อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อัศวินดารา บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่๒) อัพ ๒๒ กุมภา ๖๔  (อ่าน 51187 ครั้ง)

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
    • Coco Chadam
“เรื่องน้องดื้อใช่ไหม... นี่ละหนา ที่เขาว่า มีแฟนหน้าตาดี ก็เป็นทุกข์ เหมือนอย่างที่พระพุธเป็น” คืนฉายพูดขึ้นยิ้มๆ เอราวัตนั้นหมั่นไส้แฟนตัวเองสุดจะบรรยาย ได้แต่ทำหน้าระอา

 “ ไอ้ครุฑนั่นคงไม่หยุดแค่นั้น ....ดูอย่างตอนไอ้กลดสิ กว่าจะลงตัวได้ เล่นเอาต้องบุกกันไปถึงดาวดึงส์ทีเดียว”

หากเป็นเวลาปกติ ทรงกลดคงด่าคืนฉายเข้าให้ ที่ขุดเรื่องเก่าๆมาพูด ทว่าเวลานี้ ได้เพียงแค่ยิ้มชืดๆ “เป็นไรหรือเปล่าวะ ไอ้กลด เงียบเชียว แล้วนี่นลไปไหน”

“ไม่รู้ว่ะ สงสัยจะไปแถวๆนี้แหละ ช่างเหอะ”

“ฉันเห็น เหาะไปทางเดียวกับพระธิดามุจลินทร์ ไม่แน่ใจว่า ตามกันไปหรือเปล่า ” ราหูพูดโพล่งขึ้น จนน้ำเชี่ยวที่นั่งอยู่ข้างๆ ผู้พอจะรู้บ้างว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูดต้องตบกบาลปราม

“ทีหลังรู้เหี้ยอะไรก็ไม่ต้องพูดหมด เก็บๆไว้เสียบ้าง ทำเป็นไอ้พระพุธไปได้”

“อ้าว....ไอ้น้ำเชี่ยว วกมาหากูทำซากอะไร”

ทรงกลด ไม่พูดจาอันใดต่ออีก บอกอัสดงกับทุกๆคนเพียงว่าขอตัวไปพักผ่อน ลุกพรวดไปทันใด พอคล้อยหลังเสียงจอกแจกจอแจก็หยุดลงพลัน และอณูน้อยแห่งพระศุกร์ เทวะแห่งโลกิยสุข กล่าวขึ้นทำลายความเงียบนั้น

“โรคงอน น้อยใจ ส้นตีนนี่กลับมาอีกแล้ว ....คราวนี้มาจับไอ้พระจันทร์ได้ เดี๋ยวกูไปดูมันซะหน่อย”

คืนฉายด้วยความเป็นห่วงสหาย จึงตามไปดู แต่ดูได้แค่อยู่ห่างๆ เพราะทรงกลด ดันกั้นปริมณฑลเขตอาคมชั้นสูงเพื่อมิให้ใครรบกวน

ที่จริงอาคมบทนี้ เขาจะทำลาย ก็ทำได้โดยง่าย
หากแต่ดวงตาเศร้าๆที่เหม่อมองออกไป....ทำให้เขาต้องจำยอม ปล่อยเพื่อนอยู่คนเดียวตามปรารถนาลำพัง

“ไอ้นลนะ ไอ้นล จับไอ้กลดมันกด แล้วก็มาทำอย่างนี้ ไอ้เวรเอ๊ย ”

“ด่าอะไรเราคืนฉาย”

เสียงกังวานยิ่งกว่าเสียงระฆังดังขึ้นจากทางด้านหลัง คืนฉายเกือบสะดุ้งด้วยความตกใจ ที่จู่ๆนลกุพรมาปรากฏวรองค์โดยไม่ให้สุ้มให้เสียง

“ห่าเอ๊ย มาเงียบๆ แล้วนั่นอุ้มอะไรมา... แต่ช่างเหอะ ไปดูคนเงียบๆ คนนั้น นั่นดีกว่า” คืนฉายบุ้ยปากไปทางริมน้ำปาย มุมที่ทรงกลดนั่งกอดเข่าเจาจุกอยู่คนเดียว

“อ้าว....กลดเป็นอะไร” นลกุพรทรงถามขึ้นอย่างไม่วายสงสัย

“โรคงอน น้อยใจไง นายไปทำอะไรไว้ล่ะ ไปคุยกันเองแล้วกัน” คืนฉายตอบกลับ แล้วเดินจากมา ทิ้งนลกุพรที่ประทับยืนทบทวนว่า ได้ทรงทำอะไรให้ทรงกลดอยู่ในอาการที่เรียกว่า...........งอน

คืนฉายเดินกลับมาตามทาง มุ่งหน้ากลับบ้านพักแทนที่จะเดินไปยังห้องอาหาร บ้าน...ยังคงดับไฟสนิทแสดงว่าเอราวัตยังไม่กลับมา เพียงขาทั้งสองข้างย่างขึ้นบนบ้านเท่านั้น  สายตาของเขาก็จับร่าง บางร่างได้แว่บๆ ทันที 

ร่างนั้นพยายามจะหลบหนีเข้าต้นไม้ใหญ่หลังบ้านพัก ....แต่มีหรือจะไวเกินกว่าฤทธีที่อณูแห่งพระศุกร์ใช้สกัด

“รุกขเทวา....เจ้ากล้าบังอาจ เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต” คืนฉายใช้สายตาสำรวจรุกขเทวาที่หมอบตรงหน้ารวดเร็ว คราแรกตั้งใจจะซัดซ้ำ แต่แล้วก็ทำไม่ลง  เพราะรุกขเทวาตนนั้น กายเป็นชาย  แต่ใจดันเป็นรุกขเทวีมาเสียนี่

 “รุกขเทวามีเป็นตุ๊ดด้วยเหรอวะ”

“ปะ เปล่าเพคะ....เอ๊ยพะยะค่ะ” เจ้ารุกขเทวี กล่าวตอบแม้จะกลัวโดนลงโทษหากทีท่ากระตุ้งกระติ้งเกินหญิงยังคงมีให้เห็น ในแววตาหวาดๆ ยังไม่วายกล้าที่จะส่งสายตาหวานทอดสะพาน

“แล้วเจ้า เข้ามาบ้านพักเราทำไม”

“ก็แหม.....คือหม่อมฉัน เอ๊ยกระหม่อม เอ่อ...” นังรุกขเทวี เริ่มกล่าวตะกุกตะกัก มือไม้สั่น ไม่รู้ว่ากลัวยามถูกจับได้ หรือว่าสั่นสู้เป็นปกติยามอยู่ต่อหน้าเทวะผู้ชาย แต่ที่แน่ๆในใจตอนนี้ นางกำลังเปรยกับตนเองลั่น

“โอ๊ยยยยยยยย ท่านหล่อจังค่ะ ยิ่งดูใกล้ๆ ยิ่งหล่อ เห็นแล้วอยากมีผัว ได้สักที คงซี๊ดปากยันเช้า”

“ขอบใจ....ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์กับเรา บอกมาว่า เข้ามาทำไม”

แม้จะเป็นอณู ทว่าวาระจิตของคืนฉายนั้นสูงกว่า จึงรู้ว่า นังนี่ ต้องการอะไร นังรุกขเทวีตนนี้ท่าทางจะกร้านสวาท ถึงได้คิดอะไรสัปดี้สีปะดน ตนจึงแสร้งทำเสียงดุ และก็ได้ผล นังรุกขเทวาลักเพศ ถอยกรูดไปติดชิดระเบียง

“เจ้าบังอาจนัก เราซัดให้ร่างเจ้าสลายดีไหม”

อณูน้อยแห่งพระศุกร์อดที่จะแอบอมยิ้มไม่ได้ .....เสน่ห์ของเขานับวันยิ่งร้ายแรง
กระทั่งอยู่เฉยๆแล้ว....ก็ยังมีทั้งคนและรุกขเทวาตามมาหาเอง

“ว้าย กลัวแล้วค่ะ อย่าทำอะไรหม่อมฉันเลย....ก็แค่มาดูเผื่อมีอะไรให้รับใช้ ได้นวดถวายบ้างก็ยังดี”  ไม่รู้ว่านังรุกขเทวีตนนั้นกลัวจริงหรือเปล่า เพราะจากทีท่าที่ถอยหนี กลับแสล๋นแล่นกายคลานเข่าเข้ามากอดขา ...ออดอ้อนวอนขอให้รอด หรือจะออเซาะฉอเลาะขออย่างอื่นกันแน่

“เจ้านวดเป็นเหรอ” คืนฉายคลายหน้าดุพลัน ด้วยนิสัยเดิมที่เจ้าชู้ ชอบหว่านเสน่ห์ยังคงมีติดตัวบ้าง แม้จะไม่ได้คิดอะไรกับนังรุกขเทวี หากมีคนมาเสนอนวดให้ฟรีใครเล่าจะไม่เอา เอราวัตคงไม่ว่าอะไรหรอก ก็เขาเมื่อยนี่

คืนฉายคิดว่าเอราวัตไม่ว่าอะไร....แต่เขาคิดไปเพียงคนเดียว

 “ไหนเจ้าลองนวดดูสิ”

ว่าแล้ว เจ้าอณูน้อยจอมเจ้าชู้เสน่ห์ร้าย จึงนั่งเหยียดกายเหนือม้านั่งริมระเบียงทดลองให้นังรุกขเทวีมันถวายงานนวดดั่งใจมันปรารถนา และก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นังเทพโคนต้นไม้ลักเพศนั่น จะยินดี ปรีดาเพียงใด

“บุญมือของกูจริง จิ๊ง”

ที่ว่าเป็นบุญมือนั้น คาดว่าคงจะจริง เพราะนังนี่นวดเอาแต่โคนต้นขา และด้วยน้ำหนักมือที่จัดว่าเหนือชั้น แถมความเหนื่อยที่สะสม ทำให้คืนฉายผ่อนคลายจนอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น และก็กำลังรู้ดีว่า มือนังนั่น มันเริ่มบีบสูงมาเรื่อยๆ แลกดย้ำไล่ลมซ้ำเฉพาะตรงขาหนีบ แล้วอาการบีบก็ไม่กลายเป็นบีบอีกต่อไป กลับแปรเปลี่ยนเป็นคลึงเคล้า กระเซ้ายั่วแหย่ จนพระศุกร์ที่ไม่น้อย เริ่มพองตัวดันนูนผงาดกลางเป้าตามธรรมชาติ

แต่ที่แน่เสียยิ่งกว่าแน่ ตอนนี้นังคนนวด มันมองจนตาค้าง มือที่ใช้คลึงเคล้า เริ่มเลื่อนมาลูบเบาๆ อยู่กลางเป้า ใจของนังเทพโคนต้นไม้ ที่ไม่มีวันสลัดราคะออก อยากจะควักส่วนนั้นออกมา ครอบปากลงไปจนมิดลำ

คืนฉายทำไมจะไม่รู้ ว่านังรุกขเทวี เลิกนวดแล้ว หากยังปล่อยให้มันลูบเล่น เพราะเห็นว่าไม่เสียหาย ไหนๆมันก็อยากรับใช้ ยอมให้มันแต๊ะอั๋งพอเป็นกระษัยสักทีสองที ให้มันชื่นใจ คิดซะว่าเป็นค่านวดแล้วกัน

ทว่านังรุกขเทวีกลับสาระแนไม่หยุด มือสั่นพร่าของมันเริ่มรูดซิปลง คิ้วที่กันซะโก่งเกินชายเลิกขึ้น ด้วยเพราะตระหนกที่เห็นขนาดแม้เพียงรำไร และเลื่อนหน้าอ้าปากมาจนใกล้ จนแทบจะซุกลงไปฟอนฟัด แต่มันก็ไม่ไวไปกว่า มือแข็งแรงที่ยื่นมาจากด้านหลังกระชากหัวมันออกมาโดยแรง แล้วเหวี่ยงออกไปไกลด้วยฤทธี

“มาทางไหน มึงกลับไปทางนั้น”  เอราวัตมาจากไหนไม่รู้ตะโกนลั่น ก่อนจะยกส้นเท้าหนักๆถีบเจ้าคุณแฟนตัวดีด้วยความแรงยิ่งกว่าแรง

“ตื่นเดี๋ยวนี้ ไอ้ฉาย....หนอยบอกจะมาดูไอ้กลด กับเสือกมานอนให้ นังนั่นมันนวดไข่เล่นเสียนี่ มีอะไรจะแก้ตัวไหม”

“พระพุธ....จ๋า ฉายผิดไปแล้ว แต่ก็แค่นวดคลายเส้น” คืนฉายสะดุ้งพรวด ลุกขึ้นยืนรูดซิปคืนดังเดิม “ฉายผล็อยหลับ อีนังนั่นมันมือไว”

“แล้วทำไมมึงปล่อยให้ทำ หา.......อยากคลายเส้นเหรอ มานี่ ฉันคลายให้เอง รับรองหอกด้ามนี้จะคลายได้ทุกเส้นเอ็นแน่นอน ไอ้ฉาย”

“เฮ้ย จะฆ่ากันเลยเหรอ.........ไอ้ที่รักบ้า”

“เออสิวะ”

หอกด้ามยาวอาวุธคู่กายปรากฏขึ้นกลางมือเอราวัตทันใด ตอนนี้คืนฉายจะทำอะไรได้ นอกเสียจากหนีกับหนีเท่านั้น รัศมีฟ้าครามใสจึงวิ่งวนไปรอบๆ เหนือรีสอร์ท ตามติดด้วยรัศมีสีเขียวที่ไล่ล่าไม่หยุดยั้ง พร้อมเสียงร้องลั่น กร่นด่าสลับกันของคู่รักจอมเซี้ยวทั้งสอง....จนหลายๆคน ต้องออกมาดูว่าเกิดอะไรกันขึ้น

นลกุพร ใช้ฤทธีทำลายม่านอาคมเข้ามา ที่จริง ทรงกลดควรจะรู้ตัว แต่เขายังนิ่ง อาจจะเป็นไปได้ว่ารู้ หากยังไม่อยากหันไปมอง แม้นลกุพรทรงพระดำเนินมาจนใกล้ และน้ำหนักในการเหยียบย่างแต่ละครั้งมิใช่เบา อณูน้อยแห่งพระจันทรเศขร ยังไม่มีทีท่าจะหันกลับมา

จวบจนรู้สึกถึงลิ้นสากๆ คลอเคลียอยู่ที่แก้มและใบหู จนขนอ่อนตรงต้นคอลุกกรูชูชัน พระจันทร์ทรงกลดจึงหันมาหาเจ้าของลิ้น และพบกับดวงตาวาวสองคู่จ้องตอบเป็นประกาย แทนที่จะเป็นสายเนตรแห่งนลกุพร

ทีท่าไร้เดียงสานั้นชวนมอง ขนบนใบหน้าของสายตาทั้งสองนั้นสีเหลืองอ่อน และยังนุ่มมือยามได้สัมผัส หากเริ่มมีริ้วดำจางๆ ตามพ่อและแม่ มองเผินๆ นึกว่าลูกแมว แต่จะเรียกว่าลูกแมวก็ได้เพราะมันฉายแววขี้เล่นเลียหน้าทรงกลดจนลืมอารมณ์ซับซ้อนบางประการที่เป็นอยู่เสียสิ้น

“เรา....ไปเดินเล่นมา พอดีเจอเลยเอามาฝาก ท่านเจ้าเขาบอกว่า แม่มันโดนฆ่า มันเป็นกำพร้า น่ารักไหม เจ้าลูกแมวคู่นี้”

นลกุพรตรัสเรียกว่าลูกแมว....หากทรงกลดเปลี่ยใจเรียกตามจริงว่า “ลูกเสือโคร่ง” ใบหน้าที่เคยตูมๆ คลี่คลายลงเป็นแย้มยิ้มรวดเร็ว ขนตาหนาเป็นแพราวอิสตรี กระพิบวิบวับ ฉายประกายยินดีต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง

“น่ารักจังนล....”

“ลูกแมวหรือนล ที่ว่าน่ารัก”

“ลูกเสือต่างหากว่ะ....น่าสงสารด้วย เป็นกำพร้า” ทรงกลดรับลูกเสือคู่นั้นมากอดแน่น รัศมีโอนอ่อนผ่อนปรนแห่งจันทรเทพ ทำให้ลูกเสือตัวน้อยทั้งคู่ รู้ถึงกระแสเมตตาที่เต็มเปี่ยม และรับรู้ด้วยสัญชาติญาณพิเศษ ว่าเจ้านายของมันนั้นคือใคร เสียงร้องอ้อแอ้ของมันทั้งสองจึงเต็มไปด้วยความประจบประแจง

“ฉันจะเลี้ยงมันเอง หากมันโตค่อยใช้มนต์บังตา เอาไว้เฝ้าบ้าน ดีไหมนล”

“เจ้าจะเอาลูกเสือเนี่ยนะ ไปเฝ้าบ้าน ไปเลี้ยงที่บ้าน” นลกุพรทรงถามขึ้นเสียงสูง

“อ้าว เมื่อกี้ นลยังเรียกว่าเป็นลูกแมวเลย ลูกแมวก็เลี้ยงที่บ้านได้สิ” ทรงกลดกล่าวขึ้นอย่างไม่สนใจตั้งหน้าตั้งตาเล่นกับลูกเสือ เรียกว่าลูกพ่อๆ ดังลั่น จนนลกุพรพระพักตร์ตูมมาเสียเอง

“เปลี่ยนใจ เอามันไปคืนท่านเจ้าเขาดีกว่า”

“เฮ้ย....ทำไมล่ะนล ไม่ยอมหรอกนะโว้ย นายให้ฉันแล้ว”

“ก็เจ้ามัวสนใจแต่มันสองตัว ไม่สนใจเราเลย” เขี้ยวแก้วใสเริ่มโผล่พ้นริมโอษฐ์หยักงาม ยามไม่สบพระอารมณ์ พระพักตร์คมคายเริ่มงอง้ำเป็นม้าหมากรุกกับเขาบ้าง

“โธ่นล ...ก็ไอ้สองตัวมันน่ารักนี่หว่า ว่าแต่นายเอง ไม่สนใจเราเหมือนกัน ไปไหนก็ไม่บอก จู่ๆก็ลอยไป ว่าแต่ตามมุจลินทร์ไปใช่ไหม”

“จะบ้าเหรอ พี่ชายทยุติธรได้กระทืบเอานะสิ จะตามเขาไปทำไม  ตอนนั้นแค่อยากไปนั่งเงียบๆ ยอมรับว่ายังเจ็บบ้าง แต่ไม่มากแล้ว พอไปนั่งเพลินๆได้สักพักไอ้สองตัวนี่ก็ดันคลานต้วมเตี้ยม อ้อแอ้ออกมากวนใจ เลยนึกได้ว่า เอามาให้เจ้ากับเราช่วยกันเลี้ยงดีกว่า”

“อ้าว....เป็นงั้นหรอกเหรอ” ทรงกลดยิ้มแหยๆ เริ่มละอายที่แอบเผลอคิดมากไปเอง

“เมื่อกี้เจอคืนฉาย....เขาว่าเจ้างอนเรา อย่าบอกนะว่าเรื่องนั้น”

“ ไอ้ฉายมันก็ปากเสียเหมือนแฟนมัน ไปเชื่ออะไร”  ทรงกลดบ่ายเบี่ยง แต่เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ ไอ้ฉายปากเสียกับแฟน ก็เหิรลอยไล่กวดกันข้ามหัวเกือบชนเขากับนลอย่างหวุดหวิด จนต้องร้องด่าตามหลัง

“มึงสองตัว เล่นส้นตีนอะไรกัน หัดดูตาม้าตาเรือบ้างนะโว้ย ไอ้ห่า ลูกกูตกใจหมด” ทรงกลดด่าจบก็โอ๋เจ้าลูกเสือทั้งสองที่กำลังพองขนยามตกใจ “โอ๋ๆ ไม่ต้องกลัวนะลูกพ่อ”

“กูไม่ได้เล่น กูจะเอาเลือดหัวไอ้ฉายออก เสือกเจ้าชู้นัก” เอราวัตส่งกระแสจิตตอบกลับมา ก่อนไล่คืนฉายหายไปตามแนวราวป่าทะมึน

เมื่อทุกอย่างสงบ นลกุพรจึงเบียดพระวรกายเข้ามานั่งใกล้กว่าเดิม พระกรแข็งแรงใช้โอบไหล่ทรงกลดไว้มั่น  “เราสองคน จงดูคู่สีทันดรเป็นบทเรียน มีอะไรเราพูดกันตรงๆ.... เราไม่ลืมหรอก สัญญาที่จะดูแลซึ่งกันและกัน ที่ให้ไว้กับเจ้า”

“แค่นั้นไม่พอหรอกนล ตอนนี้นลต้องสัญญาว่าจะช่วยกันดูแลเจ้าสองตัวนี้ด้วย ....ตกลงไหม”

“สัญญาก็ได้ แต่บอกไว้ก่อน เราไม่ทำงานให้ใครเปล่าๆนะกลด”

“ไม่ได้บอกนี่หว่า ว่าจะให้ทำฟรี.....รู้หรอกต้องการอะไร ไปเหอะ เจ้าสองตัวนี่ มันคงหิวแล้ว” ทรงกลดกล่าวตอบ ใบหน้าขาวกระจ่างถูกเลือดในร่างขับเป็นสีแดงระเรื่อ เฉกเดียวกับนล เพราะต่างฝ่ายต่างรู้สภาวะจิตซึ่งกันและกัน ว่าคิดอะไร และต้องการอะไร

“ไปเข้าบ้านกัน ลูกพ่อ”

เจ้าลูกเสือตัวน้อยครางตอบรับ มันไม่รู้ภาษาหรอก หากแต่มันรับได้ด้วยกระแสจิตที่ทรงกลดส่งมา.... นลกุพรเองแม้จะเป็นเทวอสุรา แต่ก็เป็นฝ่ายดี เจ้าลูกเสือจึงรู้ว่าพระรัศมี มิมีอันตราย หนึ่งในสองตัวจึงพยายามเข้าหาออดอ้อนบ้าง จนเจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วต้องเอามาโอบอุ้มแนบพระอุระไว้เสียหนึ่ง เสด็จเคียงคู่เดินเข้าบ้านพักไปกับทรงกลด ด้วยพระทัยที่สุขล้นไม่แพ้กัน ความทรงจำใต้ฝักบัว และคำสัญญาทั้งสองยังจำได้และต่างฝ่าย ต่างผลัดกันท่องให้ฟังทบทวนอีกครั้ง

“ความรัก ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า รัก เสมอไป และไม่ควรจะมีการแลกเปลี่ยน ร้องขอ หรือต่อรองใดๆ หากเพียงแค่ ตกลงกัน เมื่อรักแล้ว ก็จะรักให้เป็น จึงจะได้ชื่อว่ารักที่แท้จริง”

***********************
รบกวนติดตามต่อใน บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕ นะคะ  :-[
ขอบพระคุณที่ติดตามเสมอมา  :pig4:

Artemis ๐๗ กุมภา ๖๓

ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
กำลังสนุกเลย อยากอ่านต่อแล้วครับ :)

ออฟไลน์ BaII

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
สนุกมากครับ อ่านซ้ำสองรอบแล้ว

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 372
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
ชอบการต่อล้อต่อเถียงของหลงตากับสีทันดร     :m20:

นุ้งดื้อน่าโดนจับมาตีก้นมั่กมาก     :laugh3:



นุ้งดื้อสอนตระการตาได้ดีนะ อ่านแล้วรู้สึกชื่นชม



 ไหน ๆ พี่ชายใหญ่ก็โดนมุจลินทร์คาบไปแ_กแล้ว นี่ขอกรี๊ดวายุภัคแทนได้มะ!?

