[ 22 ]
“สายข่าวเรารายงานว่าวันนี้จะมีการขนไม้พะยูงล็อตใหญ่ในป่าลึกครับ”
พลมุ่นหัวคิ้วทำหน้าเครียดขณะที่พูด
“แต่ปกติพวกมันไม่เคยขนล็อตใหญ่กันที่นั่น”
เกิ้งวิเคราะห์
“ถ้าจ้างลูกหอบขนไปซ่อนแถวชายป่าสักด้าน ก่อนจะเคลื่อนย้ายไปทีละน้อยเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตมันน่าจะเข้าเค้ามากกว่า”
พรานธีปอลูบคาง
“จังหวัดใกล้เคียงของเรามีช่องทางธรรมชาติที่ติดกับชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน”
“แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าขนผ่านอำเภอเราไปจังหวัดนั้น ยังไงก็ไม่พ้นสายตรวจหรอก ยกเว้นแต่ว่า”
เปลวทำหน้าครุ่นคิด
“พวกมันมีเส้นสายและยัดใต้โต๊ะ”
เพลิงพูดเสียงเรียบ ใบหน้าคมคายเคร่งขรึมขึ้นมา เขากวาดสายตามองเจ้าหน้าที่แต่ละคนซึ่งอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมสำหรับการลาดตระเวน
“ระวังตัวกันด้วยนะทุกคน”
เขาพยักพเยิดไปยังอาวุธปืนซึ่งเบิกใช้ในราชการ โดยอาวุธเหล่านี้จะสามารถเบิกใช้ในกรณีต้องออกลาดตระเวน เห็นสภาพของอาวุธสำหรับเจ้าหน้าที่แล้วก็นึกท้อใจ เพราะอายุการใช้งานของมันไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีทำให้มีสภาพที่ค่อนข้างเก่ามาก ดังนั้นจึงมีเจ้าหน้าที่บางคนประดิษฐ์อาวุธสำหรับป้องกันตัวอย่างง่ายๆ แต่ค่อนข้างใช้ได้ผลในกรณีฉุกเฉิน
“ก่อนหน้าที่จะได้ข่าวจากสายข่าว มีคนมาเตือนผม”
“ใครเหรอครับ”
เต็งถามขึ้นระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังเช็คสัมภาระและอาวุธกันอยู่
“ผู้หวังดี”
“เขาเตือนว่าอะไรเหรอครับพี่เพลิง”
“อย่าเชื่อข่าวลวง”
ทุกคนทำหน้าฉงน
“ข่าวลวงอะไรกัน”
“หรือจะเป็นข่าวจากสายข่าวของเรา”
เพลิงส่ายหัวไปมา
“ผมเองก็ไม่รู้ แต่อย่าประมาทเป็นดีที่สุด” น้ำเสียงของเพลิงดุดันขึ้นมา “ฉะนั้นผมถึงอยากให้ทุกคนระวังตัวกันมากๆ”
“ครับผู้ช่วย”
“อีกอย่างสายข่าวบอกแค่ว่าวันนี้จะมีขนไม้ล็อตใหญ่ในป่า แต่ผมสังหรณ์ใจว่าอาจมีการเบี่ยงเบนให้เราสนใจไปลาดตระเวนในป่าลึก แทนที่ชายป่าฝั่งที่ติดกับอำเภอใกล้ชายแดน”
เพลิงพูดขึ้น
“ผู้ช่วยกำลังสงสัยใช่มั้ยครับว่า อาจมีการลักลอบขนไม้ที่ชายป่ามากกว่า”
เพลิงพยักหน้าหงึกหงัก
“งั้นสายข่าวเราทำงานพลาดเหรอครับ”
“คงไม่หรอก”
เพลิงทำหน้าครุ่นคิด
“บางทีพวกเขาอาจโดนข่าวลวงมาอีกที”
“แล้วอย่างนี้จะทำยังไงดีครับ”
“เราคงต้องไปลาดตระเวนแถวชายป่ากันก่อน แล้วผมอาจจะต้องแบ่งกำลังเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังที่นั่นไว้ก่อน ส่วนที่เหลือให้เข้าไปลาดตระเวนในป่าลึกกับผม”
“ครับ”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
“สถานการณ์มันค่อนข้างเสี่ยง”
เพลิงทำหน้ายุ่ง
“ผมกลัวจะมีการประทะ หากรู้สึกไม่ชอบมากลหรือมีอะไรแปลกๆ ให้ถอนกำลังทันที” เพลิงสบตาเจ้าหน้าที่แต่ละคน
“ห้ามใครทำอะไรนอกเหนือคำสั่งของผมเด็ดขาด”
“ครับ”
“พวกคุณรู้ใช่มั้ยว่าชีวิตของพวกคุณมีความสำคัญมากๆ”
“...”
“ไม่ใช่แค่กับผม แต่รวมถึงครอบครัวของแต่ละคนด้วย”
“...”
“เราทีมเดียว ถ้าไปด้วยกัน เราต้องกลับออกมาพร้อมๆ กัน”
“แน่นอนครับ”
พลยิ้มเผล่ส่งผลให้บรรยากาศฮึกเหิมเมื่อสักครู่ผ่อนคลายลง หลังจากนั้นเพลิงและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ก็พากันเดินไปขึ้นท้ายกระบะรถของอุทยานที่จอดรถอยู่ สายลมที่ปัดผ่านลำตัวเขาพัดเอาอากาศเย็นสบายยามเช้าลอดผ่านตัวเขาไป
หมอกจางๆ คล้ายควันที่เคลื่อนผ่านมาทำให้เขามองไม่เห็นถนนสองข้างทางคล้ายกับว่าพวกเขากำลังเดินทางสู่เมืองลับแลที่มองไม่เห็นอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นทางออกหรือทางเข้า เหมือนการผจญภัยในป่าที่ก้าวสู่เส้นทางอันตรายยากเกินที่จะคาดการณ์เหตุการณ์ใดๆ ได้
เพลิงถอนหายใจแรงๆ แวบหนึ่งเขาอดที่จะนึกถึงใบหน้าใครคนหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในมโนความคิดไม่ได้ ป่านนี้คนที่นึกถึงจะทำอะไรอยู่กันหนอ จะคิดถึงกันบ้างมั้ย เพลิงส่ายหัวให้กับความคิดของตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะมีอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้
ความรู้สึกหนักแน่นและอ่อนหวาน
ความรู้สึกแท้จริงที่อบอวลอยู่ในหัวใจของเขา
เพลิงยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงรเณศ.
.
“มีรอยเท้าคนเต็มไปหมดเลยครับ”
ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นตอนที่พวกเขากำลังเดินสำรวจชายป่ากันอย่างขะมักเขม้น เพลิงมุ่นหัวคิ้วก่อนจะเดินไปยังจุดเกิดเหตุ ชายหนุ่มนั่งยองๆ และกวาดสายตามองรอยเท้าน้อยใหญ่ที่บุ๋มรอยลึกลงไปกับพื้นดิน เมื่อพิจารณาใกล้ๆ ทำให้รู้ว่าเป็นรอยเท้าขนาดต่างๆ คาดการณ์ว่าไม่ใช่คนๆ เดียว อาจจะเป็นกลุ่มคนซึ่งสันนิษฐานได้ว่าต้องเป็นคนกลุ่มใหญ่
“ตรงนี้มีซากปลากระป๋องครับ”
“ร่องรอยยังใหม่ๆ อยู่เลย ไม่น่าเกินสองวัน”
เกิ้งใช้ไม้เขี่ยกองดินไปมาจึงเห็นว่านอกจากอาหารกระป๋องแล้วยังมีขวดน้ำดื่มพลาสติกและภาชนะโฟมใส่อาหาร
“พวกมันน่าจะตั้งแคมป์กันแถวนี้”
เพลิงยืนพิจารณา
“ตรงนั้นมีกองไฟครับ”
ทุกคนพากันเดินไปดู
“ใช้เศษใบไม้กลบฝังไว้ พวกมันลบร่องรอยได้ดีทีเดียว แทบจะมองไม่เห็นเลย ถ้าไม่สังเกต”
เพลิงพยักหน้าหงึกหงัก
“เชี่ยวชาญขนาดนั้นน่าจะเป็นคนพื้นที่หรือไม่ก็พรานป่า”
พรานธีปอลูบคางตัวเองทำท่าครุ่นคิด ตอนที่แกเหลือบเห็นสัญญาณลักษณ์บางอย่างที่ทิ้งรอยไว้ยังต้นไม้ก็นึกฉงนไม่น้อย เพราะมันคือ
‘สัญญาณขอความช่วยเหลือ’ ของคนจากหมู่บ้านท้ายเขาที่น้อยคนนึกจะรู้ เพราะหากไม่สังเกตดีๆ มันก็คล้ายรอยแตกของเปลือกไม้ดีๆ นี่แหละ
“ไอ้เต็งเอ็งมาดูอันนี้ช่วยข้าทีซิ”
พรานวัยเก๋ากวักมือเรียกหลานชาย
“อะไรเหรอลุง”
แกบุ้ยปากไปยังรอยดังกล่าว
“นั่นมัน..” เด็กหนุ่มทำตาโต
“แกว่าใช่มั้ย”
“ใช่ครับ ใช่แน่นอน”
“มีอะไรกันเหรอครับ”
เพลิงถามขึ้นตอนที่ขยับมาใกล้สองลุงหลาน
“สัญญาณขอความช่วยเหลือน่ะผู้ช่วย”
คนตัวโตมุ่นหัวคิ้วทันที
“มีแต่คนจากหมู่บ้านท้ายเขาเท่านั้นที่จะรู้จัก แต่ผมไม่เข้าใจว่าใครมันอุตริมาเขียนมันไว้ที่ต้นไม้นี่”
สัญญาณขอความช่วยเหลืออย่างนั้นเหรอ?
เพลิงนิ่วหน้าเมื่อนึกถึงสิ่งที่ซาให้เขามาในคืนนั้น อะไรสักอย่างคล้ายนกหวีดซึ่งฝ่ายนั้นบอกให้ใช้เวลาจวนตัว
“มีใครกำลังจะบอกใบ้อะไรเราหรือเปล่า”
เกิ้งทักขึ้น
“นั่นสิ”
“ข้าก็คิดเหมือนพวกเอ็ง ลองดูสิต้นไม้ทุกต้นในบริเวณนี้มีร่องรอยขีดเขียนเหมือนกัน แสดงว่าคนเขียนกำลังจะบอกอะไรเราสักอย่าง”
“ขอความช่วยเหลืองั้นเหรอ”
พลลูบครางอย่างใช้ความคิด
“มีสองอย่าง”
พรานธีปอพูดขึ้น
“ถ้าคนเขียนไม่ขอความช่วยเหลือเอง มันก็กำลังบอกว่าพื้นที่ตรงนี้มีอะไรสักอย่างที่กำลังรอความช่วยเหลือ”
“หรือว่า”
เพลิงโพล่งขึ้น
“ชายป่าแถบนี้คือพิกัดส่งไม้พะยูง”
“ใช่แน่ๆ”
เจ้าหน้าที่คนอื่นพยักหน้าเห็นด้วย
“แต่ว่า...” เปลวทำหน้ามุ่ย “ถ้าที่นี่คือพิกัดขนไม้เถื่อน แล้วข่าวจากสายข่าวของเราล่ะครับ”
“อาจจะเป็นข่าวลวง”
“เปรี้ยง!”
ขณะที่ทุกคนกำลังจดจ่อกับสิ่งที่วิเคราะห์กันอยู่ เสียงปืนนัดหนึ่งก็ดังขึ้นมา
“เสียงไม่ไกลจากตรงนี้เลย”
“ทุกคนระวังตัวด้วย”
เพลิงบอกก่อนจะกระชับอาวุธเอาไว้ในมือ ระหว่างนั้นมีเสียงปืนดังขึ้นติดๆ กันอีกสองนัดและเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ป่า
“ระยำเอ๊ย”
คนตัวโตกระซิบเสียงเครียดพอจะรู้อะไรได้ลางๆ แล้ว
“ผมจะไปดู ส่วนคนที่อยู่ที่นี่ใช้ว.แจ้งไปยังหน่วยขอความช่วยเหลือ และขอกำลังเสริมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเร็ว”
เพลิงขยับตัวอย่างว่องไว
“พวกผมไปด้วย”
เพลิงถอนหายใจเหลือบตามองเจ้าหน้าที่แต่ละคนก่อนจะอนุญาตให้ส่วนหนึ่งตามเขามา อีกส่วนนั้นให้เฝ้าสังเกตการณ์และรอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่บริเวณนี้ ชายหนุ่มเดินเร็วๆ แทบจะวิ่งไปตามเสียงกระสุนแหวกอากาศขึ้นมาก่อนหน้านั้น ยิ่งเข้าไปใกล้ยังจุดเกิดเหตุหัวใจเขายิ่งสั่นไหว
“พวกเหี้ยเอ๊ย”
พลสบถออกมาเมื่อเห็นรอยเลือดกองใหญ่ตรงพื้นหญ้า ซ้ำรอยร่องแถวนั้นยังบ่งบอกว่าผู้โชคร้ายที่ถูกทำร้ายจนล้มลง มันคงกระเสือกกระสนหนีตายเอาชีวิตรอดไปในป่าลึก
“รอยเท้าเป็นกีบแบบนี้น่าจะเป็นหมูป่า”
เกิ้งก้มดูร่องรอยนั้นแล้วพยักหน้าเห็นด้วย
“มีขนของมันร่วงติดกับใบหญ้า ท่าทางตัวน่าจะใหญ่พอสมควร”
“ไอ้พวกเวรตะไล”
เปลวโกรธจนเขี้ยวฟันอย่างมีอารมณ์
“มีปลอกกระสุนตกอยู่ตรงนี้ครับ”
เพลิงขยับไปดูเห็นคราบเขม่าทิ้งรอยอยู่ใกล้ๆ กัน ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ดวงตาดุดันเครียดขมึงขึ้นมาทันที แวบหนึ่งเขานึกชิงชังรังเกียจผู้ล่าใจบาปที่ตัดสินชีวิตคนอื่นเพียงเพราะแค่อยากล่า มนุษย์ไม่มีสิทธ์ตัดสินว่ามันสมควรตาย
สัตว์ป่าเองก็รักชีวิตไม่น้อยไปกว่าคนเรา เพราะมันอาจจะเป็นแค่แม่หมูที่ออกมาหาอาหารให้กับลูกๆ หรือบางทีมันอาจจะแค่ใช้ชีวิตของมันแบบนี้ในทุกๆ วันจนกระทั่งเจอสัตว์ประเสริฐที่เรียกตัวเองว่า “มนุษย์” ทำร้ายทารุณมันอย่างเลือดเย็น
สัตว์ดุร้ายที่ร้ายที่สุดก็ยังไม่เท่าสัตว์ร้ายในร่างกายคน สัตว์ร้ายที่ดูแล้วคล้ายๆ มนุษย์ แต่มีจิตใจมืดดำยิ่งกว่าเถ้าถ่าน
น่าเวทนา
เพลิงเจ็บแน่นไปทั้งหัวใจที่เห็นรอยเลือดนั้นหายลับไปในป่าลึก
“สาธุ”
เปลวยกมือท้วมหัว
“ขออย่าให้มันเป็นอะไรเลย”
เพลิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะนิ่งเงียบลงเมื่อรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง ชายหนุ่มรีบทรุดตัวลงเอาหูแนบพื้นแล้วทำหน้าเครียด
“มีกลุ่มคนกำลังจะเดินมาทางนี้”
ทุกคนกระชับอาวุธในมือ
“หาที่ซ่อนตัวก่อน”
เสียงฝีเท้าจำนวนไม่น้อยที่เหยียบลงบนใบไม้แห้งดังขึ้นเรื่อยๆ บ่งบอกว่ามีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ เพลิงลอบสบตากับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ก่อนจะส่งสัญญาณเพื่อบอกให้ทุกคนนิ่งเงียบ กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดสีดำทะมึนโพกศีรษะปิดบังใบหน้าเห็นแต่ลูกตา พวกมันมีอาวุธครบมือคาดการณ์จากสายตาพวกมันมีกำลังมากกว่าพวกเขาพอสมควร
เพลิงทำหน้าเครียดตอนที่จ้องพวกมันจากกอไม้ไผ่
ตอนนี้พวกเรากำลังเสี่ยง และเป็นความเสี่ยงที่เขาไม่อยากจะเผชิญหน้า สำหรับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ซึ่งมีอาวุธเพียงแค่ปืนลูกซองอายุการใช้งานกว่ายี่สิบปีกับฝ่ายตรงข้ามที่มีอาวุธครบมือแบบนี้ ชีวิตของเจ้าหน้าที่ทุกคนมีความสำคัญมากกว่าสิ่งใด และมันเป็นความรับผิดชอบของเพลิงทั้งหมด เขาจึงไม่พร้อมที่จะเอาใครเข้าไปเสี่ยง
พวกมันพูดคุยกันเสียงแผ่วก่อนจะสอดส่ายสายตาไปทั่วแล้วเตรียมผละออกไป
“แกร๊บ”
เสียงเจ้าหน้าที่สักคนเหยียบใบไม้แห้งจนเกิดเสียง จังหวะนั้นพวกมันหันปืนยิงเข้าใส่กอไผ่หนามที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ เสียงกระสุนระรัวในระยะประชิดนั้นทำให้เพลิงกระชับปืนยิงสวนฝ่ายตรงข้าม และหลังจากนั้นก็เป็นการฉากยิงปะทะกันอย่างจริงจัง
“ระวัง”
เพลิงตะโกนบอกลูกน้อง ขณะเดียวกันเขาได้ยินเสียงสบถของฝ่ายตรงข้ามคาดว่ากระสุนจากปลายกระบอกปืนของเพลิงคงโดนใครสักคน พวกมันยิ่งระดมยิ่งด้วยความเกรี้ยวกราด
“แม่งเอ้ย”
พลสบถขึ้นตอนที่กำลังวิ่งหลบห่ากระสุน
“จับตายเจ้าหน้าที่ทุกคน”
เสียงดุดันจากฝ่ายตรงข้ามแต่เสียงนั้นคุ้นหูจนเต็งมุ่นหัวคิ้ว
“เสียงนั่น...”
“ทำไมวะ”
เปลววิ่งหลบกระสุนไปถามไป
“ฉิบหายเอ๊ย”
ยังไม่ทันที่เต็งจะได้ตอบ เกิ้งก็คำรามเสียงดังเพราะกระสุนจากฝ่ายนั้นเฉียดหน้าเขาไปนิดเดียว
“ถอนกำลัง”
เพลิงตะโกนก่อนจะดันเปลวให้ออกวิ่งโดนที่เขาระวังหลัง
“โอ๊ย”
เพลิงร้องขึ้นตอนที่กระสุนเฉี่ยวหัวไหล่ด้านหนึ่งจนได้เลือด
“พี่เพลิง”
“หนีไป”
เพลิงโบกมือไล่
“รีบไป” ชายหนุ่มหันหลังไปมองกลุ่มชายฉกรรจ์ที่วิ่งตามมาติด “รีบไปเร็ว”
แต่ถึงเพลิงจะบอกอย่างนั้นเจ้าหน้าที่ทุกคนกลับวิ่งกลับมาเพื่อป้องกันเพลิงซึ่งขยับตัวอย่างเชื่องช้าเพราะกำลังเสียเลือด
“ผมบอกให้พวกคุณไป”
“พวกผมไม่ไป”
เพลิงเหลือบตามองสถานการณ์ที่จวนตัว เขาจึงคว้าสิ่งที่ซาให้ไว้ขึ้นมาเป่าเสียงลากยาวสองครั้งก่อนจะออกวิ่ง แต่สุดท้ายกลุ่มคนร้ายก็วิ่งตามทัน พวกมันล้อมพวกเขาเอาไว้ก่อนที่ไอ้ตัวหัวหน้าซึ่งโดนยิงที่แขนซ้ายจะเดินลากขามาหยุดยืนประจันหน้ากับเพลิง
“ตายยากตายเย็นจังนะผู้ช่วย”
น้ำเสียงคุ้นหูนั่นพาให้ชายหนุ่มคิ้วกระตุก เขาคุ้นเคยมาก โดยเฉพาะแววตาเจ้าเล่ห์คู่นั้น
“พ่อเฒ่า”
ชื่อนั้นทำให้เต็งเพ่งพิจารณาไอ้ตัวหัวหน้าก่อนจะเบิกตาโพรง
“เป็นพ่อเฒ่าจริงๆ ด้วย”
ฝ่ายนั้นปลดผ้าที่คลุมหัวออกเผยให้เห็นใบหน้าของชายชราผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวบ้านท้ายเขา ดวงตาเจ้าเล่ห์หรี่ลงก่อนจะเหยียดยิ้มท่าทางดูชั่วร้ายราวกับไม่ใช่ชายชราที่หมู่บ้านนั่นเลย
“เก่งจริงนะ”
“คงไม่เท่าพ่อเฒ่ามั้งครับ” เพลิงยิ้มเครียด “ทั้งลอบยิงพวกผมที่หมู่บ้าน ทั้งขนไม้พะยูง ทำถึงขนาดนี้ ผมไม่คิดเลยว่าพ่อเฒ่าจะเปิดเผยตัวง่ายๆ เลย”
“ฉลาด”
มันแสยะยิ้ม
“แต่เสียดาย”
“...”
“ต้องตายก่อนวัยอันควร”
มันจ่อกระบอกปืนที่หน้าผากเพลิงแล้วปลดเซฟตี้
..เปรี้ยง!..
กระสุนปริศนาดังแหวกอากาศเข้ามาดึงความสนใจทุกคน กลุ่มชายฉกรรจ์อีกกลุ่มจำนวนสี่ห้าคนกำลังยิงใส่กลุ่มของพ่อเฒ่าเพื่อเปิดทางให้เพลิงและเจ้าหน้าที่เอาตัวรอดได้ เพราะกำลังคนที่มากกว่าทำให้กลุ่มของพ่อเฒ่าคล้ายจะเสียท่า
“ผู้ช่วยวิ่งเร็ว”
เพลิงไม่มีเวลาคิดอะไร นอกจากหันไปตะโกนบอกลูกน้อง ขณะที่เขาวิ่งตามไปติดๆ เพื่อระวังหลังให้ทุกคน
“พี่เพลิงระวัง”
..เปรี้ยง!..
☘☘☘☘
“เฮือก!”
รเณศสะดุ้งตื่นกลางดึก ชายหนุ่มลูบไปตามใบหน้าเพราะเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามไรผมก่อนจะยกมือปาดออก สายลมอ่อนๆ ที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้รู้สึกว่าวันนี้อากาศหนาวเย็นกว่าทุกวัน คนเมืองคว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดูจึงรู้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงจะเช้าแล้ว ระหว่างนั้นเสียงเด็กน้อยตัวกลมที่รเณศเอามานอนด้วยก็ดังขึ้นในความเงียบ
แก้มใสร้องไห้จ้าอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอารเณศทำอะไรไม่ถูกต้องช้อนตัวเด็กน้อยขึ้นมาแนบอกแล้วผุดลุกขึ้นขยับกายไหวโยก มือข้างหนึ่งลูบแผ่นหลังน้อยๆ ขณะที่ริมฝีปากส่งเสียงเห่กล่อมหนูน้อยให้สงบลง หยาดน้ำตาเงาวับที่เอ่อรอบดวงตาซึ่งปิดสนิทชวนสงสารไม่น้อย
“หลับซะนะคนดี”
“ฮึก”
“ชูว์ แก้มใสเงียบนะลูกนะ”
มือน้อยๆ กำคอเสื้อของรเณศแน่น แต่จนแล้วจนรอดเด็กน้อยก็ยังไม่เงียบเสียง จนกระทั่งป้าสมัยเดินมาเคาะประตูเรียก
“คุณเนตรคะคุณเนตร เจ้าแก้มเป็นอะไรคะ”
รเณศเดินไปเปิดประตูรับผู้สูงวัยที่ถามเสียงร้อนใจ
“ไม่รู้สิครับ ร้องไม่หยุดเลย”
“เกิดอะไรขึ้นเจ้าเนตร”
ป้าอนงค์เดินตรงดิ่งข้ามธรณีประตูห้องเข้ามาถามอีกคน
“แก้มใสร้องไม่หยุดเลยครับ ท้องอืดรึเปล่าลูกหือ”
รเณศทำหน้ากังวล
“จับเจ้าแก้มลงนอนกับเตียงดีๆ แล้วสำรวจดูสิว่าตามร่างกายมีรอยอะไรหรือเปล่า ตัวอะไรกัดเจ้าแก้มหรือเปล่าลูก”
“แกไม่ยอมปล่อยครับ”
ผู้สูงวัยทั้งสองส่ายหัวไปมา ก่อนจะยิ้มขำแก้มใสกอดคนเมืองจนแน่น ตอนที่ชายหนุ่มจับเด็กน้อยนอนกับเตียงเพื่อสำรวจร่างกาย เด็กน้อยร้องไห้เสียงดังจนเขาต้องจับอุ้มพาเดินอยู่แบบนั้นตลอดทั้งคืน จนเช้านั่นแหละเด็กน้อยถึงหลับไปเพราะร้องไห้จนเพลีย
.
.
สายๆ วันนั้นรเณศจึงตัดสินใจพาหนูน้อยไปหาหมอ แต่ตรวจจนละเอียดแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร หมอเลยให้ยาและวิตามินถุงใหญ่กลับมาบ้าน ตอนที่เดินพ้นหัวบันไดบ้านมานั่นแหละ ป้าอนงค์ก็วิ่งหน้าตื่นมาแต่ไกล
“นะ เนตร เจ้าเนตร”
ป้าแกละล้ำละลักเสียงสั่น
“เกิดอะไรขึ้นครับป้านองค์”
“เมื่อกี้ป้าไปตลาดมา”
“ทำไมครับ”
“มีคนบอกว่าเมื่อคืนเจ้าหน้าที่ป่าไม้ปะทะกับคนร้าย”
รเณศใจหายวาบ รู้สึกตัวเลยว่าตัวเองมือไม้สั่นจนกลัวว่าเด็กน้อยจะหลุดจากฝ่ามือเขา
“ป้าครับ..”
คนเมืองรู้สึกว่าลำคอตัวเองแห้งผาก ในอกหวิวไหวสั่นระรัว เนื้อตัวเย็นเฉียบคล้ายกับว่าโลหิตที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกายคือน้ำเย็นจัด
“เขาว่าเจ้าหน้าที่เสียชีวิตหนึ่งคน และบาดเจ็บอีกหลายคน”
รเณศเข่าอ่อนแทบทรุด เขากอดแก้มใสแน่นจนเด็กน้อยส่งเสียงประท้วง เภสัชกรหนุ่มรู้สึกจุกในอกเหมือนใครมาปิดกลั้นลมหายใจ คล้ายกับจะหายใจไม่ออก คล้ายกับร่างกายชาวาบขยับเคลื่อนไหวไม่ได้
น่ากลัวเหลือเกิน
ความรู้สึกแห่งการสูญเสีย...ฟังแล้วหนาวจับใจ☘☘☘☘
ไหน! ใครบอกว่าเรื่องนี้ฟิลกู๊ด (วิ่งหลบเท้าคนอ่านไม่ทันเลย แหะๆๆ)
บอกตรงๆ ว่าฉากนี้เขียนเองก็จุกในอกเองเหมือนกัน ฮือ เรามันซาดิสม์และใจร้ายค่ะ
หวีดในทวิตติดแท็ค #ป่าห่มรัก ให้ด้วยนะคะ
(ใครอินจะทวิตด่าเราได้นะ แต่อย่าด่าแรง เพราะเราไม่สู้คน แงงง)