บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕
บรรยากาศยามเช้าวันนี้ช่างน่าสดใส ยิ่งใกล้วันเข้าเฝ้ารับเทวราชโองการเท่าไร เหล่าอณูน้อยยิ่งตื่นเต้นดีใจอย่างไม่เคยเป็น ทุกอย่างพรักพร้อมทันตามกำหนด ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนที่ได้รับการถ่ายทอดจากยอดขุนพลแห่งบาดาลและฟากฝั่งฉิมพลี หรือแม้กระทั่ง ตระการตา มนุษย์ธรรมดา ที่สามารถถอดกายทิพย์ได้โดยการถ่ายทอดจากมหาฤาษีขี้โมโห
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์เช่นนี้ ....บรรยากาศยามเช้าไยจะไม่น่าอภิรมย์ สมดั่งคำกล่าว
ทุกคนชื่นชมยินดี....หากมีบาง ‘พระองค์’ เท่านั้น ที่ทรงไม่พอพระทัย
“หลงตาขี้โกง แอบใช้ตบะบารมีช่วยเจ้าน่ะสิ” สีทันดรทรงค้อนขวับเพราะทรงแพ้แลลงกับใครไม่ได้ พระสุรเสียงใส จึงตวัดปลายนิดๆ “เหอะ เราจะทำแบบนั้นเราก็ทำได้ แต่เจ้าจะมีความภาคภูมิใจอันใด ตระการตา”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน จำได้ว่านั่งสมาธิอยู่เฉยๆ หลวงตาท่านก็พูดไปพูดมาจนพี่เคลิ้ม รู้สึกตัวอีกที ก็เห็นตัวเองวิ่งตามแสงสว่าง พอตามทัน พี่ก็ออกมายืนหน้าร่างตัวเองแล้ว” ตระการตาทูลตอบไปด้วยความซื่อมากกว่าจะช่วยแก้ต่างให้หลงตา
การฝึกส่วนตัวเมื่อคืน เขาจำได้ ....คันฉัตรพาเขาไปส่งยังลานฝึกตามกำหนดเวลาที่หลวงตาบอก เมื่อไปถึงก็พบว่าหลวงตานั่งรออยู่ก่อนแล้ว การฝึกนั้นค่อยๆเป็นค่อยๆไป ทว่าไม่เนิบนาบ ต่างกับวิธีการของน้องสีทันดรโดยสิ้นเชิง มหาฤาษีหรือหลวงตาในยามนั้น ผิดกับยามที่เจอเมื่อตอนกลางวันเป็นคนละคน ไม่ขี้โมโหแถมยังใจดี ให้เขานั่งหลับตาเล่านู่นเล่านี่ จนเพลินคล้ายตกในภวังค์ แล้วบอกให้เขาวิ่งตามแสงสว่างกลางสมองนั่นแหละถึงได้รู้สึกตัว..และเมื่อรู้ กายทิพย์ของเขาก็ปรากฏอยู่หน้ากายหยาบเรียบร้อย
“นั่นแหละ เขาเรียกว่าใช้ฤทธิ์ช่วย ขี้โกง!!” เจ้านาคาตาสวยยังคงไม่วายแย้ง
“ไอ้ดื้อ เดี๋ยวหลงตาของเจ้าก็ได้ยินหรอก อัสสะช่วยอะไรไม่ได้นา” อัสดงปรามที่รักพระเนตรฟ้าคราม หากแต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว เพราะคำว่าเดี๋ยวได้ยิน กลายเป็น ได้ยินครบถ้วนกระบวนความ และบังเกิดเป็นเสียงดังก้องกังวานมาจากทุกสารทิศ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเสียงใคร และเจ้าตัวก็คงแอบอยู่แถวๆนี้
“เอ็งว่าใครขี้โกงไอ้สีทันดร ไอ้นาคพ่อแม่ไม่สั่งสอน”
“โห หลงตา ด่าถึงพ่อเล่นถึงแม่ แหม...พูดเบาๆแท้ๆ สมกับเป็นมหาฤาษีที่หูดีได้ยินไปทั่วทั้งอนันตจักรวาล รู้ไปหมดว่าใครเขาคุยอะไรกัน”
“เดี๋ยวข้าก็แพ่นกบาลซะหรอก เอ็งจะด่าว่าข้าเสือกเหรอ” เสียงหลวงตายังคงลั่นๆ แต่ก็ยังไม่ยอมปรากฏตัว
“เปล่านะหลวงตา ...อย่ามาใส่ความหลาน แค่บอกว่าหลวงตาหูดี”
“เขาเรียกว่าทิพยโสตโว้ย แต่เอาเหอะ วันนี้ข้าอารมณ์ดี เพราะข้ามีวิธีให้ไอ้มนุษย์นี่มันถอดกายทิพย์ได้ ข้าจะยกให้เอ็งสักวัน ข้าไปเฝ้าพระนารทท่านดีกว่า ข้าขึ้เกียจทะเลาะกับเอ็ง”
อัสดงกับอณูน้อยแทบทุกคน ถอนหายใจออกมาได้เพราะฝ่ายหนึ่งยอมเลิกราอ่อนข้อ จะได้ไม่ต้องแสบแก้วหู ทว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นยังคงพึมพำไม่หยุดหย่อน
“จะไปเข้าเฝ้า หรือจะไปให้ท่านช่วยกระจายข่าวให้กันแน่ ว่าตัวเองเก่ง สามารถสอนมนุษย์ธรรมดาถอดกายทิพย์ได้เพียงข้ามคืน”
พระนารทนั้นทรงได้ชื่อว่าเป็นผู้สื่อข่าวสวรรค์ เสด็จทางไหน ประทับที่ใด ‘ข่าว’ ทุกประเภทย่อมรับเข้ามาและแพร่กระจายถ่ายออกไปในเวลาเดียวกัน... ฉะนั้นการไปเฝ้า มิใช่เฝ้าทูลถามสารทุกข์สุขดิบ หากแต่คงไปเฝ้าฝากข่าวถึงผลงานมากกว่า
“เสือกรู้ดีนัก นี่แนะ” หลวงตาส่งเสียงทิ้งท้ายก่อนจะเงียบหายไป เหลือไว้แต่พระสุรเสียงร้องลั่น พระหัตถ์ทั้งสองข้างยกมากุมกลางพระเศียรแน่น
“โอ๊ยยยยยยยยย หลานเจ็บนะหลวงตา... อัสสะช่วยดูให้หน่อย หัวเราแตกไหม”
มิต้องสงสัย ว่าสีทันดรจะทรงโดนอะไรฟาดกลางพระเศียร อัสดงแม้จะเข้ามาช่วยดู หากแต่ก็สะใจที่สุดที่รักโดนเสียมั่ง ยิ่งนลกุพรนั้นปรบหัตถ์ดังลั่นด้วยความชอบใจ ตรัสออกนอกหน้า สรวลก้องดังกว่าใคร
“สมน้ำหน้า!! สะใจนักเด็กดื้อโดนตีกบาล”
“ไอ้บ้านล....พี่กลดเอ็ดนลบ้างสิ”
“จะได้หายดื้อเสียที...ดีแล้ว” ทรงกลดเสริมขึ้นมายิ้มๆ มิเข้าข้างสีทันดร ที่งอนตุ๊บป่องไปแล้ว เจ้าอณูแห่งจันทรเทพพูดไปก็ป้อนนมเจ้าลูกเสือสองตัวไปอย่างน่าเอ็นดู จนคันฉัตรเห็นเข้าเลยต้องเปรยขึ้นดักคอไว้ว่า
“ป้อนให้อิ่มนะไอ้กลด ถ้าลูกมึงเสือกหิว มาตะปบกระต่ายน้อยลูกกู ...เป็นเรื่องแน่”
“ไอ้ห่าฉัตร ตัวมันนิดเดียว ยังตะปบไม่ได้หรอกน่า” ทรงกลดแก้ต่างพร้อมกับยกเจ้าลูกเสือมาฟัดด้วยความเอ็นดู น้ำเชี่ยวกับราหูนึกสนุกก็เข้ามาเล่นด้วย และขอพาไปฟัดกันกลางสนาม
“เบาๆ นะโว้ยพวกมึง ลูกชายกูยังเล็ก” ทรงกลดแม้จะหวงลูกชายลายจางๆ หากก็ยอมปล่อย
“เออ กูรู้แล้วน่า” น้ำเชี่ยวลิงโลดรับคำ ตระกองกอดลูกชายของทรงกลดแน่น แล้วแบ่งให้ราหูอุ้มไว้หนึ่งตัว ก่อนจะวิ่งออกไป ทิ้งสายตาของใครบางคนมองตามไว้แต่เพียงเบื้องหลัง
“โอเค ไหมวะธรรม์”
คืนฉายถามขึ้น ด้วยความเป็นห่วง เพราะรู้นัยแห่งสายตาเศร้าสร้อยนั้นเป็นอย่างดี ทว่าเจ้าของกลับไม่กล้าที่จะยอมรับความรู้สึกตัวเอง จึงเปลี่ยนเรื่องตอบไปอีกทาง
“ไม่เป็นไรหรอก ช่างเหอะ...ว่าแต่ หน้ามึงไปโดนส้นตีนอะไรมาวะไอ้ฉาย หรือว่าโดนตีนเสือตะปบ”
“อ๋อ มันไม่ได้โดนตีนเสือหรอก มันโดนตีนกูเอง” พระพุธน้อยเดินมาจากทางไหนไม่รู้ แทรกกลางบทสนทนาได้อย่างพอดิบพอดี “เจ้าชู้นัก ต้องโดนอย่างนี้....ถ้านายจะมีแฟนเลือกดีๆนะธรรม์ อย่าเอาเจ้าชู้แบบไอ้ฉาย”
“ฉายไม่ได้เจ้าชู้ ... ฉายก็อยู่ของฉายเฉยๆ ฉายเปล่านะ เขามาเอง ”
คืนฉายพูดไปแต่ไม่รู้หรอกว่า ‘เขา’ ที่ว่า หรือนางรุกขเทวาลักเพศบัดนี้จะมีสภาพเป็นเยี่ยงไร หากคืนฉายเดินไปดูหลังตลาดถนนคนเดินสักนิด จะเห็นว่า ต้นไม้ประจำตัวของนังนี่ ได้ถูกย้ายด้วยฤทธี ไปประดิษฐานอยู่ข้างซ่องโสเภณีเรียบร้อย และคนที่ขุดรากถอนโคนก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล นอกเสียจาก เจ้าพระพุธนี่เอง
“ยุ่งกับฉายของกูเหรอ...ไปเป็นกะหรี่อยู่ข้างซ่องเสียเหอะมึง”
นั่นคือบทลงโทษเล็กๆน้อยๆ สำหรับนังรุกขเทวี...และคาดว่ามันคงจะจำไปจนกว่าจะหมดบุญ!!!
“ยังจะมาแก้ตัว เอาอีกสักทีดีไหม” เอราวัตบอกว่าเอาอีกสักทีตั้งท่าเงื้อกำปั้นหรา แต่ท้ายสุดก็เปลี่ยนใจหยิบยามาทาแก้ฟกช้ำให้ กลายเป็นภาพงามน่ารักภาพหนึ่ง ในหลายๆภาพยามเช้าตามความรู้สึกของธรรม์
เริ่มจากภาพอัสดงแหวกพระเกศาจับเจ้านาคน้อยนั่งตัก ใช้ลมปากเป่าไล่ความเจ็บบนพระเศียรให้สุดที่รัก ที่ยังทรงครางอู้ด้วยความเจ็บจากการโดนฟาดกลางพระเศียรหรือกบาล อีกทั้งทรงกลดกับนลกุพรก็นั่งคุยกันกระหนุงกระหนิง ช่วยกันคิดชื่อให้กับลูกชายทั้งสอง ทางด้านเอราวัตกับคืนฉายแม้จะกระเง้ากระงอด หากบทออดบทอ้อนของเจ้าพระศุกร์ ก็ทำให้หัวใจเหงาๆของเขาเริ่มสั่น ส่วนคันฉัตรกับตระการตาก็แยกไปนั่งคุยลำพังสองต่อสองป้อนอาหารกระต่ายป่าอยู่ตรงริมระเบียง หากนั่นไม่สำคัญเท่าภาพของน้ำเชี่ยวกับราหูที่กำลังฟัดกับลูกเสือทั้งสองกลางสนาม
ภาพน้ำเชี่ยวกำลังหัวเราะอย่างสดใส แลราหูก็ร่าเริงวิ่งไล่
ภาพนี้นั้น “น่าเอ็นดู” ทว่าทำให้ธรรม์ ต้องเบือนสายตาหนี...และรู้ดีว่าตนกำลังรู้สึกอย่างไร
“อย่าบอกเลย บอกไปจะเสียเพื่อนตอนนี้เปล่าๆ หากมีชีวิตรอด ไว้ค่อยบอกตอนสิ้นศึก หรือไม่ก็บอกก่อนตาย เพราะถ้ามันไม่ใช่ จะได้ไม่ต้องทรมานจากความเฉยชา”
ธรรม์ปลีกตัวเดินออกไปเงียบๆ คิดเองเออเอง ตามประสา โดยที่ไม่มีใครสนใจ เพราะต่างฝ่ายต่างก็อยู่กับคู่ของตัวเอง ตั้งใจกลับไปนั่งสมาธิลำพังตามวิสัยสันโดษ ‘เทพฤาษี ครุแห่งเทวะ’ ตามต้นกำเนิด ผู้ไม่ชำนาญในด้านความรัก แต่เขาไม่รู้หรอก ว่าตอนนี้มีสายตาบางคู่หยุดยืนมองอยู่กลางสนาม ผละความสนใจกับลูกเสือ ก้าวเท้าจะเดินตามมา แต่ก็ต้องหยุดชะงัก
“เฮ้ย ไอ้น้ำเชี่ยวจะไปไหน...เล่นกันต่อเหอะ ไอ้สองตัวนี่กำลังน่ารักเลย”
น้ำเชี่ยวควรจะปฏิเสธราหูและเดินตามไป หากก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น วิสัยของต้นกำเนิด ‘เทวะแห่งสงคราม’ นั้นเป็นนักรบเต็มพระองค์ ชอบที่จะพูดอะไรตรงๆ ไม่อ้อมค้อม ไม่ต้องงอนต้องง้อ รักก็บอกว่ารัก ชอบก็บอกว่าชอบ การกระทำหลายๆอย่างของธรรม์มันจึงสร้างความอึดอัดใจแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก
“นายคิดอะไรกับฉันกันแน่วะไว้ธรรม์ มีอะไรก็บอกฉันมาสิวะ อมพะนำอยู่ได้”
“นายว่าอะไรนะไอ้น้ำเชี่ยว” ราหูได้ยินน้ำเชี่ยวพึมพำ ฟังไม่ชัดจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ปะ เปล่าไม่มีอะไรหรอก...เล่นกับลูกไอ้กลดต่อเหอะ”
น้ำเชี่ยวตัดบทราหูไปเช่นนั้น...พยายามจะมิสนใจสหายที่เดินลับตาไปคนเดียวโดดๆ เขามิรู้หรอกว่า ยิ่งพยายามจะไม่สนใจเท่าไร ยิ่งทำให้หัวใจนักรบ แอบเผลอลอยตามไป อย่างฉุดรั้งไว้ไม่อยู่อีกแล้ว
ในที่สุดวันสำคัญที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง คืนวันพระจันทร์เพ็ญ วันเข้าเฝ้ารับเทวราชโองการ... ลานฝึกถูกใช้ตั้งเป็นปรัมพิธีตกแต่งตั้งแต่เช้า จวบจนพลบค่ำ ด้วยฝีมือนางไม้ทั้งป่า คบเพลิงเริ่มจุดสว่างไสวไปทั่ว กลิ่นกำยานหอมฟุ้งโชยกำจายตรลบอบอวล
เหล่าอณูน้อยอาบน้ำและชำระร่างกายให้สะอาดเป็นพิเศษด้วยน้ำจากสระอโนดาตที่เหล่ามหาดเล็กของทยุติธรอาสาไปนำมาให้ พระธิดามุจลินทร์เสด็จขึ้นมาอีกครั้งพร้อมบรรดานางข้าหลวงช่วยปรุงทิพยสุคนธ์ในน้ำสำหรับสรงสนาน เป็นกลิ่นหอมที่หอมเสียยิ่งกว่าหอม ความพิถีพิถันและประณีตจำต้องมีให้ครบถ้วน เพราะการเข้าเฝ้าครั้งนี้มิได้เข้าเฝ้าเทพชั้นผู้ใหญ่ธรรมดา หากแต่เป็น มหาเทวะแลมหาเทวีผู้กุมอำนาจสูงสุด
เจ้าป่า เจ้าเขา รุกขเทวา ต่างก็ช่วยกั้นม่านอาคมตั้งมณฑลพิธี มิให้ใครมารบกวน เจ้ารัก เจ้ายม เกณฑ์บรรดาผีป่า เป็นหน่วยลาดตระเวนคอยตรวจดูสิ่งผิดปกติหรือพวกมารที่ไม่ได้รับเชิญเป็นรัศมีโดยรอบทั้งแปดทิศ กองราชองครักษ์ทัพยักษ์ในนลกุพรยืนตระหง่านเป็นวงล้อมกำแพงด้านนอก นาคบริวาร ทหารมหาดเล็กแลทหารรักษาพระองค์ในทยุติธรเลื้อยพันเกี่ยวกระหวัดเป็นปราการทะมึนด้านใน ส่วนบนห้วงนภากาศคือครุฑบริวาร ทหารคนสนิทในวายุภัคที่คอยโฉบ ฉวัดเฉวียนมิให้ภัยใดๆมาบีฑาแลทำลายพิธีศักดิ์สิทธิ์
เทวะ...เทวนาคา เทวปักษี และเทวอสุรา ต่างเข้าใจในหน้าที่ อีกทั้งพร้อมใจกันร่วมมือ
แม้เรื่องส่วนพระองค์ของเจ้าผู้นำ ยังคงมีความบาดหมาง หากเทวะจำต้องดำรงไว้ด้วยหน้าที่
หน้าที่....ที่ต้องร่วมกันปกป้องโลกมนุษย์ ซึ่งเป็นภพกลางที่สำคัญที่สุด
สีทันดรและมุจลินทร์ ช่วยกันร่ายมันตรากางกั้นม่านอาคมสูงสุดอีกชั้น แลช่วยกันเนรมิต แท่นดอกบัวบานเป็นอาสนะสำหรับเหล่าอณูน้อย ตระการตาที่ยืนทอดทัศนาภาพทั้งหมดถึงกับขนลุกซู่ โชคดีที่จิตมีสมาธิเริ่มเข้าขั้น จึงไม่หวาดหวั่นมากเท่าเฉกเคย ยามเห็น ผี..เทวดา นาคา ครุฑ ท้ายสุดก็คือยักษ์
“พิธีใหญ่เลยเหรอน้องสีทันดร”
“ใช่...เข้าเฝ้ามหาเทพนี่นะ ก็ต้องใหญ่แบบนี้แหละ ปรัมพิธีนับว่าสำคัญ ต้องใช้ป้องกันมิให้พวกมารมันฉวยโอกาสเข้ามาทำลายกายหยาบ ในระหว่างกายทิพย์ขึ้นเฝ้ายังเทวสภา” สีทันดรทรงร่ายพระเวทเสร็จพอดี ผินพระพักตร์มากล่าวตอบด้วยสุรเสียงอ่อนโยน แสดงว่าวันนี้พระอารมณ์แจ่มใสเป็นพิเศษ
“พิธีใหญ่แบบนี้ พี่ชักกังวลแล้วสิ กลัวจะทำเสียเรื่อง หลวงตาก็ไม่มา จะถอดกายทิพย์ได้กับเขาไหมนี่ แล้วทำไมฉัตรยังไม่ออกมาอีก ” ตระการตาเริ่มรู้สึกประหม่าอย่างไม่เคยเป็น สีทันดรเข้าพระทัยในความรู้สึก จึงตรัสปลอบด้วยมธุรสวาจาน่าฟังประทานกำลังใจว่า
“ไม่ต้องกลัว....ถึงหลวงตาไม่มา เจ้าก็ทำได้น่า มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ ที่เราว่าไปวันนั้น อย่าไปคิดอะไรมากเลย”
“แต่พี่กลัวทำไม่ได้จริงๆนะ ตอนนี้อยากเจอฉัตร อยากคุยกับฉัตรก่อนขึ้นเฝ้า ไม่เห็นหน้าตั้งแต่บ่าย”
“เดี๋ยวก็ได้เจอ เราว่า พี่เตรียมเข้าฌานบนแท่นหินนั่นได้แล้ว...เพราะพี่อาจต้องใช้เวลาถอดกายทิพย์นานกว่าคนอื่น หลงตาท่านแอบใช้ฤทธิ์ช่วยพี่ คราวที่แล้วพี่จึงกระทำได้โดยง่าย” เจ้านาคน้อยเว้นวรรคตรัสชั่วครู่แล้วทรงกล่าวต่อว่า
“แต่ไม่ต้องกลัว หลวงตาท่านคงไม่ทิ้งหรอก..... เอาล่ะ อย่าเสียเวลาเลยทำตามที่เราบอกเถอะ”
“ครับ...น้องสีทันดร”
ตระการตาคลายความกังวลลงไปบ้างรับคำอย่างว่าง่าย ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิเข้าฌานตามรับสั่งทันใด ปฏิบัติและกำหนดลมหายใจตามที่มหาฤาษีสอน สีทันดรทรงเข้าพระทัยดี แต่ก็ไม่วายแอบระบายลมหายพระทัย เพราะทรงตรัสปลอบไปอย่างนั้น ว่าหลวงตาไม่ทิ้ง หากความจริงมหาฤาษีอาจจะไม่มาก็ได้ ทีนี้พิธีคงเสีย แต่แล้วจู่ๆพระโอษฐ์แดงสด ก็แย้มระเรื่อขึ้น
“ดู๊ ดูเอาเถิด...มุจลินทร์ ดูมหาฤาษีใจดำ มาถึงตั้งนานก็ยังไม่ยอมปรากฏตัวคอยดูแลลูกศิษย์”
คราวนี้สีทันดรหันไปตรัสกับมุจลินทร์ลอยๆ จนมุจลินทร์สรวลคิก แล้วทั้งสองก็คุกพระชงฆ์ลงก้มกราบไปข้างๆแท่นหินด้วยกันทั้งคู่
“เอ็งนี่มันปากเสียนะไอ้สีทันดร เดี๋ยวก็โดนข้าฟาดกบาลอีกรอบหรอก ข้าเพิ่งจะมาถึงต่างหาก ไม่ใช่มาตั้งนาน” เสียงเอ็ดแหวๆดังขึ้นพร้อมร่างของมหาฤาษีที่ปรากฏขึ้นข้างหน้า คราวนี้หลวงตามาในมาดใหม่ นุ่งห่มผ้าคากรองขาวพิศุทธิ์ระยิบระยับ
“หลานล้อเล่น...นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”
“ข้าต้องมาสิ ...พระคุณเจ้า พระอาจารย์ของไอ้อัสดงท่านไม่ว่าง ก็ต้องเดือดร้อนข้านำพาพวกเอ็งขึ้นเฝ้า”
“ทำไมท่านถึงไม่ว่าง”
“ไม่ใช่เรื่องของข้าที่ข้าจะต้องพูด เอ็งมีอะไรก็ไปทำกันเถอะ อ้อ...เรียกไอ้ทยุติธรกับไอ้วายุภัคมาหาข้าด้วย” หลวงตาตัดบทโบกไม้โบกมือไล่ ก่อนทั้งสองจะไป น้ำเสียงของหลวงตา ก็แปรเปลี่ยนเป็นสดใส บอกกับมุจลินทร์โดยเฉพาะว่า
“นังหนู เอ็งจะเป็นพระสมุทรเทวี องค์ต่อไปที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เอ็งตัดสินใจถูกต้องแล้วที่เษกกับไอ้เจ้าทยุติธร เอ็งจะมีลูกชายคนแรกที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ประหนึ่งพญาอนันตนาคราช ปู่ของพวกเอ็ง”
“สาธุ เจ้าค่ะหลวงตา” มุจลินทร์ตื้นตันพระทัยก้มลงกราบกับพื้นอีกครั้งก่อนจะคลานเข่ารับอาสาไปตามทยุติธรมาหาหลวงตา นั่นก็หมายความว่าสีทันดรต้องเสด็จไปหาวายุภัค อีกฟากของปรัมพิธี
“ไม่อยากจะเสวนาด้วยเลย”
“ไอ้ฉิบหาย ข้าใช้แค่นี้ทำบ่น” เสียงหลวงตาด่าแว่วๆ ลอยมาตามลม และมีหรือที่สีทันดรจะไม่สวนกลับ
“บ่นสิ...หลวงตาเรียกเขามาทางจิตก็สิ้นเรื่อง”
“ข้าขี้เกียจ”
“หลานก็ขี้เกียจ แถมยังเกลียดเขา”
สิ้นคำว่าเกลียดสีทันดรก็เสด็จมาถึงกลุ่มเทวปักษี ที่ยืนรอเข้าร่วมพิธี ครุฑพวกนั้น พอเห็นว่าใครเสด็จมาก็รีบแตกหนีออกเป็นช่อง เพราะทราบถึงกิตติศัพท์และความร้ายกาจ อีกทั้งรู้ดีว่าไม่ใช่คู่ต่อกร แถมเจ้านายยังทรงต้องพระทัย
“นายพวกเจ้าอยู่ไหม”
“คิดถึงพี่หรือจ๊ะ ถึงได้มาหา มาให้พี่หอมอีกสักฟอดเถอะ สุริยาทิตย์ไม่รู้หรอก” วายุภัคยันพระองค์ลุกขึ้นมาด้วยพระพักตร์ชื่นบาน สุรเสียงใสดังกังวานตรัสหยอกล้อโดยไม่มีทีท่าว่าจะทรงเขินอาย แถมยังเสด็จเข้ามาใกล้
“ต่ำช้าไม่เลิก...หลวงตาให้มาตาม นั่งรออยู่ตรงกลางปรัมพิธี” สีทันดรตรัสจบก็สะบัดพระพักตร์พรึ่ดเสด็จออกมา ทว่าวายุภัครีบเข้ามาสกัดหน้า หมายพระทัยจะคว้าข้อพระกรไว้ หากแต่ทรงกระทำไม่ได้ เพราะจักรเพลิง บังเกิดขึ้นรอบพระวรกายเจ้านาคาน้อย ลุกโชนเป็นประกายไฟเจิดจ้า ร้อนแรงฤทธี
จักรเพลิง...ที่เทวะชั้นผู้น้อยดูก็รู้ว่าเป็นของใคร
จักรเพลิง...ที่เสกครอบพระวรกายงามยิ่งกว่ารูปสลักนี้ไว้ แสดงว่าเจ้าของหวงนักหวงหนา
อัสดงทำถึงขนาดนี้ วายุภัคจะทรงหาญกล้า ท้าทายอีกฤา
“ไอ้สุริยาทิตย์...ฝากไว้ก่อน รอให้สิ้นศึกก่อนเถอะ”
วายุภัคเสด็จปึงปังจากไป สีทันดรเองก็สาแก่พระทัยยิ่งนัก ครุฑบริวารเทวปักษีรายรอบตัวสั่นกันเป็นแถว ยามเห็นฤทธี ครั้นพอผินพระพักตร์ แสงสีเขียววาบก็ปรากฏขึ้นตรงพื้นดินหน้าพระพักตร์ เมื่อสลายก็กลายเป็นร่างของกองราชองครักษ์ในพระองค์กำลังหมอบราบกราบลงแทบบาท พระสุรเสียงใสจึงกังวานก้องด้วยความดีพระทัยอย่างที่สุด
“นาเคนทร์...เจ้าพ้นคำสาปของทูลหม่อมปู่วาสุกีแล้ว เราดีใจที่สุด”
“พะยะค่ะ ทูลกระหม่อม...เกล้ากระหม่อมพ้นคำสาป เพราะพระมหาวิษณุทรงบรรทมตื่นแล้ว” ราชองครักษ์นาเคนทร์กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าดีใจเช่นกันที่พ้นคำสาปและได้กลับมาถวายงานรับใช้เบื้องยุคลบาท
“วันนั้นกระหม่อมต้องขอพระราชทานอภัยโทษด้วย ที่ชิงพระองค์คืนบาดาลไม่ได้ แต่นับจากนี้ไป ทั้งกระหม่อมและทหารราชองครักษ์ขอถวายชีพ เพื่อทูลหม่อมเล็กพระองค์เดียว”
“ขอบใจมากนาเคนทร์ เราซึ้งในน้ำใจเจ้านัก เราต่างหากที่ควรขอโทษพวกเจ้า ทำให้ต้องถูกทูลหม่อมปู่สาปเป็นงูดิน เราซนเองที่ไปบุกบ้านของพี่กลด แต่ถ้าเราไม่บุก เราคงไม่ได้เจออัสสะ....แต่อย่าไปพูดถึงอีกเลย ดีกว่า” เจ้านาคน้อยทรงหยุดตรัส อมรอยแย้มสรวลไว้ พระพักตร์ลออเริ่มแดงซ่าน เพราะวันที่ตัดสินพระทัยแอบเข้าบ้านทรงกลดไม่ใช่หรอกหรือ ที่ทำให้พบกับรอยจุมพิต รอยแรกในพระชนม์ชีพ จูบที่แม้จะเกิดขึ้นมานานแสนนาน หากยังหนาวสั่นสะท้านมาถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะนึกถึงมาอีกกี่ครั้งกี่หน
“เอาล่ะ นาเคนทร์ พวกเจ้ามาก็ดี ในระหว่างที่พวกเราขึ้นเฝ้า เราจะให้เจ้าเฝ้ากายหยาบของอณูน้อยทั้งหมดไว้ให้ดี อย่าให้มีภัยใดมากล้ำกราย เราสร้างเขตอาคมปริมณฑลไว้ชั้นหนึ่งแล้ว พวกเจ้าจงเฝ้าไว้อีกชั้น โดยเฉพาะ กายของอณูแห่งพระสุริยาทิตย์ อย่าให้มีแม้แต่รอยขีดข่วน ไม่งั้นเราเอาเรื่องพวกเจ้าแน่” สีทันดรทรงรับสั่งชัดถ้อยชัดคำ และหมายความตามนั้นทุกประการ แม้จะทรงรู้สึกเขินที่แอบลำเอียง ทว่ายังแสร้งฝืนพระพักตร์เป็นปกติได้
“อ้าวไหนทูลหม่อมเคยรับสั่งว่า เกลียดเขา ไฉนยามนี้ถึงให้พวกเกล้ากระหม่อมเฝ้า”
“เออน่า...อย่าถามให้มากความเลย ไปทำตามเราสั่งได้แล้ว” สีทันดรทรงตัดบท ทำพระพักตร์ไม่ถูกเพราะไม่รู้จะอธิบายต่อราชองครักษ์อย่างไร
“พระเจ้าข้า”
เมื่อได้ฤกษ์เวลาอันเหมาะสม จันทรเทพทรงรถม้าสีเศวตประทับลอยกลางฟ้า อณูน้อยก็มาพร้อมกันยังลานฝึกหรือบัดนี้เป็นมณฑลพิธี และเปลี่ยนมานุ่งภูษาสีเศวต ตามแบบฉบับเทวะ ที่มุจลินทร์นำขึ้นมาจากบาดาล เข้านั่งประจำอาสน์ดอกบัวที่สีทันดรกับมุจลินทร์เนรมิตขึ้น ครั้นทุกคนพร้อม หลวงตาก็เหยียบอากาศเหิรลอยขึ้นมาตรงใจกลางวง เหนือหัวมนุษย์น้อยตระการตา พร้อมกับทยุติธรที่เสด็จมาประทับเบื้องขวา วายุภัคประทับยังเบื้องซ้าย ส่วนนลกุพร สีทันดร และมุจลินทร์ ประทับนั่งลดหลั่นกันเบื้องปฤษฎางค์ทยุติธร ร่วมกันร่ายพระเวทเปิดฟ้า บูชามหาเทพแลมหาเทวี
มหาฤาษีกล่าวมันตรา ‘โอม’ ดังก้องสะท้านไปทั่วทั้งอนันตจักรวาล ทุกพระองค์และทุกคนน้อมจิตนำรวมสู่กระแสมันตรานั้น แล้วอัฐรังสีก็พลันบังเกิด ตรงกลางหน้าผากของอณูน้อยทุกคน กลายเป็นรัศมีประจำตัวพวยพุ่งออกมารวดเร็ว กายทิพย์ของเหล่าอณูน้อย ถอดออกจากกายหยาบเรียบร้อย ดอกบัวที่บานอยู่หุบกลีบตูมแน่นป้องกันร่างกายไร้จิตไว้ทันใด
อณูแห่งเทวะ บัดนี้ งามพร้อมเฉกเทวะต้นกำเนิด รัศมีประจำตัวสุกใสเลื่อมพราย เหิรลอยอยู่กลางฟ้า รอมนุษย์นามตระการตา ถอดจิตตามออกมาเดินทางพร้อมกัน และทุกคนก็ไม่ผิดหวัง คาดว่ามหาฤาษีคงจะใช้ฤทธีแอบช่วย เพราะเพียงครู่ กายทิพย์ของตระการตาก็ลอยละลิ่วออกมา แลรัศมีสีม่วงจากฟากฟ้า ก็เหิรลอยลงมารับ
“เก่งมากตระการตา”
“ฉะ ฉัตร เหรอนี่....ฉัตรจริงๆใช่ไหม ทะ ทำไม หล่ออย่างนี้” ตระการตากล่าวขึ้นเพราะคันฉัตรจากเดิมที่ว่าหล่ออยู่แล้วยามนี้ ยิ่งหล่อขึ้นกว่าเดิม
“กายทิพย์จะงามกว่ากายหยาบเสมอจำไว้ ...ยิ่งกายทิพย์ของอณูแห่งเทวะอย่างเรา จะงามเกือบเสมอเทวะต้นกำเนิดเลยทีเดียว เดี๋ยวตาก็จะได้เห็นท่าน....อย่าลืมระวังจิตไว้ให้ดี”
คำว่า ‘อย่างเรา’ ของคันฉัตร คงมิได้หมายถึง เขาคนเดียวอีกแล้ว
หากแต่ คือพวกเขาทั้งหมด ...ที่งามพร้อมตามแบบฉบับเทวะต้นกำเนิด
งามนั้นมิใช่งามธรรมดา....ทว่างามจับตาราวหล่อมาจากพิมพ์เดียวกัน
คันฉัตรไม่พูดอะไรต่อ พาตระการตาเข้ามาฝากมหาฤาษีให้ช่วยควบคุมจิตให้ แล้วลอยกลับไปรวมกลุ่ม ส่วนอัสดงเจ้าหัวหน้า ก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้เจ้านาคายอดดวงใจ เหิรลงมาจูงข้อพระกรสีทันดรขึ้นมาประทับยืนเคียงคู่
“วันนี้นั่งเฝ้าข้างๆอัสสะนะ ผู้ใหญ่หลายๆพระองค์จะได้รู้เสียที ว่าอณูแห่งพระสุริยาทิตย์รูปหล่อคนนี้ มีใครเป็นยอดดวงใจ”
“ไม่เอา เราเขิน ไม่จำเป็นต้องนั่งใกล้ เพียงแค่ท่านจับวาระจิตของเจ้า ท่านก็รู้แล้ว” พระสุรเสียงใส ตรัสตอบเพียงเฉพาะได้ยินกันสองต่อสอง
“เขินทำไม เป็นแฟนพระอาทิตย์ไม่ดีตรงไหน หรืออยากจะไปนั่งข้างไอ้วายุภัค” อัสดงกระเซ้า ใช้นิ้วจี้บั้นพระองค์
“เหอะ พูดเล่นไป ....ถ้าไปนั่งจริงๆ จะน้ำตาตก” สีทันดรด้วยความหมั่นไส้สุดประมาณจึงหยิกแก้มเจ้าอัสสะตัวดี โดยมิสนพระทัยว่าจะมีหลายๆสายตามอง “เรามีที่นั่งบนเทวะสภาแล้ว”
“ที่ไหน....ไอ้ดื้อ”
“เดี๋ยวอัสสะก็รู้”
สิ้นพระสุรเสียง อัสดงกับสีทันดรก็สลายกลายเป็นรัศมีสุกจ้ายิ่งกว่าคราใดๆ รอให้ มหาฤาษี เหิรทะยานนำหน้า และในพริบตานั้น ทุกพระองค์ ทุกคน ก็โผนทะยานตามหลังมาทันที พวยพุ่งขึ้นฟ้ามุ่งหน้ายังมหาเทวสภา ณ ดาวดึงส์
แสงโชตินาการเจิดจ้าหลากสีเหล่านั้น เดินทางรวดเร็วในความเวิ้งว้างของห้วงนภากาศ เพียงสักครู่ทั้งหมดก็รู้สึกถึงกระแสอวล บรรยากาศโดยรอบเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นละเอียดขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณแห่งการก้าวเข้าสู่ทิพยภพ
ทิพยภพหรือสวรรค์...มนุษย์มักคิดว่าอยู่บนฟ้าสูงๆ หากแท้จริง ควรพูดให้ถูกว่า เป็นภพชั้นสูง มิสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า และเข้าไปได้ด้วยกายเนื้อ
ที่สำคัญสงวนไว้...เฉพาะผู้มีบุญเท่านั้น
ภพภูมิยิ่งสูง ...บุญยิ่งต้องมีมาก
ตระการตาเริ่มเข้าใจ ความจริงก็ต่อเมื่อเดินทาง ภพที่เหลื่อมซ้อนและรอยต่อระหว่างภพเป็นอย่างนี้นี่เอง
“เข้าเขตตาวติงสาภูมิแล้ว”