[Omegaverse] ++Ai Adore You. #ขอรักแค่คุณ ++เปิดพรีออเดอร์แล้ววันนี้-30เมษา p49
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Omegaverse] ++Ai Adore You. #ขอรักแค่คุณ ++เปิดพรีออเดอร์แล้ววันนี้-30เมษา p49  (อ่าน 267144 ครั้ง)

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เสียใจด้วยนะหนูอัยย์ที่โลกไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด แล้วจะรู้ว่าชีวิตที่ผ่านมามันดีนักหนาแล้ว

ออฟไลน์ ♥ believeinme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
บู้บี้ของแม่ จบเรื่องนี้แล้ว อย่าหนีพี่เค้าไปอีกนะลูกกกก

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
พึ่งเข้ามาอ่าน รู้สึกชอบเลย

รอตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ DARALIS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รวดเดียวจบจนตอนล่าสุดเลยค่ะสนุกมาก

นี่ทีมตาพิญนะคะ55555 :impress2: :-[

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
Ai Adore You.

#ขอรักแค่คุณ

ตอนที่ 24



 

 

 

 

 

“กลับรถเจนภพ  กลับไปที่โรงแรมนั่น”  พิชช์ฌานสั่งมือขวาคนสนิทหลังจากที่รถออกวิ่งมาเกือบถึงครึ่งทางแล้ว

            “ทำไมล่ะครับคุณฌาน  เราใกล้ถึงสนามบินแล้วนะครับ”

            “ไม่ใช่ทางนั้น  ฉันว่ามันไม่ใช่  อาคิราห์ไม่มีวีซ่าแน่ๆ  ไม่มีทางออกนอกประเทศได้”  นักการเมืองหนุ่มพูดเหมือนพูดคนเดียว  เจนภพเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ  “แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทาง”

            “ผมไม่เข้าใจ”

            “ให้คนไปเช็คที่ท่าเรือ  ห้ามเรือทุกลำออกจากท่าตอนนี้”  พิชช์ฌานดีดนิ้วเสียงดัง  ตะโกนบอกคนขับรถซ้ำให้รีบเลี้ยวรถกลับไปยังทางเดิม

            ชายหนุ่มนั่งเครียดมาตลอดทาง  มือประสานบีบแน่นจนข้อนิ้วขึ้นขาว  ทั้งกังวลและเป็นห่วงสารพัดแยกแยะไม่ถูกปนกับความโกรธเกรี้ยวที่ทวีมากขึ้นทุกทีโดยเฉพาะยามที่ได้รับรายงานว่ามีเรือหนึ่งลำแอบออกจากท่าไปแล้ว

            “ตามเรือลำนั้นมาให้ได้  ช่วยประสานท้องที่ให้ด้วย”  พิชช์ฌานพูด  ทอดสายตามองทะเลเบื้องหน้าที่มืดสนิทเช่นเดียวกับจิตใจของเขาตอนนี้  ไม่รู้เลยว่าป่านนี้อาคิราห์ไปอยู่ที่ไหนแล้ว  จะอยู่บนเรือที่เขาสงสัยหรือเปล่า

            “คุณฌานครับ  ถ้าเราทำแบบนั้นมันจะยิ่งเป็นเรื่องใหญ่นะครับ  พวกนักข่าวจะรู้เรื่องนี้แล้วแห่กันมาทำข่าว”

            “ก็ยิ่งดีไง  ทางไหนฉันก็ยอมทั้งนั้น  ขอแค่เจอตัวอาคิราห์ก็พอ”  ชายหนุ่มพูด  ยกมือขึ้นบีบขมับ

            “ผมเกรงว่ามันจะไม่ดีนะครับ  ระหว่างนี้อาจมีพวกสวมรอยมาหาประโยชน์ได้ครับ  ขอให้คุณพิชช์ฌานช่วยพิจารณาใหม่อีกทีครับ”  คนสนิทค้าน

            นักการเมืองหนุ่มนิ่งไปนานแล้วถอนหายใจยาว

            “นายพูดถูก  ฉันใจร้อนเอง  ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยประสายงานอย่างเงียบเชียบที่สุด  ระหว่างนี้ฉันจะไปคุยกับผู้ว่าฯ  เผื่อจะมีทางอื่น”  ชายหนุ่มก้าวยาวๆกลับขึ้นไปที่รถ  “อาคิราห์อาจจะไม่ได้ไปกับเรือลำนั้น  ...เจนภพ  นายลองไปถามหากล้องวงจรปิดตรงแถวหาดมาดู  เรื่องนักข่าวเดี๋ยวฉันจัดการเอง...ไปสิ”

            “ไม่ได้ครับ  ผมต้องติดตามคุณฌานอย่างใกล้ชิดครับ”  เจนภพท้วง  “คุณเพิ่งเกือบโดนลอบสังหารนะครับ”

            “ลอบสังหาร?  ไอ้ระเบิดนั่นน่ะเหรอ  เป้าหมายไม่ใช่ฉันหรอก”

            “ยังไม่แน่นะครับ  ตอนนี้ผมไม่ไว้ใจใครเลยนอกจากตัวผมเอง  ขอให้ผมได้ติดตามคุณไปเถอะครับ”  เจนภพพูดเสียงหนักแน่น  “เรื่องคุณอัยย์หายตัวไปก็สำคัญ  แต่ชีวิตของคุณฌานสำคัญกว่านะครับ”

            พิชช์ฌานอึ้งไป

            “ไม่มีใครสำคัญกว่าใครหรอก  เราสำคัญเท่าๆกัน...ถ้าอย่างนั้นนายก็ตามฉันมา  ฉันจะไปพบผู้ว่าฯ”

            บ้านพักของท่านผู้ว่าฯเปิดไฟสว่างทั่ว  ท่านดูตกอกตกใจไม่น้อยตอนที่พิชช์ฌานเข้าไปขอความช่วยเหลือ  สีหน้าชายหนุ่มร้อนใจจนผู้ใหญ่พลอยเป็นกังวลไปด้วย

            “ลุงจะให้คนช่วยออกตามหา  ไม่ต้องห่วงนะถ้ายังอยู่ในเขตนี้ล่ะก็  ยังไงก็หาเจอแน่นอน”  ชายวัยกลางคนพูดเนิบๆ  “มาที่นี่ทำไมไม่บอก  ไม่เจอหน้ากันนานแล้วนะเจ้าฌานตั้งแต่สมัยเรียนจบมหาลัย  งานแต่งเมียลุงก็ไม่ได้ไปเพราะติดดูงานอยู่ต่างประเทศ”

            “ผมต้องขอประทานโทษด้วยครับ”  ชายหนุ่มตอบ  หน้าจ๋อยสนิทอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน  คนมองถึงกับหัวเราะเบาๆ

            “เป็นห่วงมากรึ  เมียโอเมก้าคนนี้...เห็นทีจะมีดีสินะ”

            “ผม...” พิชช์ฌานพูดไม่ออก  นั่งบีบมือตัวเองด้วยสีหน้าคล้ำเครียด  นัยน์ตาก็เหลือบมองนาฬิกาตลอดเวลา  นับถอยหลังที่จะตามหาคนที่หนีไปดื้อๆ

            “เอาเถอะ ...ใจเย็นๆ  ลุงจะช่วยปิดข่าวเอาไว้ก่อนจนกว่าจะเจอเมียก็แล้วกันนะ”

            “ขอบคุณครับ”

            พิชช์ฌานกลับออกมาจากบ้านท่านผู้ว่าฯ ข่าวจากคนของเขาที่กระจายตัวออกตามหาก็ยังไม่มีข่าวมาเลย  เจนภพเองก็ติดต่อหาวีดีโอกล้องวงจรปิดมาดูจนได้

            “เห็นแค่มุมนี้ครับ  หลังไวๆ  น่าจะเป็นคุณอัยย์”   เจนภพชี้นิ้วไปบนหน้าจอให้เจ้านายดู  ร่างโปร่งบางเดินแกมวิ่งไปทางตึกแถวข้างๆที่เป็นร้านค้า  “แถวนี้เป็นร้านขายของที่ผมพาคุณอัยย์ไปซื้อชุดว่ายน้ำครับ”

            “ตอนนั้นอาคิราห์แวะร้านไหนบ้าง”

            ชายหนุ่มพูด  ก้าวยาวๆขึ้นรถสั่งให้ขับไปจอดที่หน้าตึกแถวแห่งนั้น  ร้านรวงพากันปิดไปหมดแล้ว  บางร้านก็ปิดประตูเหล็กจนมองไม่เห็นด้านใน  พิชช์ฌานก้าวผ่านร้านขายชุดว่ายน้ำไปยังร้านข้างๆ

            “ปิดร้านไปหมดแล้ว  อาคิราห์ไม่น่าจะมาที่นี่”  ชายหนุ่มพูดอย่างครุ่นคิด  “เขาจะมาที่นี่ทำไมกัน  หรือว่าเป็นแค่ทางผ่านไปทะลุที่ไหน”

            “ข้างหลังนี้เป็นกำแพงติดกับถนนข้างหลังครับ  ไม่น่าจะไปไหนได้ถ้าไม่ได้ขึ้นรถ”

            “..................”  พิชช์ฌานเงียบ  เวลาที่ผ่านไปทำให้ความหวังของเขาเริ่มลดลงทุกที  ขนาดคนของผู้ว่าฯก็ยังหาไม่เจอ  แล้วเขาจะไปพลิกแผ่นดินตามหาอาคิราห์ได้ที่ไหนกัน

            ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง  ทำไมถึงได้ใจร้ายนัก  ทิ้งกันได้ลงคอเชียวเหรอ...นัยน์ตากลมโตปรากฏขึ้นในความคิดโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม  ที่ทำเป็นดีด้วยก็เพราะจะหาทางหนีทีหลังแบบนี้งั้นหรือ  เพียงแค่คิดชายหนุ่มก็ปวดหนึบไปทั้งใจ  ไหนจะลูกของเขาที่อยู่ในท้องของอีกฝ่ายอีก

            เล่นหายไปทั้งแม่ทั้งลูกแบบนี้  แล้วเขาจะทำอย่างไรล่ะ ...อยากทรุดตัวลงนั่งที่พื้นเพราะหมดแรงเต็มที  แต่ว่าชายหนุ่มก็หักห้ามใจเอาไว้  เขาไม่สมควรแสดงความอ่อนแอออกมาให้ลูกน้องเห็น  อาการคลื่นเหียนถูกกดข่มเอาไว้ภายในเพราะมีสิ่งที่สำคัญกว่าต้องคิดทำ

            เกือบจะถอยกลับอย่างหมดหวังแล้ว  ตาเขาก็เหลือบไปเห็นตัวอักษรบนประตูกระจกที่อยู่หน้าร้านที่ห่างออกไปไม่มากนัก  ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปโดยเร็ว  ข้อความบนนั้นทำให้คิ้วเข้มขมวดฉับ  เขาร้องเรียกมือขวาทันที

            “เจนภพ  ....ติดต่อคุณธีรดลเร็ว  ฉันอยากได้ข้อมูลผู้ค้าของบริษัทที่เช่าห้องนี้  ด่วนที่สุด”

            ...บริษัทรับจัดหางานโอเมก้า?...เป็นไปได้ไหมว่านี่จะเป็นที่ๆอาคิราห์มา  ชายหนุ่มเม้มปากครุ่นคิดหนักหน่วง  ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะยังอยู่ข้างในตึกนี้ก็เป็นได้

            เขาเกือบจะทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดหวังตอนที่ตามตัวคนของบริษัทรับจัดหางานโอเมก้ามาเปิดประตูห้องให้เข้าไปสำรวจข้างใน  มันว่างเปล่าและมืดทึมไร้คนอยู่จริงๆตามที่พนักงานบริษัทบอก

            “ทุกคนกลับบ้านกันหมดแล้วครับ  ไม่มีใครอยู่จริงๆ”  พนักงานโอเมก้าคนนั้นพูดเรียบๆ ยืนยันกับเขาเสียงแข็ง  “ผมไม่ได้โกหก  พวกคุณมาหาใครกันผมไม่เข้าใจ”

            “ฉันยังไม่ได้บอกเลยนะว่าหาใครหรือว่าอะไร”  พิชช์ฌานที่ยืนนิ่งอยู่พูดขึ้น  ก้าวเข้าไปหาโอเมก้าคนนั้นอย่างกดดัน  “เธอคิดว่าฉันมาหา ‘ใคร’ งั้นหรือ”

            “ก็...ผมเห็นคุณมาค้นบริษัทผม  ผมก็ต้องเข้าใจว่าหาคนสิครับ”

            “ฉันอาจจะหาของก็ได้ไม่ใช่หรือ  เอาล่ะโอเมก้า...พูดความจริงมา  ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน”

            “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”

            “เธอชื่อวีรัตน์สินะ  ....คู่ของเธอคืออัลฟ่าสตีเฟนที่ทำงานบริษัทนี้แล้วก็ส่งของทะเลออกนอกด้วยใช่มั้ย  ได้ยินว่าเขามีเรือหลายลำ”  พิชช์ฌานพูดเนิบๆ  เอื้อมมือไปแตะที่ติ่งหูของโอเมก้าอย่างคุกคาม  “อยากให้ฉันบุกตรวจเรือของสามีเธอไหม  ฉันว่าเขาน่าจะมีของหนีภาษีนะ”

            “ของหนีภาษีอะไร....เขาทำงานสุจริต  คุณถอยออกไปนะ”

            พิชช์ฌานปล่อยมือแล้วเดินกลับไปที่รถ  เจนภพขยับเขามาแทน  เขาแตะที่เอวของตัวเองพอให้อีกฝ่ายรู้ว่าพกอะไรอยู่  จากนั้นก็ถามเสียงต่ำ

            “จะยอมบอกดีๆหรือต้องให้ผมระเบิดเรือคุณทิ้งก่อนสักลำสองลำพร้อมกับสามีคุณครับ”

            ข่าวที่เค้นมาจากโอเมก้าคนนั้นทำให้พิชช์ฌานกัดฟันแน่น  หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน...ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  ทุกอย่างมันจะยิ่งเลวร้ายและแผ่วงกว้างเกินกว่าที่เขาจะจัดการได้  มีความเป็นไปได้สูงว่าอาคิราห์อาจจะออกนอกประเทศไปทางเรือแล้ว

            “เราต้องขอความร่วมมือระหว่างประเทศ”  ชายหนุ่มพูดขึ้นช้าๆ  “เรื่องต้องถึงหูพ่อของอาคิราห์แน่”

            “เรื่องใหญ่มากๆเลยครับ  อาณาเขตน่านน้ำสำคัญมาก  อาจจะเกิดสงครามได้เลยถ้าฝั่งนั้นเข้าใจผิดในกรณีที่เราบุกไปโต้งๆ”  เจนภพตามความคิดของเจ้านายทันแล้ว  “ยังไงก็ต้องถึงหูท่านนายกฯครับ  แต่ว่าชื่อเสียงคุณฌานคง....”

            “ฝ่ายนั้นเล่นฉันพังยับแน่ๆ”  พิชช์ฌานพึมพำ  “ถึงขั้นเมียหนีออกนอกประเทศไปแล้ว  ฉันต้องพลิกวิกฤติเป็นโอกาส...”  ชายหนุ่มขมวดคิ้ว  ยกมือขึ้นลูบใบหน้า  เขาไม่ได้นอนมาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วตอนนี้  “เจนภพ  ปล่อยข่าวว่ามีคนระเบิดห้องพักหวังทำร้ายอาคิราห์  น่าจะเป็นพวกอนุรักษ์ฯโอเมก้า  ส่วนตอนนี้อาคิราห์ปลอดภัยแล้วอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วก็แจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบไอ้บริษัทหางานโอเมก้าเฮงซวยอะไรนี่ด้วย  บอกไปว่าสงสัยมีการค้ามนุษย์ข้ามชาติ  ทำให้เป็นข่าวใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้” 

            “คุณพิชช์ฌานครับ”  เจนภพท้วง  แค่ฟังก็รู้ว่าคงเป็นเรื่องใหญ่มากแน่ๆ  เผลอๆผลลัพธ์ของมันอาจจะรุนแรงเกินกว่าที่พิชช์ฌานจะรับไหวก็เป็นได้  “เรายังไม่รู้ว่าธุรกิจนี้เกี่ยวพันกับผู้มีอิทธิพลคนไหนบ้างนะครับ  พรรคของเราอาจจะกระทบ..”

            “ฉันคิดดีแล้วเจนภพ ...ถ้าจะพังก็ต้องพังกันไปข้างนี่ล่ะ”  นักการเมืองหนุ่มตอบ  ลืมตาขึ้นมองขอบฟ้าที่เริ่มปรากฏสีทองจางๆ  ใกล้รุ่งสางแล้วไม่รู้ว่าป่านนี้คนที่เขาคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกนั้นจะอยู่ที่ไหนในทะเลกว้าง

ได้แต่หวังว่าเราจะได้พบกันอีก  แม้ว่าเจ้าตัวอาจจะไม่อยากพบหน้าเขาก็ตาม

.....................................................................................

เสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยเป็นภาษาท้องถิ่นดังขึ้นรัวเร็วเหนือศีรษะ  อาคิราห์เงยหน้าขึ้นมองอย่างมีความหวัง  ขยับเข้าไปใกล้

            “ช่วยด้วย...ช่วย..”  อาคิราห์ส่งเสียงผ่านช่องว่างของตาข่ายออกไปเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่มาด้อมๆมองๆที่ด้านบนเหนือประตูไม้  เพิ่มเสียงให้ดังขึ้นอีกทว่ากลับมีมือหนักๆเอื้อมมาปิดปากของเขาเอาไว้

            “ชู่ว...ไม่ได้นะ  ถ้าถูกพบ...พวกเราจะตายกันหมด”  นิลกระซิบข้างหูเขาเบาๆ  “เงียบเถอะ”

อาคิราห์แอบมองผ่านช่องว่างของตาข่ายอวนลากปลาด้านบนอย่างผิดหวัง  เสียงฝีเท้าหนักๆทยอยจากไปแล้วหลังจากที่ชะโงกหน้าลงมาสำรวจใต้ท้องเรือที่เต็มไปด้วยปลากองใหญ่ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง  เจ้าหน้าที่พวกนั้นไม่เห็นโอเมก้าเกือบสิบชีวิตที่นั่งซุกอยู่ด้านล่าง

ประตูไม้ถูกปิดลงตามเดิม  นิลปล่อยมือจากเขาแล้วถอยไปนั่งเงียบๆ  อาคิราห์เงยหน้าขึ้นถามทันควัน

“ถ้าถูกพบจะเป็นยังไง”

“พวกเขาจะจับพวกเราไปทารุณ”  อีกฝ่ายตอบเรียบๆ  “โอเมก้าที่หนีออกนอกประเทศแล้วถูกจับได้ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ไร้เจ้าของ”

คนฟังอ้าปากค้าง

“แต่พวกเขาเป็นตำรวจไม่ใช่เหรอ”

“ไม่สำคัญเท่ากับพวกเราเป็นโอเมก้าหรอก”  แทมมี่ที่นั่งอยู่อีกฟากตอบกลับมา  “คิดว่าถ้าพวกเขาเจอเราแล้วจะส่งตัวพวกเรากลับบ้านง่ายๆงั้นเหรอ  ...อย่างน้อยก็คงถูกกักบริเวณให้อยู่บำเรอพวกมันอีกเป็นปีๆกว่าจะมีกำหนดส่งตัวกลับ”

“..............” อาคิราห์เงียบกริบ  เขาคิดไม่ถึงมาก่อนว่าแม้แต่ผู้รักษากฎหมายอย่างเช่นตำรวจก็ยังไม่สามารถพึ่งพาได้ในสถานการณ์เช่นนี้

“มันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว  กฎหมายเขียนเอาไว้เพื่อปกป้องคนที่แข็งแรงและรังแกคนที่อ่อนแอกว่าไม่ใช่คุ้มครองอย่างที่ควรจะเป็น  พวกเขาอาศัยช่องว่างของกฎหมายพวกนี้”

“ทำไมถึงไม่ยุติธรรมเลย”  ลูกชายของนายกรัฐมนตรีครางออกมา

“เพราะกฎหมายถูกเขียนโดยอัลฟ่าและเบต้า”  นิลตอบตรงเผ็ง  “กฎหมายคุ้มครองโอเมก้าที่ร่างโดยผู้กดขี่โอเมก้า  คิดว่ามันจะเป็นยังไง”

คนฟังนิ่งอั้นไปอีก

“ทำไมถึงไม่มีโอเมก้าคนไหนออกมาเรียกร้องสิทธิของตัวเองบ้าง”

“แค่เอาตัวรอดไปวันๆก็หมดเวลาแล้ว  จะมีใครไปสนใจเรื่องนั้นกันล่ะ”  แทมมี่พูดกลั้วหัวเราะเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่เรือจะเข้าเทียบท่า

รออยู่นานมากว่าประตูข้างบนจะถูกเปิดออกอีกครั้ง  คนบนนั้นใช้รอกลากเอาอวนปลาขึ้นไปทำให้อากาศบริสุทธิ์ไหลเข้ามายังท้องเรือบ้าง  อาคิราห์รีบขยับตัวลุกขึ้นยืนเป็นคนแรก  เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้ม

“ปีนขึ้นมา”  เสียงห้วนๆดังขึ้นเหนือศีรษะพร้อมกับมือที่เอื้อมลงมาฉุดที่คอเสื้อของเขาอย่างหยาบคาย  อาคิราห์เบี่ยงตัวหลบ  ปัดมือนั้นออกอย่างแรงจนเจ้าของมือจุ๊ปาก  “อย่าฤทธิ์มาก”

“อย่าทำรุนแรง”  เสียงของใครอีกคนที่อยู่ข้างบนนั้นเตือน  อีกฝ่ายฮึดฮัดแต่ก็ยอมให้อาคิราห์ปีนขึ้นมาเองแต่โดยดี

โอเมก้าที่เหลือทยอยกันขึ้นมายืนบนดาดฟ้าเรือ  รอบด้านของเขามืดสนิทลงแล้วแทบมองไม่เห็นลายฝ่ามือของตัวเอง  ผ้าห่มเหม็นๆโปะลงมาบนศีรษะและไม่ยอมให้เอาออก  มันเหม็นอับผสมกับกลิ่นคาวปลาจนอยากอาเจียนอีกรอบ

“เราต้องปกปิดกลิ่นน่ะ”  มิรินเดินเข้ามาหาเขาแล้วกระซิบเบาๆ  เธอเองก็มีผ้าผืนใหญ่คลุมอยู่เช่นกัน

พวกเขาเดินตามกันไปเรื่อยๆจากท่าเรือขึ้นไปบนฝั่ง  ได้ยินเสียงซุบซิบเป็นภาษาพื้นเมืองดังเบาๆอยู่รอบตัวมาจากกลุ่มคนที่นั่งอยู่เป็นเงาตะคุ่มๆน่ากลัว  อาคิราห์ห่อตัวลงรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปจนชิดเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักมากขึ้น

นิลเองก็เงียบกริบ  แม้แต่แทมมี่ที่ดูจะพูดเก่งที่สุดก็ยังพลอยเงียบไปด้วย  พวกเขาเดินไปตามทางเดินแคบๆเหมือนตรอกเล็กๆจากตรอกนั้นทะลุไปตรอกนี้  พื้นดินชื้นแฉะกับโคลนเหลวๆเปื้อนขึ้นมาถึงข้อเท้า  อาคิราห์อุทานรีบเดินหนีพวกหนูตัวใหญ่ๆที่วิ่งตัดหน้าไปอย่างกระชั้นชิด  สภาพรอบกายเสื่อมโทรมเหมือนสลัมที่เขาเคยแต่จินตนาการยามได้ยินพี่เลี้ยงเล่าถึง

ไม่เคยนึกว่ามันมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ด้วย

“ถึงแล้ว”  อาคิราห์อยากจะอุทานออกมาตอนที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้น  ทว่าบรรยากาศของ ‘สิ่งปลูกสร้าง’ ตรงหน้าทำให้เขาเข่าอ่อนกว่าเดิม  มันเหมือนอาคารร้างมากกว่าจะเป็นที่พักอาศัยอย่างที่พวกนั้นบอก

“ข้างในสภาพดีกว่านี้แน่ๆ”  มิรินพูดเหมือนปลอบใจตัวเองและเพื่อนๆไปพร้อมๆกัน

“อยู่ที่นี่ไปก่อน”  ผู้ชายตัวใหญ่ที่ดึงคอเสื้อเขาพูด  อาคิราห์กวาดตามองไปรอบๆห้องเล็กๆแคบๆที่เดินตามเข้ามา  สภาพมันไม่ต่างจากข้างนอกเท่าไหร่นัก  ภายในห้องมีฟูกบางๆวางเรียงรายเอาไว้ที่พื้นชิดมุมหนึ่ง  หน้าต่างเล็กๆมีลูกกรงติดอยู่ฝั่งตรงข้ามพอให้ระบายอากาศอับๆได้เล็กน้อย  ห้องนี้เล็กกว่าห้องน้ำที่บ้านของเขาด้วยซ้ำ  ไม่ต้องถามถึงว่าจะอยู่เข้าไปได้อย่างไรเกือบสิบคน

“ไหนบอกว่าจะมาต่อเครื่องที่นี่ไงล่ะ”  อาคิราห์ถามขึ้น

“มันไม่ได้ง่ายๆอย่างนั้นหรอกนะ  ตำรวจเดินให้ควั่กทั้งเมืองไม่เห็นเหรอ  อยู่ที่นี่ไปก่อนจนกว่าจะถึงเวลา...อ้อ  อย่าพูดมาก  ถ้าไม่อยากตายอยู่ที่นี่”  ประโยคหลังอีกฝ่ายตะคอกใส่หน้าเขาโดยเฉพาะ

อาคิราห์ผงะถอยหลังไปสองก้าว  คนพวกนั้นเดินกลับออกไปแล้วพร้อมกับปิดประตูลงกลอนเอาไว้จากด้านนอกอย่างแน่นหนา  โอเมก้าคนอื่นถอยจับจองฟูกของตัวเองบ้างก็ล้มตัวลงนอนราวกับไม่เดือดร้อนกับสถานที่นี้เอาเสียเลย  อาคิราห์กวาดตามองอย่างหวาดๆ เดินตามไปนั่งข้างๆเพื่อนใหม่ที่ดูน่าไว้ใจมากที่สุด

“เราต้องนอนที่นี่จริงๆเหรอ”  เขาถามนิลอีกครั้ง  เห็นฝ่ายนั้นกำลังใช้มือปัดแมลงออกจากที่นอนอย่างคล่องแคล่ว  แต่พออาคิราห์เห็นแมลงสีน้ำตาลเข้มตัวยาวรีได้ถนัดก็ตาเหลือก  รีบกระโดดลุกขึ้นยืนอย่างขยะแขยง

“เป็นอะไรไป  ก็แค่แมลงสาบ”  นิลพูดห้วนๆเหมือนรำคาญ  “นอนที่นี่ก็ดีแล้วนี่  มีฟูกกับเครื่องนอนพร้อม  ห้องน้ำก็มี  ดีกว่าที่ฉันคิดเอาไว้เสียอีก”

“เราต้องอยู่ที่นี่จนถึงเมื่อไหร่”  เขาพูดเสียงเครือโดยไม่ตั้งใจ  แต่แค่คิดว่าต้องนอนที่นี่จริงๆก็น้ำตารื้นแล้ว  คิดถึงเตียงนอนนุ่มๆและห้องสะอาดสะอ้านที่บ้านขึ้นมาจับใจ

“ก็จนกว่าจะได้ต่อเครื่อง”  แทมมี่ตอบกลับมาแทน  “จะนอนหรือไม่นอนล่ะหนู  ถ้าไม่นอนฉันขอผ้าห่มนะ”

“นอนสิ...นอน”  อาคิราห์รีบตอบ  ดึงผ้าห่มไปกอดเอาไว้แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนฟูกอย่างแรง  เขาสะดุ้งเฮือกเพราะฟูกมันบางมากเสียจนเหมือนนั่งลงไปกับพื้น  หมอนก็เป็นหมอนสี่เหลี่ยมแข็งๆที่ไม่มีทางนอนสบายอย่างแน่นอน  และดูเหมือนว่าจะไม่เคยซักเลยสักครั้ง

ทว่าโอเมก้าคนอื่นกลับล้มตัวลงนอนหลับไปอย่างง่ายดาย  บางคนก็หลับไปทั้งที่ยังไม่ได้ล้างเอากลิ่นคาวปลาเหม็นเน่าพวกนั้นออกจากตัวเลยด้วยซ้ำ  อาคิราห์นั่งกอดเข่าพิงกำแพงทอดสายตามองรอบตัวอย่างหมดแรง  ยิ่งสังเกตก็ยิ่งเห็นความสกปรกเลอะเทอะ  ที่นี่มันยิ่งกว่ารูหนูเสียอีก

ภาพชีวิตสุขสบายแสนอิสระที่เมืองนอกพังทลายหายไปในพริบตา  ตอนแรกก็ยังไม่อยากเชื่อว่าจะโดนหลอกเข้าจริงๆ  ตอนเดินลงเรือมาก็ยังแอบฝันว่าคงจะไม่เหมือนอย่างที่คิดหรอก  แต่ยิ่งเวลาผ่านไปจนถึงตอนนี้  ตอนที่นั่งกอดเข่าอย่างหมดหนทางอยู่ที่นี่  มันทำให้อาคิราห์ต้องยอมรับความจริงว่าเขาคิดผิด

แถมยังไม่รู้ว่าจะหาทางแก้ไขอย่างไรด้วย

“มัวแต่นั่งอยู่นั่นแหละ  รีบไปอาบน้ำซิ”  ประโยคหลังของนิลอ่อนลงบ้างเล็กน้อย  คงเพราะเห็นเขากำลังนั่งปาดน้ำตาอยู่เงียบๆกระมัง

“ไม่มีผ้าขนหนู”  อาคิราห์พูดแกมสะอื้นเบาๆ  คนฟังเลิกคิ้วเหมือนแทบไม่อยากเชื่อ

“ก็ใช้เสื้อเช็ดเอาสิ  ผ้าคลุมนี่ก็ได้มั้ง”  ผ้าคลุมที่คลุมหัวมาตอนแรกนั่นน่ะรึ  มันเหม็นจนเขาเขวี้ยงทิ้งไปตั้งแต่แรกที่เข้ามาในนี้แล้ว  อาคิราห์เบ้ปากรับผ้าอีกผืนของเพื่อนมาอย่างจำใจ  ลุกขึ้นเดินลากเท้าไปยังห้องน้ำที่อยู่ริมสุด

ยืนต่อแถวรอคิวจากโอเมก้าอีกสองคน สองคนนั้นก็ดูจะไม่สนใจอะไรเขาเลย  ยืนนิ่งๆทื่อๆเหมือนหุ่นยนต์หรือไม่ก็คนที่หมดอาลัยตายอยากในชีวิต

อาคิราห์สะดุดใจ  เขายืนกวาดตามองไปรอบๆห้องนั้นอีกครั้ง  โอเมก้าเหล่านั้นถึงจะมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกัน  แต่ที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือแววตาที่คล้ายยอมรับต่อโชคชะตาของตัวเองแต่โดยดี  ไม่มีความขัดขืนหรือแม้แต่น้อยใจ  ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นและเป็นไปอยู่แล้ว

            “ถึงตาเธอแล้ว  เร็วเข้า”  เสียงแหลมเล็กดังขึ้นด้านหลังพร้อมกับปลายนิ้วจิ้มมาแรงๆ  อาคิราห์สะดุ้งรีบเปิดประตูก้าวเข้าไปในห้องน้ำที่ทำให้เขาตกใจมากกว่าเดิม

            มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆแคบๆเท่าแมวดิ้นตาย  ขนาดเขาเป็นคนผอมก็ยังขยับตัวลำบาก   ส้วมแบบหลุมอยู่ข้างซ้าย  ส่วนข้างขวามีก๊อกน้ำที่คนก่อนหน้านี้เปิดน้ำทิ้งใส่ถังเอาไว้ให้  น้ำสีขุ่นคลั่กจนอาคิราห์ไม่แน่ใจว่ามันเอาไว้ใช้ทำความสะอาดตัวหรือจะยิ่งทำให้เนื้อตัวสกปรกมากกว่าเดิมกันแน่  แต่จะมองหาน้ำจากที่อื่นก็ไม่มีให้เห็นอีก  ชายหนุ่มเลยย่อตัวลงใช้ขันบุบๆตักน้ำขึ้นมาล้างมือกับเท้าพอให้สะอาดขึ้นกว่าเดิม

            จะเอาขึ้นมาล้างหน้าก็ทำใจไม่ลง  ยิ่งอาบน้ำทั้งตัวเหมือนอยู่ที่บ้านยิ่งไม่มีทาง  เขาตักน้ำราดๆแขนขาพอให้สดชื่นขึ้นแล้วก็รีบเปิดประตูกลับออกมา  มองเมินสบู่ก้อนเล็กๆเบี้ยวๆอย่างไม่ไยดี

            “ห้องน้ำเปื้อนมาก”

            “อืม”  นิลรับคำแล้วล้มตัวลงนอน  อาคิราห์จะปลุกขึ้นมาคุยต่อก็เกรงใจ  เขาล้มตัวลงนอนตรงกลางระหว่างนิลกับแทมมี่  ห่อตัวลงอย่างอึดอัดเพราะถูกแทมมี่เบียดเข้ามา

เสียงฝีเท้าและกลิ่นเหม็นๆลอยวนอยู่รอบตัว  อาคิราห์นอนเบิกตาค้างมองเพดานที่มีหยากไย่ประดับอยู่แทนที่แชนเดอร์เรีย  จนกระทั่งเขาผล็อยหลับไปเองด้วยความเหนื่อยอ่อน



ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk





       เช้าวันรุ่งขึ้นเขาสะดุ้งตื่นตั้งแต่ท้องฟ้าข้างนอกยังไม่สว่างเพราะคนรอบตัวพากันขยับลุกโดยไม่มีนาฬิกาปลุก  อาคิราห์ต่อคิวเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วก็เดินมานั่งกอดเข่าที่เดิมมองเพื่อนอีกสองคนที่นั่งพิงกำแพงอยู่เงียบๆ

“แล้วเราจะทำอะไรต่อ”

“ไม่รู้สิ  รอให้คนมามั้ง”

“หิวข้าวจัง”  อาคิราห์พึมพำ  ยกมือขึ้นลูบท้องที่ร้องโครกคราก  เสียงกุกกักตามด้วยเสียงประตูข้างหน้าเปิดออกทำให้เขาผุดลุกขึ้น

“อาหารมาแล้ว”  เสียงห้วนๆดังขึ้นแบบไม่เห็นหน้า  ถุงกระสอบถุงใหญ่ถูกเหวี่ยงเข้ามาภายในห้องจากนั้นประตูก็ปิดลงอีก  อาคิราห์ถลันเข้าไปยืนจนชิดถามเสียงดัง

“เมื่อไหร่เราจะได้ออกไป”

“จนกว่าทุกอย่างจะพร้อม”  เงาตะคุ่มล็อคประตูตามเดิมแล้วถอยออกไป

อาคิราห์หันกลับมาดูถุงกระสอบกลางห้องที่ตอนนี้มีเหล่าโอเมก้าเข้าไปยืนมุงอยู่เต็ม  ขนมปังก้อนเหมือนที่กินบนเรือกับอาหารกระป๋องและน้ำดื่มขวดเล็กถูกแย่งชิงกันอย่างรวดเร็วจนอาคิราห์หยิบไม่ทัน  เหลือเพียงขนมปังก้อนสุดท้ายกับน้ำดื่มที่หกไปครึ่งขวดอยู่ที่ก้นกระสอบ

ทุกคนก้มหน้าก้มตากินกันอย่างหิวโหยไม่มีใครสนใจใคร  อาคิราห์น้ำตาคลอก้มลงหยิบขนมปังแห้งกรังก้อนนั้นขึ้นมากัด  น้ำในขวดที่เหลือมีพอไม่ถึงสองอึกด้วยซ้ำ  ชายหนุ่มถอยกลับไปนั่งที่เดิมแล้วกล้ำกลืนขนมปังชิ้นนั้นจนหมด

ความแห้งฝืดของมันทำให้เขาติดคอ  น้ำดื่มที่เหลือติดก้นขวดถูกส่งมาให้เขาจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ขอบคุณมาก”  เขาพึมพำตอบนิล  รับมาดื่มจนแทบหยดสุดท้าย  เพิ่งรู้ซึ้งถึงคุณค่าของอาหารสามมื้อที่บ้านก็ตอนนี้เอง  ขนมปังชิ้นเล็กกว่ากำปั้นไม่ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย  อากาศที่เริ่มร้อนจัดและอุดอู้ก็ทำให้กระหายน้ำมากกว่าเดิม  อาคิราห์แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง  นึกสงสัยว่าพวกเขาจะต้องมาติดอยู่ที่นี่จริงๆหรือ

ลุกขึ้นเดินสำรวจไปรอบๆห้องแคบๆนั้นอีกครั้งหนึ่ง  เหล่าโอเมก้าที่เหลือบ้างก็ล้มตัวลงนอนตามเดิม  บ้างก็นั่งนิ่งๆเหมือนไม่มีอะไรจะทำมากไปกว่านั้นเริ่มหันมองตามอาคิราห์  ชายหนุ่มลองขยับที่ประตูไม้หนาหนักข้างหน้าดูแล้วก็รู้สึกว่าน่าจะเกินความสามารถที่จะพังมันออกไป

เขากลับมาดูที่ลูกกรงหน้าต่างเล็กๆแคบๆนั้นอีกครั้ง   มันเล็กเกินกว่าที่ใครจะปีนออกไป  ลูกกรงก็หนาฝังแน่นกับผนังปูนยากที่จะทำให้หลุดออกได้  เดินวกกลับไปสำรวจในห้องน้ำซึ่งปิดทึบทุกด้านแล้วก็กลับมานั่งกอดเข่าตามเดิม  ไม่มีทางออกอื่นที่เขาจะหนีออกไปได้เลย

หันไปมองเพื่อนๆคนอื่นที่นั่งมองเขาอย่างเฉยชาแล้วก็พูดขึ้นดังๆ

            “ไม่มีใครคิดจะหนีออกจากที่นี่เลยงั้นหรือ”

            “...............”

            “เราจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปจนถึงเมื่อไหร่”

            เงียบเหมือนพูดกับความว่างเปล่า  ทุกคนมองตอบกลับมานิ่งๆแล้วก็เมินมองไปทางอื่น

            “จะหนีไปไหน  ข้างนอกนั่นเผลอๆจะอันตรายกว่าอยู่ในนี้เสียอีก”  นิลพูดขึ้นเรียบๆ  อาคิราห์เหลียวไปมอง

            “รู้ได้ยังไงว่าอันตรายกว่าอยู่ในนี้”

            “ปกติโอเมก้าเดินตามถนนก็น่ากลัวอยู่แล้ว  นี่พวกเราลักลอบเข้ามาอีก...คิดว่ายังไงล่ะ”

            “แล้วเราจะทนอยู่ที่นี่น่ะเหรอ”

            “อย่างน้อยก็ยังไม่มีอัลฟ่าป่าเถื่อนที่ไหนมาลากออกไปก็แล้วกัน”

            “รู้ได้ยังไงว่าจะไม่มี”  อาคิราห์พูดอย่างโมโห  “เราติดอยู่ที่นี่  จะเป็นยังไงต่อก็ไม่รู้  เราต้องหนีออกไปจากที่นี่นะ”

            “หนีไปไหน  เธอรู้หรือไงว่าที่นี่ที่ไหนแล้วจะต้องไปขอความช่วยเหลือจากใคร”  นิลย้อนกลับมาเรียบๆ  อาคิราห์อ้าปาก  “สถานทูตเหรอ?  ฝันไปหรือเปล่า”

            “ไม่มีทางอื่นเลยเหรอ  ขอความช่วยเหลือคนอื่น”  ...ใบหน้าคมเข้มปรากฏขึ้นอีกครั้งในความทรงจำ  อันที่จริงอาคิราห์นึกถึงผู้ชายคนนั้นตลอดเวลาทั้งยามหลับยามตื่น  ยิ่งในตอนนี้ก็ยิ่งคิดถึงพิษฌานจับใจ  ปกติเวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา  พิษฌานก็จะต้องโผล่มาช่วยเขาเสมอไม่ใช่หรือ  แล้วทำไมคราวนี้ถึงยังไม่มาล่ะ

            พิษฌานจะต้องมา...ต้องมาแน่

            “เราต้องส่งสัญญาณว่าเราอยู่ที่นี่  คนที่จะมาช่วยเราจะได้รู้ไงว่าเราอยู่ที่ไหน”

            “เธอจะบ้าหรือเปล่า”  นิลพูดเสียงแข็งขึ้นมาทันที  “ถ้าเธอทำแบบนั้น  ก็จะถูกคนในนี้นี่แหละฆ่าตายก่อนจะมีคนมาช่วยเสียอีก”

            คนฟังอ้าปากค้าง

            “ทำไมล่ะ”

            “พวกเราไม่มีใครอยากถูกจับได้หรอกนะ  ไม่มีใครอยากหนี...ไม่ได้อยากถูกช่วย  เพราะมันจะยิ่งแย่กว่าเดิม  เข้าใจหรือเปล่า  ตอนนี้เรายังไม่ตาย...มันก็ดีมากแล้ว”

            อาคิราห์สบตาคมที่แห้งผากไร้แววคู่นั้น   เขามองไม่เห็นความหวังอะไรเหลืออยู่ทั้งสิ้น  ราวกับคนๆนี้ทอดทิ้งอนาคตในมือให้ปล่อยไปตามเวรตามกรรม

            “บ้าหรือเปล่า”  เขาอุทานออกมา  “ลองดูห้องที่เราอยู่ตอนนี้สิ  ลองดูอาหารที่มันให้เรากินสิ  คิดว่ามันจะทำอะไรกับพวกเราต่องั้นเหรอ  มันไม่มีทางพาไปต่อเครื่องอะไรนั่นหรอก  พวกมันหลอกเรามาขังและเราต้องหนี...ก่อนที่จะตายเหมือนหมาอยู่ในคุกนี่”

            “เธอต่างหากที่ไม่เข้าใจอินตรา”  นิลพูด  “พวกเราไม่ได้โดนหลอก  ไม่มีใครโดนหลอกมา  หรือถ้าจะมีก็คงมีแค่โอเมก้าโง่ๆที่คิดว่าจะยังมีงานดีๆเงินดีๆรออยู่ที่ต่างประเทศจริงๆแค่นั้น”

            “อ้าว  แล้วพวกคุณมาที่นี่ทำไม”  อาคิราห์กระซิบ

            “เพราะ....”  ความว่างเปล่าในดวงตาของนิลทำให้คนมองขนลุก  หนาวสะท้านเข้าไปลึกถึงกระดูก ...เขาคิดไม่ออกจริงๆว่าก่อนหน้านี้คนพวกนี้จะพบเจออะไรกันมาบ้าง  มันคงเลวร้ายเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการไหว  พวกเขาถึงเลือกที่จะมาตายเอาดาบหน้าแบบนี้

            อาคิราห์นิ่งเงียบไปนาน  เวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งแสงแดดจากข้างนอกกลายเป็นสีส้ม  มื้อเที่ยงผ่านไปเพราะไม่มีใครเอาอะไรมาให้อีก  เขานั่งกอดเข่าครุ่นคิดถึงวิธีการที่จะพาตัวเองออกจากที่แห่งนี้ไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งมีเสียงไขกุญแจที่หน้าห้อง

            ผู้ชายคนเดิมสองคนก้าวเข้ามาข้างใน

            “สองคน”  เสียงห้าวๆพูด

            โอเมก้าที่นั่งอยู่ฝั่งติดประตูรีบลุกขึ้นทันทีแล้วเดินตามพวกเขาออกไปข้างนอกนั่น  อาคิราห์มองตามหลังอย่างสงสัย

            “พวกเขาไปไหนกัน”

            “ไม่รู้สิ”  นิลพึมพำแล้วล้มตัวลงนอนอย่างไม่สนใจ

            อาคิราห์ลอบถอนหายใจยาว  ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องน้ำ  เขาเอาผ้าห่มของตัวเองเข้าไปด้วย  ล็อคประตูห้องน้ำเสร็จแล้วก็ก้มลงใช้โคลนที่พื้นป้ายบนผ้าห่มเป็นตัวอักษร SOS  แล้วพับซ้อนเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น

            กลับมานั่งกอดเข่ารอเวลาจนเริ่มมืด  ผู้ชายสองคนนั้นกลับเข้ามาพาโอเมก้าออกไปอีกสองคน  อาคิราห์อยากลุกไปถามเหมือนกันว่าจะพาโอเมก้าพวกนั้นไปไหนแต่เกรงว่าจะยิ่งสะดุดตามากเกินไป  นึกเดาเอาว่าคงไม่ใช่ที่ๆดีเป็นแน่

            ตกดึกทุกคนทยอยล้มตัวลงนอนหลับกันหมด  อาคิราห์ค่อยๆดึงตัวลุกขึ้นแล้วเอาผ้าห่มม้วนเป็นแถวยาวๆยกขึ้นสอดผ่านซี่หน้าต่างลูกกรงออกไปข้างนอก  เสียงมันหล่นกระทบพื้นดังตุบ  ชายหนุ่มรีบกระถดตัวลงนอนตามเดิมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            เช้าวันถัดมากิจวัตรประจำวันก็ยังเหมือนเดิม  เพียงแต่ว่าตอนนี้อาคิราห์เพิ่มความเร็วในการฉกชิงเอาอาหารมาได้มากกว่าเดิมแล้ว  เขาแอบขโมยผ้าห่มของโอเมก้าที่ถูกพาออกไปนั้นมาเขียนตัวอักษรแล้วก็พับซ้อนเอาไว้รอเวลาที่จะหย่อนลงหน้าต่างเหมือนเมื่อคืน  ได้แต่ภาวนาขอให้ใครก็ตามที่ตามหาเขาอยู่ได้โปรดเจอเขาด้วยเถิด

            ถ้ามีใครตามหาเขานะ....

            เสียงไขกุญแจดังขึ้นตอนพลบค่ำตามด้วยร่างสูงใหญ่ผู้ชายสองคนนั้นก้าวเข้ามาในห้องเพื่อพาตัวโอเมก้าออกไปอีกสามคน   ตอนนี้เหลือแค่เขากับนิลและแทมมี่ที่เหลือในห้องแล้ว

            พวกเขาสบตากันในความมืด

            “เราจะถูกพาออกไปคราวหน้าแน่ๆ”  อาคิราห์พึมพำ  “คิดว่าพวกมันพาไปไหน”

            “อาจจะพาขึ้นเครื่องไปยุโรปก็ได้มั้ง”  แทมมี่พูดห้วนๆ  เธอดูอารมณ์ไม่ดีอีกต่อไป  อาคิราห์ดูออกว่าลึกๆแล้วเธอก็มีความกลัวแฝงอยู่ด้วยแม้จะฝืนทำท่าเหมือนไม่แคร์ก็ตาม  “ฉันนอนก่อนล่ะ  นั่งคิดไปก็เสียเวลา”

            “เราควรจะรีบหนีก่อนนะ”  อาคิราห์กระซิบข้างหูนิล  อีกฝ่ายส่ายหน้า

            “อย่าดีกว่า  เราควรรอออกไปกับพวกนั้น”

            “แน่ใจได้ยังไงว่ามันจะไม่พาเราไปตายก่อนน่ะนิล  มันอาจจะพาไปยังที่ๆแย่กว่านี้อีกร้อยเท่าก็ได้นะ  ไม่มีอะไรรับรองเลยว่าที่ๆมันพาไปจะดีกว่าที่นี่”

            “ไม่มีอะไรรับรองเหมือนกันว่าหนีออกไปเองจะไม่ตายเปล่า”  นิลตอบสั้นๆ

            อาคิราห์เลยไม่พูดอะไรอีก  เขารอจนเพื่อนหลับสนิทดีแล้วก็แอบเอาผ้าห่มสามผืนที่เตรียมเอาไว้มาหย่อนลงไปจากลูกกรง  ผืนสุดท้ายเขาใช้วิธีผูกมันกับซี่ลูกกรงด้านนอกเสียเลย  ปล่อยให้ชายทิ้งปลิวไสวไปตามลม

            ใครก็ตามที่มองเห็นอาคารแห่งนี้ก็จะต้องเห็นผ้าห่มแน่ๆ

            “หยุดความคิดโง่ๆนั่นเถอะ”  เสียงห้วนจัดดังขึ้นข้างหลัง  ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร  อาคิราห์ถอนหายใจยาว

            “ผมรู้ว่ามันโง่  แต่ก็ดีกว่านั่งรออะไรก็ไม่รู้อยู่เฉยๆแน่  ผมจะสู้จนกว่าจะได้หนีออกไปจากที่นี่  ผมอยากกลับบ้านของผม  ป่านนี้คงมีคนตามหาผมให้ควั่กแล้ว”  อาคิราห์พูด

            “นั่นมันเรื่องของเธอ  แต่เธอจะให้เราซวยกันหมด”

            “ยังมีอะไรซวยกว่าติดอยู่ที่นี่แบบไม่เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเหรอ”

            “มีสิ”  คนพูดตัวสั่นเล็กน้อย  “เธอเอาผ้าลงเถอะ  ถือว่าฉันขอ  ฉันเองก็ไม่อยากให้มันเลวร้ายไปมากกว่านี้หรอกนะ”  นิลระเบิดออกมาบ้างด้วยเสียงแหบเครือ  “รีบเอาลงมาก่อนที่พวกมันจะเห็น”

            “มันอาจจะเป็นทางเดียวที่จะพาเรากลับบ้านได้”

            “ฉันไม่มีบ้านให้กลับ”

            “ไปอยู่กับผม”  อาคิราห์พูดทันทีโดยไม่ต้องคิดซ้ำ  “ผมจะพาคุณไป...แทมมี่ด้วย  ...พวกเราทุกคนเลย”

            “ชีวิตเราจบสิ้นตั้งแต่เกิดมาเป็นโอเมก้าแล้วอินตรา...ไม่สิ  คุณอาคิราห์”  นิลพูด  คนฟังนิ่งไป  ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายรู้จักชื่อจริงของเขา  เพียงแต่ไม่นึกว่าจะเรียกออกมาตรงๆ  “ชีวิตคุณไม่เหมือนโอเมก้าคนอื่น  คุณเกิดมาบนกองเงินกองทอง  ถึงเป็นโอเมก้าแต่ก็มีคนคอยปกป้องดูแล  คุณโชคดีกว่าพวกเราทุกคน  แต่ถึงกระนั้น...คุณก็ยังโหยหาอิสรภาพที่ไม่มีจริงในโลกโอเมก้า  ต่อให้มีเงินมากแค่ไหนก็มอบให้ไม่ได้”

            “ไม่จริง...”  อาคิราห์สวนกลับ  “ยิ่งผมได้มาเห็นพวกคุณ  ได้รู้จักคุณ  ผมยิ่งรู้ว่าอิสรภาพของโอเมก้ามันเป็นไปได้  ถ้าพวกเราทุกคนลุกขึ้นมา  ไม่ใช่ปล่อยตัวเองไปตามโชคชะตานำพาแบบนี้”

            “คุณพูดได้เพราะคุณยังไม่เคยเจอ....  ถ้าคุณลองได้มีชีวิตอยู่ทั้งที่ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม  ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับใคร...”

            “เราทุกคนมีประโยชน์  ผมไม่ได้หมายถึงแค่ประโยชน์บนเตียงด้วย”  อาคิราห์พูดเสียงห้วนจัด

            “อย่าหลอกตัวเองเลยคุณอาคิราห์...คุณพูดได้แต่ว่าลึกๆแล้วคุณเองก็รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร  เราเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก  โลกนี้มันเป็นของอัลฟ่าและเบต้ามานานแล้วและก็จะเป็นต่อไป”

            “ถึงตอนนี้ ...ผมกล้าพูดว่าโอเมก้าต่ำต้อยในสังคมนี้นอกเหนือจากถูกกดขี่ขมเหงจากคนชั้นอื่นแล้ว  พวกเราเองก็ยังดูถูกตัวเองอีกด้วย  มันถึงยิ่งไปกันใหญ่ไงล่ะ”  อาคิราห์สูดน้ำมูก

            “คุณก็พูดได้สิ  คุณไม่เคยลำบากนี่”

            “แค่ที่เจอตอนนี้ผมก็เกินจะทนแล้ว  พวกคุณทนกันได้ยังไง  พวกเรา...โอเมก้าทนกับเรื่องแบบนี้ได้ยังไงผมไม่เข้าใจ  ผมโง่โดนบริษัทนี้หลอกมาผมยอมรับว่าผมโง่  แต่พวกคุณรู้ว่ามันหลอกแต่เต็มใจมาคืออะไรล่ะ  ชีวิตโอเมก้าในประเทศเรามันสิ้นหวังถึงขนาดนั้น...”  เสียงของเขาขาดหายไปเพราะรู้สึกที่จุกแน่นในอก  “ผมเห็นพวกคุณแย่งกันกินขนมปังเน่าๆนั่น  เลียน้ำจากพื้นโคลน  จับแมลงสาบมากิน   แต่พวกคุณบอกว่าที่นี่ดีแล้ว  ดีกว่าบ้าน  ไม่คิดจะหนีไปไหน  ให้ตายเหอะ...นี่มันเกินไปแล้วนะ”

            “....................”

            “ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าโอเมก้าคนอื่นชีวิตเป็นยังไง  แต่มาตอนนี้ผมรู้ซึ้งเลยล่ะ  เราใช้ชีวิตเหมือนไม่มีค่าอะไรเลย  จะเป็นจะตายก็ช่าง...แล้วเรายัง...จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปจริงๆเหรอ”  เขารู้สึกขอบตาร้อนผ่าว  “ความฝันของผมคือไปเที่ยวรอบโลก  ไปกินอาหารมิชลินสามดาวให้ครบทุกร้าน  มีห้องสมุดเป็นของตัวเอง  ใช้ชีวิตอย่างมีอิสระไม่ต้องกลัวอะไร...แล้วดูผมตอนนี้สิ  ผมติดแหงกอยู่ที่นี่กับความฝันที่ไม่มีวันเป็นไปได้  คุณคิดว่าเพราะอะไร”

            ห้องเงียบกริบ

            “ไม่สิ  ถามใหม่ว่าคุณมีความฝันบ้างมั้ย....โอเมก้าเรามีความฝันบ้างมั้ย  อะไรก็ได้นิล  ที่คุณอยากทำก่อนตายหรือว่าไม่มีเลย”  อาคิราห์ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาแรงๆ  คนตรงหน้าเงียบไปนานจนเขาหมดหวังที่จะรอคำตอบ

            “ฉันอยากเป็นนักบิน”  เสียงห้วนต่ำตอบกลับมา  อาคิราห์ชะงัก  คนพูดเงยหน้าขึ้นมองออกไปยังข้างนอกหน้าต่างนั้น  “ทุกครั้งที่ฉันมองขึ้นไปบนฟ้า  ฉันอยากขึ้นไปอยู่บนนั้น  แต่ความจริงก็คือฉันทำได้แค่แหงนมองมันตอนที่โดน...แค่นั้นเอง”

            “นิล..”

            “ไม่ถามฉันบ้างเหรอ”  เสียงทุ้มๆดังขึ้นใกล้ๆ  แทมมี่ลุกขึ้นมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้  “ฉันอยากเป็นนักร้องที่สวยที่สุดบนเวที  อยากได้รางวัลนักร้องยอดนิยม  อยากมีเพลงขึ้นอันดับหนึ่งของชาร์ต  ทุกคนจะต้องรู้จักแล้วก็ร้องเพลงของฉันได้ ...ฉันแอบซ้อมร้องเพลงในห้องน้ำทุกวันเลยนะ”

            อาคิราห์น้ำตาไหลอาบแก้มพูดไม่ออก  ได้แต่พยักหน้ารับฟังความพูดของเพื่อนโอเมก้าที่เหลืออยู่ทั้งสองคน  พวกเขาร้องไห้ออกมา  โอบกอดกันและกันเอาไว้แน่น   ความหดหู่หมดหวังลอยวนและถูกแทนที่ด้วยกำลังใจอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน

            “เราต้องอยู่จนถึงวันนั้น  เราต้องเปลี่ยนมัน”  อาคิราห์พึมพำ  “เราต้องออกไปจากที่นี่”

            “เราจะออกไปยังไง”

            พอสงบสติอารมณ์ลงได้  พวกเขาก็มานั่งครุ่นคิดหาวิธีกันต่อ  แผนผ้าห่มคงช่วยอะไรไม่ได้มาก  ทางที่จะหนีรอดก็คือต้องยอมออกไปกับพวกนั้นก่อนแล้วค่อยหาทางหลบหนีอีกที

            “คิดว่าพวกมันพาไปไหน”

            “พาไปขายแน่นอน”  แทมมี่ตอบแบบไม่ต้องคิด  “ที่เกาะนี้ขึ้นชื่อเรื่องอย่างว่าอยู่แล้ว  เราต้องหาทางติดต่อสถานทูตอย่างที่อาคิราห์บอก  ยังไงตอนนี้ทุกคนก็ต้องตามหาเธอแน่ๆ”

            “คิดว่าพวกมันจะจำผมไม่ได้เชียวเหรอ”  อาคิราห์พูดช้าๆ  “ผมว่ามันน่าจะจำผมได้นะ  แต่ว่าที่ยังไม่ทำอะไรตอนนี้เพราะรออะไรสักอย่างอยู่”

            “ฉันเห็นด้วยกับคุณอาคิราห์”  นิลพูดขึ้นบ้าง  “ขนาดฉันไม่ค่อยได้ดูข่าวยังจำคุณได้เลย  แล้วสามีคุณเขาเป็นอย่างไรบ้าง  ...เขาทำร้ายคุณเหรอ”

            “เปล่า...เขาดีกับผมมาก”  อาคิราห์ตอบสั้นๆ  นึกถึงหน้าของพิษฌานขึ้นมาแวบหนึ่งแล้วก็ฝืนกดข่มอารมณ์ลงไปตามเดิม  “ผมหนีออกมาเอง”

            “มีคนมา”  แทมมี่กระซิบ  ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆเดินใกล้เข้ามาถึงหน้าประตูไม้จนกระทั่งหยุดนิ่ง  เสียงไขกุญแจเปิดประตูออกตามด้วยผู้ชายสองคนก้าวเข้ามา

            “สามคน  ออกมา”  พวกมันพูดสั้นๆเหมือนเดิม  อาคิราห์หันไปสบตาเพื่อนที่เหลือแล้วลุกขึ้นเดินตามหลังคนพวกนั้นออกมาข้างนอกอาคารที่มืดสลัว  แทมมี่กับนิลเดินประกบอยู่ข้างตัวเขาเงียบๆ  สอดส่ายสายตามองหาทางหนีทีไล่

            อาคิราห์คิดจนหัวแทบระเบิด  พวกเขาไม่มีอาวุธอะไรเลยขณะที่ผู้ชายสองคนนั้นน่าจะพกปืนอยู่ข้างเอว  เขาเรียนศิลปะการป้องกันตัวมาก็จริงแต่ว่าคงจะสู้ปืนไม่ได้แน่  อย่างมากก็แค่ทำให้เกิดช่วงชุลมุนแล้วหลบหนีเท่านั้น  ติดตรงที่เมืองนี้เขาไม่รู้หนทางเลย  มองไปทางไหนก็มีแต่ตรอกมืดๆแคบๆเต็มไปหมด

            พวกเขามาถึงด้านหลังอาคารแห่งหนึ่งที่ปิดประตูสนิท  ได้ยินเสียงหัวเราะพูดคุยดังออกมาจากอีกฟากของตึกแว่วๆ ราวกับเป็นคนละโลกกับข้างหลังตึกนี้  มีคนมาเปิดประตูออกแล้วเบี่ยงตัวหลบให้พวกเขาเข้าไปด้านใน

            มันเป็นห้องแคบๆทึมๆที่ประดับด้วยโคมไฟเป็นระยะ  อาคิราห์ถูกผลักให้ขึ้นไปบนบันไดเล็กๆชันๆ เขาจับราวบันไดเอาไว้แน่น  เดินตามแทมมี่ขึ้นไปจนถึงชั้นสาม

            “สองคนห้องนี้  หนึ่งคน..ห้องนี้” อาคิราห์อ้าปากจะค้านแต่ถูกผลักเข้าไปในห้องอีกห้องอย่างไม่ปรานีปราศรัย  ได้ยินเสียงแทมมี่กับนิลอุทานเช่นกันก่อนจะประตูจะปิด

            มันเป็นห้องอาบน้ำ  อาคิราห์กวาดตามองไปรอบๆอย่างตื่นกลัวแกมหวาดวิตก  อ่างอาบน้ำมีฟองฟอดเตรียมเอาไว้อยู่ก่อนแล้วราวกับรอให้คนลงไปขัดสีฉวีวรรณข้างใน  ชายหนุ่มเม้มปากมองหาทางหนีออกจากที่นี่

            “ลงไปอาบน้ำเสียก่อนเถอะ”  เสียงคุ้นหูดังขึ้น  อาคิราห์หันขวับไปมอง  เขาเจอมิรินยืนอยู่ข้างหลังพร้อมกับผ้าเช็ดตัวในมือ  “ล้างตัวเอากลิ่นคาวพวกนี้ออก”

            “ผมไม่..”

            “เชื่อฉัน...อย่าขัดขืนเลย”  เธอกระซิบแล้วก้าวเข้ามาประชิดตัวพร้อมกับลงมือถอดเสื้อผ้าของเขาออกอย่างชำนาญ  อาคิราห์ร้องลั่นถอยหลังไปหลายก้าว  “เธอคงไม่อยากเจ็บตัวหรอกนะ”

            “คุณจะทำอะไร พาผมมาที่นี่ทำไม”

            “มาส่งให้ ‘ท่าน’”  เธอตอบสั้นๆ

            “ท่านไหน”

            “ฉันก็ไม่รู้  ฉันรับคำสั่งมาแค่ทำความสะอาดตัวเธอแค่นั้น”  โอเมก้าที่อาคิราห์เคยลงความเห็นว่าหน้าตาน่ารักตอบกลับมา  “เธออย่าต่อต้านเลยนะ  ฉันไม่อยากทำร้ายเธอ”

            “คุณกำลังทำร้ายผมมิริน   แล้วเพื่อนผมอยู่ไหน  ห้องข้างๆหรอ”

            “สองคนนั้นไม่ได้ถูกเลือก  ก็ต้องไปตามนั้น”  เธอยักไหล่แล้วล้วงเข้าไปหยิบมีดพับขึ้นมากางออก  อาคิราห์ชะงัก  จ้องปลาบมีดคมวับเป็นมันปลาบไม่วางตา

            “คุณเองก็เป็นโอเมก้า  ทำไมถึงทำแบบนี้กับโอเมก้าเหมือนกันล่ะครับ”

            “โอเมก้ามีทางเลือกด้วยเหรอ”  มิรินตอบกลับมา ขยับมีดในมือ  “อย่าเสียเวลาเลยอินตรา  ลงไปในอ่างซะ”

            อาคิราห์ไม่มีทางเลือก  เขาจำต้องยอมลงไปแช่ตัวในอ่างอาบน้ำนั้น  กลิ่นคาวปลาเหม็นอับถูกแทนที่ด้วยกลิ่นสบู่หอมอ่อนๆเหมือนดอกไม้  ชายหนุ่มล้างตัวเสร็จแล้วก็รีบขึ้นมาจากอ่าง  มิรินให้เขาเช็ดตัวแล้วส่งชุดใหม่มาให้  มันเป็นชุดยาวๆเหมือนกี่เพ้าแต่ผ่าสูงสองข้างถึงโคนขาอ่อน

            “นี่มันชุดผู้หญิง”  อาคิราห์ท้วง

            “ท่านให้คุณใส่ชุดนี้”  อีกฝ่ายตอบกลับมา  ทำท่าจะหยิบมีดอีก  อาคิราห์เลยยอมรับมาสวมแต่โดยดี  มันหลวมเล็กน้อย

            “ไม่มีชั้นในเหรอ”

            “ไม่จำเป็น”

            มิรินพาเขาไปยังอีกห้องหนึ่งข้างๆกันนั้น  อาคิราห์รีบพูดรัวเร็ว

            “ผมขอเข้าห้องน้ำก่อน  ผมปวดท้อง....คุณก็รู้  ผมต้องเข้าห้องน้ำ”  ชายหนุ่มพูดย้ำ  อีกฝ่ายมีท่าทางอิดออดแต่ก็ยอมให้เขากลับไปเข้าห้องน้ำ  เธอเข้ามายืนเฝ้าเขาด้วยข้างๆราวกับไม่ยอมให้คลาดสายตา  “คุณไม่เหม็นเหรอ  ผมปวดหนักนะ”

            “รีบๆทำธุระให้เสร็จ  ใกล้จะถึงเวลาแล้ว”

            อาคิราห์เม้มปาก  เขาทำธุระเสร็จแล้วก็มายืนล้างมือที่อ่างล้างหน้าช้าๆจนอีกฝ่ายเริ่มหงุดหงิดจนเห็นได้ชัด  ชายหนุ่มคว้าเอาที่รองสบู่ทำด้วยแก้วขึ้นมาปาเฉียดหน้าของมิรินไป  เธอหันหลบตามสัญชาตญานจากนั้นเขาก็ใช้แจกันที่ประดับดอกไม้ข้างๆฟาดลงไปบนท้ายทอยของเธอเต็มแรง

            อีกฝ่ายทรุดลงไปกองกับพื้น  อาคิราห์ขยับตัวจะคว้ามีดพับทว่ามือของเธอก็เหนี่ยวข้อเท้าของเขาเอาไว้แล้วดึงจนหน้าคะมำ  ชายหนุ่มอุทานฟุบลงไปคว่ำกับพื้น

            “ฉันไม่อยากทำร้ายเธอนะ  ลุกขึ้นมาดีๆ”  เธอขู่ข้างหู  ดึงตัวอาคิราห์ลุกขึ้นมายืนโดยมีมีดพับจี้อยู่ที่หลัง  เขาเดินผ่านประตูเข้าไปอย่างจำใจ   ข้างในห้องนั้นเหมือนห้องพักที่โรงแรมหรูๆสักแห่ง  เตียงนอนขนาดใหญ่ตั้งเด่นอยู่บนแท่น  แสงจากโคมไฟหัวเตียงมืดสลัวได้บรรยากาศ  อาคิราห์ได้กลิ่นควันหอมๆมาจากเทียนที่วางประดับอยู่  เขามองหาสิ่งที่พอจะมาใช้แทนอาวุธป้องกันตัวได้

            ผู้ชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้เขาอยู่กลางห้อง

            .....................................................................................

           

 

            มาอัพต่อแล้วจร้า

            กำลังมันส์55555

            เจอกันตอนหน้านะคะ  จะรีบมาต่อเร็วๆนี้

            #ขอรักแค่คุณ


ออฟไลน์ fdcjsy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กำลังสนุกเลยย ยย  อยากอ่านต่อแล้ว555

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ท่านที่ว่าเนี่ยท่านไหนว่ะ โอ๊ยแล้วนิลกับแทมมี่ตะเป็นอะไรหรือเปล่าขอให้ปลอดภัยด้วยนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :เฮ้อ: รันทดมากกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ค้างงงงเลย :z3:
 :katai1:
 :call: :pig4:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
ทำตัวเองแท้ๆ

ออฟไลน์ wikawee

  • มีชีวิตอยู่เพื่อทำฝันให้เป็นจริง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-7
ทำตัวเองทั้งนั้น

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ขอให้ปลอดภัยนะคะ

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
 :hao7: :hao7:
ไรท์รีบมาาา..
 :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ออกมาเจอโลกครั้งนี้อัยย์ได้รู้แล้วว่า ตัวเองถูกดูแลดีขนาดไหน แล้วถ้ารอดปลอดภัยกลับไปคงทำให้อัยย์มีเป้าหมายชีวิตมากขึ้นแน่ๆ

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1586
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
จะทำ อะไรก็ทำกันไป

แต่อย่าให้หลานฉันแท้งหลุดออกมา

ถ้าเป็นเช่นนั้นฉันจะไม่ให้อภัยอัยย์เลย

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
……

อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้อาคิราห์มาสนใจการเมือง ที่จะปรับเปลี่ยนเพื่อโอเมก้า

แล้วทางฝ่ายพ่อถ้ารู้เรื่องนี้จะร่วมมือกับพิษฌานมาช่วยไหมนะ

………


 :katai4:  :katai5:   :katai4: :katai5:  :katai4:  :katai5:   :katai4:  :katai5: :katai4: :katai5:



……

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เนี่ยเห็นไหมมันเลวร้ายกว่าที่คิดมากเลย ตาพิษจะมาช่วยหนูทันไหมเนี่ย

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
นายพิษจะมาช่วยทันไหม เครียดเลย

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ถ้าหนูอัยย์รอดไปได้อย่างปลอดภัย ควรจะสมัครลงเลือกตั้งนะ ความคิดดี

ออฟไลน์ sweetie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ทำตัวเองทั้งนั้น  :katai2-1:

ออฟไลน์ ตุยชิคชิค

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลยที่ไม่อยากให้จบแฮปปี้ แบดเอนด์น้องก็ไม่ติดนะคะ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
โอ๊ยยย บีบหัวใจมากค่ะ อัยย์รู้ตัวเมื่อสายไปแล้วนะ
หวังว่าท่านที่ว่า จะเป็นมิตรมากกว่าศัตรู กลัวใจเหลือเกิน

สงสารฌาณขึ้นมาเลยค่ะ ออกตามหาให้วุ่น
ใจคอยแต่ห่วงใย และพะวักพะวง


ออฟไลน์ ตุยชิคชิค

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
เราก็ไม่อยากให้น้องท้องนะเพราะตอนจบของเราคือน้องได้หลุดพ้นจากทุกคนแล้วได้เดินทางรอบโลกตามที่ฝัน ตอนนี้ภาวนาให้แบดเอนด์ ไม่รู้สิเรารู้สึกพระเอกไม่รักใครจริงเห็นแต่ผลประโยชน์ ยิ่งอ่านยิ่งไม่ชอบพระเอกไปใหญ่อุแงงงง

ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
 :m5: :m5:
ขอล่ะ เลิกซ้ำเติมน้องอัยย์ที
สู้ๆนะอัยย์ ให้อันนี้เป็นบทเรียนนะ

ออฟไลน์ Paparazzi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1050
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-11
ตัดจบโหดร้ายมากกกกกกก รอๆๆๆๆๆๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด