[END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19  (อ่าน 71947 ครั้ง)

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
«ตอบ #150 เมื่อ09-07-2019 00:11:38 »

 :hao5:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
«ตอบ #151 เมื่อ09-07-2019 01:24:43 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Hayvril

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
«ตอบ #152 เมื่อ10-07-2019 01:22:16 »

เราเครียด ฮือ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
«ตอบ #153 เมื่อ11-07-2019 02:33:58 »

 :mew6: :mew6: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
«ตอบ #154 เมื่อ12-07-2019 00:58:03 »

เคลียร์ปมแล้ว สงสารน้องพลีสมากเลยค่ะ

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
«ตอบ #155 เมื่อ17-07-2019 04:22:48 »

ตอนที่ 13
เรื่องราวคราวนั้นและความทรงจำที่หายไป

 

ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปนั้นมันเปล่าประโยชน์ ไม่มีความหมาย ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่คิด ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะนำพาคนที่อยากจากไปกลับมาที่นี่ทำไม

เมื่อการรอดตายคล้ายว่าจะเป็นปาฏิหาริย์ ความกล้าที่มีถูกใช้ไปหมดสิ้นจึงกลับกลายเป็นความกลัวเมื่อต้องกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เพราะผมไม่รู้ว่า สิ่งที่ตามมาจากการกระทำนั้นมันจะต้องรับมือยังไง   

"น้องพลีส"

เสียงเรียกคุ้นหูจากหน่อย ปลุกผมออกจากความคิด ก่อนยันตัวเองขึ้นนั่งบนเตียงของโรงพยาบาล

"เป็นยังไงบ้างคะ"

ผมเงยหน้ามองหน่อยด้วยความรู้สึกสงสัย เพราะทรงผมที่สั้นลงกว่าตอนที่ผมเดินออกจากบ้านมา หน่อยเอาเวลาที่ไหนไปตัดผม?

"น้องพลีส"

ผมไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลาอยู่บนดาดฟ้าตึกนั่นนานเท่าไร มองเห็นแค่ท้องฟ้ามืดสนิทและตอนนี้ฟ้าด้านนอกก็ยังเป็นเช่นนั้น เวลายังไม่ข้ามผ่านคืนนี้ไป แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่า...เวลามันผ่านไปนานกว่านั้น

"เจ็บตรงไหนไหมคะ"

นอกเหนือจากรอยถลอกที่สำรวจมองผ่านๆ ตามร่างกาย ก็ไม่มีแม้แต่บาดแผลใดที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บเลยสักนิด ตกจากดาดฟ้าของตึกห้าชั้น...ผมได้แผลแค่นั้นจริงๆ เหรอ

"น้องพลีส"

"..."

"น้องพลีสคะ!"

"ครับ?"

"เป็นยังไงบ้างคะ รู้สึกยังไงบอกหน่อยสิคะ"

"พลีส..."

"..."

"พลีสหิว"

"คะ?"

ไม่รู้ทำไมถึงพูดออกไปแบบนั้น แต่ว่านั่นคือความรู้สึกแรกที่ชัดเจนขึ้นมาหลังจากได้สติ หิวเหมือนไม่ได้กินอะไรมาเป็นเดือนแล้ว...หิวมากเลย

"งั้นเดี๋ยวหน่อยลงไปซื้ออะไรมาให้ทาน แต่น้องพลีสแน่ใจนะคะว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ"

ก็น่าสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่เป็นอะไรเลยทั้งๆ ที่ควรจะแขนขาหัก หัวแตกหรือว่าตาย แต่นี่กลับสบายดีอย่างกับผมเพียงแค่ลื่นล้มแล้วแขนถลอก ทุกอย่างมันไม่เหมือนที่คิด มันไม่ใช่...

"แล้วไปทำยังไง ถึงได้ถูกรถชนเอาได้ล่ะคะ"

"ครับ?"

"หน่อยบอกกี่ครั้งแล้วว่าข้ามถนนให้ระวังรถดีๆ ดีนะคะที่ไม่เป็นอะไรมาก ไม่อย่างนั้นคง..."

"เดี๋ยว..." ผมยกมือเบรกคำพูดของหน่อยด้วยความสงสัย

"คะ?"

"ใครถูกรถชน"

"ก็น้องพลีสไงคะ"

"พลีสตกลงมาจากตึก"

"คะ?"

"พลีส...กระโดดลงมาจากตึก"

ผมพูดให้ชัด เพื่อให้หน่อยได้รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ผมต้องมานอนอยู่ในที่โรงพยาบาลแบบนี้ก็เพราะว่าผมทำสิ่งนั้นลงไป แต่ดูเหมือนว่าหน่อยจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด แสดงออกถึงความไม่เข้าใจผ่านใบหน้าที่ดูงุนงง

 "เรื่องนั้น..."

"..."

"มันผ่านไปเป็นเดือนแล้วนะคะ"

กลายเป็นผมที่สับสนอย่างไม่มีสิ้นสุด อย่างที่ความรู้สึกบอกกับผม ว่าดูเหมือนเวลามันผ่านไปนานกว่านั้น และนอกเหนือจากความรู้สึก วันที่บนหน้าจอมือถือและบนรายการข่าวในทีวีก็ช่วยยืนยันกับผมว่าเวลามันได้ผ่านไปนานขนาดนั้นแล้ว ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองชั่วโมง...แต่เป็นหนึ่งเดือน

ผมลุกออกจากเตียงแล้วก้าวเท้าไปที่หน้าต่างพลางคิดอะไรมากมายอยู่ในหัว แปลกประหลาด สับสนและไม่เข้าใจ มันเหมือนจะนานแต่มันก็เพิ่งผ่านมา ภาพสุดท้ายที่ผมจำได้และรู้ตัวดี คือการเดินออกจากบ้านด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ตัดสินใจทำบางสิ่งที่คิดว่ามันเป็นจะเป็นจุดจบสุดท้ายของชีวิต แต่กลับลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในวันนี้...วันที่เวลาผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน

เหมือนได้ตื่นจากการที่จิตวิญญาณหลับใหลอย่างยาวนาน โดยที่ความทรงจำในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นกลายเป็นศูนย์...ผมจำอะไรไม่ได้เลย           

"น้องพลีส!"

 ความสับสนพุ่งชนจนความเจ็บปวดแทรกเข้ามาในหัว งุนงงจนทรงตัวไม่อยู่ ผมเกือบจะล้มลงกับพื้นแต่หน่อยตรงเข้ามารับร่างผมเอาไว้ได้ก่อน

"เป็นอะไรไหมคะ"

"พลีสไม่เป็นอะไร"

"จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง เดี๋ยวหน่อยตามหมอให้นะคะ"

"พลีสแค่หิว"

"คะ?"

"บอกแล้วไงว่าหิวมากเลย"

"เดี๋ยวหน่อยรีบลงไปหาอะไรมาให้ทานนะคะ"

ผมพยักหน้ารับ แต่สายตากลับมองไปยังนมกล่องหนึ่งที่วางอยู่ข้างๆ กระเป๋าผ้าของหน่อย

"กล่องนี้ของหน่อย หน่อยเจาะแล้ว แต่ยังไม่ทันได้กิน"

"พลีสขอ"

"แต่ปกติน้องพลีสไม่..."

"พลีสหิว"

"..."

"มากๆ เลย"

"ค่ะ"

หน่อยหยิบนมกล่องนั้นส่งให้ผมดื่มประทังความหิวที่มีมากจนเกือบทนไม่ไหว ไม่สนว่ามันจะเป็นนมรสชาติงาดำที่เคยเกลียดอย่างกับอะไรดี แต่ตอนนี้อะไรก็ได้ที่จะช่วยบรรเทาความหิวโหยนั้นให้หายไป ก็พร้อมจะยัดลงท้องทั้งหมดเลย

หน่อยหัวเราะเบาๆ ตอนที่เห็นผมดูดนมไม่หยุด แล้วนั่งลงข้างๆ มือข้างหนึ่งยื่นมาลูบหัวเบาๆ ด้วยรอยยิ้มที่เอ็นดูผมเหมือนอย่างเคย

"น้องพลีส"

"..."

"กลับบ้านช้านะคะ"

สายตาผมเหลือบขึ้นมองตอนที่หน่อยพูดเช่นนั้น ประโยคสุดท้ายที่พูดออกไปว่าจะไม่กลับช้า มีความหมายว่าจะไม่กลับไปเลยซึ่งผมได้ตั้งใจให้มันเป็นคำบอกลา แต่สุดท้ายแล้วผมก็กลับมา แม้ว่าจะช้าไปถึงหนึ่งเดือน แม้ว่าจะช้าไปหน่อย...

"ครับ"

"..."

"พลีสกลับมาแล้ว"

คำว่ากลับมาของผมกับหน่อยอาจมีความหมายไม่เท่ากัน แต่ขณะนั้นผมก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยของหน่อยที่มีให้ผมมาโดยตลอด ผมโต้ตอบอ้อมกอดของหน่อยที่ประคองร่างของผมเอาไว้หลวมๆ ผ่านอ้อมกอดนั้น ผมอยากย้ำให้หน่อยรู้อีกครั้ง...ผมกลับมาแล้ว   

"พลีส"

เราทั้งคู่หันมองเสียงเรียกของพ่อกับแม่ที่พรวดพราดเข้ามาอย่างตกใจนิดๆ แม่ตรงเข้ามาสำรวจร่างกายของผมด้วยการจับตรงนั้นที ตรงนี้ทีแล้วถามซ้ำๆ ว่าเป็นอะไรไหม ส่วนพ่อยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย

"ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม ไม่เป็นอะไรใช่ไหมพลีส"

ผมไม่ได้ตอบคำถามของแม่ คิดว่ารอยถลอกเล็กๆ ที่แม่มองเห็นก็คงบ่งบอกได้ว่าผมไม่เป็นอะไรมาก ผมนิ่งไปนิดหนึ่งตอนที่แม่โผเข้ามากอด ขณะที่พ่อก็เอ่ยปากพูดเป็นครั้งแรกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

"สองครั้งแล้วนะ ที่พลีสทำให้พ่อเป็นห่วงแบบนี้"

แม่กอดผมแน่นกว่าเดิม ลูบหัวเบาๆ ด้วยท่าทางทะนุถนอมอย่างที่ผมไม่เคยชิน 

ไม่บ่อย...หรือไม่เคยเลย

ที่พ่อกับแม่จะแสดงออกถึงความห่วงใยอย่างชัดเจนแบบนี้ คำว่าเป็นห่วงของพ่อทำเอาผมเกือบคิดไปว่าตัวเองได้ตายไปแล้วหรือนี่อาจจะเป็นความฝันก็ได้

"พลีสไม่เป็นอะไรนะ"

"ไม่เป็นอะไรครับ"

หมายถึงในทางร่างกาย...แต่ถ้าถามไปถึงสภาพจิตใจตอนนี้ รู้สึกเจ็บแปลกๆ 

ผมโกรธพ่อกับแม่แทบบ้า โกรธที่แม่เอาแต่กดดันให้ผมทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อความต้องการของตัวเอง โกรธที่พ่อเพิกเฉยไม่เคยใส่ใจเรื่องของผม เบื่อที่พ่อกับแม่เอาแต่ทะเลาะกันราวกับทั้งคู่สนใจแต่เรื่องของตัวเองจนหลงลืมความรู้สึกของผม ไม่เคยสนใจเลยแม้แต่น้อย ผมเคยผิดหวังเพราะความบริสุทธิ์ในวัยเด็กหลอกลวงให้ผมเชื่อว่าความรักของพ่อกับแม่นั้นเป็นรักแท้ที่ยิ่งใหญ่ แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย...ผมจึงผิดหวัง

วันที่ผมคิดจะจากไป ผมไม่ได้บอกลาหรือคิดถึงหน้าพ่อกับแม่ด้วยซ้ำ ครอบครัวอาจไม่ใช่สิ่งที่ผมนึกถึงหรืออาวรณ์ คำว่าพ่อกับแม่นั้นไม่มีพลังที่จะฉุดรั้งการจากไปของผมได้เลย แต่ไม่รู้ว่าทำไม...การที่ได้กลับมาเห็นหน้าของพวกเขามันกลับทำให้ผมรู้สึกผิด...รู้สึกผิดที่คิดทำสิ่งนั้นลงไป   

 

...

 

ผมรอดตายจากการกระโดดตึก แต่ตื่นขึ้นมาอีกทีตอนที่วันเวลาผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน ความไม่สมเหตุสมผลของสิ่งที่ผมกำลังเป็นถูกอธิบายทางการแพทย์ว่าภาวะสูญเสียความทรงจำ ผมได้แต่บอกตัวเองให้เชื่ออย่างนั้นแม้ว่าความรู้สึกจะไม่ได้เป็นไปเช่นนั้นเลยก็ตาม

ก่อนหน้านี้ผมตื่นมาพร้อมความกังวลว่าผมจะรับมือยังไงกับสิ่งที่ตามมาหลังจากที่ตัวเองได้ตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป คิดไปว่าผมอาจจะถูกจับส่งโรงพยาบาลแผนกจิตเวชหลังจากพยายามฆ่าตัวตาย ผมอาจกลายเป็นเรื่องเล่าของคนอื่นที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะถูกพูดถึงในแง่ไหน จะเห็นใจ สงสาร หรือว่าสมน้ำหน้า แต่ว่า...กลับทุกอย่างไม่เป็นเช่นนั้น

ด้วยความที่เวลามันผ่านไปนานนับเดือนแล้วและตัวผมเองไม่ได้เป็นที่สนใจของคนอื่นมากมายขนาดนั้น เรื่องวันนั้นจึงไม่ได้พูดถึงอีก ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน ความกังวล สับสนและความกลัวทั้งหมดที่มีก็ค่อยๆ ผ่อนคลายและหายไปช้าๆ ผมไม่รู้และจำไม่ได้จริงๆ ว่า ตอนที่ตื่นขึ้นมาในคราวก่อนมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่รู้ว่าผ่านมาได้ยังไง ก็อยากจะทำใจให้สบายว่าสุดท้ายมันได้ผ่านไปแล้วแต่ก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดี...ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นในหนึ่งเดือนนั้นกันแน่

 

จากหน้าต่างของห้องเรียนที่อยู่ชั้นสี่ มองออกไปเห็นตึกสูงมากมายที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณโรงเรียน มองเห็นตึกสูงและดาดฟ้า สมองก็ย้อนคิดถึงเรื่องวันนั้นอย่างห้ามไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงรอดชีวิตมาได้ แม้จะได้รับโอกาสจากพระเจ้าให้ยังมีลมหายใจอยู่แต่ขณะเดียวกันมันก็หมายความว่า ชีวิตผมต้องกลับมาจมอยู่ในวงเวียนแห่งความทุกข์เช่นเดิม...ต้องกลับมาเป็นเช่นเดิม


"ไอ้พลีส"

ผมเงยหน้ามองเสียงเรียก ก่อนเจ้าของเสียงอย่างปั้นจะตรงเข้ามาหา ไม่รู้ว่าจะมาหาเรื่องอะไรอีก สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือการก้มหน้าลงต่ำ ทำเป็นไม่สนใจ

"ไม่ไปกินข้าวกลางวันเหรอวะ" ปั้นถาม ขณะดึงเก้าอี้ของโต๊ะตัวข้างๆ แล้วนั่งลง ความใกล้ชิดที่ผมไม่ชอบ พาให้ผมขยับตัวหนีออกไปจนชิดหน้าต่าง

"เป็นอะไร"

ผมเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ เพื่อปฏิเสธ   

"ทำไมไม่ไปกินข้าว"

"เราไม่หิว"

"เป็นอะไร ผีเข้าผีออก"

ผมหันมองปั้นที่พูดออกมาเช่นนั้นด้วยใบหน้าสงสัย อีกคนจึงพูดต่อ

"ก็อยู่ดีๆ กลับมาพูดเพราะกับกูเฉยเลย สมองมึงกระทบกระเทือนอีกรอบเหรอ"

ไม่เข้าใจสักนิดว่าปั้นพูดถึงอะไร แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะถามอะไรต่อ ในตอนนั้นเอง ปั้นหันไปหยิบกระเป๋าของตัวเองที่โต๊ะด้านหลังผม ก่อนจะดึงชีทปึกหนึ่งออกมา

"เอาการบ้านคณิตมาลอกหน่อย"

"การบ้านอะไร"

"ก็การบ้านที่มึงไปเรียนซ่อมกับกูไง มึงเสร็จแล้วใช่ไหม เอามาลอกหน่อยเร็ว"

มันบ้าบอที่สุดที่ผมจำอะไรไม่ได้เลย ข้อมูลของหนึ่งเดือนที่ผ่านมาจึงถูกป้อนใส่สมองโดยคนอื่นอยู่เสมอ ผมเปิดกระเป๋าตัวเองแล้วหาชีทที่เหมือนกันกับในมือของปั้น ก่อนจะพบว่ามันสอดอยู่ในแฟ้มโดยที่การบ้านเหล่านั้นถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว

"เสร็จแล้วนี่หว่า เอามาลอกหน่อย"

ไม่ได้รอให้ผมอนุญาต ปั้นก็ดึงชีทการบ้านนั้นไปจัดการลอกตาม ผมเลื่อนสายตามองโจทย์คณิตเหล่านั้น คำพูดของปั้นที่บอกว่ามันคือการบ้านจากการเรียนซ่อมติดอยู่ในใจ จนต้องเอ่ยปากถาม

"ทำไมเราต้องเรียนซ่อม?"

ปั้นหยุดมือที่กำลังเขียนแล้วเงยหน้าขึ้นมองผม

"กูดิต้องถามว่าทำไมมึงถึงสอบตก"

"เราสอบตก?"

"เออดิ! แดกศูนย์ทุกข้อสอบ"

"ไม่จริงอะ" ผมเผลอแย้งออกไป โดยที่ลืมคิดไปว่า ในช่วงเวลาที่ความทรงจำหายไปชั่วขณะ ความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์อาจจะบกพร่องไปด้วยก็ได้ และแน่นอนว่าคำพูดของผมทำให้อีกคนที่นั่งอยู่ด้วยทำหน้างุนงง วางปากกาลงบนโต๊ะแล้วหันมาจ้องผมจริงๆ จังๆ

"ผีออกแล้วเหรอ"

"ฮะ?"

"มึงไง ผีออกแล้วเหรอ แต่ออกก็ดีแล้ว กูไม่ชอบตอนมึงผีเข้าเท่าไรหรอกนะ กวนตีนฉิบหาย" ปั้นพูดขำๆ แล้วก้มลงลอกการบ้านต่อ ขณะนั้นก็เอ่ยปากเรียกผมขึ้นมาเบาๆ

"พลีส"

"..."

"มึงชอบนมรสสตอว์เบอร์รี่ไหม"

"ถามทำไม"

"กูถามก็ตอบ เสือกมาย้อน เดี๋ยวตบหูแตก"

ผมโยกตัวหลบตอนที่ปั้นง้างมือขึ้นทำท่าจะตบเข้ามาจริงๆ หลับตาแน่นอย่างกลัวๆ แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาแล้วใช้ฝ่ามือนั้นตบเข้าที่หน้าผากผมเบาๆ ก่อนล้วงกระเป๋าหยิบนมสตรอว์เบอร์รี่ออกมากล่องหนึ่ง

"กูให้"

"ให้ทำไม"

"คราวก่อนกูหวง ก็เลยรู้สึกผิด"

"ไม่เข้าใจ"

"ก็ที่มึงบอกว่าอยากกินแล้วกูไม่ให้ไง คราวนี้กูมีสองกล่อง เอาไปดิ" ปั้นจัดการแกะพลาสติกที่หุ้มหลอด เจาะกล่องนมแล้วยื่นให้ผม ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขา คนที่เอาแต่กลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลากลับมาทำดีด้วยราวกับว่าเราสนิทสนมกัน บทสนทนาระหว่างผมกับปั้นก็พูดคุยได้ยืดยาวโดยไม่ทะเลาะกัน นี่มันแปลกยิ่งกว่าแปลกเสียอีก

หัวคิ้วชนกันแน่นด้วยความสงสัย แต่ก็หาคำตอบไม่ได้จึงทำได้แค่ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันมองไปนอกหน้าต่าง ท่ามกลางความเงียบ ปั้นเรียกผมขึ้นมาอีกที

"พลีส"

"..."

"ถ้ากูบอกว่ากูขอโทษ มึงจะเชื่อไหมวะว่ากูรู้สึกผิดจริงๆ"

"ขอโทษ?"

"อือ"

"เรื่องอะไร"

"ก็ทั้งหมด"

"..."

"ที่ผ่านมา"

เราต่างคนต่างเงียบขณะที่เอาแต่มองหน้ากัน ปั้นดูอ้ำอึ้งคล้ายว่าจะพูดอะไรออกมา เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นว่าใบหน้าของคนที่เคยเย่อหยิ่งและก้าวร้าวกลับดูไม่มั่นใจและกล้าๆ กลัวๆ ผมจึงบอกให้เขาพูดมันออกมา

"พูดมาสิ"

"กูคิดได้ หลังจากที่มึงพูดกับกูคราวก่อน..."

คราวก่อน...

"เพราะคำพูดของมึงกูถึงคิดได้ กูกลับไปถามตัวเองว่าที่ผ่านมากูแกล้งมึงทำไมแล้วกูก็ถามตัวเองอีกว่ามันเป็นเพราะกูหรือเปล่าที่ทำให้มึงตัดสินใจกระโดดตึกในวันนั้น มึงไม่ต้องพูดให้กูสบายใจว่าไม่ใช่ เพราะกูรู้ดีว่ากูก็มีส่วน ใช่ไหมล่ะ"

ผมไม่อาจปฏิเสธความจริงข้อนั้น ปั้นเคยบั่นทอนความรู้สึกของผมด้วยการเอาแต่รังแกและกลั่นแกล้ง แม้ไม่ใช่เหตุผลหลักของการตัดสินใจแต่มันก็ช่วยเพิ่มเหตุผลที่ทำให้ผมคิดที่จะจากไปได้ง่ายขึ้น

"กูไม่ได้แก้ตัวนะ มึงอาจจะคิดว่ากูทั้งโง่ทั้งเหี้ย เหตุผลส้นตีนอะไรก็ตามแต่ แต่มึงฟังกูหน่อยได้ไหม"

"อืม พูดมา"

"กูแค่อยากให้มึงมีตัวตนอะ"

"ฮะ?"

"กูนึกไปเองแบบโง่ๆ ว่าการที่กูแกล้งมึงทุกวัน จะทำให้มึงรู้สึกมีตัวตนขึ้นมาบ้าง กูรู้เรื่องของมึงเหมือนที่เพื่อนคนอื่นรู้ เรื่องที่มึงเคยถูก..." คำพูดถูกละเอาไว้ แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่าผมเคยผ่านอะไรมา ผมพยักหน้ารับก่อนที่ปั้นจะพูดต่อ

"ที่กูไม่สงสารมึงเลย เพราะกูไม่อยากให้มึงคิดว่าตัวเองน่าสงสาร กูก็แค่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เผื่อว่ามึงจะได้ไม่คิดถึงเรื่องนั้นอีก กูยังอยากให้มึงมีตัวตนอยู่ ต่อให้เพื่อนทั้งห้องไม่คุยกับมึง แต่มีกูที่คอยแกล้งมึงทุกวันนะ ความคิดกูมันดูโง่เหี้ยๆ เลยใช่ป่ะ"

"อืม"

"..."

"เหี้ยๆ เลย"

ปั้นถอนหายใจเบาๆ ด้วยใบหน้าสลดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา อยากให้เพื่อนทั้งห้องได้เห็นว่าเวลาอันธพาลหัวโจกมันจ๋อย หน้าตาดูน่าเวทนาขนาดไหน

"กูผิดไปแล้ว กูขอโทษ"

"..."

"กูยกนมสตรอว์เบอร์รี่ให้มึงแล้ว มึงก็ยกโทษให้กูดิ"

ผมหลุดขำเพราะคำพูดบ้าๆ จากประโยคนั้น ผมยังคงยิ้มกว้างและให้คำตอบปั้นด้วยการยกนมกล่องนั้นขึ้นดื่ม เป็นไปได้ว่า ความรู้สึกโกรธเคืองที่มีในใจลบเลือนหายด้วยนมสตรอว์เบอร์รี่เพียงกล่องเดียว ผมพลันคิดหาเหตุผลว่าทำไมจึงยกโทษให้ปั้นง่ายๆ เช่นนั้น แต่ก็ยังให้คำตอบตัวเองไม่ได้ อาจเป็นเพราะผมไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ยินคำขอโทษจากปากของคนๆ นี้ และจากที่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องกลับมาอยู่ในจุดเดิม แต่มันมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจนน่าตกใจ ผมก็คงเผลอดีใจจนให้อภัยเขาง่ายๆ ไปอย่างนั้น

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมฉุกคิดและคาใจจากคำอธิบายยืดยาวของปั้น การพูดคุยคราวก่อนที่ผมจำไม่ได้สักนิด มันทำให้ผมคิดสงสัย ด้วยนิสัยจริงๆ ของผมแล้ว ผมอาจจะไม่ใช่คนที่พูดจาอะไรจนอีกคนกลับไปคิดได้ว่าตัวเองทำอะไรผิด ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยไม่หยุดหย่อน ในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ความทรงจำของผมหายไป...มันถูกแทนที่ด้วยสิ่งใดกันแน่

 

...

มีต่อค่ะ

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
«ตอบ #156 เมื่อ17-07-2019 04:23:24 »

 

คำว่าเมื่อวานสำหรับผมมันแสนสั้นแต่เวลาที่ผ่านไปจริงๆ นั้นมันยาวนาน แม้ผมจะยังไม่อาจลืมเรื่องราวของเมื่อวานที่เพิ่งผ่านมา แต่กาลเวลาและคนรอบข้างลืมมันไปหมดแล้ว ผมจึงต้องลบความทรงจำนั้นทิ้งราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นจริง ทำตัวเองให้เป็นปกติ และใช้ชีวิตเหมือนอย่างที่เคยมีชีวิตมา

"น้อง"

ผมหยุดเท้าที่กำลังจะก้าวข้ามถนนเมื่อได้ยินเสียงนั้น มีคนเดียวที่เรียกผมแบบนั้น...คนที่ผมหันไปก็จะได้เห็นรอยยิ้มของเขาแน่นอน

คุณหมอ

ยิ้มกว้างๆ จากคนตรงหน้าพาให้ผมต้องเม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้

"กำลังจะกลับบ้านเหรอ"

"ครับ แล้วคุณหมอ..."

"อะไร! ไหนตกลงกันแล้วไงว่าจะไม่เรียกแบบนั้น"

"ครับ?"

"ก็คราวก่อนบอกว่าจะเรียกพี่ไง"

คราวก่อน...อีกแล้ว

ผมไม่รู้จะโต้ตอบว่ายังไง และไม่รู้เหมือนกันว่าผมเอาความกล้าที่ไหนไปเรียกเขาด้วยคำว่า พี่ ใช่ว่าจะไม่อยากเรียกแบบนั้น แต่มัน...มันเขินนะ

"ตกลงกันแล้ว อย่ามาเปลี่ยนใจง่ายๆ ดิ พี่ไม่ยอมนะ จะโกรธด้วยแหละ" ว่าแล้วก็ทำเป็นสะบัดหน้าใส่ไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นว่าผมไม่โต้ตอบอะไรก็ชำเลืองตาหันมามอง มองแล้วมองอีกจนกระทั่งยอมหันหน้ากลับมา

"ไม่เรียกก็ไม่เรียก ตามใจน้องเลย พี่ไม่อยากงี่เง่า พี่โตแล้ว พี่แก่แล้วด้วย จะคุณหมอ จะทันตแพทย์อะไรก็ตามใจน้องเลย พี่ไม่มีสิทธิ์อะไรไปบังคับน้องอยู่แล้ว พี่มันก็แค่..."

"พี่ต่อ"

คนที่กำลังพร่ำพูดอะไรยาวยืดหยุดชะงักกะทันหันเมื่อผมพูดออกไปแบบนั้น

"พี่ต่อครับ"

ผมเรียกชื่อเขาอีกที เพียงแค่อยากจะย้ำกับตัวเองว่าผมสามารถเรียกเขาด้วยคำว่าพี่แบบนั้นโดยไม่รู้สึกเคอะเขินจนเกินไป การถูกเรียกด้วยคำที่พอใจจึงทำให้อีกฝ่ายยิ้มกว้างให้ผม ที่ผ่านมามันเป็นยิ้มที่เยียวยาทุกอย่างที่หนักหนาในใจ และเป็นยิ้มที่ผมคิดจะละทิ้งไปอย่างตั้งใจ ตอนนี้จึงรู้สึกเสียดายขึ้นมา หากว่าตายไปจริงๆ...คงจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มนี้อีก

"ไปกินไอติมกันไหม"

ผมเผลอแสดงสีหน้างุนงงขณะที่อยู่ดีๆ ก็ถูกชวนแบบนั้น 

"ร้านที่เราไปกินด้วยกันวันก่อนไง"

ผมไปกินไอติมกับพี่ต่อ?   

คุยกันมากกว่าสิบคำยังทำให้ใจสั่น นี่ไปนั่งกินไอติมด้วยกัน ผมไม่ไหลตายไปก่อนเหรอ ไม่มีทางที่ผมจะทำแบบนั้นได้ หรือการสูญเสียความทรงจำจะทำให้ผมสูญเสียการเป็นตัวเองไปด้วยถึงได้กล้าทำอะไรที่ไม่เคยทำมากมายขนาดนั้น ผมไม่มีวันที่จะทำแบบนั้นได้อีก ผมไม่...

"ตกลงไปไหมครับ"

"ไปครับ"

บ้าไปแล้ว!

 

พี่ต่อพาผมมาคาเฟ่ที่บอกว่าพี่ตามทำงานอยู่ที่นี่ แต่ยังไม่เห็นพี่ตามเลย ผมไม่รู้ว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น แต่ผมรับรู้ได้ถึงความใกล้ชิดในความสัมพันธ์ของผมกับพี่ต่อ ราวกับว่าเราดูสนิทกันมากขึ้นจากการกระทำ คำพูด และการพูดคุยของพี่ต่อที่ดูใจดีมากกว่าเดิมเสียอีก มันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายจนลืมตัวเองคนเดิมไปเลยว่าเวลาที่อยู่ข้างๆ เขาผมรู้สึกเกร็งมากแค่ไหน ผมไม่แน่ใจว่าจะอธิบายความเปลี่ยนแปลงที่ผมเองก็ไม่รู้ตัวนั้นว่าอย่างไรเหมือนกัน 

"อร่อยไหมน้อง"

"อร่อยครับ ของพี่ล่ะ"

"อร่อยมาก"

ชอบที่เขาเรียกผมว่าน้อง ชอบที่ตัวเองกล้าเรียกเขาว่าพี่...มันอบอุ่นชะมัด

"เออน้อง ไหนบอกจะให้พี่ช่วยติวเลขไง"

"ครับ?"

"วิชาเลขที่น้องสอบตกไง ว่างเมื่อไรก็ไปหาพี่ที่คลินิกได้นะ ตอนเย็นๆ ไม่ค่อยมีคนไข้หรอก"

            ด้วยความสัตย์จริง คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ผมถนัดมากที่สุด ในบทเรียนของคณิตฯ ม.ปลาย แทบจะไม่มีโจทย์ข้อไหนที่ผมแก้ไม่ได้ เป็นไปได้ว่าความรู้ในส่วนนั้นอาจแตกสลายไปในตอนที่หัวกระแทกพื้น แต่ตอนนี้ความทรงจำถูกรื้อฟื้นและทุกโจทย์คณิตก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถ

แม้ผมจะถูกสั่งสอนมาตลอดว่าการโกหกนั้นเป็นเรื่องต้องห้าม แต่วันนี้ผมละทิ้งความจริงและไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอของพี่ต่อได้ ผมอาจถูกลงโทษจากการโกหกนี้ก็ได้ แต่ท้ายที่สุดผมก็ยอมหลอกลวงทั้งตัวเองและตัวเขาเพื่อให้เราได้ใกล้ชิดกัน 

"ครับ ผมจะไปหาพี่ที่คลินิก"

"โอเค มาวันไหนก็ไลน์มาบอกพี่นะ"

ผมมีไลน์พี่ต่อด้วยเหรอ?

ถามตัวเองในใจ ก่อนที่จะหยิบมือถือขึ้นมากดดูแล้วไลน์ของพี่ต่อก็ปรากฏชัดให้เห็นเป็นชื่อแรก ไปมีไลน์เขาตอนไหนเนี่ย..บ้าไปแล้ว...บ้าไปแล้ว 

"ยิ้มอะไรคนเดียว"

"ครับ?"

"เราน่ะ ยิ้มไม่หุบเลย"

ยิ่งพี่ต่อแซว ผมก็ยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม ขณะนั้นพี่ต่อก็ยื่นมือมาบีบแก้มผมเบาๆ แล้วเอ่ยปากบอก 

"น้องน่ารักเวลายิ้ม"

ผมนิ่งไปครู่หนึ่งด้วยความเคอะเขิน พลันสติกลับคืนรอยยิ้มผมหุบลงช้าๆ ตอนที่รู้ตัวว่าพี่ต่อกำลังแตะต้องส่วนหนึ่งของร่างกายผมอยู่

 

"ฟึ่บ!"

 

สมองที่ไวกว่าความรู้สึกสั่งให้ผมปัดมือของพี่ต่อออก พี่ต่อชะงักไปครู่หนึ่งแล้วลดมือตัวเองลงช้าๆ

"พี่ขอโทษ"

"..."

"ลืมไปว่าน้องไม่ชอบ"

            ผมเองก็ได้แต่อึกอักกับการกระทำของตัวเองแต่ไม่ได้อธิบายสิ่งใด พี่ต่อที่ดูจะเข้าใจก็ทำได้เพียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ ความรู้สึกสดใสก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเอง

            จริงอยู่ที่ว่าการที่ได้ใกล้ชิดพี่ต่อ มันทำให้ผมอบอุ่นแต่ในหัวใจผมยังหนาวเย็นด้วยยังมีบางเรื่องที่ผมก้าวผ่านมันไปไม่ได้ เมื่อถูกสัมผัสหรือแตะต้อง ร่างกายยังเผลอสั่นเทา หัวใจยังคงเต้นแรง ความหวาดกลัวคงอยู่ในใจและพร้อมที่จะแสดงออกในรูปแบบของการต่อต้านทางร่างกายผ่านความทรงจำที่เลวร้ายอยู่เสมอ ถ้าการกระทบกระเทือนทางสมองจะทำให้ผมลืมบางเรื่องไป ทำไมถึงไม่เป็นเรื่องนี้...เรื่องที่อยากลืมใจจะขาด

 

"ครืด...ครืด..."

 

เสียงโทรศัพท์ของพี่ต่อที่สั่นอยู่บนโต๊ะ ทำลายทุกความเงียบตรงนี้ไป ผมดึงสติตัวเองกลับมาได้ก็ตอนที่พี่ต่อหันมาพูดกับผม

"พี่ไปรับโทรศัพท์แป๊บหนึ่งนะ"

"ครับ"

ผมมองตามพี่ต่อออกไปยังนอกร้านเพื่อมองดูเขาอยู่ไกลๆ ในขณะเดียวกันนั้นก็ต้องหันกลับมาเพราะการปรากฏตัวของอีกคนที่ตรงเข้ามาทักจนผมตกใจ

"เขี้ยวกุด!"

ไม่ทันจะได้เอ่ยทักพี่ตามที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน อีกฝ่ายก็ดึงเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ แล้วถามเสียงแข็งเหมือนกำลังโกรธเคืองกัน

"วันอาทิตย์ทำไมไม่มา"

"ครับ?"

"ก็ที่เรานัดกันไง เบี้ยวเฉยเลย ไม่โทรมาบอกสักคำ"

"พี่หมายถึงผมเหรอครับ"

"ก็คุยกับพลีสอยู่นี่ไง"

"ผมนัดกับพี่ตามเหรอครับ"

"ใช่ดิ พลีสบอกจะเลี้ยงข้าวพี่ไง ลืมเหรอ"

จากใจจริง ผมรู้จักพี่ตามแค่ผิวเผิน เราพูดคุยกันน้อยจนแทบจะนับคำได้ ต่างคนต่างไม่เก่งที่จะเข้าหากันผมจึงไม่คิดว่าเราจะสนิทกันขนาดนั้น และต่อให้ผมจะจำได้หรือไม่ได้ ผมก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าทำไมตัวเองถึงไปสนิทสนมกับพี่ตาม ไม่มีเหตุผลไหนที่จะสนับสนุนความเป็นไปในข้อนี้ ความคิดผมจึงโต้แย้งขึ้นมาซะเฉยๆ 

"พี่ตามเข้าใจผิดหรือเปล่าครับ"

"พลีสเป็นอะไรป่ะเนี่ย"

"..."

"คราวก่อนเรายังคุยกัน..."

คราวก่อน...กลายเป็นคำที่ผมกลัว เพราะผมไม่รู้เลยว่าคราวก่อนนั้น มันหมายถึงอะไร พี่ตามไม่ทันได้พูดอะไรต่อ พี่ต่อก็เดินกลับเข้ามา

"อ้าว ตาม พี่ก็นึกว่าวันนี้ไม่ได้ทำงาน"

"อยู่หลังร้าน" พี่ตามลุกออกจากเก้าอี้เพื่อให้พี่ต่อนั่งแทน พูดคุยกันอีกสองสามประโยคก่อนที่พี่ตามจะเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ ขณะที่ยังไม่ละสายตาไปจากผม ในตอนที่ผมเองก็ยังคงมองหน้าพี่ตามอยู่อย่างนั้น ก็ภาพบางอย่างในหัวแทรกซ้อนขึ้นมาจนคิดว่าตัวเองตาลาย...ผมเคยเห็นพี่ตามใส่ชุดนี้และยืนอยู่ตรงนั้น

 

"เพล้ง!"

 

เสียงแก้วแตกดังสนั่นร้าน ผมได้ยินเสียงนั้นดังมากกว่าความเป็นจริง ดังเสียจนต้องหลับตาแน่นเพราะรู้สึกเจ็บแปลบเข้าไปในหู

"ขอโทษค่ะๆ"

ผมหันมองพนักงานในร้านที่เพิ่งจะเดินชนแจกันดอกไม้หล่นจากโต๊ะ สายตาผมมองผ่านเศษแก้วที่แตกละเอียดไปยังกุหลาบสีขาวที่หล่นอยู่กับพื้น

คล้ายมีแสงสว่างวาบขึ้นในหัว พร้อมๆ กับภาพดอกกุหลาบสีขาวคล้ายกันกับดอกนี้ หล่นอยู่บนพื้นถนนและถูกรถเหยียบจนกลีบปลิวกระจาย ภาพในหัวสลับทับซ้อนจนผมไม่รู้ว่าความทรงจำพวกนั้นมันคืออะไร การพยายามที่จะคิดทำให้ความเจ็บปวดพุ่งเข้ามาจนเจ็บแปลบ

"พลีส เป็นอะไรหรือเปล่า"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ไม่อาจปกปิดอาการปวดหัวนั่นเอาไว้ได้จนต้องยอมรับออกไปตรงๆ แต่ครู่เดียวเท่านั้นความเจ็บปวดเหล่านั้นก็หายไป แม้ไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่ยังคงสับสน

ในตอนที่กลับมาถึงที่บ้านแล้ว ก็เอาแต่คิดถึงมันไม่หยุด ไม่รู้ว่าภาพที่เห็นนั้นมันคืออะไร ทั้งพี่ตาม ทั้งกุหลาบดอกนั้น มันคุ้นตาราวกับว่าได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง แต่ความรู้สึกมันบอกว่านั่นไม่ใช่ความทรงจำของผม และยิ่งสับสนมากขึ้นทุกทีตอนที่หาอะไรมาอธิบายไม่ได้เลย 

มีบางอย่างยังค้างคาใจและทำให้วนคิดซ้ำไปซ้ำมา และอยู่ดีๆ ก็มีความคิดโง่ๆ โผล่ขึ้นมาในหัว ด้วยการสันนิษฐานที่ดูไม่มีข้อเท็จจริงปะปนอยู่เลยแม้แต่น้อย เรื่องราวคราวก่อนที่ใครๆ ต่างพูดถึง ตัวผมในคราวนั้น แท้ที่จริงแล้ว...

 

อาจจะไม่ใช่ผมก็ได้

 

To be continued.



____________________________________________________________________________________________
ไม่งงกันใช่ไหมคะทุกคน ก็คือเรื่องของตอนนี้ ต่อจากตอนที่แสงถูกรถชนแล้ววิญญาณออกจากร่างจากตอนที่ 9 ไม่งงเนอะ
บอกว่าจะมีแค่ 12 ตอนแต่ดูท่าว่าจะไม่จบง่ายๆ แล้วค่ะ
มาช้า แต่มานะ 55555

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
«ตอบ #157 เมื่อ17-07-2019 08:54:53 »

พลีสกลับมาแล้วก็ใช้ชีวิตให้มันคุ้มนะลูก ส่วนพี่แสงเรร่อนไปไหนแล้ว

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
«ตอบ #158 เมื่อ17-07-2019 09:33:00 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

พลีสกลับเข้าร่าง แล้วพี่แสงหายไปไหน  หรือไปเกิดแล้ว?

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
«ตอบ #159 เมื่อ17-07-2019 10:53:42 »

ไม่งงค่ะ แต่สงสัยว่าตลอดหนึ่งเดือนพลีสไปอยู่ที่ไหนมา
และกลัวเหลือเกินว่าจะรักสามเศร้าระหว่างพี่น้อง
ยังคงปักหลักสงสารแสงเป็นที่สุด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
« ตอบ #159 เมื่อ: 17-07-2019 10:53:42 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
«ตอบ #160 เมื่อ17-07-2019 11:35:12 »

 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
«ตอบ #161 เมื่อ17-07-2019 12:07:20 »

พลีสกลับมาละ ข้าวปั้นและสองพี่น้องจะไปแบบไหนต่อ แล้วแสงไปเกิดละหรอ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
«ตอบ #162 เมื่อ17-07-2019 21:10:23 »

 :katai1:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
«ตอบ #163 เมื่อ17-07-2019 21:26:49 »

 :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
«ตอบ #164 เมื่อ17-07-2019 22:52:00 »

เอ้ายังไงนี่ จะยังไงกันลุ้นไปหมด แสงหายไปไหนแล้ว

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
«ตอบ #165 เมื่อ18-07-2019 22:05:04 »

ลุ้นทั้งพลีสทั้งพี่แสง

ออฟไลน์ lalilali

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
«ตอบ #166 เมื่อ18-07-2019 22:08:44 »

สนุกมากกกกก รอตอนต่อไปนะคะ
 o13

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
«ตอบ #167 เมื่อ18-07-2019 22:32:54 »

 :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
«ตอบ #168 เมื่อ19-07-2019 21:12:31 »

ดีใจที่พลีสได้กลับมา มาเริ่มต้นใหม่
ถึงตอนนี้จะลืมอะไรไปช่วงที่แสงมาแทน
แต่ถ้าพลีสจำได้ขึ้นมาบ้าง ก็อย่าสับสนมากนะ
และอยากให้ความเป็นแสง ช่วยให้พลีสเข้มแข็งขึ้น
ปกป้องและดูแลตัวเองได้เยอะขึ้น

เป็นกำลังใจให้น้องพลีสนะคะ และสำหรับปั้น
คงไม่ได้มาหลอกกันใช่ไหม เหมือนที่เคยทำ

แสงหายไปไหนคะ ถ้าพลีสกลับมาแบบนี้

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
«ตอบ #169 เมื่อ20-07-2019 00:00:34 »

สงสารแสงงะ สงสารตามด้วย อยากให้เขากลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่จะทำไงได้ ฮืออออ :ling3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
« ตอบ #169 เมื่อ: 20-07-2019 00:00:34 »





ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
«ตอบ #170 เมื่อ20-07-2019 17:11:04 »

สนุกมว๊าก ซับซ้อน แต่เข้าใจ สงสารน้องพลีส เราอยากรู้ คนร้ายที่แทงน้องแสงเทียน โดนจับเข้าคุกรึเปล่า คนร้ายใจคออำมหิต แทงน้องแสงตาย ยังกล้าข่มขืนน้องพลีสอีก

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
«ตอบ #171 เมื่อ23-07-2019 23:55:55 »

ตอนที่ 14
รู้สึกผิดหากจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

 

วันนี้ฝนตกหนักหน่อยจึงไปรับผมที่โรงเรียน กลับมาที่บ้านหลังเลิกเรียนทันทีวันนี้ก็เลยไม่มีอะไรทำ นั่งกอดมันแกวที่นอนนิ่งอยู่บนตักที่โซฟาห้องนั่งเล่น มองดูพายุฝนที่ยังกระหน่ำตกผ่านผนังกระจกบานใหญ่ฝั่งหนึ่งของบ้าน นอกจากเสียงฝน ก็มีแต่ความเงียบซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติของบ้านหลังนี้ ผมเคยสงสัยว่าทำไมบ้านเราต้องมีโซฟาขนาดใหญ่ที่นั่งได้เป็นสิบคน ทำไมต้องมีทีวีจอยักษ์แต่ไม่เคยเปิดดู ทำไมต้องมีโต๊ะกินข้าวหรูๆ ทั้งๆ ที่เราไม่เคยกินข้าวพร้อมกัน พ่อเป็นคนออกแบบและตกแต่งบ้านหลังนี้ด้วยอาชีพสถาปนิกของพ่อ แต่ไม่เคยเห็นพ่อใช้งานส่วนอื่นของบ้านนอกจากห้องทำงานของตัวเอง ส่วนแม่ก็ใช้เวลาอยู่ที่บริษัทมากกว่าที่บ้านด้วยซ้ำ หลายครั้งผมคิด บ้านเราหลังใหญ่เกินไป ใหญ่เกินกว่าที่คนตัวเล็กๆ อย่างผมจะอาศัยอยู่ มันก็เลยไม่อบอุ่น

"โฮ่ง!"

ผมเผลอตกใจนิดหนึ่งตอนที่มันแกวกระโดดออกจากตักแล้วเห่าเสียงดังหลังจากได้ยินเสียงรถเข้ามาจอด ผมเดินตามมันแกวไปหน้าบ้านจึงเห็นว่าแม่กลับมาแล้ว เหลือบตาดูนาฬิกาที่ผนังแล้วแปลกใจนิดหน่อยที่แม่กลับบ้านเร็วได้ด้วย

"พลีส ช่วยแม่หน่อยลูก"

ผมถูกเรียกให้ไปช่วยหยิบของที่หลังรถ แม่ซื้ออาหารสำหรับมื้อเย็นเข้ามาด้วย เยอะแยะจนผมคิดว่าจะมีใครมาที่บ้าน

"คุณตาจะมาเหรอครับ"

"เปล่าจ้ะ"

"แล้วทำไมถึงซื้อมาเยอะ"

"ของชอบพลีสทั้งนั้นเลย หยิบมาเร็วลูก เดี๋ยวเปียกฝน"

ผมรวบถุงทั้งหมดนั่นแล้วเดินเข้าบ้านตามแม่ไป  วางอาหารลงบนโต๊ะกินข้าวตัวยาว หน่อยออกมาพอดีจึงจัดการอาหารพวกนั้นใส่จานพร้อมสำหรับมื้อเย็น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นของที่ผมชอบก็จริง แต่ปริมาณอาหารจำนวนนั้นมันมากเกินกว่าที่เราจะกินกันหมดอยู่แล้ว ตอนที่แม่ซื้อ ไม่ได้รู้สึกว่ามันมากไปหน่อยเหรอ

"พลีส ไปตามพ่อมากินข้าวสิ"

ผมพยักหน้ารับแล้วเดินไปยังห้องทำงานของพ่อ ไม่คาดหวังว่าพ่อจะออกมากินข้าวด้วย เพราะทุกครั้งพ่อก็เอาแต่บอกว่าขอทำงานให้เสร็จก่อน แต่คราวนี้กลับไม่เหมือนกัน ทันทีที่ผมไปเรียก พ่อก็รีบลุกจากโต๊ะทำงาน ละทุกอย่างแล้วเดินออกมานั่งที่โต๊ะกินข้าวพร้อมกัน

ไม่ชินเลยแฮะ


"หน่อย ยืนทำอะไรอยู่ มากินด้วยกัน"

"ไม่เป็นไรค่ะ ทานเถอะค่ะ อยากได้อะไรเรียกหน่อยค่ะ"

"ไม่อยากได้อะไรแล้ว มานั่งกินด้วยกัน" คำชักชวนเชิงสั่งของแม่ทำให้หน่อยต้องพยักหน้ารับแล้วตรงเข้ามานั่งข้างๆ ผม ก่อนที่มื้ออาหารในวันธรรมดาที่ดูพิเศษจะเริ่มต้น

"น้องพลีส ทานไก่ไหมคะ"

ผมพยักหน้ารับเมื่อถูกนำเสนอด้วยของโปรด หน่อยจึงตักน่องไก่ชิ้นใหญ่หนึ่งชิ้นวางลงบนจานของผม ผมมองหน้าหน่อย ขณะที่หน่อยก็มองหน้าผมงงๆ

"มีอะไรหรือเปล่าคะน้องพลีส"

"ไม่ฉีกให้แล้วเหรอ"

"ก็คราวก่อนน้องพลีสบอกว่าไม่ให้หน่อยทำให้อีก"

"พลีสเหรอ?"

หน่อยพยักหน้ารับ ขณะที่ผมก็ย้อนคิด จำไม่ได้อีกแล้วสินะ...เรื่องคราวก่อน

"โตแล้วก็ทำเองสิลูก"

"ก็ไม่ใช่ว่าจะทำเองไม่ได้ แต่หน่อยทำให้จนเคยตัว อยู่ดีๆ ไม่ทำให้ก็เลยสงสัย"

"..."

"หน่อยไม่รักพลีสแล้วเหรอ"

"ไม่ใช่นะคะ! มาค่ะ เดี๋ยวหน่อยทำให้!"

ผมหลุดหัวเราะตอนที่หน่อยโวยเสียงดังหลังจากที่ผมเพิ่งจะล้อเล่น ซ้ำยังรีบหยิบไก่ชิ้นนั้นไปเพื่อจะฉีกให้ แต่ผมรีบชิงคืนมาก่อน

"พลีสล้อเล่น พลีสทำเอง"

"หน่อยทำให้ค่ะ!"

"ไม่เป็นไร พลีสทำเอง"

ผมจัดการไก่น่องนั้นด้วยตัวเอง ขณะที่ทั้งพ่อกับแม่และหน่อยก็นั่งกินข้าวพร้อมกับพูดคุยไปด้วย แน่นอนว่าพ่อกับแม่ยังคงมีเรื่องให้ถกเถียงกันตลอดเวลาที่มีบทสนทนา

"กินเยอะๆ เลยพลีส ตัวจะได้โตๆ อายุยี่สิบแล้วทำไมถึงได้ตัวเล็กนักนะเรา"

ผมแอบชำเลืองมองพ่อด้วยความเคืองเล็กๆ ผมก็โกรธร่างกายของตัวเองเหมือนกันแหละ อย่างกับมันหยุดการเจริญเติบโตตั้งแต่ม.ต้น ตัวเล็กแถมผอมบาง เลยโดนแกล้งเอาง่ายๆ เป็นไปได้ก็อยากจะตัวใหญ่ๆ มีแรงเยอะๆ เอาไว้เตะบอลกับเพื่อนอยู่เหมือนกันแหละ

"ลูกคงเหมือนคุณมากไปหน่อย ถ้าเหมือนผมน่าจะดีกว่านี้"

"นี่! เรื่องส่วนสูงของลูกก็มาโทษว่าเป็นความผิดฉันงั้นเหรอ"

"ก็ดูคุณสิ ตัวเล็กนิดเดียว"

"แล้วตัวเล็กมันผิดตรงไหน ลูกเป็นแบบนี้ก็น่ารักดีจะตาย"

"ก็น่ารักอยู่หรอก แต่ถ้าสูงกว่านี้สักหน่อยก็น่าจะดี"

"ก็ถ้าคุณสูงมากนักทำไมไม่ลองแบ่งความสูงให้ลูกสักครึ่งหนึ่งล่ะ"

"นี่คุณ..."

"พอเถอะครับ เถียงกันไปก็ใช่ว่าผมจะสูงขึ้นสักหน่อย"

ทั้งพ่อและแม่เงียบไปหลังจากผมห้าม ไม่รู้ว่าจะทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องทำไม ผมทำได้แค่ถอนหายใจเบาๆ แล้วคิดที่จะปล่อยผ่านเพราะความเคยชิน แต่กลับต้องแปลกใจเมื่อพ่อกับแม่เอ่ยบางคำออกมาพร้อมกัน

"ขอโทษนะลูก"

"ขอโทษ?"

"พลีสเคยขอร้องไม่ให้พ่อกับแม่ทะเลาะกันอีก"

"..."

"เพราะคราวก่อนที่พลีสพูดแบบนั้นเราก็เลยมาคิดได้ว่าที่ผ่านมาพ่อกับแม่คงทำหน้าที่ของตัวเองได้แย่มากๆ"

"..."

"มีหลายอย่างที่เราต้องแก้ไข มันคงต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่พ่อกับแม่สัญญา ว่าจะไม่ทำร้ายลูกอีกเลย"

"อยู่ดีๆ มาพูดอะไรแบบนี้"

"นั่นสิ เขินจัง"

ใต้รอยยิ้มแก้เขินของแม่ ผมกลับมองเห็นน้ำตาที่คลออยู่ในแววตาคู่นั้น ไม่มีสักครั้งที่ผมจะเห็นแม่ร้องไห้ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่คราวนี้แม่ทำผมตกใจจริงๆ จนผมเองก็ทำตัวไม่ถูก ผมไม่รู้หรอกว่าคราวก่อนผมบอกอะไรกับพ่อแม่ไปอย่างนั้น จริงอยู่ที่ผมไม่ต้องการให้พ่อกับแม่ทะเลาะกันต่อหน้าผม แต่กลับไม่เคยพูดอะไรจนมันกลายเป็นความในใจที่เก็บเงียบเอาไว้คนเดียวมาหลายปี แต่อยู่ดีๆ มันก็ออกจากปากผมไปโดยที่ผมไม่รู้และจำอะไรไม่ได้เลย

 ในตอนนี้ความเงียบทำให้เราต่างคนต่างอึดอัดได้แต่มองหน้ากันไปมา แล้วพากันเบือนหน้าหนีการสบตา กระทั่งเสียงของพ่อทำลายความอึดอัดเหล่านั้น

"แต่ผมรักคุณนะ"

แม่หันขวับมองหน้าพ่ออย่างตกใจ ทั้งผมและหน่อยก็เผลอส่งเสียงร้องอย่างประหลาดใจออกมาพร้อมกัน คนที่ไม่เอาไหนเรื่องการแสดงออกอย่างพ่อก็ได้แต่ยักไหล่หน่อยๆ แล้วตักอาหารใส่ปากไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนแม่และเราจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วกินข้าวต่อ ผมหันมองหน่อยที่เอาแต่ยิ้มกว้าง นี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่านะที่ผมได้นั่งกินข้าวกับหน่อย เลื่อนสายตาไปมองพ่อกับแม่ที่เปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นเรื่องงาน ถึงอย่างนั้นวันนี้อาจจะเป็นวันแรกที่โต๊ะกินข้าวได้ทำหน้าที่ของมันอย่างดีที่สุด ขณะที่พ่อกับแม่อาจกำลังพยายามที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดีกว่าเดิม และผมเองก็อาจจะต้องพยายามเป็นผม...ที่ดีกว่านี้เช่นกัน

 

ผมขึ้นมาที่ห้องนอนหลังจากจบมื้อเย็น อาบน้ำเสร็จก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีการบ้านนิดหน่อยที่ต้องทำจึงจัดการให้เรียบร้อย ผมไม่ชอบดูทีวี ไม่เล่นเกม ไม่เล่นโซเชียล ไม่มีเพื่อนให้พูดคุยด้วย ชีวิตของผมจึงเรียบง่ายเกินไปจนเหลือเวลาว่างมากมายโดยที่ไม่มีอะไรทำ

ผมดึงลิ้นชักตั้งใจจะหยิบหนังสือมาอ่านบทเรียนล่วงหน้า แต่สายตามองไปเห็นไดอารี่ที่อยู่ในนั้นด้วยจึงหยิบออกมาดู ขณะเดียวกันกระดาษแผ่นหนึ่งที่คล้ายว่าจะถูกซุกซ่อนอยู่ในนั้นก็ติดออกมาด้วย เป็นกระดาษคำตอบวิชาคณิตที่ถูกขีดด้วยปากกาสีแดงแจ้งคะแนนเป็นศูนย์

ได้ศูนย์จริงๆ ด้วยแฮะ

ถ้าแม่เห็นคงบ้านแตก ผมจึงเข้าใจว่าทำไมมันถูกซ่อนอยู่ในนั้น จัดการเก็บมันเอาไว้ที่เดิมแล้วหันมาสนใจไดอารี่เล่มสีดำ ด้วยไม่มีที่พึ่งใดให้ผมได้ระบายความรู้สึกของตัวเอง ผมจึงมักจะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้กับสมุดเล่มนี้ได้ฟัง ขีดเขียนบางอย่างลงไปคล้ายเป็นการระบายเรื่องที่อึดอัดอยู่ในใจ มันช่วยผมได้ดี

ผมเปิดผ่านๆ ไปยังหน้าสุดท้ายที่เขียนค้างเอาไว้ ก่อนต้องแปลกใจเมื่อมองไปเห็นข้อความอีกหน้าหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเขียนเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหน

 

จงใช้ชีวิตให้ดี
ไม่ต้องหนี ไม่มีอะไรต้องกลัว
ต้องมีความสุขมากๆ นะ
พลีสคนเก่ง


 

ก็เหมือนว่าจะเป็นลายมือของตัวเอง แต่กลับไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนเขียนเลย ไม่มีภาพความทรงจำในส่วนนั้น แต่เพราะหลายๆ สิ่งที่เจอมาในช่วงนี้มันสร้างความแปลกใจให้ผมอยู่ตลอดเวลา หนึ่งเดือนที่ผ่านมาผมอาจกลายเป็นคนละคน และข้อความเหล่านี้ก็คงจะเป็นสิ่งที่ผมพยายามที่จะให้กำลังใจตัวเองอยู่ก็เป็นได้

ผมพับเก็บสมุดเล่มนั้นเอาไว้ที่เดิม แล้วเดินไปทิ้งตัวลงบนที่นอน พลันคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่ในหัว แม้อยากหาคำตอบมากมายให้ตัวเองขนาดไหนแต่สุดท้ายแล้วก็ไร้ซึ่งคำอธิบาย พระเจ้าคงต้องการให้เป็นเช่นนั้น ในทุกๆ อย่างที่มันกำลังเปลี่ยนไป ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี จึงได้แต่หวังว่าความคลาแคลงใจที่มีจะค่อยๆ เลือนหายไปในสักวัน 

 

...

 

สำหรับที่โรงเรียน สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมคือการที่ผมยังคงไม่มีเพื่อน สิ่งนี้คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้เพราะเหตุผลหลายๆ อย่าง แต่ถึงแม้จะไม่มีคนคุยด้วย แม้ว่าปั้นจะยังเป็นตัวการในการคอยแกล้งผมเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกโกรธเคืองหรือเกลียดชังนั้นไม่มีอยู่แล้ว

หลังจบคาบสุดท้ายในวิชาคอมพิวเตอร์ ผมกับปั้นเป็นสองคนสุดท้ายที่ออกมาจากห้องเพราะครูเพิ่งตรวจงานของเราสองคนเสร็จ ในตอนที่กำลังจะเดินออกจากประตู ปั้นก็เดินเข้ามาแทรกจนผมเซไปชนกับขอบประตู

"เจ็บนะ"

"เอาคืนดิ"

ผมได้แค่ทำหน้าบูดบึ้งใส่ตอนที่ปั้นพูดอย่างกวนๆ ก็คงรู้อยู่แล้วว่าผมไม่มีทางเอาคืนจึงกล้าพูดออกมาเช่นนั้น ผมละความสนใจจากปั้น มองหารองเท้าที่ถอดเอาไว้หน้าห้องแต่กลับเหลืออยู่เพียงคู่เดียวและมันไม่ใช่ของผม กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนหันไปมองหน้าปั้น ปั้นเคยแกล้งผมด้วยการเอารองเท้าไปซ่อนอยู่ครั้งหนึ่ง เดาไม่ผิด คราวนี้ก็คงจะเป็นฝีมือเด็กบ้านี่แน่ๆ 

"มองอะไร"

"รองเท้าหาย"

"กูไม่ได้ทำนะ"

"เด็กอนุบาลยังเลิกแกล้งกันด้วยวิธีนี้เลย อยู่ไหน เอาคืนมา"

"ไม่รู้! ไม่เกี่ยวกับกูนะเว้ย กูก็เดินออกมาพร้อมมึงเนี่ย ใครใส่ผิดไปหรือเปล่า หรือมึงไปถอดไว้ที่ไหนแล้วจำผิด"

"จำไม่ผิด ถอดไว้ตรงนี้"

ด้วยท่าทางของปั้นที่ช่วยผมเดินหา ทำให้ผมเชื่อว่าเขาไม่ได้เป็นคนเอาไปจริงๆ หากมีคนใส่สลับไปก็น่าจะเหลืออีกคู่เอาไว้ให้ผมใส่กลับบ้านแต่ตอนนี้ไม่มีเลย ผมจึงต้องเดินออกมาจากห้องเรียนด้วยถุงเท้าเปล่าๆ อย่างนั้น

"มึงจะกลับบ้านอย่างนี้เหรอ"

"แล้วจะให้ทำยังไง"

ปั้นถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเรียกให้ผมเดินตาม

"มานี่ดิ"

"ไปไหน"

"มาเถอะน่า"

"จะพาไปหารองเท้าเหรอ"

อีกคนไม่ตอบอะไร ได้แต่เรียกให้ผมเดินตามไปยังลานจอดรถ ในระหว่างทางเราเดินสวนกับกลุ่มผู้หญิงสองสามคน ผมหันมองปั้นที่แสดงท่าทางพิรุธ พลางยกกระเป๋าขึ้นปิดบังใบหน้าแล้วรีบก้าวเท้าเร็วๆ คล้ายว่ากำลังหลบหน้าผู้หญิงกลุ่มนั้น

"ใครเหรอ"

"มะนาวไง"

ไม่รู้หรอกว่ามะนาวไหน แต่ที่สงสัยคือทำไมต้องหลบหน้าราวกับว่าไปทำอะไรผิดเอาไว้

"แล้วทำไมต้องหลบด้วย"

"กูไม่กล้าสู้หน้ามะนาว เพราะมึงไง!"

งงกว่าเดิมเมื่อถูกโยนความผิดมาให้ แต่ก็ไม่อาจจะเถียงเพราะไม่รู้ว่าไปทำวีรกรรมอะไรเอาไว้หรือเปล่า ไม่ต้องถาม ปั้นก็พูดมันออกมาคล้ายว่าจะด่ากันอยู่กลายๆ

"มึงอะเสือกไปบอกว่าเป็นแฟนกับกู มองหน้ามะนาวไม่ติดเลยเนี่ย อายไปยันชาติหน้า"

"เราเนี่ยนะ"

"มึงเนี่ยแหละ!" โต้ตอบอย่างรวดเร็วก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากผมจนเกือบหน้าหงาย ผมได้แต่ทำหน้ายุ่ง ยกกำปั้นทำท่าจะโต้ตอบ แต่ถูกคนที่ตัวสูงกว่าชี้หน้าเป็นเชิงคาดโทษซ้ำยังทำหน้าตาโหดๆ ใส่ผมจึงต้องลดมือตัวเองลงช้าๆ ไม่กล้าสู้แล้ว

"หรือจริงๆ มึงชอบกูวะ"

"จะบ้าเหรอ"

"ชอบกูล่ะสิ ฮะ หวั่นไหวเหรอ"

"ไม่"  ผมได้แต่ปฏิเสธ ก้าวเท้าเร็วๆ เดินนำปั้นออกไปก่อน แต่ในขณะที่กำลังเดินหนีคนที่เอาแต่แกล้งอยู่นั้น บอลลูกหนึ่งที่พุ่งมาด้วยความเร็วจากทิศทางไหนก็ไม่รู้ อัดเข้าที่หน้าพอดิบพอดีจนผมล้มตึงไปกับพื้น

 

"เปรี้ยง!"

 

"ไอ้พลีส!"

เสียงของปั้นลอยทะลุประสาทการรับรู้ที่ดูจะดับวูบไปชั่วขณะ ร่างที่ล้มลงกับพื้นแน่นิ่งขยับไม่ได้ แต่ในสมองของผมกำลังเคลื่อนไหวด้วยภาพความทรงจำสลับทับซ้อนไม่เป็นเรื่องราว

 

"ไม่เคยเห็นพลีสลงมากินข้าวเลย วันนี้คิดยังไงถึงลงมากินข้าว"
"ไอ้พลีส! มึงตบกูทำไมเนี่ย!"
"ทำไมเดี๋ยวนี้มึงขี้เถียงจังวะ ผีเข้าแล้วไม่ยอมออกเหรอ"
"มึงหยุดเลยนะไอ้พลีส!"
"รีบกลับบ้านนะข้าวปั้น คุณแม่รออยู่"
"เลิกกวนตีนกูได้แล้ว"
"ได้ครับข้าวปั้น"


 

"พลีส! ไอ้พลีส!"

สติผมกลับมาตอนที่ถูกปั้นตบหน้าเบาๆ กระพริบตาถี่มองคนตรงหน้าที่กำลังแสดงท่าทางร้อนรน แต่พลันคิดไปถึงภาพความทรงจำเมื่อครู่แล้วผมกลับหลุดหัวเราะออกมาซะอย่างนั้น

"หึ!"

"มึงหัวเราะอะไรเนี่ย"

"ข้าวปั้น"

"อะไร!"

"ปั้น ชื่อจริงๆ คือข้าวปั้นเหรอ"

"มึงก็รู้อยู่แล้วนี่ จะขำห่าอะไรล่ะ!"

เม้มริมฝีปากกลั้นหัวเราะแต่เอาไม่อยู่ ใครจะรู้ว่าเด็กอันธพาลขี้โกงนั่นมีชื่อเล่นน่ารักขนาดนั้น เจ้าของชื่อขมวดคิ้วแน่นไม่เล่นด้วย

"มึงเป็นอะไรไหมเนี่ย นิ่งไปเลยคิดว่าตาย หัวกบาลแตกไปแล้วมั้ง"

"ไม่เป็นไร"

"กูแตะตัวมึงได้ไหมเนี่ย จะได้ช่วย"

"ไม่เป็นไร" ผมบอกซ้ำอีกทีแล้วยันตัวขึ้นมาเอง ขณะที่ปั้นก็ลดมือที่หวังจะยื่นเข้ามาช่วยลงไปช้าๆ ก้มเก็บบอลลูกนั้นโยนคืนให้เจ้าของแล้วตะโกนด่าตามนิสัย

"เล่นระวังหน่อยดิวะ ทำคนอื่นเขาเจ็บตัวเห็นไหมเนี่ย"

"ขอโทษครับพี่"

ผมโบกมือปัดๆ เป็นเชิงว่าไม่เป็นอะไร ก่อนที่เราจะเดินมาถึงลานจอดรถ ผมมองปั้นจากด้านหลังแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาอีกทีเมื่อนึกไปถึงชื่อเล่นจริงๆ ของเขา ไม่รู้ว่าตลกอะไร แต่ขำไม่หยุดจนถูกอีกฝ่ายหันมายกมือตีหน้าผากเบาๆ

"ขำห่าอะไรนักหนา ขึ้นมา!" ประโยคหลังหันมาสั่งในตอนที่ตัวเองก้าวขึ้นไปบนมอเตอร์ไซค์ ผมยืนเก้ๆ กังๆ อย่างงงๆ 

"ไหนบอกว่าจะพาไปหารองเท้าไง"

"ก็ขึ้นมาดิ!"

ว่าง่ายโดยไม่ได้ถามต่อ ผมขึ้นไปซ้อนมอเตอร์ไซค์ของปั้นทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะถูกพาไปไหนด้วยซ้ำ ขับมาไม่เกินสิบนาที ปั้นก็จอดรถที่หน้าร้านขายรองเท้า จึงเข้าใจคำว่าพามาหาร้องเท้าที่พูดถึง

"เนี่ยนะ พามาหารองเท้า"

"เออ มึงเข้าไปเลือกเอาเลย"

ผมได้แต่พยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปซื้อรองเท้านักเรียนแบบเดิมในเวลาไม่นาน เดินออกมาหน้าร้านก็เห็นปั้นรออยู่ที่เดิม

"คิดว่าไปแล้วซะอีก"

"ไปก่อนเดี๋ยวก็หาว่าไม่รอ ขึ้นมาดิ กูไปส่งบ้าน"

"ยังไม่กลับบ้าน"

"อ้าว เถลไถลนะมึงเนี่ย จะไปไหน"

"เรามีนัดที่คลินิกทำฟัน"

ปั้นไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรต่อ แล้วอาสามาส่งผมที่คลินิกของพี่ต่อด้วยเข้าใจว่าผมจะมาทำฟัน ผมเองก็ไม่ได้อธิบายเพราะคิดว่าปั้นไม่ต้องรู้ก็ได้ว่าจริงๆ แล้วแค่มีนัดกับพี่ต่อมาติวเลข ติวแบบปลอมๆ ด้วยซ้ำไป

ผมเดินเข้าไปในคลินิก ในตอนนั้นก็เห็นพี่ต่อยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์ มือข้างหนึ่งถึงแก้วกาแฟ อีกข้างเท้ากับเคาน์เตอร์ ใบหน้าเรียบตึงดูบูดบึ้งแปลกๆ กำลังมองผมอยู่

"สวัสดีครับ"

ยักคิ้วตอบรับการทักทายของผม ทั้งๆ ที่ปกติต้องรับไหว้ผมดีๆ แต่วันนี้บรรยากาศประหลาดสุดๆ ผมเองก็ได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เขาวางแก้วกาแฟลงบนเคาน์เตอร์ ก้าวเท้าเข้ามาหาผมที่กำลังถอยหลังจนติดกำแพงแล้วก็หย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ในคลินิก เงยหน้ามองพี่ต่อที่ถามเสียงแข็ง

"ใครมาส่งน้อง"

"เพื่อนที่โรงเรียนครับ"

"แล้วซ้อนมอเตอร์ไซค์ทำไมไม่ใส่หมวกกันน็อก"

"ครับ?"

"ไม่รู้เหรอว่ามันอันตราย แล้วใครใช้ให้ไปซ้อนมอเตอร์ไซค์คนอื่น ฮะ?"

"นี่พี่กำลัง..."

"หึงอะไร! ไม่ได้หึง! แต่ถามถึงความปลอดภัยเฉยๆ"

"ผมยังไม่ได้บอกว่าพี่หึงเลย"

"ฮะ? อ้าวเหรอ? พี่ร้อนตัวเหรอ?"

ผมพยักหน้าเบาๆ กับท่าทางประหลาดของพี่ต่อ เพิ่งเคยเห็นคุณหมอที่ดูเรียบร้อยและใจดีโมโหควันออกหูแบบนี้ด้วยความหึง ว่าแต่หึงเหรอ

บ้าไปแล้ว...บ้าไปแล้ว...

"ไปติวเลขกันดีกว่า" อีกคนเปลี่ยนเรื่องไปทันควัน แล้วเดินนำผมเข้าไปในห้องพัก ผมกวาดตามองห้องขนาดเล็กแต่ไม่ได้อึดอัดจนเกินไป ในห้องมีเอกสารที่เดาว่าเป็นข้อมูลของคนไข้ของคลินิกถูกวางอย่างเป็นระเบียบ เสื้อกาวน์ถูกแขวนเอาไว้บนราวสีขาวสะอาด ข้างๆ กันมีโต๊ะเล็กๆ ที่มุมห้อง มีหนังสือเล่มหนาหน้าปกเป็นภาษาอังกฤษและก้านไม้น้ำหอมที่ส่งกลิ่นหอมจางๆ วางตกแต่งอยู่ กลางห้องมีโต๊ะตัวยาวและเก้าอี้ที่สองตัวตั้งอยู่บนพรมสีเทาอ่อนๆ

ผมถูกบอกให้นั่งลงที่เก้าอี้ตัวนั้น ขณะที่พี่ต่อดึงเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้างๆ แทนที่มันจะอยู่ตรงข้ามกันอย่างที่มันเคยอยู่ แต่ในเมื่อสถานการณ์พลิกผันมาเป็นเช่นนี้ ผมได้แต่คิด จะเอาตัวรอดจากความใกล้ชิดนี้ไปได้อย่างไร

ทันทีที่พี่ต่อนั่งลง ผมขยับเก้าอี้ตัวเองหนีออกมานิดหนึ่งแล้วแกล้งถามอย่างอื่นเพื่อเปลี่ยนแปลงความสนใจ

"ทำไมไม่มีคนอยู่เลยล่ะครับ"

"พี่ปิดคลินิกแล้ว"

"แต่ปกติแล้วยังไม่ถึงเวลา..."

"เคลียร์คนไข้ทั้งอำเภอ เพื่อรอเธอคนเดียวเลยรู้ไหม"

"ครับ?"

พี่ต่อหัวเราะกลบเกลื่อนมุกตลกของตัวเองจนผมไม่กล้าถามอะไรต่อ คนที่ดูดีจนคล้ายว่ามีคำว่าเพอร์เฟคติดอยู่บนหน้าผากก็มีมุมติ๊งต๊องอยู่บ้าง เช่นการหัวเราะให้กับมุกแป้กของตัวเองอย่างเมื่อครู่

น่ารักใช่ไหม...ใช่...น่ารักมากๆ   

พี่ต่อเริ่มติวเลขให้ผมด้วยการอธิบายโจทย์จากการบ้านที่ผมได้มา แน่นอนว่าผมทำได้อยู่แล้ว แต่ด้วยเสียงนุ่มๆ และความตั้งใจจะที่อธิบายสิ่งเหล่านั้นให้ผมฟัง มันทำให้ผมไม่กล้าที่จะโต้เถียงอะไร แม้รู้สึกผิดอยู่ในใจบ้างที่โกหกเขาว่าไม่เข้าใจ แต่ความเห็นแก่ตัวมันก็เอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้วเรียบร้อย 

"น้องลองทำข้อนี้ดูสิ เหมือนข้อเมื่อกี้ที่พี่อธิบายเลย"

"ได้ครับ" ผมรับคำ แล้วลงมือทำโจทย์ข้อนั้น ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะทำโจทย์ข้อนั้นแต่สมาธิถูกตีกระเจิงเพราะรู้ตัวว่ากำลังถูกมอง เหลือบตาขึ้นไปสบตา พี่ต่อก็ไม่ยอมหลบตา เอาแต่มองผมอยู่อย่างนั้น

"พี่...มองอะไรเหรอครับ"

"เพื่อนคนนั้นเขาไม่ได้ชอบน้องใช่ไหม"

"คนไหนครับ"

"คนที่มาส่งไง"

"ไม่ใช่ซะหน่อย" ผมเถียง พลางได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ไม่เข้าใจสักนิดว่าพี่ต่อจะติดใจอะไรกับเรื่องเล็กๆ นั่น อยากให้พี่ต่อได้รับรู้เอาไว้ นอกจากปั้นจะไม่ชอบผมแล้ว ยังเกลียดผมด้วยซ้ำไป

"ใครจะไปรู้ เขาอาจจะชอบน้องก็ได้"

"ใครจะมาชอบผมล่ะครับ ขนาดผมยังไม่ชอบตัวเองเลย"

"มีอยู่คนหนึ่งนะ"

"ครับ?"

"คนที่หล่อๆ"

"..."

"เป็นหมอฟันด้วย"

"..."

"ว้า...เขินอะ" พี่ต่อพูดยิ้มๆ แล้วฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ ทิ้งผมให้นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น คนที่ควรจะเขิน...คือผมไม่ใช่เหรอครับ พี่ต่อเล่นเขินตัดหน้าไปแล้วผมก็ทำได้แค่กระพริบตาปริบๆ สภาวะหัวใจตอนนี้น่ะเหรอ อย่าให้พูดถึงเลย หากว่ามันระเบิดได้คงคล้ายว่าจะเป็นปรมาณู

พี่ต่อยังคงติวเลขให้ผมต่อ ถึงแม้ว่าจะเข้าใจอยู่แล้ว แต่บางข้อที่พี่ต่อทำให้ดูด้วยวิธีที่ต่างไป มันทำให้ผมได้ความรู้ใหม่ขึ้นมาจริงๆ มีเทคนิคง่ายและวิธีคิดที่รวดเร็วกว่าจึงน่าสนใจ กลายเป็นผมที่ร้องขอให้เขาทำให้ดูแทบจะทุกข้อจนโดนดุให้ทำเองบ้าง และหลังจากอธิบายไปหมด พี่ต่อจึงปล่อยให้ผมนั่งทำโจทย์พวกนั้นต่อด้วยตัวเอง มาถึงข้อที่ดูเหมือนว่าผมจะไม่เข้าใจจริงๆ จึงตั้งใจจะหันไปถาม

"พี่ต่อครับ ข้อนี้..."

คำพูดหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าพี่ต่อกำลังหลับตานอนอยู่ข้างๆ นิ่งสนิทดูเหมือนว่าจะหลับจริงๆ ผมค่อยๆ วางดินสอเบาๆ หันมองหน้าพี่ต่อชัดๆ จนรู้ตัวอีกทีผมก็ใช้เวลาเนิ่นนานที่ปล่อยให้สายตาตัวเองมองดูความงดงามของใบหน้านั้นโดยไม่ละสายตาไปไหนเลย ผมถือวิสาสะยกมือตัวเองขึ้นแตะใบหน้าของพี่ต่อเบาๆ ไล่ปลายนิ้วไปจากริมฝีปากไปยังข้างแก้ม ย้ำให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่ความฝัน

พี่ต่ออยู่ตรงนี้...จริงๆ ด้วย

ไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าผมจะได้ใกล้ชิดกับเขาขนาดนี้ หัวใจผมถูกปิดสนิทราวกับไม่คิดจะรู้จักความรักอีกเลย แต่มันกลับเปิดเผยและยอมรับจนไม่อาจปฏิเสธว่าผมรู้สึกดีกับพี่ต่อมากมายขนาดไหน

 

"ฟึ่บ"

 

ผมเผลอตกใจเบิกตากว้างเมื่อดวงตาคู่นั้นของพี่ต่อลืมขึ้นในขณะที่มือของผมก็ถูกจับเอาไว้ คล้ายเป็นโจรถูกจับได้ตอนที่แอบขโมยอะไรบางอย่าง พี่ต่อยกมุมปากขึ้นยิ้ม วางมือของผมลงบนโต๊ะแล้วกุมเอาไว้อย่างนั้น ก่อนเอ่ยปากถามเบาๆ

"พี่จับมือน้องได้ไหม"

"..."

"แค่จับมือได้ไหม"

ผมไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่ในขณะเดียวกันผมว่าพี่ต่อคงรู้แล้วว่าผมรู้สึกอย่างไร เมื่อจิตใจมุ่งไปโฟกัสกับการแตะเนื้อต้องตัว อาการเหล่านั้นก็เกิดขึ้นอีกแล้วซ้ำๆ แม้ร่างกายและมือข้างนั้นจะนิ่งไม่ขยับ แต่หัวใจกลับไม่เป็นเช่นนั้น  มันกำลังเต้นโครมคราม คล้ายปะทุความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายแล้วพี่ต่อก็เป็นคนปล่อยมือผมออกเอง

 

"ขวับ!"


 

แต่กลายเป็นผมที่คว้ามือพี่ต่อเอาไว้แล้วจับแน่น

"ขอโทษครับ แต่ผมไม่อยากปล่อยมือพี่เลย"

พี่ต่อยิ้มให้ผมอีกครั้ง  ก่อนจะดึงมือของตัวเองออกไปจนเหลือแต่นิ้วก้อยที่ยังสัมผัสกันอยู่ พี่ต่อใช้นิ้วนั้นเกี่ยวกับนิ้วของผมเอาไว้

"แค่นี้ก็พอ"

"..."

"ไม่ต้องรีบก็ได้"

"..."

"ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปนะ"

ผมมองสองนิ้วของเราที่แตะต้องกันอยู่ เป็นเวลาเนิ่นนานที่สองมือของเรายังค้างอยู่ในสภาพนั้น ความใกล้ชิดทั้งหมดที่มีทำให้ความกลัวของผมค่อยๆ เลือนหายขณะที่หัวใจก็ค่อยๆ สงบลง ราวกับร่างกายอนุญาตให้เราสัมผัสกันได้แค่นั้น...แต่ก็เพียงพอ

มันเกือบจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราได้ใกล้ชิดกันแล้ว แม้ผมจะไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกที่มีต่อเขาได้เลยก็ตาม แต่ขณะเดียวกันนั้นผมก็มีคำถามที่แน่นอนว่าไม่มีวันจะมองข้ามไปได้เลย ไม่อาจลืมว่าตัวผมนั้นเคยผ่านอะไรมา คนอย่างผม...มีสิทธิ์ที่จะได้รับความรักจากใครด้วยเหรอ

 



มีต่อนะคะ

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
«ตอบ #172 เมื่อ23-07-2019 23:56:43 »



หน่อยพาผมมาโบสถ์ในวันอาทิตย์ ยังคงรู้สึกสงบและอบอุ่นแต่ในขณะเดียวกันก็เอาแต่คิดไปว่า ผมควรไปสารภาพกับความผิดที่คิดทำร้ายตัวเองหรือเปล่า แม้ว่าในความเป็นจริงมันจะผ่านไปนานแล้ว แต่ในความรู้สึกของผมมันยังจมอยู่กับความรู้สึกผิดที่ติดอยู่ในใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังเข้าข้างตัวเองอย่างไม่เป็นธรรมว่า พระเจ้าคงจะให้อภัยจึงได้พาผมกลับมา

ในระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากห้องโถง ผมหันไปเห็นพี่ตาม ลังเลที่จะทักทายแต่เขาก็ลุกออกไปก่อน พลันสายตาผมมองไปเห็นโทรศัพท์มือถือที่ถูกวางทิ้งเอาไว้ เดาว่าเขาคงลืม เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยและพี่ตามยังคงไม่รู้ตัว ผมจึงเลือกที่จะเดินไปหยิบมือถือเครื่องนั้นเพื่อนำไปคืน

"พี่ตาม"

"..."

"พี่ตาม!"

เสียงเรียกที่ดังกว่าเดิมทำให้คนตรงนั้นหันกลับมามอง เห็นว่าเป็นผมจึงเอ่ยทักทายก่อน

"ว่าไงพลีส"

"พี่ลืมโทรศัพท์ครับ"

"อ๋อ จริงด้วย" พี่ตามเดินกลับมาหาผมที่ยื่นโทรศัพท์ให้ ในตอนที่มือของพี่ตามยื่นมาโดนโทรศัพท์ หน้าจอก็สว่างวาบขึ้นมาพาให้ผมเห็นรูปพื้นหลังของโทรศัพท์พี่ตาม มือของผมจึงหยุดนิ่งและไม่ยอมปล่อยคืนให้เขา สายตายังคงจ้องมองรูปที่หน้าจอนั่นด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมรูปที่หน้าจอมือถือพี่ตาม...

"พี่แสง"

"อะไรนะ"

"ทำไมถึงเป็นพี่แสง"

พี่ตามนิ่งไปครู่หนึ่ง ดึงโทรศัพท์จากมือผมไปยัดใส่กระเป๋ากางเกง แต่ความคาดคั้นผ่านสายตาของผมก็กำลังกดดันเอาคำตอบ พี่ตามจึงต้องพูดมันออกมาตรงๆ

"แสงเป็นแฟนพี่"

ความรู้สึกสับสนปะปนกับความตกใจอยู่ไม่น้อย ผมทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวในห้องโถง ขณะที่พี่ตามก็นั่งลงข้างๆ พร้อมเสียงถอนหายใจเบาๆ ใช้เวลารวบรวมสติอยู่เพียงครู่ ผมจึงหันไปพูดกับพี่ตาม

"แล้ว...พี่รู้ไหมว่าผมเป็นใคร"

"รู้"

"รู้มาตั้งแต่แรกเลยเหรอ"

"อืม...รู้มาตั้งแต่แรกเลย"

เป็นคนที่ทำให้พี่แสงต้องตาย...นั่นดูเหมือนจะอธิบายความเป็นตัวตนของผมผ่านการรับรู้ของพี่ตาม แต่ทำไมเขาจึงไม่เคยพูดถึง ซ้ำยังทำเหมือนไม่รู้จักผมมาก่อนในวันแรกที่เราพบกัน

"ทำไมพี่ไม่บอกผมหรือว่าพูดถึงมัน"

"พูดไปแล้วจะได้อะไร"

"..."

"เรื่องวันนั้นเราก็เจ็บปวดกันทุกคน ใครจะไปอยากนึกถึงล่ะ"

"พี่โกรธผมไหม"

"จะไปโกรธเรื่องอะไร"

"ก็มันเป็นเพราะผม ทั้งหมดเพราะผม เพราะพี่แสงมาช่วยผม เพราะว่าผมทำให้พี่แสง..."

"ใจเย็นๆ" ฝ่ามือของพี่ตามแตะเข้าที่ไหล่ของผมเบาๆ เพื่อปลอบประโลมตัวผมที่กำลังพรั่งพรูคำพูดทั้งหลายเหล่านั้นออกมาด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ

"ไม่ใช่ความผิดของพลีสเลย"

"..."

"ผิดที่ไอ้ระยำนั่นต่างหาก"

เมื่อพูดถึงเขาคนนั้นขึ้นมา ความกลัวที่มีก็ปรากฏให้เห็น ผ่านสองมือที่กำลังกำแน่น จิกเล็บมือเสียจนเจ็บแปลบเพื่อหวังบรรเทาความสั่นเทาที่แสดงออกอย่างชัดเจน สิ่งสุดท้ายที่ผมรับรู้ได้ในวันนั้นคือการจากไปของพี่แสงที่จะเป็นบาดแผลชิ้นใหญ่ในใจผม ผมไม่รับรู้อะไรอีกเลยราวกับคอมพิวเตอร์ถูกชัทดาวน์ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดจบของคนๆ นั้นเป็นอย่างไร ไม่อยากพูดถึงอีกเลยด้วยความกลัวทั้งหมดที่มี หากเป็นไปได้ ก็ไม่อยากจำด้วยซ้ำไป 

"กลัวเหรอ"

ผมพยักหน้ารับ

"ไม่ต้องกลัว ชาตินี้มันก็ไม่มีวันได้ออกจากมาจากคุกหรอก"

"..."

"หรือถ้าวันไหนที่มันออกมา"

"..."

"พี่จะเป็นคนฆ่ามันเอง"

คำพูดผ่านน้ำเสียงเรียบเฉย ในแววตาก็ว่างเปล่า แต่กลับรับรู้ได้ถึงความโกรธเคืองที่มีในใจ การที่ยังไม่ให้อภัยนั้นหมายความได้ว่ายังคงเจ็บปวด

"ผมขอโทษ ถ้าพี่แสงไม่เข้าไปช่วยผม เรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้"

"แสงต้องช่วยอยู่แล้ว ถ้าเป็นแสง..."

"..."

"ยังไงก็ต้องช่วยอยู่แล้ว"

ผมพอได้ยินเรื่องราวของพี่แสงมาบ้างจากการบอกเล่าของคนอื่น ทุกคนพูดอย่างนั้นเพื่อย้ำให้ชัดว่าพี่แสงเป็นคนดีขนาดไหน และยิ่งเขาเป็นคนดีมากเท่าไร ผมยิ่งเสียใจที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้คนดีๆ แบบนั้นต้องจากไป ความรู้สึกผิดที่ผมมีจึงยิ่งทวีความรุนแรงจนต้องแสดงออกมาเป็นน้ำตาที่ไหลนองอย่างไม่อาจควบคุม

"อย่าร้องสิ"

"..."

"เดี๋ยวพี่ก็ร้องตามหรอก"

ผมไม่อาจจะหยุดน้ำตาของตัวเองเอาไว้ได้ ขณะเดียวกันนั้นพลันน้ำตาของพี่ตามก็ไหลออกมาอย่างที่พูด คนสองคนที่ไม่มีความสามารถในการปลอบใจ พากันร้องไห้อยู่ในโบสถ์หลังใหญ่ที่เงียบสงบ เสียงสะอื้นของเราบอกให้พระเจ้าได้รับรู้ถึงความเจ็บปวด แต่ถึงอย่างนั้น...แม้แต่พระเจ้าก็ช่วยอะไรเราไม่ได้เลย

 

ฝนตกมาตลอดทางกลับบ้าน รถติดแน่นหนาอยู่บนท้องถนน ปกติแล้วผมจะหงุดหงิดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้มาก แต่วันนี้กลับไม่รู้สึกอะไรเลย คงเพราะใจผมเอาแต่คิดถึงเรื่องอื่น ระหว่างที่รถยังคงจอดอยู่กับที่ ผมหันมองร้านกาแฟเล็กๆ ร้านหนึ่งแล้วนึกไปถึงที่บ้านของพี่แสงที่เป็นร้านกาแฟคล้ายๆ ตึกนี้ จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่เคยเข้าไปพบครอบครัวของพี่แสงหรือแม้กระทั่งไปไหว้เถ้ากระดูกของพี่แสงสักครั้งก็ยังไม่เคยเลย มันอาจจะถึงเวลาที่ผมต้องทำในสิ่งที่ควรทำมานานแล้วสักที

"หน่อย"

"คะ?"

"คราวหน้าถ้าฝนไม่ตก หน่อยพาพลีสไปหาพี่แสงหน่อยสิ"

"ได้สิคะ คราวที่แล้วน้องพลีสก็บอกให้หน่อยพาไปอีก แต่ยังไม่มีโอกาสสักที"

"พาไปอีก? แปลว่าพลีสเคยไปแล้วเหรอครับ"

"น้องพลีสจำไม่ได้ใช่ไหม แต่ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวเราไปกันอีก"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ พลันหันมองออกไปนอกกระจกรถ หากแต่ประโยคถัดไปของหน่อย ดึงความสนใจทั้งหมดของผมกลับไปอีกครั้ง

"วันนั้นน้องพลีสบอกให้หน่อยพากลับไปที่นั่น แล้วบอกให้หน่อยพูดกับน้องพลีสว่า..."

"..."

"พี่แสงไม่ได้โกรธ และบอกให้น้องพลีสใช้ชีวิตให้ดี ใช้ชีวิตเผื่อพี่แสงด้วย"

คำพูดของหน่อยทำให้ผมคิดไปถึงข้อความบทหนึ่งที่บันทึกอยู่ในไดอารี่ สิ่งที่ต้องการจะสื่อนั้นคล้ายคลึงกันจนไม่อาจปฏิเสธว่ามันมาจากคนๆ เดียวกันอย่างแน่นอน

 

จงใช้ชีวิตให้ดี ไม่ต้องหนี ไม่มีอะไรต้องกลัว ต้องมีความสุขมากๆ นะ...


 

คำพูดเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในหัวผมจนมาถึงที่บ้าน ทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาด้วยสองขาที่ดูเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงไปซะเฉยๆ

"น้องพลีสเป็นอะไรหรือเปล่าคะ หน้าซีดเชียว"

"ปวดหัวครับ"

"ไม่สบายหรือเปล่าคะ ให้หน่อยดูหน่อยค่ะ" หลังมือของหน่อยแตะเข้าที่หน้าผากผมเบาๆ อุณหภูมิร่างกายที่ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้หน่อยแสดงสีหน้าตกใจออกมาเล็กน้อย

"ตัวร้อนจี๋เลย เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย ขึ้นไปพักบนห้องดีกว่าค่ะ เดี๋ยวหน่อยเอายาขึ้นไปให้"

ผมส่ายหน้าเบาๆ ปฏิเสธที่จะเดินขึ้นห้องแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาตรงนี้เลย โซฟานั้นใหญ่พอที่จะให้ผมนอนได้สบาย หน่อยจึงยอมให้นอนตรงนี้และไปหยิบผ้าห่มมาให้หลังจากที่ผมบอกว่ารู้สึกหนาว เมื่อเห็นว่าผมไม่สบาย หน่อยก็อยู่ข้างๆ ไม่ห่าง ดูแลผมดีจนผมคิดเสมอว่าชีวิตนี้จะมีใครมาแทนที่หน่อยได้ ไม่มีแน่ๆ

มีความรู้สึกสับสนปะปนอยู่กับสิ่งต่างๆ มากมายในความคิด แม้ทุกคนจะพูดเสมอว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่ใช่ความผิดของผม แต่ผมก็เป็นส่วนหนึ่งของการสูญเสียครั้งนั้น และในตอนนี้ยังมีคนที่ต้องเสียใจกับเรื่องนั้นอยู่ ถ้าไม่ให้ผมโทษตัวเอง...เป็นไปไม่ได้
ในตอนนี้ความอ่อนแอของผมก็ไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้อีกต่อไป ผมกำลังร้องไห้ด้วยความรู้สึกเสียใจที่มีมากมายอย่างบอกไม่ถูก

"น้องพลีส เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ปวดหัวมากหรือว่าเป็นอะไร บอกหน่อยสิคะ"

"หน่อย"

"คะ เป็นอะไรบอกหน่อยสิคะ"

"พลีสจะใช้ชีวิตให้ดีได้ยังไง ยังมีคนต้องเสียใจกับเรื่องที่พลีสเป็นต้นเหตุอยู่เลย"

"โธ่...น้องพลีส" หน่อยถอนหายใจเบาๆ แล้วนั่งลงกับพื้น มือข้างหนึ่งจับมือผมเอาไว้ อีกข้างก็ตบไหล่เบาๆ เพื่อปลอบประโลมให้ผมหยุดร้องไห้

"น้องพลีสรู้ไหม เพราะเราหนีการมาถึงของวันพรุ่งนี้ไม่ได้ ยังไงก็ต้องใช้ชีวิตต่อ ก็เลยต้องใช้ชีวิตให้ดี อย่างที่พี่แสงบอก ไม่สิ..."

"..."

"อย่างที่น้องพลีสบอกตัวเองนั่นแหละค่ะ"

 

อย่างที่ผม...ได้บอกกับตัวเองงั้นเหรอ

 

...

 

"พี่น่าจะมาเป็นผม แล้วผมจะเป็นคนที่ตายแทนพี่เอง"
"ผมชื่อแสง บอกว่าชื่อแสงไง"
"วิญญาณผมติดอยู่ในนี้"
"เดี๋ยวพลีสคนเดิมก็กลับมา เขาจะกลับมาตอนที่ผมหายไปครับ" 
"บอกให้พลีส...ใช้ชีวิตเผื่อพี่แสงด้วยนะครับ"
"ตาม" 
"เธอนี่มันน่าตีจริงๆ"
"อยากคุยกับพี่อีกสักครั้ง อีกแค่ประโยคเดียวก็ยังดี"
"เราคิดถึงเธอนะ"

 

พี่แสง!

 

ดวงตาผมเบิกกว้างหลังจากที่ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปเมื่อไร ภาพความทรงจำที่เห็นในหัวนั้นย้อนกลับเข้ามาเป็นฉาก ชัดเจนจนไม่แน่ใจว่านั่นเป็นความฝันหรือแท้จริงแล้วเป็นความทรงจำของใคร ความคลาแคลงใจที่หวังจะให้มันหายไปสักวันย้อนกลับมาให้เห็นชัดว่าผมไม่ได้คิดไปเอง ผมรีบร้อนลุกจากโซฟาแล้วตั้งใจจะออกไปข้างนอก ขณะที่หน่อยเรียกผมเอาไว้ก่อน

"น้องพลีส จะออกไปไหนคะ"

"ไปข้างนอกครับ"

"จะกลับช้าหรือเปล่าคะ"

เท้าที่กำลังสวมรองเท้าหยุดชะงัก ผมหันหลังกลับไปหาหน่อยที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่ดูห่วงใย

"อาจจะกลับช้า"

"..."

"แต่ว่ากลับมาแน่นอนครับ"

ผมย้ำชัด ก่อนรีบเดินออกมานอกบ้าน ผมไม่มีจุดหมายแต่ผมรู้ว่าผมต้องไปหาใคร

"พี่แสง"

"..."

"พี่แสง!"

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ผมต้องตามหาพี่แสง แม้ไม่รู้วิธีที่จะทำแบบนั้นแต่พี่แสงต้องกลับมา ผมวิ่งวนไปทุกที่ที่คิดว่าพี่แสงจะอยู่ที่นั่น ตะโกนเรียกหาอย่างคนบ้าแม้ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา ก่อนสายตาผมจะหันไปเห็นตึกร้างตึกนั้น จึงพลันคิดขึ้นมาได้

มันเริ่มต้นจากตรงนั้น...

ผมวิ่งไปที่นั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่ร่างกายจะทำได้ แต่ร่างกายมันก็บอบบางและอ่อนแออย่างน่าหงุดหงิด มาหยุดอยู่ที่หน้าตึกด้วยความเหนื่อยหอบ หายใจลำบากหมดแรงที่จะก้าวขึ้นไปยังบันไดสูงชันเหล่านั้น สูดลมหายใจที่แสนเหน็ดเหนื่อยแล้วใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่พาสองขาก้าวขึ้นบันไดไปช้าๆ

"พี่แสง.."

"..."

"ถ้าพี่ยังคงค้างคา พี่ต้องกลับมา"

"..."

"แล้วใช้ร่างของผมแก้ไขมัน"

"พลีส!"

ผมหันขวับมองเสียงเรียกของคนที่ปรากฏตัวขึ้น

พี่ตาม...

ความตกใจปะปนกับการไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ขาของผมหยุดชะงักที่จะขยับในจังหวะที่กำลังก้าวขึ้นบันได สองมือหลุดออกจากการเกาะกุมราวบันไดและในวินาทีนั้นเองร่างกายที่อ่อนยวบก็พร้อมที่จะทิ้งตัวเองดิ่งลงมาจากบันไดขั้นนั้น

"พลีส!"

 

สติสุดท้ายบอกให้ผมอธิษฐานต่อพระเจ้า...พระเจ้าครับ ผมขออีกครั้งเดียว ช่วยผมด้วย อีกแค่ครั้งเดียว...

 

 

"ตุ้บ!"


 

ผมตกลงมาจากบันไดแต่พี่ตามรับร่างผมเอาไว้ก่อนเราทั้งคู่จะกลิ้งลงไปยังบันไดอีกชั้น สติดับวูบหายในวินาทีนั้นก่อนทุกอย่างพลันสงบนิ่ง ผมได้ยินเสียงพี่ตามตะโกนเรียกซ้ำแล้วซ้ำอีก

"พลีส! พลีส!"

ก่อนดวงตาคู่นั้นของผมจะขยับขึ้นช้าๆ สติที่หายไปก็ย้อนกลับมา กระพริบตามองคนตรงหน้าแล้วริมฝีปากของผมก็เอ่ยคำบางคำออกมาเพื่อเรียกเขา คำบางคำนั้นเรียกพี่ตามออกไปว่า...

 

"เธอ"

 

To be continued.
_______________________________________________________________

ดูสิว่าใครกลับมาาาา อิ๊อิ๊ 

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
«ตอบ #173 เมื่อ24-07-2019 00:00:23 »

 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
«ตอบ #174 เมื่อ24-07-2019 00:32:44 »

โอ้ยย!!!!!! บีบหัวใจ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
«ตอบ #175 เมื่อ24-07-2019 01:02:30 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่แสงกลับมาปลดล็อกพี่ตามใช่ไหม?

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
«ตอบ #176 เมื่อ24-07-2019 01:42:39 »

 :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ Ti0590

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
«ตอบ #177 เมื่อ24-07-2019 07:10:37 »

แสงกลับมาใช่มั้ยนะะะะ

สงสารตามมากๆ ดูเหมือนใช้ชีวิตปกติแต่ตอนอยู่คนเดียวจะทรมานขนาดไหนนะ

ส่วนน้องพลีสสส ต้องใช้ชีวิตให้ดีๆนะ มีความสุขมากๆ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
«ตอบ #178 เมื่อ24-07-2019 08:20:35 »

แสงอยู่ในร่างใครก็คงไม่นำพาความเจ็บปวดมาเท่ากับอยู่ในร่างพลีส
พี่ต่อ พลีส(แสง) ตาม

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
«ตอบ #179 เมื่อ24-07-2019 20:20:52 »

มันก็ดีอยู่นะถ้าสองคนจะสลับวิญญาณกันเป็นบางโอกาส แต่ก็นะ พี่ต่อกับตามต้องเป่ายิ้งฉุบกันละทีนี้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด