- 05 -
ในคาบเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ช่วงสายของวัน ครูฝึกสอนพาทั้งชั้นเรียนลงมาที่แปลงผักพร้อมให้โจทย์เป็นการสังเกตการเจริญเติบโตของต้นคะน้าตลอดระยะเวลาหนึ่งเทอม ครูแบ่งสมาชิกห้องไจ๋ออกเป็นสี่กลุ่มใหญ่ตามเลขที่ เด็กใหม่ผู้ครองเลขที่สุดท้ายจึงได้อยู่กลุ่มเดียวกับเฮียคุนไปโดยปริยาย พอรู้ว่าจะได้ทำกิจกรรมร่วมกับเด็กข้างบ้าน ไจ๋ก็อดตื่นเต้นไม่ได้
“อิจฉาพี่ริวว่ะ ไม่มาเรียนก็ไม่ต้องขุดดิน”
ไจ๋นั่งยองๆ สองมือเร่งถอนวัชพืชสลับกับพรวนดินอยู่ตรงพื้นข้างแปลงปลูกผัก เด็กชายอาศัยจังหวะที่ตัวเองนั่งคุดคู้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตา ค่อยๆ เขยิบเข้าไปแอบฟังบทสนทนาของเฮียคุนกับปอซึ่งกำลังยืนต่อแถวรอหยิบอุปกรณ์ทีละคืบสองคืบ
“มึงจะอิจฉามันทำไม เดี๋ยวอาทิตย์หน้ามันก็ต้องมาทำของมันเหมือนกัน” เฮียคุนตอบปอด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“เออ จริง” ปอพยักหน้าหงึกหงักจากนั้นก็ยักไหล่ “ทำไมครูไม่ให้ปลูกอย่างอื่นวะพี่คุน คะน้าไม่เห็นจะอร่อยเลย”
“ถ้าไม่ใช่คะน้าแล้วมึงจะปลูกอะไร”
“ทุเรียน”
คำตอบของปอทำเอาเฮียคุนหัวเราะร่วน ไจ๋เลยอดใจไม่ไหวต้องแอบเหลือบดูเสียหน่อย
“ครูเขาให้เวลาแค่เทอมเดียว แต่กว่าทุเรียนจะโต มึงก็จบป.หกก่อนแล้วมั้ง” เฮียคุนผลักหัวปอเบาๆ ก่อนจะเขย่งปลายเท้ามองไปยังกลุ่มเด็กผู้หญิงด้านหน้าแถวที่ยังคงรุมล้อมชั้นวางเครื่องมือเกษตรแล้วก็ถอนหายใจ ไจ๋เลยกระเถิบไปถอนหญ้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นอีกสักหน่อย เพราะกว่าพวกผู้หญิงจะเลือกเสร็จคงอีกพักใหญ่ๆ
ที่ไหนได้...
“เร็วมึง พวกผู้หญิงไปกันหมดแล้ว” คุนถองเอวเพื่อนพลางชี้นิ้วบุ้ยใบ้สั่งการ แต่เพราะจับจ้องชั้นวางอุปกรณ์ไม่วางตา เด็กชายจึงไม่ทันสังเกตความเคลื่อนไหวโดยรอบให้ดี จังหวะที่ก้าวเท้าตามปอ ฝ่าเท้าข้างหนึ่งเลยเหยียบลงบนหลังมือไจ๋ที่เพิ่งวางลงบนพื้นเพื่อทรงตัวอย่างพอดิบพอดี
“โอ๊ย!”
“เฮ้ย! เป็นไรมากเปล่า” เสียงร้องของไจ๋ทำเอาคุนตกใจจนก้มลงมองรอบตัวอย่างลุกลี้ลุกลน คนโดนเหยียบรีบชักมือกลับไปบีบคลำพลางเม้มปาก พยายามสั่งห้ามน้ำตาไม่ให้รินไหล
ไม่ได้ จะทำให้เฮียคุนตกใจไม่ได้“ไหนดูดิ๊ โดนตรงไหน” คุนละล่ำละลักพลางค้อมตัวลงมาดูอาการเพื่อน
“ไม่เจ็บ ไม่เจ็บ ไม่ต้องห่วง” น้ำเสียงเป็นกังวลที่ดังอยู่ใกล้หูทำเอาคนฟังลนลาน ไจ๋รีบสูดน้ำมูกแล้วหยัดตัวลุกขึ้นยืนเพราะไม่อยากให้เฮียคุนต้องเป็นห่วง แต่แล้วความหวังดีกลับตอบสนองพวกเขาอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง...
“โอ๊ย!”
“อูยยย”
ทั้งคู่ส่งเสียงครางหลังจากหน้าผากของไจ๋โหม่งเสยใบหน้าของคนที่เพิ่งก้มลงมาอย่างจัง แรงปะทะทำให้ต่างฝ่ายต่างล้มก้นจ้ำเบ้า
“ตรงนั้นทำอะไรกันน่ะ?!” ครูฝึกสอนตะโกนถามอย่างตกอกตกใจ ยิ่งเมื่อเห็นพวกเขาเอาแต่ลูบหน้าลูบหัวตัวเองพลางส่งเสียงร้องโอดโอยไม่หยุด คนเป็นครูก็ยิ่งร้อนรน หล่อนวิ่งตรงมาหาเด็กชายทั้งสองคนพลางซักไซ้ด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว “อารยะ ตั้งใจ เป็นอะไรหรือเปล่า!”
“ไม่เป็นไรครับ” คุนตอบเสียงอ่อย เด็กชายนิ่วหน้าพลางหยีตามองคู่กรณีที่ยังหลับหูหลับตาคลำหน้าผาก ซ้ำยังสูดปากไม่เลิก
“ไม่เป็นไรได้ยังไง ร้องเสียงดังขนาดนั้น” ครูฝึกสอนหันไปคุยกับไจ๋ที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นสบตากับหล่อน “ตั้งใจ ลุกไหวไหม”
“ไหวครับ” ไจ๋ค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้นยืนแล้วปัดเศษดินออกจากเสื้อผ้า
“ไหนบอกครูซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ครูสาวยื่นมือฉุดคุนให้ยืนขึ้นตามกัน
“...เอ่อ...”
“...คือ...” เด็กชายทั้งสองคนมองหน้ากันไปมา แต่ก่อนที่บทสนทนาจะดำเนินต่อไป ผู้ใหญ่เพียงคนเดียวในที่นั้นก็พลันร้องอุทานอย่างพรั่นพรึง
“โอ๊ยตายแล้วอารยะ จมูกเธอ..!”
“ฮะ?!” กว่าเจ้าของชื่อจะรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เลือดที่ไหลโกรกออกจากโพรงจมูกก็หยดลงบนเสื้อนักเรียนสีขาวจนเปื้อนเป็นด่างดวง
เหตุการณ์หลั่งเลือดทำเอาแปลงเกษตรโกลาหลในบัดดล เด็กผู้หญิงที่ขวัญอ่อนสักหน่อยต่างพากันหวีดร้องอย่างตกอกตกใจ ในขณะที่เด็กผู้ชายบางส่วนก็ฉวยโอกาสยุแหย่คนที่กลัวให้ยิ่งหวั่นผวาแตกฮือ ครูฝึกสอนคาดโทษพวกที่ก่อความวุ่นวายจากนั้นจึงประคองคุนไปนั่งพักตรงม้าหินใต้ต้นไม้ใกล้ๆ เรือนเพาะชำโดยมีคู่กรณีและผู้อยู่ในเหตุการณ์หลายรายตามติดไปให้กำลังใจคนป่วยอย่างสนใจใคร่รู้
พอเห็นเหล่านักเรียนมายืนออรอบตัว ครูฝึกสอนก็โบกไม้โบกมือพลางเอ่ยเสียงเข้ม “ไปเลยนะ ใครไม่เกี่ยวก็กลับไปทำงานของตัวเองเดี๋ยวนี้ ถ้าท้ายคาบงานพวกเธอไม่เสร็จ ครูจะไม่ปล่อยไปกินข้าว”
กำจัดเด็กมุงสำเร็จ ครูสาวก็หันไปกำชับกับคนป่วยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ “ก้มหน้าไว้นะอารยะ”
“ครับ”
“อ้าว แล้วนี่เธอมายืนทำอะไร กลับไปทำงานได้แล้วตั้งใจ”
“ให้ผมชะ ช่วยไหมครับครู” ไจ๋ช้อนตามองครูอย่างคาดหวัง เด็กชายยืนย่ำเท้าไปมาพลางเหลือบมองหน้าครูสลับกับเด็กข้างบ้าน ไม่ยอมผละห่างไปไหน
แม้จะแปลกใจที่เห็นเด็กนักเรียนใหม่ผู้สงบเสงี่ยมฝืนดื้อดึง ขัดคำสั่งเมื่อครู่ของหล่อน แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตั้งใจเป็นคู่กรณีที่น่าจะอาสาตัวทำดีไถ่โทษ ครูฝึกสอนก็คลี่ยิ้มบางอย่างเห็นใจ “งั้นเธอช่วยไปขอน้ำแข็งที่โรงครัวให้ครูที”
“ครับ!” สิ้นคำ ไจ๋ก็วิ่งหน้าตั้งตรงดิ่งไปโรงอาหารโดยมีจุดหมายเป็นร้านขายน้ำร้านแรกที่เจอ เด็กชายหยุดยืนพักหายใจสั้นๆ จากนั้นจึงเปรยความต้องการอย่างรวดเร็ว “ป้าครับ ขอน้ำแข็งหน่อยครับ”
“เอาเท่าไร”
ไจ๋ล้วงกระเป๋ากางเกง ควักเหรียญแรกที่หยิบได้ออกมาส่งให้เจ้าของร้านขายน้ำโดยไม่ลังเล “นี่ครับ”
“เอาสิบบาทเหรอ ได้ๆ รอเดี๋ยวนะ”
เด็กชายเม้มปากพลางชะเง้อมองตามป้าคนขายซึ่งหายตัวไปตักน้ำแข็งด้านหลังร้านอย่างจดจ่อ พอยื่นหมูยื่นแมวกันเสร็จสรรพ เจ้าของร้านน้ำก็อมยิ้มพลางมองหน้าไจ๋อย่างเป็นห่วงเป็นใย “ถือไหวไหมเนี่ย”
ไจ๋กลืนน้ำลายพลางเหลือบมองน้ำแข็งถุงใหญ่ที่ต้องอาศัยสองมือประคองไว้แนบอกด้วยความไม่แน่ใจ แต่สุดท้ายก็ผงกหัวเบาๆ แล้ววิ่งอย่างทุลักทุเลกลับไปยังเรือนเพาะชำโดยไม่รอช้า
ถึงจะทั้งเย็นและหนักไปสักหน่อย แต่เพื่อเฮียคุน ไจ๋ไหว“น้ำแข็งมาแล้วครับครู” ไจ๋เอ่ยอย่างกระท่อนกระแท่น เด็กชายยืนหอบหายใจจนตัวโยนขณะวางถุงน้ำแข็งลงบนโต๊ะม้าหินตรงหน้าครูฝึกสอนด้วยสองแขนสั่นเทา
“โอ๊ยตั้งใจ เธอจะเอาน้ำแข็งมาทำไมเยอะแยะ จมูกอารยะก็แค่นี้” ครูฝึกสอนตกใจระคนนึกเอ็นดูลูกศิษย์ตัวน้อย หล่อนส่ายหัวพลางคลี่ยิ้มบางให้ไจ๋ก่อนจะหันไปคุยกับคนป่วยที่ยังนั่งก้มหน้านิ่ง “รอผ้าเช็ดหน้าครูเดี๋ยวนะอารยะ เธอไม่มึนหัวหรือเบลอใช่ไหม”
“ไม่ครับ”
ไจ๋บีบมือตัวเองหลังได้ยินน้ำเสียงแผ่วเบาของเด็กข้างบ้าน...
เฮียคุนจะเป็นอะไรมากไหม ทำไมเฮียคุนถึงไม่เงยหน้าขึ้นเสียที“ดี เดี๋ยวพอได้ผ้าเช็ดหน้ามาแล้วค่อยเอาน้ำแข็งโปะจมูกไว้นะ”
ครูรอผ้าเช็ดหน้าอยู่งั้นเหรอ?“ใช้ผ้าเช็ดหน้าผมไหมครับครู” ว่าแล้วผ้าเช็ดหน้าผืนสีชมพูหอมกรุ่นในกระเป๋าเสื้อนักเรียนก็ปรากฏกายต่อหน้าครู
“หืม?” ผ้าเช็ดหน้าเรียบกริบ ดูสะอาดสะอ้านในมือเด็กชายสร้างความประทับใจแก่ครูฝึกสอนเป็นอย่างยิ่ง หล่อนเลิกคิ้วแล้วกวาดตามองใบหน้าแดงก่ำของลูกศิษย์ที่ยังคงยืนปักหลักอยู่ข้างตัวคนป่วยอยู่อึดใจ จากนั้นจึงตอบความหวังดีที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้โดยไม่ลังเล “ขอบใจเธอมากนะตั้งใจ เดี๋ยวครูจะบอกให้อารยะเอาผ้าเช็ดหน้าไปคืนเธอทีหลัง ตอนนี้เธอกลับไปทำงานได้แล้วล่ะ”
“ครับ” แม้จะยังอาลัยอาวรณ์คนป่วยอยู่มาก แต่ที่สุดแล้ว ไจ๋ก็ยอมเดินกลับไปที่แปลงผักอย่างสงบปากสงบคำ
•✤•✤•✤•
ทั้งที่อยากไปหาเฮียคุนใจจะขาด แต่ช่วงพักผ่อนหลังกินข้าวกลางวัน ไจ๋กลับโดนหัวหน้าห้องเรียกไปคุยเรื่องรายงานเสียนี่
ไจ๋รู้ดีว่าตนเองติดอ่าง จึงขาดความมั่นใจหากต้องออกไปยืนประจันหน้ากับเพื่อนทั้งห้องแล้วรายงานสิ่งที่ตระเตรียมมา ดังนั้น ต่อให้เป็นห่วงเด็กข้างบ้านสักแค่ไหน เด็กชายก็ยังแสดงความรับผิดชอบโดยไม่บิดพลิ้ว ซ้ำยังอาสาเขียนเนื้อหาเพิ่มเติมเพื่อชดเชยข้อบกพร่องของตัวเองอีกด้วย
ในเมื่อพลาดโอกาสช่วงพักกลางวัน หลังเลิกเรียนไจ๋เลยคอยประกบเฮียคุนยิ่งกว่าลูกเป็ดตามแม่ โชคดีที่วันนี้พี่ริวไม่มาโรงเรียน พอแยกย้ายกับสองพี่น้องปอป่าน เฮียคุนก็ตรงกลับบ้านทันที ไจ๋จึงรีบตีเนียน เดินเสมอไหล่เด็กข้างบ้านแล้วระบายความรู้สึกที่อัดอั้นมาทั้งวันกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าสำนึกผิด “เมื่อเช้า ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร”
“ยังเจ็บจมูกอยู่ไหม” ไจ๋เม้มปากพลางปรายตามองคู่สนทนา คราบเลือดจางๆ บนอกเสื้อนักเรียนของอีกฝ่ายตอกย้ำภาพเหตุการณ์เมื่อเช้าจนเขานึกหวั่น แต่พอเฮียคุนส่ายหน้าแล้วยิ้มให้ ความรู้สึกร้อนรุ่มที่สุมอยู่ในอกก็พลันสลายง่ายดายเหลือเชื่อ
“ไม่เจ็บแล้ว” คุนรับคำแล้วถามกลับด้วยความเป็นห่วงไม่น้อยไปกว่ากัน “แล้วมือล่ะ เป็นไงบ้าง ยังเจ็บอยู่เปล่า”
ไจ๋ขยับมือกำๆ แบๆ อย่างลืมตัวพลางสั่นหัวดิก “หึ หายเจ็บตั้งแต่เมื่อเช้า”
อันที่จริง ไจ๋ไม่รู้สึกเจ็บมืออีกเลยนับตั้งแต่ตอนอุ้มน้ำแข็งถุงใหญ่มาให้ครูฝึกสอน เนื่องจากมือทั้งสองข้างกับลำตัวด้านหน้านั้นชาไปหมดแล้ว
คุนพยักหน้ารับรู้ก่อนถามถึงเรื่องที่ทั้งคู่ตกลงกันเอาไว้ “แล้วกลางวันไปไหน ทำไมไม่มาเตะบอล”
“โดนหัวหน้าห้องเรียกไปทำระ รายงานอะ” ไจ๋ก็ทำปากยื่นอย่างเซ็งๆ บรรยากาศกดดันขณะคุยงานกับพวกหัวหน้าห้องช่างเลวร้ายเสียจนไจ๋ยิ่งนึกเสียใจที่ไม่ได้ไปเตะบอลกับเฮียคุน
คุนพยักหน้ารับรู้ จากนั้นจึงถามเสียงเรียบ “แล้วทำเสร็จยัง”
“ก็ต้องเสร็จสิ”
ภาพคู่สนทนาอมยิ้มแถมยังเชิดหน้านิดๆ อย่างภาคภูมิใจทำเอาคุนนึกอยากแหย่อีกฝ่ายให้เสียอาการ
“งั้นเอามาลอกมั่งดิ” ลูกชายร้านก๋วยเตี๋ยวแบมือพลางกระดิกนิ้วใส่หน้าไจ๋ยิกๆ
ไจ๋ถลึงตามองเด็กข้างบ้าน ก่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็นอึดอัดคับข้องในบัดดล “ไม่ได้ ต้องทำเอง”
“หวงเหรอ”
“ไม่ได้หวง แต่ถ้าทำตามกันเดี๋ยวครูจับได้”
คุนหัวเราะเบาๆ ในลำคอ เด็กชายยื่นหน้าเข้าไปใกล้ไจ๋แล้วจึงตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงจริงจังทั้งที่ภายในใจกำลังนึกสนุก “แล้วถ้าครูจับไม่ได้จะให้ลอกเปล่า”
“ไม่ ทำตามกันไม่ได้” ลูกชายร้านชำส่ายหัวไม่ยอม กระนั้นภายในดวงตากลมใสกลับสะท้อนความสับสนจนใจ หนำซ้ำเจ้าตัวยังเผลอทำหน้าเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องพูดจาปฏิเสธคำขอของเด็กข้างบ้าน
สีหน้าฝืดเฝื่อนเหมือนกลืนเผือกร้อนๆ เข้าไปทั้งหัวของไจ๋เรียกเสียงหัวเราะจากคุนได้อย่างท่วมท้น กระนั้นคนช่างแกล้งกลับซักไซ้คู่สนทนาไม่หยุดปาก “อ้าว ทำไมไม่ให้ลอกล่ะ ครูจับไม่ได้นะ”
“ครูให้ทำเอง ห้ามละ ลอกกัน อีกอย่างมันเป็นงานกลุ่ม ไม่ใช่งานของไจ๋คนเดียวซะหน่อย”
ยิ่งคุย คุนก็ยิ่งรู้สึกชอบใจเพื่อนใหม่แสนดีผู้นี้เอามากๆ แต่เพราะยิ่งถูกใจนี่แหละ เด็กชายจึงยิ่งก่อกวนอีกฝ่ายหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ “ถ้าเป็นของไจ๋คนเดียวก็ลอกได้ใช่ไหม”
ไจ๋งุนงงกับคำถามของเด็กข้างบ้านจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าการลอกงานกันมันไม่ดี แต่ถ้าเฮียคุนลำบาก ไจ๋ก็อยากช่วย...
ถ้าครูไม่รู้ ก็ให้เฮียคุนลอกได้สินะ แต่ลอกกันมันผิดนี่นาก่อนสมองเล็กๆ จะประมวลผลและตัดสินใจ ฝ่ายที่ออกตัวเดินนำหน้ามาตลอดทาง อยู่ๆ ก็เกิดเปลี่ยนใจ หักเลี้ยวเข้าซอยเปลี่ยวข้างศาลเจ้าโดยไม่บอกกล่าว ไจ๋จึงอดสงสัยไม่ได้ “จะไปไหน ไม่กลับบ้านไง?”
“จะมาไหมล่ะ”
ไจ๋ไม่ตอบคำถามด้วยคำพูด หากแต่เดินเลี้ยวตามคนนำทางเข้าซอยเล็กๆ ซอยนั้นไปเงียบๆ
ตลอดสองข้างทางที่ไจ๋เดินผ่านเป็นบริเวณรกร้างซึ่งกั้นเขตแบ่งรั้วด้วยลวดหนาม ภายในมีเพียงต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์หากแต่ไม่มีบ้านคน หรือสิ่งปลูกสร้างเลยสักหลัง แม้จะไม่รู้จุดหมายปลายทาง ทั้งยังไม่คุ้นชินกับสิ่งแวดล้อมแปลกใหม่ แต่เพราะเชื่อใจเฮียคุนโดยไร้ข้อกังขา สายตาของไจ๋ยามมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายจึงเต็มไปด้วยความศรัทธาเต็มเปี่ยม
“ทำอะไรอะ” ไจ๋สังเกตเห็นว่าเฮียคุนมักจะหยุดก้มๆ เงยๆ แล้วเด็ดอะไรสักอย่างตามพุ่มไม้ข้างทางเป็นระยะๆ ดังนั้นพอเด็กข้างบ้านนั่งยองๆ อยู่ข้างหน้า ลูกชายร้านชำจึงตามไปยืนดูอย่างสนอกสนใจ
“เด็ดต้อยติ่ง”
“ไหนต้อยติ่ง?” ไจ๋ไม่รู้จักต้อยติ่ง ซ้ำยังไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน เด็กชายเลยไม่รู้ว่าคู่สนทนากำลังพูดถึงสิ่งใด กระนั้นสีหน้ามีลับลมคมในกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของอีกฝ่ายกลับทำให้ไจ๋คาดหวังและตื่นเต้นอย่างไรบอกไม่ถูก
“นี่ไง ฝักต้อยติ่ง” ว่าแล้ว คุนก็ชูฝักต้อยติ่งแก่สีดำ รูปทรงคล้ายกับเมล็ดข้าวเหนียวดำหากแต่ดูเรียวยาว และมีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่าให้ไจ๋ดูใกล้ๆ จากนั้นจึงรีบหย่อนมันลงในกระเป๋าเสื้อนักเรียนราวกับไม่อยากถือเอาไว้นานๆ
“เด็ดไปทำไม เอาไปกินไง” แม้จะยังไม่รู้จุดประสงค์แน่ชัด แต่บัดนี้สองมือน้อยๆ ก็เริ่มเด็ดฝักต้อยติ่งอย่างขยันขันแข็งเสียแล้ว
“เหอะน่า เดี๋ยวก็รู้”
ไจ๋ทำปากยื่นใส่เด็กข้างบ้านก่อนจะหันกลับไปเด็ดฝักต้อยติ่งอย่างมุ่งมั่น คุนจ้องมองเพื่อนใหม่แล้วก็อมยิ้มพอใจ กระทั่งเห็นไจ๋เด็ดฝักต้อยติ่งทั้งอ่อนทั้งแก่มาทั้งหมด จึงค่อยส่งเสียงห้ามปราม
“สีเขียวไม่เอา เอาแต่ฝักที่มันดำๆ เด็ดแล้วเอาใส่กระเป๋าไว้” คนพูดอธิบายพลางหย่อนฝักต้อยติ่งในอุ้งมือลงกระเป๋าเสื้ออีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืน ทั้งคู่เดินไปพลาง เด็ดต้อยติ่งไปพลางอยู่อีกพักใหญ่ จากนั้นคนนำทางก็พาไจ๋เลี้ยวไปตามทางลูกรังสายเล็กที่นำไปสู่คลองส่งน้ำซึ่งอยู่ท่ามกลางพื้นที่รกร้างว่างเปล่าแห่งนี้
สายน้ำใสสะอาดไหลเอื่อยที่ทอดตัวอยู่ตรงหน้ากวักมือเชื้อเชิญทั้งคู่ คุนรีบวางกระเป๋า ถอดรองเท้าถุงเท้าวางไว้ข้าง กันอย่างเป็นระเบียบจากนั้นจึงเดินเท้าเปล่าไปนั่งลงตรงขอบตลิ่งปูนของคลองส่งน้ำ เด็กชายหย่อนเท้าทั้งสองข้างลงจุ่มน้ำอย่างสบายอารมณ์จากนั้นจึงหันกลับมาพยักหน้าเรียกไจ๋พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มาดิ มานั่งด้วยกัน”
“อื้อ!” ไจ๋พยักหน้ารับทันควัน ความรู้สึกอยากกลับบ้านในคราแรกหายวับไปทันทีที่เฮียคุนเอ่ยชวน
เพราะมีตัวอย่างที่ดี ไจ๋เลยพาตัวเองในสภาพเท้าเปล่าไปนั่งข้างๆ เฮียคุนด้วยความรวดเร็วจนน่าทึ่ง แต่พอหย่อนเท้าลงแตะผิวน้ำเท่านั้นล่ะ เด็กชายก็สะดุ้งโหยง ดวงตากลมเบิกโตเป็นไข่ห่าน “โห น้ำเย็นเจี๊ยบเลย”
คุนหัวเราะเบาๆ อย่างชอบใจ เด็กชายกวาดตามองใบหน้าตื่นตระหนกของไจ๋ด้วยดวงตาสุกสว่างแวววาวเหมือนดาวตอนกลางคืน “แล้วใครบอกว่าน้ำไม่เย็นล่ะ”
“ก็เฮียทำเหมือนไม่เย็นอะ”
แม้ทั้งคู่จะพูดคุยกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่คุนกลับรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกขานตัวเองด้วยความสนิทสนมยิ่งกว่าใคร แต่แทนที่จะเผยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา เด็กชายกลับแสร้งทำท่าไม่ใส่ใจแล้วยักไหล่ ทำหน้าอวดเบ่งใส่คู่สนทนาเสียอย่างนั้น
“ก็เฮียเก่ง”
ไจ๋ขมวดคิ้ว ผงะมองหน้าคนหลงตัวเองอย่างทึ่งๆ ก่อนหลุดปากโต้อย่างเหลืออด “เฮียโม้!”
“โม้ที่ไหน เห็นๆ กันอยู่” คุนยักคิ้วพลางกระตุกมุมปากใส่อย่างไม่ยี่หระ
คนฟังเบ้ปาก แต่ถึงจะหมั่นไส้ อีกใจกลับยิ่งนับถือเด็กข้างบ้านหนักกว่าเดิม...
มันก็จริงแหละ น้ำเย็นจะตายแต่เฮียคุนยังดูสบายๆ อยู่เลย ถ้าเฮียคุนไม่เก่งจริง ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว“ดูอะไรนี่” คุนยิ้มกรุ้มกริ่มพลางล้วงเอาฝักต้อยติ่งในกระเป๋าเสื้อออกมาแล้วโปรยลงในคลองส่งน้ำ ไม่ถึงอึดใจ ฝักต้อยติ่งสีดำก็แตกดังเป๊าะจนไจ๋อดตื่นเต้นไม่ได้
“เฮ้ย! เมื่อกี้มันแตกด้วย”
คุนพยักหน้ายืนยัน “ลองดูดิ”
ไจ๋ทำตามทันที เด็กชายโปรยฝักต้อยติ่งลงในน้ำแล้วก็ยิ้มชอบใจเมื่อได้ยินเสียงดังเป๊าะเบาๆ ไม่ขาดสาย
“ฝักต้อยติ่งแก่พอโดนน้ำแล้วมันจะแตกแบบนี้แหละ เฮียเคยอมแล้วมันแตกในปากด้วย”
ไม่ทันขาดคำ ลูกชายร้านชำก็โยนฝักต้อยติ่งใส่ปากตนเอง รอเพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงเป๊าะลั่นในปาก ทว่าแทนที่จะรื่นเริงกับประสบการณ์แปลกใหม่ ไจ๋กลับถูกความรู้สึกสุดประหลาดตรงปลายลิ้นก่อกวนจนต้องรีบบ้วนซากความสุขออกมาแทบไม่ทัน “แหวะ!”
“เฮ้ย หันไปทางโน้นซี่!” ทั้งที่เอนตัวถอยหลบ แต่คุนกลับหัวเราะร่าเมื่อเห็นใบหน้าเหยเกของคนข้างตัว พอสถานการณ์กลับสู่ความสงบ เด็กชายก็ค่อยๆ หย่อนกระสุนต้อยติ่งลงน้ำทีละเม็ดอย่างใจเย็น “ปอชวนเฮียไปจับปลาพรุ่งนี้ ไปด้วยกันปะ”
“ที่ไหน”
“บึงหลังวัดเฟื้อง”
“หลังวัดเฟื้องมีบึงด้วยไง?” ไจ๋เลิกคิ้วพลางมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคู่สนทนาอย่างเลื่อมใส
“มีสิ เห็นปอมันบอกว่าจะไปช้อนปลากัดแล้วก็วางเบ็ด อยากไปปะ”
ความรู้สึกเหมือนยังมีเม็ดต้อยติ่งตกค้างอยู่ภายในปากทำให้ไจ๋หันไปถ่มน้ำลายทิ้งอีกครั้ง เด็กชายเช็ดปากเช็ดคางกับปกเสื้อนักเรียนแล้วจึงค่อยหันมาคุยกับเฮียคุนอย่างกระตือรือร้น “จับปลากัดไปทำอะไร เอาไปกัดกันไง”
“เปล่า เอาไปเลี้ยง” คนชวนอมยิ้ม “ตัวไหนสวยๆ ขายได้หลายตังค์เลยนะ”
“เฮียละ เลี้ยงไหม” ไจ๋ไม่ได้สนใจเรื่องเงินๆ ทองๆ เด็กชายเพียงแค่อยากรู้เรื่องราวของคนข้างตัวมากขึ้นอีกนิด
คุนส่ายหัวพลางอธิบาย “ปอเลี้ยง เฮียไปช่วยปอกับป่านจับเฉยๆ สนุกดี” พูดมาถึงตรงนี้ เด็กชายก็คลี่ยิ้มละไมแล้วเอ่ยกับไจ๋ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ว่าไง ไปเปล่า”
“ไป”
“ได้ งั้นเดี๋ยวบ่ายๆ จะไปเรียก”
“อือ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จ ไจ๋จะคอยอยู่แถวหน้าร้านนะ”
•✤•✤•✤•
วันนี้เป็นอีกครั้งที่ไก่ตุ๋นพะโล้พร้อมเครื่องเคราต่างๆ วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะกินข้าว แต่ก่อนที่ต้องจิตจะเบ้หน้าออกอาการไม่พอใจสำรับมื้อเย็น อาม่าก็ยกจานไข่เจียวหมูสับร้อนๆ มาวางตรงหน้าหล่อนโดยเฉพาะ เด็กหญิงจึงสงบปากสงบคำ ไม่บ่นพร่ำเหมือนทุกวัน ถึงอย่างนั้นกลับยังไม่วายตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจ “ทำไมช่วงนี้ทำไก่พะโล้บ่อยจัง”
เม้งกับสร้อยมองหน้ากัน ก่อนจะเป็นฝ่ายแรกที่อธิบายเหตุผลให้ลูกสาวฟัง “เดี๋ยวกูจะเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวที่ตลาด”
“หา ป๊าจะเปิดระ ร้านก๋วยเตี๋ยวเหรอ?” พอคิดว่าจะได้กินก๋วยเตี๋ยวแบบไม่อั้น ไจ๋ก็ตาเป็นประกาย
“ใช่”
“ก๋วยเตี๋ยวอะไรอะ” เด็กชายถามบิดาด้วยความสนอกสนใจ
“ก็ไอ้ที่กินอยู่ทุกวันนี่แหละ”
“ก๋วยเตี๋ยวไก่...” สีหน้าจริงจังของป๊าทำเอาไจ๋ผินหน้าไปจับจ้องมองมารดาด้วยความยินดีเป็นที่สุด “...ก๋วยเตี๋ยวไก่ระ เหรอม้า”
สร้อยยิ้มรับพลางพยักหน้า “อือ”
“ดีๆ ไจ๋ชอบ ไก่พะละ โล้ฝีมือม้าอะ ระ หร่อยสุดยอด”
“ชอบก็กินเยอะๆ ” คนเป็นแม่เอ่ยพลางตักน่องไก่ใส่จานให้ลูกชายก่อนจะตักไข่เจียวให้ลูกสาว
“ร้านเปิดเมื่อไร” ต้องจิตตัดไข่ในจานตัวเองเป็นชิ้นเล็กๆ ขณะเอ่ยถามบิดา
“ทำร้านเสร็จเมื่อไร ก็เปิดเมื่อนั้นแหละ”
“ป๊าเลยจะปิดร้านนี้งั้นเหรอ”
“ใช่ สิ้นเดือนคนที่รับเซ้งร้านต่อเขาก็จะมาขนของไปแล้ว” เม้งสบตากับลูกสาวอยู่ชั่วอึดใจ ระหว่างนั้นก็นึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นได้ เจ้าบ้านชายจึงรีบพูดก่อนจะหลงลืม “ช่วงนี้ป๊ากับม้ายุ่งทุกวัน อยู่บ้านก็ช่วยม่าเฝ้าร้านแล้วก็อย่าดื้อล่ะ”
“อือ” ต้องจิตพยักหน้าเนือยๆ ผิดกับไจ๋ที่ตื่นเต้นไปกับกิจการใหม่ของครอบครัวเอามากๆ เม้งกับสร้อยยิ้มให้กันจากนั้นเจ้าของร้านชำก็โบกมือส่งสัญญาณให้สมาชิกในครอบครัวเริ่มต้นมื้ออาหารเย็น
“อะ กินๆ เดี๋ยวร้านเสร็จแล้วจะพาไปดู”
•✤•TBC•✤•
เขียนตอนนี้ด้วยความรู้สึกราวกับบรรยายโมเมนท์แรกของติ่งกับศิลปิน 555
คนอ่านบางท่านอาจจะรู้สึกว่าน้องไจ๋หลงเฮียคุนหนักจังเลย
แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะคะ เพราะหลังจากนี้จะเห็นความเอ็นดูที่เฮียมีต่อเด็กน้อยมากขึ้นตามลำดับ
ถ้าอยากรู้ว่าเฮียคุนจะสปอยล์น้องไจ๋ยังไง เรามาติดตามตอนต่อไปในวันจันทร์หน้าเช่นเดิมนะคะ
ถ้าใครเล่นทวิตเตอร์ อย่าลืมติดแท็ก #พิษข้างบ้าน นะคะ รักคนอ่านทุกๆ ท่านค่ะ!
ทางเข้าเพจเรา (กดตรงนี้ได้เลยค่ะ ^^) •✤•K. Leenboy:•✤•
ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปค่ะ กว่าจะรักกันได้ต้องฝ่าฟันช่วงประถมวัยไปก่อน
(คุณ Leenboy กลอกตา เพราะน้องไจ๋เพิ่งเข้าป.สามเอง)
รักนะคะ จุ๊บๆๆๆ
•✤•K. JokerGirl:•✤•
เนื้อหาตอนนี้คงพอตอบคำถามของคุณ JokerGirl ได้บ้างนะคะ
เพราะถ้าไม่ฟิน ไจ๋คงไม่ตามเฮียคุนจนเจ็บตัวแบบนี้แน่ๆ ค่ะ
ว่าด้วยเรื่องระหว่างสองบ้าน ต้องรบกวนคุณ JokerGirl ค่อยๆ ติดตามไปเรื่อยๆ นะคะ
ถึงเราจะเขียนสต็อกได้ไม่เท่าไร แต่ภาคแรกนี่จะไม่ดราม่าหนัก เน้นรักใสๆ วัยเยาว์เลยค่ะ
ยังไงรอติชมไปพร้อมๆ กันนะคะ รักคุณ JokerGirl มากเหมือนเดิมค่ะ
•✤•K. แป้ง / Alternative:•✤•
โอ๊ยไม่อยากจะเม้าท์ จากคนที่คุณแป้งเดาว่าจะไม่มีบทพูดอะไร
แต่ต่อไป เฮียคุนจะน่ารักได้กว่านี้อีกเป็นล้านเท่าค่ะ กร๊ากกก
(การันตีตำแหน่งพระเอกที่จะเป็นลูกรักและลูกชังของคนอ่านไปในเวลาเดียวกัน 555)
ขอบคุณสำหรับคำติชมนะคะ ทางนี้อ่านแล้วตัวเกร็ง เขียนไม่ออกกันเลยทีเดียว (ล้อเล่นน้า)
ถ้ามีตรงจุดไหนที่เราต้องแก้ไข คุณแป้งอย่าลืมบอกเรานะคะ เราอยากปรับแก้ให้ดีกว่านี้ค่ะ
รักคุณแป้งเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือนิยายตอนใหม่ (ที่จะมาลงให้อ่านในวันจันทร์หน้าไงคะ 555 - จะพูดทำไมเนี่ย!)
•✤•K. Ac118:•✤•
ปมความขัดแย้งระหว่างสองบ้านจะทำให้พวกเด็กๆ ลำบากนิดหน่อยค่ะ
แต่อย่างที่บอกไปด้านบนคือในภาคแรก (ช่วงที่เป็นเด็ก) ปัญหาระหว่างสองบ้านจะไม่รุนแรงมากนัก
เพราะฉะนั้นคุณ Ac118 สบายใจได้เลยค่ะ เราจะพยายามเขียนให้ไม่ดราม่ามากเกินไปเนาะ
มาถึงเฮียคุน... เราขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าเฮียคุนน่ารักจริงๆ ค่ะ
(นี่ไม่ได้อวยเพราะเขียนเองนะคะ - หลบตา 555)
เอาเป็นว่าถ้าอยากพิสูจน์ความน่ารักของเฮียคุน
เราคงต้องรบกวนคุณ Ac118 และทุกๆ คนตามอ่านกันไปยาวๆ ค่ะ
(ต่อไปเฮียจะดีกับน้องมากๆ ดีจนบางทีจะบอกไม่ได้ว่า ระหว่างน้องไจ๋กับเฮีย เรารักใครมากกว่า
(นี่...ออกตัวว่าไม่ลำเอียงแต่เนิ่นๆ ))
ส่วนน้องไจ๋นั้น น้องน่าน้วยมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งพอรู้ว่าคุณ Ac118 ชอบน้องไจ๋
เราว่ากว่าจะอ่านจบ คุณ Ac118 ต้องเป็นแม่ยกคอยให้การสนับสนุนน้องอย่างแท้จริงแน่ๆ เลย
เพราะน้องจะน่ารักได้มากกว่านี้ (เหมือนกับที่เฮียคุนเอ็นดูน้องหนักกว่าใครเลยค่ะ)
สุดท้ายนี้ ขอบคุณคอมเมนต์ของคุณ Ac118 อีกครั้งนะคะ
เราเองก็ดีใจทุกครั้งที่ได้อ่านคอมเมนท์ดีๆ จากคุณ Ac118 (รวมถึงผู้อ่านทุกท่าน)
บอกเลยว่านอกจากเราจะได้พูดคุยกันแล้ว การได้ร่วมรับรู้ความรู้สึกของคุณ Ac118
เป็นกำลังใจให้เรามีแรงเขียนนิยายต่อไปเรื่อยๆ จริงๆ ค่ะ
รักคุณ Ac118 นะคะ มามะ มากอดกันแน่นๆ เลยเนอะ
