บทที่ ๑๖ ทูนหัวของไฟ ดวงใจอัสดง (ส่วนที่ ๒)
ฟากฝ่ายอณูแห่งจันทรเทพ ก็ได้ออกเดินทางจากจุดพักแรมแต่เช้า และได้นำคณะที่เหลือ มาถึงยังชัยภูมิใหม่ได้ทันเวลาก่อนเที่ยงตามกำหนดพอดิบพอดี ชัยภูมิแห่งใหม่นี้ ถูกต้องตามตำรับตำราพิชัยสงคราม มีปราการธรรมชาติเป็นทิวเขาและต้นไม้ใหญ่ รายล้อมไปด้วยลำธารรายรอบเป็นขอบเป็นเขต ที่สำคัญมันอยู่ในป่าลึก เลยเข้าไปในอาณาเขตประเทศเพื่อนบ้านที่มนุษย์น้อยคนจะย่างกรายเข้ามา
เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะมนุษย์ขนานามมาว่า ป่าอาถรรพ์ แต่แท้จริงแล้วมันมิได้อาถรรพ์เลยสักนิด ควรกล่าวว่าศักดิ์สิทธิ์น่าจะถูกต้องกว่า เพราะเทวะแลพระภิกษุที่ภูมิธรรมชั้นสูงมักจะมาบำเพ็ญเพียรภวานาจนบรรลุ ทำให้เจ้าป่า เจ้าเขา รุกขเทวา อีกทั้งนางไม้ทั้งหลาย จึงเข้มงวดและทุ่มสรรพกำลังที่มี ปกป้องผืนป่าแห่งนี้มิให้ใครมารบกวน แต่เพลานี้ ผู้บำเพ็ญเพียรและผู้ปกป้องทั้งหมดย่อมรู้ดีว่า คณะของทรงกลดต้องการอะไร จึงย้ายไปที่แห่งใหม่ และพร้อมใจยกให้เป็นชัยภูมิฐานทัพ อีกทั้งยังมารอต้อนรับเป็นทิวแถว
“นมัสการขอรับพระคุณเจ้า” ท่านเจ้าป่าในร่างหนุ่มฉกรรณ์นุ่งขาวห่มขาวก้าวขาลงจากหลังพญาเสือโคร่ง กล่าวนมัสการมหาฤาษี และนำเหล่าบริวารก้มกราบลงกับพื้น
“เป็นอย่างไร ไอ้เจ้าป่า พวกเอ็งสบายกันดีฤา” มหาฤาษียิ้มแย้มกล่าวตอบ
“สบายดีขอรับท่านมหาฤาษี”
“เออก็ดี แต่อย่าติดสบายกันนักล่ะ กิเลสจะจับ”
“ขอรับ...แล้วนี่จะให้พวกเราช่วยอะไรได้บ้าง จะให้ช่วยสร้างฐานทัพไหมขอรับ”
“ขอบใจ แต่พวกเอ็งไม่ต้องทำอะไรหรอก ข้าเรียกไอ้พระวิสุกรรมลูกศิษย์ข้ามาจัดการให้แล้ว ไอ้นี่มันเก่ง มันได้ข้าสอนข้าสั่ง สร้างอะไรก็สวยงาม มันจัดการแป๊บเดียวก็เรียบร้อย พวกเอ็งมีอะไรทำก็ไปทำกันเถอะ”
นี่ถ้าสีทันดรประทับอยู่ด้วยคงตีลูกขัดเข้าให้ที่หลงตาที่เคารพสามารถวกยกชายผ้าคากรองมาชมตนเองได้ซื่อๆ มหาฤาษีก็มิพูดเปล่า ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ประกอบการปราศัยพาที
“ขอรับหลวงตา” เจ้าป่ารับคำลุกขึ้น แล้วหันไปคุยกับเหล่าอณูน้อย “แล้วท่านอณูน้อยล่ะ มีอะไรให้พวกข้าช่วยไหม”
“ยังไม่มีหรอกครับท่านเจ้าป่า” ทรงกลดตอบแทนเพื่อนทุกคน
“งั้นถ้ามีก็แจ้งพวกข้าได้ตลอด เอ...หรือพวกท่าน จะให้นางไม้เหล่านี้มาคอยรับใช้ดีไหม” สิ้นเสียงเจ้าป่า เสียงใสของกลุ่มดรุณีงามงดด้านหลังในภัสตราภรณ์พิลาศเกินนางไม้จากป่าอื่นๆก็สรวลใสเป็นที่ชอบใจ แต่ที่ไม่ค่อยชอบใจคืออณูแห่งพระพุธ เพราะคืนฉายกำลังยืนอมยิ้มให้บรรดานางไม้เหล่านั้น
“ไม่ต้องหรอก ขอบใจท่านมาก ท่านไปเถอะ” เอราวัตตัดบท ก่อนจะทุบเข้ากลางหลังคืนฉายเสียงดังพลั่ก สำลักยิ้มที่อมไว้ไม่ทันตั้งตัว
“โอ๊ยยยย...มาทุบฉายทำไม”
“อย่ามาทำเป็นไขสือหน่อยเลย รู้นะเมื่อกี้ทำอะไร”
เอราวัตทำเสียงเข้ม เริ่มอ้าปากจะร่ายยาวต่อหน้าทุกคนในคณะและบรรดาเจ้าของพื้นที่เดิม แต่แล้วก็ต้องยุติเสีย เพราะตรงเส้นขอบฟ้า ปรากฏรัศมีวาบดุจดาวฤกษ์ส่องแสงมาแต่ไกล ถึงแม้จะเป็นกลางวันก็เห็นได้ชัด ทว่ารัศมีนั้นก็หาได้เรืองรองงามจับตาเท่ากับรัศมีสีชมพู ที่ดูเหมือนจะอยู่ใจกลาง และทุกคนก็รู้ว่าเป็นของพระองค์ใด
“อ้าวนั่น วายุภัค นำเสด็จมหาลักษมีเทวีกลับมาแล้ว”
สิ้นเสียงของธรรม์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล รัศมีทั้งสองนั้น ก็พุ่งปราดด้วยความเร็วสูงมายังใจกลางกลุ่ม อณูน้อยทุกคนคำนับน้อมนบ เจ้าป่าเจ้าเขา รุกขเทวาและนางไม้ ทรุดกายหมอบราบกนาบกรานถวายความเคารพสูงสุด คงมีแต่มหาฤาษีเท่านั้นที่ยังยืนยิ้มแฉ่งกว่าเดิมเพียงรูปเดียว
“ถวายพระพร พระแม่เจ้ามหาลักษมีเทวี” ทุกเสียงกล่าวพร้อมเพรียง ครั้นพอรัศมีสลาย ทันทีที่เงยหน้ามาเห็นข้อพระบาทกระพรวนนาคราชเรื่อยขึ้นไปถึงพระพักตร์เอี่ยมลออก็ต้องตะลึงงัน
ที่ตะลึง คงมิใช่เพราะถวายพระพรเก้อ หากแต่เป็นเพราะมหาเทวีแห่งศรีไฉนอยู่ในฉลองพระองค์ของสีทันดร
เอ....ฤานี่หาใช่พระแม่เจ้า ทว่าเป็นเจ้านาคน้อยจอมดื้อของพี่ๆอณูทุกคน
อย่างที่รู้ สีทันดรเรียกได้ว่าแทบจะถอดแบบมาจากพระแม่เจ้า ยามนี้หาได้ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับแม้สักกระเบียด พระพักตร์ที่งามอยู่แล้ว ก็งามยิ่งขึ้นทบเท่าทวีคูณ กลิ่นหอมเสียยิ่งกว่าหอมสดชื่นกำจาย ยิ่งกอปรกับรัศมีสีชมพูกลีบบัวอ่อนหวานเจือทองระยิบระยับแล้ว ทั้งสามโลกมีเพียงพระองค์เดียวย่อมมิผิดองค์ สีชมพูของเทพองค์ใดก็มิเทียบเท่า ...แล้วไฉนสีทันดรถึงได้ครอบครองรัศมีแห่งมหาเทวียามนี้ได้ เป็นไปได้ไหมที่พระแม่เจ้ายังประทับอยู่
“นะ น้องดื้อ ทำไมเจ้า...”
แต่ก่อนที่คำถามจะออกมาครบถ้วนจากพี่ๆอณู มหาฤาษีที่มองปราดเดียวก็ทิ้งว่าใครคือคู่ปรับ ทั้งขัดและแทรกขึ้นมาทันที “ ขอถวายพระพรพระแม่เจ้า ข้าฯนึกว่าจะเสด็จกลับมาพร้อมอัสดง”
“พระแม่เจ้าอะไรกันหลงตา หลานเอง” สุรเสียงใสแย้งขึ้น ขัดกับพระลักษณะที่ทรงขรึมลงอันหลายคนสังเกตได้
“แหมมม อีกไม่กี่เพลาก็เป็นพระแม่เจ้าแล้ว” มหาฤาษีลอบค้อนตามอุปนิสัย คำตอบและท่าทีน้อมนบของหลวงตาที่เปลี่ยนไปยังทำให้ทุกคนงุนงง ยิ่งประโยคต่อไปยิ่งงงกันใหญ่ “ ปีนี้คงจัดที่นี่สินะ”
“ใช่จ้ะหลงตา จัดที่นี่ มีพระเสาวณีย์มาเช่นนั้น”
“ดีๆ ดีเลย เป็นวาสนาแก่เทวะชั้นผู้น้อยแล้ว” หลวงตามหาฤาษีที่คงรู้อะไรต่อมิอะไรอยู่แล้ว แทบจะทิ้งไม้เท้าปรบมือลั่น แล้วหันไปบอกกับคณะของเจ้าป่าและทุกคนเสียดังลั่นว่า
“พวกเอ็งเตรียมตัวกันให้ดี อีกสามราตรีนับจากวันนี้ เทวะจะจัดมหาพิธีทีปวลีขึ้นที่นี่ ที่ฐานทัพใหม่แห่งนี้ เอ็งจงเตรียมตัวกันให้พร้อม วาสนาของพวกเอ็งมาถึงแล้ว”
สิ้นเสียงมหาฤาษี เสียงปรบมือไชโย ก็กระหึ่มอลอึงมาจากคณะท่านเจ้าป่า เพราะพอรู้กันดีว่า ‘ทีปวลี’ คืออะไร ถ้าเป็นอย่างที่มหาฤาษีบอก ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เหล่าเทวะจะจัดมหาพิธีนี้ขึ้นในภพมนุษย์ หาใช่มนุษย์จัดถวายตามเทวาลัยหรือบ้านเรือนอันเป็นปกติ และก็ปกติของเทวะนี่แหละที่มักจะจัดถวายยังบาดาลหรือบางทีก็ที่มหานทีสีทันดรซึ่งก็มีแต่เทวะบนสวรรค์ชาวบาดาลที่ได้เข้าร่วม ชั้นที่อยู่บนโลกมนุษย์มิสามารถเข้าถึง ฉะนี้แล้วไยจะไม่ยินดี
“แล้วพิธีทีปวลีมันคืออะไรกันล่ะครับหลวงตา พวกผมอยากรู้” ราหูถามขึ้นตามที่ตนเองและพรรคพวกกำลังสงสัย ซึ่งก็ไม่น่าแปลก เพราะการแบ่งภาคมาเกิด ตัวรู้มันย่อมเลือนหายเป็นธรรมดา
“ก็พิธีบูชามหาลักษมีเทวีน่ะสิวะไอ้ราหู ไอ้เวรนี่ถามแปลก นี่พวกเอ็งคงจะลืมกันแล้วล่ะสิ”
หลวงตาตอบมาแค่นี้ วายุภัคที่ประทับยืนด้านหลังก็ตบหัตถ์แย้มสรวลยิ้มกว้างรู้ได้โดยพลัน แลคงมีอีกคนที่รู้ว่าพิธีนี้คืออะไรก็คือทรงกลดเพราะไปฝึกวิชากับพราหมณ์ที่อินเดียตั้งแต่เด็ก ความงุนงงยังคงจับอยู่ที่อณูทั้งสี่ที่ยังปะติดปะต่ออะไรไม่ได้ จนทรงกลดต้องช่วยบอกให้จนเสียงร้องอ๋อดังขึ้น แล้วทั้งหมดก็รู้แล้วว่า ทีปวลีคืออะไร แต่ที่ยังไม่รู้ คือมันเกี่ยวข้องตรงไหนกับสีทันดร ทำไมมหาฤาษี ถึงเรียกน้องดื้อเป็นพระแม่เจ้า ข้อหลังๆนี่ ทรงกลดเองก็คงไม่รู้ ก็คงจะเว้นแต่เทวปักษีอย่างวายุภัคอีกแหละที่รู้ ทว่าหาได้เคยเข้าร่วมพิธีไม่
“ข่าวลือมันเป็นจริงสินะ ถึงว่าสิ สีทันดรถึงงามขึ้นเพียงข้ามคืน... เราลืมเรื่องนี้ไปได้ไงกัน อยากย้อนเวลากลับไปนัก ถ้ารู้ว่าเจ้าจะงามขนาดนี้ พี่จะไปร่วมพิธีตั้งแต่แรก” วายุภัคตรัสกับองค์เองเบาๆ ลืมพระองค์ตามที่พระทัยนึก “รู้ไหมว่าเมื่อกี้พี่เกือบพาเจ้าไปฉิมพลี”
คงเพราะลืมพระองค์นี่แหละมัง พระหัตถ์หนาจึงหมายคว้าข้อพระกรเรียวเสลาด้านหน้าไว้ แต่ก็ยังมิได้ทันจะคว้า แค่เอื้อมมา รัศมีสีชมพูอ่อนหวานกลับแรงกล้าสว่างวาบ ซัดวายุภัคเสียงดังเปรี้ยงประหนึ่งอสุนีบาตฟาดวรองค์เทวปักษีจนกระเด็นกระดอนออกไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ด้านข้างดังสนั่นลั่นป่า ท่ามกลางอาการตกตะลึงของทุกคน
วายุภัคถูกฟาดจนกระเด็นเหมือนกับอัสดงที่ธารน้ำตกไม่มีผิดเพี้ยน
“โอ๊ยยยยยย”
“วายุภัค!!!” สีทันดรตกพระทัย หันมาดู แล้วเหิรลอยมาพร้อมๆกับบรรดาอณูน้อยหมายจะเข้ามาช่วยพยุง “เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“มะ ไม่เป็นไร ไม่ต้องพยุงพี่ พี่ลุกขึ้นเองได้” วายุภัคมิได้โกรธ แต่หมายความตามนั้นจริงๆ “นี่พี่คงจะแตะต้องตัวเจ้าอีกไม่ได้แล้วสินะ”
“ใช่...จนกว่าจะหมดพิธี” หลวงตาเหิรตามมาสมทบแล้วตอบแทน วายุภัคก็ทรงถาม
“แล้วทำไมเมื่อกี้ หลานถึงพาสีทันดรกลับมาได้”
“ก็มีพระประสงค์จะใช้งานนี่โว้ย”
“วาสนาหลานมีแค่นิดเดียวจริงๆ ฤานี่” เจ้าเทวปักษีตรัสจบก็บ้วนพระโลหิตที่กระอักออกมาจากแรงกระแทกทิ้ง ก่อนจะพยุงกายขึ้นมา บ่นพึมพำคงพระลักษณะหนุ่มน้อยเกเรยามหงุดหงิดอีกครา
“หมดจากมนตรามหาจักร ก็มาเจอมหารัศมีแห่งมหาเทวีเจ้าอีก ฮึ่ย”
นี่ถ้าอัสดงมาได้ยินที่วายุภัคตรัส ก็คงรู้แล้วว่า....อะไรเป็นอะไร
วายุภัคมิทรงรู้เรื่องและมิได้ทรงใช้มนตราสิตามันเสกครอบสีทันดรไว้แต่อย่างใดเลยน่ะสิ
อัสดงเข้าใจผิด ....เพราะสีทันดรตั้งพระทัยให้เป็นเช่นนั้นแท้ๆ
“แล้วมันใช่คู่ของเอ็งไหมล่ะ คิดดีๆนาไอ้วายุภัค เอ็งอย่ารั้นไม่เข้าเรื่อง” หลวงตาเอ็ดศิษย์เข้าให้ แล้วหันไปสั่งความสีทันดร ตามด้วยดักคอกับทุกคนที่ยังคงงุนงงไม่หายว่า
“พระแม่เจ้า เสด็จไปประทับใต้ร่มไม้ด้านโน้นก่อนเถอะ เดี๋ยวพระวิสุกรรมมา ข้าฯจะให้เนรมิตที่ประทับให้ พระแม่เจ้าจะได้เข้าฌานปรับพลัง ส่วนพวกเอ็งก็อย่าเพิ่งไปกวนพระแม่เจ้าล่ะ ข้ารู้หรอกว่าตัวสงสัยมันจับเต็มพวกเอ็งไปหมด”
“งั้นหลวงตาก็เล่าให้ฟังซะทีสิจ๊ะ มัวแต่เก็บไว้รูปเดียวแบบนี้ สองหนแล้วนา” คืนฉายคงทนไม่ไหว จึงพูดขึ้น
“ก็มันไม่ใช่เรื่องของข้านี่ มันเรื่องส่วนพระองค์ รอท่านสะดวกท่านก็เล่าให้ฟังเองแหละ ข้าว่าพวกเอ็งตามข้าไปดูว่าพื้นที่ตรงไหนจะใช้ทำอะไรดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา”
“ก็ได้ครับ”
ทุกคนรับคำจำยอมแยกย้าย รวมถึงคณะเจ้าของพื้นที่เดิม ...สีทันดรเองก็ทรงรับคำอย่างว่าง่าย ไม่โต้ ไม่แย้งเหมือนแต่เก่าก่อน พาพระพักตร์แลพระวรกายผุดผาดผ่องใส หากพระอารมณ์คงมิใสเท่าไรนัก เสด็จไปยังใต้ร่มไม้ที่มหาฤาษีชี้บอก ทุกสายตามองตามรู้สึกได้
“น้องดื้อเป็นอะไร เอ๊ะ หรือท่านวายุภัค ...” คืนฉายโพล่งขึ้น วายุภัคก็ทรงตอบทันควัน
“เราไม่รู้เรื่อง เจ้าอย่ามาใส่ความเรา” เทวปักษีหนุ่มน้อยทรงออกตัว “เราเองก็อยากรู้เหมือนกัน เมื่อเช้าก็ยังดีๆอยู่ พอสายๆก็หายไปกับไอ้เจ้านลพักหนึ่ง พอกลับมาก็ตาแดงๆ มาขอให้เราพากลับ เราพยายามถามก็ไม่ตอบนั่งนิ่งเงียบมาตลอดทาง เราว่าทางที่ดีถามไอ้เจ้านลกันดีกว่า”
แล้วทุกคนก็เห็นพ้องอย่างมิต้องสงสัย แลมินานหลังจากคุยกับมหาฤาษีเสร็จและพระวิสุกรรมลงมาจนนิรมิตฐานทัพใหม่ ก็เลี่ยงกันหลบมุมใช้กระแสจิตติดต่อนลกุพร แม้จะค่อนข้างยากเพราะระยะทางไกล แต่ก็หาใช่อุปสรรคสักนิดเดียว ...มินานนลกุพรก็สนองให้ครบถ้วนกระบวนความตามเรื่องที่เกิดตรงริมธารและคืนก่อนหน้ามิขาดตกไปสักเหตุการณ์ เฉกเดียวกับเหตุการณ์ทางฝั่งทรงกลดเช่นกัน
“เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละ เข้าใจผิดกันไปใหญ่ทั้งคู่” นลกุพรทรงปิดประโยค ทรงกลดก็อดที่จะเขกกบาลเจ้าพระศุกร์มิได้
“โอ๊ยเจ็บนะไอ้กลด”
“เพราะนายเลยไอ้ฉาย ไปบอกน้องดื้ออย่างนั้น”
“ใครจะคิดว่าน้องดื้อจะเชื่อ แล้วเอาไปใช้” คืนฉายเถียง
“ทีหลังก็คิดก่อนสิวะ”
“แหมไอ้กลด ทีงี้และมาด่ากู ทีตอนกูพูด ได้แต่หัวเราะลั่น”
“เอาละๆ อย่าเพิ่งเถียงกัน” เอราวัตตัดบทแทรกขึ้น ก่อนจะเยิ่นเย้อ “แล้วนี่ไอ้แม่ทัพ มันรู้เรื่องหรือยังนล”
“มันไม่ยอมฟังอะไรเลย”
“เฮ้อออ ไอ้อัสดงนะไอ้อัสดง” เจ้าอณูแห่งพระพุธถึงกับถอนหายใจ ทรงกลดก็เปรยต่อ “นี่มันก็คงไม่รู้สินะว่าอีกสามวันข้างหน้า เหล่าเทวะจะจัดมหาพิธีทีปวลีขึ้นที่ฐานทัพใหม่ของพวกเรา”
“เออใช่ ไอ้กลดพูดถึงเรื่องนี้พอดี” คืนฉายเหมือนนึกอะไรได้ “ นลนายรู้ไหม พิธีนี้เกี่ยวอะไรกับน้องดื้อ ถามหลวงตาก็เล่นตัวอยู่นั่นแหละ”
“อ้าวนี่พวกเจ้า ยังไม่รู้เหรอ...แล้วพี่ชายวายุภัคล่ะ ทรงรู้ยังพะยะค่ะ หลังจากที่โดนซัดซะกระเด็น” นลกุพรทรงส่งกระแสจิตถามปนขำต่อไปยังวายุภัค ที่กำลังทำพระพักตร์ไม่ถูกยามทรงทราบเรื่องขุ่นข้องหมองใจระหว่างสีทันดรกับอัสดง
ลึกๆก็ดีใจ...เพราะโอกาสที่จะได้ทรงทำคะแนนมาถึง
หากอีกใจก็คงมิโปรดเท่าไรนัก ....ที่ดวงพระหฤทัยศรีแห่งบาดาลกำลังเศร้า
แต่เหนืออื่นใดทั้งมวล...น้อยใจต่างหากเล่าที่กำลังทรงรู้สึก
สีทันดรทรงใช้ตนเป็นเพียงเครื่องมือ ในเรื่องมนตราสิตามัน เพียงเพื่อให้อัสดงเจ็บใจแค่นั้น
เจ้านาคน้อย เจ้าเห็นพี่มีค่าแค่นี้เองฤา!!!
“พี่ชายวายุภัค ทรงรู้หรือยังพะยะค่ะ” นลกุพรทรงถามซ้ำ วายุภัคจึงสลัดภวังค์คิด
“พี่พอรู้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะถูกหรือเปล่า ได้ยินแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง เพราะพี่มิเคยร่วมพิธีนี้เลย เลยไม่เคยเห็นด้วยตา แต่พอได้เห็นวันนี้ โดนซัดจนกระเด็นนี่ พี่ก็มั่นใจแล้วว่ามันเป็นจริง ทางที่ดีเจ้าเล่าให้พี่กับพวกอณูน้อยฟังเถอะนล”
“ก็ได้พะยะค่ะ คืองี้ ...” นลกุพรกำลังจะทรงเล่าตามคำขอ แต่แล้วก็ทรงถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเข้มจากด้านหลัง และคนขัดทางปลายทางก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล
“ทำอะไรอยู่นล”
“อ้าวอัสดง” เจ้ายักษ์เขี้ยวแก้วทรงหันไปตามเสียง พอเห็นว่าเป็นใคร ก็รีบส่งกระแสจิตชุดสุดท้ายบอกไปยังต้นทางว่า “แค่นี้ก่อนนะ ไอ้แม่ทัพมา เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง”
“คุยกับใครวะ” อัสดงถามต่อ เดินเข้ามาใกล้ๆ สีหน้าสีตา ยังถือว่าไม่ดีขึ้นจากริมธารน้ำตกเท่าไร
“คุยกับกลดน่ะ...แล้วเจ้ามีอะไรให้เราช่วยหรือเปล่า”
“ไม่มีหรอก แค่จะบอกว่า พี่ชายทยุติธรกลับขึ้นมาจากบาดาลแล้ว ทรงเรียกหานายน่ะ จะทรงปรึกษาเรื่องกองกำลังเวรยามที่ฐานทัพใหม่”
“อ้าวเหรอ แล้วทำไมไม่เรียกเราทางจิตล่ะ จะได้ไม่ต้องเดินมา”
“ก็นายใช้กระแสจิตอยู่นี่ ติดต่อมานายไม่ตอบกลับ เราเลยอาสาเดินมาตาม”
“เออ จริงแฮะ ลืมสนิทเลย ก็ว่าอยู่ว่า ใครกันนะเรียกมา ที่แท้แฟนใหม่ของแฟนเก่าเรา” นลสรวลใสระเรื่อ คงลืมแผลในพระทัยที่ผ่านมาหมดแล้ว “ ว่าแต่ประทับอยู่ไหนล่ะ”
“ใต้ต้นสาละ”
อัสดงพูดจบ ก็หันหลังกลับเดินนำ กลับไปนิ่งเงียบ นลที่เดินตามมา จับอารมณ์และเข้าใจได้ เลยทรงเป็นฝ่ายชวนคุย มิทรงปล่อยให้ความเงียบจับนานนัก
“เมื่อกี้กลดบอกว่า หลวงตาให้พระวิสุกรรมมาสร้างฐานทัพใหม่ให้พวกเรา นี่คงใกล้จะเสร็จแล้วมั้ง พรุ่งนี้พวกเรากลับไปคงได้เห็น”
“อืม” อัสดงขานรับแค่สั้นๆ
“กลดบอกอีกว่า พวกเจ้าป่าเจ้าเขามารอรับกันใหญ่ แถมยังอาสาช่วยงาน”
คราวนี้อัสดงแค่พยักหน้ารับ นลทรงเหลือบมอง ก็ทรงรู้ว่า อัสดงฟังเรื่องนี้แค่ผ่านๆ เพราะทั้งห้วงคำนึงของเขานั้น ยามนี้คงมีอยู่แค่เรื่องเดียว
“สีทันดรกลับไปถึงแล้วนะ” ประโยคนี้อัสดงเงี่ยหูฟังทันใด “พี่ชายวายุภัค พาส่งถึงที่เรียบร้อย”
“ถึงฉิมพลี หรือ ฐานทัพใหม่กันล่ะ”
“โธ่โว้ยย เจ้านี่มันน่าเขกกระโหลกจริงๆเลย อัสดง” นลเริ่มทรงรำคาญ “ จะบอกอะไรให้ ถ้าพี่วายุภัคทรงทำอย่างนั้น ป่านนี้คงโดนมหารัศมีของพระแม่เจ้าซัดจนหมอบแล้ว เมื่อกี้ก็โดนไปหนหนึ่ง เหมือนที่เจ้าโดนที่ลำธารเมื่อตอนสายแหละ”
“หมายความว่ายังไง” อัสดงหยุดเดิน ถามน้ำเสียงจริงจัง ในที่สุดนลก็ดึงความสนใจอัสดงกลับมาได้แล้ว
“นับจากวันนี้ไปอีกห้าราตรีข้างหน้า จะไม่มีบุรุษใด แตะเนื้อต้องตัวสีทันดรได้ แม้กระทั่งพี่ชายทยุติธร”
“ไม่จริง...เมื่อตอนสายไอ้ดื้อยังนั่งบนฝ่ามือไอ้นกทุเรศนั่นกลับไปได้สบาย มันไม่เป็นอะไรสักนิด เจ้าอย่ามาแก้ตัวให้เพื่อนรักเจ้าเลย ไอ้ดื้อก็บอกเองว่าวายุภัคใช้มนตราสิตามันเสกครอบมันไว้” อัสดงถียงกลับ ทำท่าจะเดินจาก นลกุพรถึงกับทอดถอนพระหฤทัย จนที่สุดต้องยอมขึ้นพระสุรเสียงสะกดอัสดงให้ยอมฟังซะที
“อณูแห่งพระสุริยาทิตย์ เจ้าจงฟังเรา เรื่องที่เรากล่าวเป็นเรื่องจริง เหตุที่สีทันดรนั่งบนฝ่ามือวายุภัคกลับไปฐานทัพได้นั้น เพราะพระมหาลักษมี จะทรงใช้งาน และเมื่อถึงที่ วายุภัคก็จะแตะเนื้อต้องตัวสีทันดรไม่ได้อีก ถึงได้ถูกซัดจนกระเด็นเหมือนกับเจ้าที่ริมธาร เราเองหรือพี่ชายทยุติธร คาดว่าตอนนี้ก็จะแตะตัวสีทันดรไม่ได้อีกแล้ว แม้กระทั่งพระอัยกาและพระบิดา มันไม่มีหรอกมนตราสิตามันอะไรที่สีทันดรบอกเจ้า เราพูดถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่เชื่อเรา เจ้าก็ไปทูลถามพี่ชายทยุติธรดูแล้วกัน”
แล้วนลกุพรก็เสด็จปึงปังแซงหน้าจากไป ทิ้งเจ้าพระอาทิตย์หม่นแสงไว้เพียงเบื้องหลัง ให้ยืนขบยืนคิดเงียบๆต่อไปเพียงผู้เดียว