 :m3:   คนอัลไลกร๊าวใจยิ่งนัก กักขฬะ หยาบคาย  โอ๊ยยยย… แซบบบบบ


ฮารุกขเทวีอะ คือตกลงนาง “เสียบ” ชิมะ?    :laugh:


อยากรู้จังว่ากลดจะตั้งชื่อลูกแมวน้อยทั้งสองว่าอะไร


ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Oooy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
วายุภัคนี่ดื้อจริงๆหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆเจ้าลูกเสือสองตัวน่ารักจังแต่ละคุ่ก็พ่อแง่แม่งอนบางคุ่ก็น่ารักกระหนุงหนิงรอตอนต่อไปนะคะขอบ๊งเบ๊งนักเขียนมากเลยคิดถึง :katai2-1: :impress3: :impress3: :L3:

ออฟไลน์ nantakorn0732

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
    • Coco Chadam
บทที่ ๑๔ เทวราชโองการ ส่วนที่๕

บรรยากาศยามเช้าวันนี้ช่างน่าสดใส ยิ่งใกล้วันเข้าเฝ้ารับเทวราชโองการเท่าไร เหล่าอณูน้อยยิ่งตื่นเต้นดีใจอย่างไม่เคยเป็น ทุกอย่างพรักพร้อมทันตามกำหนด ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนที่ได้รับการถ่ายทอดจากยอดขุนพลแห่งบาดาลและฟากฝั่งฉิมพลี หรือแม้กระทั่ง ตระการตา มนุษย์ธรรมดา ที่สามารถถอดกายทิพย์ได้โดยการถ่ายทอดจากมหาฤาษีขี้โมโห

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์เช่นนี้ ....บรรยากาศยามเช้าไยจะไม่น่าอภิรมย์ สมดั่งคำกล่าว
ทุกคนชื่นชมยินดี....หากมีบาง ‘พระองค์’ เท่านั้น ที่ทรงไม่พอพระทัย

“หลงตาขี้โกง แอบใช้ตบะบารมีช่วยเจ้าน่ะสิ” สีทันดรทรงค้อนขวับเพราะทรงแพ้แลลงกับใครไม่ได้ พระสุรเสียงใส จึงตวัดปลายนิดๆ “เหอะ เราจะทำแบบนั้นเราก็ทำได้ แต่เจ้าจะมีความภาคภูมิใจอันใด ตระการตา”

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน จำได้ว่านั่งสมาธิอยู่เฉยๆ หลวงตาท่านก็พูดไปพูดมาจนพี่เคลิ้ม รู้สึกตัวอีกที ก็เห็นตัวเองวิ่งตามแสงสว่าง พอตามทัน พี่ก็ออกมายืนหน้าร่างตัวเองแล้ว” ตระการตาทูลตอบไปด้วยความซื่อมากกว่าจะช่วยแก้ต่างให้หลงตา

การฝึกส่วนตัวเมื่อคืน เขาจำได้ ....คันฉัตรพาเขาไปส่งยังลานฝึกตามกำหนดเวลาที่หลวงตาบอก เมื่อไปถึงก็พบว่าหลวงตานั่งรออยู่ก่อนแล้ว การฝึกนั้นค่อยๆเป็นค่อยๆไป ทว่าไม่เนิบนาบ ต่างกับวิธีการของน้องสีทันดรโดยสิ้นเชิง มหาฤาษีหรือหลวงตาในยามนั้น ผิดกับยามที่เจอเมื่อตอนกลางวันเป็นคนละคน ไม่ขี้โมโหแถมยังใจดี ให้เขานั่งหลับตาเล่านู่นเล่านี่ จนเพลินคล้ายตกในภวังค์ แล้วบอกให้เขาวิ่งตามแสงสว่างกลางสมองนั่นแหละถึงได้รู้สึกตัว..และเมื่อรู้ กายทิพย์ของเขาก็ปรากฏอยู่หน้ากายหยาบเรียบร้อย

“นั่นแหละ เขาเรียกว่าใช้ฤทธิ์ช่วย ขี้โกง!!”  เจ้านาคาตาสวยยังคงไม่วายแย้ง

“ไอ้ดื้อ เดี๋ยวหลงตาของเจ้าก็ได้ยินหรอก อัสสะช่วยอะไรไม่ได้นา” อัสดงปรามที่รักพระเนตรฟ้าคราม หากแต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว เพราะคำว่าเดี๋ยวได้ยิน กลายเป็น ได้ยินครบถ้วนกระบวนความ และบังเกิดเป็นเสียงดังก้องกังวานมาจากทุกสารทิศ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเสียงใคร และเจ้าตัวก็คงแอบอยู่แถวๆนี้

“เอ็งว่าใครขี้โกงไอ้สีทันดร ไอ้นาคพ่อแม่ไม่สั่งสอน”

“โห หลงตา ด่าถึงพ่อเล่นถึงแม่ แหม...พูดเบาๆแท้ๆ สมกับเป็นมหาฤาษีที่หูดีได้ยินไปทั่วทั้งอนันตจักรวาล รู้ไปหมดว่าใครเขาคุยอะไรกัน”

“เดี๋ยวข้าก็แพ่นกบาลซะหรอก เอ็งจะด่าว่าข้าเสือกเหรอ” เสียงหลวงตายังคงลั่นๆ แต่ก็ยังไม่ยอมปรากฏตัว

“เปล่านะหลวงตา ...อย่ามาใส่ความหลาน แค่บอกว่าหลวงตาหูดี”

 “เขาเรียกว่าทิพยโสตโว้ย แต่เอาเหอะ วันนี้ข้าอารมณ์ดี เพราะข้ามีวิธีให้ไอ้มนุษย์นี่มันถอดกายทิพย์ได้ ข้าจะยกให้เอ็งสักวัน ข้าไปเฝ้าพระนารทท่านดีกว่า ข้าขึ้เกียจทะเลาะกับเอ็ง”

อัสดงกับอณูน้อยแทบทุกคน ถอนหายใจออกมาได้เพราะฝ่ายหนึ่งยอมเลิกราอ่อนข้อ จะได้ไม่ต้องแสบแก้วหู ทว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นยังคงพึมพำไม่หยุดหย่อน

“จะไปเข้าเฝ้า หรือจะไปให้ท่านช่วยกระจายข่าวให้กันแน่ ว่าตัวเองเก่ง สามารถสอนมนุษย์ธรรมดาถอดกายทิพย์ได้เพียงข้ามคืน”

พระนารทนั้นทรงได้ชื่อว่าเป็นผู้สื่อข่าวสวรรค์ เสด็จทางไหน ประทับที่ใด ‘ข่าว’ ทุกประเภทย่อมรับเข้ามาและแพร่กระจายถ่ายออกไปในเวลาเดียวกัน... ฉะนั้นการไปเฝ้า มิใช่เฝ้าทูลถามสารทุกข์สุขดิบ หากแต่คงไปเฝ้าฝากข่าวถึงผลงานมากกว่า

“เสือกรู้ดีนัก นี่แนะ”  หลวงตาส่งเสียงทิ้งท้ายก่อนจะเงียบหายไป เหลือไว้แต่พระสุรเสียงร้องลั่น พระหัตถ์ทั้งสองข้างยกมากุมกลางพระเศียรแน่น

“โอ๊ยยยยยยยยย หลานเจ็บนะหลวงตา... อัสสะช่วยดูให้หน่อย หัวเราแตกไหม”

มิต้องสงสัย ว่าสีทันดรจะทรงโดนอะไรฟาดกลางพระเศียร อัสดงแม้จะเข้ามาช่วยดู หากแต่ก็สะใจที่สุดที่รักโดนเสียมั่ง ยิ่งนลกุพรนั้นปรบหัตถ์ดังลั่นด้วยความชอบใจ ตรัสออกนอกหน้า สรวลก้องดังกว่าใคร

“สมน้ำหน้า!! สะใจนักเด็กดื้อโดนตีกบาล”

“ไอ้บ้านล....พี่กลดเอ็ดนลบ้างสิ”

“จะได้หายดื้อเสียที...ดีแล้ว” ทรงกลดเสริมขึ้นมายิ้มๆ มิเข้าข้างสีทันดร ที่งอนตุ๊บป่องไปแล้ว เจ้าอณูแห่งจันทรเทพพูดไปก็ป้อนนมเจ้าลูกเสือสองตัวไปอย่างน่าเอ็นดู จนคันฉัตรเห็นเข้าเลยต้องเปรยขึ้นดักคอไว้ว่า

“ป้อนให้อิ่มนะไอ้กลด ถ้าลูกมึงเสือกหิว มาตะปบกระต่ายน้อยลูกกู ...เป็นเรื่องแน่”

“ไอ้ห่าฉัตร ตัวมันนิดเดียว ยังตะปบไม่ได้หรอกน่า” ทรงกลดแก้ต่างพร้อมกับยกเจ้าลูกเสือมาฟัดด้วยความเอ็นดู น้ำเชี่ยวกับราหูนึกสนุกก็เข้ามาเล่นด้วย และขอพาไปฟัดกันกลางสนาม

“เบาๆ นะโว้ยพวกมึง ลูกชายกูยังเล็ก” ทรงกลดแม้จะหวงลูกชายลายจางๆ หากก็ยอมปล่อย

“เออ กูรู้แล้วน่า” น้ำเชี่ยวลิงโลดรับคำ ตระกองกอดลูกชายของทรงกลดแน่น แล้วแบ่งให้ราหูอุ้มไว้หนึ่งตัว ก่อนจะวิ่งออกไป ทิ้งสายตาของใครบางคนมองตามไว้แต่เพียงเบื้องหลัง

“โอเค ไหมวะธรรม์”

คืนฉายถามขึ้น ด้วยความเป็นห่วง เพราะรู้นัยแห่งสายตาเศร้าสร้อยนั้นเป็นอย่างดี ทว่าเจ้าของกลับไม่กล้าที่จะยอมรับความรู้สึกตัวเอง จึงเปลี่ยนเรื่องตอบไปอีกทาง

“ไม่เป็นไรหรอก ช่างเหอะ...ว่าแต่ หน้ามึงไปโดนส้นตีนอะไรมาวะไอ้ฉาย หรือว่าโดนตีนเสือตะปบ”

“อ๋อ มันไม่ได้โดนตีนเสือหรอก มันโดนตีนกูเอง” พระพุธน้อยเดินมาจากทางไหนไม่รู้  แทรกกลางบทสนทนาได้อย่างพอดิบพอดี “เจ้าชู้นัก ต้องโดนอย่างนี้....ถ้านายจะมีแฟนเลือกดีๆนะธรรม์ อย่าเอาเจ้าชู้แบบไอ้ฉาย”

“ฉายไม่ได้เจ้าชู้ ... ฉายก็อยู่ของฉายเฉยๆ ฉายเปล่านะ เขามาเอง ”

คืนฉายพูดไปแต่ไม่รู้หรอกว่า ‘เขา’ ที่ว่า หรือนางรุกขเทวาลักเพศบัดนี้จะมีสภาพเป็นเยี่ยงไร หากคืนฉายเดินไปดูหลังตลาดถนนคนเดินสักนิด จะเห็นว่า ต้นไม้ประจำตัวของนังนี่ ได้ถูกย้ายด้วยฤทธี ไปประดิษฐานอยู่ข้างซ่องโสเภณีเรียบร้อย และคนที่ขุดรากถอนโคนก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล นอกเสียจาก เจ้าพระพุธนี่เอง

“ยุ่งกับฉายของกูเหรอ...ไปเป็นกะหรี่อยู่ข้างซ่องเสียเหอะมึง”

นั่นคือบทลงโทษเล็กๆน้อยๆ สำหรับนังรุกขเทวี...และคาดว่ามันคงจะจำไปจนกว่าจะหมดบุญ!!!

“ยังจะมาแก้ตัว เอาอีกสักทีดีไหม” เอราวัตบอกว่าเอาอีกสักทีตั้งท่าเงื้อกำปั้นหรา แต่ท้ายสุดก็เปลี่ยนใจหยิบยามาทาแก้ฟกช้ำให้ กลายเป็นภาพงามน่ารักภาพหนึ่ง ในหลายๆภาพยามเช้าตามความรู้สึกของธรรม์

เริ่มจากภาพอัสดงแหวกพระเกศาจับเจ้านาคน้อยนั่งตัก ใช้ลมปากเป่าไล่ความเจ็บบนพระเศียรให้สุดที่รัก ที่ยังทรงครางอู้ด้วยความเจ็บจากการโดนฟาดกลางพระเศียรหรือกบาล อีกทั้งทรงกลดกับนลกุพรก็นั่งคุยกันกระหนุงกระหนิง ช่วยกันคิดชื่อให้กับลูกชายทั้งสอง ทางด้านเอราวัตกับคืนฉายแม้จะกระเง้ากระงอด หากบทออดบทอ้อนของเจ้าพระศุกร์ ก็ทำให้หัวใจเหงาๆของเขาเริ่มสั่น ส่วนคันฉัตรกับตระการตาก็แยกไปนั่งคุยลำพังสองต่อสองป้อนอาหารกระต่ายป่าอยู่ตรงริมระเบียง  หากนั่นไม่สำคัญเท่าภาพของน้ำเชี่ยวกับราหูที่กำลังฟัดกับลูกเสือทั้งสองกลางสนาม

ภาพน้ำเชี่ยวกำลังหัวเราะอย่างสดใส แลราหูก็ร่าเริงวิ่งไล่
ภาพนี้นั้น “น่าเอ็นดู” ทว่าทำให้ธรรม์ ต้องเบือนสายตาหนี...และรู้ดีว่าตนกำลังรู้สึกอย่างไร

“อย่าบอกเลย บอกไปจะเสียเพื่อนตอนนี้เปล่าๆ หากมีชีวิตรอด ไว้ค่อยบอกตอนสิ้นศึก หรือไม่ก็บอกก่อนตาย เพราะถ้ามันไม่ใช่ จะได้ไม่ต้องทรมานจากความเฉยชา”

ธรรม์ปลีกตัวเดินออกไปเงียบๆ คิดเองเออเอง ตามประสา โดยที่ไม่มีใครสนใจ เพราะต่างฝ่ายต่างก็อยู่กับคู่ของตัวเอง ตั้งใจกลับไปนั่งสมาธิลำพังตามวิสัยสันโดษ ‘เทพฤาษี ครุแห่งเทวะ’ ตามต้นกำเนิด ผู้ไม่ชำนาญในด้านความรัก แต่เขาไม่รู้หรอก ว่าตอนนี้มีสายตาบางคู่หยุดยืนมองอยู่กลางสนาม ผละความสนใจกับลูกเสือ ก้าวเท้าจะเดินตามมา แต่ก็ต้องหยุดชะงัก

“เฮ้ย ไอ้น้ำเชี่ยวจะไปไหน...เล่นกันต่อเหอะ ไอ้สองตัวนี่กำลังน่ารักเลย”

น้ำเชี่ยวควรจะปฏิเสธราหูและเดินตามไป หากก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น วิสัยของต้นกำเนิด ‘เทวะแห่งสงคราม’ นั้นเป็นนักรบเต็มพระองค์ ชอบที่จะพูดอะไรตรงๆ ไม่อ้อมค้อม ไม่ต้องงอนต้องง้อ รักก็บอกว่ารัก ชอบก็บอกว่าชอบ การกระทำหลายๆอย่างของธรรม์มันจึงสร้างความอึดอัดใจแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก

“นายคิดอะไรกับฉันกันแน่วะไว้ธรรม์ มีอะไรก็บอกฉันมาสิวะ อมพะนำอยู่ได้”

“นายว่าอะไรนะไอ้น้ำเชี่ยว” ราหูได้ยินน้ำเชี่ยวพึมพำ ฟังไม่ชัดจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ปะ เปล่าไม่มีอะไรหรอก...เล่นกับลูกไอ้กลดต่อเหอะ”

น้ำเชี่ยวตัดบทราหูไปเช่นนั้น...พยายามจะมิสนใจสหายที่เดินลับตาไปคนเดียวโดดๆ เขามิรู้หรอกว่า ยิ่งพยายามจะไม่สนใจเท่าไร ยิ่งทำให้หัวใจนักรบ แอบเผลอลอยตามไป อย่างฉุดรั้งไว้ไม่อยู่อีกแล้ว

ในที่สุดวันสำคัญที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง คืนวันพระจันทร์เพ็ญ วันเข้าเฝ้ารับเทวราชโองการ... ลานฝึกถูกใช้ตั้งเป็นปรัมพิธีตกแต่งตั้งแต่เช้า จวบจนพลบค่ำ ด้วยฝีมือนางไม้ทั้งป่า  คบเพลิงเริ่มจุดสว่างไสวไปทั่ว กลิ่นกำยานหอมฟุ้งโชยกำจายตรลบอบอวล

เหล่าอณูน้อยอาบน้ำและชำระร่างกายให้สะอาดเป็นพิเศษด้วยน้ำจากสระอโนดาตที่เหล่ามหาดเล็กของทยุติธรอาสาไปนำมาให้ พระธิดามุจลินทร์เสด็จขึ้นมาอีกครั้งพร้อมบรรดานางข้าหลวงช่วยปรุงทิพยสุคนธ์ในน้ำสำหรับสรงสนาน เป็นกลิ่นหอมที่หอมเสียยิ่งกว่าหอม ความพิถีพิถันและประณีตจำต้องมีให้ครบถ้วน เพราะการเข้าเฝ้าครั้งนี้มิได้เข้าเฝ้าเทพชั้นผู้ใหญ่ธรรมดา หากแต่เป็น มหาเทวะแลมหาเทวีผู้กุมอำนาจสูงสุด

เจ้าป่า เจ้าเขา รุกขเทวา ต่างก็ช่วยกั้นม่านอาคมตั้งมณฑลพิธี มิให้ใครมารบกวน เจ้ารัก เจ้ายม เกณฑ์บรรดาผีป่า เป็นหน่วยลาดตระเวนคอยตรวจดูสิ่งผิดปกติหรือพวกมารที่ไม่ได้รับเชิญเป็นรัศมีโดยรอบทั้งแปดทิศ กองราชองครักษ์ทัพยักษ์ในนลกุพรยืนตระหง่านเป็นวงล้อมกำแพงด้านนอก  นาคบริวาร ทหารมหาดเล็กแลทหารรักษาพระองค์ในทยุติธรเลื้อยพันเกี่ยวกระหวัดเป็นปราการทะมึนด้านใน ส่วนบนห้วงนภากาศคือครุฑบริวาร ทหารคนสนิทในวายุภัคที่คอยโฉบ ฉวัดเฉวียนมิให้ภัยใดๆมาบีฑาแลทำลายพิธีศักดิ์สิทธิ์

เทวะ...เทวนาคา เทวปักษี และเทวอสุรา ต่างเข้าใจในหน้าที่ อีกทั้งพร้อมใจกันร่วมมือ
แม้เรื่องส่วนพระองค์ของเจ้าผู้นำ ยังคงมีความบาดหมาง หากเทวะจำต้องดำรงไว้ด้วยหน้าที่

หน้าที่....ที่ต้องร่วมกันปกป้องโลกมนุษย์ ซึ่งเป็นภพกลางที่สำคัญที่สุด

สีทันดรและมุจลินทร์ ช่วยกันร่ายมันตรากางกั้นม่านอาคมสูงสุดอีกชั้น แลช่วยกันเนรมิต แท่นดอกบัวบานเป็นอาสนะสำหรับเหล่าอณูน้อย ตระการตาที่ยืนทอดทัศนาภาพทั้งหมดถึงกับขนลุกซู่ โชคดีที่จิตมีสมาธิเริ่มเข้าขั้น จึงไม่หวาดหวั่นมากเท่าเฉกเคย ยามเห็น ผี..เทวดา นาคา ครุฑ ท้ายสุดก็คือยักษ์

“พิธีใหญ่เลยเหรอน้องสีทันดร”

“ใช่...เข้าเฝ้ามหาเทพนี่นะ ก็ต้องใหญ่แบบนี้แหละ ปรัมพิธีนับว่าสำคัญ ต้องใช้ป้องกันมิให้พวกมารมันฉวยโอกาสเข้ามาทำลายกายหยาบ ในระหว่างกายทิพย์ขึ้นเฝ้ายังเทวสภา” สีทันดรทรงร่ายพระเวทเสร็จพอดี ผินพระพักตร์มากล่าวตอบด้วยสุรเสียงอ่อนโยน แสดงว่าวันนี้พระอารมณ์แจ่มใสเป็นพิเศษ

“พิธีใหญ่แบบนี้ พี่ชักกังวลแล้วสิ กลัวจะทำเสียเรื่อง หลวงตาก็ไม่มา จะถอดกายทิพย์ได้กับเขาไหมนี่ แล้วทำไมฉัตรยังไม่ออกมาอีก ” ตระการตาเริ่มรู้สึกประหม่าอย่างไม่เคยเป็น สีทันดรเข้าพระทัยในความรู้สึก จึงตรัสปลอบด้วยมธุรสวาจาน่าฟังประทานกำลังใจว่า

“ไม่ต้องกลัว....ถึงหลวงตาไม่มา เจ้าก็ทำได้น่า มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ ที่เราว่าไปวันนั้น อย่าไปคิดอะไรมากเลย”

“แต่พี่กลัวทำไม่ได้จริงๆนะ ตอนนี้อยากเจอฉัตร อยากคุยกับฉัตรก่อนขึ้นเฝ้า ไม่เห็นหน้าตั้งแต่บ่าย”
 
“เดี๋ยวก็ได้เจอ เราว่า พี่เตรียมเข้าฌานบนแท่นหินนั่นได้แล้ว...เพราะพี่อาจต้องใช้เวลาถอดกายทิพย์นานกว่าคนอื่น หลงตาท่านแอบใช้ฤทธิ์ช่วยพี่ คราวที่แล้วพี่จึงกระทำได้โดยง่าย” เจ้านาคน้อยเว้นวรรคตรัสชั่วครู่แล้วทรงกล่าวต่อว่า

“แต่ไม่ต้องกลัว หลวงตาท่านคงไม่ทิ้งหรอก..... เอาล่ะ อย่าเสียเวลาเลยทำตามที่เราบอกเถอะ”

“ครับ...น้องสีทันดร”

ตระการตาคลายความกังวลลงไปบ้างรับคำอย่างว่าง่าย ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิเข้าฌานตามรับสั่งทันใด ปฏิบัติและกำหนดลมหายใจตามที่มหาฤาษีสอน สีทันดรทรงเข้าพระทัยดี แต่ก็ไม่วายแอบระบายลมหายพระทัย เพราะทรงตรัสปลอบไปอย่างนั้น ว่าหลวงตาไม่ทิ้ง หากความจริงมหาฤาษีอาจจะไม่มาก็ได้ ทีนี้พิธีคงเสีย  แต่แล้วจู่ๆพระโอษฐ์แดงสด ก็แย้มระเรื่อขึ้น

“ดู๊ ดูเอาเถิด...มุจลินทร์ ดูมหาฤาษีใจดำ มาถึงตั้งนานก็ยังไม่ยอมปรากฏตัวคอยดูแลลูกศิษย์”

คราวนี้สีทันดรหันไปตรัสกับมุจลินทร์ลอยๆ จนมุจลินทร์สรวลคิก แล้วทั้งสองก็คุกพระชงฆ์ลงก้มกราบไปข้างๆแท่นหินด้วยกันทั้งคู่

“เอ็งนี่มันปากเสียนะไอ้สีทันดร เดี๋ยวก็โดนข้าฟาดกบาลอีกรอบหรอก ข้าเพิ่งจะมาถึงต่างหาก ไม่ใช่มาตั้งนาน” เสียงเอ็ดแหวๆดังขึ้นพร้อมร่างของมหาฤาษีที่ปรากฏขึ้นข้างหน้า คราวนี้หลวงตามาในมาดใหม่ นุ่งห่มผ้าคากรองขาวพิศุทธิ์ระยิบระยับ

“หลานล้อเล่น...นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”

“ข้าต้องมาสิ ...พระคุณเจ้า พระอาจารย์ของไอ้อัสดงท่านไม่ว่าง ก็ต้องเดือดร้อนข้านำพาพวกเอ็งขึ้นเฝ้า”

“ทำไมท่านถึงไม่ว่าง”

“ไม่ใช่เรื่องของข้าที่ข้าจะต้องพูด เอ็งมีอะไรก็ไปทำกันเถอะ อ้อ...เรียกไอ้ทยุติธรกับไอ้วายุภัคมาหาข้าด้วย” หลวงตาตัดบทโบกไม้โบกมือไล่ ก่อนทั้งสองจะไป น้ำเสียงของหลวงตา ก็แปรเปลี่ยนเป็นสดใส บอกกับมุจลินทร์โดยเฉพาะว่า

“นังหนู เอ็งจะเป็นพระสมุทรเทวี องค์ต่อไปที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เอ็งตัดสินใจถูกต้องแล้วที่เษกกับไอ้เจ้าทยุติธร เอ็งจะมีลูกชายคนแรกที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ประหนึ่งพญาอนันตนาคราช ปู่ของพวกเอ็ง”

“สาธุ เจ้าค่ะหลวงตา” มุจลินทร์ตื้นตันพระทัยก้มลงกราบกับพื้นอีกครั้งก่อนจะคลานเข่ารับอาสาไปตามทยุติธรมาหาหลวงตา นั่นก็หมายความว่าสีทันดรต้องเสด็จไปหาวายุภัค อีกฟากของปรัมพิธี

“ไม่อยากจะเสวนาด้วยเลย”

“ไอ้ฉิบหาย ข้าใช้แค่นี้ทำบ่น” เสียงหลวงตาด่าแว่วๆ ลอยมาตามลม และมีหรือที่สีทันดรจะไม่สวนกลับ

“บ่นสิ...หลวงตาเรียกเขามาทางจิตก็สิ้นเรื่อง”

“ข้าขี้เกียจ”

“หลานก็ขี้เกียจ แถมยังเกลียดเขา”

สิ้นคำว่าเกลียดสีทันดรก็เสด็จมาถึงกลุ่มเทวปักษี ที่ยืนรอเข้าร่วมพิธี ครุฑพวกนั้น พอเห็นว่าใครเสด็จมาก็รีบแตกหนีออกเป็นช่อง เพราะทราบถึงกิตติศัพท์และความร้ายกาจ อีกทั้งรู้ดีว่าไม่ใช่คู่ต่อกร แถมเจ้านายยังทรงต้องพระทัย

“นายพวกเจ้าอยู่ไหม”

“คิดถึงพี่หรือจ๊ะ ถึงได้มาหา มาให้พี่หอมอีกสักฟอดเถอะ สุริยาทิตย์ไม่รู้หรอก” วายุภัคยันพระองค์ลุกขึ้นมาด้วยพระพักตร์ชื่นบาน สุรเสียงใสดังกังวานตรัสหยอกล้อโดยไม่มีทีท่าว่าจะทรงเขินอาย แถมยังเสด็จเข้ามาใกล้

“ต่ำช้าไม่เลิก...หลวงตาให้มาตาม นั่งรออยู่ตรงกลางปรัมพิธี” สีทันดรตรัสจบก็สะบัดพระพักตร์พรึ่ดเสด็จออกมา ทว่าวายุภัครีบเข้ามาสกัดหน้า หมายพระทัยจะคว้าข้อพระกรไว้ หากแต่ทรงกระทำไม่ได้ เพราะจักรเพลิง บังเกิดขึ้นรอบพระวรกายเจ้านาคาน้อย ลุกโชนเป็นประกายไฟเจิดจ้า ร้อนแรงฤทธี

จักรเพลิง...ที่เทวะชั้นผู้น้อยดูก็รู้ว่าเป็นของใคร
จักรเพลิง...ที่เสกครอบพระวรกายงามยิ่งกว่ารูปสลักนี้ไว้  แสดงว่าเจ้าของหวงนักหวงหนา

อัสดงทำถึงขนาดนี้ วายุภัคจะทรงหาญกล้า ท้าทายอีกฤา

“ไอ้สุริยาทิตย์...ฝากไว้ก่อน รอให้สิ้นศึกก่อนเถอะ”

วายุภัคเสด็จปึงปังจากไป สีทันดรเองก็สาแก่พระทัยยิ่งนัก ครุฑบริวารเทวปักษีรายรอบตัวสั่นกันเป็นแถว ยามเห็นฤทธี ครั้นพอผินพระพักตร์ แสงสีเขียววาบก็ปรากฏขึ้นตรงพื้นดินหน้าพระพักตร์ เมื่อสลายก็กลายเป็นร่างของกองราชองครักษ์ในพระองค์กำลังหมอบราบกราบลงแทบบาท พระสุรเสียงใสจึงกังวานก้องด้วยความดีพระทัยอย่างที่สุด

“นาเคนทร์...เจ้าพ้นคำสาปของทูลหม่อมปู่วาสุกีแล้ว เราดีใจที่สุด”

“พะยะค่ะ ทูลกระหม่อม...เกล้ากระหม่อมพ้นคำสาป เพราะพระมหาวิษณุทรงบรรทมตื่นแล้ว” ราชองครักษ์นาเคนทร์กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าดีใจเช่นกันที่พ้นคำสาปและได้กลับมาถวายงานรับใช้เบื้องยุคลบาท

“วันนั้นกระหม่อมต้องขอพระราชทานอภัยโทษด้วย ที่ชิงพระองค์คืนบาดาลไม่ได้ แต่นับจากนี้ไป ทั้งกระหม่อมและทหารราชองครักษ์ขอถวายชีพ เพื่อทูลหม่อมเล็กพระองค์เดียว”

“ขอบใจมากนาเคนทร์ เราซึ้งในน้ำใจเจ้านัก เราต่างหากที่ควรขอโทษพวกเจ้า ทำให้ต้องถูกทูลหม่อมปู่สาปเป็นงูดิน เราซนเองที่ไปบุกบ้านของพี่กลด แต่ถ้าเราไม่บุก เราคงไม่ได้เจออัสสะ....แต่อย่าไปพูดถึงอีกเลย ดีกว่า” เจ้านาคน้อยทรงหยุดตรัส อมรอยแย้มสรวลไว้ พระพักตร์ลออเริ่มแดงซ่าน เพราะวันที่ตัดสินพระทัยแอบเข้าบ้านทรงกลดไม่ใช่หรอกหรือ ที่ทำให้พบกับรอยจุมพิต รอยแรกในพระชนม์ชีพ  จูบที่แม้จะเกิดขึ้นมานานแสนนาน หากยังหนาวสั่นสะท้านมาถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะนึกถึงมาอีกกี่ครั้งกี่หน

“เอาล่ะ นาเคนทร์ พวกเจ้ามาก็ดี ในระหว่างที่พวกเราขึ้นเฝ้า เราจะให้เจ้าเฝ้ากายหยาบของอณูน้อยทั้งหมดไว้ให้ดี อย่าให้มีภัยใดมากล้ำกราย  เราสร้างเขตอาคมปริมณฑลไว้ชั้นหนึ่งแล้ว พวกเจ้าจงเฝ้าไว้อีกชั้น โดยเฉพาะ กายของอณูแห่งพระสุริยาทิตย์ อย่าให้มีแม้แต่รอยขีดข่วน ไม่งั้นเราเอาเรื่องพวกเจ้าแน่” สีทันดรทรงรับสั่งชัดถ้อยชัดคำ และหมายความตามนั้นทุกประการ แม้จะทรงรู้สึกเขินที่แอบลำเอียง ทว่ายังแสร้งฝืนพระพักตร์เป็นปกติได้

“อ้าวไหนทูลหม่อมเคยรับสั่งว่า เกลียดเขา ไฉนยามนี้ถึงให้พวกเกล้ากระหม่อมเฝ้า”

“เออน่า...อย่าถามให้มากความเลย ไปทำตามเราสั่งได้แล้ว” สีทันดรทรงตัดบท ทำพระพักตร์ไม่ถูกเพราะไม่รู้จะอธิบายต่อราชองครักษ์อย่างไร

“พระเจ้าข้า”

เมื่อได้ฤกษ์เวลาอันเหมาะสม จันทรเทพทรงรถม้าสีเศวตประทับลอยกลางฟ้า อณูน้อยก็มาพร้อมกันยังลานฝึกหรือบัดนี้เป็นมณฑลพิธี และเปลี่ยนมานุ่งภูษาสีเศวต ตามแบบฉบับเทวะ ที่มุจลินทร์นำขึ้นมาจากบาดาล เข้านั่งประจำอาสน์ดอกบัวที่สีทันดรกับมุจลินทร์เนรมิตขึ้น ครั้นทุกคนพร้อม หลวงตาก็เหยียบอากาศเหิรลอยขึ้นมาตรงใจกลางวง เหนือหัวมนุษย์น้อยตระการตา พร้อมกับทยุติธรที่เสด็จมาประทับเบื้องขวา วายุภัคประทับยังเบื้องซ้าย ส่วนนลกุพร สีทันดร และมุจลินทร์ ประทับนั่งลดหลั่นกันเบื้องปฤษฎางค์ทยุติธร ร่วมกันร่ายพระเวทเปิดฟ้า บูชามหาเทพแลมหาเทวี 

มหาฤาษีกล่าวมันตรา ‘โอม’ ดังก้องสะท้านไปทั่วทั้งอนันตจักรวาล ทุกพระองค์และทุกคนน้อมจิตนำรวมสู่กระแสมันตรานั้น แล้วอัฐรังสีก็พลันบังเกิด ตรงกลางหน้าผากของอณูน้อยทุกคน กลายเป็นรัศมีประจำตัวพวยพุ่งออกมารวดเร็ว กายทิพย์ของเหล่าอณูน้อย ถอดออกจากกายหยาบเรียบร้อย ดอกบัวที่บานอยู่หุบกลีบตูมแน่นป้องกันร่างกายไร้จิตไว้ทันใด

อณูแห่งเทวะ บัดนี้ งามพร้อมเฉกเทวะต้นกำเนิด รัศมีประจำตัวสุกใสเลื่อมพราย เหิรลอยอยู่กลางฟ้า รอมนุษย์นามตระการตา ถอดจิตตามออกมาเดินทางพร้อมกัน และทุกคนก็ไม่ผิดหวัง คาดว่ามหาฤาษีคงจะใช้ฤทธีแอบช่วย เพราะเพียงครู่ กายทิพย์ของตระการตาก็ลอยละลิ่วออกมา แลรัศมีสีม่วงจากฟากฟ้า ก็เหิรลอยลงมารับ

“เก่งมากตระการตา”

“ฉะ ฉัตร เหรอนี่....ฉัตรจริงๆใช่ไหม ทะ ทำไม หล่ออย่างนี้” ตระการตากล่าวขึ้นเพราะคันฉัตรจากเดิมที่ว่าหล่ออยู่แล้วยามนี้ ยิ่งหล่อขึ้นกว่าเดิม

“กายทิพย์จะงามกว่ากายหยาบเสมอจำไว้ ...ยิ่งกายทิพย์ของอณูแห่งเทวะอย่างเรา จะงามเกือบเสมอเทวะต้นกำเนิดเลยทีเดียว เดี๋ยวตาก็จะได้เห็นท่าน....อย่าลืมระวังจิตไว้ให้ดี”

คำว่า ‘อย่างเรา’ ของคันฉัตร คงมิได้หมายถึง เขาคนเดียวอีกแล้ว
หากแต่ คือพวกเขาทั้งหมด ...ที่งามพร้อมตามแบบฉบับเทวะต้นกำเนิด

งามนั้นมิใช่งามธรรมดา....ทว่างามจับตาราวหล่อมาจากพิมพ์เดียวกัน

คันฉัตรไม่พูดอะไรต่อ พาตระการตาเข้ามาฝากมหาฤาษีให้ช่วยควบคุมจิตให้ แล้วลอยกลับไปรวมกลุ่ม ส่วนอัสดงเจ้าหัวหน้า ก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้เจ้านาคายอดดวงใจ เหิรลงมาจูงข้อพระกรสีทันดรขึ้นมาประทับยืนเคียงคู่

“วันนี้นั่งเฝ้าข้างๆอัสสะนะ ผู้ใหญ่หลายๆพระองค์จะได้รู้เสียที  ว่าอณูแห่งพระสุริยาทิตย์รูปหล่อคนนี้ มีใครเป็นยอดดวงใจ”

“ไม่เอา เราเขิน ไม่จำเป็นต้องนั่งใกล้ เพียงแค่ท่านจับวาระจิตของเจ้า ท่านก็รู้แล้ว” พระสุรเสียงใส ตรัสตอบเพียงเฉพาะได้ยินกันสองต่อสอง

“เขินทำไม เป็นแฟนพระอาทิตย์ไม่ดีตรงไหน หรืออยากจะไปนั่งข้างไอ้วายุภัค” อัสดงกระเซ้า ใช้นิ้วจี้บั้นพระองค์

“เหอะ พูดเล่นไป ....ถ้าไปนั่งจริงๆ จะน้ำตาตก” สีทันดรด้วยความหมั่นไส้สุดประมาณจึงหยิกแก้มเจ้าอัสสะตัวดี โดยมิสนพระทัยว่าจะมีหลายๆสายตามอง “เรามีที่นั่งบนเทวะสภาแล้ว”

“ที่ไหน....ไอ้ดื้อ”

“เดี๋ยวอัสสะก็รู้”

สิ้นพระสุรเสียง อัสดงกับสีทันดรก็สลายกลายเป็นรัศมีสุกจ้ายิ่งกว่าคราใดๆ รอให้ มหาฤาษี เหิรทะยานนำหน้า และในพริบตานั้น ทุกพระองค์ ทุกคน ก็โผนทะยานตามหลังมาทันที พวยพุ่งขึ้นฟ้ามุ่งหน้ายังมหาเทวสภา ณ ดาวดึงส์

แสงโชตินาการเจิดจ้าหลากสีเหล่านั้น เดินทางรวดเร็วในความเวิ้งว้างของห้วงนภากาศ  เพียงสักครู่ทั้งหมดก็รู้สึกถึงกระแสอวล บรรยากาศโดยรอบเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นละเอียดขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณแห่งการก้าวเข้าสู่ทิพยภพ

ทิพยภพหรือสวรรค์...มนุษย์มักคิดว่าอยู่บนฟ้าสูงๆ หากแท้จริง ควรพูดให้ถูกว่า เป็นภพชั้นสูง มิสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า และเข้าไปได้ด้วยกายเนื้อ

ที่สำคัญสงวนไว้...เฉพาะผู้มีบุญเท่านั้น
ภพภูมิยิ่งสูง ...บุญยิ่งต้องมีมาก

ตระการตาเริ่มเข้าใจ ความจริงก็ต่อเมื่อเดินทาง ภพที่เหลื่อมซ้อนและรอยต่อระหว่างภพเป็นอย่างนี้นี่เอง

“เข้าเขตตาวติงสาภูมิแล้ว”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
    • Coco Chadam
เสียงของมหาฤาษีดังขึ้นทางจิตให้ทุกพระองค์และทุกคนทราบ ว่าถึง ‘ตาวติงสา’ หรือ ‘ดาวดึงส์’ และทั้งหมดก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร ระดับความสูงที่ใช้เหิรลอย จึงลดระดับลงละเลียดพื้นเสมอตฤณชาติ การลดระดับนี้ เทวทุกพระองค์ย่อมรู้ดี ว่ามิใช่ถวายความเคารพแด่ท้าวสักกะเทวราชพระผู้ทรงเป็นองค์ประธาน หากแต่ถวายแด่ ‘พระเกศจุฬามณีเจดีย์’ อันเป็นที่ประดิษฐาน พระเกศโมลีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกทั้งพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาหลังจากถวายพระเพลิงพระพุทธสรีรังคาร

ด้วยเหตุนี้ เทวะทุกพระองค์ จึงถวายความเคารพสูงสุด มิก้าวล่วงลอยข้ามแต่อย่างใด

ความละเอียดของตาวติงสา นั้นงามเกินบรรยาย ในสายตาของเหล่าอณูน้อยนั้นย่อมคุ้นเคยในความงาม หากตระการตาเพิ่งเห็นครั้งแรก แลอาจจะเป็นมนุษย์เพียงไม่กี่คนที่ได้ขึ้นมาเห็น บทกลอนชมความงามของดาวดึงส์ที่เคยเรียน มิสามารถเทียบได้กับความงามที่ปรากฏแก่สายตาเขาเลยสักนิด

ชั่วระยะเวลาไม่นาน จากที่ลอยละเลียดเสมอยอดไม้ ทั้งหมด ก็ลอยขึ้นมายืนหยัดมั่นคงบนขั้นบันใดกว้างใหญ่ เหนือศีรษะขึ้นไป คือความเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา คงไว้แต่ดาราประดับประดา นับร้อยนับพัน เสาหินอ่อนต้นใหญ่ๆรายเรียงหลายพันหลายหมื่นต้นตลอดด้านข้าง เหนือยกพื้นขึ้นไปคือบังลังอาสน์ที่ว่างเปล่ารายเรียง ตรงใจกลางคือลานเฝ้า ประหนึ่งท้องพระโรง บนแท่นเบื้องหน้ากว้างใหญ่ทอดยาวไกลออกไป คือบัลลังก์ที่ประทับ

“สุธรรมาเทวสภา”  เสียงมหาฤาษีบอกกล่าว  พร้อมๆกับที่ทรุดกายลงนั่ง ฉับพลันอาสนะหนานุ่มก็บังเกิดรองรับ

“ เดิมเคยใช้เป็นศาลาฟังธรรมของเหล่าเทวะ บางทีท่านท้าวสักกะท่านก็ทรงเทศน์เสียเอง แต่วันนี้พิเศษใช้เป็นที่เข้าเฝ้า เพราะพวกเจ้า สภาวะทิพย์ยังไม่ละเอียดพอที่จะขึ้นเฝ้าพระมหาศิวะยังไกรลาสหรือพระมหาวิษณุกลางเกษียรสมุทร จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ที่นี่แทน แลทั้งสี่พระองค์จะทรงลดสภาวะทิพย์เสด็จลงมา นี่ก็จวนเวลาเสด็จแล้ว เตรียมพร้อมกันเถอะ”

“ครับ หลวงตา”

อณูน้อยทุกคนรับคำ หย่อนกายลงนั่งรอเฝ้า และก็เป็นเฉกมหาฤาษี ที่มีอาสน์มารองรับ ยกเว้นตระการตาที่ไม่มีมารอง เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา และเข้าใจตนเองดีว่า ศักดิ์และบารมียังไม่เทียมเท่า หะแรกคันฉัตรจะดึงขึ้นมานั่งด้วย ทว่ามหาฤาษีปรามไว้ด้วยสายตา

ตระการตาเข้าใจแล้วถึงคำว่า ‘ศักติ’ และมิได้น้อยเนื้อต่ำใจเลยสักนิด
แค่มีโอกาสได้ขึ้นมายังเทวสภา...เท่านั้น ก็เพียงพอแล้ว

ยิ่งใกล้เวลาเสด็จเท่าไร รัศมีแปลกๆหลากหลายก็ปรากฏเต็มขึ้นทั้งศาลา กระจายกันหยุดนิ่งเหนืออาสน์ที่รายเรียงโดยรอบว่างเปล่า อณูน้อยยกมือขึ้นพนมกลางอกถวายบังคมด้วยความเคารพทันใด เมื่อ ท้าวสักกะเทวราช ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ เสด็จมาถึง นอกจากนี้ยังมี พระสมุทรรักษ์ พระบิดาในทยุติธร สีทันดรและมุจลินทร์ อีกทั้งพระสัมปาตีผู้เป็นพระปิตุลาแลพระสดายุผู้เป็นพระบิดาของเทวปักษีเกเรวายุภัค และที่ขาดมิได้คือ ต้นกำเนิดของเหล่าอณูน้อยที่ก็เสด็จมาถึงครบทุกพระองค์   

นลกุพรรีบคลานเข่าหมอบราบกราบท้าวเวสสุวัณ พระบิดา แลขึ้นประทับยังอาสน์ที่ลดหลั่นต่ำลงมาเบื้องข้าง เช่นเดียวกับทยุติธร มุจลินทร์ และวายุภัค   ต่างฝ่ายต่างเลื่อนพระองค์ขึ้นไปประทับเคียงคู่ ข้างอาสน์ของพระราชบิดาทั้งสิ้น เว้นแต่สีทันดรที่ยังทรงประทับยืน ดูนั่นดูนี่หลังจากถวายความเคารพเสร็จ

เทพชั้นผู้ใหญ่รีบลงจากอาสน์ กราบลงกับพื้นต่อหน้ามหาฤาษีด้วยความเคารพยิ่ง เพราะมหาฤาษีขี้โมโห เป็นพระอาจารย์ของหลายๆพระองค์ และเป็นมหาฤาษีระดับตำนาน ของแท้แน่จริง และมหาฤาษีก็ได้ที ‘ฟ้อง’ บรรดาลูกศิษย์ลูกหา ที่ประทับรวมตัวกันอยู่ตรงหน้าว่า

“พวกเอ็งมาก็ดีแล้ว .... มีไอ้เด็กปากเสียบางตัว มันด่าข้าว่า สอนลูกศิษย์ไม่ได้เรื่อง สอนกี่คนกี่คน ไม่เกเรก็เป็นอันธพาล พวกเอ็งเป็นอย่างนั้น อย่างที่มันว่าหรือเปล่าวะ”

“เปล่านี่ขอรับ หลวงตา” ท้าวสักกะตรัสตอบขึ้น เทพชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างมองพระพักตร์กันอย่างฉงน จนท้ายสุดพระสมุทรรักษ์ก็ทูลถาม

“เด็กคนนี้มันกล้าว่าหลวงตา อาจารย์ของพวกเรา มันเป็นใครฤาหลวงตา คาดว่าพ่อแม่มันคงไม่อบรมสั่งสอน”

“ข้าก็ว่าอย่างนั้นแหละ พ่อมันคงไม่สั่งไม่สอน” หลงตาค้อนพระสมุทรรักษ์ให้ขวับ เน้นคำว่าพ่อเป็นพิเศษ หากพระสมุทรรักษ์ก็ยังมิทรงรู้พระองค์ว่าไอ้เด็กคนนั้นคือโอรสาที่กำลังประทับยืนทำพระพักตร์ไม่ถูก

“หากเป็นลูกเป็นหลาน จะเฆี่ยนให้หลังลาย ฟาดให้ตายกับเขาพระสุเมรุ”

“แสบนักนะ หลงตาเอาคืนกันแบบนี้เลยเหรอ” สีทันดรทรงขมุบขมิบพระโอษฐ์ ท่ามกลางหลายๆพระสุรเสียงของเทวะชั้นผู้ใหญ่ที่เริ่มเซ็งแซ่

“ไอ้เด็กฉิบหายนั่นมันเป็นใคร กล้าว่าพวกเราเป็นอันธพาล”

