หลงอยู่ในใจ ที่แท้คนที่ไม่น่าไว้ใจที่สุดคือคุณานนท์นี้เอง เป็นหมอก็ดีอยู่แล้ว ไม่ควรคิดไปคาดเดาเล่ห์เหลี่ยมทางธุรกิจของใคร  หุ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่มีอยู่ถอนออกตอนนี้จะทันไหมนี่
 
#############

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด