Me After You บทที่ ๗ หิ่งห้อย ริมคลอง สองเรา (ส่วนที่เหลือ)
แล้วเสียงไม้กระดานเรือนลั่น ก็เรียกร้องความสนใจให้กับทุกๆคนบนหอนั่งที่กำลังนั่งรอเจ้าซุปตาร์ตัวดีเข้าร่วมมื้อเย็น ครั้นเมื่อเห็นเจ้าดาราพระเอกหนัง วิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาเช่นนั้น ก็พากันตกใจ
“ไอ้มอด โตจนจะมีเมียได้อยู่แล้ว ยังวิ่งเป็นเด็กๆอีก เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวจะให้คุณมูนเอาไม้เคาะตาตุ่ม” ป้าเมี้ยนรีบเอ็ดหลานชาย “ แล้วทำไมหน้าตาเป็นอย่างนั้น วิ่งหนีอะไรกันมา”
“จะบอกอย่างไรดีล่ะ แต่คราวนี้ไม่ใช่มอสหรอกครับ ” มอสยังทำหน้าทำตามิถูก แล้วหันไปทางเรน ที่ยืนหอบเพราะโดนมอสฉุดแขนให้วิ่งตามมาอย่างงุนงง “ เอ้า บอกให้ป้าเขาฟังสิ ไอ้คุณหนู ว่าไปเจอใครมาก่อนขึ้นมานี่”
“เจอใครกันล่ะพ่อหนูเรน”
“อ๋อ ผมเจอคุณยายท่านหนึ่งครับ คุณยายฝากให้เอาใบเตยมาให้ป้าเมี้ยน” เรนเล่าไปหอบไปพูดความไปตามจริง ยังไม่เข้าใจในอากัปกิริยาของมอสเท่าไหร่นัก แล้วยื่นส่งใบเตยมัดที่คุณยายท่านนั้นฝากขึ้นมาให้ป้าเมี้ยน พอป้าเมี้ยนรับมาก็อุทานลั่นมาคำเดียวกับมอส จนพี่มูน รีบผลุดลุกมาดู
“ฉิบหายแล้ว!!!”
“อะไรกันป้าเมี้ยน” พี่มูนรีบถามขึ้น ป้าเมี้ยนไม่ตอบอะไรในทีแรก รีบส่งใบเตยไปให้พี่มูนดูต่อ
“คะ คุณมูนคะ ดะ ดูเอาเถอะค่ะ ตัดใบเตยอย่างนี้มีคนเดียว”
พี่มูนพอรับใบเตยมาดู สีหน้าก็เปลี่ยนไปในฉับพลันทันใด เพราะใบเตยมัดย่อมๆทั้งมัด ตัดปลายอ่อนๆ ตัดโคนแข็งๆ ทิ้งไปจนหมดสิ้น ลักษณะการตัดใบเตยเช่นนี้เป็นการตัดเพื่อเอามาทำเครื่องหอมโบราณเช่นน้ำอบ น้ำปรุง โดยเฉพาะ การตัดใบเตยแบบนี้เป็นการพิถีพิถันขั้นต้น เพื่อให้ได้กลิ่นจำเพาะของใบเตยที่ไม่แก่ไม่อ่อนออกมาพอดีๆ คนส่วนใหญ่ไม่รู้วิธีนี้ จึงใช้กันทั้งใบ
ส่วนตนเองนั้นมีหรือจะไม่รู้ แต่ด้วยความที่อยากจะประหยัดเวลา จึงละเลยไปเสีย ป้าเมี้ยนเองก็เช่นกัน เพราะเคยลองทำออกมาแล้ว กลิ่นหอมก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่เลย จึงข้ามขั้นตอนการตัดใบเตยไป มิเคยบอกและถ่ายทอดผู้ใด คนที่รู้วิธีตัดอย่างนี้นอกจากตนกับป้าเมี้ยนแล้วก็คงมีอยู่แค่คนเดียว
“ทูนหัวของเมี้ยน ดันรู้เสียอีกว่าใบเตยขาดพอดี เมี้ยนกำลังจะให้นังพวกเด็กๆลงไปตัดเชียว” ป้าเมี้ยนพนมมือไหว้ไปทั่วสารทิศ แล้วเกาะเอวพี่มูนแน่น เรนเห็นเข้าก็เริ่มรู้สึกทะแม่งๆ มันต้องมีอะไรแน่ๆเชียว ส่วนมอสขนาดไม่ได้เจอเอง ขนก็ยังลุกเกรียวไม่หาย ยิ่งคิดถึงเรื่องที่ตนเจอตอนเด็กๆ ขนแขนยิ่งตั้งชัน
“โอ๊ยยย แต่ละคน มาแต่ละที อัพสกิลกันทั้งนั้น คราวคุณป้าศศิก็ทีหนึ่งแล้ว”
“โถ ...เรนเอ๊ยเรน ยังไม่ทันข้ามคืนเลย”
มูนพูดขึ้น รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงจะลงความเห็นว่าบังเอิญและมองเป็นเรื่องเหลวไหล แต่เพลานี้ จากประสบการณ์ที่ผ่านๆมา แถมเจ้ามอสก็ยังเคยเจอแม่ศศิของตนในวันที่พ่อเอกกลับมาหาและนั่งคุยกันเป็นคุ้งเป็นแคว อีกทั้งเด็กในบ้านก็เจอจนลาออกกันไปหลายคน จึงไม่มีเหตุผลใดจะหามาหักล้างได้อีกต่อไปแล้ว
“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่มูน ผมงง”
“พี่จะพูดยังไงดีนะ” พี่มูนทำหน้าปั้นยากขึ้นไปอีก แล้วหันไปหาป้าเมี้ยน “ตัดแบบนี้ก็มีอยู่คนเดียวแหละป้าเมี้ยน จะอธิบายให้เรนเขาฟังยังไงกันดีล่ะ”
“นั่นสิคะคุณมูน... ว่าแต่คุณยายคนนั้น ท่านว่าอะไรต่ออีกไหมจ๊ะพ่อหนูเรน”
“ท่านบอกว่าอยากแพ่นกบาลมอสสักที มาถึงแทนที่จะไปหายาย แต่ดันพาไปไหว้หมา”
“เออใช่ จริงด้วย ลืมไปเลย ซวยแล้วกู” มอสอยากตบกบาลตัวเองนักเชียว ลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร
“และท่านก็บอกอีกว่า ไอ้ที่ป้าเมี้ยนขอไว้คือเลขทะเบียนรถมอส อ้อ...และท่านชื่อการะเกดครับ”
“จริงเรอะ!!!”
พี่มูนกับป้าเมี้ยนตบอกอุทานมาแทบจะพร้อมๆกัน จนพี่เต้ยกับพี่น้องอัย ตามมาดู แล้วพี่มูนก็หันไปเล่าความทั้งหมดให้พี่เต้ยกับพี่อัยฟัง พี่ทั้งสองพอได้ฟังก็ทำหน้าตกอกตกใจไม่ต่างอะไรกับทุกคน จนเรนทนไม่ไหวหันไปสะกิดมอส ให้ช่วยอธิบาย
“เกิดอะไรขึ้นเหรอมอส เรางงไปหมดแล้ว ทำไมทุกคนดูตกอกตกใจ นายก็ด้วย”
“กำลังจะหาวิธีบอกให้หายงงนี่แหละ แต่ไม่รู้จะบอกยังไง ไม่ให้นายตกใจ”
“แล้วทำไมเราจะต้องตกใจ ไม่เห็นมีอะไรจะต้องน่าตกใจซะหน่อย บอกมาเถอะมอส” เรนคะยั้นคะยอ
“เอ๊าก็ได้ บอกก็บอก ...ตามมานี่”
มอสพูดจบก็กลั้นใจฉุดข้อมือเรนอีกครา ให้ตามเข้ามาด้านในหอนั่ง แล้วเดินข้ามไปอีกฟาก ไปยังผนังที่มีรูปติดอยู่เต็ม ซึ่งบรรดารูปแต่ละรูปนั้น เรนเห็นเข้า ก็จำที่มอสพูดได้ทันทีว่าทุกคนคือคนสำคัญ เหมือนที่ติดไว้ที่ผนังห้องคอนโดไม่มีผิด และแล้วสายตาก็มาหยุดยังรูปที่อยู่ตรงกลาง ตำแหน่งเดียวกันเป๊ะ เป็นรูปของสตรีสูงวัยใบหน้ายิ้มแย้มที่มอสเรียกว่า ‘คุณท่าน’ แว่บแรกที่เห็นก็มองผ่านไป แต่แล้วก็เหมือนกับนึกอะไรออกรีบหันขวับกลับมามองชัดๆ และก็รู้โดยที่ไม่ต้องมีใครมาอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีกแล้วว่า... ใครเป็นใคร
“เหมือนคุณยายที่เจอข้างล่างไหม ไอ้คุณหนู”
“มะ มะ มอสสสส”
เรนเรียกชื่อมอสมาเบาๆแค่นั้น ตามมาด้วยความรู้สึกสุดท้ายคือขนทุกเส้นและผมทั้งกบาลลุกกรูชูชัน ก่อนจะวืดหงายหลัง ลงไปในอ้อมแขนของมอสที่เตรียมตั้งท่ารอรับไว้แล้วพอดิบพอดี
“ว่าแล้วเชียว....ไอ้คุณหนูเอ๊ย”
มอสพูดพลางส่ายหน้าพลาง อุ้มร่างเรนมานอนกลางหอนั่ง ป้าเมี้ยนที่รู้งานดีอยู่แล้ว รีบไปเอาน้ำมนต์ในห้องพระมาประพรมให้ ท่ามกลางสายตาของทุกๆคนที่มารวมกันอยู่ ณ หอนั่งกระจุกเดียว....อุศเรนกว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็ราวสองทุ่มเศษ พอผงกหัวยันตัวขึ้นมาได้ ก็เห็นทุกคนกรูกันเข้ามารายล้อมตนทันใด
“ซันก็บอกแล้วววววววว ว่าอย่าลืมให้น้ามอสพาไปไหว้คุณทวดจ๋า เป็นไงล่ะพี่เรน น้ามอสก็อีกคน ลืมอะไรไม่ลืม” น้องซันเป็นคนแรกที่พูดขึ้น ตามมาด้วยพี่ช้าง
“เชื่อพี่หรือยังล่ะไอ้เรน เรื่องคุณท่านที่พี่เล่าให้ฟังตอนมาทำงานวันแรกน่ะ”
“นี่มันเรื่องจริงใช่ไหมครับ” เรนถามเสียงสั่นๆหน่อยๆคงยังกลัวไม่หาย แล้วนึกยังไงไม่รู้ เอามือลูบหัวตัวเองดู ก็เห็นผมร่วงติดมือมาได้เกือบกระหย่อม “ผมร่วงเลย”
แล้วท่าทีที่ตกอกตกใจของทุกคนที่เรนเห็นก่อนจะหมดสติในตอนแรก ก็สลายกลายเป็นเสียงหัวเราะมาถ้วนทั่วจากทีท่าและน้ำเสียงของเรน มอสนี่แหละตัวดี ที่ไม่ปราณีปราศรัยในการยั้งเสียงไว้เลย แถมยังพูดกลั้วเสียงหัวเราะตัวเองขึ้นมาอีกว่า
“เหมือนเราตอนเจอแม่พี่มูนเลย ตื่นมาก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน ผมเนี่ยตั้งโด่เด่ และก็ร่วงด้วย คอยดูนะ พรุ่งนี้ร่วงหมดทั้งหัวแน่ไอ้คุณหนู ”
“มอสนี่ก็ เราก็มีส่วนผิดนะ ยังไปหัวเราะเรนเขาอยู่ได้ น่าให้คุณยายเอาไม้มาแพ่นกบาลจริงๆ สักทีเถอะ” พี่มูนหยุดขำเป็นคนแรก ปรามน้องชาย แล้วสั่งความต่อ “หยุดหัวเราะได้แล้ว แล้วพาเรนไปไหว้คุณยายซะ จะได้ออกมากินข้าวกัน เลยเวลากันมาเยอะแล้ว”
“ครับผม”
แล้วมอสก็พาเรนลุกขึ้นมาจากผืนพรมกลางหอนั่ง เตรียมพาไปไหว้คุณยายยังห้องพระ แต่ก่อนที่เรนจะเดินออกไป ทั้งป้าเมี้ยนและพี่ช้าง ก็ฉุดมือเรนไว้พร้อมกัน แล้วแทบจะถามพร้อมกันเป็นคำถามสำคัญอันจะลืมมิได้เลย
“เลขทะเบียนรถมอสแน่นะ”
เช้าวันรุ่งขึ้น เกือบเจ็ดโมงกว่าแล้ว เรนรีบลุกจากเตียงที่ยังมีพี่ช้างยังนอนกรนอยู่ข้างๆ ดูผมตัวเองเป็นอันดับแรกว่าร่วงอีกไหม และก็โล่งอกนักที่มันไม่ร่วงเพิ่ม จึงรีบจัดการธุระอาบน้ำแต่งตัว เตรียมออกไปช่วยงานที่หอนั่ง เพราะได้ยินกลางมื้ออาหารค่ำมากเมื่อคืนว่าวันนี้มีงานต้องช่วยตระเตรียมกันเยอะ แม้จะไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรเขาได้ แต่ก็ควรออกไป ช่วยหยิบช่วยจับอะไรเล็กๆน้อยๆก็ยังดี ดีกว่าอยู่เฉยๆ ให้งานลอยมาหา ผู้หลักผู้ใหญ่ท่านจะว่าเอาได้ ตามคำโบราณที่ท่านว่าเอาไว้นั่นคือ อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น ถึงแม้ลูกคนเล็กของท่านจะไม่น่ารักกับตนเอาซะเลยก็ตาม
เรนคิดเองได้ โดยที่พี่ช้างหรือมอสต้องบอก ฉะนี้เมื่อเดินตามกลิ่นหอมน้ำอบจรุงใจออกมาถึงหอนั่ง สายตาของผู้ที่นั่งเด่นเป็นสง่า จึงฉายแววออกมาเกินพอใจ
“ไงเรน หลับสบายดีไหม ตื่นเช้าเชียว” พี่มูนทักขึ้น เรนจึงคลานเข่าเข้ามานั่งกลางพรม คิดว่าตัวเองตื่นเช้าแล้วเชียว รีบเปลี่ยนความคิดซะใหม่ เพราะทั้งพี่มูนและบรรดานางข้าหลวงที่เรียกติดปากตามมอส ก็นั่งประจำที่ที่เดิมครบองค์ อย่างกับเมื่อวานตอนตนมาถึงอย่างไรอย่างนั้น
“หลับสบายดีครับพี่มูน อากาศตอนเช้าที่นี่ดีจังเลยนะครับ”
“เช้านี้อากาศดี เย็นสบาย กลับไปนอนต่อก่อนก็ได้ สักเก้าโมงค่อยออกมา จะได้ทานของเช้า ”
“ไม่ดีกว่าครับพี่ ออกมาช่วยงานพี่มูนดีกว่า ไม่อยากนอนกินบ้านกินเมือง แล้วพี่มูนมีอะไรที่พอจะให้ผมทำได้บ้างไหมครับ”
ด้วยน้ำเสียงซื่อๆ คำพูดคำจาอีกทั้งกริยาไร้เดียงสาที่ไม่ประดิษฐ์ประดอยอะไรมาก คนฟังย่อมสัมผัสได้ว่าเด็กคนนี้มิได้มาสอพลอเอาใจ ผิดกับเพื่อนดาราสาวๆหรือเพื่อนผู้หญิงของมอสหลายคน ที่แต่ละคนกว่าจะตื่นก็เกือบสิบโมง สมกับมาเป็นแขกอย่างเดียวจริงๆ บางคนก็ออกมาช่วยบ้าง แต่ก็ช่วยแค่ดูนะ ช่วยมากหน่อยก็แค่หยิบๆจับๆพอเป็นพิธีแล้วถ่ายรูปลงไอจีก็เลิกรา ผิดกับเจ้าพระสังข์ถอดรูปตรงหน้านี้นัก มูนจึงยิ้มกว้างกว่าเดิมเกินคำว่าพอใจไปหลายระดับ แล้วหยิบดอกบัวข้างๆตัวมาสองกำยื่นส่งให้ ประจวบเหมาะกับป้าเมี้ยนเดินมาที่หอนั่งพอดี
“งั้นก็ช่วยพี่พับดอกบัวถวายพระให้พี่หน่อย ป้าเมี้ยนมาพอดี ไปถามป้าเขาว่าวันนี้จะให้พับอย่างไร”
“ครับพี่มูน”
เรนรับคำรับดอกบัวสองกำนั้นมา แล้วคลานเข่าไปหาป้าเมี้ยน นึกชื่นชมพี่มูนอยู่อีกแล้วในใจ ที่มีศิลปะในการพูดในการหาครูมาสอนให้ทางอ้อม อย่างพี่มูนคงดูปราดเดียวก็รู้ว่าตนทำไม่เป็น จึงให้ไปหาป้าเมี้ยนเสีย ป้าเมี้ยนเองก็ตอบรับอย่างใจดี หยิบบัวมาดอกหนึ่ง พับกลีบแป๊บๆ จากดอกบัวก็กลายเป็นกุหลาบงดงาม
“สวยจังเลยครับป้าเมี้ยน”
“ยังไม่สวยเท่าไหร่หรอก พ่อหนูเรน สมัยป้าสาวๆน่ะ พับได้สวยกว่านี้อีก ตอนนี้หูตามันเริ่มฝ้าฟางแล้ว ..เอ้าพับตามป้านะ”
แล้วป้าเมี้ยนก็หยิบบัวมาอีกดอก ให้เรนทำตาม เรนก็ดูและทำพร้อมกันอย่างตั้งใจ โดยมีสายตาของมูนลอบมองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอด พอดอกแรกของเรนเสร็จ ป้าเมี้ยนก็พูดดังลั่นขึ้นยามได้เห็นผลงาน
“ต๊ายยยย พ่อหนูเรน นี่มันดอกอะไรกันล่ะคะเนี่ย บูดๆเบี้ยวๆ เอาใหม่ค่ะเอาใหม่ พับไม่สวยระวังนะคะ ระวังคุณท่านจะมาหาอีก ”
ป้าเมี้ยนพูดกลั้วหัวเราะ ระคนเสียงคิกๆคักๆของบรรดานางข้าหลวงแก๊งค์คอบัว เรนก็ยิ้มอย่างเขินอายทั้งเรื่องดอกบัวและเรื่องที่ล้มตึงยามรู้ว่าคุณท่านเป็นใครเมื่อคืน จึงแก้เขินโดยการตั้งหน้าตั้งตาหยิบดอกใหม่มาพับ คราวนี้ออกมาดูเป็นดอกกุหลาบขึ้นกว่าดอกแรกจนป้าเมี้ยนชม ป้าเมี้ยนครั้นเห็นว่าปล่อยไว้ลำพังได้แล้วจึงกลับลงไปดูงานครัวด้านล่าง เรนจึงนั่งพับดอกต่อไปเรื่อยๆ จนช้างออกมายังหอนั่งเห็นเข้าก็ยิ้มอย่างพอใจแต่ก็ไม่วายถามมูนไปว่า
“นึกยังไงใช้ให้ไอ้เรนมันพับดอกบัว” เสียงแปร๋นของช้างบีบลงเพียงกระซิบ
“ใช้อะไรที่ไหนกันเล่า น้องเขาอาสามาช่วย ก็เลยให้เขาทำ”
“เออดีๆ เรนมันเป็นเด็กดี รู้หน้าที่โดยไม่ต้องบอก ทัศนะคติก็ดี ขยันโดยเนื้อแท้ของมัน ไม่นั่งๆนอนๆ งอมืองอตีน ถึงจะมาเป็นแขกก็ยังรู้จักช่วยงานเจ้าของบ้าน...นี่คงถูกใจหร่อนละสิยะ อีมูน”
“หรือว่าช้างไม่ถูกใจ ช้างนี่จะว่าไปก็ตาถึงนะ”
“ถ้าไม่ถูกใจ ฉันก็ไม่พามาบ้านหร่อนหรอกย่ะ แต่ไม่ใช่ฉันหรอกที่ตาถึง นู่นคนตาถึงอยู่โน่น”
ช้างบุ้ยปากปรายตาหรี่เล็ก ไปยังทางเดินตรงเฉลียง ที่มีเต้ย มอสและซันกำลังเดินคุยกันหัวเราะร่าถือลูกบาสเข้ามายังหอนั่ง นี่คงจะลงไปเล่นบาสกันมาตั้งแต่เช้าจนเหงื่อชุ่ม แล้วคนตาถึงที่ช้างบอกก็ส่งสายตาส่องประกายปรายมาอย่างพึงใจ เมื่อเห็นว่าใครนั่งพับดอกบัว
“พับเป็นด้วยเหรอ ไอ้คุณหนูลำพู”
สุ้มเสียงใสกล่าวขึ้นพร้อมตัวยามทรุดลงนั่งข้างๆ เน้นแสนจะเน้นไปตรงคำว่า ‘ลำพู’ ที่ต่างคนต่างรู้ว่าสื่อถึงอะไร เรนเองจึงหันมาตอบโดยมิรู้เหมือนกันว่ากำลังเขินเรื่องใต้ต้นลำพูหรืออายในฝีมือพับดอกบัวของตนกันแน่
“เพิ่งหัดเมื่อกี้น่ะมอส ป้าเมี้ยนสอนให้ ”
“ถึงว่าสิ เพิ่งพับเป็นนี่เอง ถึงได้บูดๆเบี้ยวๆ กุหลาบหรือกุเหลี่ยมเนี่ย”
“โธ่มอสล่ะก็ ให้กำลังใจกันหน่อยสิ”
“ก็มันจริงนี่น่า เก่งนะเนี่ย ครีเอทดอกกุเหลี่ยมได้”
มอสวิจารณ์มาขำๆ แล้วหยิบดอกนู้นดอกนี้มาติชมไปเรื่อย เติมบทสนทนาต่อไปมิหยุดหย่อน โดยที่ทั้งสองมิรู้หรอกว่า พี่มูนกำลังลอบจับจ้องอยู่ทุกอิริยาบทแห่งการสนทนานั้น เจ้าน้องชายตัวดีของตนนี่ มันออกท่าออกที ทำหน้าทำตาอย่างกับเตรียมมาหว่านเสน่ห์ ณ ฝ่ายในของตนโดยเฉพาะ ส่วนเจ้าเรนก็ดูท่าว่าจะอิ่มเอมเปรมใจที่มีคนมาคอยนั่งคอยดูฝีมือพับดอกบัวตัวเองอยู่มิห่าง
เห็นแล้วก็นึกถึงตัวเองเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ตอนที่เต้ยมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ นั่งมวนบุหรี่กลีบบัวให้เขาทีไร เต้ยก็ไม่เคยนั่งไกลไปจากตนสักนิดเดียว ทั้งวอแวทั้งตอแยมิมีหยุด มอสทำตัวมิต่างอะไรกับเต้ยเลย ตนก็ได้แต่ยิ้มไปมวนบุหรี่ไป เหมือนกับเจ้าเรนที่ยิ้มไปพับดอกบัวไปมิมีผิด เจ้าสองคนนี่ทำให้ตนนึกถึงวันเก่าๆ และมิใช่แค่ตนที่คิดไปเองคนเดียว
“คล้ายๆเราสองคนสมัยก่อนเลยนะมูน” เต้ยนั่งลงข้างๆ กระซิบเบาๆ โอบไหล่เมียแน่น หอมแก้มไปฟอดใหญ่ ไม่อายใคร “เห็นแล้วก็นึกถึงวันเก่าๆของเราสองคน สงสัยไอ้มอสมันคงแอบดูเราแล้วเอามาทำตามแน่ๆ”
“นั่นสิเต้ย มูนก็คิดอย่างนั้น นี่ถ้ามอสมันเกเรอีกหน่อย แล้วเรนมันค้อนขวับๆละก็ ใช่เลย”
มูนตอบผัว ยิ่งมองก็ยิ่งเกิดเอ็นดูทั้งคู่ โดยเฉพาะกับเรน และเพราะความเอ็นดูผนวกกับที่สามารถทำให้เห็นภาพตนเองในสมัยก่อนเนี่ยแหละ จึงทำให้ต้องกวักมือเรียกเข้ามาหา ขัดบทสนทนาทั้งสองขึ้น เรนจึงจำต้องวางดอกบัวในมือลง หยุดคุยกับมอสคลานเข่าเข้าไปหาพี่มูนทันใด
“เรนมาหาพี่หน่อย”
“มีอะไรเหรอครับพี่มูน”
“แป๊บนึงนะจ๊ะ” มูนตอบเจ้าพระสังข์ถอดรูปตรงหน้า แล้วหันไปบอกเด็กสาวในเสื้อคอบัวคนหนึ่งว่า “ไปหยิบกำปั่นที่อยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอนฉันมาให้ที”
เด็กสาวคนนั้นรับคำ รีบคลานเข่าออกไปจัดการตามคำสั่งมูน มินานก็กลับเข้ามายื่นส่งกำปั่นไม้ใบย่อมใบหนึ่งให้ มูนพอรับมาได้ ก็เปิดออกแล้วหยิบถุงแพรสีชมพูใบเล็กขึ้นมาถุงหนึ่ง พอเปิดออก ก็เป็นสร้อยสามกษัตริย์เส้นเล็กพร้อมจี้ทองฝังเพชรเม็ดเล็กๆเป็นอักษรรูปตัวเอ็ม ที่คงน่าจะมาจากนามเต็มคือมูน แต่แล้วก็มิใช่
“สร้อยสามกษัตริย์แท้พร้อมจี้เส้นนี้ พี่ทำไว้ให้มอสเขา แต่เขาใส่แล้วแพ้แถมยังกลัวหาย เลยเอามาคืนพี่ พี่จะเก็บไว้เฉยๆก็เสียดายเปล่าๆ พี่ให้เรนแล้วกัน ถือเป็นของเรียกขวัญที่เจอยายจ๋าของพี่เมื่อคืนและโดนลูกพี่แกล้งเมื่อวาน พี่เต้ยกับพี่ต้องขอโทษด้วยนะ” มูนพูดจบก็ยื่นสร้อยส่งให้
“โอยยย ไม่เป็นไรครับพี่มูน อย่าเลยครับ”
เรนรีบปฏิเสธทันที รู้ดีว่าสร้อยสามกษัตริย์แท้นี้มันมีราคาแพงเพียงใดถ้าเทียบกับทอง ซึ่งถ้าเพิ่มเงินอีกนิดหน่อยก็ซื้อทองได้แล้ว สร้อยประเภทนี้จึงเหมาะกับผู้ที่มีเงินเหลือใช้ไม่ได้ตั้งใจเก็บไว้ขายกินยามลำบาก ซึ่งส่วนใหญ่คนมีตังค์เขาซื้อมาใส่เล่นๆกันทั้งนั้น ยิ่งเห็นจี้รูปตัวเอ็มด้วยแล้ว มันช่างห่างไกลกับฐานะของตนลิบลับ และยิ่งรู้ว่าเป็นของมอสแล้วยิ่งมิกล้ารับเข้าไปใหญ่
“รับไว้เถอะเรน อย่าให้พี่เสียน้ำใจ”
“ผมรับไว้ไม่ได้จริงๆครับพี่มูน” เรนยังยืนยันคำเดิม เริ่มทำใจลำบาก มองไปรอบๆ ก็เห็นมอสผู้เป็นเจ้าของเก่ายิ้มให้และพยักหน้า และยังคลานเข่าตามมาใกล้ๆ เฉกเดียวกับพี่อัย ที่นอกจากจะพยักหน้าบอกให้รับแล้ว ยังช่วยสำทับเพิ่ม จนมิมีทางปฏิเสธ
“รับไว้เถอะเรน ผู้ใหญ่เขาตั้งใจให้ของแล้วไม่รับ มันดูไม่งาม”
“แต่มันแพงครับพี่อัย ผมรับไว้ไม่ได้หรอก”
“เอ๊ะ เรนนี่ยังไง ผู้ใหญ่เขาให้ก็ต้องรับ จะแพงแค่ไหนก็ช่าง ผู้ใหญ่เขาให้มาแสดงว่าเขาเต็มใจจะให้ อีกอย่างที่พี่เขาให้ไปเนี่ย มันก็ไม่เดือดร้อนเขาสักนิด แค่นี้ขนหน้าแข้งพี่เขากับผัวไม่ร่วงหรอก ...รับไป”
พี่ช้างเอ็ดเสียงดังเข้าให้ นั่นแหละจึงทำให้เรนจำต้องรับสร้อยเส้นนั้นมา แล้วกราบลงตักพี่มูน พอเงยขึ้นมา มอสที่ปราดตามมา ก็ฉวยเอาสร้อยเส้นนั้น มาปลดตะขอออกซะเอง ยิ้มกว้างเสียยิ่งกว่ากว้าง ยักคิ้วจนน่าดูสมกับเป็นคิวท์บอย พูดเสียงใสชัดถ้อยชัดคำต่อหน้าพี่ๆทุกคน
“สร้อยของมอส เจ้าของเก่าอย่างมอสก็ต้องใส่ให้เองสิครับ...ให้เราใส่ให้นะ”
มอสมิรอให้ใครอนุญาต เรนจะร้องห้ามก็มิทัน เพราะมอสเอาสร้อยคล้องคอเรนเกี่ยวตะขอคืนมาดังเดิมแล้ว มอสทำอย่างนี้จะรู้ไหมว่าใจของเรนมันเต้นโครมครามเพียงใด หน้าขาวใสแดงขึ้นด้วยเลือดฝาดเกินธรรมชาติอย่างเลี่ยงไม่ได้ มอสทำอย่างกับว่ากำลังหมั้นหมายตนต่อหน้าผู้ใหญ่อย่างไรอย่างนั้น นี่ถ้ามีใครพูดขึ้นว่าให้กราบตักมอสเป็นการตอบขอบคุณก็คงเป็นดังคิดแน่แท้
เจ้าซุปตาร์ทำไปเพราะอะไร จะคิดถึงขั้นไหนเรนไม่รู้.... รู้แต่ตนอดคิดไปไกลอย่างที่กำลังคิดไม่ได้จริงๆ
“ยาวพอดี กำลังสวยรับกับคอเลยครับพี่มูน” มอสยังคงดำรงเสียงใส หันไปบอกพี่มูน แต่มิวายแอบพูดเบาๆ ระคนยิ้มกรุ้มกริ่ม ให้เรนได้ยินคนเดียว
“จองแล้วนะ”
มอสจะพูดเล่นหรือพูดจริงเรนก็มิรู้ มิทันสังเกตอีกหรอกว่า พี่อัยกำลังลอบสะกิดพี่มูนยิกๆเพียงไร ส่วนพี่เต้ยและน้องซันที่นั่งอยู่ด้านหลังก็กำลังหันไปซ่อนยิ้มแทบจะพร้อมๆกันในทันที แทบทุกคนอมยิ้มออกมากับภาพและกริยาที่มอสทำตรงหน้า สร้างบรรยากาศสีชมพูลอยอวลที่หอนั่งยามสายได้อย่างน่าดูชม คงมีแต่สายตาสีน้ำตาลคู่หนึ่งที่มอสและใครๆก็ไม่เห็น ที่เจ้าตัวเดินออกมาจากห้องมาหยุดอยู่ตรงมุมเสาแอบดูอยู่เป็นนานสองนาน