อัสดงและเหล่าอณูน้อย อีกทั้งทยุติธร นลกุพรและวายุภัค แทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เพราะมหาฤาษี เล่นเอาคืนแบบไม่ให้สีทันดรตั้งพระองค์  แต่ก่อนที่ ‘บรรดาลูกศิษย์’ จะรู้ว่า ‘เด็กปากเสียพ่อแม่ไม่สั่งสอน’ เป็นใครนั้น เสียงมโหรีทิพย์ดุริยางค์ประโคมแตรสังข์เสนาะก็ดังขึ้น ทั่วทั้งสุธรรมเทวสภา พร้อมรัศมีเจิดจ้าพรรณราย หาใดเทียม โดยมิต้องบอก เทวทุกพระองค์หมอบราบกราบลงกับพื้น เสียงมันตราโอม ประสานกันกระหึ่มขึ้นโดยมิได้นัดหมาย สุรเสียงแซ่ซ้อง ประกาศก้องกังวาน

“มหาเทวะ แลมหาเทวี เสด็จแล้ว”

รัศมีสว่างเจิดจ้า แตกแยกออกเป็นสี่รัศมี เข้าประทับเหนือพระแท่นสูง มิช้านนาน เงาเลือนรางของมหาบุรุษงามสง่าแลศุภนารีเลิศสิริลักษณ์ ก็แจ่มชัดเรืองรองกลางรัศมีนั้น

พระผู้ทรงจันทรเศขรแลพระผู้ทรงจักรประทับเคียงคู่กัน
มหาเทวีทั้งสองประทับขนาบข้างพระราชสวามี

เบื้องพระปฤษฎางค์เงาของผู้ติดตามชัดขึ้น พญาวาสุกีผู้ดำรงองค์เป็นสังวาลย์และพระนนทิราชพาหนะในพระมหาศิวะ อีกทั้ง พญาอนันตนาคราชราชบัลลังก์และพญาเวนไตยราชพาหนะในพระมหาวิษณุประทับนั่งเหนืออาสน์ หากหน้าพระแท่นเบื้องพระพักตร์พระมหาลักษมีเทวี สงวนไว้ที่หนึ่ง สำหรับตัวโปรด และตัวโปรดก็คลานเข่าเสด็จขึ้นไปหมอบเฝ้าตรงที่นั้น

“นี่ไงล่ะอัสสะ ที่นั่งของเรา” กระแสจิตพุ่งปราดส่งมาถึงอัสดง ซึ่งคนรับก็ไม่รอช้าที่จะสวนกลับไป จนคนส่งมาก่อนอายม้วน

“ที่นั่งของเจ้า ต้องอยู่บนตักเราเท่านั้น ถึงจะถูกต้อง”

“อัสสะ บ้า”

ด้วยสิริล้ำเลิศ ประหนึ่งถอดแบบมาจากพระมหาเทวี หลายๆสายตาจึงมองด้วยความชื่นชม โดยเฉพาะอัสดง แลดวงเนตรแห่งวายุภัค

“วายุภัค อย่าให้มันออกนอกหน้านัก” พระสดายุทรงปรามพระโอรสทันควัน ทันทีที่ทอดพระเนตรเห็น

“ก็แค่มอง....น้องสีทันดร ไม่ได้บุบสลายสักหน่อย พะยะค่ะ” วายุภัคทรงเถียง พระอุปนิสัยดื้อรั้น มิเว้นแต่กับพระบิดา จนพระสัมปาตีผู้มีศักดิ์เป็นพระปิตุลาต้องชายเนตรหันมาปรามแทนเสีย นั่นแหละวายุภัคจึงได้เก็บพระอาการ

ทางด้านพระสุริยาทิตย์ต้นกำเนิดแห่งอัสดงก็ทรงกระซิบกระซาบ บอกกับพระจันทรเทพว่า “เอาน่าจันทรเทพ ยังไงอณูของท่านก็สมหวัง แม้จะไม่ใช่กับเจ้านาคน้อย”

“เรารู้แล้วน่าสุริยาทิตย์ ท่านไม่ต้องตอกย้ำ!!!”

“นมัสการพระคุณเจ้า” มหาศิวะทรงแย้มสรวลตรัสขึ้น ทรงพนมหัตถ์เหนือพระอุระเป็นการถวายนมัสการเท่านั้น แล้วเบือนพระเนตรมองถ้วนทั่ว สงบเสียงทุกเสียงได้อย่างราบคาบ  “และขอบใจที่มากันครบ”

“ถวายพระพร พระมหาบพิธเจ้า และพระมหาเทวี”

“เราคงจะใช้เวลาคุยกันไม่นาน เพราะเวลาบนสวรรค์กับโลกมนุษย์ต่างกัน กายหยาบของพวกอณูน้อยจะทนไม่ไหว และเหตุที่เราให้พวกเจ้าขึ้นมาก็เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน อีกทั้งบัญชาของเรา เมื่อต้องการให้ผู้ใดทำอะไร ผู้นั้นต้องรับคำสั่งจากเราเท่านั้น” พระมหาวิษณุทรงตรัสขึ้นบ้าง ตวัดพระเนตรมองปราดมายังกลุ่มอณูน้อยเช่นกัน

“เจ้าคงสงสัยว่า ทำไม มารและอสูรจึงกลับมาอีกใช่ไหม แล้วทำไมต้องเป็นพวกเจ้า”

“พะยะค่ะ กระหม่อมไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องเป็นพวกกระหม่อม เคยทูลถามพระสุริยาทิตย์กับหลวงตาที่วัดป่าท่านก็ไม่ได้บอก”

“เราสั่งไว้เองแหละ อัสดง” มหาอุมาเทวีประทานคำตอบแทน “ตอนนั้นยังไม่ถึงเวลา ตบะและเดชะพวกเจ้ายังไม่พร้อมจะรับเรื่อง บัดนี้สมควรแก่เวลาแล้ว”

“เนื่องจากเรา...เคยอวตารลงไปปราบพวกมารหลายหน ช่วยโลกมนุษย์ให้พ้นภัยหลายครา อย่างที่พวกเจ้ารู้ แม้ร่างของมารพวกนั้นจะสูญสลายหากดวงจิตของพวกมันยังดำรงอยู่และหนีออกจากที่คุมขัง โดยการนำของดวงจิตพญาพลี อสูรที่เราเคยปราบตอนอวตารเป็นพราหม์เตี้ย อสูรตนนี้ ฤทธิ์มากนักและเป็นศิษย์เอกของท่านพระศุกร์” พระมหาวิษณุเจ้าทรงเริ่มต้นขยายความ

“พะยะค่ะ....แต่มันทรยศเกล้ากระหม่อม” พระศุกรเทพ ต้นกำเนิดของคืนฉายกล่าวขึ้น พระพักตร์งามสง่าดุจยังเยาว์ชันษาผู้เป็นครุแห่งอสูรเคียดขึ้งขึ้นทันใด ยามนึกถึงเรื่องนี้ “มันสมควรแล้ว”

“เมื่อจิตมันหนีออกมา มันก็รวมตัวกับบรรดาอสูรหยาบช้าทั้งหลาย ก่อกำเนิดเป็นจิตมารขนาดใหญ่”

“นั่นก็รวมถึง มหิษาสูรที่เราเคยปราบในภาคทุรคา และทารุณสูรในภาคกาลี” มหาอุมาเทวีทรงเสริมและตรัสต่อมาว่า “จิตของมารที่รวมกันขนาดใหญ่นี้ คงไม่ต้องบอกพวกเจ้านะว่ามันจะร้ายกาจเพียงใด หากลงไปยังโลกมนุษย์ ”

“โลกมนุษย์จะปั่นป่วน และถึงจุดสิ้นสุดของกลียุค นั่นก็หมายถึงสิ้นโลก”

“ใช่แล้วอัสดง อสูรมันหลบหลีกญาณของเรามานานแล้ว หลอกล่อให้เราพุ่งความสนใจไปที่พญาปรนิมมิตวัตสวัตตี หากแท้จริง มันลงไปกบดานอยู่ที่นั่น และมันก็กำลังหาร่างที่มันสามารถใช้เป็นเครื่องมือได้ แถมทัพอสูรที่ยังจงรักภักดี ยังตามไปรวมตัวและเริ่มสร้างความเดือดร้อน” พระมหาศิวะทรงตรัสยาวเหยียดเว้นวรรคเพียงครู่ ทอดพระสุรเสียงกล่าวต่อทันใด

“พวกมัน จงใจ ยั่วให้เราลงไป หรือไม่ก็ มหาอุมาเทวีให้เสด็จออกในภาคมหาทุรคาหรือมหากาลี ลงไปปราบ และถ้าหากเราหรือมหาเทวีลงไป นั่นก็หมายความว่า โลกมนุษย์จะแตกดับ ด้วยพลังสะท้อนแห่งอำนาจของเรา  ยิ่งถ้าหากปล่อยไว้ พลังอสูรและมารจะกล้าแข็ง ครอบงำมนุษย์ให้จิตใจหยาบช้า ควบคุมธาตุทั้งสี่ให้แปรปรวน เร่งพุทธทำนายให้เร็วขึ้น ศาสนาพุทธที่ควรจะยืนยาวถึงห้าพันปีมนุษย์จะสิ้นสุดเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง น้ำจะท่วมโลก พระอาทิตย์จะขึ้นครบทั้งแปดดวง ตามมาด้วยสวรรค์ล่มสลาย ซึ่งเราจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้”

“พระมหาศิวะ พระเชษฐาเรา ทรงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เราเองก็อยากจะลงไปจัดการ แต่ติดที่ อวตารสุดท้ายของเราจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อกลียุคมาถึงจริงๆเท่านั้น หากเราลงไป ทุกอย่างย่อมแปรปรวนเช่นกัน มหาพรหมา พระผู้สร้างท่านย่อมพิโรธ เราจึงมองไม่เห็นผู้ใดเหมาะสมนอกจากต้นกำเนิดของเจ้าทั้งแปด และต้นกำเนิดของเจ้าก็ยินดี และนั่นคือเหตุที่พวกเจ้าต้องแบ่งภาคลงมา”

“ด้วยความเต็มใจอย่างที่สุดพระเจ้าข้า” ต้นกำเนิดทั้งแปดพระองค์ทรงขานรับพระดำรัสพระผู้ทรงจักร ด้วยพระพักตร์แย้มยิ้ม แสดงถึงความเต็มใจอย่างแท้จริง มิได้เสด็จด้วยการบังคับ

“ดังนั้นหน้าที่ของพวกเจ้า ก็คือทำลายทัพอสูรและกำจัดจิตมารดวงนั้นซะ หามันให้เจอ ก่อนที่มันจะกล้าแข็งมากกว่านี้ ท้าวสักกะเทวราชจะมอบกองกำลังทัพเทวะให้แก่พวกเจ้า โดยมีอัสดง ผู้ถือครองมหาศาสตราวุธเป็นแม่ทัพใหญ่ ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่จะคอยประทานความช่วยเหลือผ่านทางทัพเทวอสุราของนลกุพร ทัพจากบาดาลโดยการนำของทยุติธรและทัพจากฉิมพลีของวายุภัคจะเป็นกำลังเสริม หากต้องมีมหายุทธการ” พระมหาศิวะทรงจัดแบ่งกองกำลังให้เสร็จสรรพ และเทวะทุกพระองค์ก็น้อมรับ แม้จะมีบางพระองค์เท่านั้นที่แอบทรงกำพระหัตถ์แน่น ด้วยหักพระทัยอยู่ใต้บัญชาอัสดงไม่ได้

“ข้าแต่พระมหาเทพ...กระหม่อมยังสงสัย ว่าทำไมต้องแบ่งภาคลงมา ทั้งๆที่ต้นกำเนิดของพวกกระหม่อม จะเสด็จลงมาเลยก็ได้” เอราวัตกราบทูลถามขึ้นซึ่งตรงกับใจของใครหลายๆคนนัก

“เหตุที่ต้องแบ่งภาค เพราะการรบนั้น อยู่ที่ภพมนุษย์น่ะสิ น้องชาย” พระพุธพนมหัตถ์บังคมทูลขอประทานอนุญาตอธิบายแทน “ภพมนุษย์คือภพกลาง เทวะสามารถลงไปสร้างความดีความชอบได้จนเกิดเป็นบุญ บารมี และจะได้บุญมากเมื่ออยู่ในร่างมนุษย์เป็นการเสพปรีติที่ดีที่สุด แลให้พลังมหาศาลมากที่สุด”

“ท่านพระพุธท่านตรัสได้ถูกต้องแล้ว ด้วยเหตุนี้ เราและต้นกำเนิดพวกเจ้าจึงลงมา ” พระสุริยาทิตย์ตรัสขึ้นบ้าง และกำลังจะตรัสต่อ หากก็ถูกพระมหาลักษมีเทวีทรงขัดขึ้น

“และท่านก็รีบลงมาเกิน จนเดือดร้อนกันไปหมด โดยเฉพาะเรา ”

เสียงสรวลจากหลายๆพระองค์ดังลั่น อณูน้อยทั้งแปดทำหน้าทำตาเหรอหรา จนมหาฤาษีต้องช่วยขยายความ  “ก็ไอ้พระสุริยาทิตย์ มันใจร้อน รีบลงมา ผิดฤกษ์ผิดยาม ปากบอกว่าจะลง ยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็เสือกนำขบวน พระจันทรเทพ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัส พระศุกร์ พระเสาร์ แบ่งภาคลงมาเลยไม่ดูฤกษ์ดูยามที่ข้าหาให้ แล้วเป็นไง ท้ายสุดก็ต้องมีคู่เป็นผู้ชาย แถมข้ายังต้องเหนื่อย ดีนะที่พระราหูมันตามมาทีหลัง พวกเจ้าคงเข้าใจแล้วสินะ ว่าทำไม ถึงมีคู่เป็นผู้ชาย.....พวกเจ้าต้องโทษพระสุริยาทิตย์เท่านั้น”

อณูน้อยร้องอ๋อแทบจะพร้อมกัน ...ตระหนักและเห็นความสำคัญของฤกษ์กำเนิดแล้ว ฤกษ์ที่เป็นจุดกำเนิด สามารถใช้บอกวิถีชีวิตได้ทั้งชีวิต ฉะนั้น หากเทวะจะเสด็จลงมาเกิดเพื่อสร้างบุญหรือปฏิบัติภารกิจตามราชโองการ ฤกษ์ทุกอย่างต้องวางไว้เป็นอย่างดี เพื่อให้ ‘ลัคนา’ อยู่ในตำแหน่งดาวและราศีที่ทรงคุณ

ทว่าอณูน้อยไม่มีใครเสียใจกันเลยสักนิด แม้จะลงมากันผิดฤกษ์ หากในความผิดนั้นไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้ได้พบกับ ‘หัวใจ’

“ท่านมหาฤาษี จะโทษเราฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก จันทรเทพ กับพระอังคาร เป็นคนชวนให้เราลงมาเลยต่างหาก”

“อ้าวท่านสุริยาทิตย์ ท่านต่างหาก ที่บอกว่า ไปเลย” จันทรเทพแย้งขึ้น จนมหาลักษมีเทวี ต้องตรัสห้าม

“หยุดซะที ...เอาเป็นว่าใครผิดก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเราต้องเข้ามาวุ่นด้วย”

“ไฉน มหาเทวีของพี่จึงวุ่นไปกับพวกเขา” มหาวิษณุทรงหันมาตรัสกับพระมเหสีด้วยสุรเสียงอ่อนหวาน เกรงพระทัย ด้วยความที่ทรงเข้าฌานปิดข่ายพระญานบางส่วนไว้เลยไม่ทรงทราบ

“เพราะพระสุริยาทิตย์ เคยขอพร หม่อมฉันไว้ว่า ถ้าต้องแบ่งภาคเมื่อใด ขอคู่ที่งามเลิศในสามโลก เฉกเช่นหม่อมฉัน”

“เลยประทานสีทันดรให้ ใช่ไหมเพคะ ทรงพระสติปัญญาล้ำเลิศนัก” พระมหาอุมาเทวีทรงถามขึ้นยิ้มๆ ทรงรู้ถึงความนัยที่ลึกลงไปอีกบางประการ ซึ่งพระมหาลักษมีมิได้ตรัสออกมา และไม่มีผู้ใดรู้วาระจิตของพระนาง นอกจากมหาเทพและมหาเทวีด้วยกัน

“ขอบพระทัยเพคะ อะไรที่หม่อมฉันช่วยได้หม่อมฉันก็ยินดี แม้จะนิดๆ หน่อยๆ”

“น้องหญิงมิได้ทรงช่วยเพียงแค่นิดๆหน่อยๆ ดังรับสั่ง หากแต่ทรงช่วยได้มาก พี่ขอขอบพระทัย” พระมหาศิวะ ตรัสต่อมหาลักษมีเทวีด้วยความชื่นชมโสมนัส ด้วยทรงรู้ความนัยเช่นกัน จึงทรงยอพระเกียรติต่อหน้าพระพักตร์พระผู้ทรงจักรว่า

“น้องชายพี่ ทรงมี มหาเทวีเลิศพร้อม สมแล้ว....เหมาะสมแล้ว”

“ด้วยความที่แบ่งภาคผิดฤกษ์ คู่ก็จำต้องจัดตามฤกษ์กำเนิดที่ผิดมาตั้งแต่ต้น เพื่อความสมดุล... พอดีวันนั้นพระสมุทรเทวีมาทูลขอลูก หม่อมฉันก็เลยให้สีทันดรไป โดยแบ่งอณูของหม่อมฉันไปบางส่วน มิใช่ให้แค่พรอย่างเดียว เพราะทางฝั่งบาดาล ก็คุ้นกับหม่อมฉันมานาน”

เหตุผลในพระมหาเทวี...น่าจะกระจ่างเพียงพอแล้ว ทว่าความบังเอิญ มิค่อยจะเกิดขึ้นบนสวรรค์ การแบ่งอณูของมหาเทวีจึงมีจุดประสงค์มากกว่าจะเป็นการให้พรประทานบุตร หรือให้คู่พระสุริยาทิตย์

การปกครองหรือการรบ จำต้องมีการรวมอำนาจ มายังแม่ทัพ
แลอำนาจใดจะยิ่งใหญ่เท่าอำนาจจากบาดาล....หนึ่งในสามโลก

‘สีทันดร’ จึงถูกผูกเข้ากับชาตาชีวิตของอณูน้อย ‘อัสดง’ จากสวรรค์ อย่างแยบยล!!!

 “ถึงว่า สีทันดรเลยถอดแบบน้องมาไม่มีผิดเพี้ยน”

“เกรงอยู่เหมือนกันว่าทางบาดาลจะต่อว่าหม่อมฉัน ที่โอรสจะต้อง....มีคู่ตามเพศเดียวกัน”

“หามิได้พะยะค่ะ พระมหาเทวี” พระสมุทรรักษ์รีบกราบทูลขึ้น และกล่าวแทนเทวนาคาทั้งมวลว่า “ การที่สีทันดรกำเนิด แม้จะอุบัติมาเพื่อวัตถุประสงค์จำเพาะ หากนั่น ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของเหล่าเทวนาคาแล้วที่ทรงพระกรุณา และบาดาลก็ยินดีสนองคุณพระมหาเทวีในครั้งนี้”

“ขอบใจท่านมาก พระสมุทรรักษ์ ท่านทั้งสองด้วย ท่านพญาอนันตนาคราช ท่านพญาวาสุกี ”

“พระเจ้าข้า” จอมนาคาทั้งสองรับคำด้วยความเต็มพระทัย

สีทันดรได้ยินดังนั้น ก็แทบจะผลุดลุกเสด็จเข้าไปถวายจูบที่พระปรางซ้ายขวา ทูลหม่อมพ่อและทูลหม่อมปู่ทั้งสอง และเกือบเหิรลอยไปหาอัสดง หากแต่มหาลักษมีเทวีทรงปรามไว้ทางจิต

“หน้าบานเชียวนะสีทันดร.... เก็บอาการ หน่อยสิ เราขายหน้าพอดี”
 
เมื่อทรงปรามเจ้าจอมดื้อเสร็จ มหาลักษมีเทวี ก็ทรงกล่าวต่อด้วยสุรเสียงเฉียบขาด อย่างไม่เคยเป็น จนบางพระองค์ ทางฝั่งเทวปักษี ต้องก้มพระพักตร์นิ่ง พระทัยสั่นสะท้าน

“แม้ทางบาดาลและสวรรค์จะเห็นชอบ หากแต่ก็มีบางคนจะคิดแยก ซึ่งเราก็ขอเตือนไว้ก่อน ว่าถ้าเราโกรธขึ้นมา เราก็มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ามหาทุรคาหรือมหากาลี”

“มหาเทวีเพคะ หม่อมฉันว่าเรื่องกริ้ว เรื่องโกรธให้เป็นหน้าที่หม่อมฉันดีกว่า หม่อมฉันถนัดนัก” พระมหาอุมาเทวีสรวลใส หากแต่ในกระแสสรวลคือความเฉียบขาด ที่หลายๆพระองค์ได้ยิน ยังต้องทรงขยาด

“พวกเจ้าคงได้ยินกันแล้วนะ หากใคร ทำให้เรื่องนี้มันยุ่งเหยิง โดยไม่จำเป็น พวกเจ้าทั้งหลายคงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น.... ใช่ไหม วายุภัค”

“เกล้ากระหม่อม ทราบดี พะยะค่ะ” วายุภัคพระพักตร์ชาวาบ ยามถูกกระทบ ทว่าสายพระเนตรที่หรุบต่ำ กลับมิยอมอ่อนข้อศิโรราบ

มหาเทวีไยจะมิทรงรู้.....หากวายุภัคจะลองดี ก็คงจะได้เห็นดีกัน

วายุภัคดื้อยิ่งกว่าทรงกลดหลายเท่านัก
อัสดงเองก็จับกระแสนั้นได้.....เตือนตัวเองต้องระวังอย่างถึงที่สุด

“เอาล่ะ ในเมื่อทุกอย่างเข้าใจตรงกันที่นี้ก็มาถึงภารกิจของมนุษย์น้อย ตระการตา ไหนออกมาข้างหน้าสิ”

 ตระการตาจากเดิมที่ตัวสั่นหมอบราบกราบลงกับพื้น ยามมหาเทพเสด็จมาถึง ฟังแต่พระสุรเสียงที่คล้ายจะดังขึ้นจากกลางสมอง มิกล้าเงยหน้าขึ้นมาดูกลับยิ่งตัวสั่นขึ้นไปอีก ครั้นพอมีรับสั่งเรียกหาอีกครั้งมหาฤาษีก็ช่วยดันออกมา

“เงยหน้ารับพระเสาวนีย์ สิวะไอ้เวร”

“ครับหลวงตา” ตระการตารับคำเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องตกตะลึง เพราะภาพมหาเทพและมหาเทวี มิได้เป็นไปตามจินตนาการเลยสักนิด

พระมหาศิวะควรจะมีพระวรกายสีเทา พระศอสีดำ นุ่งห่มหนังเสือ ส่วนพระนารายณ์ก็น่าจะพระวรกายสีดำตามกลียุคที่เคยร่ำเรียน ควรมีสี่กร ทว่ากลับไม่ใช่เช่นนั้น เพราะมหาเทพทั้งสองพระองค์ กลับอยู่ในร่างมหาบุรุษเลิศลักษณา พระฉวีผ่อง ประทับนั่งท่ามหาราชลีลา งามเกินบรรยาย

“ มีทำไมตั้งสี่แขน เกะกะ...นั่นเป็นภาพตามจินตนาการที่มนุษย์อยากให้เราเป็น ส่วนใหญ่ชอบวาดให้เราเป็นชาวอารยันกันหมด มนุษย์มักยึดติดอยู่ในรูป หากแท้จริงพวกเราหามีรูปไม่ แต่ถ้าเจ้าอยากเห็นเราในภาพนั้นก็ได้ เราจะให้เจ้าเห็น แต่อย่าไปทูลขอพระมหาอุมาเทวีท่านล่ะ ว่าอยากเห็นท่านในภาคทุรคาหรือกาลี เดี๋ยวจะยุ่ง เราเองยังต้องไปหลบยังขอบจักรวาล” สิ้นพระดำรัสพระมหาศิวะ เสียงสรวลจากคณาเทพก็ดังกระหึ่ม 

“ระวังความคิดเอ็งหน่อย ไอ้ตระการตา” หลวงตารีบส่งกระแสจิตเตือน

“ช่าง เถอะพระคุณเจ้า เป็นธรรมดาของมนุษย์ ...ค่อยๆฝากพระคุณเจ้าช่วยอบรมและสอนเรื่องนี้ เอาล่ะ ทีนี้เจ้าฟังให้ดี เหตุที่เราต้องการพบเจ้า เพราะเรามีหน้าที่ให้เจ้าทำ....เจ้าถูกเลือกให้เป็นโอษฐ์แห่งเรา”

“โอษฐ์แห่งมหาอุมาเทวี!!”

“ใช่...โอษฐ์แห่งเรา เจ้าต้องรับและถ่ายทอดคำสั่งหรือคำสอนของเรา ไปยังมวลมนุษย์ นี่คือเหตุผลที่เจ้าต้องฝึกสมาธิ เพื่อติดต่อกับเราและรับพลัง”

“หมายความว่า...เป็นร่างทรง”

“จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่ามิใช่ ก็มิใช่....ร่างทรงคือผู้ที่ยอมให้เทวะใช้งานผ่านร่างของตน ซึ่งจะเป็นเทวะที่ภูมิธรรมยังไม่สูง และโดยส่วนมากพวกร่างทรง มักจะเป็นภูตผีที่เข้ามาฉวยโอกาสและบังอาจแอบอ้างพระนามหลายๆพระองค์ โดยเฉพาะเรา พระมหาศิวะ พระมหาวิษณุ และพระมหาลักษมี สักวันเราจะล้างให้สิ้นซาก” พระสุรเสียงกึกก้องทั่วทั้งสุธรรมเทวสภา แสดงให้รู้ว่าพระมหาอุมาเทวีมิสบพระทัยในเรื่องนี้นัก

ตระการตาสั่นสะท้านตัวลีบ แทบจะชิดติดพื้นเทวสภา พระมหาอุมาเทวี ที่ประทับเบื้องหน้า ทรงความงามล้ำเลิศ ทว่าภายในความงามนั้นคือกระแสแห่งพระราชอำนาจหาผู้ใดเทียมในสามโลก ถ้อยรับสั่งที่ว่า จะล้างให้สิ้นซาก ทำให้ขนลุกซู่ ใจกระหวัดถึงข้างๆอพาร์ทเมนต์ที่เขาอยู่ มีหลาย ‘ตำหนัก’ จัดตั้งเรียงราย ทั้ง เจ้าแม่ปารวตีกาลีทุรคา ตำหนักพ่อศิวะปู่นารายณ์ และที่หนักที่สุดก็คงจะเป็น ตำหนักเจ้าแม่ศักติมหาเมตตา ที่หาญกล้ารวมมหาเทวีทั้งสามพระองค์ หากพระมหาเทวีจะทรงล้าง เห็นทีจะต้องเชิญเสด็จไปล้างที่นี่ก่อนเป็นอันดับแรก

  “เราไปแน่...จำไว้ผู้ที่เป็นโอษฐ์แห่งเทวะนั้นจะมีศักดิ์สูงกว่า เปรียบเสมือน ตัวแทนแห่งเรา และเป็นผู้ถูกเลือกโดยเฉพาะ โอษฐ์แห่งเทวะจะมีได้เฉพาะพระตรีมูรติหรือพระตรีศักติเท่านั้น และเราก็เป็นหนึ่งในนั้น ในกาลที่ผ่านมา มีมนุษย์ได้รับหน้าที่นี้จริงไม่กี่คน และคนผู้นั้นจะมีศักดิ์สูงเทียมกษัตริย์ทีเดียว”

“แล้วผม เอ๊ย..ข้าพระพุทธเจ้า จะต้องทำอย่างไร ติดต่อกับพระแม่เจ้าอย่างไร” ตระการตาแม้จะตะกุกตะกัก ทว่าในใจคือความเคารพยิ่ง
 
“ลองนึกถึงเครื่องรับสัญญาณสิ มนุษย์มีอุปกรณ์ที่เรียกว่าโทรทัศน์ใช่ไหม โทรทัศน์จะทำงานได้ได้ต้องใช้กระแสไฟฟ้า นั่นก็คือการเชื่อมต่อและการเชื่อมต่อของเรากับเจ้าก็คือ จิตสมาธิ ส่วนภาพและเสียงจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเจ้ากด...มนุษย์เรียกว่าอะไรนะ”

“สวิตซ์พะยะค่ะ”  คันฉัตรทูลถวายคำตอบมาให้

“ขอบใจมากอณูแห่งศนิเทพ....ใช่กดสวิตซ์ และสถานีใหญ่ส่งมา เราก็เปรียบดังนั้น สถานีปลายทางเช่นเจ้าต้องปรับคลื่นให้ตรงกับเรา....โทรทัศน์ฉายภาพได้อย่างไร การติดต่อระหว่างเรากับเจ้าก็ทำหน้าที่คล้ายๆกัน ต่างกับพวกร่างทรง พวกนั้นมันเปรียบเสมือนเก้าอี้ที่ว่างที่ใครจะเข้าไปนั่งใช้งานก็ได้ พวกผีมันจึงชอบนัก..... เข้าใจแล้วใช่ไหม”

“เข้าใจแล้ว พะยะค่ะ” ตระการตาคิดตามรับสั่งชั่วครู่และก็ยิ้มออกได้โดยพลัน พระมหาอุมาเทวีทรงเปรียบเปรยได้เข้าใจง่าย ยกสิ่งรอบตัวที่เขาคุ้นเคยเป็นตัวอย่าง น่าฟังแท้ แถมยังมีพระเมตตายิ่งนัก ไหนคันฉัตรเคยว่า มหาอุมาเทวีทรงดุ คงจะไม่จริงละมัง

 “เรามีดุบ้างเป็นบางเวลา และคาดว่า ทุกพระองค์ที่นี่ ไม่อยากให้เราดุนัก”

ด้วยสภาวะจิตที่เหนือกว่า พระมหาอุมาเทวีทรงดักจิตที่ต่ำกว่าได้อยู่เสมอ ทรงกล่าวตอบยิ้มๆที่ริมโอษฐ์เบือนพระพักตร์ไปทางพระมหาศิวะเจ้า ที่ประทับนั่งฟังด้วยรอยแย้มสรวลละไม

“เมื่อเจ้าเข้าใจแล้ว ก็จงฟังให้ดี....หน้าที่แรกที่เจ้าต้องทำในฐานะโอษฐ์แห่งเราคือ นำพาให้มนุษย์หันมาสวดมนต์”

“ผม เอ๊ย ข้าพระพุทธเจ้า...เอ่อ”

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
    • Coco Chadam
“พูดธรรมดาเถอะ เราดูการนอบน้อมของเจ้าทางจิต มิใช่ภาษาที่เจ้าใช้”

“ผมสวดไม่เป็น....สวดได้แค่ อิติปิโสเท่านั้น”

“เงยหน้าขึ้นมาสิ เราจะบรรจุไว้ให้เจ้าเอง” สิ้นรับสั่ง พระมหาอุมาเทวี ก็ทรงกรีดหัตถ์ ตวัดดัชนี บังเกิดเป็นดวงแก้วสีทองพุ่งปราดเข้าสู่ใจกลางหน้าผากของตระการตาที่เงยหน้าขึ้นมาพอดี

มนุษย์น้อยรู้สึกถึงพลังงานที่กำลังวิ่งแล่นอยู่กลางสมอง เสียงสังวัธยายมนตราดังก้อง แลบัดนี้เขาก็รู้แล้วว่าต้องนำมนุษย์สวดบทใดบ้าง...และหนึ่งในนั้นคือ บทสวดพระปริตร ให้พ้นภัยจากกลียุค

“จำไว้บทสังวัธยายมนตราขององค์สมเด็จพระศาสดา คือขุมพลังที่จะขจัดปัดเป่าโภยภัยให้มนุษย์รอดพ้นวิกฤตได้อีกทาง ...ไม่ว่าจะเป็นรัตนสูตร ขันธปริตร โมรปริตร ธชัคคสูตร และอาฏานาฏิยปริตร จงน้อมนำจิตสวดให้ดี เทวะจึงจะรับกระแสจิตตั้งมั่นจากการสวดมนต์นั้น จนมีกำลังต่อกรกับมาร ยิ่งคนสวดมาก เทวะยิ่งแข็งแกร่ง นี่คือหน้าที่แรกที่เจ้าต้องกระทำ...ตระการตา โอษฐ์แห่งเรา”

“ครับ...พระแม่เจ้า”

“จงทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด อย่าให้พระมหาเทวีผิดหวัง” พระมหาศิวะทรงกล่าวเสริม และทรงกล่าวต่อด้วยพระสุรเสียงกึกก้องไม่แพ้มหาเทวีว่า

“เป็นอันว่าพวกเจ้า เข้าใจ ในเหตุ ที่มา และภารกิจของพวกเจ้าแล้วใช่ไหม ใครมีอะไรขัดข้องหรือไม่”

“พวกกระหม่อมไม่มี และยินดีสนองเทวราชโองการ  พะยะค่ะ” อัสดงพนมมือกลางอกเป็นตัวแทนกล่าวขึ้นแทนสหาย แล้วนำก้มลงถวายบังคมโดยพร้อมเพียง

การเข้าเฝ้ารับเทวราชโองการควรจะเสร็จสิ้นเพียงเท่านี้ หากไม่มีคนขัดขึ้น

“ขอเดชะ...กระหม่อม ไม่ขอนำทัพภายใต้การบัญชาของอณูแห่งพระสุริยาทิตย์พะยะค่ะ”

“วายุภัค!” เสียงตวาดดังกึกก้องทั่วทั้งเทวสภา หากมิใช่มาจากพระมหาเทพหรือพระมหาเทวี พระองค์ใด ทว่ามาจากพญาเวนไตยที่ประทับอยู่เบื้องพระปฤษฏางค์

เสียงอึงอลไม่พอพระทัยจากบรรดาคณาเทพเริ่มดังขึ้น จนพญาเวนไตยต้องประทับยืนเสด็จรวดเร็วมากระชากพระนัดดาลงจากอาสน์ ดันวรองค์ลงมายังพื้นเทวสภา

“เจ้าอวดดีอย่างไร ทุกพระองค์ต่างน้อมรับเทวบัญชา แต่เจ้ากลับมีปัญหา”

“หลานไม่ได้มีปัญหา แต่ทำใจไหว้สา อยู่ใต้อาณัติบัญชาจากอณูแห่งพระสุริยาทิตย์ไม่ได้เท่านั้น อณูน้อยผู้นี้มีความสามารถอะไร แค่เขาได้ครองมหาศาสตราวุธของพระแม่เจ้ากับพระมหาเทพเท่านั้นเอง ” วายุภัคยังคงทูลตอบอวดดีสุรเสียงกร้าว

“หม่อมฉัน มิได้ปฏิเสธว่าจะมิร่วมศึก แต่หม่อมฉันขอพระเมตตา ประทานอนุญาตให้หม่อมฉันนำทัพของฉิมพลีโดยอิสระ จะเข้าช่วยเหลือตีขนาบก็ต่อเมื่อเห็นสมควร ไพร่พลของฉิมพลี มิควรเสียโดยเปล่าประโยชน์”

“บังอาจนัก เจ้ากล้าลบหลู่อณูของเรา ไอ้ครุฑน้อย อย่ากำแหงหาญอวดดีไปนัก อย่าลืมว่าลุงกับพ่อเจ้าเกือบสิ้นพระนามด้วยฤทธีแห่งเรา” พระสุริยาทิตย์กริ้วแสนจะกริ้ว ประทับยืนขึ้นบ้าง เหิรลอยลงมาประทับยืนข้างๆอณูแห่งตน เป็นจังหวะเดียวกับที่อัสดงยืนขึ้นหมายจะเอาเรื่องวายุภัคอยู่พอดี หากแต่ทรงกลดกับคันฉัตรช่วยรั้งเอาไว้

“ใจเย็นๆก่อน อัสดง”

“ช้าก่อน....การที่อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ได้ครอบครองจักรของเราและของมหาเทวี ยังไม่ได้หมายความว่าเขามีความสามารถคู่ควรอีกเหรอวายุภัค...และเจ้าเองใช่หรือไม่ ที่กำแหงหาญคว้าจักราทั้งสองไว้ และเจ้าก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ถ้าไม่ได้ทยุติธรและสัญญชีวนีมนตราของท่านพระศุกร์ช่วย” พระมหาวิษณุขมวดพระขนง เริ่มไม่สบพระทัยวายุภัค หากด้วยความที่เกรงพระทัย พญาเวนไตยผู้ทรงเป็นทั้งสหายแลราชพาหนะ จึงยั้งพระโอษฐ์มิตรัสสาปลงโทษวายุภัคหน้าเทวสภา

“ถ้าในเมื่อเจ้าอวดดีนัก เราก็จะให้เจ้าตามคำขอ เราจะดูสิว่า เจ้าจะนำทัพของเจ้าเทียมเท่าอัสดงอณูน้อยแห่งพระสุริยาทิตย์ได้หรือไม่”

“หม่อมฉันมั่นใจ พะยะค่ะ”

“ถ้าทำไม่ได้ล่ะ”

“หม่อมฉันขอรับอาญาทัพ ตามกฎมณเฑียรสวรรค์สูงสุด พะยะค่ะ”

“จำคำพูดของเจ้าไว้ให้ดี วายุภัค”

“ที่จริง เวลานี้ควรเป็นเวลาแห่งการสมัครสามัคคีของเหล่าเทวะ มิใช่การชิงดีชิงเด่น เอาเถอะ ในเมื่อทางด้านฉิมพลีเขาอยากตั้งกองทัพอิสระก็ปล่อยเขา เราหวังว่าทางบาดาล คงจะไม่ขอแยกตัวบ้างหรอกนะ” พระมหาอุมาเทวีเองก็มิทรงสบพระอารมณ์นัก ทีท่าตวัดชายพระเนตร ทำให้พญาเวนไตยแลเหล่าเทวปักษี เริ่มปริวิตก

“ด้วยความสัตย์จริง ทีแรกกระหม่อมก็ตั้งใจจะแยกทัพ ทว่าอย่างที่พระแม่เจ้าตรัส เพลานี้คือเพลาที่ต้องสมัครสมานสามัคคี อีกทั้ง อัสดงก็เปรียบเสมือนน้องชายของกระหม่อม ทัพบาดาลจึงไม่มีข้อขัดข้อง ที่จะรบเคียงบ่าเคียงไหล่อัสดงกับอณูน้อยทั้งหมดพะยะค่ะ” ทยุติธรลงจากอาสน์ ดำเนินมากลางเทวสภาประกาศก้อง อัสดงตั้งใจก้มลงกราบบาทด้วยความทราบซึ้งในน้ำพระทัย หากแต่ทยุติธรรั้งไว้

“พระสุริยาทิตย์ท่านศักดิ์สูงกว่าพี่มาก เดี๋ยวท่านไม่พอพระทัย”

“ไม่เป็นไร ทยุติธร ให้อณูน้อย เจ้าน้องชายเรากราบเจ้าเถอะ น้ำใจเจ้าประเสริฐนัก” พระสุริยาทิตย์ พระอารมณ์เริ่มสงบ เห็นชอบด้วยที่อัสดงจะบังคมทยุติธรเป็นการขอบพระทัย
 
มิต้องบอกก็รู้ว่าบัดนี้...สายพระเนตรแห่ง มหาเทวะ และ มหาเทวี จะทรงชื่นชมเพียงไร
ยิ่งโปรดทางบาดาล ....ทางฉิมพลี ยิ่งทำพระพักตร์ไม่ถูก

บาดาลโอนอ่อนยอมร่วม.....วิธีการผูกของมหาลักษมีเทวี ยอดเยี่ยม สัมฤทธิ์ผล

“ทยุติธร เราไม่เคยผิดหวังในตัวเจ้าเลยสักครั้ง” มหาอุมาเทวีตรัสขึ้น ทยุติธรจากที่ทรงเป็นตัวโปรดอยู่แล้ว กลับยิ่งเป็นตัวโปรดขึ้นไปอีก มหาฤาษีเองก็ยิ้มแป้น ปรบมือชื่นชม พร่ำปากไม่หยุดว่า

“ทยุติธรศิษย์รักของข้า....ไม่เสียแรงที่ข้าสอน ข้าสั่ง”

สีทันดรไม่รอช้าแล้ว ตั้งพระทัยจะวิ่งปรู๊ดเสด็จลงมากอดเอวทูลหม่อมพี่ชาย หากแต่พระมหาลักษมีปรามไว้อีกครา “เจ้าไปดีใจอะไรกับเขาด้วยสีทันดร กลับมานั่งที่เดิมตรงนี้ สงวนกริยาไว้บ้าง”

“ก็พี่ชายหม่อมฉัน เป็นสุภาพบุรุษนี่นาพะยะค่ะ ใครๆก็ชื่นชม หม่อมฉันก็เลยดีใจเป็นธรรมดา”

“เหอะ สีทันดร เราเพิ่งจะบอกว่าเจ้าเป็นบางส่วนของอณูเรา ไยเราจะไม่รู้จิตใจของเจ้า ...เจ้าดีใจที่มีคนช่วยอัสสะของเจ้าต่างหาก ไม่ได้ดีใจไปกับพี่ชายเจ้าหรอก” พระมหาลักษมีทรงขัดขึ้น แล้วรับสั่งให้กลับมานั่งที่เดิม ส่วนพระมหาอุมาเทวี พระอารมณ์เริ่มแจ่มใส ยามทอดพระเนตรเห็นทีท่าของสีทันดร

“หม่อมฉันว่า ตอนแบ่งอณูและประทานพร มหาเทวีต้องทรงนึกถึงเด็กซนๆแน่เลย” พระดำรัสแรกทำให้ยิ้มได้ ทว่าประโยคต่อมาทำให้สีทันดรเริ่มร้อนๆหนาวๆ “หม่อมฉันว่า เอาไปช่วยกันอบรมที่ไกรลาส หรือเกษียรสมุทรดีไหมเพคะ”

“ดีเหมือนกันนะเพคะ....จะได้เลิกดื้อเลิกซน เอ หรือว่า จะส่งไปฝึกกับมหาสรัสวดีเทวีท่านดี”

“ไม่ดีหรอกพะยะค่ะ หม่อมฉันเกรงว่าจะทำให้ทรงวุ่นวายมากกว่า” สีทันดรทูลขัดขึ้นเสียงหลง และในชั่วแวบก็หาทางเปลี่ยนเรื่องเบนความสนพระทัยได้รวดเร็ว

 “ว่าแต่เมื่อกี้ ทรงบอกว่าหม่อมฉันมีอณูบางส่วนของพระแม่เจ้าใช่ไหมพะยะค่ะ งั้นก็แสดงว่า เท่ากับหม่อมฉันเป็นบุตรพระแม่เจ้า พระแม่เจ้าย่อมเป็นมารดา และถ้ามีตาแก่ตามโคนต้นไม้มาด่าว่า หม่อมฉันพ่อแม่ไม่สั่งสอน ก็เท่ากับด่าพระแม่เจ้าใช่ไหมพะยะค่ะ”

คนด่าจากที่ดีใจกับทยุติธรครั้นพอได้ยินคำกราบทูลก็ตาเหลือก กำไม้เท้าแน่น ขยับผ้าคากรองอย่างไม่เป็นสุข เสียงหัวเราะเริ่มสอดแทรกมาแทนความตึงเครียดที่วายุภัคทรงสร้างขึ้น และคราวนี้ เทวหลายพระองค์ก็รู้ทันที ว่าใครคือ ‘ตาแก่โคนต้นไม้’ กับ ‘เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน’

“ไอ้ฉิบหาย เอาข้าคืนอย่างนี้เลยเหรอ ไอ้สีทันดร”

สีทันดรลอยพระพักตร์ไปมา มหาฤาษียิ่งเต้นเร่าๆ ต่อหน้าพระมหาเทพและมหาเทวี มหาฤาษีจะกระทำกระไรได้ จะด่าก็ด่าไม่ถนัด มหาฤาษีตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว...และเป็นที่รู้กันโดยดุษฎีว่า ยกนี้ใครแพ้

“ฝากไว้ก่อนเหอะเอ็ง”

“เอาล่ะสีทันดร....เลิกแหย่พระคุณเจ้าท่านเสียที มันบาป” มหาลักษมีอดที่จะสรวลใสในความแก่นไม่ได้ จากนั้นจึงหันมาตรัสต่อกับเทวะและอณูทั้งมวลว่า

“จงตั้งใจทำให้ดีที่สุด”

“พระเจ้าข้า”

“ถ้าเข้าใจตรงกันแล้ว เราขออวยพรให้ชยะและความสำเร็จบังเกิดแด่เทวะทั้งมวล โอม” พระมหาวิษณุทรงกล่าวประทานพรทิ้งท้าย จากนั้นพระวรกายของทั้งพระมหาเทพและมหาเทวีก็เปล่งประกายระยิบระยับ พุ่งปราดกลายเป็นแสงโชตินาการเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงใดๆ ออกจากสุธรรมเทวสภา 

“ขอถวายพระพรลา”

สุรเสียงประสานกันโดยมิได้นัดหมาย เทวะผู้เป็นประธานเสด็จกลับไปหมดแล้ว ตามด้วยเทวะชั้นผู้ใหญ่ คือท้าวสักกะเทวราชและท้าวจตุโลกกบาลทั้งสี่ อีกทั้งพญาเทวปักษี และพญาเทวนาคา เหลือแต่ เทวะต้นกำเนิดที่เพิ่งสบโอกาสเข้ามาสวมกอดอณูน้อยของแต่ละพระองค์

“พวกเราภูมิใจในตัวพวกเจ้ามาก ....พวกเจ้าไม่ต้องกลัวว่าพวกเราจะทอดทิ้ง เราจะรบเคียงบ่าเคียงไหล่พวกเจ้าตลอด เพียงพวกเจ้านึกถึงเรา ผู้เป็นเสมือนพ่อและพี่ชายเท่านั้น” พระสุริยาทิตย์ทรงรัดอัสดงด้วยอ้อมพระพาหาแน่นเสียยิ่งกว่าแน่น เป็นสัญญาณให้รู้ว่าพี่ชายห่วงและรักน้องนัก

“ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง พะยะค่ะ กระหม่อมสัญญา ว่าจะสู้ให้ถึงที่สุด”

“ขอบใจเจ้ามาก....อัสดง ลูกชายและน้องชายเรา”

“พวกเจ้าพร้อมสู้หรือยัง” พระอังคารที่ประทับยืนข้างๆ ทรงกอดคออณูน้อยน้ำเชี่ยวแน่นเช่นกัน กล่าวถามขึ้น สอดประสานกับพระเสาร์ที่ทรงชกไหล่คันฉัตรเป็นการทักทายเบาๆตามประสาพี่ทักน้อง หรือเพื่อนทักเพื่อน และทรงตะโกนก้องว่า

“ถ้าพร้อมแล้ว ตอบรับดังๆ ให้พวกเราได้ยินให้ชื่นใจหน่อย”

“พร้อมแล้วพะยะค่ะ”

“ไม่ได้ยิน ท่านว่าไหม ท่านพระพุธ” พระศุกร์ทรงขยี้หัวคืนฉายด้วยความเอ็นดูแล้วทรงหันไปถาม พระพุธที่ทรงกอดเอราวัตแน่น

“ใช่ไม่ได้ยิน...ใช้จิตจับก็ไม่ได้ยิน” พระพุธทรงตรัสพร้อมรอยลักยิ้ม

“พูดอีกทีให้พวกเราชื่นใจหน่อย ว่าพวกเราจะไม่เหนื่อยเปล่าที่แบ่งพวกเจ้าลงมา” จันทรเทพเองก็เล่นกับเขาด้วยบีบต้นแขนทรงกลดแน่น เฉกพระพฤหัสบดี และพระราหูกอดคออณูเดินไปทั่ว

“พูดเบาอย่างนี้ เราจะมั่นใจได้อย่างไร เนอะพระราหู”

“เป็นดังท่านว่า พระพฤหัส ท่านครุเทพ”

ว่าแล้วอณูน้อยก็ลอบยักคิ้วให้แก่กัน พร้อมใจกันผสานเสียงลั่นสุธรรมเทวสภา “พวกเราทั้งแปดพร้อมแล้วพะยะค่ะ แม้นตัวจะตายในสนามรบ พวกเราจะสู้ ให้สมพระเกียรติยศแห่งต้นกำเนิดเรา”

“เยี่ยมมาก...น้องรัก จำไว้พวกเราจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ”

พระสุริยาทิตย์ทรงกล่าวปิดท้าย ก่อนจะสลายกลายเป็นรัศมีสีแดงเพลิงเจือทองสว่างจ้าพุ่งวับลับออกจากเทวสภา ตามมาด้วยรัศมีสีเหลืองนวลแลอีกหลายๆรัศมีแห่งเทวต้นกำเนิดของอณูน้อยทั้งแปด อัสดงแลสหายก้มบังคมอำลา แลทั้งแปดก็ประสานมือกัน แล้วชูขึ้นฟ้าประกาศก้อง 

“พวกเรา....สู้!!”

นลกุพรที่มิได้เสด็จกลับตามพระบิดา ทรงพระดำเนินเข้ามาโอบทุกคนไว้มั่น พร้อมสุรเสียงตื้นตันยินดีด้วยเป็นล้นพ้นกับความสามัคคีและมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันของเหล่าอณู “เราซึ้งในความกล้าหาญและความสามัคคีของพวกเจ้า เราจะขอรบเคียงบ่าเคียงไหล่พวกเจ้าเช่นกัน สหายมนุษย์ของเรา”

เสียงไชโยโห่ร้องดังประสานเสียงด้วยความฮึกเหิม ตระการตาถูกพาเข้ามาร่วมวงกับเขาด้วย ทางด้านมหาฤาษีก็ลูบหัวให้พรแถมยังรับปากว่าจะช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ สีทันดรนั้นก็ทรงยิ้มกว้าง หากแต่ยังประทับนั่งอยู่หน้าพระแท่นจนอัสดงต้องเดินเข้ามาหา ฉุดข้อพระกรดึงบั้นพระองค์มาโอบไว้แนบแน่น แล้วกล่าวถามสุดที่รักตาฟ้า ด้วยน้ำเสียงกังวานหวานซึ้ง ดวงตาสีอำพันเปล่งประกายระยับวับพราว

“สีทันดร.... ไอ้ดื้อของอัสสะ เจ้าล่ะพร้อมหรือยัง”

พระเนตรฟ้าครามใส เปล่งประกายกายเจิดจ้า แสดงให้รู้ว่าคำตอบที่กำลังจะตอบมา มันคือความจริงจากพระหฤทัย “อัสสะจงรู้ไว้เถิดว่า เราพร้อมที่จะอยู่ข้างๆอัสสะทุกเวลา ตั้งแต่วันที่เราบุกไปหาอัสสะที่บ้านพี่กลดแล้ว เราจะสู้ไปพร้อมกับเจ้าจนกว่าเราจะขาดใจ หรือไม่ก็ใจขาด”

“จะไม่มีทั้งสองอย่าง ไม่ว่าขาดใจหรือใจขาดดั่งเจ้าว่า ยอดรัก ”

ริมฝีปากหยักงามบรรจงจูบลงไปตรงพระนลาฏเกลี้ยงเกลา แทนคำพูดอีกหลายร้อยล้านคำ อัสดงขณะนี้รู้สึกฮึกเหิม สุขใจเหลือจะกล่าว ที่รายรอบข้างเขาพรั่งพร้อมไปด้วยปิยมิตรที่จะรบเคียงบ่าเคียงไหล่และหัวใจสุดสิเน่หาจากบาดาลที่จะมีไว้กอดนอน หากศึกครั้งนี้เขาจะต้องตาย เขาก็มิเสียดายซึ่งแก่ชีวิต 

“กลับไปที่มณฑลพิธี และนับจากนี้ พวกเราคือเพื่อนตาย”

“ครับ....ท่านแม่ทัพอัสดง” น้ำเชี่ยวนำทีมรับคำกล่าวนำขึ้น หากเจ้าแม่ทัพกลับแย้งทันควัน

“ไม่เอา...เรียกกูใหม่ เรียกกูเหมือนเดิมว่า ไอ้อัสดง”

“เออก็ได้วะ ไอ้ห่าอัสดง ไอ้เวรนี่เรียกดีๆไม่ชอบ”

น้ำเชี่ยวจึงถอนหายใจ พูดใหม่ ซ้ำยังด่าท่านแม่ทัพ เรียกเสียงหัวเราะได้ไม่หยุดหย่อน ก่อนรัศมีสีแดงเพลิงสว่างจ้าพุ่งทะยานขึ้นฟ้าเป็นลำเกี่ยวกระหวัดต่างตระกองกอดรัศมีสีเขียวเจือทองของเจ้านาคาน้อยปราดออกไปเป็นคู่แรก นลกุพรมิทรงรอช้ายื่นพระหัตถ์เกี่ยวนิ้วก้อยทรงกลดเหิรทะยานออกมาเป็นคู่ที่สอง คืนฉายกับเอราวัต ยิ้มหวานให้แก่กัน สลายร่างเป็นรัศมีสีเขียวแลฟ้าคราม ตามมาติดๆ คันฉัตรเองก็โอบเอวตระการตาแน่นลอยละลิ่วตามมาเช่นกัน ส่วนธรรม์ตั้งใจจะเหิรออกไปบ้างหากแต่ก็มีมือแข็งแรงยื้อยุดฉุดข้อมือเขาไว้

“รอฉันด้วยสิ”

น้ำเชี่ยวกล่าวพร้อมบีบข้อมือธรรม์แน่น ทว่าในความแน่น เจือไว้ซึ่งประจุไฟฟ้าที่วิ่งปราดรวดเร็วเข้าสู่กลางหัวใจ ทิฐิที่ต่างฝ่ายต่างมี แทนที่ด้วยรอยยิ้มใสๆ บนใบหน้าอย่างไม่เคยเป็น และที่สำคัญ ทั้งสองต่างยิ้มให้กันและกันอย่างเปิดเผย

“ได้สิน้ำเชี่ยว ฉันพร้อมที่จะไปกับนายเสมอ”

เทวฤทธิ์ประสิทธิ์ขึ้นโดยพลัน รัศมีสีส้มแลสีชมพูเจือทองสว่างจ้าพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งราหูอยู่เบื้องหลังพร้อมมหาฤาษีขี้โมโหที่เปลี่ยนจากอารมณ์ดีๆ กลับมาด่าลั่น

“อ้าว เฮ้ย รอกูด้วยไอ้น้ำเชี่ยว ไอ้ธรรม์” ราหูร้องลั่นตามหลังแล้วจึงแหวกม่านอากาศเหิรออกไปเป็นรัศมีสีทองแดงด้วยความเร็วสูง หนีเสียงด่าขรมที่กำลังดังระงมไปทั่วทั้งอนันตจักรวาล

“ไอ้พวกฉิบหาย...เสร็จธุระล่ะทิ้งข้า....รอข้าด้วยสิโว้ย”

“หลวงตาด่าอยู่นั่นแหละ ตามมาเร็วเข้า”

เสียงดังครั่นครื้น ลั่นฟ้า ผสานสายอสุนีบาตแล่บแปลบปลาบ  มนุษย์อาจจะคิดว่านั่นคือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ฟ้าร้อง ฟ้าแล่บ หากแต่มนุษย์น้อยคน ที่จะรู้ว่า บางที ก็อาจจะเป็นเสียงสรวลลั่น หรือเสียงสนั่นของเทวะลั่นกลองศึก แลบางทีแสงสว่างวาบนั้น อาจเป็นการเดินทางของเทวะลอยผ่านเหนือน่านนภมณฑล

มนุษย์จะรู้อะไร....แม้กระทั่งว่าบัดนี้ ปลายกลียุคเลื่อนเข้ามากระชั้นขึ้น เทวะหลายๆพระองค์ ทรงงานหนักเพียงไร

สงครามระหว่างเทวะกับมารกำลังจะอุบัติ แลสงครามครั้งนี้ก็มีโลกมนุษย์ภพกลางเป็นเดิมพัน
หากโลกมนุษย์สิ้น มีฤา ที่สวรรค์และบาดาลจะไม่สะเทือน

พุทธทำนาย จำต้องเป็นไปตามพุทธทำนาย ทุกพระองค์จึงทรงรักษาไว้อย่างสุดพระกำลัง
คำว่า ‘คงอยู่’ หรือ ‘แตกดับ’ คงได้ขับขาน ....ในไม่ช้า

บัดดลสรรพสำเนียงกระหึ่มก้อง
ทั่วท้องนภากาศสว่างไสว
เทวะเสด็จล่วงห้วงสวรรค์สุลาลัย
สำแดงฤทธิ์อันเกรียงไกรล้างหมู่มาร

**************************

จบรีรันภาคที่๑แล้วนะคะ ตั้งแต่บทที่๑๕เป็นต้นไป คือภาคที่๒ ตอนใหม่ค่ะ รบกวนติดตามต่อนะคะ
ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่าน ทุกคอมเม้นที่เป็นแรงใจ และสนับสนุนเสมอมาค่ะ

รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ  :กอด1:  :3123:  :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
กำลังเข้มข้น สนุกมากครับ
รอภาค 2

ออฟไลน์ Oooy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ขอบคุณมากนะคะที่มาอัพต่อสนุกมากทั้งภาษาเนื้อเรื่องคำบรรยายเห็นภาพชัดเจนมากเลยอ่านแล้วขนลุกตอนกล่าวถึงมหาเทพแต่ละพระองค์เลยค่ะวายุภัคนี่ไม่สำนึกจริงๆช่างกล้ามากสีทันดรน่ารักตอนเอาคืนหลวงตา555รอภาคตีอนะคะต้องสนุกเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยแน่นอน///ไวรัสโควิดร้ายแรงมากดูแลสุขภาพดีๆนะคะ

ออฟไลน์ yestermemo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-04-2020 21:35:39 โดย yestermemo »

ออฟไลน์ K.Pupoom

  • รักข้ามรั้วไอ้ตัวแสบ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 387
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +966/-5
เห้ยยยย  กลับมาแล้ว
ดีใจมาก
ชอบเรื่องนี้ สุดๆ

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ย่องมาหาเหล่าเทวะของอัศวินดาราอีกรอบ ตอกย้ำความสนุก เพื่อรออ่านภาค2ต่อไป มาต่อเร็วๆนะจ๊ะ รออยู่ตั้งแต่ของเก่าจนมาถึงฉบับปรับปรุงจบอีกรอบ...ด่วนๆ :pig4: :L1:

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
    • Coco Chadam
สิ้นเดือนมาต่อให้นะคะ
ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านมากๆ ที่ยังติดตามค่ะ :กอด1: :pig4:

ออฟไลน์ BaII

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1

ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 372
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3

ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
สิ้นเดือนมาต่อให้นะคะ
ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านมากๆ ที่ยังติดตามค่ะ :กอด1: :pig4:
นับวันรอเลยจ้า ขอบคุณมากค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Oooy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ิดถึงค่ะสิ้นเดือนแล้วรอนะคะ

ออฟไลน์ Aphrodite

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 865
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-1
แค่ชื่อเรื่อง ก็ทำให้อยากอ่านแล้ว   แวะมาให้กำลังใจนักเชียนก่อนว่าเพราะชื่อเรื่อง แบบชอบแนวแฟนตาซี  ขอตามไปอ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
    • Coco Chadam
อัศวินดารา๒ บทที่ ๑๕ โอษฐ์แห่งมหาเทวี ส่วนที่๑


รัศมีโชตินาการสีหลากหลายของเหล่าอณูน้อย เมื่อออกจากสุธรรมเทวสภาแล้วก็มุ่งหน้ากลับมายังปรัมพิธีกลางป่า ครั้นพอถึงรัศมีสีต่างๆก็รวมเข้ากับกายหยาบที่สีทันดรและมุจลินทร์ทรงป้องกันด้วยเทวอาคมและซ่อนไว้อยู่ภายในดอกบัวนิรมิต เมื่อร่างและจิตรวมกันเรียบร้อยก็ทยอยออกมาจากดอกบัว

“โอ๊ยยยย เมื่อยขบไปหมด...พวกเราจากโลกมนุษย์กันไปกี่วันวะนี่” คืนฉายเป็นต้นเสียงถามขึ้นลอยๆ แล้วบรรดานาคาองครักษ์ของสีทันดรที่เฝ้ากายหยาบชั้นนอกไว้ก็ตอบมาให้

“หนึ่งวันพอดีขอรับ ท่านอณูน้อย”

“เวลาต่างกันขนาดนี้เลยเหรอ อยู่บนดาวดึงส์แป๊บเดียวแท้ๆ”

“มหาเทพเลยทรงใช้เวลาไม่นานไง ก็อย่างที่ท่านตรัสแหละว่าถ้าไปนานกายหยาบเราจะทนไม่ไหว” ทรงกลดกล่าวแทนนาคองครักษ์ เดินเข้ามาพร้อมกับนลกุพร น้ำเชี่ยว ธรรม์ และราหู มายืนรวกลุ่มกับคืนฉายที่มีเอราวัตยืนอยู่ข้างๆ กำลังมองไปรอบๆใช้สายตานับจำนวนเพื่อนๆ ที่ยืนอยู่กันรายเรียง

“ว่าแต่นี่กลับมาครบทุกคนกันหรือยัง ไม่ใช่ว่าใครแอบแวะหนีเที่ยวบนดาวดึงส์นะโว้ย”

“ครบแล้วไอ้ห่าพระพุธ ขาดก็แต่พี่ชายน้องดื้อกับแฟน และก็วายุภัคที่แยกกลับไปบาดาลกับฉิมพลีแล้ว  ภาระเพียบแบบนี้ ใครจะเที่ยวลง ใช่ไหมไอ้แม่ทัพอัสดง” น้ำเชี่ยวตอบมาให้ แล้วเบือนหน้าไปหาเจ้าแม่ทัพ ที่รวมร่างเสร็จก็เริ่มที่จะไปวอแวอยู่กับเจ้านาคน้อยเฉกเดิม

“เออน่ะสิ กูจะพาพวกมึงตายห่ากันกลางสนามรบหรือเปล่าก็ไม่รู้” อัสดงยิ้มกว้างด้วยปรีติจนเห็นไรฟันอันมีเขี้ยวเสน่ห์เล็กๆ “ว่าแต่ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม ท่านนาเคนทร์”

“เรียบร้อยดีขอรับ ท่านอณูพระสุริยาทิตย์”

“เรียกเราว่าอัสดงเถอะ”

“ขอรับท่านอัสดง”

นาเคนทร์คำนับรับคำแล้วลอบมองอัสดง ที่ยามนี้ดูผาดๆก็สัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามอันแผ่กำจายไปรายรอบ จากเดิมอณูน้อยคนนี้ก็มีความน่าเกรงขามมากกว่าอณูน้อยทุกคนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยามนี้กลับเพิ่มพูนทวีคูณขึ้นไปอีก แถมรัศมีก็ร้อนแรงกว่าเดิมเป็นเท่าตัว คาดว่าน่าจะได้รับหน้าที่สำคัญกว่าใครมาแน่แท้ เดชะจับเต็มขนาดนี้ คงมีแค่สายตาของเขาละมัง ที่โอนอ่อนผ่อนปรนให้กับทูลกระหม่อมเล็กสีทันดรแต่เพียงพระองค์เดียว

สายตาคู่เดิมคู่นี้แหละ ที่สำแดงมาให้เห็นว่า ...ใครพรากทูลกระหม่อมเล็กไป โทษของมันคือตาย
วันนั้น ยังจำได้ดี ครั้นทัพองครักษ์บุกชิงพระองค์คืนบาดาลที่บ้านอณูน้อยแห่งจันทรเทพ ...นาคาแตกพ่ายไม่มีเหลือ

นี่คงไม่ต้องตีความอะไรให้มากมายสินะว่าเจ้านายตน ทรงมีความสำคัญกับอณูน้อยผู้นี้เพียงไร เจ้านายตนก็เช่นกัน สายพระเนตรที่มีให้กับอณูแห่งพระสุริยาทิตย์ คือความสิเน่หาที่ทรงปิดไว้ไม่มิดแล้ว ผิดกับวันที่โดนจับเป็นองค์ประกันนัก.. แน่แล้วเชียว ทูลกระหม่อมเล็ก ทรงมีผู้ปกครองพระทัยกับเขาแล้ว อณูน้อยผู้นี้สมเสียยิ่งกว่าเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นในด้านฝีมือและรูปลักษณ์ เห็นควรต้องยอมรับเป็นนายตนด้วยอย่างมิมีข้อกังขาให้เคลือบแคลง ฉะนี้แล้วความนอบน้อมจึงสำแดงให้กับอัสดงโดยมิต้องฝืนใจแต่อย่างใด

“เจ้าแน่ใจนะนาเคนทร์ เทวะผู้ใหญ่หลายๆพระองค์พูดกันให้เซ็งแซ่ว่า พวกมารมันรู้ตัวแล้ว เราว่ามันไม่น่าพลาดโอกาสนี้ที่จะเข้ามาโจมตี พวกเรา เราว่าเจ้าควรลองตรวจสอบให้แน่ดูทีฤา” สีทันดรทรงถามย้ำขึ้นให้แน่พระทัย ด้วยพระสุรเสียงจริงจัง ผิดกับแต่ก่อน ก่อนที่จะขึ้นเฝ้ายังมหาเทวสภา

“พระยะค่ะทูลกระหม่อม ฤาทูลกระหม่อมจะทรงถามเจ้าโอปาติกะน้อยทั้งสองตนนี่ก็ได้” ราชองครักษ์กราบทูลตอบ แล้วหันหน้า ไปหาเจ้ารักเจ้ายม ที่วันนี้เดาะมาใส่เสื้อเกราะอ่อนนักรบดูขึงขังผิดหูผิดตา

“ไม่มีวี่แววพวกมารเลยพะยะค่ะพี่ดื้อ รักกับยมและพวกผีป่า ช่วยกันตรวจตราหมดแล้วบริเวรป่าฟากนี้”

“แล้วฟากโน้นล่ะ ไอ้รัก ไอ้ยม” อณูแห่งศนิเทพผละออกจากตระการตา เดินเข้ามาร่วมบทสนทนาพร้อมมหาฤาษี ขมวดคิ้วถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะฟากนี้ของไอ้รักไอ้ยมมัน มันน่าจะไม่ไกลเท่าไหร่ แล้วคำตอบก็มีมาให้น่าชื่นใจนัก

“ไม่ได้ไปครับพี่ฉัตร”

“อ้าวไอ้ห่า เดี๋ยวก็เตะให้ไปเกิดใหม่เลยนี่”

“ช่างมันเถอะพี่ฉัตร ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว  แยกย้ายไปพักผ่อนกันเถอะ” สีทันดรทรงออกรับแทนเจ้ามหาดเล็กจำเป็น มหาฤาษีเองก็เช่นกัน

“เอ็งอย่าไปว่าอะไรมันนักเลยไอ้ศนิเทพ พลังมันก็เท่านี้ มันทำได้แค่นี้ก็ดีแล้ว แต่เอ จะว่าไปไอ้ผีเด็กสองตัวนี่ หน่วยก้านมันดีนะ นี่เอ็งคงไม่ได้แกะมันมาจากไม้รักไม้ยมตายพรายแล้วกำกับอาคมอย่างเดียวล่ะสิ”

ตระการตาที่เดินตามมาด้วยฟังแล้วก็สงสัยว่าไม้ตายพรายคืออะไร แล้วคำตอบก็มีมาให้จากคันฉัตรโดยมิต้องร้องขอ “ไม้รักไม้ยมตายพราย คือต้นรัก ต้นมะยม ที่ยืนต้นตายเอง หันหน้าไปทางทิศตะวันออก แล้วเอามาแกะเป็นรูปเด็กสองคน เจ้ารักจะตัวสีขาว เจ้ายมจะตัวสีดำ จากนั้นก็เอามาปลุกเสก จนมันมีฤทธิ์มีชีวิตขึ้นมา”

“แล้วเอ็งก็เลยไปเอาวิญญาณเด็กอายุสิบสี่จากวัดร้างมาใส่ให้มันใช่ไหม” หลวงตามหาฤาษีถามต่อ คันฉัตรจึงตอบมหาฤาษีคร่าวๆ ถึงที่มาที่ไปของเจ้าโอปาติกะน้อยทั้งสอง


“ใช่ครับหลวงตา หลานดึงเอาวิญญาณเด็กชายอายุสิบสี่จากวัดร้างแถวอยุธยามาด้วย ไอ้รักไอ้ยม ครั้งยังมีชีวิตมันเป็นบุตรแฝดของขุนศึกฝั่งไทยที่โดนทัพพม่าฆ่าตายทั้งครอบครัวตอนตีฝ่าวงล้อมออกมา วิญญาณมันตอนแรกมันยังถือดาบถือหอกอยู่เลย หลานเห็นว่าหน่วยก้านมันดีและก็สงสารไม่อยากให้มันอยู่ที่วัดร้างนั้น เลยเอามันมาทำงานด้วยกัน”

“เออ ถึงว่าสิ มันกล้าหาญผิดผีตัวอื่นๆ ลูกขุนศึกขุนพลนี่เอง ข้าว่าเอามันมารับใช้ข้าดีกว่าไหม ดีกว่าให้มันไปตามแต่ไอ้สีทันดร ที่มัวแต่หาเรื่องเที่ยวเรื่องเล่นเรื่องซนกันไปวันๆ แล้วข้าจะสอนวิชาเพิ่มฤทธิ์พวกมันให้จะได้ช่วยกำราบพวกอสูรพวกมาร พลังที่ไอ้วายุภัคมันให้มาพอซะที่ไหน เอ็งว่าไง”

มหาฤาษีเสนอมาอย่างนี้ คันฉัตรและเหล่าอณูน้อยทั้งหลายจึงเห็นพ้องต้องกันอย่างมิต้องสงสัย อย่างน้อยก็มีกำลังเพิ่มมาอีกสอง และก็เป็นโชคดีของไอ้รักไอ้ยมนักแล้วที่ได้มหาฤาษีเป็นครู เจ้ารักเจ้ายมเองก็ยิ้มแป้นดีใจนักดีใจหนา ทว่าหากก็มีบางพระองค์ซึ่งก็กลับมาเป็นพระองค์เดิมเพียงชั่วลมพัดนี่แหละ ที่ทรงตีลูกขัดมาขัดคอเป็นสุรเสียงใสทันควัน

“ดู๊ ดูเอาเถิด ที่แท้ก็จะหาเด็กรับใช้ไว้คอยปรนนิบัติพัดวี เป็นผู้ทรงศีลเนี่ย เขาให้ละความสะดวกสบาย แล้วบำเพ็ญเพียร จะได้บรรลุเหมือนกับคนอื่นๆเขา ติดความสบายไปวันๆอย่างนี้สิเล่า ถึงได้....”

“ถึงได้อะไร ไอ้นาคปากเสีย  เอ็งพูดมาให้จบ จะค้างไว้หาไอ้สมุทรรักษ์พ่อเอ็งเหรอ” มหาฤาษีก็ใช่ย่อยเฉกกัน เพียงลมพัดก็ลดอายุนับหมื่นนับพันปีลงมาเถียงกับสีทันดร ชี้ไม้เท้ามาด่าเหย็งๆ 

“ก็บอกไปแล้วไงว่า ถึงได้อยู่แค่ขอบพาน ยังไม่ถึงนิพพาน”

“ข้าก็บอกไปแล้วเหมือนกันโว้ยว่าถ้าข้าจะทำ ข้าก็ทำได้”

“แล้วทำไมไม่ทำล่ะจ๊ะหลงตา”

“ก็มันยังไม่ถึงเวลาสำหรับข้ารู้ไว้ด้วย ไอ้นาคเวรตะไล” มหาฤาษีลดไม้เท้าลง แล้วยกมือเท้าสะเอวค้อนขวับราวกับเด็กๆไปยังสีทันดร แล้วเบนสายตาไปรายรอบปรัมพิธีที่ทุกผู้ทุกคนกำลังซ่อนยิ้ม แล้วเปลี่ยนมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกับสีทันดร จนทุกคนโดยเฉพาะอัสดงที่ได้ฟังแล้วต้องหุบยิ้มว่า

“เวลาสำหรับข้ายังไม่มาถึงหรอกไอ้สีทันดรเอ๋ย  หากแต่เร็วๆนี้ ไม่เกินสามราตรีนี่ เอ็งรู้ไว้เถิดว่าจะมีพระอริยสงฆ์บรรลุอรหันต์ เข้าสู่พระนิพพาน พวกมารมันต้องเข้ามาขัดขวาง ถ้ามารมันทำสำเร็จพุทธทำนายจะเปลี่ยน ข้าจะยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้”

“พระอริยสงฆ์ที่ไหนกันจ๊ะหลงตา เท่าที่หลานทราบ ณ ปัจจุบันสมัยนี้ ก็มีแค่....” สีทันดรเองฟังแล้วก็พระทัยวาบ กลับมาเป็นการเป็นงานอีกครั้ง หันไปมองหน้าชายอันเป็นที่รัก ก็เห็นว่าเขาผู้นั้นขึมลงในทันที จึงตรัสมาได้แค่นั้น แต่แล้วอัสดงก็เติมต่อให้ครบถ้วนกระบวนความ ด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะแหบพร่าขับออกมาได้ยากยิ่ง

“หลวงตาที่วัดป่า อาจารย์ของเราเอง ท่านถึงไม่ว่างพาพวกเราขึ้นเฝ้าไงล่ะ”

 “ใช่แล้ว ท่านกำลังบำเพ็ญ แต่เอ็งอย่าเสียใจอาลัยท่านไปเลยไอ้อัสดง การที่ท่านบรรลุแล้วเลือกเข้าพระนิพพานเลย มันเป็นผลดีแก่เหล่าเทวดา เพราะจะสร้างสิริและปรีติ อีกทั้งขวัญกำลังใจให้แก่เทวะทั้งผองว่าพระศาสนาที่คอยปกป้องมีเนื้อนาบุญบังเกิด” หลวงตามหาฤาษีทอดเสียงนุ่มมายังอัสดงเป็นการปลอบ แล้วหันไปกล่าวกับทุกคนว่า 

 “ภารกิจสำคัญอันแรกของพวกเอ็งมาถึงแล้ว ปกป้องพระอริยะให้บรรลุพระอรหันต์  พวกมารมันมาแน่ พวกเอ็งเตรียมตัวกันให้ดี”

“ขอรับหลวงตา” อัสดงฝืนเสียงหนักแน่นรับคำ แล้วกล่าวกับสหายอณูทั้งหลายในฐานะผู้นำปิดท้ายว่า “เอาล่ะ พวกเรา กลับไปพักผ่อนกันก่อน เที่ยงคืนเราจะมีประชุมกัน ตามนั้น”

“ครับ ไอ้แม่ทัพ”

ทุกคนรับคำแล้วทั้งหมดก็พากันทะยานขึ้นฟ้ามุ่งหน้าออกจากปรัมพิธีกลับสู่รีสอร์ทริมแม่น้ำปาย หาได้ทราบไม่ว่า ณ อีกฟากป่าของที่ตั้งปรัมพิธีที่รักยมไปไม่ถึง บัดนี้มีกลุ่มก้อนรัศมีสีดำมืด ค่อยๆปรากฏขึ้นทีละกลุ่มสองกลุ่มจนนับได้เกือบสิบอยู่กลางลานป่าภูเขาด้านหลัง กลุ่มก้อนรัศมีเหล่านี้หาได้มีความเรืองรองดุจเทวะอันใดไม่ จึงแฝงกายไปในความมืดมิดได้อย่างกลมกลืนนัก

“ทำไมพวกเราไม่บุกซะตอนนี้” เสียงบาดหูกล่าวขึ้น พร้อมๆกับรัศมีสีดำที่สลายกลายเป็นสตรีนางหนึ่ง หน้าตาเรียบตึง เคียดขึ้ง อันมีเขี้ยวเล็กๆออกมาจากมุมปากทั้งสองข้าง เมื่อสิ้นเสียงนางอสุรีผู้นี้นั้น ก็มีเสียงแหบห้าวตามมาสนับสนุนอีกหลายเสียง แต่ก็มีเสียงกังวานจากหนุ่มน้อยรูปงามผู้หนึ่งวัยประมาณสิบแปดขัดไว้ อันรอบกายของเขามีรัศมีสีดำไม่ต่างกัน

“จอมอสูรบัญชาแค่ให้พวกเรามาดู มิได้บัญชาให้โจมตี หรือท่านอาสำมะนักขากล้าขัดคำสั่ง”

“เหอะ...อินทรชิต เจ้าก็อ้างแต่จอมอสูร ข้าว่าเจ้าขี้ขลาดซะมากกว่า น่าขายหน้านัก นี่น่ะหรือผู้ที่เคยรบชนะพระอินทร์”

“ข้าว่าท่านหุบปากซะเถอะท่านอาสำมะนักขา อย่าพูดจาอะไรที่แสดงความโง่ออกมา ท่านไม่เห็นหรือไงว่าทั้งทัพยักษ์ ทัพนาค และทัพครุฑ ยืนล้อมเป็นปราการอยู่เต็มซะขนาดนั้น การที่เราจะฝ่าเข้าไป มันไม่ใช่เรื่องง่าย ไพร่พลของเราเพิ่งฟื้นพละกำลัง หาได้แข็งแรงเหมือนแต่เก่าก่อน ทั้งข้าและท่านเองก็เพิ่งจะรู้ตัวตื่นจากการหลับไหลในร่างมนุษย์ วันนี้เรามาแค่สืบข่าวของพวกอณูเทวะ และเราก็ได้ทราบแล้วว่าพวกมันขึ้นเฝ้ายังเทวสภา มีกองกำลังใดบ้างสนับสนุน ข้าเห็นว่าเราควรกลับ ไม่ควรทำเกินเลยคำสั่งท่านจอมอสูร เพราะท่านมีงานสำคัญเรื่องพระอริยสงฆ์ให้เราทำกันต่อ” เจ้าหนุ่มน้อยผู้มีนามว่าอินทรชิตเตือนสติสตรีสาวผู้มีศักดิ์เป็นอาด้วยน้ำเสียงทรงพลัง อาสาวที่ได้ฟังถึงกับชะงักงันไปเพียงครู่ก่อนจะสำแดงทีท่าพร้อมน้ำเสียงไม่พอใจออกมา

“อย่าบังอาจมาเตือนข้าอินทรชิต”

 “จนแล้วจนรอดจนหนีกลับมาเกิดใหม่ในร่างมนุษย์ ท่านก็ยังคงเป็นท่านเฉกเดิม ความใจร้อนและวู่วามของท่าน เคยทำให้พวกเราสิ้นวงศ์มาแล้ว”

“ที่สิ้นวงศ์ก็เพราะพ่อเจ้าเองที่หลงพระนางสีดา อวตารแห่งพระแม่เจ้ามหาลักษมีเทวี หาใช่ข้าไม่”

“ก็ถ้าท่านดูให้ดี และไม่มาบอกและเป่าหูพ่อข้า ...พ่อข้าก็คงไม่ลักพาพระนางมา และคงไม่ทำสงครามกับองค์อวตารของพระมหาวิษณุหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เกิดมาจากตัณหาและราคะของท่านที่หลงรูปองค์อวตารทั้งนั้น เหอะ ข้าพูดกับท่านก็เหมือนกับตักน้ำรดหัวตอ ข้าว่า ข้ากลับไปรายงานท่านจอมอสูรก่อนล่ะ ข้าจะได้ไปจัดการเรื่องพระอริยสงฆ์ต่อ ถ้าท่านอยากจะอยู่ตรงนี้ต่อไป หรืออยากจะบุกเข้าไปก็ตามใจ ข้าถือว่าข้าบอกข้าเตือนท่านแล้ว ”

เจ้าหนุ่มน้อยอินทรชิตผู้มีเขี้ยวงอกจากมุมปากมิต่างอะไรกับผู้เป็นอา พูดจบก็สลายร่างเป็นรัศมีสีดำมืดอีกครา พุ่งปราดละเลียดพื้นไปตามแนวป่ามืดสนิท ตามมาด้วยรัศมีที่เห็นด้วยอีกหลายรัศมี คงเหลือแต่ผู้สตรีวัยประมาณยี่สิบที่ถูกเรียกว่าสำมะนักขา ผู้ที่ยังยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้นครั้งอดีต ก่อนจะสลายร่างแล้วพุ่งแยกไปอีกทาง ทิ้งไว้แต่น้ำเสียงดุดันเกินสตรีที่ยังดังลั่นไล่หลังไปตามแนวป่าเท่านั้น

“เหอะ อินทรชิต เจ้าเอาข่าวแค่นั้นไปบอกท่านจอมอสูรใครก็ทำได้ ข้านี่แหละจะไปเอาข่าวมากกว่านี้มาแจ้งแก่ท่านจอมอสูร เพื่อที่จะตบหน้าเจ้าให้ได้อายให้ดู เจ้าจะได้เลิกหลบหลู่ข้าซะที”

อัสดงและสีทันดรเมื่อกลับมาถึงรีสอร์ทริมแม่น้ำปาย ก็แยกเข้าบ้านพัก เฉกอณูคนอื่นๆ และเมื่อเข้ามาถึงอัสดงยังคงพาสีหน้าหม่นแสงไปจัดการธุระส่วนตัวชำระร่างกายจนเสร็จสิ้น ครั้นพอออกมาจากห้องน้ำก็มองนาฬิกาเห็นว่าอีกนานกว่าจะเที่ยงคืน จึงพาร่างเปล่าเปลือยที่แห้งเองอย่างรวดเร็วเพียงแค่เปล่งรัศมีสีแดงเพลิงประจำตัวเบาๆ มานั่งทอดอารมณ์อยู่ตรงปลายเตียงสีขาวหนานุ่ม มิอายสายพระเนตรสีฟ้าครามที่ประทับกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ก่อนที่เห็นแล้วก็ตกพระทัย

“ชีเปลือย!! ไอ้ไฟบ้า”

“ยังไม่ชินอีกเหรอ มานี่” อัสดงพูดจบก็ใช้วงแขนคว้าวรองค์งามงดมาแนบตัก กอดแน่นไว้เต็มรัก แล้วเกยคางวางไว้บนไหล่เจ้านาคน้อยเบาๆ เคล้าคลอไปเรื่อยจนถึงซอกพระศอลออเศวตอย่างที่ชอบกระทำ 

“ไอ้ดื้อจ๋า อัสสะขอพลังหน่อย”

“อยากได้พลัง ก็ไปใส่เสื้อผ้าแล้วเข้าฌานเอาสิ มาขออะไรจากเรา”

“เจ้าก็รู้ว่าพลังที่เราต้องการ มันหาไม่ได้จากการเข้าฌาน แต่มันมาจากปากเจ้าต่างหาก” แล้วเจ้าคนพูดก็ทำแก้มป่องๆ ตาละห้อย ชะรอยจะยังคงกังวลเรื่องพระอาจารย์หลวงตาวัดป่า จนคนที่นั่งอยู่บนตักเห็นแล้วก็สงสารเห็นอดเห็นใจมิได้ จึงเต็มพระทัยด้วยพระพักตร์แดงๆถ่ายพลังไปให้เสียหนึ่งฟอด หากก็คงยังมิหนำใจกระมัง

เจ้านาคน้อยเอ๋ย เจ้าลืมไปแล้วหรือไร ว่ายอดรักเจ้าลูกไฟดวงใหญ่ของเจ้า ...มันเจ้าเล่ห์เกเรเพียงใด
หอมแค่หนึ่งฟอดมันจะไปเพียงพอกระไรกัน!!

“และก็..ตัวของเจ้าด้วย”

ว่าแล้ววงหน้าที่หม่นแสงเรียกคะแนนสงสารก็กลับฉายฉานได้ดังเดิม ตามมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เกเร พร้อมวงแขนแข็งแรงที่รัดบั้นพระองค์อยู่ก็คลายออก แล้วใช้มือเลื่อนมาปลดสนับเพลาด้วยความรวดเร็ว ด้วยความที่มิได้ระวังพระองค์เช่นเคยจึงมิยากเย็นเลยสำหรับอัสดงที่จะจับดึงออกมา แล้วขว้างทิ้งไปข้างเตียงอย่างง่ายดาย

“อย่านะ ไม่เอานะอัสสะ เอากางเกงเราคืนมา เดี๋ยวก็ไปประชุมไม่ทันกันพอดี” สีทันดรทรงพยายามขอคืน แต่อัสดงก็ส่งคืนมาเพียงลูกอ้อน อ้อนมาอย่างกับเด็กน้อยตอแยจะเอาของเล่น และต้องเอาให้ได้

“ถมถืดน่าไอ้ดื้อ...นะๆ ขออัสสะเถอะ อยากให้อัสสะขาดใจตายก่อนจะได้ออกรบหรือไง นะไอ้ดื้อจ๋า ยอมเถอะนะคนดี แล้วพรุ่งนี้ไอ้ดื้ออยากได้อะไร อยากไปเที่ยวไหน พี่อัสสะจะหามาให้ จะพาไปหมด ”

“ไม่เอาเดี๋ยวเราท้อง” สีทันดรคงไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาบ่ายเบี่ยงละมัง จึงตอบไปอย่างนั้น ผลคือโดนจูบฟอดใหญ่แทนมะเหงกลูกเบ้อเร่อเขกมากลางพระเกศาหนานุ่มเป็นมันขลับ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะกังวานด้วยความเอ็นดู

“เป็นเทวนาคา ไม่ใช่เทวนาคีท้องได้ด้วยเหรอ แต่เอ..ถ้าเกิดเจ้าเป็นเทวนาคี เจ้าอยากมีลูกผู้ชายหรือลูกผู้หญิงกับอัสสะกันล่ะ”

“ถ้ามีได้เหรอ เราอยากมีลูกชายกับอัสสะ รู้ไหม เมื่อวานที่ขึ้นเฝ้า หลงตามหาฤาษีบอกกับมุจลินทร์ว่า นางกับทูลหม่อมพี่ชายทยุติธรจะมีลูกชายคนแรกด้วยกันที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไม่แพ้ทูลหม่อมปู่อนันตนาคราช เราได้ยินแถมก็ยังแอบดันเผลอคิดเล่นๆว่า ถ้าเรามีลูกกับเจ้า ลูกเราจะเป็นอย่างไร”

“ก็คงหล่อและเก่งเหมือนพ่อ แต่ดื้อ แสนซน และพิษร้ายเหมือนแม่”

“ก็คงจะจริงเนอะ แต่คงไม่หรอกอัสสะ เพราะถ้าเราเป็นเทวนาคี ลูกที่เกิดจากเราจะถือเพศตามบิดาเสมอ อัสสะเป็นแค่อณูแห่งเทวะ เป็นมนุษย์กึ่งเทพ หาใช่เทวะเต็มตัว ลูกของเราก็จะเป็นเพียงแค่มนุษย์ที่มีเศษเสี้ยวเทวดาและเศษเสี้ยวนาคาเท่านั้น หาได้มีเดชะมากเท่าเราทั้งสองไม่ แถมลูกของเราก็ต้องถูก...”

สีทันดรตรัสยังไม่ทันจบ อัสดงก็แทรกขึ้นทันทีด้วยเสียง และแสร้งเอาปลายหอกด้ามมนด้ามเดิมอันแข็งแกร่งยิ่ง พยายามวนเวียนแทรกเข้ามาทักทายบริเวณท้ายบั้นพระองค์เปล่าเปลือย แล้ววกกลับมาเข้าเรื่องเดิมจนได้

“อัสสะไม่เชื่อที่เจ้าพูดหรอก อัสสะว่าเราลองมาทำลูกกันไหม จะได้รู้ว่าจริงหรือไม่”

“ โอ๊ยไม่เอา เราเหนื่อย  อัสสะไม่เหนื่อยหรือไง” สีทันดรรีบปฏิเสธ อะไรๆที่พูดค้างไว้ไม่จบ อันเป็นเรื่องสำคัญดันลืมเสียหมดสิ้น

“เหนื่อยสิ เหนื่อยมาก ยิ่งรู้ว่าหลวงตาจะไม่อยู่แล้ว ยิ่งหมดแรง ใจมันโหวงๆพิกล” อัสดงยุติทีท่าเจ้าชู้ลงทันใด แล้วจับเจ้านาคน้อยหันหน้าเข้าหามิยอมให้หลุดจากตักด้วยความช่ำชอง สีทันดรที่หันหน้ามาแล้วก็เห็นสายตาสีอำพันที่ชอบฉายแววเกเรเจ้าเล่ห์ จู่ๆหม่นแสงลงอีกครั้ง จึงเข้าใจในถ้อยคำและความรู้สึกของอัสดงเป็นอย่างดี

“อัสสะควรจะดีใจนะที่หลวงตาท่านจะบรรลุอรหันตผล”

“ดีใจน่ะ ดีใจ แต่ทำไมท่านถึงเลือกเข้านิพพานเลย ท่านคงสังขาร อยู่สั่งสอนมนุษย์ไม่ดีกว่าหรือ”

“ก็อย่างที่หลงตามหาฤาษีบอกไง เพื่อขวัญและกำลังใจของเทวดา อีกอย่างเราเห็นว่า มนุษย์สมัยนี้ถูกครอบงำด้วยมิฉาทิฐิเสียเป็นส่วนใหญ่ เข้าถึงพระธรรมได้ยาก บางทีนะเราก็คิดว่าสอนไปก็เท่านั้น กิเลสของมนุษย์หนาขึ้นทุกวันยากจะขัดเกลา คงเป็นการดีแล้วล่ะที่ท่านจะเลือกนิพพานเลยในช่วงเวลาที่สงครามกำลังจะเกิดนี่ สร้างปรีติให้เทวดาเพื่อที่จะมีกำลังปกป้องพิภพมนุษย์จากมารทั้งผอง อัสสะก็รู้ดีนี่ว่า พลังของเทวดามาจากปรีติและบุญทั้งนั้น อัสสะควรจะกังวลกับการรับมือพวกมารดีกว่านะ”

“มันก็จริงของเจ้านะไอ้ดื้อ...แต่อัสสะยังไม่ได้ทดแทนบุญคุณท่านเลย”

“การที่อัสสะออกรบ เป็นแม่ทัพนำศึกปราบมารและอสูรครั้งนี้ก็ถือว่าได้แทนคุณท่านแล้ว จงใช้สรรพวิทยาที่ท่านถ่ายทอดให้กำราบพวกมารให้สิ้นซาก ให้ลือเลื่องไปทั้งสามโลกจนทุกคนสรรเสริญว่าอณูแห่งพระสุริยาทิตย์เก่งกาจได้เพราะใครสอน นี่ก็เป็นการแทนคุณอย่างหนึ่ง เชื่อเรานะ”

สุรเสียงใสทอดมาพร้อมเหตุผลน่าฟัง คนฟังก็เริ่มเห็นด้วย เคลิ้มคล้อยตามอย่างไม่มีข้อกังขา พยักหน้าตอบรับเข้าใจ ฉะนี้ พระหัตถ์น้อยๆจึงยกมาลูบหน้าตระการดุจรูปสลักของชายอันเป็นที่รัก ก่อนจะประทานจูบประทับไว้กลางหน้าผาก พร้อมวรองค์ที่ค่อยๆ เลี่ยงลุกออกมาช้าๆจากตักอัสดงอย่างแผ่วเบา แต่ทว่าถึงจะเบาอย่างไร ก็ไม่ไวไปกว่าเจ้าของตักที่ดันรู้ตัวพอดิบพอดี

“อย่าเนียนไอ้ดื้อ จะหนีไปไหนมานี่เลย ”

และนั่นก็เป็นประโยคสุดท้ายจากอัสดง ก่อนจะใช้ริมฝีปากปากสะกดเจ้าอสรพิษแสนกลลงไปบนพื้นเตียง คงมิต้องบอกหรอกนะว่า นอกจากปากแล้ว อัสดงจะใช้อะไรกำราบอีก หากมิใช่ทวนด้ามแกร่งด้ามเดิมที่เจ้านาคน้อยคุ้นเคยในมหาฤทธีเป็นอย่างดีนั่นเอง และเพราะความคุ้นเคยนี่แหละ ทำให้บังเกิดเสียงตับๆโครมๆโรมรันกับด้ามทวนเคยคุ้นไปยังบ้านพักข้างๆด้านขวา ที่เป็นของคู่รักจอมเซี้ยวเอราวัตกับคืนฉาย ที่ต่างฝ่ายต่างนั่งเท้าคางฟังจนจั๊กกะจี้หัวใจ และอดใจไม่ไหวจนต้องทำตาม ผิดกับอีกบ้านด้านซ้ายที่เป็นของน้ำเชี่ยวกับธรรม์และราหู ที่บ่นกันระงม

“ไอ้อัสดงเอาอีกแล้ว จักกะจี้โว้ย ไปกินเหล้าบ้านไอ้กลดดีกว่า” ราหูบ่นเสร็จก็เดินปึงปังออกจากห้องไป เหลือไว้แค่น้ำเชี่ยวกับธรรม์ที่ถึงแม้จะบ่น หากก็ลอบสบตามองหน้ากันเนืองๆ จนหน้าเริ่มแดงกันทั้งคู่ จนน้ำเชี่ยวต้องพูดแก้เขินท่ามกลางเสียงโครมคราม แต่ครั้นพอพูดมาแล้วก็กลับทำให้ต่างฝ่ายต่างเขินกันเขินหนักขึ้นมาอีก

“เมื่อไหร่ เราสองคนจะคุยเรื่องของเราล่ะ ธรรม์”

“เรื่องอะไรหรือน้ำเชี่ยว” อณูน้อยแห่งพระพฤหัสครุเทพ ซ่อนความขรึมไว้ไม่อยู่แล้ว

“ก็เรื่องที่นายรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่”

“นายเป็นอณูแห่งเทพนักรบ ทำไมนายไม่ลองบุกเข้ามาในใจฉันดูเล่าน้ำเชี่ยว กำแพงหัวใจของฉันสำหรับนาย มันไม่ได้แข็งแรงอะไรเลย”

ธรรม์ยิ้มกว้างแล้วรีบลุกหนีวงแขนแข็งแรงของเจ้าพระอังคารที่ตั้งท่าจะคว้าตัวเขาไว้ เจ้าเทพแห่งสงครามจึงคว้าได้แต่ลมและรอยยิ้มกว้างอย่างเปิดเผยอันไม่เคยมีมาก่อนของธรรม์ที่เริ่มมีให้ต่อเนื่องตั้งแต่กุมมือกันลงจากเทวสภา คนหนีได้ยักคิ้วอย่างท้าทาย แล้วสลายวับลับหายตามราหูไป เหลือแต่คนไขว่คว้านั่งคาดโทษไปมาอยู่คนเดียว

“เดี๋ยวเหอะไอ้ธรรม์ ท้าทายดีนัก สักวันฉันจะบุกจนกำแพงของนายทั้งป่นทั้งปี้เลยคอยดู”

ด้านราหูเมื่ออกมาจากบ้านได้ ก็มุ่งหน้าไปบ้านทรงกลดกับนลกุพร แต่ก็เข้าไปไม่ได้เพราะทรงกลดดันร่ายม่านอาคมไว้ บังเกิดเป็นตัวอักษรเขียนไว้ว่า ‘อย่ารบกวน’ จึงเปลี่ยนใจมุ่งหน้าไปบ้านคันฉัตรกับตระการตา แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเข้าไม่ได้อีกครา เพราะเจอม่านอาคมหนากว่าใหญ่กว่าด้วยถ้อยคำเดียวกัน ที่หนักไปกว่านั้นมีทั้งดอกจันและขีดเส้นใต้ เน้นความหมายมาพร้อมเพียง จนต้องตะโกนสุดเสียง แต่อนิจจา หาได้มีใครออกมาดูราหูสักนิดเดียว

“รู้งี้กูแบ่งภาคมาพร้อมพวกมึงก็ดี ไม่น่าตามลงมาทีหลังเลย ไม่งั้นป่านนี้ กูมีคู่ไปแล้ว .....เหงาโว้ย”

ราหูกว่าจะรู้ก็สายไปแล้ว หวังแต่เพียงว่า คงยังไม่สายเกินไปหรอกนะ ที่จะมีมหาเทพ มหาเทวี องค์ใดก็ได้เมตตา ประทานคู่มาให้บ้างอย่างที่เพื่อนๆมีกันเท่านั้นก็พอ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2020 08:02:36 โดย Artemis »

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
    • Coco Chadam
เที่ยงคืนแล้ว อณูน้อยทุกคนก็มารวมตัวกันดังนัดหมาย เลือกเอาศาลารีสอร์ทริมน้ำปายเป็นสถานที่ประชุม เมื่อทุกคนพรักพร้อม อัสดงก็ตั้งจิตเชิญมหาฤาษีมาเป็นประธาน หากก็คงมิไวเท่าสีทันดรที่มิต้องตั้งจิตเชิญอะไรให้เสียเวลา

“มาถึงก่อนใครเพื่อน แต่ก็เล่นตัวไม่ยอมปรากฏตัวออกมาเนอะ ว่าไหมนล” สีทันดรหันไปพยักเพยิดกับนลกุพร ที่ประทับยืนกอดไหล่ตนอยู่ข้างๆ

“เอ้า ทุกคนเตรียมอุดหู” และเพียงสิ้นเสียงนลกุพร เสียงลั่นๆก็ตามมาดังว่าพร้อมตัวจริงๆ

“ใครว่าข้าเล่นตัว ข้ามาถึงก่อน ข้าก็เข้าฌานข้ามั่งสิโว้ย ไม่รู้ก็หุบปากไป ไอ้นาคพ่อแม่...”

“ไม่สั่งสอน ..ด่าคำอื่นบ้างเหอะหลงตา หลานเบื่อแล้วคำนี้” สีทันดรทรงบ่นกระปอดกระแปด แล้วเลื่อนเบาะหนานุ่มถวายเป็นอาสนะ จากนั้นจึงประเคนน้ำชาร้อนๆให้

“ขอบใจ ทำดีกับเขาก็เป็นนี่” มหาฤาษีค้อนอีกขวับ แต่ก็ค้อนไปอย่างนั้นแหละ เพราะรู้ดีว่า ไอ้เจ้าเทวนาคาคู่ปรับนี่ ลึกๆแล้วมันเคารพตนเพียงใด จึงยกชาขึ้นมาจิบ และวิธีการจิบก็เฉกเดียวกับสีทันดร คือใช้จมูกสูดดมสัมผัสรสตามแบบฉบับเทวะเท่านั้น

“อืมมมม ชาหอมดี รสดี โล่งคอ”

“รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส  เป็นสิ่งที่ผู้ทรงศีลควรละนะจ๊ะ หลงตา”

ครานี้มหาฤาษีไม่โกรธ แถมยังหัวเราะออกมาลั่นไม่ต่อล้อต่อเถียงต่อ มองไปรายรอบยังผู้เข้าร่วมประชุม แล้วก็ถามคันฉัตรขึ้นว่า

“แล้วนี่เอ็งไม่พา ไอ้ตระการตามันไม่มาประชุมด้วยเหรอ ไอ้ศนิเทพ”

“หลานเห็นว่าเรื่องที่จะคุยกัน ไม่น่าจะเกี่ยวกับตระการตา จึงให้รออยู่ที่บ้านพักครับ”

“ให้ไอ้รักไอ้ยมมันไปตามมาร่วมประชุมเถอะ ไหนๆมันก็เป็นโอษฐ์แห่งพระมหาอุมาเทวีแล้ว มันควรจะต้องรับรู้”

“แต่พระแม่เจ้าก็ตรัสแค่ว่า ให้ตระการตานำพามนุษย์สวดมนต์”

“นั่นมันภารกิจแรกต่างหากล่ะพี่ฉัตร พี่ไม่ได้ยินพระแม่เจ้าตรัสหรือไร” สีทันดรทรงแทรกมาให้ แล้วหันไปหามหาฤาษี “ หลานว่ามหาเทวี ทรงไม่ใช้งานพี่ตระการตาแค่นี้หรอก ทรงมีโอษฐ์ทั้งที หลานว่าอีกไม่นานคงลงประทับ เพื่อเลี่ยงพลังสะท้อนจากอำนาจพระองค์เอง ที่จะลงมาโลกมนุษย์โดยตรง”

“เอ็งเข้าใจได้ถูกต้องแล้วไอ้สีทันดร”

มหาฤาษีระบายลมหายใจเมื่อพูดถึงตรงนี้ คงมีแต่สีทันดรและนลกุพร ที่เข้าใจในลมหายใจของมหาฤาษีที่ระบายออกมา แต่ทั้งสองก็มิได้พูดอะไรต่อ ได้แต่ส่งกระแสจิตถึงกันและส่งไปหามหาฤาษีที่แม้แต่เอราวัตอณูแห่งพระพุธผู้มีอำนาจพิเศษล่วงรู้จิตใจก็มิสามารถจับได้ ทั้งสามคุยอะไรกันมิมีใครรู้ และแล้วคันฉัตรก็เรียกรักยมให้ไปตามตระการตามาจากบ้านพักตามคำสั่งหลวงตามหาฤาษี ในระหว่างที่รอนี่เองมหาฤาษีก็เอ่ยถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งขึ้นว่า

“พวกเอ็งโชคดีแล้ว ที่ศึกครั้งนี้ เอ็งมีโอษฐ์แห่งพระแม่เจ้ามหาอุมาเทวีร่วมด้วย พระแม่เจ้าท่านทรงศักดิ์และอำนาจเหนือสามโลก และพวกเอ็งก็ยังมีอณูแห่งพระแม่เจ้ามหาลักษมีคือไอ้สีทันดร พระแม่เจ้าจะประทานสิริและชยะคือความสำเร็จให้แก่พวกเจ้าในทุกๆศึก พวกเอ็งขาดก็แต่ปัญญาจากพระแม่เจ้ามหาสรัสวดีเทวี”

“จริงด้วยครับหลวงตา” คืนฉายกับธรรม์ผู้เป็นครุหรือครูของอสูรและเทวะขานรับมาแทบๆจะพร้อมกัน แล้วคืนฉายก็ถามในสิ่งที่ทุกๆคนสงสัย “เราขาดก็แต่ตัวแทนแห่งปัญญา ว่าแต่ทำไมท่านไม่เสด็จมาประทานพรที่เทวสภาด้วยครับหลวงตา”

“เอ๊ะ หรือว่าพระแม่เจ้าประทับที่พรหมโลกทรงฌานพร้อมมหาพรหมเทพ พระผู้สร้าง” ธรรม์ตอบข้อสันนิษฐานมาให้แต่ก็มิใช่ซะทีเดียว

“อำนาจและสิริความงามเลิศนั้นสามารถเกิดขึ้นได้พร้อมตัวมนุษย์ เว้นแต่ปัญญาและความรู้เท่านั้นที่ต้องเสาะแสวงหาเองด้วยความเพียร เพราะฉะนี้พระแม่เจ้าจึงไม่เสด็จ ถ้าพวกเอ็งอยากได้ปัญญามาโต้ตอบเล่ห์เหลี่ยมอสูรแล้วละก็ จงหาทางเข้าเฝ้าพระแม่เจ้ามหาสรัสวดีซะ”

“ขึ้นไปยังพรหมโลกเลยหรือหลวงตา เดชะและตบะของพวกหลานคงขึ้นไม่ถึง” ธรรม์แย้งมาอ่อยๆ น้ำเชี่ยวที่สนใจฟังอยู่ก็เสนอมาให้

“ก็ให้น้องดื้อไปทูลเชิญท่านมาไง น้องดื้อเป็นตัวโปรดเป็นอณูแห่งมหาลักษมีเทวี ...มหาสรัสวดียังไงก็ต้องเสด็จ”

“โอ๊ยยย พี่น้ำเชี่ยวนี่ก็ สมแล้วเป็นอณูแห่งพระอังคาร ถ้าเรามุทะลุไปอัญเชิญเสด็จมานั้น นอกจากท่านจะไม่เสด็จมาแล้ว ท่านคงกริ้วจนเอาพิณฟาดหัวเราแตก พี่รู้ไหมพระแม่เจ้าท่านน่ะเคร่งครัดในธรรมเนียมปฏิบัติมาก ทำอะไรต้องทำให้ถูกต้องตามพิธีการ มีอยู่ครั้งหนึ่งเรากำลังเฝ้าพระมหาอุมาเทวีกับพระมหาลักษมีอยู่ พระมหาสรัสวดีเสด็จมาเยี่ยมทั้งสองพระองค์พอดี ท่านเห็นเราฝึกมนตราโดยมิกราบบูชาพระมหาพิฆเนศวรตามธรรมเนียมก่อน ท่านบ่นเราซะยกใหญ่” สีทันดรตอบน้ำเชี่ยว ย่นพระนาสิกด้วยทรงขยาดในเหตุการณ์ครั้งนั้น แล้วเสียงใสก็กล่าวต่อพร้อมทั้งแนะนำมาให้

“แต่ท่านก็ใจดีนะ ท่านบ่นเสร็จแล้วก็ประทานมนตรามาให้เราตั้งหลายบท เราว่าพี่ทำตามขั้นตอนเถอะจะเป็นผลดีสำหรับพวกพี่ๆมากกว่า หลงตาท่านพูดถูกแล้ว ปัญญาและความรู้จะไม่มาหาเราเอง เราต้องขวนขวาย”

“และพวกเอ็งก็ไม่ต้องขึ้นไปถึงพรหมโลก เอาแต่เฉพาะเอ็งสองคน ไอ้อณูครุอสูรกับไอ้อณูครุเทพ ที่เอ็งจะต้องเข้าฌานบูชาพระแม่เจ้าจนท่านพอพระทัยให้เฝ้านั่นแหละ ตั้งใจทำให้ดีนะ ปัญญาจะอยู่กับฝั่งเทวะหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพวกเอ็งสองคน”

“ครับหลวงตา”

คืนฉายกับธรรม์รับคำมาพร้อมๆกันอย่างเต็มใจที่จะต้องทำงานสำคัญร่วมกัน แม้ต้นกำเนิดจะไม่ถูกกันอย่างไรก็ตาม เขาทั้งสองก็ไม่สนใจแล้ว เพราะในปัจจุบันนี้ต่างปฏิญาณกันไว้แล้วว่าทุกคนคือเพื่อนตาย ครั้นพอทั้งสองรับคำเสร็จ ตระการตาก็มาถึงพร้อมรักยมพอดี อัสดงจึงเปิดประชุม โดยมีมหาฤาษีนั่งเป็นประธานเช่นเดิม

โดยเรื่องแรกก็คือเรื่องเลือกรองแม่ทัพ ที่อัสดงให้เหตุผลมาว่า จำเป็นในกรณีที่ตนเกิดเพลี่ยงพล้ำจะได้มีผู้นำศึกต่อไปได้ ทุกเสียงเห็นพ้อง ลงความเห็นไปที่น้ำเชี่ยวผู้เป็นอณูแห่งเทพสงคราม น้ำเชี่ยวไม่ปฏิเสธแต่เขาก็เสนอมาว่าอยากให้มีรองแม่ทัพอีกคนเป็นซ้ายขวา จึงเสนอทรงกลดผู้เป็นอณูแห่งจันทรเศขรกับคันฉัตรผู้เป็นอณูแห่งศนิเทพมาให้เลือก แล้วมหาฤาษีก็ตัดสินสรุปมาให้ว่า

“งั้นรองแม่ทัพก็มีสามคนไปเลย ไอ้อณูพระเสาร์มันดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่มีความเป็นผู้นำสูง ให้มันเป็นรองแม่ทัพใหญ่ ส่วนไอ้อณูพระอังคารมันดุดันคุมหน่วยทะลวงฟันให้มันเป็นรองแม่ทัพฝ่ายขวาบัญชาทัพหน้า ส่วนไอ้อณูจันทรเทพให้มันเป็นรองแม่ทัพฝ่ายซ้าย ตามศักดิ์ของเทวประธานยามค่ำคืน”

ทุกคนเห็นด้วยกับมหาฤาษีไม่มีข้อโต้แย้ง เมื่อเลือกรองแม่ทัพลงตัวแล้ว อัสดงก็เริ่มถกแผนตั้งรับมารเพื่อจะปกป้องพระอรหันต์ที่กำลังจะบังเกิด โดยเสนอให้แบ่งกำลังเป็นสองฝ่ายนั่นคือฝ่ายแรกจะเป็นฝ่ายของทรงกลดที่จะย้ายฐานที่มั่น เข้าไปตั้งค่ายยังป่าลึกค่อนไปทางด้านเหนือจนเลยพรมแดนไทย เพื่อกันมิให้มนุษย์ธรรมดาพบเห็น และทรงกลดจะต้องคอยดูร่างของธรรม์กับคืนฉายในระหว่างเข้าฌานติดต่อมหาสรัสวดีเทวี กองกำลังด้านนี้จะมีราหูกับเอราวัตช่วยอีกสองแรง

ส่วนกองกำลังสำคัญอีกกองที่จะมุ่งหน้าไปอารักขาหลวงตาวัดป่านั้นจะนำโดยอัสดง อันมีน้ำเชี่ยว คันฉัตร และนลกุพร เข้าร่วม ส่วนสีทันดรนั้นมิได้อยู่กองกำลังฝ่ายใด และก็น่าแปลกเสียจริงเชียวที่ครั้งนี้ไม่โวยวายงอแงรบเร้าจะตามไปด้วย กลับสมัครใจขอประทับอยู่กับมหาฤาษีที่จะตามทรงกลดไปยังฐานทัพใหม่ พร้อมขอตระการตาไว้อยู่กับตัว

“เจ้าดูแปลกๆไปนะไอ้ดื้อ เจ้าไม่สบายไปหรือเปล่า” อัสดงเอาหลังมืออังหน้าผากสุดที่รัก มิเชื่อหูมิเชื่อตาที่เห็น “นี่วางแผนจะไปเล่นซนอะไรอีกหรือเปล่านี่ อัสสะล่ะหวั่นใจจริงๆ”

“เปล่านะอัสสะ ไม่เชื่อก็ลองถามนลกับหลงตามหาฤาษีดูสิ”

“ไม่หรอกอัสดง สีทันดรคงคิดได้น่ะว่าเราเข้าสู่การศึกจริงๆแล้ว เลยเลิกซน” นลเสริมมาให้ และก็น่าแปลกสำหรับอัสดงและอณูน้อยทุกคนเหลือเกินที่ครั้งนี้นลกุพรทรงยืนข้างสีทันดร แต่ก็ต้องหักใจเลิกคิดเมื่อมหาฤาษีสำทับมา

“ให้มันอยู่กับข้าน่ะดีแล้ว ...พวกเอ็งนี่ก็แปลก พอมันไม่ร้องตามก็อยากจะให้มันร้องตาม พอมันร้องตามก็ไม่ให้มันไป ข้าล่ะเอาใจไม่ถูก เอาล่ะดึกแล้วเลิกประชุมกันได้แล้ว ข้าจะกลับอาศรมข้าล่ะ”

มหาฤาษีตัดบทมาอย่างนี้จึงไม่มีใครคุยอะไรกันต่อ แล้วมหาฤาษีก็สลายร่างหายวับไป แต่ก่อนจะไปก็พยักหน้าให้สีทันดรกับนลกุพรที่เดินช้าๆรั้งท้ายตามกลุ่มอณูน้อยที่เดินทยอยออกจาศาลาพร้อมตระการตาที่เดินอยู่ตรงกลางกลับสู่บ้านพัก เมื่อห่างจนได้ระยะสองสหายก็คุยแก่กันว่า

“จะได้ผลแน่นะ สีทันดร”

“คงจะได้ผลแหละนล อีกอย่างหลงตาก็รับปากแล้วจะช่วย ตระการตาต้องทำได้ ...นลอยู่ทางนั้น เตรียมตัวให้ดีแล้วกัน”

สีทันดรตรัสตอบอย่างแผ่วเบา สุรเสียงเจือความไม่มั่นพระทัยเท่าไหร่ แล้วหันไปมองแนวป่าดำมืดริมแม่น้ำรายรอบ มองแวบๆทรงเห็นไม่มีอะไร จึงกวาดพระเนตรกลับมา และในครั้งกลับมานี่แหละ พระขนงงามเริ่มขมวดเป็นปม แต่ก็คลายลงอย่างรวดเร็ว พร้อมรอยแย้มสรวลกำจาย บอกกับสหายเทวอสุรานลกุพรได้อย่างมั่นพระทัยแล้วว่า

“สำเร็จแน่นอนนล เรามั่นใจแล้ว”

นลกุพรฟังแล้วขยับโอษฐ์จะถามต่อ ทว่าสีทันดรก็ขยิบพระเนตรไว้ให้หยุดเสีย  นลกุพรก็ไวพอที่จะรู้อะไรเป็นอะไร จึงรีบพากันเดินไปรวมกลุ่มกับเหล่าอณูน้อยด้านหน้า ละทิ้งแนวป่ามืดครึ้มไว้เบื้องพระปฤษฎางค์ที่บัดนี้ความมืดมิดกำลังรวมตัวเป็นร่างของสำมะนักขายักษีในร่างมนุษย์ ที่ยืนแสยะยิ้มแยกเขี้ยวอย่างพอใจ

“แค่อาคมบังตาตื้นๆ อณูน้อยพวกนี้ก็ยังไม่รู้ตัวว่าเราอยู่ตรงนี้ เจ้ายักษ์ เจ้านาคนั่นก็เช่นกัน ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลย แบ่งกองกำลังกันไปก็เท่านั้น ยังไง้ ยังไงอ่อนหัดอย่างนี้ก็ตายอยู่วันยังค่ำ” สำมะนักขาพูดจบก็หัวเราะลั่น แล้วหันไปหาเงาสตรีผู้ติดตามหนึ่งเงาด้านหลังว่า

“แต่มันอ่อนหัดอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ข้าจะได้แฝงเข้าไปโดยง่าย เจ้าเห็นมนุษย์แท้ๆคนเดียวที่เดินอยู่ตรงกลางกลุ่มอณูนั่นไหม หาทางล่อมันออกมาให้อยู่คนเดียว แล้วข้านี่แหละจะเป็นมันให้ดู”

แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นไปทั่วทั้งแนวป่า ก่อนเจ้าของเสียงจะสลายกลลายเป็นความมืดสีดำจากไป นางยักษ์ในร่างมนุษย์ผู้นี้ยังคงแสยะยิ้มกว้างกลางฟ้ามืด หารู้ไม่ว่า มียิ้มที่กว้างกว่าจากเจ้าของรัศมีสีเขียวเจือทองที่กำลังทอดมองมันจากด้านล่างอย่างพึงใจ

“จะตายวันตายพรุ่งยังมิรู้ตัว เอาเถิด หัวเราะไปยิ้มไปเสียให้พอ เดี๋ยวก็จะหัวเราะไม่ออกแล้ว นังยักษ์โง่เอ๊ยยยย”

***********************************

รบกวนติดตามต่อในบทที๑๕ ส่วนที่๒ นะคะ

มาเร็วก่อนกำหนดอีกแล้วค่ะ เนื่องด้วยอาทิตย์หน้า ต้องกลับเข้าออฟฟิศบ้างแล้ว เลยรีบทยอยลงให้ ไม่งั้นเกรงจะไม่ทันสิ้นเดือน บทนี้ยาวหน่อยนะคะ แต่คงไม่เท่าบทที่แล้ว  :o8:  :-[

ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านที่ยังติดตามและส่งกำลังใจผ่านคอมเม้นมาให้มากๆนะคะ  อยู่กันไปนานๆนะคะกับอัศวินดารา รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ... แล้วพบกันค่ะ  :bye2:  :pig4:  :man1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2020 08:03:39 โดย Artemis »

ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
สนุกมากครับ รอติดตามตอนต่อไป

ตอนแรกคิดว่าที่สีทันดรไม่ไปเพราะกำลังจะมีน้องซันซะอีก

ออฟไลน์ BaII

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
อ่านทวนบทนี้ 2 รอบเลย สนุกขึ้นๆเรื่อยๆ ขอบคุณที่มาต่อครับ

ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
นางสำมะนักขาหรือจะมาสู้ไอ้ดื้อของอัสสะ ดีใจที่มาต่ออย่างเร็วไว เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว รออ่านความสนุกตอนต่อไปค่ะ :pig4: :L1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-05-2020 14:39:56 โดย sugarcane_aoi »

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 372
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
ใครหนอจะเป็น ตัวแทนแห่งปัญญา ที่องค์พระแม่มหาสรัสวตีจะทรงประทานให้?

แล้วตัวแทนผู้นั้น ใช่จะมาเป็นคู่ของนุ้งราหูผู้โดดเดี่ยวหรือเปล่า?


อยากอ่านตอนต่อไปแล้วอร้า

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

ออฟไลน์ Artemis

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +600/-14
    • Coco Chadam
ขอบพระคุณ คุณanterosz คุณBaII คุณsugarcane_aoi คุณblanchard คุณLadySaiKim มากๆนะคะ
:pig4:  :กอด1:   :-[

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด