Nostalgiaเสียงเพลงจากวิทยุที่ดังคลอไปกับเสียงหึ่งๆ ของเครื่องยนต์ ชวนให้ตาของปรือลงได้อย่างน่าประหลาด ทั้งที่เป็นเพลงสนุกสนานร่าเริงแท้ๆ แถมเมื่อคืนก็ไม่ได้นอนดึกด้วย ไม่รู้ทำไมถึงได้ง่วงขนาดนี้
ผมทิ้งแผ่นหลังฝังตัวลงกับเบาะโดยสารมากขึ้นกว่าเก่าพลางหลับตาลงช้าๆ
ไม่ไหว ลืมตาไม่ขึ้นแล้ว
“ถ้าง่วง เอลหลับไปก่อนก็ได้นะครับ ไว้ถึงบ้านแล้วผมจะปลุกอีกที”
แม้ใจอยากจะบอกไปว่า ‘ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมจะนั่งเป็นเพื่อนฮานไปอย่างนี้จนถึงที่หมายเอง’ แต่พอเอาเข้าจริง ผมกลับไม่สามารถต่อสู้กับความง่วนงุนที่ถาโถมเข้ามาได้เลย สุดท้ายก็เลยจบลงที่การพยักหน้าหงึกหงักอย่างจำยอมต่อความอ่อนเพลียแล้วก็ผล็อยหลับไปในที่สุด
ในห้วงความฝัน...เอ ผมจะเรียกมันว่าความฝันได้ไหมนะ ในเมื่อสิ่งที่ผมกำลังรับรู้อยู่ตอนนี้เห็นจะเป็นสิ่งที่อยู่ก้ำกึ่งระหว่างความทรงจำกับความฝันมากกว่า ในพื้นที่ว่างสีดำแสนมืดมิดค่อยๆ ปรากฏรูปร่างของความทรงจำขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย
ตัวผมในห้วงคำนึงกำลังพูดคุยกับฮานบนโต๊ะอาหารด้วยท่าทีร่าเริง ฮานกินข้าวราดแกงกะหรี่ที่ผมตั้งใจทำให้ด้วยสีหน้ามีความสุข ผมเองก็ช่างสรรหาเรื่องราวมาพูดคุยกับเขาได้ไม่รู้จบ สุดท้ายบทสนทนาการเดินทางมาถึงหัวข้อเรื่องการกลับไปเยี่ยมบ้านของผม พวกเรากุมมือกันและยิ้มให้กันอย่างอ่อนโยน
แล้วภาพนั้นก็ค่อยๆ หายไปก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความทรงจำบางอย่างที่เก่ากว่า
ฮานนั่นเอง เป็นฮานที่เพิ่งกลับมาจากทำงานพร้อมกับถุงขนมหวานในมือ ใบหน้าของเขาอ่อนโยนและร่าเริงเหมือนอย่างทุกๆ วัน เขาดึงผมเข้าไปกอดแล้วจากนั้นก็หอมแก้มพร้อมกับพูดว่า ‘กลับมาแล้วครับ’ ตัวผมในภาพฝันนั้นหัวเราะคิกคักก่อนจะตอบกลับไปว่า ‘ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ’ ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเหลือเกิน ผมรักฮานของผมจัง
อา ดูสิ ภาพเปลี่ยนไปอีกแล้ว
คราวนี้ผมเห็นตัวเอง แค่ตัวผมเองคนเดียวกำลังยืนหน้าดำคร่ำเครียดอยู่หน้าเตาทำอาหาร ถ้าให้เดาคงเป็นตัวผมที่กำลังเครียดว่าจะสามารถทำอาหารออกมาได้ดีไหมแน่ๆ และถ้าให้เดามากไปกว่านั้น ผมว่าตัวผมในห้วงความคิดนี้คงกำลังทำอาหารให้ฮานอยู่แน่ๆ
ก็แหม ปกติผมไม่ค่อยเครียดเรื่องทำอาหารนี่นา
ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ตัวผมในภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก็ดูเหมือนจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้แต่กลับมีท่าทางลังเลอย่างเห็นได้ชัด แต่จนแล้วจนรอด ผม...ตัวผมที่ผมกำลังมองดูอยู่นี้ก็ตัดสินใจปิดเตาแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา จากนั้นก็ดูเหมือนว่าจะโทรศัพท์ออกไปหาใครสักคนแล้วก็...
‘อือ ได้สิ ช่วงนี้ครูอยู่บ้านทั้งวันอยู่แล้วล่ะ’เอ๊ะ เสียงนี้ ประโยคนี้ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนนะ
‘อืม แล้วเจอกันนะ ยังจำทางมาบ้านครูได้อยู่ใช่ไหม’เหมือนว่าจะเป็นสิ่งสำคัญมากๆ มากเกินกว่าจะเป็นแค่ความฝันเลยนะ
‘อือ แล้วเจอกันนะ เอมา’ คนที่เรียกผมด้วยชื่อ ‘เอมา’ แทนที่จะเป็น ‘เอล’ เหมือนอย่างคนอื่นๆ น่ะเหรอ เท่าที่จำได้เหมือนจะมีอยู่แค่คนเดียวน่ะนะ
แล้วผมก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับความง่วงที่ลาจากหายไปราวกับปลิดทิ้ง
จริงด้วย การกลับบ้านครั้งนี้...มีบางอย่างที่สำคัญรออยู่นี่นา
“ตื่นแล้วเหรอครับ เพิ่งนอนไปนิดเดียวเอง”
คำเอ่ยทักจากคนที่กำลังขับรถอยู่ทำให้ผมอดกวาดสายตามองวิวทิวทัศน์ด้านนอกห้องโดยสารไม่ได้ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าก่อนที่ผมจะหลับไป พวกเราเพิ่งจะออกจากเขตเมืองหลวงมาได้หน่อยเดียวเท่านั้นเอง แต่ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าตอนนี้กลับเป็นภูเขาน้อยใหญ่วางสลับซ้อนกันไปมาที่ถูกปกคลุมด้วยผืนป่าเขียวชอุ่มสุดลูกหูลูกตา สภาพแวดล้อมแบบนี้ ต่อให้ควานหาทั่วลินเดียก็ไม่มีวันเจอได้ที่ไหนนอกจาก...
“นิดเดียวที่ไหนกันล่ะครับฮาน นี่เราเข้าเขตโอเซนกันแล้วไม่ใช่เหรอครับ” ผมหันไปมองเขาแล้วแกล้งบุ้ยปากใส่ “อย่ามาหลอกกันเสียให้ยากเลยนะครับ คน ขี้ แกล้ง”
แล้วคนฟังก็หัวเราะ หัวเราะร่วนขึ้นมาทันที่ผมจะทันพูดจบประโยค
“อะไรกันล่ะครับ ผมพูดความจริงนะ” เขาว่าพลางหมุนพวงมาลัยในมือ “ก็ปกติเอลจะหลับตั้งแต่สิบโมงเช้าตื่นอีกทีก็หกโมงเย็นเลยนี่นา แต่เมื่อกี้นี้เอลหลับไปสามชั่วโมงเอง เทียบกันแล้ว ยังไงก็ถือว่าน้อยนะครับ คุณ ตัว เล็ก”
อา ดูสิๆ ฮานเขาแกล้งเน้นคำเหมือนผมด้วย แกล้งกันชัดๆ เลยนี่นา
ทั้งที่รู้ว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ไม่รู้ทำไมในใจมันถึงร้อนรุ่มขึ้นมาพิกล
ไม่ชอบ ไม่ชอบตัวเองในตอนนี้เลย
ผมกระชับหมอนนุ่มในอ้อมแขน
“ขี้แกล้ง” ยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนว่าเสียงของตัวเองจะสั่นขึ้นเรื่อยๆ “ฮานขี้แกล้ง ขี้แกล้ง ขี้แกล้งที่สุดเลย”
แม้จะไม่ได้หันหน้าไปสบตาแต่ผมก็พอจะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายหันมามองผมแว็บนึง
อะไรเล่า ถ้าจะแค่มองแต่ไม่ปลอบใจล่ะก็นะ...เอ๊ะ
ทันใดนั้นผมก็พลันรู้สึกถึงฟีโรโมนเข้มข้นของฮานที่จู่ๆ ก็เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันจนคละคลุ้งไปทั่วทั้งรถ กลิ่นมะลิหอมเย็นเจืออยู่
ในทุกอณูของอากาศจนรู้สึกเหมือนมีต่อมกลิ่นของเขาจ่ออยู่ตรงหน้าอย่างไรอย่างนั้น ในตอนแรกผมก็อยากจะหันไปถามคนขับรถที่ไม่ยอมพูดยอมจาอะไรออกมาอยู่หรอกว่าทำไมถึงปล่อยฟีโรโมนแบบไม่มีสาเหตุ แต่พอรู้สึกว่าใจของตัวเองสงบลงมากเมื่อสูดดมกลิ่นของอีกฝ่ายเข้าไป ผมเองก็พอเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน
ผมผ่อนแรงที่กอดรัดหมอนลงเล็กน้อยก่อนจะเคลื่อนมือขวาไปลูบบริเวณหน้าท้องเบาๆ
“ขอโทษนะครับฮาน” เสียงของผมอ้อมแอ้ม “เอลกลายเป็นคุณพ่ออารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ไปซะแล้วล่ะ”
เขาหัวเราะ “ขอโทษอะไรกันครับ ไม่เห็นอะไรให้ต้องขอโทษเลย เรื่องธรรมชาติน่ะครับ อาการไม่มั่นคงทางอารมณ์ระหว่างตั้งครรภ์ของโอเมก้าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ถ้าเอลได้ซึมซับฟีโรโมนผมมากพอ อาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเองเองล่ะครับ ไม่ต้องกังวลไปนะ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นชวนให้จิตใจที่ว้าวุ่นสงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
อา ดีจังเลยที่มีฮานอยู่ใกล้ๆ แบบนี้
“จากนี้ ถ้ารู้สึกวุ่นวายใจเมื่อไหร่ก็ตรงดิ่งมาหาผมได้เลยนะครับ” เขาพูดพลางยกยิ้มกว้าง “อยากจะกระโดดเข้ามาในอ้อมกอดหรือกระโดดขึ้นขี่หลังก็ได้ทั้งนั้นเลยนะครับ”
ฮานเนี่ยน้า
“ถ้าให้ผมขึ้นขี่หลัง เดี๋ยวหลังก็เดาะหรอกครับ” ผมแซวเขากลับ “อายุจะสามสิบแล้วด้วยน้า”
“เดี๋ยวเถอะครับ ผมแก่กว่าเอลแค่สี่ปีเองนะ จะเรียกว่าเข้าใกล้สามสิบก็ไม่ถูกนะครับ”
เห ฮานยังอ่อนไหวเรื่องอายุเหมือนอย่างทุกทีเลยน้า ผมนึกว่าเขาจะเลิกกังวลเรื่องตัวเลขพวกนั้นแล้วเสียอีก
ผมหัวเราะพลางมองหน้าเขาด้วยแววตามีความสุข ใจก็อยากจะแกล้งมากกว่านี้สักหน่อยอยู่หรอกนะ แต่ก็...ไม่เอาดีกว่า ถือเสียว่าให้รางวัลที่เป็นคุณพ่อที่ดีล่ะนะ
“ครับๆ ไม่ล้อแล้วก็ได้” ผมก้มลงไปจูบมือขวาที่จับเกียร์ของเขาเบาๆ “คุณพ่อคนเก่ง”
แล้วพวกเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
หัวเราะออกมาในจังหวะเดียวกับที่หางตาผมเหลือบไปเห็นป้ายเก่าเลือนที่ไม่ได้เห็นมาเสียหลายปี
[ยินดีต้อนรับสู่เมืองโอเซน รัฐโอเซน เขตปกครองที่ยี่สิบแห่งประเทศลินเดีย]
ก่อนหน้าที่จะกลับมาบ้าน ผมเองก็เตรียมใจที่จะรับมือกับความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นไว้บ้างแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้น่ะนะ...
“เอล มาให้แม่กอดหน่อยสิลูก โอ๊ย หายไปไหนมาตั้งปีกว่า ไม่กลับบ้านเลย แม่คิดถึงจะแย่แล้วรู้ไหม”
“ไม่ใช่แค่แม่นะ พ่อด้วยๆ”
“อา พ่อครับ แม่ครับ ใจเย็นสิครับ”
แม่ที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวกับเสื้อแขนกุดคุ้นตาไม่ต่างจากเมื่อก่อนวิ่งโผเข้ามากอดผมเต็มแรง นัยน์ตากลมโตคู่สวยมีน้ำตาคลอปริ่มๆ คล้ายจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ ในขณะที่ทางพ่อเองก็เหมือนจะไม่ยอมแพ้ เบต้าวัยกลางคนที่...เอ่อ... ผมก็ไม่อยากพูดนักหรอก แต่พ่อน่ะ ผมหายไปแล้วครึ่งนึงเพราะฉะนั้นทรงผมตอนนี้ของพ่อมันก็เลยดูประหลาดอยู่สักหน่อย แบบว่า เอ่อ ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าพ่อเองก็ไม่ยอมแพ้และเข้ามานัวเนียผมแข่งกับแม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะออกปากห้ามแค่ไหนก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลย สุดท้ายผมก็เลยต้องยอมทิ้งไพ่ตายที่ตั้งใจจะบอกตอนกินข้าวเย็นออกไปก่อนจนได้
“พ่อกับแม่อย่ากอดแรงสิครับ เอลท้องอยู่น้า”
“เอ๊ะ!/เห!”
อา นั่นไงๆ เป็นไปตามคาดเลย เสียงอุทานด้วยความตกใจที่ถูกเปล่งออกมาแทบจะพร้อมเพรียงกันประกอบกับหน้าตาแตกตื่นตกใจราวกับเห็นผีของพ่อกับแม่ทำเอาผมเริ่มเลิ่กลั่กจนต้องหารีบตัวช่วยพัลวัน
และในจังหวะที่ผมหันไปเพื่อขอความช่วยเหลือจากฮานนั้นเอง ผมก็ดันได้เห็นคนที่ไม่ควรเห็นที่สุดยืนวางมือบนไล่ฮานด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับสนิทกันมาแล้วสิบชาติอย่างไรอย่างนั้น
ชายหนุ่มวัยสามสิบที่มีสีผมกับสีตาเหมือนกับผมเป๊ะราวกับถอดแบบกันออกมาติดแค่ว่าส่วนสูงนำผมไปหลายนิ้วกำลังยืนยิ้มให้ผมด้วยสีหน้าแววตาร่าเริงที่สุดเท่าที่มนุษย์คนนึงจะมีได้ คนอื่นอาจจะบอกว่าเขาน่าคบหา แต่สำหรับผมแล้ว ยังไงเสียนี่ก็เรียกว่าประหลาดชัดๆ
“โย่” คนๆ นั้นเอ่ยทักทายผมด้วยรอยยิ้มที่ดูอารมณ์ดีผิดมนุษย์ปกติเหมือนอย่างทุกที “กะแล้วล่ะน้าว่าต้องเป็นแบบนี้ คุ้มค่าที่ยอมลางานมาจริงๆ ด้วยสิ”
ให้ตายซี่ คนๆ นี้
“พี่เอามือลงจากไหล่ฮานเลยนะ” ผมสลัดตัวออกจากการเกาะกุมของพ่อแม่ด้วยความนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะเดินจ้ำเข้าไปหาคนที่ยืนทำหน้าตาไม่ทุกข์ไม่ร้อนอยู่ข้างๆ คู่ชีวิตของผม “เอามือไปวางแบบนั้น สนิทกับเขารึไง”
คนถูกถาม...พี่ชายของผม หัวเราะร่วน “ถามอะไรแบบนั้นเล่า” แล้วเขาก็หันขวับไปมองฮานที่ยืนยิ้มแหยะๆ ด้วยท่าทางร่าเริง “เป็นคุณน้องเขยทั้งที แถมยังเคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน จะไม่สนิทได้ไงล่ะ”
คราวนี้เขาหันกลับมามองผม “เนอะ”
อา นี่ไง ถึงได้บอกไงล่ะว่าพี่ชายของผมมันน่าโมโหชะมัดเลย
“เจอกันแค่นั้นน่ะเรียกสนิทไม่ได้หรอกนะ” ผมว่าพลางเข้าไปแทรกเบียดให้เขาออกห่างจากฮานแบบเนียนๆ “เรียกว่าไม่รู้จักกันเลยยังเข้าท่ากว่า”
พี่ชายของผม...มิกเกลแสร้งทำหน้าตกใจ “เห ใจร้ายจังเลยน้า” เขาว่าพลางเดินด้วยท่าทีสบายๆ ไปหาพ่อกับแม่ “ทั้งที่ตัวเองก็เหมือนกันแท้ๆ”
เอ๊ะ
ผมสบตามิกเกลด้วยแววตากึ่งหงุดหงิดกึ่งสับสน ผมไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่ายังไง ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่เข้าใจว่าเขาต้องการหมายความอย่างงั้นจริงๆ หรือเปล่า พี่ชายผมมักเป็นแบบนี้เสมอ เขาชอบพูดอะไรกำกวมด้วยท่าทีร่าเริง ไม่ทุกข์ไม่ร้อนจนบางครั้งก็ชวนสับสนว่าสิ่งที่พูดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือแค่แกล้งเล่น
อา น่าหงุดหงิดใจจริงๆ น้า
ยังไม่ทันที่ผมจะได้โต้อะไรออกไป จู่ๆ ก็เหมือนเจ้าตัวจะเปลี่ยนเรื่องไปเองเสียอย่างนั้น
“เป็นโอเมก้า อัลฟ่านี่ก็ลำบากเหมือนกันน้า ต้องจับคู่ ต้องตั้งท้อง ทำอะไรตั้งเยอะแยะมากมายเลยเนอะพ่อเนอะ เนอะแม่เนอะ” พี่ชายของผมว่าพลางบีบไหล่พ่อกับแม่เบาๆ “ปล่อยให้คนท้องยืนหิวนานๆ คงไม่ดี ยังไงเสียพวกเราเข้าไปกินข้าวกันน่าจะดีกว่านะครับ”
“อือ นั่นสิเนอะ”
“พ่อเห็นด้วยนะ พวกเราเข้าบ้านกันเถอะ”
แล้วก็เป็นอีกครั้งที่พี่ชายของผมสามารถครอบงำพ่อกับแม่ได้โดยสมบูรณ์ ถึงจะไม่อยากยอมรับและอยากจะโต้เถียงออกไปว่า ที่เขาทำสำเร็จเพราะพ่อกับแม่อยู่ในสภาวะไม่มั่นคงทางอารมณ์อยู่ก็เถอะ แต่ก็นะ..
“อ้าวคุณน้องเขย จะยืนตากลมอยู่ข้างนอกทำไมกันล่ะ มาๆ เข้าบ้านกัน เราด้วยเอล รีบๆ เข้าบ้านมา เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ”
ยังไงเสียก็ต้องยอมรับว่าพี่ผมเป็นหนึ่งในบุคลากรชั้นนำด้านการสร้างบรรยากาศให้เป็นไปในแบบที่ตัวเองอยากให้เป็น ท่าทางเป็นมิตร รอยยิ้มกว้าง แววตาเป็นประกายร่าเริงนั่น ทุกอย่างล้วนเป็นการแสดง น่าแปลกที่มีแค่ผมคนเดียวที่ดูออก
คงเพราะเหมือนกันเกินไปล่ะมั้ง ผมกับพี่น่ะ
ทุกคนถูกมิกเกลต้อนเข้าไปในบ้านอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้ แม้แต่ฮานเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น กว่าจะรู้ตัวอีกที พื้นที่ด้านหน้าบ้านก็เหลือแค่เพียงผมกับเขาเสียแล้ว
อา มาแนวนี้คงมีอะไรอยากจะพูดแหงเลย
“พี่อยากพูดอะไรก็ว่ามาเถอะ ผมหิวแล้วนะ”
เขาหันมามองผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเหมือนอย่างทุกที “นั่นสินะ เดินทางมาไกล คงเหนื่อยน่าดูเลย” แล้วรอยยิ้มของเขาก็ค่อยๆ หุบลง “งั้นฉันจะขอพูดให้สั้นและกระชับเลยก็แล้วกัน”
ใบหน้าที่มักจะถูกประดับด้วยรอยยิ้มปรากฏร่องรอยของความหงุดหงิดปนเย็นชาออกมาอย่างชัดเจน
“ถอนพันธะซะ”
“ฝันเถอะ”
ผมสวนกลับไปแทบจะทันทีโดยไม่ต้องคิด “ให้ตายสิ ทำไมทุกคนต้องเอาแต่พูดอะไรซ้ำๆ กันด้วยนะ ผมล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทั้งคุณลุงของฮาน ทั้งพี่ ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมด ผมกับฮานทำพันธะกันแล้วนะ เพราะฉะนั้นเรื่องคู่แห่งโชคชะตานั่นน่ะ....”
“กะแล้วว่าต้องพูดแบบนี้”
เอ๊ะ
ประโยคที่สวนขึ้นมาฉับพลันทำเอาผมชะงัก
กะแล้ว...งั้นเหรอ
“แบบว่า...ยังไงดีล่ะ ฉันก็คิดเอาไว้คร่าวๆ แล้วล่ะว่าความสัมพันธ์ของพวกนาย ถ้าจะไปกันได้สวยก็คงต้องออกมาในรูปแบบประมาณนี้นี่ล่ะนะ”
“รูปแบบ...ประมาณนี้เหรอ...”
อีกคนหันมามองผมที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกก่อนจะเปลี่ยนท่าทีของตัวเองจากขึงขังเย็นชากลายเป็นหัวเราะร่วนออกมาอย่างฉับพลัน
พี่ชายผมนี่...ไม่ได้เปลี่ยนอารมณ์เร็วไปใช่ไหม...
“ก็แบบว่า ฮานน่ะ ถึงจะเป็นรุ่นน้องที่อ่อนกว่าหลายปี แต่ก็เคยมีโอกาสร่วมทำงานกันหลายครั้งอยู่ล่ะนะ” มิกเกลฉีกยิ้มกว้าง “หมอนั่นน่ะเป็นพวกไม่มั่นใจในตัวเองอย่างร้ายกาจ เพราะฉะนั้นก็เลยพยายามวางแผนทุกอย่างอย่างรอบคอบแล้วไล่ต้อนให้ทุกคนเข้าไปเดินในเส้นทางนั้น ไม่ใช่เพราะเป็นคนโหดร้ายหรือจิตไม่ปกติอะไรหรอก แต่เพราะไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถรั้งอะไรเอาไว้ได้ ก็เลยกลายเป็นพวกชอบควบคุมคนอื่นโดยไม่รู้ตัว ส่วนนายน่ะ...”
นิ้วชี้เรียวสวยที่ยาวกว่านิ้วชี้ของผมเกือบสองเซนต์ชี้ตรงมาที่ผมอย่างหมายมาด
“เป็นคนโง่และบ้าบิ่นอย่างที่ฉันเองก็คิดไม่ถึงเลย นี่สินะ คุณสมบัติคนบ้า”
“คำพูดนั้นมันอะไรกันน่ะ...”
“ไม่ได้สบประมาทนะ” เขาว่าด้วยท่าทีสบายๆ “ชมต่างหากล่ะ ชมอยู่นะ”
มือใหญ่ทั้งสองข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง ใบหน้าที่เหมือนกับผมเชิดขึ้นเล็กน้อย
“นี่ไอ้น้องชาย รู้ตัวบ้างไหมว่าตัวเองโคตรจะเหลือเชื่อเลย สำหรับฮาน ถึงแม้จะไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แต่คนทั่วไปถ้าโดนควบคุมและไล่ต้อนขนาดนั้น ยังไงซะก็ต้องเอะใจแล้วก็พยายามหนีออกมาแล้ว แต่นายน่ะ...” เขาทอดเสียงก่อนจะแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจ “แหกกฎทุกข้อของคนธรรมดาจนฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคนที่ผิดปกติน่ะ มันหมอนั่นหรือนายกันแน่ล่ะน้า”
แล้วเขาก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง
“เอาน้าๆ ฉันก็พูดไปเรื่อยนั่นล่ะ เอาเป็นว่า สิ่งเดียวที่ฉันอยากจะพูดคือหมอนั่นน่ะ กำลังพยายามควบคุมนายให้ไปตามทิศทางที่เขาอยากให้เป็นอยู่ ไม่ใช่เพราะเป็นคนมีปัญหาทางจิตเรื่องความหึงหวง คลั่งไคล้หรืออะไรแบบนั้น แต่เป็นเพราะความไม่มั่นใจในตัวเองมากๆ ต่างหาก”
จู่ๆ มิกเกลก็เงียบลงแล้วสบลึกเข้ามาในดวงตาของผมด้วยแววตาที่จริงจังมากขึ้น
“แต่จำไว้นะเอล ปัญหาของฮานน่ะ ไม่ใช่แค่ความไม่มั่นใจในตัวเองแบบเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นหวาดกลัวที่จะตัดสินใจหรือคุมสติไม่ได้เมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชนหรืออะไรตื้นเขินทำนองนั้นหรอกนะ ความหวาดกลัวของเจ้านั่นล้ำลึกกว่าที่นายคิดมาก ลึกและรุนแรงมากพอจะหล่อหลอมให้เขาสามารถเฉิดฉายได้อย่างมั่นใจ”
ความไม่มั่นใจที่ทำให้สามารถสร้างภาพลักษณ์ของคนมั่นใจขึ้นมาได้อย่างงั้นเหรอ...
“เพราะไม่มั่นใจมากๆ จึงต้องพยายามให้มากกว่าเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับตัวเอง ถ้าเป็นคนปกติคงทำไม่ได้ แต่เพราะเขาเป็นอัลฟ่า เป็นคนเก่งและฉลาด การจะก้าวข้ามมาจนถึงจุดๆ นี้ได้ก็คงไม่แปลก” แล้วพี่ชายของผมก็เงียบไปอึดใจ “เพราะกลัวจะสูญเสียเลยต้องควบคุม เพราะกลัวว่าสุดท้ายจะไม่เหลือใครจึงต้องผูกมัด เรื่องแบบนั้นมันก็เข้าใจได้อยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วยิ่งเป็นกรณีของฮานที่เกิดมาก็ไม่มีครอบครัวเลยแม้แต่คนเดียวด้วยแล้ว จะให้มารู้สึกมั่นคงปลอดภัยกับอะไรก็คงจะยาก จะว่าไป พ่อบุญธรรมของเขาเองก็เคยมีประวัติกับเรื่องทำนองนี้อยู่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
พี่ชายผมเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “บางทีที่เขาพูดกันว่าตระกูลเจเล็ตใหญ่เกินไปจนไม่สามารถดูแลกันได้ทั่วถึงนี่น่าจะเป็นเรื่องจริงสินะ”
แล้วทุกอย่างก็เข้าสู่ภวังค์ความเงียบไร้ที่สิ้นสุด ทั้งผม ทั้งพี่ ต่างคนต่างเงียบไปราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นปิดปากเอาไว้ ไม่หรอก ถ้าจะพูดให้ถูกคงมีแต่ผมที่พูดไม่ออกมากกว่า สำหรับพี่แล้วน่ะ ที่เงียบไปก็แค่เพราะอยากจะปล่อยช่องว่างให้ผมได้คิดพิจารณาหลายๆ อย่างก็เท่านั้น เขาเป็นคนแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นา
ว่าแต่ เรื่องที่พี่พูดเมื่อกี้นี้น่ะ ผมควรทำยังไงดีนะ มีอะไรที่ผมพอจะช่วยฮานได้บ้างไหม
“เพราะฉะนั้นน่ะเอล ตอนนี้น่ะ นายเหลือทางเลือกอยู่แค่สามทางแล้ว อ๊ะ ไม่สิ สำหรับนายน่าจะแค่สองมากกว่า”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดหาข้อสรุปให้ตัวเอง จู่ๆ คนที่เงียบมาตลอดก็เอ่ยปากขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าติดทะเล้นเหมือนปกติเสียจนผมอดเงยหน้าขึ้นสบตาเขาไม่ได้
พี่ชายผม...มิกเกลน่ะ กำลัง...ยิ้มล่ะ
เป็นรอยยิ้มขี้เล่นเป็นกันเองเหมือนอย่างทุกที จะติดก็แค่ว่าดวงตาของเขา...นัยน์ตาของเขามันส่องประกายพึงพอใจออกมาอย่างชัดเจนเสียจนผมเองยังรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ
“หนึ่งคือยอมเล่นตามเกมแล้วเป็นสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ ในกรงทองให้คุณชายฮาร์วี่ เจเล็ตเลี้ยงดูไปจนตายซะ ไม่ต้องกังวลใจอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างสวยงามเหมือนภาพฝัน แค่ทำตามที่เขาบอกทุกอย่างก็พอ”
ผมเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เห็นภาพตรงหน้าชัดขึ้น
ไม่อยากเชื่อเลย ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมจู่ๆ พี่เขาถึงได้ดูมีความสุขขนาดนี้กันล่ะ
“สองคือพยายามทำยังไงก็ได้ให้เขารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกนาย...ความสัมพันธ์ของนายกับเขาคือสิ่งที่เขาสามารถเชื่อถือได้ สามารถมั่นใจได้ การต่อสู้กับความไม่มั่นใจของคนนั้นยากลำบาก แต่ถ้าทำสำเร็จ พวกนายก็จะได้เป็นคู่ชีวิตกันอย่างแท้จริง จะสามารถร่วมกันขีดเส้นชะตาของตัวเองได้”
ในขณะที่ผมกำลังสับสน คนตรงหน้าผมก็พลันหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นมาตรงหน้าผม สิ่งที่อยู่ในมือใหญ่มีลักษณะเหมือนจี้รูปกุญแจห้อยคอธรรมดาทั่วไป แต่บางอย่าง มีบางอย่างที่บอกผมว่าสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งของธรรมดา
“และนี่คือทางเลือกที่สาม แต่ฉันก็ไม่คิดว่านายจะเลือกหรอกนะ”
มิกเกลหัวเราะด้วยน้ำเสียงร่าเริงเป็นอย่างยิ่ง
“นี่เป็นกุญแจที่จิตแพทย์เรียกกันว่ากุญแจครอบจักรวาล มันสามารถใช้ไขกุญแจมือหรือปลอกล่ามเท้าได้ทุกแบบทุกขนาด ทุกประเภทวัสดุเท่าที่มีขายในลินเดียตอนนี้”
เขายัดมันใส่มือของผมโดยไม่ถามความเห็น “ปกติโรงพยาบาลจิตเวทของประเทศเราก็มักจะใช้อุปกรณ์พวกนี้ในการตรึงรัดให้ผู้ป่วยอาการหนักอยู่แต่บนเตียงอยู่แล้ว และปกติ คนทั่วไปก็ไม่สามารถสั่งซื้ออุปกรณ์เฉพาะทางพวกนี้ได้ เพราะฉะนั้น....” มิกเกลยิ้มกว้างขึ้นกว่าเก่า “ถ้าเกิดว่านายจะโดนทำอะไรเข้าสักวันจริงๆ อุปกรณ์ที่ใช้ก็คงไม่หนีกันมากเพราะเขาเองก็อยู่ในแวดวงเดียวกับฉัน ถึงเวลาเจ้ากุญแจนี่อาจจะมีประโยชน์”
เขาก็ตบบ่าผมเบาๆ
“แต่ช่วยจำอะไรเอาไว้อย่างนะ” แล้วเขาก็ดึงผมเข้าไปกอดไว้หลวมๆ “ถ้าวันไหนที่เขาตัดสินใจล่ามโซ่นายขึ้นมา นั่นหมายความว่าความไม่มั่นใจได้ครอบงำเขาเกือบสมบูรณ์แล้ว และถ้านายเลือกที่จะใช้กุญแจนี่แล้วหนีออกมา...”
น้ำเสียงของมิกเกลทั้งนิ่งทั้งสงบ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่แอบซ่อนเอาไว้ในคำพูดเหล่านั้น
พี่ชายของผม...มิกเกลน่ะ...กำลังสนุก
“ความสัมพันธ์ของพวกนายก็จบลงตรงนั้นล่ะ”
แล้วเขาก็หัวเราะด้วยน้ำเสียงร่าเริงอย่างถึงที่สุด
“แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ สาบานเลยว่าฉันไม่ปล่อยให้นายตายแน่นอน ไว้ใจได้เลย ฉันเตรียมแผนรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่สุดไว้เป็นกระบุงเลยล่ะ”
ให้ตายสิ ทำไมพี่ชายของผมมันถึงได้น่ารังเกียจขนาดนี้นะ
แต่เอาเถอะ ถึงผมจะยังแยกไม่ค่อยออกว่าคำพูดไหนของเขาเป็นคำพูดจริง คำพูดไหนเป็นคำพูดเย้าเล่นก็เถอะ แต่ไอ้ประโยคที่บอกว่า ‘ฉันไม่ปล่อยให้นายตายหรอก ไว้ใจได้เลย’ นั่นน่ะ คงเป็นของจริงแท้แน่นอน
ผมมั่นใจอย่างนั้นนะ
****************************************************************************