Ai Adore You.
#ขอรักแค่คุณ
ตอนที่ 45
“ทาสีขาวเรียบ ๆ แบบนี้ก็ดูสวยไปอีกแบบเนอะนิลลา” อาคิราห์ลูบมือไปบนผนังห้องทำงานของตนเองอย่างพอใจ “เดี๋ยวต้องหาแจกันมาวางตรงนั้นเสียหน่อย จะได้ดูสดชื่นขึ้น”
“เดี๋ยวนิลลาจะไปหามาให้” ร่างผอมบางทำท่าจะหมุนตัวออกไป อาคิราห์รีบคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ เอาไว้เราค่อยไปเดินเลือกด้วยกัน” คนเป็นนายเปลี่ยนเรื่อง “เอารายชื่อของคนที่ลงทะเบียนวันนี้มาดูกันดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา" เจ้าโอเมก้าเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงานที่ตั้งเอาไว้กลางห้อง เอื้อมมือไปหยิบแฟ้มรายชื่อมาเปิดอ่าน “นิลลาจะไปไหนอีกน่ะ”
“จะไปหาของว่างมาให้ คุณจะได้มีแรงทำงาน”
“รู้ใจฉันจริง ๆ” อาคิราห์หัวเราะ นั่งอ่านไปได้ครู่เดียวก็ยกมือเท้าคาง หันไปมองวิวข้างนอกหน้าต่างที่ยังเหลือเวทีที่ใช้ในงานพิธีการตอนเช้ากับนักข่าวบางคนที่ยังเตร็ดเตร่อยู่ในสวนข้างหน้าห้องสมุด อาสาสมัครโอเมก้าที่มาช่วยงานวันนี้ต่างแยกย้ายทยอยกันกลับบ้านหมดแล้ว
มานึกดูอีกที อาคิราห์ก็อดปลื้มใจไม่ได้ เขามีความสุขมากตอนที่ทุกคนช่วยกันทำให้งานเปิดมูลนิธิฯในวันนี้สำเร็จ ถึงแม้ว่าต่างคนต่างไม่เคยรู้จักกันมาก่อนทว่าพวกเขาก็เข้ากันได้ดี รู้สึกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างน่าประหลาด อาจเป็นเพราะสายเลือดโอเมก้าที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเหมือน ๆ กันหรือเปล่า
ถ้าโอเมก้าไม่ช่วยกันเอง แล้วใครจะช่วย...คำพูดที่เขาได้ยินบ่อยครั้งในระยะหลัง อาคิราห์อมยิ้มนิด ๆ เหลือบมองกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา ...ผู้ชายหน้าเข้มยิ้มกว้างตอบกลับมา เขาย่นจมูกใส่...ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ไปติดรูปหน้าส้วมจริง ๆ น่ะ
ป่านนี้คงกำลังประชุมหัวหมุนแล้วมั้ง....พวกบ้างาน แต่ก็สบายใจได้ว่าคงไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นที่น่าเป็นห่วงอย่างเช่นที่เพื่อน ๆ โอเมก้าพากันมาเล่าปรับทุกข์ให้ฟัง
‘สามีของฉันเขาไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยข้างนอกเต็มไปหมด ทิ้งให้ฉันเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านคนเดียว ฉันจะไปไหนก็ไม่ได้ จะออกมาทำงานเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง มูลนิธิฯของคุณเหมือนแสงสว่างของฉันเลยนะ’
‘เราก็เหมือนกัน เราถูกกัดโดยคนที่เราไม่ได้รัก แต่ก็จำใจต้องอยู่ด้วยเพราะไม่มีทางเลือก ทุกวันนี้เขาก็ไม่ได้อยู่ที่บ้าน ออกไปอยู่กับโอเมก้าคนอื่น...’
อาคิราห์ไม่เคยมีความคิดเรื่องนอกใจหรืออะไรแบบนี้มาก่อนเลย พอมาได้ฟังประสบการณ์จากผู้อาวุโสกว่าเข้าก็เริ่มกลัวขึ้นมา ตั้งใจว่าจะแอบกระซิบถามคุณเจนภพเสียหน่อยถ้ามีอะไรผิดปกติไป แต่ว่าคนอย่างนายพิชช์ฌานคงไม่ทำแบบนั้นกับเขาหรอกน่า...คิดมากเกินไปแล้วอาคิราห์
ท้องร้องโอดครวญขึ้นมา อาคิราห์ขมวดคิ้ว...นิลลาหายไปนานกว่าที่คิด
ก๊อก ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นตามด้วยร่างของคนสนิทที่ถือถาดน้ำชากับของว่างเข้ามา อาคิราห์ส่งยิ้มให้
“กำลังคิดอยู่เลยว่านิลลาหายไปไหน”
“ไม่ชินกับห้องครัวใหม่ก็เลยช้าหน่อย” นิลลาตอบเรียบ ๆ เหมือนเคย แล้วก็นั่งดูเจ้านายรับประทานของว่างจนหมด “ไม่อิ่มใช่ไหมคุณอาคิราห์”
“อิ่มแล้ว ขอบใจมาก” อาคิราห์รีบบอกเพราะเกรงใจอีกฝ่าย
นิลลาเงียบไปครู่หนึ่ง
“มีร้านขนมหวานแห่งหนึ่งเพิ่งเปิดใหม่ อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ คุณอยากไปชิมดูไหม” นิลลาพูดช้า ๆ เหมือนครุ่นคิดไปด้วย “แต่ถ้าคุณอยากทำงานต่อให้เสร็จก่อนก็ไม่เป็นไร”
“งานฉันจะเสร็จแล้ว” อาคิราห์พูดทันที “เอากลับไปทำต่อที่บ้านก็ได้”
“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ” นิลลายิ้มนิด ๆ ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ช่วยอาคิราห์ถือกระเป๋าเอกสารกลับออกมาจากห้องทำงานด้วยกัน “ออกทางข้างหลังจะใกล้กว่า” โอเมก้าคนสนิทพูดเรียบ ๆ
อาคิราห์พยักหน้า เดินตามหลังคนสนิทออกทางบันไดเหล็กข้างหลังอาคาร ไม่แน่ใจว่าจะใกล้กว่าจริงอย่างที่นิลลาบอกหรือเปล่า แต่ดูจากท่าทางมั่นใจของอีกฝ่ายแล้วอาคิราห์ก็ตัดสินใจเดินตามไปเงียบ ๆ จนกระทั่งมาหยุดยืนที่ซอยด้านหลังห้องสมุดที่เขาไม่เคยรู้ว่ามี
“ซอยนี้ทะลุออกที่ไหนน่ะ” อาคิราห์ชะเง้อคอมองอย่างสนใจ เห็นร้านขายของชำเล็ก ๆ อยู่ติดกับร้านขายอาหารแห้ง คนน้อยจนแทบจะเรียกว่าเปลี่ยว “ไปทางนี้เหรอ”
“เดินอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว”
“ฉันขอแวะซื้อน้ำที่ร้านชำก่อนได้มั้ย” อาคิราห์ว่า “รู้สึกระคายคอ”
นิลลาไม่ว่าอะไร ยืนรอจนเจ้านายกลับออกมาพร้อมกับน้ำขวดเย็นจัด พวกเขาเริ่มออกเดินต่อจนมาทะลุอีกด้านหนึ่งที่ติดถนนใหญ่ อาคิราห์พยักหน้าอย่างพอใจ
“เพิ่งรู้ว่าทะลุกันได้ แบบนี้น่าจะขยายถนนในซอยเสียหน่อยนะ เราจะได้เข้าออกได้ง่ายขึ้น” อาคิราห์พึมพำ “แล้วไปยังไงต่อล่ะ”
“ขึ้นรถดีกว่า คุณกำลังท้องอยู่ นิลลากลัวว่าเดินมากแล้วจะกระเทือน”
“ฉันก็เดินมาทั้งวันแล้วนะ” อาคิราห์หัวเราะ เหลือบมองรอบตัว “คิดไปคิดมาก็ชักขี้เกียจไปแล้วล่ะ เรากลับบ้านไปรอคุณพิชช์ฌานกันดีกว่ามั้ย...” เสียงของอาคิราห์ขาดหายไปเมื่อรู้สึกถึงโลหะเย็น ๆ ที่กดเข้าที่หลัง เขาหันกลับไปมองอาวุธดำเมื่อมในมือของนิลลา
“ขึ้นรถเถอะคุณอาคิราห์ อย่าให้ครรภ์ของคุณต้องกระทบกระเทือนเลย” นิลลาพูดแล้วดันปลายกระบอกปืนที่ซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อเข้าที่หลังของเขาอีกครั้ง อาคิราห์เม้มปากแน่นก้าวเข้าไปในรถแท็กซี่คันนั้นโดยมีนิลลาก้าวตามขึ้นมานั่งข้าง ๆ
เขาพยายามสบตากับคนขับ ทว่าฝ่ายนั้นกลับมองเฉยเหมือนไม่รับรู้
“หลับตาดีกว่าคุณอาคิราห์ คุณเหนื่อยมากคงต้องการพัก” ประโยคที่เหมือนเป็นห่วงนั้นมาพร้อมกับแรงกดของปลายกระบอกปืน อาคิราห์หลับตาลงอย่างจำใจ ครุ่นคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่เกินความคาดหมายนี้ นิลลาหักหลังเขาด้วยจุดประสงค์อะไรก็ยังไม่ทราบได้ รู้แค่ว่ายังไงก็ต้องพาตัวเองกับลูกออกไปอย่างปลอดภัยให้ได้
พิชช์ฌานจะต้องโกรธมากแน่ ๆ ถ้ารู้ว่าเขาติดกับแผนง่าย ๆ เพราะเห็นแก่ของกินในตอนแรกและความไว้เนื้อเชื่อใจ...
จนกระทั่งรถหยุดนิ่ง เขาลืมตาขึ้นพบว่ารถมาจอดที่หน้าสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่เขาไม่เคยมา
“เธอตั้งใจจะทำอะไรนิลลา” อาคิราห์ถามเสียงเรียบ ก้าวลงมาจากรถ กวาดตามองรอบ ๆ สวนที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่รกครึ้มเหมือนขาดการดูแล ไม่มีคนเดินผ่านไปมาเลยแม้แต่คนเดียว “ทำแบบนี้คิดดีแล้วเหรอ พิชช์ฌานจะหาฉันเจอในเวลาไม่นาน”
“แต่ก็คงนานพอที่จะคุยกันจบ” คนสนิทตอบ “เดินเข้าไปเถอะคุณอาคิราห์”
อาคิราห์หยุดกึกแล้วหันกลับมาพร้อมกับปล่อยหมัดเล็งเข้าที่ข้อมือของอีกฝ่ายฉับพลัน ทว่านิลลากลับเอี้ยวตัวหลบได้ เสียงกริ๊กดังขึ้น อาวุธสีดำเมื่อมอยู่ในมือของคนสนิทเล็งมาทางเขา ใบหน้าของนิลลาบอกว่าเอาจริง
“เดินเข้าไปในสวนกันเถอะคุณอาคิราห์” นิลลาพูดซ้ำ
เสียงใบไม้แห้งดังกรอบแกรบเพราะเท้าที่เหยียบลงไปดังก้องอยู่ในความเงียบสงัด แสงแดดส่องผ่านยอดไม้ลงมาเล่นแสงเงาสวยงามกว่าที่เคยเห็น อาคิราห์ได้ยินเสียงคนข้าง ๆ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาว
“มีอะไรคุยกันดี ๆ ดีกว่ามั้ยนิลลา” เขาพูดเสียงอ่อน มองอาวุธที่จ่ออยู่ที่เอวอย่างระมัดระวัง
“คุณอาคิราห์ยอมมากับฉันตั้งแต่แรก เป็นเพราะไม่กลัว...” นิลลาว่า “หรือว่ารู้อยู่ก่อนแล้ว”
“รู้เรื่องอะไร ...ก็นิลลาจะพาฉันไปกินขนมไม่ใช่หรือไง” อาคิราห์ตอบเสียงเนิบ ๆ รักษาอาการตื่นตระหนกเอาไว้ในสีหน้าเรียบเฉย “ฉันเชื่อใจนิลลานะ”
“.........” อีกฝ่ายถอนหายใจยาวแล้วหยุดเดิน หันหน้ามาเผชิญหน้ากัน “คุณอาคิราห์รู้อยู่แล้วว่าฉันไม่ได้จะพาไปกินขนม ฉันโกหกคุณ”
“ไม่ว่านิลลาจะพาไปที่ไหน ฉันเชื่อว่ามีเหตุผลที่ดีเสมอ” อาคิราห์พูดเนิบ ๆ “จริงมั้ยล่ะ”
“คุณไว้ใจคนมากเกินไปคุณอาคิราห์ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นบทเรียนให้กับคุณเลยเหรอ” นิลลากระซิบ
“ฉันรู้จุดอ่อนของฉันดีนิลลา ฉันไม่ใช่คนฉลาดนักหรอก แต่ว่าฉันคิดว่าตัวเองมองคนไม่ผิด นิลลาไม่มีทางทำร้ายฉัน ฉันเชื่อว่าอย่างนั้น” อาคิราห์พูดจากใจ “ต่อให้ความเชื่อของฉันผิด ฉันก็ยอมรับ”
“คุณชอบทำแบบนี้อยู่เรื่อย” นิลลาพูดเหมือนปรารภกับตัวเอง “มันทำให้ทุกอย่างยากขึ้นไปหมด”
“นิลลามีอะไรจะบอกฉันอีกหรือเปล่า”
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างกันชั่วครู่หนึ่ง
“เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน มีเด็กทารกคนหนึ่งถูกนำมาทิ้งที่ใต้ต้นไม้ต้นนี้” โอเมก้าร่างผอมบางพูดขึ้นช้า ๆ เงยหน้าขึ้นมองต้นไม้สูงใหญ่ที่ออกดอกสีขาวนวลหอมกรุ่น “มันเป็นคืนที่ฝนตกหนักแล้วก็มืดสนิท..”
“เธอกำลังจะเล่าเรื่องที่ฉันเล่าให้เธอฟังซ้ำใช่มั้ย”
“ที่คุณเล่ามานั้นถูกต้อง แต่ไม่ทั้งหมด..คุณอาคิราห์” คำพูดของนิลลาทำให้อาคิราห์ชะงัก จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างมึนงงแกมไม่แน่ใจ “เด็กทารกคนนั้นถูกนำมาทิ้งจริง แต่ว่าเขารอดชีวิต”
“อย่าบอกนะว่า..” คนฟังเบิกตากว้าง ถามต่อมาด้วยเสียงกระซิบ
“เสียงร้องไห้ของเขาดังพอที่จะมีคนได้ยิน และพาเขากลับไปเลี้ยงดู” นิลลายิ้มนิด ๆ รอยขมขื่นปรากฎขึ้นในดวงตาแห้งผาก “ไม่ใช่เลี้ยงอย่างลูกหรอก แต่มันก็ดีพอที่จะทำให้เด็กโอเมก้าคนนั้นเติบโตมาได้ แม้ว่าเขาจะหนีออกจากบ้านในตอนหลังก็ตาม”
“นิลลา...นิลลาเหรอ” อาคิราห์พูดตะกุกตะกัก
“คือฉันเอง...อาคิราห์” นิลลาพยักหน้ารับ “ฉันเพิ่งรู้พร้อมกับคุณ ก่อนหน้านี้ฉันรู้เพียงว่าฉันถูกนำมาทิ้งเอาไว้ที่สวนสาธารณะแห่งนี้เท่านั้น แม่ที่เลี้ยงฉันมาเล่าให้ฉันฟังไม่รู้กี่ร้อยครั้งเพื่อให้ฉันสำนึกในบุญคุณของเขา ฉันรู้...แต่ที่ฉันไม่เคยรู้เลยก็คือเรื่องก่อนหน้านั้น...”
คำพูดของนิลลาทำให้อาคิราห์ตกใจจนตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่มองหน้าสลับกับต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น
“ทำไมเธอไม่บอกฉัน ทำไมไม่บอกกันก่อน”
“ฉันยังไม่พร้อมจะบอก” นิลลาตอบอย่างสงบ “ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบอก คุณอาจจะไม่เชื่อและหาว่าฉันกุเรื่องขึ้นเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง”
“แล้วเธอบอกฉันวันนี้ทำไม”
“เพราะว่า....” นิลลาอึ้งไป
เสียงกรอบแกรบของใบไม้ดังขึ้นทางด้านหลัง อาคิราห์ขยับตัวเป็นเวลาเดียวกับที่นิลลาเอื้อมมือมาล็อคแขนทั้งสองของเขาเอาไว้แน่น
“เพราะวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของคุณอาคิราห์ถ้าคุณไม่ร่วมมือกับเรา” ร่างผอมชะลูดของใครอีกคนปรากฏตัวขึ้น อาคิราห์ไม่เคยเห็นหน้าคน ๆ นี้มาก่อน เขาดูเป็นโอเมก้าที่ผ่านอะไรมามากและมีท่าทีแข็งกร้าวทีเดียว “ยินดีที่ได้เจอกันเสียที คุณอาคิราห์”
“คุณคือใคร”
“ผมคือหัวหน้ากลุ่มสนับสนุนโอเมก้า” อีกฝ่ายตอบกลับมา
“คุณต้องการอะไร” อาคิราห์ถาม “นิลลาปล่อยฉัน”
“คุณอาคิราห์ต้องสัญญาว่าจะไม่วิ่งหนีออกไป”
“ฉันไม่หนี” อาคิราห์พูด พยายามตั้งสติ “มีอะไรก็พูดกันดี ๆ ไม่จำเป็นต้องมาจับ เราเป็นโอเมก้าเหมือนกัน”
“ทั้งถูกและผิดครับ” อีกฝ่ายบอก “เราเป็นโอเมก้าเหมือนกันก็จริงแต่ว่าเราถูกปฏิบัติไม่เหมือนกันเลยสักนิด ขณะที่คุณอาคิราห์ได้เสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทอง ใช้ชีวิตอยู่บนหอคอยงาช้าง พวกเราถูกทิ้งขว้าง ถูกกระทำเหมือนเป็นขยะปฏิกูลเน่าเหม็นน่ารังเกียจ”
“ฉันรู้ ...ฉันเคยสัมผัสมาแล้ว ฉันถึงได้พยายามที่จะช่วยพวกคุณไงล่ะ”
“ด้วยมูลนิธิฯเด็กเล่นอะไรของคุณนั่นน่ะเหรอ” คนพูดยิ้มหยัน “ถ้ามันสำเร็จก็คงสำเร็จไปนานแล้ว”
“มันต้องสำเร็จ เราเพิ่งเริ่มต้น”
“แล้วอีกนานแค่ไหนล่ะครับคุณอาคิราห์ พวกเราชาวโอเมก้าถึงจะได้ลืมตาอ้าปากกันบ้างเสียที คุณคงไม่เดือดร้อนหรอกเพราะตอนนี้คุณก็เป็นโอเมก้าหมายเลขหนึ่งของประเทศนี้แล้วนี่ จะมารู้สึกรู้สมอะไรกับโอเมก้าที่ยังมุดอยู่ในครัวล่ะ พอได้ตำแหน่งพ้นช่วงหาเสียงไปแล้วก็เข้าอีหรอบเดิม”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะ ฉันตั้งใจที่จะทำมูลนิธิฯนี้จริง ๆ ฉันอยากช่วยเหลือพวกเราทุกคน คุณทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์เลย ทำไมคุณถึงไม่มาร่วมมือกับฉันล่ะ คุณเองก็เป็นคนที่ดูเข้มแข็งมากคงจะสามารถช่วยกันผลักดันให้มูลนิธิฯเพื่อเพื่อนโอเมก้าพัฒนาไปได้ไกลแน่ ๆ” อาคิราห์พูด
“คุณก็คงเหมือนบรรดานักการเมืองอัลฟ่าที่แวดล้อมคุณนั่นล่ะ” อีกฝ่ายโต้กลับ “กฎหมายเพื่อโอเมก้าอะไรของคุณพวกนั้นมันเป็นสิ่งเพ้อฝัน ไม่มีทางเป็นจริง แม้แต่สามีของคุณเองตอนนี้ก็คงจะไม่ได้สนใจเรื่องความเท่าเทียมพวกนั้นมากเท่าตอนหาเสียงหรอกจริงไหม”
“ไม่จริง ฉันกับคุณพิชช์ฌานตั้งใจที่จะทำเพื่อโอเมก้าจริง ๆ นะ”
“คุณไม่ใช่คนแรกที่เคยพูดประโยคนี้หรอกคุณอาคิราห์ เคยมีอัลฟ่าคนหนึ่งสัญญากับพวกเราเอาไว้เมื่อหลายสิบปีก่อนแล้วสุดท้ายก็....” คนพูดยักไหล่ “อย่างที่เห็น ไม่มีสัจจะในหมู่นักการเมืองอัลฟ่า รวมถึงโอเมก้าไฮโซอย่างคุณด้วย”
“แล้วการที่ทำแบบนี้มันมีประโยชน์หรือไง” อาคิราห์กระชากเสียง
“มีสิ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ด้านเกรียม “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณอาคิราห์...ตาย...จากฝีมือของกลุ่มอนุรักษ์นิยมไม่เอาโอเมก้า” คำพูดของหัวหน้ากลุ่มสนับสนุนโอเมก้าทำให้คนฟังใจหายวูบ “ขอเดาเอาว่าอย่างแรกเลยก็คือ ...สามีของคุณ คุณพิชช์ฌานจะต้องพลิกแผ่นดินเพื่อล้มล้างกลุ่มอัลฟ่าบ้าเลือดพวกนั้นแน่ ๆ เอ๊ะ...หรือว่าเขาจะไม่ทำอะไรเลยเพราะกลัวกระทบผลประโยชน์กันนะ แต่ไม่ต้องกังวลหรอกครับ คุณจะไม่ตายฟรี อย่างน้อยการตายของคุณอาคิราห์ที่เป็นเหมือนแสงสว่างของโอเมก้าก็จะต้องกระทบกับจิตใจของโอเมก้าในประเทศนี้บ้างล่ะ โดยเฉพาะถ้าหากข่าวแพร่ออกไปยังต่างประเทศเข้า”
อาคิราห์เบิกตากว้าง เริ่มตามความคิดของอีกฝ่ายทัน
“แกจะทำให้เกิดจลาจลใช่มั้ย”
“ฉลาดไม่เบาเลยนี่ ....การตายของคุณจะเป็นประโยชน์คุณอาคิราห์ แน่นอนว่าผมจะทำทุกทางเพื่อไม่ให้มันสูญเปล่า โอเมก้าในประเทศนี้จะต้องลุกขึ้นสู้กับความอยุติธรรมที่กดหัวพวกเรามานาน”
“ความรุนแรงไม่มีทางแก้ปัญหาได้”
“ความรุนแรงที่ถูกที่ถูกเวลาคือการแก้ปัญหาที่เด็ดขาดและได้ผลดียิ่งกว่าการนั่งคุยกันแน่นอนคุณอาคิราห์”
“คิดว่าโอเมก้าจะไปสู้พวกอัลฟ่าได้ยังไง แค่คิดจะสู้ด้วยกำลังก็คิดผิดแล้ว” อาคิราห์โต้ “ร่างกายของพวกเราไม่ได้สร้างมาเพื่อการต่อสู้ปะทะ”
“เรามีอาวุธ” คนพูดยิ้มพราย “ขอไม่บอกนะว่าได้มาจากไหน”
“แกกำลังทำให้คนนอกแทรกแซงเรื่องในประเทศ แกจะทำให้ประเทศของเราตกเป็นเบี้ยล่างของพวกมหาอำนาจที่หวังเข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากประเทศเรา”
“ไม่เป็นแบบนั้นหรอกคุณอาคิราห์ พันธมิตรจากอีกซีกโลกหนึ่งของเราจะสนับสนุนเพียงอาวุธเท่านั้น แล้วที่เหลือก็ให้พวกเราจัดการเอง” ประโยคหลังเขาหันไปพูดกับโอเมก้ารอบ ๆ ที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมอาวุธครบมือ อาคิราห์หันไปมองคนเหล่านั้น
“แทมมี่?” เขาเรียกเพื่อนโอเมก้าที่เคยเจอกันในเกาะนั้น “อย่าไปฟังมัน มันโกหกนะ เชื่อได้เลยว่ามันจะต้องร่วมมือกับพวกต่างชาติเข้ามาตักตวงประโยชน์จากประเทศของเรา อย่าไปฟังมัน”
“ถ้ามันเป็นทางเดียวที่จะทำให้โอเมก้าอย่างเราพ้นจากความทรมานนี้ ฉันก็ยินดีจะเชื่อ” แทมมี่ว่า
“พวกเธอจะแค่พ้นจากใต้อำนาจหนึ่งไปอยู่ในใต้อำนาจอื่นแทน แถมมันจะยิ่งเลวร้ายกว่าเดิมด้วยซ้ำ เชื่อฉันเถอะนะ อย่าโดนมันหลอก”
“เราไม่ได้วางแผนกันแค่เดือนสองเดือนคุณอาคิราห์ เราวางแผนกันมาเป็นหลายปี เพียงแค่รอโอกาสเหมาะ ๆ ที่จะมีใครเข้ามาเป็นชนวนจุดระเบิดนี้ เราพยายามติดต่อกับคุณและสามีของคุณก่อนหน้านี้แล้วแต่ว่าเขาไม่เห็นด้วยกับเรา ดังนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะดำเนินการกันต่อเอง”
“ให้ฉันกลับไปทำมูลนิธิฯของฉันต่อเถอะ นี่มันบ้าสิ้นดีเลย” อาคิราห์ร้อง “มันไม่มีทางสำเร็จ การต่อสู้ด้วยความรุนแรงมันไม่มีทางได้ผล ไม่อย่างนั้นทุกประเทศก็คงเลือกวิธีนี้ไปแล้วแทนที่จะจัดการกันด้วยกฎหมาย ของอย่างนี้มันต้องใช้เวลา ไม่ใช่พลิกฝ่ามือ”
“ที่คุณพูดก็อาจจะใช่ แต่ว่าไม่ใช่กับประเทศด้อยพัฒนาอย่างนี้หรอก”
“ก็เพราะมีคนฉลาดน้อยแบบพวกแกไงล่ะประเทศถึงไม่พัฒนา” อาคิราห์พูดอย่างหมดความอดทน “ใช้สมองคิดหน่อยได้มั้ย จะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร นานาชาติไม่ยอมรับความรุนแรงอยู่แล้ว คนที่ได้ประโยชน์ไม่ใช่โอเมก้าแต่เป็นคนที่สนับสนุนพวกแก ง่ายสุดก็คือคนที่ขายอาวุธให้พวกแกน่ะ การใช้กำลังไม่มีทางได้ประโยชน์ เผลอ ๆ โอเมก้าจะยิ่งถูกรังเกียจและทุกอย่างจะยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม”
“เรามีแผนสำรองเตรียมการเอาไว้แล้วคุณอาคิราห์ ไม่ต้องเป็นห่วงถึงตรงนั้นหรอกนะ” ฝ่ายนั้นพูดเสียงเย็น “เอาล่ะ เหลือเวลาไม่มากแล้วก่อนที่จะต้องดำเนินการตามแผนต่อไป”
“เดี๋ยวก่อน” นิลลาพูดแทรก “ฉันอยากเป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ให้ฉันเป็นคนจัดการ”
“งั้นหรือ” คนฟังเลิกคิ้ว มองหน้านิลลาอย่างเพ่งพิศ “ฉันไม่ไว้ใจความผูกพันระหว่างเจ้านายกับลูกน้องหรอกนะ”
“แต่ฉันก็พาคุณอาคิราห์มาที่นี่จริง ๆ”
“พูดผิดพูดใหม่นะนิลลา ความจริงแล้วคุณอาคิราห์ควรจะ ‘ตาย’ ในกองเพลิงไปแล้วไม่ใช่หรือไง ถ้าแกไม่ขอเปลี่ยนแผนในนาทีสุดท้ายน่ะ”
“เพราะฉันอยากเป็นคนจัดการคุณอาคิราห์ด้วยมือของตัวเองต่างหาก” นิลลาพูดช้า ๆ “ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันรู้สึกอย่างไรบ้างเวลาที่มองไปที่เขา..โอเมก้าที่โชคดีที่สุดในประเทศนี้” เขาเรียกอาคิราห์ตามพาดหัวข่าวที่หนังสือพิมพ์ลงกันด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “ขอโอกาสให้ฉันได้เป็นคนจัดการเขาเอง”
หัวหน้ากลุ่มพยักหน้าเนิบ ๆ ลูกน้องสองคนเข้ามาล็อคตัวอาคิราห์แล้วพาไปยืนเด่นตรงกลางวงล้อม นิลลายกปืนขึ้นเล็งตรงไปที่กลางหน้าอกของโอเมก้า
“นิลลา” อาคิราห์เรียกด้วยความเสียใจ “ทำไมทำกับฉันแบบนี้ ที่ผ่านมาฉันรักนิลลามากแค่ไหน ไว้ใจนิลลามากที่สุด...นิลลาเป็นเพื่อนของฉันนะ” น้ำตาร้อน ๆ ไหลอาบแก้ม อาคิราห์มองผ่านม่านน้ำตาพร่ามัวไปยังร่างผอมบางที่ยืนจังก้าเล็งปืนมาที่เขา “นิลลาจะฆ่าฉันได้ลงคอจริง ๆ เหรอ”
“จะทำก็ทำ อย่ามัวร่ำไร เราต้องจัดการศพอีก”
นิลลาเม้มปากแน่นแล้วเหนี่ยวไกปืน
“ขอโทษนะคุณอาคิราห์”
....แด่ ความทรมานตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา ขอให้มันสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ด้วยเถิด
..................................................................................................
“ไม่เจอร่องรอยของคุณอาคิราห์เลยครับ” เจนภพเข้ามารายงานทันทีที่พิชช์ฌานก้าวออกมาจากห้องประชุม “กำลังให้คนสืบหาอยู่”
“เกือบสองชั่วโมงแล้ว” นายกรัฐมนตรีของประเทศนี้พูดเสียงแหบ “ฝากส่งแขกกลับไปที่โรงแรมด้วยนะ พรุ่งนี้เอาร่างสัญญาที่คุยกันวันนี้มาให้ฉันดูด้วย พวกเขาสนใจมาก” พิชช์ฌานยกมือขึ้นนวดระหว่างคิ้วอย่างเคร่งเครียด เขาต้องเจรจาผลประโยชน์ของประเทศไปพร้อม ๆ กับความห่วงกังวลถึงภรรยาแทบบ้าจนอยากจะล้มโต๊ะประชุมแล้วก้าวออกมาจากห้องเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ช่างหัวประเทศมัน .... แต่ว่าเขาก็ทำไม่ได้ ต้องกัดฟันเจรจาต่อจนเสร็จ
...เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน
พิชช์ฌานนั่งรถย้อนกลับไปที่ซากอาคารมูลนิธิฯอีกครั้งหนึ่ง คนเจ็บถูกลำเลียงออกมาจนหมดแล้ว ส่วนคนที่หายสาบสูญไปหาศพไม่พบมีเพียงสี่คน คืออาคิราห์ นิลลา และพนักงานมูลนิธิฯอีกสองคนที่ทำงานอยู่บนชั้นสองของอาคาร
“ถ้ายังไม่เจอศพ ก็ยังมีความหวัง” พิชช์ฌานพูดเป็นการให้กำลังใจตัวเองไปในตัว หัวใจแผดเผาด้วยความทรมานเหมือนมีไฟสุมในอก สิ่งที่เขากลัวที่สุดกำลังกัดกร่อนเนื้อหัวใจของเขาจนกลายเป็นโพรงลึก เคยมีคนเตือนเขาแล้วหลายต่อหลายครั้งถึงความสูญเสียที่อาจมาถึง แต่เพราะความทะนงตัวและทะเยอทะยานของเขา...
เขารู้แค่ว่าตัวเองไม่สามารถหันหลังกลับได้อีก ..คนอย่างพิชช์ฌานไม่เคยยอมแพ้ให้กับอะไรง่าย ๆ เป้าหมายของเขาจะต้องสำเร็จลงด้วยดีด้วยความสามารถของเขา ทุกอย่างสามารถควบคุมได้ มันเคยเป็นเช่นนั้นมาตลอดทว่าตอนนี้กลับไม่
รอยยิ้มสดใสของอาคิราห์ยังติดอยู่ในความทรงจำ...เป็นความผิดของเขา...จริง ๆ หรือ
“คุณพิชช์ฌานจะกลับบ้านก่อนไหมครับ” เจนภพถามเสียงเบา ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ขยับตัว
“ฉันขอนั่งอยู่ที่นี่ต่อก่อนอีกหน่อย” พิชช์ฌานตอบกลับไป “ไม่มีตารางงานอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ผมยกเลิกไปให้หมดแล้วครับ” เจนภพตอบ “คิดว่าคุณคงไม่มีอารมณ์จะไปพบปะใครในเวลานี้”
“จนกว่าจะเจอร่างของเขา หรือหลักฐานอะไรก็ได้...ที่ยืนยันว่าเขาตาย...หรือยังมีชีวิตอยู่” พิชช์ฌานพึมพำ ทอดสายตามองไปยังร่างของเจ้าหน้าที่ที่กำลังทำการค้นหาผู้เสียชีวิตต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งตามคำสั่งของท่านนายกรัฐมนตรี “ฉันหวังมากเกินไปไหมเจนภพ”
เจนภพถอนหายใจยาว วางมือลงบนไหล่กว้างที่งองุ้มของพี่ชายต่างมารดา
“คนเราไม่ควรหมดหวัง” เขาพูดสั้น ๆ แค่นั้น “ถ้าอยากกลับเมื่อไหร่ บอกผมนะครับ”
เขาปล่อยให้พิชช์ฌานนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ
การค้นหายังดำเนินต่อไป แต่ละนาทีที่ผ่านทำให้หัวใจของพิชช์ฌานเต้นช้าลงทุกที ปวดหนึบเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นล้วงเข้ามาบีบจนหายใจไม่ออก ความรู้สึกผิดท่วมท้นขึ้นมาจนถึงคอหอย เป็นเพราะเขา....ที่อาคิราห์เสียชีวิตครั้งนี้ เป็นเพราะเขา
..มันสายไปแล้วงั้นหรือ...เขาไม่มีทางกลับตัว ไม่มีทางย้อนเวลาได้เลยเหรอ...
น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงต้องหลังมือที่วางอยู่บนตัก ตามด้วยหยดที่สองและสาม พิชช์ฌานปล่อยให้มันไหลออกมาเงียบ ๆ โดยไม่ฝืนกลั้นอีก แสงไฟสนามส่องให้เห็นซากต้นกุหลาบที่ถูกเหยียบย่ำจนเละไม่เหลือเค้าความสวยงามก่อนหน้า ช่างเป็นความทารุณโหดร้ายเกินจะรับไหว
ทำไมเขาถึงไม่คิดมาก่อนหน้านี้
ทำไม...