(Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 38 30/6/2019 P.4 END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (Yaoi) Love at first bite #คู่กินคู่กัด ตอนที่ 38 30/6/2019 P.4 END  (อ่าน 20588 ครั้ง)

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
แง สงสารน้องสา

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
23

สน xสา

“คุณพ่อ!”  สนธยานั้นลุกขึ้นยืนในทันทีที่ผู้เป็นบิดากลับเข้ามาในบ้าน เขาถูกสั่งห้ามไม่ให้เสนอหน้าไปที่นั่นเด็ดขาด คงเพราะเหตุการณ์ก่อนนี้ที่ทำให้ทางธัมรงรัชต์กับเพย์ตันวุ่นวาย


“แม่ของแกเขาไปอยู่ที่ไหนเสียล่ะ”  ใบหน้าของวรวุฒิดูอ่อนล้า เขาร้องหาภรรยาผู้เป็นคู่คิด ทั้งนี้เขาอยากเลี่ยงที่จะพูดคุยกับลูกชาย เพราะความมุทะลุที่ยากจะควบคุมนั้นทำให้ไม่มั่นใจว่าตอนนี้สนธยากลับมาอยู่ในการควบคุมได้หรือไม่


“คุณวุฒิ สาเป็นอย่างไรบ้าง”  โดยไม่ต้องให้หา แพรวรรณที่รอมาเนิ่นนานก็เดินเข้ามาหากัน และคำถามแรกที่ออกจากปากก็คือเรื่องของคนที่วันนี้เราให้ไปเจอ


“ลูกค่อนข้างเครียด แต่ตอนนี้ดูสบายใจขึ้น”


“ว่าแต่สาท้องจริงๆเหรอ”  แพรวรรณไม่ค่อยอยากจะเชื่อ เราอาจจะเคยสัญญากับทางเพย์ตันว่ารอบนี้จะส่งโอเมก้าให้แต่ก็เลี่ยงให้เห็นมาตลอด เลยไม่คิดว่าที่จับตัวไปแล้วข่มเหงคนของทางนี้เลยจะจริง มันดูแปลกแต่ถ้าเป็นเรื่องจริงก็น่าห่วงสารินไม่น้อย


“ใช่…”


“แพรจะไปคุยกับเพย์ตันเอง!”


“แพรไม่ต้อง”  แต่วรวุฒิห้ามไว้  “สารินห้ามไม่ให้พวกเราไปยุ่ง”


“สา…”


“ตอนนี้ชีวิตของสาและลูกสำคัญ ถ้าเราไปยุ่งกับเพย์ตันตอนนี้ อาจจะไม่เป็นผลดีกับสารินที่อยู่ที่นั่นนัก”


“แล้วเราจะดูแลลูกได้ยังไง ตอนนี้เขาอยู่ที่นั่น”


“เราไปหาได้ ตอนนี้เรากลายเป็นพวกเดียวกับทางนั้นไปแล้ว”  ไม่อยากจะเชื่อ “เขาบีบเราให้เป็นพวกเดียวกับเขาด้วยสารินจริงๆ”  สถานะของเพย์ตันไม่ได้มั่นคงเหมือนสมัยก่อนที่ผูกขาดอำนาจ ทางธัมรงค์รัชต์เองก็ตั้งใจว่าจะไม่ส่งสารินถึงมือทางนั้นแล้ว


การรับเลี้ยงสารินเป็นเหมือนหลักประกันที่ทำให้รู้สึกมั่นคงทางอำนาจ แต่ก็ยอมรับว่าที่เลี้ยงดูเขาดีแบบนั้น ก็เพื่อชดเชยความรู้สึกผิดที่มีต่อวารินผู้ให้กำเนิดสนธยาด้วย และเมื่อเราเอาใจใส่เขาถึงเพียงนั้น มันจึงไม่ยากเลยที่วันหนึ่งเขาจะกลายมาเป็นคนสำคัญที่ทำให้เราไม่อาจจะทำใจเสียไปได้


เราเลี่ยงพูดคุยเรื่องการส่งตัวสารินเพราะหวั่นเกรงถึงความต้องการของคนอื่นในครอบครัว โดยไม่รู้เลยจนกระทั่งได้มาพูดคุยกันจริงจังเมื่อไม่นานมานี้ พวกเราไม่มีใครอยากทรงสาไป แต่ถ้ามันมีความจำเป็น เราอาจจะต้องกลับคำพูดเหล่านั้น ทว่าเมื่อวันหนึ่งที่ทุกอย่างจบสิ้น ธัมรงค์รัชต์ย่อมขอให้สารินกลับมาอยู่กับเราอีกครั้งเป็นแน่


แม้ไม่รู้ว่าใจของสารินจะคิดเห็นอย่างไรกับการกลับมาอยู่กับคนที่ทำกับตนอย่างนั้นลงไป


การที่เรื่องมันยืดเยื้อถึงเพียงนั้น ก็เป็นเพราะว่าเพย์ตันบีบให้ประกาศตัวว่าอยู่ฝ่ายใคร และความชัดเจนนี้อาจจะไม่เป็นผลดีกับธัมรงค์รัชต์เลย ส่วนอีกเหตุผลที่ไม่ส่งไปก็เพราะสารินเองก็เป็นคนสำคัญ เราจึงพยายามที่จะกันเขาออกจากเรื่องนี้ และพยายามอย่างมากที่สุดที่จะจับตาไม่ให้ใครเข้ามาใกล้ น่าเสียดายที่สารินไม่เข้าใจเจตนานี้และคิดว่าจับตามองกันไว้เพราะไม่อยากให้หนีไปไหน


ต่อให้เราดูแลดีแค่ไหนแต่ก็คลาดสายตาไปได้ เพย์ตันบุกใช้ไม้แข็งและเล่นกับจุดอ่อนอย่างซึ่งๆหน้าๆ ในวันนี้พวกเขาบ้าบิ่นพอจะทำให้แก้วตาดวงใจของธัมรงค์รัชต์ท้องเพื่อเป็นข้อต่อรองแลกกับความสวามิภักดิ์ วรวุฒิเองก็โกรธมากแต่เขายังมีสติพอจะไม่ตะบันหน้าคนพวกนั้นเพราะสารินห้ามไว้ เราไม่สามารถเรียกคืนความบริสุทธิ์ของลูกได้อีก


เพราะเด็กได้เกิดมาอยู่ในท้องของสารินแล้ว


ในสถานการณ์เช่นนี้การเอนเอียงไปกับเพย์ตันก่อนอาจจะดีกว่า วรวุฒิจึงหมายตาว่าจะเฉยๆไว้ ทว่าคนที่โกรธจนอาจจะไม่สามารถมีใครทัดทานได้คงมีแค่สนธยา ในตอนนี้จากที่เคยให้คนจับตาสา กลับกลายเป็นว่าเขาต้องคุมขังลูกชายตัวเองที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ายอมไม่ได้กับเหตุการณ์นี้


“แพรไปเยี่ยมลูกได้ใช่ไหม”


“ได้สิ”


“งั้นเราไปกันเลยได้ไหม”


“ไว้พรุ่งนี้ดีกว่า วันนี้สาเขาเพลียๆ อย่าเพิ่งไปกวนเลย”  แพรวรรณพยักหน้ารับคำ เธอหมายมั่นว่าจะเตรียมอาหารดีๆที่ลูกชอบไปให้จึงเดินออกไปจัดเตรียม เหลือคนเป็นพ่อและลูกชายหัวร้อนเอาไว้ในห้องรับแขกเพียงสองคน


และเป็นสองคนที่มีคำพูดมากมาย แต่ไม่ได้ถ่ายทอดออกไปสักคำ


“ฉันขอสั่งห้ามแกให้หยุดทุกอย่างที่จะทำให้สถานการณ์มันเลวร้ายไปกว่านี้”


“แล้วเราก็จะปล่อยให้เพย์ตันทำตามอำเภอใจหรือไง อย่างนี้มันไม่ให้เกียรติกันเลย”


“ฉันก็ไม่ได้ชอบใจที่เขาทำกับเราแบบนี้”  วรวุฒิถอนหายใจ  “แต่สารินท้องแล้ว”


“…”


“ท้องลูกให้กับเพย์ตันแล้ว” แม้ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น แต่มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว


สนธยาจำต้องปล่อยเมียของเขาให้ไปเป็นตุ๊กตาประดับบ้านเพย์ตันแบบนั้นหรือไง!


“เราจะไปรับน้องมาด้วยกันนะสน อดทนหน่อย” มันยากเหลือเกินที่จะให้อดทน ในเมื่อว่าคนทั้งคนได้หายไปแบบนั้น เราล้วนรู้ดีว่าสิ่งที่สารินเผชิญอยู่คืออะไร


และเขาทำอะไรมากกว่านี้ไปไม่ได้เลยเหรอ?!


“อย่าทำเรื่องที่น้องห้ามไว้” ถ้าสารินไม่ห้าม แน่นอนว่าต้องทำแน่ เพราะนี่ขนาดห้าม…เขายังอยากทำอะไรสักอย่างด้วยซ้ำ! “ตอนนี้น้องไม่ปลอดภัย ถ้าจะใจร้อนก็ช่วยคิดถึงน้องกับเด็กในท้องด้วย”  แววตาของอัลฟ่าหนุ่มอ่อนลง มันเป็นแบบที่พ่อของเขาพูดเพราะเพย์ตันบ้าบอพอที่จะใจร้ายกับคนที่อยู่ในอาณัติของตนตอนนี้


คนที่บ้านนี้รักสาเหมือนลูกหลาน เหตุการณ์แบบนั้นหากเกิดขึ้นแล้วก็ไม่มีเหตุให้ต้องผลักไสหลังจากใช้ประโยชน์ไป เพราะประโยชน์ที่เรามีร่วมคือประโยชน์ทางใจกันมากกว่า และนั่นคือสิ่งที่วรวุฒิวางเป้าหมายไว้หลังจากนี้ ในเมื่อทำอะไรไม่ได้อีกแล้วก็แค่ต้องรอเท่านั้น เมื่อไหร่ที่เพย์ตันได้สิ่งที่เขาต้องการ คนพวกนั้นก็จะคืนสารินมา แม้ว่าพวกเขาจะเสนอผลประโยชน์ให้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นให้สนใจ


และตอนนี้สนธยาคือคนที่ถูกจับตามอง เขาทราบจากพ่อว่าน้องบอกไม่ให้ทุกคนต้องห่วงใย ในอ้อมกอดของเพย์ตันอาจจะให้ความปลอดภัยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่การไปอยู่ในปากเสือก็ใช่ว่าจะปลอดภัยจริงๆ ตอนนี้ทางนั้นเองก็มีปัญหารอบด้าน และเขากลัวเหลือเกินว่าปัญหาบางอย่างจะพุ่งตรงเข้ามาจัดการถึงภายในปากเสือนั้นได้


เขาไม่ได้รังเกียจเมียของเขาที่กำลังท้องลูกให้ใคร แต่เจ็บใจที่ไม่สามารถแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอะไรได้เลย!


“ลูกของเพย์ตันงั้นเหรอ”  ในตอนนี้ที่คำถามที่สงสัยที่สุดไม่ได้ถูกถามออกไป เพราะคนที่ควรจะตอบยังอยู่ไกลเขาก็ได้แต่เก็บคำถามนั้นไว้ สนธยาได้วางแผนบางอย่างเอาไว้เนิ่นนาน และมันก็กำลังจะเข้ารูปเข้ารอยจนกระทั่งตัวแปรที่ชื่อว่าเพย์ตันนั่นแหละที่เข้ามาทำให้เสียเรื่อง


หากได้เจอหน้ากันสักนิดเขาจะถามให้ชัด ตอนนี้ที่ได้แต่คิดมันก็ยิ่งทำให้ฟุ้งซ่าน เด็กในท้องนั้นเป็นลูกของเพย์ตันจริงๆเหรอ คนพวกนั้นฝืนใจน้องจริงๆเหรอ แต่มันไม่มีประโยชน์อะไรให้เพย์ตันสมอ้างลูกของคนอื่นมาเป็นของตัวเองเลย แม้จะเป็นมนุษย์หมาป่าหรือมีเชื้ออัลฟ่าเหมือนกัน แต่พวกเราก็มีความภาคภูมิใจในสายเลือดตรงของตัวเองมากกว่า


ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้ยากที่ทาริค เพย์ตันจะรับลูกของคนอื่นมาสมอ้าง นอกเสียจากว่าพวกเขาหมายมั่นอะไรบางอย่าง แต่ขอเถอะ ถ้าสารินตั้งท้องจริงๆ นั่นไม่เท่ากับการที่เขาปล่อยเมียและลูกที่อาจจะเป็นของตัวเองไปอยู่ในปากเสือที่กำลังถูกง้าง


เขาหมายมั่นจะตีตราจองสารินไว้ขนาดนี้


ทำไมต้องมีอุปสรรคมากมายขนาดนั้นด้วยนะ


ในส่วนของสารินที่หลังจากยืนส่งผู้เป็นพ่อให้กลับบ้านไปก็กลับมาใช้ชีวิตในปากเสือที่ดูน่าสะดวกสบายที่สุด มือเล็กที่วางช้อนอาหารลงทั้งๆที่ไม่ได้มีความต้องการแม้แต่น้อยนั้นเปลี่ยนไปลูบบริเวณหน้าท้อง ทุกอย่างที่ทำลงไปนั้นเหมือนจะเพื่อตัวเองและคนอื่นๆ แต่อันที่จริงแล้วสารับรู้ได้ถึงความสำคัญตรงนี้ที่สุด


ลูก…ของสากับพี่สน


“ไม่รู้ว่าพ่อของเราจะทิ้งเราไปยังเนอะ”  ถึงจะพูดไปเช่นนั้น แต่ว่าในใจกลับย้อนแย้งไปมา สาคิดว่าหากเขาไม่กำลังหัวร้อนอยู่ ก็เป็นได้ว่าจะเพิกเฉยไม่สนใจสิ่งใด


จากที่ได้รับฟังมาและปะติดปะต่อเอง สถานการณ์ของเผ่าพันธุ์นั้นไม่ค่อยดีนัก และตอนนี้สารินก็รับรู้ถึงความห่วงใยที่คนในครอบครัวแสดงออกมาตลอดในรูปแบบของการจำกัดอิสระ เขาแค่ไม่อยากให้สามายุ่งเกี่ยว แต่ไม่เคยคิดเลยหรือไง ว่าพระคุณที่มีให้ มันทำให้สาอยากจะยุ่งเกี่ยวจนจะแย่


แม้ว่าในท้องของตนนี้ สายเลือดที่มีร่วมจะเป็นของพี่สน แต่มันไม่ใช่เหตุผลอะไรที่จะหยุดสาจากการช่วยเหลือคนที่บ้าน ถึงธัมรงรัชต์จะหยั่งเชิงเป็นกลาง แต่ข้อเสนอของทางเพย์ตันที่มอบให้ก็หวานหอมจนสารินยังคิดว่าชีวิตของตนน่าจะมีค่าน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ


ดังนั้นตนจึงเลือกที่จะอยู่เป็นหมากที่นี่ และยอมให้สมอ้างว่าลูกในท้องคือของพวกเขาเพราะรู้ดีว่าอย่างไรเพย์ตันก็ไม่ยอมรับเด็กที่เกิดมาจริงหรอก วันหนึ่งก็ต้องยอมปล่อยไป


และในตอนนั้นสารินที่อุ้มท้องลูกพี่สน ก็ไม่อาจจะหวนกลับไปสู่ธัมรงรัชต์ด้วยเหมือนกัน


คุณแพรวรรณและคุณวรวุฒิที่วันนี้โดนหลอกเข้าเต็มเปาจะรู้สึกอย่างไรหากรู้ว่าเด็กที่อุ้มชูเอ็นดูเป็นอย่างดีนั้นทรยศต่อความไว้ใจปีนเตียงลูกชายผู้เป็นผู้สืบทอดของที่บ้าน จะอย่างไรจุดจบของสารินก็ไม่พ้นต้องออกจากบ้านนั้นเพราะได้แปรสภาพการเป็นลูกคนหนึ่งไปเป็นคนผลิตทายาทให้คนในบ้านนั้นแล้ว สาไม่อาจจะอยู่ต่อไปได้และไม่แน่ใจในชะตากรรมของลูกตัวเองเหมือนกัน ดังนั้นมันจะดีกว่าหากไม่คิดย้อนกลับไปแต่แรก


ถึงแม้วรวุฒิบอกว่าจะมารับกลับก็เถอะ


“วันนี้คุณปู่มาหา เขาบอกจะพาเรากลับไปบ้านนั้น” แต่คุณปู่ไม่รู้ว่าหลานของตนคือเด็กคนนี้ เขาอาจจะรังเกียจเด็กในท้องของสารินไปแล้วที่ทำให้เรื่องราวมันวุ่นวาย แต่ไม่เป็นไร ต่อไปก็จะไม่อยู่วุ่นวายต่อไปอีกแล้ว


สิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในระหว่างนี้ เดิมทีมันไม่ใช่ความต้องการของสาเลย ลูกคือสิ่งที่ไม่เคยนึกอยากมี กระทั่งวันนี้ก็ยังรู้สึกไม่คุ้นชิน แต่จะอย่างไรนี่ก็เป็นเด็กที่เกิดจากความรักที่สามีต่อพี่สน แม้มันคือความไม่ตั้งใจ แต่ก็คือผลผลิตของความสัมพันธ์ทางกายกับคนที่ตนหลงรัก จากที่คิดจะจบวงจรอุบาทว์นั้นไว้ ยามนี้คิดแต่ว่าอยากจะเลี้ยงเขาให้ดีที่สุด


และเราจะต้องไม่กลับไปวนเวียนในวงจรน่าเกลียดน่ากลัวนั่นด้วยกัน


“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!!!!”  ในขณะที่สารินจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เสียงตะโกนดังลั่นนั้นก็ทำให้ตนสะดุ้งตื่นจากภวังค์


ประตูห้องเปิดผาง พร้อมกับเหล่าบอดี้การ์ดของตระกูลที่ลากใครบางคนเข้ามาที่นี่ ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีขาวนั้นกระเด็นเข้ามาอยู่ในห้องนอนส่วนตัวของสาริน ร่างบอบบางและกลิ่นหอมที่ลอยมาทำให้สารินรับรู้ได้ถึงความพิเศษ เดิมทีตนก็แค่เคยอ่านจากในหนังสือบันทึกชาติพันธุ์ที่ส่งต่อกันมา แต่ไม่เคยเจอใครที่มีลักษณะที่โดดเด่นขนาดนี้มาก่อน


คนๆนี้มีเชื้อสายโอเมก้าอย่างแน่นอน…และเขาก็งดงามมากๆ


“…”


“เอ่อ…สวัสดี”  เราเงียบกันอยู่นาน และอีกฝ่ายก็ดูงงๆและไม่พอใจอะไรสักอย่าง ดวงตาคู่งามนั้นจ้องกันเขม็งจนสารินนึกกลัวเกรง เขาเป็นใครกัน ทำไมพวกบอดี้การ์ดเหล่านั้นต้องจับโยนเข้ามา


“พวกนั้นแย่จริงๆ”  ทั้งๆที่เจ้าบ้านพูดจากปากหวานใส่กันจนอยากอ้วก แต่การกระทำของคนในบ้านหลังนี้ช่างห่างไกลจากการให้เกียรติกันเต็มที ทำไมคนพวกนี้ไม่รู้จักมารยาทที่ดีไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม


เขาไม่ใช่โอเมก้าที่ถูกส่งมาเพื่อระบายอารมณ์นะ!


“คุณคือ?”  เดิมที ‘ดรัญ’ ตั้งใจจะทำเป็นไม่เห็นเจ้าของห้องมีตัวตนเท่าไหร่ แต่โดนจี้ถามแบบนี้ การเมินเฉยก็ดูไม่มีมารยาทแบบที่เจ้าตัวเคยปรามาสคนอื่นไว้มากมาย


“แขกไม่ได้อยากถูกเชิญของเจ้าของบ้าน ฉันชื่อดรัญ” อีกส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเจ้าของห้องมีลักษณะที่ทำให้คนเกลียดไม่ลงด้วยละมั้ง แม้แต่ดรัญที่ไม่ถูกใจอะไรเลยในบ้านหลังนี้ ยังนึกเอ็นดูระคนสงสารคนที่ถูกจับมาไม่น้อย


ทั้งๆที่เขาก็ถูกจับมาเหมือนกัน…


“ผมชื่อสารินครับ”  เจ้าของชื่อเอียงคอยิ้มหวานให้ เป็นโอเมก้าที่น่ารักขนาดนี้ ทำไมทาริค เพย์ตันถึงได้เพิกเฉยไม่สนใจได้ลงคอนะ ได้ยินข่าวลือหนาหูว่าคนนี้แหละที่ถูกเล็งให้จัดการเรื่องทายาทให้ แต่ปัญหาวุ่นวายในเผ่าพันธุ์ทำให้ทุกอย่างยืดเยื้อ แต่วันนี้เจ้าตัวก็อุ้มท้องโย้นอนอยู่ในบ้านหลังนี้แล้วไง ทำไมยังมาวุ่นวายกับดรัญอีก!


“นายดูสุขสบายดี กินข้าวหมด ไม่มีอะไรขาดเหลือใช่ไหม”


“ครับ?”


“แบบนั้นก็ดีแล้ว”  ที่เขาถามคำถามแปลกๆ ทั้งหมดก็เพราะพวกคนที่อยู่ข้างนอกไล่มาดูความเป็นไปของคน ‘สำคัญ’ ของตระกูลคนนี้ไง เราไม่ได้เกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย ก็ยังดึงดันให้มาวุ่นวายแบบนี้ได้ คนแบบทาริค เพย์ตันนั้นเป็นคนอย่างไรกันนะ


ปากก็บอกว่ารัก


แต่ดันไปทำคนอื่นท้องและให้คนที่ตัวเองรักมาดูแล?!


“คุณเป็นโอเมก้าที่ดูดีมากเลย ผมไม่เคยเห็นคนที่มีกลิ่นหอมลอยฟุ้งออกมาแบบนี้”


“นายได้กลิ่นฉันด้วยเหรอ”  เอาจริงๆเขายังไม่เคยได้กลิ่นตัวเองด้วยซ้ำ คนที่เคยบอกว่าเขาตัวหอมนั้นเห็นจะมีแค่ทาริค กับคนนี้ๆเท่านั้น


“อา..หรือคงเป็นเพราะท้อง จมูกเลยจะไวหน่อยๆ”  ดรัญหรี่ตามองคนท้องที่กำลังลูบหลังคอ ท่าทางสารินคงไม่ใช่โอเมก้าที่คลุกคลีอยู่กับโอเมก้าบ่อยๆ


“นายถูกเลี้ยงแยกออกมาจากพวกโอเมก้าใช่ไหม”


“อา…ตอนเด็กๆผมเคยอยู่รวมกับโอเมก้าคนอื่นๆนะครับ แต่ก็เด็กมากๆ” นั่นแปลว่านานมากแล้ว


“มิน่าล่ะ ถึงได้ดูสบายๆตอนอยู่ในบ้านที่มีแต่พวกหมาป่า” เขาพูดเหมือนดูประชด


“ก็…มันก็ไม่มีทางเลือกมากนี่ครับ” สายิ้มให้ ลูบท้องตัวเองเบาให้อีกคนได้รู้ว่าทางเลือกที่มีไม่มาก เจ้าตัวได้เลือกใคร


“นายอยู่เฉยๆขนาดนี้ได้ไงกันนะ”  ดรัญไม่เข้าใจเด็กคนนี้เอาเสียเลยจริงๆ ถ้าเป็นเขาคงไม่ยอมให้เพย์ตันหรือพวกมนุษย์หมาป่าที่ไหนควบคุมได้โดยง่าย ก็พอจะรู้ว่าโอเมก้านั้นใครๆก็ว่าหัวทึบ ทว่าทั้งๆที่ดรัญเองก็เป็นโอเมก้า แต่ว่าตนไม่เคยคิดว่าตัวเองนั้นโง่ไม่ทันใคร


โอเมก้าไม่ใช่ว่าไร้ความสามารถ แต่ถูกจำกัดบทบาทไม่ให้มีความสามารถเหนือใครต่างหาก


“ถ้าฉันพาหนี นายจะไปกับฉันไหม”  คำพูดของดรัญทำให้สารินเงยหน้าขึ้นมา หากเป็นก่อนนี้ตนคงรับไว้พิจารณา


“ไม่ครับ ผมคงต้องอยู่ที่นี่สักพัก”


“อยู่ที่นี่? คลอดลูกให้พวกหมาป่าเอาไปเลี้ยงนะเหรอ”


“เอ่อ..”


“นายถูกล้างสมองหมดไปแล้วเหรอ”


“เปล่าหรอกครับ ผมแค่อยากอยู่เพื่อให้มั่นใจว่าคนที่บ้านจะปลอดภัยและได้รับสิ่งที่ดีที่สุด”  สารินรักพวกเขามาก  “พวกเขาดีต่อผมมาก ต่อให้เลี้ยงผมมาเพื่อสิ่งนี้ก็ต้องตอบแทนให้สมน้ำสมเนื้อ ถ้าผมหนีไป ทั้งชาติคงไม่มีวันทิ้งบุญคุณไว้เบื้องหลังได้แน่” 


“บ้านของมนุษย์หมาป่า จะมาดีกับโอเมก้าได้ยังไง”


“ผมรู้ครับว่าโอเมก้าบางคนเจอเรื่องเลวร้ายมากมายหลังจากถูกขายให้มนุษย์หมาป่า”  สารินไม่ได้ใสซื่อขนาดนั้น  “แต่ผมนั้นแค่โชคดีกว่าพวกเขา”


“นายเลยเห็นดีเห็นงามกับขบวนการค้ามนุษย์นี้งั้นเหรอ”


“ไม่เห็นด้วยเลยครับ”  จะอย่างไรอะไรที่ไม่ถูกต้อง สารินก็ไม่เห็นควร  “และอยากหยุดมันไว้ที่ผมคนนี้ จะไม่มีลูกหลานโอเมก้าที่สืบทอดสายเลือดของผมคนไหนต้องมารับกรรมแบบนี้อีก”


“…”


“คุณดรัญเอง…ก็คงเป็นโอเมก้าที่ไม่อยากให้อนาคตของลูกหลานเป็นแบบที่ผ่านๆมาใช่ไหมครับ”  ใช่แล้ว ดรัญพยักหน้า การได้เจอกับสารินทำให้ความโกรธเกลียดที่ถูกฉุดกระชากให้มาที่นี่พลอยทุเลาไป อย่างน้อยก็ได้เจอคนที่พูดรู้เรื่องแม้พูดคนละเรื่องกันก็ตาม


เริ่มเข้าใจจุดประสงค์ที่ทาริคให้มาอยู่กับคนท้องแล้ว


ดรัญนั้นต่างจากสารินที่ชาติกำเนิดไม่ได้อยู่ในซ่องเหมือนกัน ทว่าตนนั้นเกิดมาในเรือนคนใช้ซึ่งมีแม่ผู้ซึ่งเป็นโอเมก้าให้กำเนิด และมีนายเหนือหัวเป็นอัลฟ่า ชะตากรรมของดรัญก็ไม่ต่างจากสาริน เจ้านายใหญ่มุ่งหมายให้ดรัญถูกส่งต่อมาให้กับตระกูลใหญ่ๆเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ เลี้ยงไว้แม้ว่าลูกชายอัลฟ่าของตัวเองจะมีสายเลือดเกี่ยวพันกับลูกคนใช้


 นายใหญ่จะว่าใจดีก็ใจดี เขารับเลี้ยงแม่ไว้ต่อหลังจากที่คลอดนายน้อยแล้ว หลังจากนั้นแม่ก็มีดรัญในเรือนคนใช้ น่าเสียดายที่พ่อของดรัญนั้นตายเร็วเกินไป ด้วยเป็นเด็กฉลาดชอบตั้งคำถามกับทุกอย่าง แม่ที่ไม่สามารถตอบได้จึงจำต้องส่งดรัญไปเรียนหนังสือ และที่นั่นก็ช่วยเพิ่มพูนความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนพื้นฐานให้กัน


แม้พวกเขาจะไม่ใช่มนุษย์ แต่ความพยายามที่จะอยู่ร่วมกันมันก็ต้องปรับตรงนี้ด้วยหรือเปล่า


ไม่เช่นนั้นจะมีโอเมก้าเกิดมาทำไม ถ้าไม่ให้เกียรติกันในฐานะที่เติบโตมาอย่างยากเย็นนะฮึ?


เราอยู่ในสังคมที่มีมนุษย์รายล้อมจึงไม่แปลกที่เราจะคิดว่าเราคือมนุษย์คนหนึ่ง แต่กายภาพที่ไม่เหมือนมนุษย์ก็ทำให้เราตั้งคำถามกับความประหลาดของร่างกายมานับครั้งไม่ถ้วนจนต้องทำใจและยอมรับว่ามันไม่ใช่ ดรัญนั้นเติบโตมาอย่างดีพร้อมทางการศึกษา ถือว่าเป็นโอเมก้าหัวก้าวหน้าที่ได้โอกาสเรียนสูงจากความพยายามของตัวเอง


และวันที่เขากำลังจะถูกส่งมอบให้ ‘ตระกูลสเตอร์ลิ่ง’ ก็มาถึง ทว่าก่อนจะถึงวันนั้นก็เป็นผู้ชายคนนั้นที่ไปลักพาตัวมา เป็นเพย์ตันที่พยายามอย่างมากที่จะตัดแข้งตัดขา ดรัญจึงได้มาเจอเขาที่เข้ามาเปลี่ยนโลกทั้งใบของตนอย่างสิ้นเชิง


‘นายคงเป็นโอเมก้าที่คิดว่าการได้ให้กำเนิดลูกอาจจะทำให้อัลฟ่าหลงรักและนำมาเลี้ยงดูถึงได้ยอมง่ายๆสินะ’  คำเหยียดของทาริค เพย์ตันที่จับกันมานั้นยังคงอยู่ในหัวใจทุกประโยค แน่นอนว่าดรัญไม่ได้ยอม


กำลังจะหนีแต่ถูกเพย์ตันจับมาก่อนต่างหากโว้ย!


‘ถ้างั้นกับพ่อพันธุ์คนไหนก็ย่อมได้สินะ มาสิฉันจะปราณีนายที่สุด’


‘เป็นบ้าเหรอ’


‘หืม’


‘เอาสมองที่ไหนคิดว่ามีโอเมก้าอย่างนั้นอยู่ นี่มันก็ยุคสมัยไหนแล้ว ประวัติศาสตร์ถ้าเขาไม่มีให้เห็นความผิดพลาดแล้วจะมีทำไม เขียนไปเผาทิ้งเหรอ’ 


เป็นอัลฟ่าที่โง่และหยิ่งยโสไม่ถูกที่จริงๆ


“คุณพูดแบบนั้นกับคุณทาริคไป?!”  สารินที่ได้ยินยังไม่อยากจะเชื่อหู แม้ว่าตนจะเป็นโอเมก้าที่จัดว่าหัวก้าวหน้าแล้ว แต่พูดจากับอัลฟ่าที่ไม่รู้จักแบบนั้นอย่างไม่กลัวตาย ต้องไปกินยาดีอะไรมากันนะ


“สิ่งที่ฉันมีดีคือความบ้าบิ่นและเอาตัวรอดเก่ง”  ไม่งั้นจะได้ทุนการศึกษาอย่างต่อเนื่องจนจบปริญญาโทโดยที่ไม่มีอัลฟ่าที่ไหนจับกลับบ้านไปได้อย่างไร ดรัญเป็นคนเห็นแก่ตัวที่เอาตัวรอดเก่งมาก ทุกวันนี้เขาจึงถูกชิงชังและหมายตาจากพวกอัลฟ่าโดยเฉพาะพวกชอบลองของแปลกอย่างทาริค เพย์ตัน


คนที่ทำเป็นปากหวานและบอกว่าจะมอบตำแหน่งข้างกายให้กัน


“แต่ผมเชื่อว่าคนเราถ้าเจอความโหดร้ายจะพยายามปรับตัวให้อยู่รอดและเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้”


“…”


“ผมเองก็ไม่ได้อยากมีลูกหรอก แต่เด็กคนนี้เขาได้เกิดมาแล้วนี่นะ”


“อย่าทำเป็นผูกพันกับเด็กจนเกินไป วันหนึ่งเขาก็ไม่ใช่ลูกนาย”  ดรัญอยากจะเตือนไว้ เพราะไม่อยากให้สาเป็นแบบแม่ของเขาที่ต้องทนกับสายตาของลูกชายคนแรกที่ขยะแขยงในตัวเอง ทั้งๆที่พอคลอดออกมาประคบประหงมดูแลดีเท่าไหร่ก็ตาม อัลฟ่าก็คืออัลฟ่า คนพวกนั้นไม่มีวันยอมรับชาติกำเนิดที่มาจากโอเมก้า มันย้อนแย้งดีไหมล่ะ


“เขาต้องเป็นลูกผมสิ”


“เดี๋ยวทาริคก็เอาไปไม่ใช่เหรอ แล้วนายก็เตรียมตัวให้ดี คนพวกนี้คงใจดีให้เงินก้อนและเตะออกไปอะนะ”  ทาริคคนบ้า ปากก็บอกว่าชอบกันอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็มาทำโอเมก้าตนอื่นท้องโต


“ผมว่าทาริคเขาคงไม่รับเด็กคนนี้หรอก มนุษย์หมาป่าไม่ชอบเอาลูกของหมาป่าตัวอื่นมาเลี้ยง”


“…”


“โอ้…” จริงๆแล้วสารินไม่ควรพูดหรือเปล่า เราไว้ใจดรัญได้แค่ไหน? แต่คำพูดนี้ของสารินทำให้หัวใจที่เกรี้ยวกราดของดรัญกลับมาพองโตอีกครั้ง…


คนท้องนั้นหันไปมองที่กล้องวงจรปิดและประตู ถ้าทำผิดต้องมีคนเข้ามาแล้ว แต่นี่ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง สารินหันกลับมามองใบหน้าที่แดงระเรื่อของดรัญอีกครั้งและได้แต่สงสัย โดยไม่ได้รับรู้อะไรว่าที่อีกฟากฝั่งคนที่มองเราผ่านกล้องวงจรปิดนั้นกำลังยิ้มบางๆ


ให้กับคนเกรี้ยวกราดชอบทำเป็นรู้ดีที่น่ารักที่สุด


“ไม่ใช่ว่ากำลังงอนกับคุณทาริคเรื่องผมจนหนีไป ให้เขาตามจับกลับมาคุยกับผมใช่ไหมครับ…ดรัญ” สารินเองก็ไม่โง่ ขนาดเขาไม่พูดอะไร ก็คาดเดาได้อย่างแม่นยำ


“…”  ดรัญไม่ตอบอะไร แต่รู้สึกเจ็บใจที่ถูกต้อนจนลงหลุมแบบนี้ ทาริคคงคาดการณ์ไว้หมดแล้วสิ


“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ คุณดรัญ”  สารินยิ้มบางๆ การปรากฏตัวของโอเมก้าที่ทาริคหมายตาทำให้ตนสบายใจขึ้น และอย่างไรก็ตามเรามีอะไรที่คล้ายๆกันอยู่


นั่นคือโลกของโอเมก้าของทั้งสองคน…มันเปลี่ยนมาสักพักแล้ว


Talk:
เปิดตัวดรัญโอเมก้าที่จะเข้ามามีบทบาทนิโหน่ยในเรื่องนี้นะคะ อ่านไปอ่านมาเหมือนน้องสาเป็นนายเอกหนึ่งเดียวที่เหลือคือเพื่อน555 แม้แต่ฉันเองก็ไม่ได้มีออร่าขนาดนั้น อย่างว่า ชีวิตไม่ค่อยเจอวิบากกรรม




















































ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ฉันหายไปเลย
คิดถึงนะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ถ้าทาริคง้อดรัญสำเร็จแล้วจะคืนน้องสาให้พี่สนไหม

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
24

สน xสา


ดวงตาของพี่ชายคนนั้นที่มองมาทำให้หัวใจสั่นไหวไม่น้อย


“สาสบายดีครับ”  แต่กระนั้นหากไม่ยิ้มออกไปก็จะดูน่าสงสัย


วันนี้เป็นวันแรกที่สนธยามาเยี่ยม เขาไม่ได้มาที่นี่เลยหลังจากที่ท้องของสารินเข้าสู่เดือนที่ห้าเลย แม้จะรู้ว่าสนธยาไม่ค่อยพอใจกับการทำเช่นนี้ของเพย์ตัน ทว่าเมื่อได้มาเจอจริงๆก็อดคิดว่าที่ไม่มา ไม่ใช่เพราะถูกห้ามไม่ให้มา แต่เพราะว่าไม่ได้อยากมาขนาดนั้น เพราะถ้าเขาเต็มไปด้วยความโหยหากัน แววตาคงไม่เป็นเช่นนั้นหรอก


แววตาแบบนี้มันเย็นชาเสียจนน่ากลัวว่าที่ผ่านมาเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลย


“น้องสาต้องดูแลตัวเองดีๆนะลูก”


“ครับคุณแม่”  สารับคำก่อนจะส่งทุกคนกลับไป


เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่มาอยู่ที่เพย์ตัน สารินแทบจะตัดขาดตัวเองกับโลกภายนอกที่เคยมีชีวิตอยู่ ไม่รู้ป่านนี้ฉันชนก หรือคนที่ทำงานจะเป็นอย่างไรบ้าง คาดว่าการไปไม่ลาของตนคงส่งผลให้ถูกไล่ออกไปแล้ว แต่สารินไม่มีอะไรที่กังวล หรือไม่นึกอยากจะกังวลในตอนนี้ เพราะความสำคัญทั้งหมดได้ถูกส่งมอบไปให้ยังบุคคลที่ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นมา


ลูกของสากับพี่สน…


ถ้าเป็นเจ้าก้อนนิ่มๆมาให้กอดล่ะก็ โลกทั้งใบของสาคงถูกเติมจนเต็มเป็นแน่ แค่คิดหัวใจก็พองฟูแล้ว รีบเกิดมาให้แม่ได้รักเสียทีได้ไหม เพราะในสถานะที่มีความรักอยู่เต็มหัวใจแต่ส่งต่อให้ใครไม่ได้มันน่าอึดอัดเสียจริง


“ยิ้มอะไรคนเดียวน่ะ”  ดรัญที่เพิ่งเข้ามานั้นทักถาม ก็รู้หรอกว่าคุยกับลูกแต่ว่ามันก็น่าหยอกไม่น้อย


“ดรัญ”


“กว่าจะแยกตัวออกมาได้”


“ไปหาคุณทาริคมาเหรอ”


“ถูกลากไปหาต่างหาก”  ดรัญถอนหายใจ กระนั้นสารินที่เป็นคนนอกมองเข้าไปก็รู้ดี ว่าสองคนนี้มีอะไรที่เชื่อมต่อกันอย่างสนิทซ่อนอยู่ แม้ดรัญจะดื้อ แต่ก็ถูกใจคนแบบทาริคไม่น้อย คุณทาริคเองแม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนคนเจ้ายศเจ้าอย่าง แต่เขาก็เปิดรับดรัญไปพร้อมๆกับยอมรับตัวเองที่มีใจให้กับสิ่งที่เขาตั้งตนเป็นปรปักษ์เสมอมา


“ดรัญโชคดี คุณทาริคแสดงออกชัดขนาดนี้”


“ชัดจนน่ารำคาญน่ะสิ”  แล้วทำไมแก้มถึงขึ้นสีได้น่ารักขนาดนั้นล่ะคนปากแข็ง  “บางทีก็ลำบากเพราะเป็นคนโปรดของคนแบบนั้นเหมือนกัน” แต่สารินก็เข้าใจ ดรัญเป็นเด็กหนุ่มที่รักอิสรเสรี ทว่าในตอนนี้ตนก็เหมือนกับเดินวนอยู่ในกรงที่มองไม่เห็น คนของทาริคมักถูกจับตามองเสมอ


แม้ว่าเขาจะพยายามเบี่ยงเป้าสายตาให้มาอยู่ที่สาก็ตาม


“เขาก็พยายามทำให้ดรัญไม่อึดอัดอยู่ไง”


“โดยการดึงสากับลูกมาใช้ซ่อนกันนี่นะ เห็นแก่ตัวชะมัด”  ดรัญบ่น ทั้งๆที่รู้ดีว่าทาริคนั้นหวังดีกับตัวเองมากแค่ไหน เกรงว่าผู้ชายคนนั้นคงไม่เห็นใครดีเท่าคนที่เขารักเลย แม้ว่าจะสูญเสียใครอย่างเย็นชา แต่สารินคิดว่าเขาสามารถสละมันได้เพียงเพื่อคนๆเดียว คนแบบนี้น่ากลัวนัก แต่เขาก็มีข้อดี


ข้อดีที่ว่าอย่างน้อยเขาก็รักใครสักคนเป็นจริงๆ


ในขณะเดียวกันหากเปรียบเทียบกับผู้ชายอีกคนที่สาไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าเขาคิดเช่นไรกับคนอื่น สาคิดว่าเขาช่างต่างจากทาริคนัก น่าเสียดายที่ความรู้สึกที่ไม่ควรมีดันกลับมีให้ไปแล้ว สารินจึงได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเวลาจะช่วยเยียวยา


ไม่เช่นนั้นเราอาจจะต้องใช้ทุกอย่างที่เอื้อมถึงมาเยียวยาตนเองให้ไปต่อได้


สถานการณ์ของเพย์ตันดูเหมือนจะไม่ดีเท่าไหร่นัก อันนี้คือสิ่งที่สาได้ยินจากดรัญที่คงสืบพบเจอ แม้แต่ดรัญที่เป็นคนรักของทาริคเองก็ไม่ได้รับรู้อะไรมากด้วยเหตุผลทางความปลอดภัย แต่คนอยากรู้อยากเห็นย่อมได้รู้ได้เห็นอะไรมาบ้างและนำมาเล่าต่อให้กับคนที่มีโชคชะตาที่เกือบคล้าย ดูเหมือนว่าทาริคคิดจะทำการใหญ่แบบที่พลิกชะตาตระกูลของเขาได้


ความรักที่น่าหลงใหลทำให้ตัวเขาขับเคลื่อนชะตาของเพย์ตันไปในทางนั้น


มีวันหนึ่งที่คนของเพย์ตันที่รับหน้าที่ดูแลและสอดส่องเข้ามาตามให้ดรัญออกไปจากห้องเพราะทาริคจะเข้ามาที่นี่ แน่นอนว่าดรัญที่มักจะอยู่ด้วยกันย่อมโวยวาย มีอะไรทำไมถึงให้รู้ไม่ได้ แม้แต่เรื่องของสารินก็ยังเป็นความลับเหรอ เช่นนี้ มันอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่ต้องการจะพูดคุยด้วยมันเกี่ยวข้องกับเจ้าตัวโดยตรง


และเมื่อพาดรัญออกไปได้ ทาริคก็เข้ามา


“ดรัญติดเธอมากจริงๆ”  รอยยิ้มของเขา มันแฝงไปด้วยความยินดีแต่ก็ดูเหนื่อยล้า


“คุณคงคิดจะทำอะไรบางอย่างแต่ไม่อยากให้เขารู้”


“ถ้าเขาว่าง่ายกว่านี้อีกสักนิด ผมย่อมอยากให้เขามานั่งฟังการตัดสินใจของผมตรงนี้”  เขานั่งลงและมองใบหน้าโอเมก้าที่เขาใช้ปล่อยข่าวลือแปลกๆ  “ผมตัดสินใจที่จะไม่ปล่อยวางเรื่องดรัญจริงๆ” นั่นเท่ากลับว่าเขาไม่สามารถถืออีกสิ่งไว้บนมือและจำต้องปล่อยบางสิ่ง ซึ่งนั่นคงเป็น…เพย์ตัน


ซึ่งทาริคตัดสินใจมาสักพักแล้ว แต่รอบข้างที่ดึงรั้งกันไว้ทำให้เสียเวลามาจนถึงป่านนี้  และแน่นอน…


“และผมก็จะปล่อยคุณไปด้วย”


นั่นหมายความสารินจะต้องกลับไปอยู่ที่บ้านธัมรงค์รัชต์?


“คุณคงดีใจ”  อันที่จริงแล้วนั้น


“ผมไม่แน่ใจ”   หรือจะให้พูดตรงๆคือไม่…


สาไม่ได้อยากกลับไปที่บ้านนั้นแล้ว


สารินได้รับสิทธิ์ในการใช้โทรศัพท์ ทว่าการใช้งานจำต้องอยู่ต่อหน้าใครสักคนที่นี่เพื่อกันข้อมูลรั่วไหลอยู่ดี สารินจึงพยายามนึกคิดว่าใครควรจะเป็นคนที่ตนติดต่อไปหลังจากคำประกาศอิสรภาพ ควรจะเป็น คุณแม่ คุณพ่อ หรือใคร ที่แน่ๆไม่ควรจะเป็นสนธยา


หากเป็นเขารับแล้วปฏิกิริยาตอบกลับมันไม่เป็นแบบที่คาดหวังไว้ แล้วคนท้องจะรับได้เหรอ ความรู้สึกเหล่านั้น สารินมั่นใจว่าตนไม่ควรแบกรับไว้ตอนนี้


“คุณฉัน…นี่เราเอง” และอะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้สาเลือกที่จะโทรหาใครสักคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องยุ่งๆนี่ แต่ถ้าเราย้อนคิดให้ดี


ฉันชนกก็เหมือนเกาะร้างอันโดดเดี่ยวที่เหมาะกับคนที่ซึ่งไม่เหมาะจะยืนตรงไหนบนโลกอย่างตนเช่นกัน


--------
คงไม่ลืมฉันชนกไปแล้วหรอกนะ!
(`A´)
--------


“หายไปแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน คิดว่าเราเป็นใครทำไมไม่ติดต่อมา อ๋อ ไม่สำคัญสิเนอะ ไม่ได้เป็นเพื่อนนี่เนอะ เออ! ไม่สำคัญสิเนอะ”  คำแรกและยาวมากๆที่หลุดออกมาทำให้ปลายสายหลุดยิ้มแม้น้ำตาจะรินหล่นมาเป็นสาย ฉันชนกที่ระลึกถึงความสัมพันธ์ที่มีระหว่างตนกับคนที่หายไปอดบ่นไม่ได้ น่าเสียดายที่ไม่อยู่ใกล้ๆ จะฟาดให้แรงๆ


“เราขอโทษฉัน แค่ไม่อยากไปวุ่นวาย” 


“ไม่คิดเลยเหรอว่าตัวเองอ่ะวุ่นวายอยู่แล้ว อยู่ที่ไหนก็วุ่นวาย ไอ้ตัววุ่นวาย ฮึ้ย!”  ทำไมคำด่าแสบสันนั่นไม่สะเทือนเนื้อหนังกันเอาเสียเลย เจ้าตัวเล็กดูน้าฉันสิ ทำไมขี้บ่นจัง เด็กดีอย่าเอาอย่างน้าเขานะลูก  “แล้วนี่ไปทำตัววุ่นวายที่ไหน”


“เรื่องมันวุ่นวายจริงๆฉัน แต่ตอนนี้เราลำบากแล้ว”


“ขนาดนั้นเลยเหรอ”  โทนเสียงที่เปลี่ยนไปของฉันทำให้เราเข้าสู่โหมดจริงจังกันสักที และนี่คือคำขอที่สามั่นใจว่ามันอาจจะมากเกินไป


“ฉัน…” และฉันอาจจะให้มันไม่ได้  “เรากำลังจะหนีออกจากบ้าน”


แต่เราต้องมีความหวังในตัวใครสักคน…


จริงไหม?


“เอาจริงๆเหรอ”  เสียงของฉันสงบนิ่ง


“อืม”


“ถ้าพี่สนจับได้ เขาจะมาแหกอกเราไหม”


“ไปเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ”  สาหัวเราะ แต่มันฝืดเคืองสิ้นดี  “เราขอไปอยู่ด้วยวันสองวันได้ไหม”


“นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก เราให้มาอยู่ได้”  ฉันพูดแบบไม่ยี่หระแต่อย่างใด และนั่นทำให้สาสบายใจว่าตนจะมีจุดพัก แต่ความจริงบางประการที่ยังไม่ได้พูดออกไป จนกว่าจะได้พบหน้าก็คิดว่าจะเงียบมันเอาไว้ก่อน


ไม่เช่นนั้นใครบางคนคงโวยวายเล่นใหญ่แน่ถ้ารู้ทั้งหมด


 อันที่จริงทางทาริคเองก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้น อาจจะเพราะดรัญไปโวยวายเสียยกใหญ่เขาเลยหยิบยื่นน้ำใจมาให้ คนท้องคนไส้ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือสามารถอยู่ในการดูแลของเพย์ตันไปได้ แต่สารินก็ยังเลือกที่จะปฏิเสธอยู่ดี เพราะอะไรนะเหรอ เพราะอยู่ที่นี่ก็มีสภาพไม่ต่างจากหมากของเขา ถึงจะเลิกใช้ แต่ก็อาจจะเป็นหมากที่เก็บไว้เพื่อรอใช้ข้างกระดาน


“งั้นมีอะไรที่เราพอจะชดเชยเป็นค่าเสียเวลาได้บ้าง”


“มันใช่แค่เวลาเหรอที่สารินเขาเสียไปน่ะ!”


“ดรัญ…เราไม่เป็นไร”  สารินไม่เป็นไรเลย ไม่ได้โกรธทาริคเลยด้วยซ้ำ ในใจยังนึกขอบคุณสถานการณ์ที่ทำให้ตนถูกแยกออกมาจากบ้านอย่างนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วจะเป็นเช่นไรหากที่บ้านมาคาดคั้นว่าตนท้องกับใคร ให้พวกเขาเข้าใจว่าทาริคคือพ่อของเด็กสักระยะเพื่อถ่วงเวลาให้จัดการอะไรๆย่อมดีกว่า


สาไม่อยากให้พี่สนมีปัญหา และไม่อยากมีปัญหากับใครเลยในบ้านหลังนั้นแม้แต่พี่สน ตามธรรมเนียมของอัลฟ่าทั่วไป พวกเขาจะไม่รับเลี้ยงเด็กโอเมก้าเพื่อการสืบพันธุ์ในบ้านของตัวเองอยู่แล้ว และมันดูประหลาดแค่ไหนที่สาไปท้องกับลูกชายคนโตที่เป็นทายาทสายหลักของบ้านหลังนั้น ไม่ใช่แค่สารินทำให้พวกเขาวุ่นวายกับการจัดการเลือดเนื้อเชื้อไข


แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันดูทรยศต่อความไว้ใจที่เขาเอามาเลี้ยงไว้ดีกว่าโอเมก้าบ้านไหนเลยด้วยซ้ำ


“จริงๆผมอยากออกไปเองเพราะไม่อยากให้คนที่บ้านมาหาบ่อยๆเหมือนช่วงหลังๆด้วยละครับ”  สารินเริ่มอธิบาย  “ต่อไปคุณดรัญก็คงมีลูกให้กับคุณทาริค และทุกคนก็จะสงสัยเรื่องของผม เลยคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าถอยออกไปหาทางหนีทีไล่”


“ทางเราทำให้เธอลำบากแล้ว”  ทาริครู้สึกผิดกับการที่ทำให้สารินต้องมาวุ่นวาย แต่คิดว่าการที่เด็กคนนี้กลับบ้านไปมันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร เมื่อจัดการธุระภายในมาถึงจุดนี้ได้ ทาริคก็คิดว่าตัวเองสามารถจะเปิดเผยเรื่องจริงให้ทุกคนได้รู้ได้เหมือนกัน แต่ทำไมเจ้าตัวเหมือนจะไม่อยากให้ใครรู้อะไรมากนักทั้งๆที่เป็นผู้เสียประโยชน์แท้ๆ


เว้นเสียแต่จะมีอะไรตื้นลึกหนาบางที่เขาไม่รู้ หรือรู้แต่ต้องทำไม่รู้ไว้ก่อน?


“ผมติดต่อจะไปขออยู่กับเพื่อนแล้วครับ ทางคุณทาริคไม่ต้องพูดอะไรมาก จะบอกว่าผมแท้งไปแล้วก็ได้”


“เดี๋ยวนะสา…ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้นด้วย เรามาพูดความจริงแล้วนายได้กลับบ้านไปอยู่กับธัมรงค์รัชต์ดีกว่าไหม” ดรัญเข้าใจว่าสารินนั้นรักบ้านหลังนั้นมากๆเสียอีก แต่นี่ทำไมดูเหมือนไม่อยากให้ใครในบ้านนั้นรับรู้เรื่องท้องนี้เลย


จะว่าไปพวกเขาก็ไม่เคยมีใครได้รู้เหมือนกันว่าพ่อเด็กในท้องเป็นใคร


“หรือว่าสาอายที่… ท้องไม่มีพ่อเหรอ” อันนี้ดรัญสรุปความเอง แต่บางอย่างมันดูทะแม่งๆอยู่นะ


“หรือไม่พ่อของเด็กก็เป็นคนที่ให้ใครรู้ไม่ได้”  ซึ่งทาริคตอกกลับได้ตรงใจกว่า ทว่าจะตีความกันไปมากมายแค่ไหน


เจ้าตัวไม่พูด ความจริงก็ไม่มีใครรู้อยู่ดี


“หากคุณอยากจะทำอะไรให้ผมสักอย่างผมขอแค่จะไปอยู่กับเพื่อนและไม่ให้พวกคุณเปิดปากเรื่องของผมกับใครแล้วกัน”  ซึ่งนั่นคือแม้แต่ธัมรงค์รัชต์ก็ไม่มีสิทธิ์รับทราบ


“แล้วเราจะโกหกมันไปได้ยังไง”  มันยากเกินไป ยากที่จะกันไม่ให้คนที่อยากรู้มาวุ่นวาย


“แต่นี่มันก็เหมาะสมแล้วไม่ใช่หรือครับ”


“…”


“ค่าเสียโอกาสต่างๆที่คุณอยากจะตอบแทนให้ผมขอเป็นสิ่งนี้ได้ไหม”  สารินยังพูดกลับไปด้วยรอยยิ้ม ดรัญเลิกที่จะซักถามให้มากความก่อนจะเหลือบตาไปมองทาริคที่นิ่งเงียบ โดนแล้วไหมล่ะ…


สารินนี่…ใครว่าไม่ร้ายกันเล่า!


หากเป็นปกติสารินคงไม่พูดกับทาริคแบบนั้นแต่เพราะเห็นว่าดรัญก็ถือหางกันไม่น้อยจึงลองดู อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเมื่อเร็วๆนี้ทางธัมรงค์รัชต์จะได้โครงการบางอย่างไปทำซึ่งมันเป็นผลมาจากการผลักดันของเพย์ตัน ทราบว่าเป็นโครงการใหญ่ไม่น้อย เป็นเช่นนี้สารินจึงพึงใจกับการเสียสละของตนตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา


เพียงเท่านี้ก็ไม่รู้สึกติดค้างบุญคุณอะไรแล้ว และถ้าจะจากไปใจของตนก็พร้อม


“แค่ไม่บอกใครว่าเธอไปไหน หรือไม่ตอบอะไรเกี่ยวกับเธอแม้ว่าเขาจะโทรมาใช่ไหม”


“ตอบว่าผมขอไป ไม่อยากให้ตาม คุณเลยไม่ตามเลยไม่รู้ก็ได้ครับ”


“ก็ยังดีนะที่หาคำตอบมาให้”  ทาริคคงประชด


แต่คำตอบนั้นต้องถูกนำไปใช้จริงๆแม้มันจะดูกำปั้นทุบดินก็ตาม


ทว่าสารินคือเพื่อนรักเพื่อนที่ดีของดรัญ ในระยะเวลาหลายเดือนต้องยอมรับว่าความหัวร้อนของตนถูกดับลงไปมากเพราะเพื่อนคนนี้ จนเรื่องดีๆเหมือนจะเกิดขึ้นรอบตัวอยู่บ่อยครั้ง การจากไปของสาทำให้รู้สึกใจหาย และความประสงค์ดีทำให้ดรัญดื้อรั้นที่จะเป็นคนพาเจ้าตัวมาส่งเอง แน่นอนว่าสารินย่อมไว้ใจกันมากกว่าใครในเพย์ตัน


คอนโดมิเนียมย่านอารีย์คือปลายทางที่สารินขอให้มาส่ง  ดรัญรับคำมั่นว่าจะไม่บอกใครว่าสาอยู่ที่นี่ ซึ่งสาที่ตั้งใจจะย้ายไปอยู่ที่อื่นต่อย่อมสบายใจกับคำสัญญาเหล่านั้น หากธัมรงค์รัชต์จะตามหากัน พวกเขาก็อาจจะนึกถึงฉันเป็นคนแรกๆ ดังนั้นตนจึงได้ขอร้องให้ทางทาริคช่วยยืดเวลาไปให้หน่อยเผื่อว่าจะพอซื้อเวลาต่อไปได้บ้าง


“มาแล้วเหรอเจ้าตัวดี”  ฉันชนกที่ลงมารับที่คอนโดข้างล่างนั้นบ่นเป็นอย่างแรก และสารินก็ทำได้แค่ยิ้มอ่อนๆให้กับคนที่เดินตามฉันมา เป็นการันต์หรือคุณป๊ะของฉันจ๋าที่ลงมารับด้วยกัน และสายตาคู่นั้นที่มองมาก็ทำให้ตนรู้สึกหนาวๆร้อนๆไม่น้อย


ไม่เคยรู้สึกกดดันเมื่ออยู่ตรงหน้าผู้ปกครองของเพื่อนขนาดนี้เลย


“ขึ้นไปกันเถอะ”  การันต์ปรับสีหน้าที่ดูประหลาดใจของตนให้เป็นปกติก่อนจะชี้ชวนให้เด็กทั้งสองคนขึ้นไป เขาแค่ลงมาเป็นเพื่อนลูกที่วันนี้แวะมาหา ไม่คิดว่าจะได้เจอกับเพื่อนของลูกในสภาพแบบนี้


สภาพที่ไม่ต่างจากคนท้อง


“รบกวนด้วยนะครับ”  สารินเอ่ยหลังจากเข้ามาในห้อง ระหว่างทางของพวกเรานั้นมีแต่ความเงียบงัน อ่อ..มีฉันบ่นคนเดียว


เพราะเคยพูดเปรยๆให้ฉันฟัง จึงไม่แปลกหากเพื่อนจะสงสัยกับสภาพที่ดูอวบอัดแปลกๆของคนที่สวมเสื้อตัวใหญ่ดูสบายตัว ทว่าการันต์นี่สิ เขาคิดอะไรอยู่ และเป็นไปได้หรือเปล่าที่เขาจะเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง สารินไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแบบพวกเขา และการมีตัวตนของโอเมก้าก็เป็นความลับเหมือนกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ


“น้องสาเป็นโอเมก้าเหรอ”  ในที่สุดการันต์ก็พูดออกมา แต่สาไม่แปลกใจนัก คนที่ดูแปลกใจกว่าคือลูกชายของการันต์เอง


“ป๊ะครับ!”


“โวยวายทำไมน้องฉัน”  การันต์คิดว่าต่อให้ถามไป ฉันที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็คงไม่สงสัยอยู่ดี ทว่าน่าแปลกที่ลูกกับโวยออกมา


“ทำไมป๊ะถึงรู้ว่าอะไรคือโอเมก้าเล่า”  ในความเข้าใจของเด็กทั้งสองคน การันต์ก็คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง แม้จะเลี้ยงแวมไพร์เป็นลูก ทว่าก็เป็นการรับเลี้ยงต่อมาอีกที มนุษย์ธรรมดาที่ไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกต่างเผ่าพันธุ์อย่างนี้ไม่น่าจะรู้ว่าอะไรคือโอเมก้า แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย


“อา…ป๊ะไม่เคยบอกน้องฉันเลยนี่นะ” การันต์ยิ้มออกมา เขาไม่เคยพูดเรื่องนี้กับลูกเพราะเราอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้กลมกลืนมากกว่าและยังตัดขาดจากที่ที่มาแทบจะอย่างสิ้นเชิงทั้งตัวเขาและวธินที่เป็นพ่อบุญธรรมอีกคนของฉันชนก


 เอาอย่างไรดี เขาควรจะพูดความจริงที่เก็บมายี่สิบกว่านี้ไหม การันต์ค่อนข้างหนักใจ


 “ป๊ะเป็นแวมไพร์เหมือนน้องฉันนี่แหละ”  และเขาก็รับรู้เรื่องตัวตนที่แท้จริงของลูกชายมาตลอดเพราะเราคือสายพันธุ์เดียวกัน


“ทำไม…”


“เพราะเราทำผิดกฎของครอบครัวเลยไม่สามารถกลับไปที่นั่นได้แล้ว ป๊ะกับคุณพ่อถูกตัดออกจากสกุลและไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาอีก เราพาน้องฉันหนีมาไกลถึงกรุงเทพนี่แล้วตั้งใจว่าจะเริ่มต้นใหม่ในฐานะมนุษย์ด้วยกัน”


“ไหนที่บอกผมว่า…” ใช่…ครั้งหนึ่งเราเคยบอกว่าฉันถูกพี่สาวรับเลี้ยงมา แต่เผชิญว่าเธอตายไปแล้วเราจึงต้องรับเลี้ยงต่อ จริงๆแล้วเรื่องเหล่านั้นมันโกหกทั้งเพ


สาเป็นเด็กที่เกิดนอกเผ่าพันธุ์และมีเชื้อสายสืบทอดมาจากอีกตระกูลที่เป็นตระกูลดั้งเดิมซึ่งเหลือน้อยเต็มที ลักษณะทางกายภาพและความสามารถพิเศษบางประการจะแตกต่างออกไป แต่นอกจากนั้นฉันยังมีความพิเศษอื่นๆอีก


“ฉันไม่โกรธพวกเราใช่ไหมลูก”  บอกตรงๆฉันเองก็ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร ตอนนี้มันคงยังเร็วเกินไปกว่าแวมไพร์อ๋องๆตนหนึ่งจะคิดตามอะไรได้ทัน ฉันนั้นผ่านอะไรมามากมาย รู้สึกทั้งกลมกลืนและแปลกแยกจากสังคมโดยที่ไม่รู้ถึงที่มาที่แน่ชัด วันนี้พอได้ฟังคำเฉลยที่มาพร้อมกับเหตุการณ์ประหลาดอื่นๆ จึงไม่แปลกเลยที่จะตั้งรับไม่ถูก


“เรา…ค่อยคุยกันดีกว่าครับป๊ะ สาคงงงกับบ้านเราไปหมดแล้ว”


“ไม่เป็นไรเลยฉัน ทุกคนมีเรื่องราวซับซ้อนในตัวกันหมดนั่นแหละ”  แม้แต่คนที่ต้องการที่พึ่งอย่างสารินยังรู้สึกเห็นใจ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเป็นเกียรติที่พวกเขาไม่ผลักไสและยินดีให้รับฟังเรื่องส่วนตัวภายในครอบครัวเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น…มันก็มีความอึดอัดบางอย่างแฝงอยู่


“สากำลังจะมีน้องใช่ไหม ป๊ะดีใจด้วยนะ”  การันต์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม


“ครับ”


“เพราะงี้ใช่ไหมเลยบอกว่าจะมารบกวนระยะหนึ่ง”  ฉันโพล่งออกมา


“อืม สักสองสามวัน”


“ไอ้บ้า แค่นั้นมันพอที่ไหน!”


“…”


“คนท้องคนไส้จะปล่อยให้ไปไหนคนเดียวได้ไง สารินคิดดีๆสิ นายจะอุ้มลูกหนีไปไหนไกลๆและอยู่อย่างปลอดภัยได้จริงๆเหรอ!”


“อุ้มลูกหนี นี่มันหมายความว่ายังไงกัน”  การันต์ที่ได้ฟังนั้นขมวดคิ้ว เขาไม่รู้เรื่องบทสนทนาก่อนหน้าของเด็กทั้งสอง


“ก็เจ้าเด็กนี่ครับป๊ะ มันโทรหาฉันบอกว่าจะหนีออกจากบ้านขอมาอยู่ด้วยสองวัน”  ฉันได้ทีหันไปฟ้อง และนั่นทำให้การันต์คิดตาม เมื่อนึกถึงครอบครัวของสา เขาก็นึกขึ้นได้ว่าสนธยาแฟนเก่าลูกชายคือพี่ชายของสาริน และแฟนเก่าลูกชายของตนนั้น…คือหมาป่าอัลฟ่า


“มันมีอะไรที่รุนแรงมากๆเกิดขึ้นเหรอสา”  แม้ว่าจะออกมาใช้ชีวิตแบบตัดขาดจากตรงนั้น แต่ด้วยสัญชาตญาณและประสบการณ์ การันต์รับรู้ได้ทันทีว่ามันต้องมีบางอย่างที่เป็นปัญหา สาที่มองใบหน้าของผู้ใหญ่ซึ่งดูเหมือนจะเข้าใจกันมากกว่าที่คิดน้ำตาคลอ ตลอดหลายเดือนหรือหลายปี แม้จะสามารถพูดความรู้สึกหรือความต้องการได้อย่างตรงไปตรงมา ทว่าหลายครั้งก็มักจะเลี่ยงพาไม่ให้ใครเข้าใจอะไรเลย


ไม่นานหลังจากนั้นน้ำตาก็ทะลักออกมาเป็นสาย พร้อมกับเรื่องราวบางส่วนที่ตนได้พบเจอขณะอยู่ที่เพย์ตัน


“โหดร้าย”  ฉันชนกที่เพิ่งได้รับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้านั้นพึมพำออกมา แม้แต่สารินที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในฐานะโอเมก้า ยังไม่สามารถทำใจให้ชินชากับชะตากรรมมากมายที่คนร่วมเผ่าพันธุ์ต้องเผชิญ


“แต่เท่าที่ฟังดู ป๊ะว่าทางธัมรงค์รัชต์น่าจะยินดีพาสากลับไปอยู่ด้วยอยู่นะ”


“ผมก็เคยคิดลังเลเหมือนกันว่าหลังจากท้องลูกให้กับเพย์ตันแล้วเขาอาจจะยินดีให้กลับไปหรืออาจจะไม่” แม้ว่าพวกเขาจะใจดีแค่ไหน แต่สารินก็รู้ว่าเรื่องนี้มันละเอียดอ่อน ถึงจะพากลับไป แต่ไม่ได้หมายความว่าสารินจะยินยอม ในเมื่อถ้าถูกส่งไปได้ การจะกลับไปมองหน้าคนที่ส่งกันไปโดยไม่รู้สึกอะไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก


ต้องมีคนไปและคนนั้นควรจะเป็นสาเอง


ทว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว และสารินก็ซึ้งใจไม่น้อยที่พอจะรับรู้ว่าพวกเขาไม่อยากส่งกันไป ทว่าเหตุสุดวิสัยที่ถูกทาริคจับตัว ทำให้ต้องยินยอมพร้อมใจอย่างเสียไม่ได้ และข้อเสนอของทาริคที่จะมอบให้ธัมรงค์รัชต์ก็หอมหวาน สาที่ท้องลูกของคนที่ไม่คู่ควรย่อมต้องยอมรับและจบมันลงเองด้วยสองมือ


ในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้คือกลับไม่ได้แน่ๆและก็คงไม่ดีหากให้พวกเขารู้ว่าพ่อเด็กคือใครด้วย งั้นทำอะไรส่งกลับไปให้จะได้ไม่ติดค้างกันย่อมดีกว่า และจะจากมาสารินก็พอใจ ต่อจากนี้ก็ไม่รู้ว่าทาริคจะให้ความร่วมมือได้ดีแค่ไหน แต่อย่างไรดรัญก็คงจะช่วยเหลือกันให้ถึงที่สุด


“แล้วอย่างนี้เวลาที่จะคลอดต้องทำที่ไหน”  ฉันถาม พาไปโรงพยาบาลแบบคนปกติไม่ได้อยู่แล้ว


“ปกติมันจะมีพวกศูนย์ที่ดูแลเรื่องแบบนี้ของโอเมก้าอยู่แล้ว” แบบลับๆ ต้องขอบคุณที่ครั้งหนึ่งตนเคยอยู่ในสถานที่แบบไหน หากอยู่ในการดูแลของครอบครัวอัลฟ่าเขาย่อมหาทางให้ทำคลอดอย่างปลอดภัยอยู่แล้ว แต่หากโอเมก้าตั้งท้องโดยอยู่อย่างเป็นอิสระก็ต้องดูแลตัวเอง ในย่านที่สาเคยอยู่มีสถานที่รับทำแท้งหรือทำคลอดสำหรับเผ่าพันธุ์นี้อยู่


“มีเรื่องหนึ่งที่คุณป๊ะสงสัย”  และดูเหมือนว่าพวกเขาพยายามจะถามอ้อมๆมาหลายครั้งแต่คนตอบก็ไม่เคยจะตอบมัน จึงคิดว่าควรจะถามตรงๆดีกว่า หัวใจของคนถูกถามเต้นแรงขึ้นเพราะเหมือนจะเดาได้ว่าคำถามนั้นคืออะไร


“ผม…”


“ตกลงทำไมถึงกลับไปที่ธัมรงค์รัชต์ไม่ได้ล่ะ”  พวกเขาเลี้ยงดูดีต่างจากโอเมก้าคนอื่นๆที่การันต์ได้รับรู้มานัก ไม่มีเหตุผลที่เขาจะทอดทิ้งสารินเลยแม้แต่น้อย จากที่เคยได้ยินจากฉันเกี่ยวกับคุณแพรวรรณ และชื่อเสียงของธัมรงค์รัชต์ที่เคยได้ยินมา การันต์ไม่คิดว่าพวกเขาจะเย็นชาได้ขนาดนั้นจริงๆ


แล้วมันทำไมกันล่ะ


“ไม่ใช่ว่าสา…กำลังปกปิดอะไรอยู่ใช่ไหม” เมื่อการันต์ถามถึงเพียงนี้ ความเงียบงันของสารินก็ยิ่งทำให้ฉันที่เกือบจะลืมเลือนบางอย่างสะกิดใจขึ้นมา และจากสัญชาตญาณที่มีเกี่ยวกับบางเรื่องพร้อมกับเรื่องราวต่างๆที่ได้รับฟังตนก็เริ่มจะปะติดปะต่อมันเอง


สาปิดบังอะไรอยู่กันนะ


แล้วทำไมต้องถึงขนาดหนีออกมาขนาดนี้ด้วย?




TALK:
เห็นมีคนบ่นคิดถึง ความฉดใฉของเรื่องนี้ออกมาแล้วนะคับ และเราก็จะเข้าสู่เนื้อเรื่องที่ขนานกันไปของทั้งสองคู่จากนี้
เรื่องนี้อีกไม่นานก็จบถ้าเราลงทุกวันแบบนี้ ฝากตัวนะคะ คิดว่าภายในต้นเดือนหน้านี้คงลงครบแน่ๆ
#คู่กินคู่กัด

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ไม่พูดไม่ถามกัน ก็คิดกันไปเองเลย

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
- - - - - -
ทุกคน! หยุดอย่าขยับนะ!
(`Д´)
- - - - - -

สายตาของฉันที่มองมาทำให้ขนลุก


“ไม่ใช่ว่าสาน่ะ…” ฉันเปิดปาก


และนั่นทำให้สาต้องกลืนน้ำลาย


“ฮึ่ม”


“…”


“อืม”


อะไรกันคือสิ่งที่อยู่ในหัวของฉันชนกตอนนี้?


“รอแป๊ปนะ หยุดและห้ามขยับเลยนะ” แล้วฉันก็ลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนจะตรงไปหยิบสมุดวาดรูปเล่นของตนมา สารินยังไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเพื่อนนัก และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้อยากให้เห็นเสียเท่าไหร่


“ฉัน…”


“แป็ปนึงสิ”  ฉันก้มหน้าขีดเขียนบางอย่าง คิ้วเรียวขมวดมุ่น ใบหน้าดูครุ่นคิดถึงหนัก แถมยังเงยหน้าก้มลงสลับมองไปมองมา ก่อนจะเกาหัว  “โว้ยยยยยยย”


“ฉันเป็นอะไรลูก”  ในที่สุดการันต์ก็ทนไม่ไหว ท่าทางของฉันนั้นดูวุ่นวายใจ


“ฉันกำลัง…คิด” ใช่แล้ว ฉันกำลังคิด


นี่ฉันโง่หรือโคตรโง่เลยวะ!


“ทำไมมันยากจังวะ”  หรือเมื่อวานจะนอนไม่พอ กับแค่คิดอะไรนิดหน่อยแค่นี้ก็ยังไม่ได้ ทุกอย่างมันเหมือนอยู่ตรงหน้าแต่กระจัดกระจาย พยายามจะเขียนเพื่อรวบรวมความคิดเท่าไหร่ สิ่งที่ติดค้างแต่ไม่อาจจะอธิบายได้จึงไม่ยอมไหลออกมาสักที


“คุณฉัน…โอเคไหมอ่ะ” สาที่เห็นเพื่อนวุ่นวายอยู่นานแล้วเลยร้องถาม แต่คนขี้สงสัยกลับหันมามองค้อน


“ชู่ว!”  เห็นเช่นนั้นสารินก็ยิ้ม ไม่ว่าเมื่อไหร่ต่อให้ซีเรียสแค่ไหน ความเต็มที่ของฉันก็ทำให้รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้มันไม่ได้น่าเศร้าซึมเลย


“คุณฉันแค่กำลังปะติดปะต่อเรื่องของเรากับที่บ้าน เรื่องโอเมก้า อัลฟ่า และเรื่องที่เราเป็นโอเมก้า เรื่องพี่สนเป็นอัลฟ่า และเรื่องที่ว่าเรากลับไปไม่ได้ และเรื่องที่ว่าบ้านอัลฟ่าจะไม่มีลูกกับโอเมก้าที่ตัวเองซื้อมาไว้ใช่ไหม”


“ใช่ๆ”  ทำไมสาถึงพูดทุกสิ่งในหัวที่ฉันกำลังเทียบออกมาได้อย่างง่ายดายแบบนี้ล่ะ


“เพราะเราท้องกับพี่สน เราเลยทรยศต่อธรรมเนียมของที่บ้าน และเพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับใครเราเลยต้องหนีมาไง”


“นั่นแหละใช่เลย”  สาลุกขึ้นยืน นี่แหละคิดสิ่งที่กำลังคิดรวบรวม  “เฮ้ย!”  แต่นี่มันเรื่องร้ายแรงนี่หว่า?!!


“ฮือออออ คุณฉัน เราท้องอยู่ อย่าทำให้เราขำสิ”  สาขำแล้ว ทั้งๆที่สถานการณ์มันไม่มีอะไรน่าขำเลย


“เป็นไอ้…” ฉันกำลังจะด่าแล้วแต่พอเหลือบไปเห็นสายตาบุพการีก็ต้องหุบปากฉับ คุณป๊ะไม่ชอบให้พูดคำหยาบ แต่คนอย่างสนธยามันก็สุดแสนจะหาคำด่าแล้ว “ขำทำไม! ตลกเหรอถามจริง!” นี่สารินคือกำลังทุกข์อยู่หรือเปล่า ทำไมหัวเราะเป็นบ้า


“ก็ฉันตลกอ่ะ ถ้าเราแท้งลูกเพราะหัวเราะบ่อยเกินไปนี่โทษฉันเลยนะ”


“แท้งไม่ได้เด็ดขาดนะ นี่หลานเรา เราจะเลี้ยง”  ไม่ยกให้ไอ้พ่อนั่นหรอก


“ฉันได้เลี้ยงแน่ เราเลยมาหาให้ฉันเลี้ยงไง”


“…”


“เอาไว้ให้เราหาที่อยู่ได้แล้วจะติดต่อมาให้แอบไปเลี้ยงหลานนะ”  ทว่าอะไรแบบนี้ทำไมฉันถึง…


ไม่ชอบใจเลยนะ?!


คนท้องที่เดินทางมาหานั้นขอตัวไปนอนกลางวัน และในตอนนี้ฉันก็ได้มานั่งอยู่กับการันต์อย่างเป็นส่วนตัวมากขึ้น เรื่องราวที่ได้ฟังในวันนี้มันมีมากเกินไป คิดว่าตัวเองคงยังวิเคราะห์ข้อมูลได้ไม่หมด แต่ที่แน่ๆที่รู้สึกได้ คือเรื่องแวมไพร์อะไรนี่…ฉันถูกปกปิดมาตลอด


“น้องฉันโกรธป๊ะเหรอ”


“ก็อยากจะโกรธ” แต่ว่าโกรธไม่ลง


“ป๊ะก็ไม่ได้อยากให้น้องฉันเข้าใจหรอก แต่ทั้งหมดเราก็คิดมาแล้วว่ามันเพื่อครอบครัวเรา”


“ป๊ะคิดว่าอยากให้เราเป็นมนุษย์มากกว่าเหรอ”  การันต์ที่รับฟังคำถามนั้นเงียบไป


“แวมไพร์ที่รักกับมนุษย์หมาป่าน่ะ…ไม่น่าจะจบดีจริงๆใช่ไหม” และนี่คือข้อเท็จจริงอีกอย่าง…ที่ฉันชนกไม่เคยรู้


ไม่ใช่แค่การันต์ที่เป็นแวมไพร์  แต่วธินคู่ชีวิตนั้นเป็นมนุษย์หมาป่าอัลฟ่าซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ไม่ค่อยจะถูกคอกันในอดีตนัก แม้ในปัจจุบันจะไม่มีความบาดหมางรุนแรงอะไรกันอีก แต่อคติของครอบครัวหัวเก่าอย่างบ้านของวธินและการันต์นั้นไม่ว่าจะหยิบยกเหตุผลอะไรขึ้นมาก็ไม่มีวันยอมรับกันและกัน


นั่นคือเหตุผลที่คนสองคนซึ่งหลงรักกันตั้งแต่แรกพบและนับวันก็ยิ่งจะเพิ่มพูนยอมสละทุกอย่างที่ตนมีเพื่อหนีออกมา พร้อมกับความตั้งใจที่ว่าหากเผ่าพันธุ์คือตัวฉุดรั้งความสุขทางใจของเรา เราก็พร้อมจะปลดเปลื้องสิ่งนั้นและเป็นสิ่งอื่นที่มอบอิสระได้มากกว่า


ซึ่งคำตอบนั้นคือมนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่มีมากมายที่สุด หากแต่ไม่ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของกลุ่มคนอื่นซึ่งอยู่รอบกาย


เพราะมนุษย์นั้นมีมากมาย การเป็นมนุษย์หรือการกลมกลืนไปกับพวกเขานั้นอาจจะช่วยพรางตาคนที่อาจจะตามหากันอยู่ และมันก็สำเร็จมาเป็นเวลานาน ทั้งนี้การที่จะทำให้สำเร็จได้ ไม่ได้เพียงการหลอกคนอื่น


หากไม่หลอกตัวเองให้เนียน เราจะไปหลอกใครได้


“ป๊ะขอโทษนะลูก”


“แต่ป๊ะกับพ่อพาฉันไปหาหมอรักษาโรคไม่รับรส”  ทั้งๆที่การันต์รู้ถึงอาการนี้กว่าใคร แต่เขาก็ยังทำมัน หากฉันรู้ว่าสิ่งที่ตนเป็นมันไม่ได้ประหลาดหรือน่ากลัวแต่อย่างใด ชีวิตคงไม่มีวันเป็นแบบนี้


บางทีอาจจะรับมือคนแบบภูวนัยได้มากกว่าที่คิด


“แต่ความลับไม่มีในโลกจริงๆ ดูเหมือนว่าน้องฉันก็รู้ตัวเองแล้ว”


“…”


“อยู่ๆทำไมถึงรู้ได้ล่ะ”  การันต์มั่นใจว่าฉันชนกไม่น่ารู้ตัวเองได้หากไร้ซึ่งสิ่งกระตุ้น เด็กคนนี้ถูกเลี้ยงในฐานะมนุษย์มาโดยตลอด แม้จะมีโรคประหลาดน่าสงสัย แต่ว่าก็อยู่ในฐานะมนุษย์ที่ไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของเผ่าพันธุ์ที่แตกต่าง มันเป็นไปได้ยากที่จะรู้ได้ด้วยตนเอง


มิหนำซ้ำสายเลือดอีกครึ่งที่เป็นมนุษย์ก็ทำให้ฉันห่างไกลจากความเป็นแวมไพร์ที่มีสัญชาตญาณพร้อมแต่เกิด


“มันมีคน…บอกมา”


“แวมไพร์?”  การันต์ถาม  “หรือว่าน้องสาเป็นคนบอก จะอย่างไรเด็กคนนั้นก็โอเมก้านี่เนอะ”  และโอเมก้าก็รับรู้ความเป็นไปของโลกมากกว่ามนุษย์ทั่วไป ไม่แปลกที่เด็กสองคนคบกันจะไม่เห็นความแปลกประหลาดของอีกฝ่าย สารินย่อมมองออกที่ว่าทำไมฉันถึงกินอะไรไม่รู้รส


“อืม สารู้”  ความเป็นจริงนั้นสารินรู้ดีว่าฉันเป็นแวมไพร์หากแต่ไม่เคยพูดให้รู้ เป็นใครอีกคนนั้นเองที่กระตุ้นกันได้มากกว่า ทว่าชื่อของคนๆนั้น หรือตัวตนที่เขาเป็น ไม่ได้ถูกเอ่ยออกไป


“ป๊ะก็โล่งใจที่ต่อไปเราจะได้เปิดอกคุยกันสักที”  เขาเองก็เก็บงำมันมาไว้นานแล้ว  “น้องฉันไม่โกรธป๊ะกับพ่อใช่ไหม”


“ไม่โกรธหรอกครับ” ไม่โกรธหรอก จะอย่างไรเขาก็ทำเพราะหวังดีกับครอบครัวด้วยส่วนหนึ่ง เรื่องบางเรื่องให้เป็นความลับก็อาจจะดีกว่าจริงๆ


อย่างเรื่องของไพร์มเองก็เช่นกัน…


การันต์กลับไปแล้วและคนท้องก็ตื่นแล้ว เหลือฉันชนกกับสารินอยู่ในห้องของคอนโดเพียงสองคน  เราสองคนนั่งเงียบๆ แม้มีอะไรจะพูดเยอะแยะแต่ก็เลือกที่จะเงียบเสียมากกว่า อย่างไรถ้าเราพูดออกมา ต้องมีคนค้านแน่ๆ


“เรื่องที่สาบอกว่าจะขออยู่ด้วยครู่หนึ่งน่ะ เราปรึกษาป๊ะแล้วนะ”


“…”


“เราว่าอยู่ด้วยกันจนกว่าจะคลอดดีกว่า มันไม่ปลอดภัย”


“ฉัน…”


“อย่าเถียงเรานะ”


“ยังไม่ได้กะจะเถียงสักหน่อย แต่ว่ามันวุ่นวายฉัน แค่นี้เราก็เกรงใจจะตายอยู่แล้ว”


“ไหนบอกว่าจะไม่เถียงไง”  ฉันนับหนึ่งถึงสิบ  “มันวุ่นวายตรงไหน สาจ๋าก็เพื่อนฉัน แถมเด็กในท้องก็หลานฉันป่ะ”


“แต่ว่า”


“แล้วเราก็…รู้สึกผิดที่ช่วยอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ด้วย” จริงๆแล้วฉันน่ะ ถ้าหัวไวกว่านี้สักนิด เรื่องมันอาจจะไม่เป็นเช่นนี้ก็เป็นได้


ตนเองเหมือนจะรู้อยู่แก่ใจว่าสาและพี่สนมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาต่อกัน ในตอนนั้นที่เลิกกับพี่สนก็เคืองๆสาอยู่บ้างที่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตนถูกบอกเลิก แต่ถ้ามองดีๆก็จะพบว่าตอนนั้นตัวสาไม่ได้อะไรเลย ตนต่างหากที่เหมือนจะถูกพี่สนใช้เป็นเครื่องมือเข้าไปใกล้ชิดสา


สาเว้นระยะห่างดีแล้ว แต่เพราะฉันทำให้ระยะห่างนั้นๆค่อยๆแคบลงจนมันกลายมาเป็นเช่นนี้  มันอาจจะเป็นสัญชาตญาณของฉันชนกเองก็เป็นได้ที่รู้สึกเช่นนั้นระหว่างคบกัน สนธยานั้นเย็นชามาก แต่ถ้าพูดเรื่องเกี่ยวกับสาริน ก็ดึงความสนใจของเขามาได้ จนกระทั่งตอนนี้ฉันชนกมั่นใจ


ว่าเขาก็คงรักน้องชายคนนี้ไม่น้อย แต่ทำอะไรโจ่งแจ้งไม่ได้ จึงต้องแอบอยู่ข้างหลังฉันและรุกคืบเข้าไปหาสาแบบนี้


และคนสองคนก็เหมือนจะรักกัน ฉันคิดว่ามันคงเป็นเช่นนั้นแม้ว่าสารินจะแสดงออกว่ารักชอบต่อหน้าคนอื่นน้อยเหลือเกิน เมื่อคิดดูดีๆสารินจะมีอารมณ์ที่หลากหลายเมื่อฉันชวนคุยเรื่องของพี่สน บางทีมันก็อาจจะมากกว่าที่มีให้กับธนนเสียด้วยซ้ำ


คนรักกัน ทุกอย่างก็เหมือนจะเป็นไปได้โดยง่าย ทว่ากฎ ธรรมเนียม ธรรมชาติของเผ่าพันธุ์บ้าบออะไรที่ทำให้คนสองคนถูกพรากมาแบบนี้ ฉันในฐานะที่ใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาคนหนึ่งไม่อาจจะยอมรับ


ทว่าเมื่อรับรู้เรื่องของวธินกับการันต์ที่เป็นแวมไพร์และมนุษย์หมาป่าที่ต้องหนีออกมาเพราะเลือกกันและกัน บางทีเรื่องที่ฉันมองว่าไร้สาระ สำหรับคนกลุ่มหนึ่งมันคือพันธะผูกพันของชีวิตที่ไม่อาจจะพลาดพลั้งได้จริงๆและนี่คือเหตุผลที่ฉันคิดว่าจะต้องเข้าข้างสารินให้ถึงที่สุด เพราะนอกจากฉันแล้ว ตนก็ไม่นึกว่าเพื่อนจะมีใครอื่นให้พึ่งพาได้


เนี่ย…จริงๆก็ยังเอาตัวไม่รอดนะ


แต่ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน…


“แต่อยู่กับฉัน ที่บ้านตามเจอแน่นอน”  ธัมรงค์รัชต์นั้นสามารถตามหาสาเจอได้ ขนาดถูกเพย์ตันจับตัวไปพี่สนยังหาเจอ นับประสาอะไรกับของตายแบบฉันชนกล่ะ เมื่อสาพูดเช่นนั้น ฉันก็กัดริมฝีปาก คิดดูๆดีแล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆแล้วอย่างนี้จะไปปกป้องสาได้อย่างไร


“เราต้องหาวิธี”


“เอาเราไปไว้บ้านพ่อฉันก็เจออยู่ดี”  แล้วไม่รู้ว่าป๊ะกับพ่อจะยินดีอยากเข้าไปเกี่ยวพันกับคนในเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่าหรือเปล่า ในเมื่อพวกเขาพยายามหนีกันมานาน ฉันนี่แม่ง ไร้ประโยชน์ว่ะ


“เรามีวิธี”  เมื่อกี้คือยังจะหาวิธีอยู่เลย


“วิธีอะไร”


“เรารู้จักคนๆหนึ่ง”


“ใครอ่ะ”


“เรามั่นใจว่าเขาต้องเลวเอ้ย! ร้ายพอๆกับพี่สนแน่ๆ”


“เรารู้จักไหม”


“ก็รู้จักอะแหละ”


“…”


“คุณไพร์มน่ะ เจ้าของร้านกาแฟที่เป็นเพื่อนรุ่นน้องของพี่สน”


“คุณคนนั้นที่ฉันเคยบอกว่าเหมือนเขาจะจีบอะเหรอ”


“จริงๆแล้วเขาไม่ได้จะจีบเราหรอก”    มาถึงจุดนี้ก็คือต้องอธิบายเสียหน่อย  “เขาแค่อยากให้เราช่วยดูดเลือดออกไปบ้างน่ะ”  ความสัมพันธ์ของฉันกับคุณไพร์ม…มันเป็นอะไรแบบนั้นจริงๆ


สาเงียบไป เรียกว่าไม่เข้าใจเลยช็อกไปแล้วมากกว่า ก็นะใครมันจะชอบให้แวมไพร์ดูดเลือด แต่มันก็มีมนุษย์ประเภทหนึ่งที่จำเป็นต้องเอาเลือดออกไม่เช่นนั้นร่างกายจะแย่ลง ฉันไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เพราะตนเองก็ไม่ได้ทราบรายละเอียดมากมาย ที่รับรู้บ้างอาจจะเป็นในส่วนของลักษณะนิสัยที่ว่าภูวนัยอาจจะไม่ใช่คนดี


และเป็นคนไม่ดีที่กำลังพยายามจะต่อรองบางอย่าง


บอกสาไม่ได้เด็ดขาดเรื่องนี้ มั่นใจได้ว่าสาย่อมไม่ยินยอมให้ฉันไปทำอะไรเสี่ยงๆแน่ๆ แต่ฉันก็คิดมาดีพอสมควรเหมือนกัน ก่อนนี้ที่เคยได้ยินข้อเสนอ ฉันเองก็ไม่ได้คิดมากอะไร ก็แค่อาจจะต้องถูกเจาะเลือดไปตรวจสอบและอาจจะถูกซักประวัตินั่นนี่ ก็เท่านั้นเอง เพียงแต่ว่าฉันอาจจะต้องให้ความร่วมมือมากหน่อย


ดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร แต่ทว่าจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้ตอบตกลงใจไปก็เท่านั้น เพราะอะไรนะเหรอ เพราะฉันไม่ได้มั่นใจว่ามันจะง่ายแบบนั้นนะสิ หากทางฝั่งแวมไพร์รู้ว่ามีแวมไพร์นอกคอกตัวหนึ่งทำเช่นนั้นลงไป มันอาจจะสร้างความไม่พอใจให้กับพวกนั้นได้ แต่ตอนนี้ความจำเป็นของสาริน และสิ่งที่ได้ยินความจากปากของการันต์ ฉันชนกคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องถนอมน้ำใจกันอีก


แม่ของฉันถูกคนในเผ่าหักหลังและตายอย่างอนาถ


ส่วนคนที่รับดูแลฉันมาก็ถูกขับออกจากเผ่าอย่างเลือดเย็น


ช่างหัวแวมไพร์มัน หากว่าสิ่งที่จะทำลงไปนี้คือการช่วยให้มนุษย์แบบคุณไพร์มตัดขาดจากเผ่าพันธุ์นั้นได้ ต่อให้แวมไพร์จะสูญเสียผลประโยชน์มากมายเท่าไหร่ ฉันชนกก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ ในเมื่อโตมาขนาดนี้เพราะทาครีมกันแดดทุกสองชั่วโมงยังทำจนชินได้ จากนี้จนตายฉันชนกก็ไม่คิดว่าตัวเองจะลำบากอะไร


มิหนำซ้ำคุณไพร์มคนนั้นยังยื่นข้อเสนอให้ฉันสามารถรับเลือดของเขาเพื่อคงสภาพภูมิต้านทานของร่างกายได้อีกต่างหาก ถ้าเราพูดคุยตกลงกันเรื่องข้อเสนอดีๆได้แล้วล่ะก็ ฉันชนกคิดว่าคงจะให้ความร่วมมือกับเขาได้แน่ และนี่คือเหตุผลที่ใช้ให้สารินทำอาหารอยู่ที่ห้อง และตนก็บอกไปว่าจะออกมาซื้อเลย์กินแก้เครียด


แต่จริงๆแล้วเลี้ยวไปเคาะประตูห้องถัดๆไป ก๊อกๆ


“มีอะไรเปล่าครับคุณฉัน”  ไพร์มที่อยู่ในชุดลำลองนั้นเดินออกมาเปิดประตูให้ เขาได้ยินเสียงเคาะที่ดังไม่มากก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นใคร แต่เกรงว่าถ้าไม่รีบมาเปิดเสียงที่ดังไม่มากจะดังก้องไปทั้งชั้นให้คนอื่นๆหันมาสนใจด้วยเช่นกัน


“มีเรื่องจะคุยด้วย”


“เราจะคุยไปกัดไปก็ได้ครับ”  เขาพูดแบบติดตลก แต่อีกคนไม่แม้แต่จะหัวเราะ แวมไพร์ตัวน้อยแยกเขี้ยวคู่นั้นใส่ น่ารักเหมือนแมวน้อยพองขนในสายตา  “ผมพูดจริงๆนะ เผื่อคุณฉันคันฟัน”


“คนบ้าอะไรจะไปคันฟัน ไม่ใช่หมานะ!”  ฉันชนกโวยกลับไปแต่กระนั้นก็เดินตามเข้าห้องราวกับเป็นพื้นที่ของตน ความคุ้นเคยทำให้การแสดงออกดังกล่าวดูเป็นธรรมชาติ


“ไม่งั้นมันมีอะไรกันละครับที่ทำให้คุณฉันมาถึงที่นี่”


“…”


“หรือว่าหิว งั้นลงไปซื้อของสดกันมาก่อน”


“วันนี้ฉันมีคนมาทำข้าวให้กินแล้ว” ภูวนัยเลิกคิ้ว แปลกใจเล็กน้อย  “ฉันจะมาคุยกับคุณไพร์มเรื่องข้อเสนอ”  ฉับพลันหัวใจของเขาก็เหมือนจะเต้นแรงขึ้นมา ความปิติยินดีท่วมล้นจนแสดงออกทางใบหน้า


“เซ็นสัญญาเลยไหมครับ”


“ถ้าข้อเสนอมันลงตัวนะ!”  น่าเสียดายที่ต่อรองไม่ง่ายเลย แต่ได้ยินว่ามีหนทางให้ได้ไปต่อ เขาย่อมดีใจ


“งั้นเรามาคุยกันเลยดีกว่า ว่าคุณฉันอยากได้อะไร” เขาผายมือให้อีกฝ่ายได้นั่งลงบนโซฟาห้องนอน เป็นการติดต่อธุรกิจ…ที่เป็นส่วนตัวมากเกินไปหน่อยไหม


ฉันขอรับทราบรายละเอียดที่ฉันต้องทำหากเซ็นสัญญา อย่างที่เคยบอกไว้ เขายังยืนยันว่ามันจะมีแค่การเจาะเพื่อนำเอาของเหลวในร่างกายของฉันซึ่งตอนแรกก็เข้าใจว่ามันคือเลือด แต่คุณไพร์มอธิบายเพิ่มเติมว่ามันจะต้องเจาะเข้ากระดูก ฉันชนกกลืนน้ำลาย ดูท่าจะเจ็บไม่น้อย แต่เขาก็ปลอบโยนกันว่ามันจะไม่เป็นไร


“ผมจะเอาไปไม่เยอะ จะค่อยๆใช้”


“แล้วถ้าเอาไปแล้วมันไม่ได้อะไรขึ้นมา คุณไพร์มจะมาเอาอะไรกับฉันอีกไหม”  เขาเงียบ  “เช่นอวัยวะภายในหรืออะไรแบบนี้ ฉันยังไม่อยากตายนะ”


“ถ้าทำอย่างนั้นผมอาจจะโดนสอบสวนเรื่องศีลธรรมและทำตัวเองเข้าคุกไปด้วยนะ ฮะๆ”


“…”


“ไม่ต้องกลัวครับคุณฉัน ผมรับรองความปลอดภัยแน่นอน”  ใบหน้าของคนฟังยังดูหวั่นๆ “ระบุในสัญญาไว้เลย”  แต่ฉันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว


“ผมมีเรื่องให้คุณไพร์มช่วย”  เมื่อฉันชนกแสดงความต้องการออกไป


ภูวนัยก็แสดงออกถึงความคาดไม่ถึงและแปลกใจในคราเดียว


ความต้องการทั้งหลายถูกบอกออกมา ฉันอยากจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าการกระทำการต่างๆจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกาย เรื่องนี้ฉันชนกไม่ไว้ใจใครและคิดว่าคงจะดีหากได้ยืนยันกับปากคนที่เป็นแวมไพร์เหมือนกันสักครั้ง และคนๆนั้นคือการันต์ที่ไม่ควรจะทราบเรื่องราวทั้งหมด แน่นอนว่าถ้ายืนยันความปลอดภัยได้แล้ว การเซ็นสัญญาย่อมไม่มีปัญหา


ส่วนผลตอบแทนที่ควรจะได้หรือค่าเสียเวลา ฉันชนกไม่ขอรับในรูปแบบใดนอกจากความช่วยเหลือทางการพักพิง มาถึงตรงนี้คนฟังย่อมแปลกใจ มีเหตุอะไรให้ฉันจะต้องหาที่พักใหม่ในเมื่อตรงนี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อฉันอธิบายต่อเขาก็เข้าใจ ว่าทั้งหมดนี้มันไม่ได้เพื่อตัวเอง


แต่เพื่อเพื่อนสนิทอีกคน


“อันนั้นผมพอจะจัดหาให้ได้อยู่แล้ว แต่เพื่อนของคุณฉันไปทำผิดอะไรมา”


“…”


“อย่างน้อยผมก็ควรรู้ว่าตนกำลังจะถูกข้อหาสมรู้ร่วมคิดอะไร จริงไหม?”  ต่อให้การได้พัฒนาสินค้าเพื่อรายได้และผลประโยชน์มหาศาลจะหวานหอมในความรู้สึก แต่คำขอร้องที่เจือกลิ่นอายอันตรายก็ใช่ว่าจะละเลยได้ คนถูกถามกลับก้มหน้าลง พยายามหาคำพูดที่เป็นความจริงและคำโน้มน้าวในกรณีที่เขาจะไม่เห็นด้วย  “คุณฉันจะไม่ใจร้ายกับผมเกินไปหน่อยเหรอครับ” 


“ฉันก็แค่…” มันก็ไม่แฟร์ต่อภูวนัยสักเท่าไหร่ เขาไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ทว่าเจ้าตัวนั้นกำลังสนุกที่ได้ดูใครบางคนงัดเอาทุกอย่างมาต่อรองกับเจ้าพ่อการต่อรองแบบเขา ในแง่ของอายุ ไพร์มไม่ได้อายุเยอะกว่าฉันนัก แต่ในแง่ของประสบการณ์ เขาเป็นต่ออย่างแน่นอน


ใครจะไปรู้ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้างถึงได้มีตัวตนจนถึงทุกวันนี้


“คิดว่าถ้าเป็นคุณไพร์มล่ะก็ น่าจะกันพี่สนออกไปได้”


“พี่สน?”  เป็นชื่อที่ฟังเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยพอใจ เดิมทีเขาไม่ได้อคติเพื่อนรุ่นพี่แต่เมื่อได้รู้จักกับฉันที่เคยมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนนั้น ความรู้สึกที่มีต่อกันก็เปลี่ยนไป เอาเป็นว่าเขาไม่ชอบใจ แต่ไม่ใช่เหตุผลอะไรที่จะไม่รับฟัง


“เขา…เขาทำเพื่อนของฉัน” ฉันนั้นลังเลเหลือเกินที่จะพูดความจริงให้เขาฟังทั้งหมด จะอย่างไรพวกเขาก็รู้จักกัน และเผื่อๆอาจจะรู้จักกันดีกว่าที่ฉันหรือสารู้จักเสียด้วยซ้ำในบางแง่ และคนเหล่านี้สามารถพลิกแพลงอะไรหลายอย่างๆแค่มีข้อมูลเพียงหยิบมือเท่านั้น


“กันเพื่อนคุณฉันจากพี่สน แสดงว่าพี่สนจะตามหาเขาเหรอครับ”  ไพร์มนั้นดูออกไม่ยาก


“อืม”  ฉันชนกก้มหน้าลงไปอีกครั้ง  “เพื่อนของฉันท้องอยู่ด้วย”  ดวงตาของเขาวาววับขึ้นมา สิ่งที่ได้รับรู้ทำให้หัวใจเต้นแรง รอยยิ้มแปลกๆนั้นหายไปเกือบจะทันทีที่ฉันชนกเงยหน้าขึ้นมา


“ท้องกับใครเหรอครับ”  เขาเหมือนจะได้ยินอะไรประหลาดๆเกี่ยวกับเพย์ตันมาเมื่อเช้านี้เอง


“ไม่สำคัญหรอก แต่เขาแค่ไม่อยากกลับไปอยู่ที่บ้านคนใจร้ายพวกนั้นแล้ว”  ฉันชนกที่เลี่ยงจะพูดว่าใครเป็นพ่อนั้นใช้วิธีผลักให้ธัมรงค์รัชต์เป็นพวกร้ายๆ จะอย่างไรคนที่ซื้อชาวบ้านมาใช้งานแบบนั้นก็ย่อมไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว  “คุณไพร์มจะช่วยฉันไหม”


“อืม…นั่นสินะครับ”


“หรือคุณไพร์มจะเข้าข้างพวกพี่สน”  ดวงตาที่จ้องมองกันกลับมาเต็มไปด้วยความคาดหวัง


“ผมเลือกคุณฉันครับ”  เขาตอบกลับเช่นนี้  “ขอแค่คุณฉันไว้ใจและช่วยเหลือผม ไม่ต้องกังวลเรื่องคนบ้านนั้นจะเข้าถึงเพื่อนคุณฉันเลยครับ”  อย่างที่ฉันชนกคิดไว้จริงๆ แม้จะยังไม่รู้ว่าเขาจะทำ หรือทำได้อย่างที่พูดไหม แต่การที่จะต่อกรกับคนแบบสนธยา ธัมรงค์รัชต์


จำเป็นต้องเป็นคนที่ชื่อ ‘ภูวนัย สุธาสกุล’


- - - - - -
วันนี้ฉันกินเจ!
⊂((・⊥・))⊃
- - - - - -




“วันนี้ฉันกินเจ ไปล่ะนะ”  นั่นแปลว่าเขาต้องม้วนลิ้นตัวเองกลับไป เพราะฉันไม่ใจดีจะดื่มเลือดใครวันนี้


ไพร์มกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเอง ดูคนที่เข้ามาต่อรองเดินออกไปจนประตูห้องปิด พร้อมด้วยความสบายใจที่มาจากหลายหนหลายแห่งแต่รวมๆแล้วมันมาจากคนๆเดียว ถ้าให้เลือกระหว่างสนธยาที่ไม่ค่อยมีผลประโยชน์ร่วมในช่วงหลังนี้ กับความหวังหนึ่งเดียวของเผ่าพันธุ์ แน่นอนว่าคนอย่างเขาต้องเลือกอย่างหลังที่สำคัญกว่าอยู่แล้ว


แต่คุณฉันคนนั้นจะรู้ไหมว่าการให้ไปรับมือกับคนๆนั้นที่พุ่งเป้ามาทางนี้มันวุ่นวายแค่ไหน ภูวนัยจึงตั้งใจจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แต่หากเกินกว่านี้เขาก็ไม่คิดว่าจะต้องแลกทุกสิ่งเพื่อบางอย่างที่ไม่เหมาะสม เขาแค่พูดว่าเขาเลือกจะช่วยคุณฉัน แต่ในความเป็นจริงเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวลำบากด้วยซ้ำ


คนที่มีปัญหากับทางนั้นน่ะคือเพื่อนที่เป็นน้องสนธยาไม่ใช่เหรอ ฉันรู้ว่าเขาไม่เชื่อในทุกสิ่งที่ฉันพูดแน่นอน เด็กคนนั้นจึงเลือกที่จะพูดความจริงแค่บางอย่าง เท่าที่ไพร์มรู้มา มันไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้หนีจากธัมรงรัชต์ เว้นเสียแต่ว่าเด็กคนนั้นจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือต่อๆไป


ทว่าโอเมก้าที่ท้องแล้วก็เท่ากับมีราคี การจะใช้ซ้ำหากไม่ทำโดยเพย์ตันที่ประกาศตัวว่าเป็นพ่อเด็กคนแรก ก็เกรงว่าจะใส่ตระกร้าย้อมส่งให้ใครต่อไปไม่ได้ แล้วมันมีเหตุผลอะไรให้รับกลับหรือว่าเด็กคนนั้นไปรู้อะไรที่อาจจะทำให้เพย์ตันต้องหวั่นใจ ถ้าอย่างนั้นการให้ความช่วยเหลือในเรื่องใหญ่เช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเขาต้องเป็นศัตรูกับทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่าเลยหรือนี่


แต่อีกส่วนหนึ่งของความรู้สึกเขาไม่คิดว่ามันเป็นอะไรที่ใหญ่ระดับนั้นหรอก เพราะเช่นนั้นเพย์ตันคงไม่ปล่อยให้ออกมาง่ายๆ อันที่จริงๆคำว่าหนีมามันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับที่นั่น สิ่งที่เขารับรู้คือทางนั้นยังคงเงียบอยู่แต่คนพูดกันมากมายว่าโอเมก้าที่อุ้มท้องให้ทาริคไม่ได้อยู่ที่บ้านนั้นแล้ว ปล่อยออกมาง่ายดายก็แสดงว่าไม่ได้สำคัญอะไรนัก


แต่สำคัญจนทำให้ธัมรัชต์ต้องตามหา ถ้าไม่ใช่เพราะรักและผูกพัน
เด็กในท้องของโอเมก้าคนนั้นคงสำคัญจนต้องรีบตามหาให้เจอ



Talk
เมื่อวานเปิดตัวน้องฉัน วันนี้ก็เปิดตัวตัวร้ายของเรื่อง555หลอกๆ
ตอนนี้เรื่องของทั้งสองคนบรรจบกันเรียบร้อยแล้วค่ะ
จะพยายามมาทุกวันนะคะ
#คู่กินคู่กัด

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
- - - - - -
ฉันยอม ยอมทุกอย่างจริงๆ
(;へ:)
- - - - - -


“ทำไมฉันถึงไปส่งสาไม่ได้อ่ะ” ฉันชนกโวยวาย หลังจากที่เราตกลงในทุกเงื่อนไข มีหัวข้อนี้เท่านั้นที่รับไม่ได้และไม่สบายใจ


“เพราะการเคลื่อนไหวของคุณฉันอาจจะทำให้พวกพี่สนจับได้ไงครับ”


“ฉันจะเดินเบาๆ”


“นั่นก็ไม่เกี่ยวอยู่ดี”


“แล้วฉันจะรู้ได้ไงว่าสาปลอดภัยอยู่สุขสบาย”


“ผมไม่ได้มาจากบ้านป่าเมืองเถื่อนครับ เอาไว้ให้คุณสาไปจริงๆแล้วโทรมารายงานกับคุณฉันดีไหม”


“แต่ถ้าคุณไพร์มส่งเพื่อนฉันไปอยู่ไกลๆแล้วถ้ามีอะไรฉันจะช่วยเพื่อนได้ไง”


“ตัวแค่นี้ทำเก่ง เราจะไปช่วยอะไรได้ครับ ช่วยส่งกำลังใจห่างๆก็พอเนอะ เรื่องช่วยคุณสาผมมีส่งโอเมก้าที่เคยดูแลโอเมก้าที่กำลังท้องอยู่ไปด้วย รับรองว่าดูแลดีกว่านี้ไม่มีแล้วจริงๆ”


“ฮื้อออออ”


“เชื่อผมเถอะครับคุณฉัน เป็นเด็กดี นอนให้ผมเจาะกระดูก ถ้าฟื้นแล้วหิวก็ลุกมาดื่มเลือดผมและสลบต่อ”


“ไม่ใช่ว่าตื่นมา หลานของฉันวิ่งได้แล้วงี้นะ” 


“ก็จะนอนกินบ้านกินเมืองไป ถ้าคุณฉันไม่ตื่นก็คือขี้เซาแล้วมาโทษผมเอง มันไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น คุณฉันก็ไปหาข้อมูลมาเองแล้วนี่ครับ”  ใช่…ฉันไปหลอกถามป๊ะมา มันก็ดูจะไม่รุนแรงอย่างนั้นหรอก


แต่ความจริงทางกายภาพที่ออกจากปากการันต์นั้นทำให้ฉันช็อกไปแล้วจริงๆ


ทั้งเรื่องที่ว่าร่างกายมีเลือดติดตัวแต่ผลิตได้น้อยมากยิ่งกว่าคนเป็นโรคโลหิตจางหลายเท่า ตอนนี้หากดูดเลือดฉันออกมาคงเป็นเลือดคุณไพร์มไปแล้วเกินครึ่ง ระบบอวัยวะของฉันนั้นคล้ายมนุษย์แต่การทำงานนั้นโชคดีที่ได้รับวิตามินบำรุงที่ทานตลอดเข้าไปช่วยส่งเสริมให้ทำงาน แต่ถ้าได้เลือดมาจริงๆก็จะสุขภาพดีมาก ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้วเย้!


หลายอย่างที่ฉันทำในชีวิตประจำวันทั้งเรื่องการทานอาหารเสริมหรือทาครีมกันแดดยี่ห้อที่ป๊ะซื้อให้ทุกสองชั่วโมงมาตั้งแต่เด็กและไม่เคยเปลี่ยนยี่ห้อไหนเพราะขี้เกียจเกินไป กลายเป็นว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้นั้นตรงกับความต้องการของร่างกายจริงๆ บางทีความขี้เกียจคิดค้นคว้าอะไรใหม่ๆอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้จนป่านนี้แล้วเพิ่งมารู้ตัวว่าตนเป็นแวมไพร์


อย่างไรก็ตามการเจาะเอาของเหลวในกระดูกไม่ทำให้ตาย หากเอาไปอย่างพอดี


เพราะเลือดน้อย ต้องพึ่งอาหารเสริมหรือเลือดของชาวบ้าน ก็ไม่แปลกที่ถ้าเจาะเลือดไปดูก็จะไม่เห็นอะไรเลยนอกจากดีเอ็นเอของตัวคุณไพร์มเอง แต่การเจาะเอาน้ำในกระดูกมันดูเจ็บแบบไม่จบ หากการทดลองนี้ประสบความสำเร็จ นั่นเท่ากับว่าพวกมนุษย์แบบคุณไพร์มไม่จำเป็นต้องพึ่งแวมไพร์อีกต่อไป มาถึงตรงนั้นคนที่จะอดตายคือฉันเองไม่ใช่ใคร


พอมาพูดให้ไพร์มฟังเช่นนั้นเขาก็หัวเราะแรงใส่กัน มันเป็นเรื่องยากที่จะถอดสินค้าที่ติดตลาดหลายๆตัวออกจากห้างร้านต่างๆ เพราะจริงๆแล้วกลุ่มลูกค้าไม่ได้มีแค่แวมไพร์แต่ยังมีพวกเผ่าพันธุ์อื่น อันนี้องค์การอนามัยโลกทำอะไรอยู่ มีเลือดผสมอยู่ในอาหารทำไมไม่มีใครเคยรู้!


ทว่าไพร์มที่คงกังวลว่าฉันจะเอาเรื่องไปฟ้องศาลไคฟงได้หยุดความคิดนั้นลง เขาให้สัญญาพร้อมจะระบุเป็นลายลักษณ์อักษรว่าถ้าหากโปรเจ็คสำเร็จ เขาจะเลี้ยงฉันและป๊ะเอง เราไม่ต้องกลัวอดตายแล้ว เย้!


บางทีก็อยากกลับไปถามผู้ปกครองอีกทีว่าที่ดูบ๊องๆโง่ๆนี่เพราะเลือดไปเลี้ยงสมองน้อยใช่ไหม แต่มาคิดดูอีกที ป๊ะที่เป็นแวมไพร์เหมือนกันก็ฉลาดออก อย่างนี้หมายความว่าที่โง่ก็เพราะโง่ด้วยตัวเองไม่ใช่เพราะใคร เศร้าเนอะแต่อ้าวเหะ?! คิดไปถึงไหน อีตาไพร์มก็ฉวยโอกาสเก่งไง ยังไม่ทันอ่านสัญญาก็เอามาให้ฉันเซ็นตรงหน้า ทางนี้ก็บ้าจี้เซ็นเสร็จทั้งชื่อและนามสกุล


“คุณฉัน สัญญามันกินไม่ได้!” 


“ก็ฉันยังไม่ได้อ่านเลย!”


“แล้วทำไมเซ็นเลยล่ะครับ ก็ต้องอ่านก่อนไหม”  โชคดีที่เซ็นไปแค่ชุดเดียว ยังมีอีกชุดของคู่สัญญาที่ยังไม่ได้เซ็น


ทีนี้คนที่ทำตัววุ่นวายมากๆเลยตั้งสติและนั่งไล่อ่านมันอย่างละเอียดถึงสองฉบับ ภูวนัยนั้นเท้าคางมองอยู่สิบนาที เขาก็รู้ว่าอีกนานแน่เพราะยังไม่เปลี่ยนหน้าอีก จึงหายไปหาอะไรกินในห้องครัว และก็คิดว่าคงสักพักเลยทำอาหารเตรียมไว้เผื่อว่าคู่สัญญาอ่านจบแล้วหิวพอดี


ทั้งนี้ฉันค่อนข้างจะพอใจในเนื้อหาสัญญา ทั้งข้อตกลงที่คุยกันไว้ และผลตอบแทนที่จะตามมา เมื่อถลำมาถึงตรงนี้ถ้าไม่เซ็น คิดว่าเจ้าของห้องคงเดินไปหยิบปืนลูกซองมายิงกันเป็นแน่แท้ ก็เล่นวุ่นวายยื้อยั้งไปมาขนาดนั้น ต่อให้น่าเอ็นดูแต่ก็น่ารำคาญ ฉันเชื่อมั่นอย่างนั้น เลยเซ็นมันไปทั้งสองฉบับเลยนั่นแหละ


“ทำอะไรกินอ่ะ”  เพราะกลิ่นที่โชยออกมาปลุกความยากอาหาร เพราะอ่านสัญญาจนเหนื่อยหรอกนะถึงหิว


“ทำผัดมาม่ากินครับ”


“น่ากินจัง”


“เอะอะน่ะคนเรา ไม่ได้ทำให้สักหน่อย”


“คุณไพร์มต้องขุนฉันดีๆ ถ้าฉันผอมซูบคุณไพร์มจะเอาฉันไปทำอะไรได้”  คนที่อ้างนู่นอ้างนี้ก็พูดไป ภูวนัยปิดเตาและหันไปมองหน้าเจ้าแป้นแล้นที่มาพูดข้ามไหล่ จับบีบแก้มไปมา ดูตรงไหนก็อ้วนกว่าแวมไพร์ทั่วไปด้วยซ้ำ  “อั๋นเอ่บบบบบ”  ฉันเจ็บ โวยวายเช่นนั้น


“ก็ใครบีบให้ไม่เจ็บล่ะครับ ยังไงก็จะกินให้ได้ใช่ไหมเรา”


“ไม่ให้กินก็จะแย่งอ่ะ”


“ได้สิ ผมจะเขี่ยผักไปให้เยอะๆ คุณฉันจะได้มีสุขภาพที่ดีเหมาะสมกับการเข้ารับการตรวจ”


“ไม่กีนนนน”


“ต้องกีนนนน”  และเรื่องราวว่าด้วยการตกลงของเรา


ก็จบลงด้วยประการนี้


ไม่กี่วันจากนั้น ฉันก็ยืนช่วยจัดข้าวเก็บของให้คนท้องได้ไปต่อในสถานที่ที่ตนจัดเตรียมไว้ให้ สารินยังดูไม่เข้าใจในสถานการณ์ และอันที่จริงฉันไปทำอะไรถึงได้จัดการหาที่พักพร้อมคนดูแลให้ได้ จะบอกว่าการันต์หรือวธินจัดเตรียมให้ สารินก็ไม่คิดว่ามันจะใช่


ทุกอย่างมันดูเป็นมืออาชีพเกินไป ดูจากคนที่มารับไปด้วยนี่สิ


“ฉันบอกเรามาตรงๆ”


“เนี่ยไงตรงๆ เราไม่เลี้ยงสาแล้ว เลยส่งไปอยู่ที่อื่น”


“ฉัน…”


“จะคิดอะไรมากทำไม เดี๋ยวตัวเล็กก็ออกมาน่าเกลียดน่าชังเหมือนสาหรอก ให้ไปก็ไปเถอะน่า”


“แล้วให้ไปไหน กับใคร ยังไง”


“…”


“ฉันไปทำอะไร บอกเรามาเดี๋ยวนี้นะ”


“ก็แหมมมมมม คนที่มาจีบเราเขาทำให้”


“จีบ?”


“เราก็หน้าตาดีอยู่นะสา”


“นอกเรื่องแล้ว”


“ก็คุณไพร์มอ่ะ ที่เคยเล่าให้ฟังคือเราไปขอความช่วยเหลือเขา”


“แล้วแลกด้วยอะไร”  สาไม่เชื่อหรอกว่าของฟรีมีในโลก แล้วเมื่อวันก่อนยังบอกว่าไม่ได้จีบไม่ใช่เหรอ


“แหมมมมมม”


“พูดมา” 


“ดุเป็นพี่สนไปได้”  ขอแซวหน่อยเหอะ  “ก็แบบก่อนนี้เรางอนเขาอยู่ พอเขามาง้อเราเลยขอให้ช่วย” ไม่ต้องมองใส่กันแรงขนาดนั้นก็ได้


“จริงเหรอ”


“นอกจากหน้าตาดีแล้ว สาคิดว่าเรามีประโยชน์อะไรให้เขาหาเศษหาเลยบ้างไหมล่ะ”  ก็ไม่น่าจะมีแหะ  “เชื่อเหอะว่าฉันอ่ะสมองไม่มีหน้าตาดีไปวันๆ”


“โอเค เข้าใจแล้ว”  ฉันควรดีใจไหมที่เพื่อนเชื่อสนิทใจ…ว่าฉันนั้นสวยใสไร้สมองจริงๆ


ส่งฉันไปอยู่ที่พักที่คุณไพร์มจัดหาให้แล้ว ฉันก็ล้มลงนอนแผ่บนเตียงอย่างขี้เกียจ อยู่นิ่งๆไม่คิดอะไรพลิกไปพลิกมา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต่อไปตนต้องเผชิญอะไร


จากที่คุยกับการันต์เรื่องทั่วไปของแวมไพร์ ฉันชนกไม่อาจจะพูดถึงการตัดสินใจของตนกับครอบครัวได้ เพราะรู้ดีว่าไม่มีพ่อแม่ที่ไหนปล่อยลูกไปเป็นหนูทดลองยาแบบนี้ กับไพร์มเองที่รู้ทั้งรู้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าเขาไว้ใจไม่ได้นั้น ฉันก็ตกลงปลงใจไปแล้ว และประกายสายตาที่สว่างวาบยามที่บทสนทนากำลังเอื้อประโยชน์ไปทางเขามันทำให้เราปฏิเสธไม่ลงจริงๆ


ฉันชนกได้แต่คิดไปว่าเจ็บนิดหน่อยเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ แม้การันต์จะยืนยันว่าแวมไพร์มีร่างกายที่คล้ายมนุษย์มากโดยเฉพาะของฉัน ที่ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้ตัวแบบมนุษย์ทั่วไปมานาน มันมีความลับที่ลึกซึ้งกว่านั้นที่นอกจากการันต์แล้ว คงไม่มีใครรู้ เช่นกันคุณไพร์มก็ไม่รู้


ว่าแม่ที่เป็นแวมไพร์ของฉัน มีสัมพันธ์จนตั้งครรภ์กับมนุษย์คนหนึ่ง


นั่นทำให้ฉันมีสถานะเป็นลูกครึ่งมนุษย์แวมไพร์ ภูมิของฉันนั้นมีความเป็นมนุษย์ในตัวสูงมาก ต่อให้ละเลยการดูแลตัวเองเยี่ยงแวมไพร์ไปบ้างก็ไม่ทำให้เกิดอันตรายเหมือนแวมไพร์คนอื่นๆ ทว่าโชคดีเช่นนี้มันไม่ได้มีตัวอย่างให้ดูนัก ฉันอาจจะมีข้อด้อยของแวมไพร์อยู่เยอะจนไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นประโยชน์ต่องานของคุณไพร์มเลย


แต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ เลยไม่อยากทำลายความหวังของใคร


เวลาอยู่เงียบๆคนเดียวก็มักจะปลอบตัวเองถึงสิ่งที่ตัดสินใจลงไป การเซ็นสัญญาครั้งนั้นมันเต็มไปด้วยเหตุผลสนับสนุนมากมายที่วันนี้ฉันได้นำมาประกอบการตัดสินใจและปลอบใจตัวเองเมื่อเผลอคิดวุ่นวายไปใหญ่


ทั้งความโกรธแค้นต่อเผ่าพันธุ์แวมไพร์ที่ใจร้ายต่อแม่ผู้ให้กำเนิด พวกเขารับไม่ได้ที่แม่ของฉันอุ้มท้องลูกมนุษย์ที่เป็นสายพันธุ์ที่พวกเขามองว่าอยู่ต่ำกว่าเสมอ ทั้งนี้พวกเขาไม่เคยคิดอยากจะผูกสัมพันธ์กับมนุษย์ตรงๆและมักจะเข้าหากันผ่านการซื้อขายเลือดกันมาช้านาน มองว่าต่ำกว่าแต่ก็ยังต้องพึ่งพา น่าขันสิ้นดี


และความโกรธแค้นที่พวกเขาคิดพรากการันต์และวธินออกจากกันจนทั้งสองต้องหนีหัวซุกหัวซุน เพียงสองเหตุผลนี้ก็มากพอให้โกรธแค้นแวมไพร์ได้แล้ว แต่นั่นคือเหตุผลที่จะทำให้คนรักสงบหันมาเป็นศัตรูกับเผ่าพันธุ์ที่ตนไม่เคยได้สัมผัสอย่างลึกซึ้งจริงๆนะเหรอ


แน่นอนว่าฉันย่อมหาเหตุผลอื่นๆประกอบ สารินที่กำลังต้องการความช่วยเหลือคือข้อต่อรอง และการได้ช่วยเพื่อนนั้นทำให้ฉันมีความสุข ทั้งนี้หากสนธยาตามเจอและเขาพร้อมจะรับผิดชอบโดยสัญญาว่าทุกปัญหา เขาจะจัดการแก้ไขโดยไม่ปล่อยให้ยุงไต่ไรตอมตัวของสา เท่านี้ฉันก็ยินดีจะส่งเพื่อนที่นอกจากจะต้องการพ่อของลูกแล้ว


ก็ต้องความรักแบบที่ตนผลักไสตลอดมาแต่อยู่ในใจตลอดไป


อีกหนึ่งเหตุที่ลืมไม่ได้คือตัวของภูวนัย เขามีแรงดึงดูดที่มากมายมหาศาล และเพราะการเข้ามาในชีวิตของตัวเขา มันทำให้ฉันชนกที่เหมือนคนไม่เคยได้รับรู้ความเป็นจริงอะไรได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆที่เกี่ยวกับตัวเอง ฉันนั้นโง่เขลานักที่เดินเข้าสู่กับดักของเขาอย่างสมบูรณ์ แต่ความลับที่ซ่อนอยู่มันช่างหวานหอม ชักชวนให้อยากจะลิ้มลอง


แม้สิ่งที่ถูกซ่อนจะต้องห้ามเท่าไหร่ก็ตาม


- - - - - -

ในขณะเดียวกัน คนที่หัวเสียกับการไม่ได้รับคำตอบอะไร ก็ได้แต่เดินออกจากห้องทำงานผู้เป็นเจ้าตระกูลอย่างหงุดหงิดใจ สนธยารู้สึกประหลาดใจกับคำตอบของเพย์ตันเรื่องเกี่ยวกันสาริน น้องชายของเขาไม่สบายไม่สะดวกให้พูดคุยด้วย ไอ้พบเจอนั่นนะยังเข้าใจได้ แต่ถึงขนาดโทรหาก็ไม่มีใครรับ ไปถามอาการก็อธิบายวกไปวนมา


นี่มันไม่ปกติแล้ว คนในครอบครัวของเขาก็รู้สึกอย่างนั้น แต่ไม่มีใครใจร้อนเท่ากับที่เขารู้สึกได้เลย ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา คนแบบสนธยาต้องเฝ้าอดทนที่จะไม่บุกไปพาน้องกลับมา เพียงเพราะคำขอร้องของพ่อให้อดทน ความใจร้อนของเขาที่จะไปงัดข้อกับเพย์ตัน อาจจะนำความเดือดร้อนให้กับผู้เกี่ยวข้องมากมายต้องวุ่นวายไป ที่ผ่านมาเขาจึงได้แต่รอคอยเวลาที่จะได้กลับไปรับหลังจากที่ทุกอย่างมันจบลงแต่โดยดี


มิหนำซ้ำหลังเพย์ตันปล่อยข่าวลือว่าธัมรงค์รัชต์ส่งสารินไปให้ คนก็เข้าใจว่าพวกเขาเลือกข้าง ความวุ่นวายและงานการมากมายต่างประดังประเดให้ต้องจัดการ เพราะถ้าพลาด…ผู้ไม่หวังดีอาจจะวิ่งเข้าหาเพย์ตันและถึงตัวสาริน น้องจะมีอันตราย เขาจึงต้องช่วยเพย์ตันให้หลุดพ้นจากปัญหาต่างๆอย่างไม่ตั้งใจ และต่อให้ไม่ทำ เพย์ตันก็มีสาเป็นตัวประกันอยู่ดี


พอทำตัวได้ดีก็ได้รับคำอนุญาตให้ไปเยี่ยมได้ ทว่าจะแสดงอะไรออกไปก็มีคนอยู่รอบๆ เพียงแค่เห็นใบหน้า ความโหยหาก็ตีเข้าจนจุก สนธยาจำต้องสร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อยับยั้งตัวไว้ สิ่งที่พยายามทำลงไปอาจจะพินาศในพริบตาเพราะความห่วงหาและคิดถึงที่มี


ในตอนนั้นเขาก้มมองที่ท้องของสารินก่อนจะเลี่ยงไปมองทางอื่น ในหัวนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างตีพันมากมาย ความแคลงใจและความสงสัยไม่สามารถพ้นออกจากหัว สนธยาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้มานานหลายเดือน หากแต่ถามออกไปไม่ได้ และเกรงว่าคำตอบก็อาจจะยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกเจ็บหนักเข้าไปอีก


ไม่เป็นไร ไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไรเราก็พร้อมจะรับน้องกลับไปด้วย ทุกคนบอกให้สารินได้รู้ถึงเจตนาหลังจากนี้ แต่แรกแล้วที่เราพาสารินมาในครอบครัวก็หวังจะอุ้มชูตลอดไป ถึงมันจะโหดร้ายเพราะเราไม่อาจจะรับรู้ได้ว่าต้องปล่อยเด็กคนนี้ไปเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลจริงหรือไม่ แต่สุดท้ายเราก็ตั้งใจจะชดใช้ให้กับความรู้สึกที่เสียไปของสาเช่นกัน


ในฐานะอัลฟ่าเขารู้ว่ามันคือหน้าที่


แต่ในฐานะสนธยาคนนี้ เขาไม่ได้ต้องการปล่อยน้องไปไหน


แม้แต่การไปทำหน้าที่ให้กับเพย์ตัน เขาก็เป็นตัวตั้งตัวตีที่จะยื้อเวลาออกไป คนที่บ้านเรานั้นเดิมทีตั้งใจจะเลี้ยงสารินให้ดีที่สุดเพื่อที่ว่าจะไม่รู้สึกติดค้างใจอะไรกันและหลังจากขอให้ไปตั้งท้องให้เพย์ตันแล้วก็จะรับกลับมาหรือมอบเงินให้เป็นค่าเสียเวลา ทว่าเมื่ออยู่ด้วยกัน ความรู้สึกที่เป็นครอบครัวก็ก่อกำเนิดขึ้นมาจริงๆ


สำหรับพ่อและแม่ของเขาสาคือลูกคนหนึ่ง


แต่สำหรับสนธยา…สารินไม่อาจจะเป็นน้องชายจริงๆได้


รถสปอร์ตคันหรูกระชากตัวออกจากบ้านธัมรงค์รัชต์ แพรวรรณและวรวุฒินั้นมองการเคลื่อนไหวของลูกชายห่างๆก็ได้แต่ถอนหายใจ แพรวรรณพูดแล้วว่าเราควรจะห้ามลูก แต่วรวุฒิกลับบอกปัดไป เรายื้อลูกชายคนโตไว้นานเกินไปแล้ว มาในวันนี้ที่เพย์ตันทำตัวไร้เหตุผลมากจนเกินรับไว้ เราไม่อาจจะห้ามสนธยาได้อีก เท่าที่อดทนมาได้ก็ทำได้ดีที่สุดแล้ว


ในฐานะคนใกล้ชิด พวกเขาล้วนแต่ลังเลถึงท่าทีของเด็กสองคนที่มีให้กัน ในความห่างเหินมันมีเส้นใยบางๆอยู่ หากคนสองคนที่แอบมองกันไม่เคยรับรู้ คนที่ถูกกันออกมาข้างนอกอย่างเราย่อมมองออก แต่เวลาที่เนิ่นนานจนเกินไป ทำให้เราไม่แน่ใจจริงๆว่าความต้องการของทั้งสองคืออะไร


ไม่มีบ้านหลังไหนเฟ้นหาโอเมก้าให้ลูกชายของตัวเอง ด้วยกลัวจะเกิดความผูกพันกันขึ้น สิ่งที่พวกเขาทำคือจัดหา คัดแยก และส่งไปเป็นของกำนัลบ้านอื่น นี่อาจจะเป็นกรณีหายากหรือไม่เคยมีเลยที่เรารับเลี้ยงโอเมก้าเหมือนลูกทั้งๆที่มีลูกชายอัลฟ่าอยู่ในครอบครัว ตอนเราพาสารินมาก็ไม่เคยนึกถึงความเสี่ยงตรงนี้เลย


แต่ถ้าถามว่าเด็กทั้งสองหากรักกันเราจะยอมรับไม่ได้เชียวหรือ เอาจริงๆมันแปลกใหม่เกินกว่าจะทำใจยอมรับในทันที ทว่าเมื่อได้อยู่กับเด็กที่รับเลี้ยงมานาน พวกเขาก็ผูกพันจนยอมรับได้ว่าเสียงพูดเสียงอ้างของคนรอบข้างมันไม่สำคัญเท่ากับความสุขของคนในครอบครัว โลกเปลี่ยนไปทุกวัน


และเราต้องปรับตัว


วันนี้ทาริค เพย์ตันต้องรับแขกเยอะเป็นพิเศษ อันที่จริงเขาก็ยุ่งมาสักพักแต่วันนี้แขกจากบ้านธัมรงค์รัชต์เข้ามาหาสองคนแล้ว แต่มาคนละรอบ


“รับมือยากชะมัด”  หากไม่ใช่เพราะดรัญขอหรือสั่งไว้ ไม่มีวันหรอกที่ทาริคจะมาวุ่นวายกับอะไรแบบนี้ แค่เห็นว่ามีปัญหากับดรัญมันวุ่นวายกว่า เขาเลยยินดีที่จะมาวุ่นวายกับพวกคนเหล่านี้แทน


และตอนนี้ก็เป็นทีของลูกชายคนโตของบ้านธัมรงค์รัชต์ ร่างสูงของสนธยาที่เดินเข้ามาในห้องรับแขกของบ้านพักเพย์ตันนั้นดูเต็มไปด้วยความร้อนที่พร้อมจะเผาทุกอย่าง ต่างจากชื่อจริงที่เป็นนามอันแสนสงบนิ่งเสียเหลือเกิน


“ผมแจ้งไปหมดแล้วว่าสารินไม่สบาย ไม่สะดวกเข้าพบ”  เขาพูดไปตามบท


“เพราะน้องของผมไม่สบาย ทางเราเลยอยากจะรู้รายละเอียดมากกว่านี้ผมจึงมาสอบถามด้วยตนเอง”  ดูก็รู้ว่าสนธยาต้องพยายามสะกดกั้นอารมณ์โกรธที่คุกรุ่นของตนเพียงไหน ทาริคอยากจะยกมือมากุมขมับนัก แต่ติดที่ว่าถ้าทำเช่นนั้นทุกอย่างที่ดรัญฝากฝังต้องพังทลายไปเป็นแน่


“เขาป่วยและแสดงความต้องการที่จะไม่พบใคร นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ทางเราต้องทำตามความต้องการ”


“ตามใจกันดีนะครับ ฟังว่าเพย์ตันเอ็นดูน้องชายผมขนาดนี้ก็รู้สึกดีใจ”


“คนท้องก็งี้แหละครับ ปล่อยให้เครียดไปไม่ดี อะไรตามใจได้ก็ต้องยอม”  ทั้งๆที่สังเกตได้ว่าหากต่อปากต่อคำเช่นนี้ไปอีกฝ่ายต้องเดือดดาลเป็นแน่ แต่ทาริคที่เป็นคนไม่เคยกลัวใครนั้นไม่ใช่แค่พลั้งปากแต่เขาตั้งใจ


“ชักเป็นห่วงแล้วสิครับ มาอยู่ที่นี่ไม่ได้ออกไปไหน ที่ป่วยนั่นอาจจะเป็นเพราะความเครียดก็เป็นได้”


“เห็นสารินบอกว่าค่อนข้างชินแล้ว น่าแปลกนะครับว่าทำไม”  คนพูดย่อมต้องการจะสื่อออกไปว่าอยู่ที่ธัมรงค์รัชต์ก็ไม่ได้มีอิสรภาพมากนักหรอก ชีวิตโอเมก้าที่ถูกซื้อมาก็เช่นนี้ บางคนถึงกับถูกฝังชิพติดตามตัวเพื่อกันหนีไปด้วยซ้ำ


มาถึงตรงนี้สนธยาก็แอบคิดเหมือนกันว่าวิธีที่ลิดรอนเสรีภาพและขัดกับหลักมนุษยธรรมที่ใช้กันนั้น ทำไมเขาถึงไม่ทำแต่แรก!


“...”  สงครามจิตวิทยายังคงดำเนินต่อไป


หากไม่ได้รับข้อมูลอะไรเพิ่มขึ้น ก็คาดว่าแขกผู้มาเยือนก็จะปักหลักอยู่อย่างนี้ หากให้เทียบกัน ทาริคที่ถือกำเนิดจากครอบครัวเพย์ตันผู้เป็นใหญ่ย่อมมีลักษณะเด่นกว่าอัลฟ่าปัจจุบันทั่วไป เขานั้นสามารถข่มขวัญสนธยาได้หากยังดันทุรังอยู่เช่นนี้ ทว่าจะทำหรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องที่เขาต้องตัดสินใจเอาเอง


“ต่อให้คุณรอทั้งวันเขาก็ไม่มาเจอ” ทาริคนั้นตอกกลับด้วยเสียงเรียบนิ่งก่อนจะเปลี่ยนร่างมนุษย์ของตน หากเทียบกันแล้วร่างมนุษย์หมาป่าของทาริคนั้นสูงใหญ่กว่าสนธยาและยังสามารถปล่อยกลิ่นอายที่ทำให้คู่ต่อสู้รู้สึกเสียขวัญไปเองได้ แต่สนธยาที่ดื้อรั้นมาถึงนี่ไม่มีอะไรจะเสีย เขายืนนิ่ง มองการข่มขวัญนั้นราวกับเป็นเรื่องปกติ


ปกติ…เสียจนน่าหมั่นไส้


“กลับไปซะเถอะ สารินไม่มีวันมาพบนายหรอก”  ดวงตาของอดีตเจ้าชายอัลฟ่านั้นเปลี่ยนเป็นสีทอง


“ทำไม”


“เพราะนั่นคือความต้องการของเจ้าตัวยังไง”  ทาริคที่คิดว่ายื้อกันต่อไปมันก็ไม่จบ ที่สำคัญเขาก็ยื้อมาให้หลายวันแล้ว ตอนตกลงกันก็ไม่ได้บอกให้ยื้อตลอดไปเสียหน่อย เจตนาอีกฝ่ายก็แค่อยากจะซื้อเวลาเท่านั้น


“ผมไม่เข้าใจ”


“ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”  ทาริคตอบกลับ เขานั้นไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมสารินถึงเลือกเช่นนั้น แต่ถ้าถามว่าเข้าใจความสับสนของสนธยาไหม น่าแปลกที่เข้าใจ  “ผมให้คุณดูทุกห้องที่นี่ก็ได้ แต่สารินจะไม่มีวันพบคุณ ส่วนเพราะอะไรนั้น คุณคงพอจะคิดใคร่ครวญให้ดีต่อจากนี้ได้ เท่านี้ผมก็ถือว่าผมไม่ได้ติดค้างฝ่ายไหนอีก ขอบใจสำหรับเรื่องดรัญ” 


ร่างของมนุษย์หมาป่าอัลฟ่าหนุ่มนั้นหายออกไปจากห้อง ทิ้งคำถามให้กลับไปคิดต่อมากมาย สนธยาถอนหายใจออกมา ทาริคเปิดโอกาสให้เขาได้อย่างที่สุดแล้ว อย่างน้อยในช่วงก่อนจากกันเขาก็ได้รับการตอบแทนสำหรับเรื่องที่เคยทำลงไป แต่เกรงว่าสิ่งที่เขาทำกับดรัญนั้นได้สนองกลับในรูปบาปกรรมให้เขาต้องพลัดพรากจากสารินเช่นนี้


ใช่…เขาเป็นคนส่งดรัญมาเข้าปากหมาป่าในบ้านนี้เอง…


เพื่ออะไร ทำไมสนธยาต้องทำเช่นนั้น เดิมทีนั้นดรัญเป็นโอเมก้าหัวรั้นที่อยู่อาศัยในบ้านของเศรษฐีที่กำลังมีปัญหาทางด้านความไว้วางใจ ทำให้หันไปหาใครก็ไม่มีคนคิดจะช่วยเหลือ เดิมทีดรัญคือโอเมก้าที่จะถูกส่งเป็นเครื่องบรรณาการให้สเตอร์ลิ่งซึ่งเป็นคู่ปรับของเพย์ตัน แต่การส่งตัวถูกเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนดเพราะปัญหาความน่าไว้ใจนั่นแหละ


เขาเลยไปลักลอบเจรจาขอซื้อดรัญต่อมาเพื่อส่งต่อให้ทาริคด้วยหวังให้ใช้ผลิตทายาทแทนสา


แต่ทั้งๆที่วางแผนเสียดิบดีด้วยการไม่ทำอะไรด้วยตนเอง แต่ก็ดูเหมือนว่าทาริคจะฉลาด ข่าวลือเรื่องทาริคกับดรัญเขาก็ได้ยินอยู่บ้าง และเพราะดรัญนั้นสำคัญพอจึงมีการตรวจสอบที่มา ทั้งนี้ต่อให้ป้องกันชื่อของเขาที่ชักใยอยู่ด้านหลังแค่ไหนแต่ก็คงมีผิดพลาดจนอีกฝ่ายจับได้แต่เก็บงำไว้มาตลอด


แล้วทำไมสารินถึงถูกจับตัวมาที่นี่ทั้งๆที่ก็มีดรัญอยู่ เขาไม่แน่ใจในจุดประสงค์นัก คงเพราะอยากให้ทุกคนหันไปสนใจสามากกว่าดรัญแน่ๆ แต่หากให้เดาท่าทีและคำพูดของทาริคเมื่อกี้ บางทีเขาคงพลาดอะไรไป


รถคันหรูได้เคลื่อนตัวออกจากบ้านหลังใหญ่ คำถามมากมายวกวนอยู่ในหัวและเขาก็ค่อยๆปลดล็อกมันทีละส่วน ให้หาทุกห้องก็ไม่มีวันมาเจอ นั่นเท่ากับสาไม่ได้อยู่ที่นี่หรือเปล่า แล้วทำไมทาริคถึงปล่อยให้สาไปไกลตัว ปกติแล้วเมื่อโอเมก้าตั้งท้องจะเกิดความหวั่นระแวง และทำไมทาริคถึงกล้าปล่อยไป เด็กที่จะสืบทอดเผ่าพันธุ์นั้นมันไม่มีความสำคัญเลยหรือไง


อา… หรือจริงๆสำหรับทาริคมันไม่สำคัญนัก


“ฮึๆ ให้ตายเหอะ” เขาพ่นหัวเราะ รู้สึกเหมือนจะบ้า ดูเหมือนว่าลางสังหรณ์จะเป็นจริง ทาริคไม่ได้เห็นความสำคัญของลูกในครรภ์ของสา เพราะว่าอัลฟ่าไม่นิยมเอาลูกอัลฟ่าคนอื่นมาเลี้ยง แต่ถ้าใช้เบี่ยงเบนความสนใจผู้ไม่ประสงค์ดีออกจากดรัญไปได้ หลอกคนอื่นไปสักระยะก็ไม่เสียหาย ในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าระยะนั้น ได้สิ้นสุดลงแล้ว….


และน้องชายที่กำลังอุ้มลูกในท้องของเขานั้น…ก็ไม่สำคัญสำหรับเพย์ตันอีกต่อไป!


Talk
ไหนใครเรียกพระร้ายนะ พี่ไพร์มกับพี่สนออกจะคนดี5555
ขยันเนาะลงทุกวัน แต่ถ้าหายไปคืองานกองทับสุมหัวแล้วนะคะ5555
ตอนนี้เปิดอีกเรื่องไว้แล้วด้วยนะ อันนั้นก็ลงวันนี้เหมือนกัน
ฝากทั้ง #คู่กินคู่กัด #อังคารของที่รัก
อะไรจะเปิดเยอะปานนั้นเนาะ


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เก๊กนัก ไงล่ะน้องเลยหนี

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
- - - - - -
ฉันรู้ที่ไหน!
(`Д´)
- - - - - -


เขาไม่ได้พูดว่าไปรับรู้อะไรมากับคนในครอบครัวและไม่มีใครทู่ซี้ถามเพราะเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าเคร่งเครียด


ทว่าเขากลับมาคิดหาทางตามหาคนที่หายไปอย่างจริงจังอีกครั้ง ในครั้งนี้แม้จะเหมือนหมดหวังแต่ก็มีความหวังซ่อนอยู่ สนธยายอมรับว่าเรื่องบางเรื่องเขาก็เหมือนจะจงใจให้เกิดและก็สงสัยมาตลอด วันนี้ทาริคเหมือนได้เฉลยแบบกลายๆให้ฟังแล้ว ที่เหลือคือหน้าที่ของเขาที่จะไปไขว่คว้าต่อเอง


สาท้อง ท้องลูกของเขา และมันเกิดจากความสัมพันธ์ที่เหมือนจะไม่ยั้งคิด แต่จริงๆมันคือความตั้งใจทั้งนั้นที่จะให้มันเกิดขึ้น ทว่าทุกอย่างมันเป็นความตั้งใจฝ่ายเดียว เขาจึงไม่อาจจะมั่นใจได้เพราะมีอีกฝ่ายไม่ได้ให้ความร่วมมือ


ในวันนั้นที่เป็นครั้งแรกของเรา สนธยาคว้าหยิบเอาถุงยางที่มีอยู่ในกระเป๋าสัมภาระที่มักจะมีของที่ไม่คาดคิดเก็บไว้อยู่ สภาพของถุงยางที่อยู่ในนั้นมานานทำให้เขาไม่แน่ใจนักว่ามันจะยังใช้ได้ไหม แต่เขาก็นำไปใช้ ในภาวะที่เกือบจะขาดสตินั้น พวกเราบรรเลงเพลงเสน่หาร่วมกันหนักหน่วงจนไม่ได้สนใจว่าอุปกรณ์ป้องกันหนึ่งเดียวจะรับไหวหรือเปล่า


และเขาก็เหมือนจะลืมเรื่องนั้นไปเลยจนกระทั่งได้ยินว่าสารินท้อง


แต่สนธยาก็เพียรคิดว่ามันอาจจะเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองไปสักหน่อยว่าถุงยางของเขาอาจจะรั่ว มันมีโอกาสแต่ก็ไม่ได้เต็มร้อย ในตอนนั้นเขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าทาริคจะวางแผนกับดักไว้อีกครั้งเพราะเรื่องที่ว่าสาท้องกับเขาคนนั้นมันถูกยืนยันออกมาจากปากแพทย์ที่ได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างมากในหมู่มนุษย์หมาป่า


ทว่าในวันนี้เรื่องมันกลับตาลปัตร สนธยาต้องรู้ให้ได้ว่าสารินหนีไปไหน ทาริคจะให้ความช่วยเหลืออะไรเด็กคนนั้นในการหายตัวไปหรือไม่ เขาอยากจะถามแต่เกรงว่าเพย์ตันคงไม่ตอบอะไรอีกแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือแอบใช้คนไปสืบหาให้เท่านั้น


และต่อให้มันต้องเสียเงินหรือเวลาแค่ไหน ถ้าได้สากลับมามันก็คุ้มค่า


มันต้องคุ้มค่าจริงๆ


สารินถูกดูแลอย่างดี ในระดับที่พอที่จะพูดว่ามันไม่อึดอัดจนเกินไป ที่สำคัญคนดูแลที่ชื่อว่า ‘พี่แจง’ ก็เป็นโอเมก้าเหมือนกัน โอเมก้าหญิงที่ดูเผินๆก็เหมือนมนุษย์ทั่วไปนั้นจะมีลักษณะพิเศษบางประการที่สามารถเห็นได้ชัดว่าเป็นโอเมก้า มิหนำซ้ำกลิ่นประจำกายก็แรงกว่าโอเมก้าชาย สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่อัลฟ่าใช้แยกโอเมก้ากับมนุษย์ทั่วไปได้ และเมื่อได้อยู่ใกล้ก็ทำให้หวนนึกถึงโอเมก้าหญิงคนไกลในอดีต ที่ตนเคยได้รู้จัก


คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่


สาพลาด พลาดต่อความตั้งใจทั้งหลาย ประสบการณ์ที่ส่งต่อจากแม่มาถึงลูก ทำให้สารินตัดสินใจว่าจะไม่มีลูกมากวนตัวยามออกจากธัมรงค์รัชต์ นั่นเท่ากับว่าชาตินี้ทั้งชาติตนจะไม่มีลูกเป็นของตัวเองตลอดไปเพื่อตัดวงจรบ้าๆนั่นสักที แต่เมื่อมีเขาอยู่ในกาย โลกทั้งใบก็เปลี่ยนไปโดยปริยาย


น่าแปลกที่สารินพ้นผ่านช่วงเวลาอันน่าหดหู่มาได้ด้วยเพราะการมีอยู่ของใครคนหนึ่งในท้อง เขาคือกำลังใจหนึ่งเดียวที่ตนมีอย่างไม่คาดคิด และมันทำให้ตัวตนของเด็กคนนี้สำคัญขึ้นมา ในตอนที่รู้ว่าจะได้กลับไปอยู่กับครอบครัวนั้นอีกครั้ง สาจึงไม่ลังเลเลยที่จะหอบลูกหนีมา


ทั้งๆที่หนีไปทำแท้งก่อนและกลับไปสู่อ้อมกอดคุณแพรวรรณอย่างนั้นก็ได้ แต่เอาเข้าจริงๆใครมันจะไปทำอย่างนั้นลง ลูกของสาทั้งคน แม้ไม่อาจจะเป็นลูกของพี่สนแต่สารินที่ไม่รู้เอาความมั่นใจมาจากไหนมากมายกลับบอกทุกคนว่าตนเลี้ยงได้ และจะเลี้ยงให้ดีๆด้วย


ฉันเองก็เป็นเพื่อนที่ดี ยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็พึ่งพาได้จริงๆจังๆเหมือนกัน ต้องขอบคุณฉันที่ทำให้สาได้ปลีกตัวออกมาอยู่ท่ามกลางความสงบเงียบของบ้านติดริมทะเลแบบนี้


ช่วงเวลาที่หวานขมอดไม่ได้ที่จะคิดถึงยามที่อยู่กับคนที่ตนรักจริงๆ เราไม่อาจจะย้อนอดีตไปลบความผิดพลาดและไม่มีเหตุผลอะไรให้แก้ไข สารินพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและยินดีกับการตัดขาดกับธัมรงค์รัชต์จริงๆ น่าเสียดายความสัมพันธ์ตลอดหลายปีแต่ตอนนี้มีใครอีกคนที่ต้องการกันมากที่สุดจริงๆแล้ว


แค่คนๆนั้น ยังไม่มีชื่อเรียกจริงๆจังๆสักที


ในส่วนของฉันชนกที่ส่งเพื่อนไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยก็ไม่ได้รับรู้อะไรว่าตนถูกคุกคาม เริ่มจากการขุนด้วยอาหารดีๆแบบที่ไม่ใคร่จะถูกใจทุกวันจากคุณไพร์ม ถ้ารู้ว่าต้องกินผักผลไม้เพื่อสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายขนาดนี้ ฉันควรจะคิดให้ดีว่าควรเพิ่มอะไรลงไปในสัญญาอีกก่อนจะเซ็น!


แต่คุณไพร์มเลี้ยงดีมากอันนี้ยอมรับ ซึ่งบางทีไอ้เลี้ยงดีก็ออกจะบังคับกันให้อยู่ในกรอบจนเกินไป และนับวันเขาก็จะรับมือกันเก่งเกินไปใหญ่แล้ว ฉันชนกจึงได้หนักใจกับตารางอาหารประจำวันที่เขาส่งมาให้พร้อมกำชับให้กินตามเวลา คาดเดาได้ว่าถ้าขอตารางเสื้อสีประจำวัน คุณไพร์มคนนั้นก็ต้องมีแน่ เออ!


“ฉัน”  เสียงเรียกที่เคยคุ้นนั้นหยุดสองขาของฉันชนกที่กำลังจะแตะบัตรเข้าไปในตึก เจ้าแวมไพร์ตัวน้อยค่อยๆหันมามองคนเรียก และมันก็อย่างที่คิดไว้ว่าอย่างไรก็ต้องเผชิญ


“อ้าวพี่สน…”


“สาอยู่ไหน” 


“ไม่รู้อ่ะ”  อันนี้พูดจริงๆ ภูวนัยอาจจะพาน้องพี่สนเขาผ่านด่านชายแดนกัมพูชาและต่อเครื่องไปอเมริกาแล้วก็เป็นได้ ว่าแต่คนเราเคยรักกันทำไมเย็นชาได้ขนาดนี้ คำทักทายสักคำก็ไม่มีมาถึงก็ถามหาเมียก่อนเลย แย่เอ๊ย!


สมแล้วที่ฉันมั่นใจว่าเคยถูกหลอกใช้ให้คบ!


ฉันชนกจ้องหน้าแฟนเก่าอย่างไม่แม้แต่จะหลบตา หลังจากที่ได้พูดคุยปรับความในใจกับเจ้าตัวดีครั้งล่าสุด ตนก็เข้าใจกระจ่างชัดว่าอะไรที่ติดอยู่ในใจแต่อธิบายไม่ได้ เราต่างก็ใช้กันและกันเพื่อประโยชน์ในการสานสัมพันธ์ทั้งนั้น


เดิมทีฉันจีบพี่สนแทบตายเขาไม่เคยจะแล แต่เพราะมาเที่ยวดูหนังแล้วเจอน้องชายของเขาโดยบังเอิญวันนั้นท่าทีของผู้ชายคนนี้ก็ดูอ่อนลง ฉันนั้นก็นึกว่าซึ้งใจที่ฉันไปช่วยเหลือสาจ๋าของเขาไว้เลยยอมเปิดใจให้กันมากขึ้น


ที่ไหนได้ เป็นเขานั่นแหละที่หลอกใช้ฉันให้ไปช่วยสา และใช้ฉันเป็นข้ออ้างเข้าใกล้สาแบบเนียนๆ


พี่น้องคู่นี้ช่างแปลกประหลาด นี่คือเรื่องที่ฉันล้วนมโนเองทั้งสิ้นแต่มีความเป็นไปได้สูงนัก จากปากของสาเมื่อวันก่อน ตั้งแต่เจอกันจนกระทั่งขึ้นมัธยมปลาย สารินกับสนธยาแทบไม่เคยคุยกัน เพราะงั้นความสัมพันธ์ฉันพี่น้องมันก็ไม่มีแต่แรก แล้วทีนี้เขามาคุยกันได้ไง คำตอบก็ยืนหน้าโง่ให้เขาหลอกใช้อยู่นี่ไง คือฉันเอง!


เป็นฉันคนนี้นั่นแหละที่เชื่อฟังเขาที่บอกว่าฝากดูแลน้องงู้นงี้ แล้วตัวเขาที่คบกับฉันเพราะคำแนะนำของสาก็หาทางให้ฉันดึงสามาอยู่ด้วยเพื่อที่จะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ หากฉันฉลาดกว่านี้สักนิดเมื่อหลายปีก่อนต้องมองออกแน่ๆ แต่แค่นี้ก็ภูมิใจในตัวเองจะตายอยู่แล้ว เพราะฉันรู้แต่สายังไม่รู้ ฉันรู้ก่อน แปลว่าฉันชนะ!


“พี่จะไม่ถามซ้ำนะ”  น้ำเสียงของเขาดูดุดันแต่ฉันที่สวดมนต์ในใจทั้งๆที่แวมไพร์ดูไปกันไม่ได้กับพุทธศาสนานั้นก็ยังคงจ้องหน้าไม่แคร์


“ก็ฉันไม่รู้จริงๆ” ต่อให้จับเท็จกันตรงนี้ก็ไม่รู้เว้ย ไอ้คุณไพร์มไม่ได้บอก!


จะว่าไปคำสารภาพของสาก็ทำให้ผู้ชนะตกใจไม่น้อย ในขณะที่ฉันเข้าหาสาเพื่อจะได้เข้าใกล้พี่สน พี่สนเองก็ใช้ฉันเป็นสะพานเชื่อมไปหาน้องชายตัวเอง ทว่าเมื่อเร็วๆนี้ฉันเพิ่งได้ทราบ…ว่าสาเองก็พยายามเข้าหาฉันเพื่อจะได้สนิทสนมกับพี่สนมากขึ้น


เออดี…คนเหล่านี้มีคนสติครบปกติกันบ้างไหม ใช้กันไปใช้กันมา!?


“แล้วสามาหาฉันที่นี่ทำไม”


“มาหาที่นี่?”  ฉันไม่ทราบว่าเขารู้ได้ไงและรู้ถึงไหน แต่ตอนนี้สภาวะแต้มต่อของเราถือว่าเป็นรอง ฉันอยากจะถอยก่อนแต่ติดว่าขาสั้นไม่น่าหนีทัน


“กล้องวงจรปิดฉายว่าสามาอยู่ที่นี่และไม่เคยออกไปไหนจนกระทั่งผ่านไปแล้วราวๆสี่วันหลังจากนั้น สาออกไปกับรถตู้ของใคร”  แม่นมาก ฉันเองยังจำอะไรแบบนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ


“สามาหาจริงแต่ก็ไม่อยู่ด้วยแล้วอ่ะ ไปไหนก็ไม่รู้”


“อย่าโกหกพี่”  น้ำเสียงเขาดุดัน บางทีที่สาบอกว่าอัลฟ่าจะมีฟีโรโมนหรือกลิ่นที่สร้างความกดดันได้และยิ่งมีผลต่อคนที่เป็นโอเมก้าหรืออัลฟ่าด้วยกัน ทว่าความกดดันนั้นส่งผ่านมาถึงแวมไพร์ได้ด้วย อันนี้ฉันก็ไม่เคยได้รู้มาก่อน


กว่าจะได้รู้เหงื่อก็ออกแถมใจก็สั่นไปพร้อมๆกับขา ช่างน่าตายนัก!


ทำไมแวมไพร์มันไม่ได้น่ากลัวเลยวะ แม่ง!


สนธยาหายไปหาข้อมูล ไม่มีความเคลื่อนไหวต้องสงสัยจากเพย์ตัน และข้อมูลคนในก็บอกกันชัดเจนแล้วว่าทาริคให้สาออกไปอยู่ที่อื่น ทว่าที่อื่นที่เป็นไปได้สำหรับกรณีนี้เขาคิดถึงใครไม่ออกนอกจากฉัน เพื่อนคนเดียวที่สารินไว้ใจ


เขามาดักรอ…รอนานและเริ่มจะหมดความอดทนเมื่อฉันชนกยังคงตอบคำถามวกไปวนมา ฉันเริ่มหวาดกลัวกับความกดดันนั้น ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไร ใครอีกคนก็ออกมาจากลิฟต์ของอาคารและมุ่งหน้ามาที่ประตูทางเข้า


“…”


“พี่สนมาหาฉันเหรอครับ”  ภูวนัยถาม เอาจริงๆการปรากฏตัวของเขาตรงนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มีคนแจ้ง เขาเลยลงมาเคลียร์ให้ อาจจะได้ผลในระยะสั้น แต่สักวันต้องเห็นคำตอบในระยะยาว


ทว่าการปรากฏตัวของคนที่มาใหม่นั้นกลับทำให้สนธยาคิดถึงความเป็นไปได้อื่นๆถ้าฉันไม่ได้พาไปซ่อนก็มีแค่คนๆเดียวที่ซ่อนได้สนิทมิดชิดจากสายตาเขาขนาดนี้ ในขณะที่สั่งให้คนจับตามองฉันชนกตลอดเวลาแต่ไม่เห็นความเคลื่อนไหวแปลกๆ เขากลับลืมไปเลยว่ามีไพร์มอีกคนที่อยู่ไม่ไกลตัว


“สาอยู่ไหน”


“มาถามอะไรกับผมกันละครับ”


“ไพร์ม”


“ต่อให้เรียกเสียงแข็งก็ไม่มีใครตอบอะไรหรอกนะครับ เสียเวลาเปล่า”


“นายต้องการอะไรกันแน่” 


เขาไม่ได้รู้จักไพร์มดีนัก แต่จากสิ่งที่เคยได้ยินจากอดีตที่ได้รู้จักแบบผิวเผินก็ทำให้ตัดสินคนแบบนี้ไม่ยาก ภูวนัยไม่มีทางทำอะไรฟรีๆแน่ และมนุษย์ประเภทนี้จะมีความจำเป็นต้องเข้าหาฉันชนกที่เป็นแวมไพร์ทำไม อะไรก็ตามที่เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับคนๆนี้ ล้วนมีสิ่งไม่ดีที่เรียกว่าผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องเสมอ


“นายต้องการอะไรในตัวแวมไพร์”  สนธยาตอกย้ำ และเหมือนว่าเรื่องนี้จะมีส่วน ถึงแม้ภูวนัยจะไม่หวั่นไหวในคำพูดอะไรของเขาเลย แต่คนข้างๆกลับหลบตา เป็นฉันที่ยอมต่อรองกับไพร์มแน่ๆ


“ผมจะไปอยากได้อะไรกันครับ”


“ถมเถไป เงินทอง ชื่อเสียง”  สนธยายิ้มอย่างเป็นต่อ  “หรือการยอมรับ”  แต่เขาดูจะเน้นคำสุดท้ายนี้เป็นพิเศษและมันอาจจะไปตรงใจใครบ้าง ทว่าภูวนัยไม่ใช่คนที่แสดงออกถึงอารมณ์ที่แท้จริงของตนผ่านใบหน้า เขายังยิ้มรับเหมือนกับว่าทุกคำที่พูดออกมาไม่มีความหมาย


“เห็นผมเป็นคนแบบไหนกันเนี่ย ที่พูดมาดูผมเป็นคนแย่ๆไปเลย”


“หรือว่าไม่ใช่ บอกสิ่งที่นายต้องการมาสิ จะหามาให้ แลกกับที่อยู่ของสา”  สนธยาเองก็ไม่ลังเลที่จะหยิบยื่นข้อเสนอ เขาต้องยอมรับว่าถ้าสาอยู่ไพร์ม เขาอาจจะมีโอกาสตามหาเจอแต่ก็น้อยเต็มทน ก่อนนี้ที่เพย์ตันจับตัวไป มันเป็นเพราะเขาหาข่าวจากข้างในได้ต่างหาก


แต่อำนาจที่ไพร์มถืออยู่มันต่างออกไป


“สิ่งที่ต้องการหรือครับ ตอนนี้คิดว่าไม่มีนะ”  ภูวนัยยิ้มก่อนจะดันหลังของฉันชนกให้เข้าไปข้างใน คนที่ทะเยอทะยานเช่นนี้มาบอกว่าไม่ต้องการอะไรในตอนนี้ นั่นเท่ากับว่าเขามีพร้อมแล้ว


ภูวนัยคนที่ไม่เคยสนใจใยดีใครนอกจากตัวเองต้องจริงจังกับการปกป้องสารินที่เป็นเพื่อนกับแวมไพร์ที่ชื่อฉันชนกแค่ไหน คนๆนี้ไม่เคยคิดจะปกปิดให้เขาเห็นภาพรวมของความจริงเลย เป็นหมอนี่ที่พาสาไปซ่อน และเป็นหมอนี่ที่ชี้บอกว่าเพราะอะไรถึงทำเช่นนี้ ประเมินสนธยาต่ำเกินไปแล้วไอ้เด็กเมื่อวานซืน


อย่าทำตัวเหมือนตัวเองไม่มีจุดอ่อนแบบนั้น


ในด้านของฉันชนกที่ถูกพาเข้ามาในตึกอย่างปลอดภัยนั้นรู้สึกขอบคุณคนที่มาช่วยแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป ตลอดเวลาที่ยืนข้างกัน ฉันนั้นเหลือบมองเขาอยู่บ่อยครั้งแต่ไพร์มก็ไม่หันมาตอบอะไร มาหวนนึกดูอีกครั้งหากภูวนัยไม่ลงมาช่วย ฉันคิดว่าต่อกรกับพี่สนนั้นไม่ง่ายเลย สานะสารักกับคนแบบนี้ไปได้ยังไงกัน


“คุณฉันไม่ได้โดนพี่สนทำอะไรมาใช่ไหมครับ”


“ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณคุณไพร์มมาก”  และเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันต่อ แน่นอนว่าไม่มีการได้หยอกล้อกันอีก


ภูวนัยไม่เคยบอกอะไรว่าพาสาไปที่ไหน แต่ตอนนี้ฉันเห็นมันเป็นข้อดีแล้วที่ตัวเองไม่รู้อะไร ไม่ใช่ว่าตนเองใจอ่อนอะไรหรอก แต่พอไม่รู้มันก็สบายใจเพราะไม่ต้องมาโกหกอะไร กลายเป็นว่าคนที่ต้องแบกรับไปคือตัวคุณไพร์มที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง


“ผมทำน้ำผลไม้แยกกากไว้ คุณฉันไปกินไหม”


“ไป”  มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไปล่ะ ฉันยิ้มกว้างและเพราะไม่รู้ว่าบรรยากาศที่มันเปลี่ยนไปหรือยังไง ไพร์มก็ค่อยๆคลี่ยิ้มตาม


“กินเก่งจังเนอะ”


“เพื่องานวิจัยของคุณไพร์มต่างหาก”


“พูดเก่ง” ในตอนนี้กลายเป็นว่าการมาของสนธยา ไม่ได้เป็นปัญหาให้ต้องหนักใจอีกต่อไป


พรุ่งนี้ฉันจะได้เข้าไปที่แล็บเพื่อเก็บตัวอย่างที่เขาบอกว่ามันเป็นการเจาะเอาน้ำจากกระดูกนั่นแหละ แต่กายภาพของมนุษย์และแวมไพร์ที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นพันทิพไม่ได้ช่วยอะไรฉันเลย ตอนนี้ที่ดีใจคืออย่างเดียว กินปิ้งย่างยังไงแวมไพร์ก็ไม่เป็นมะเร็ง แต่ถ้าโดนแสงแดดมากไป แวมไพร์อาจจะเผาไหม้ตัวเองได้…


“คุณฉันกลัวไหมครับ”


“ไม่กลัว!”


“จะร้องไห้แงๆหรือเปล่า ผมจะได้เอาทิชชู่ไปเยอะๆ”


“จะร้องไห้ทำไม ฉันไม่ได้ขี้แย”


“ครับคุณฉันไม่ได้ขี้แย แต่กลัวเจ็บ”


“คุณไพร์มก็ทำเบาๆหน่อยสิ”


“…”


“ถนอมฉันหน่อย เผื่อต้องใช้งานอีกอะไรแบบนี้”  ไพร์มยิ้ม รู้สึกเอ็นดูขึ้นมาทุกวัน พ่อแม่ต้องเลี้ยงมายังไงทำไมหน้าแป้นแบบนี้


ภูวนัยหวนนึกไปถึงตอนที่เขาให้คนเช็คประวัติครอบครัวของฉันชนก เป็นครอบครัวที่แค่รับอุปการะมาเท่านั้น แต่ทำไมเด็กที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่จริงๆอย่างฉันชนกถึงได้เติบโตมาได้ดีขนาดนี้กัน อิจฉาได้ไหม ทำไมชีวิตของเด็กคนนี้ ถึงอยู่เหนือกฎเกณฑ์ที่เขาเข้าใจ


หรือจริงๆแล้วเป็นเขานั่นแหละที่อยู่ผิดที่ผิดทาง


เข็มนาฬิกาเหมือนจะเดินช้า แต่ทว่าวันที่ภูวนัยรอคอยก็มาถึงแล้ว เขาได้พาฉันชนกเข้าไปในตึกของบริษัทย่านใจกลางเมือง ผู้ตามที่ได้เห็นความอลังการของพื้นที่แห่งนี้ก็ตกใจอยู่บ้าง เท่าที่ดูก็เหมือนแลปที่เขาพามาจะตั้งอยู่ในชั้น 24 ของตึกและกินพื้นที่เกือบทั้งชั้นเห็นจะได้


“ตื่นเต้นหรือครับ”


“เอาเข็มแทงกระดูกเลยนะ!” มันดูไม่เจ็บหรือไง ต้องให้ฉันเอาเข็มทิ่มเขาก่อนไหม จะได้รู้สึกเห็นใจกันบ้าง!


“มันเป็นบริเวณที่คาดว่าน่าจะนำไปศึกษาต่อได้ดีที่สุดครับ ทนเจ็บนิดเดียว เดี๋ยวผมพาไปกินบิงซู”  ฉันชนกที่ตัวลีบลงได้แต่พยักหน้า ก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปในห้องประชุมเล็กห้องหนึ่ง


ภูวนัยสังเกตท่าทีของอีกฝ่าย ฉันชนกเหมือนเด็กน้อยที่รู้ตัวว่าจะถูกฉีดยาก็เลยทำเป็นเก่งกล้าแต่ในใจกลับกลัวมันอย่างมากมาย เขาคิดว่ามันคงจะเจ็บ แต่ไม่แน่ใจว่าสำหรับแวมไพร์นี่มันจะเจ็บมากกว่าไหม จะอย่างไรก็คิดว่าน้ำที่ดูดออกมาจากกระดูกนั้นมีความเข้มข้นพอที่อาจจะนำไปศึกษาต่อได้ หากไม่ก็มีอีกจุดหนึ่งที่มีความเป็นไปได้สูง อาจจะเท่ากันหรือมากกว่าด้วยซ้ำ


นั่นคือหัวใจ


“…”


“อื๋อ”  ความคิดของเขาถูกปัดทิ้งออกไป ยิ่งลูกน้องของเขาเข็นอุปกรณ์เข้ามามากเท่าไหร่ฉันก็ดูจะแพนิคขึ้นตามเท่านั้น ไพร์มนั้นจับมือของฉันไว้ ทั้งนี้มันไม่ได้เพื่อจะกันไม่ให้อีกคนที่กลัวหนีไป แต่เพื่ออะไร…


เขาก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน


“มันน่ากลัว”  ฉันชนกหันมา ดวงตากลมที่ช้อนมองเขามีหยาดน้ำคลออยู่ดูน่าสงสาร ในชั่ววินาทีหนึ่งในห้วงความคิด ไพร์มอยากจะฉุดอีกคนให้วิ่งและออกไปจากตึกนี่พร้อมกัน เพราะนอกจากเขาคิดว่ามันคงจะเจ็บจริงๆ


ยังรู้สึกผิดที่ดึงดันให้คนแบบฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้


และนี่อาจจะเป็นความรู้สึกผิดครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่เกิดมา


“อึก” แต่ความคิดที่จะพาหนีก็เป็นได้แค่ความคิด เขามองฉันที่หลับตาปี๋ยื่นแขนให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบทั้งความดันและอื่นๆ จนกระทั่งเสียงร้องที่เก็บเอาไว้ดังออกมา เข็มแท่งใหญ่ถูกแทงผ่านชั้นผิวหนังของแวมไพร์ตัวน้อยลงไป มันคงเจ็บมากเพราะตัวเข็มนี้ทำมาจากโลหะชนิดที่ไว้ใช้ฆ่าแวมไพร์


เขาจำเป็น ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดในโลกที่แทงกระดูกแวมไพร์ได้หรอก…


“ชู่ว ไม่เป็นไรนะครับ”  เขารู้ว่าฉันคงเจ็บ แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รวบเด็กคนนี้มากอดไว้กับอกและปลอบโยนต่อหน้าลูกน้องทั้งหลาย ภูวนัยไม่เคยต้องบริการใครเพื่อผลประโยชน์ขนาดนี้เลย ฉันชนกคงสำคัญมากที่นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดความรำคาญและยัง….เรียกร้องความเห็นใจจากคนไร้หัวใจได้อย่างมหาศาล


“ฉัน…เจ็บ”


“มันจะผ่านไปครับ คนดี”  เขากระซิบปลอบ ความรู้สึกผิดเอ่อล้น ในตอนนั้นเขาเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเองที่เป็นมาสักระยะหนึ่ง บางทีการเปลี่ยนแปลงนั้นๆอาจจะเริ่มเกิดขึ้นในวันที่ฉันชนกเดินมาหลบฝนที่หน้าร้านกาแฟแห่งนั้น


และสีสันที่เขาเคยเห็นผ่านดวงตาก็เหมือนจะเปลี่ยนไป


เขามองของเหลวสีน้ำเงินเข้มเกือบดำที่ค่อยๆไต่ระดับสูงขึ้น  ริมฝีปากของเขาประทับลงบนขมับที่ชื้นเหงื่อ รับรู้ได้ว่าใบหน้าของฉันชนกดูซีดลงๆสวนทางกับอาการสั่นที่เจ้าตัวต้องพยายามสกัดกั้น


โดยปกติหากเราตรวจเลือดของแวมไพร์ เราจะเห็นมันเป็นสีแดงเหมือนกับเลือดมนุษย์แต่ไม่เข้มข้นเท่า นั่นอาจจะเป็นเพราะแวมไพร์รับเอาภูมิของมนุษย์เข้าไปจึงทำให้ของเหลวนั้นกลายเป็นสีแดง แต่เนื้อแท้จริงๆแล้ว แวมไพร์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเป็นสีแดงเลย และนั่นอาจจะเป็นความต่างของสายพันธุ์ที่เห็นได้ชัดเจน


สีน้ำเงินเกือบดำนั่นคือของเหลวที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของแวมไพร์อย่างแท้จริง


“ฮื้อออออ”  ฉันชนกกัดฟัน มันเจ็บมากๆ คาดว่าตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยได้พบหรือสัมผัสอะไรที่ทำให้เจ็บถึงขั้นนี้ เดิมทีตนเตรียมใจมาแล้วว่ามันต้องเจ็บ แต่ไม่เคยเลยที่จะคิดว่ามันจะเป็นความเจ็บประเภท….


เจ็บ…จนจะขาดใจตายให้ได้


และเจ็บ… ไปพร้อมกับรู้สึกสูญเสียบางอย่างไปมากมาย


“คุณฉัน?!”  เขาเรียก สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่เหมือนจะตกลงเรื่อยๆของคนในอ้อมกอด อาการของฉันก็แสดงออกชัดดีว่าสิ่งที่เขานำออกมามีค่าและอาจจะเป็นคำตอบของทุกอย่างที่ค้นหา “พอก่อน!”  แต่ในที่สุดก็เป็นตัวเขาเองที่แพ้ แพ้จริงๆ


“แต่ว่าคุณภูวนัยครับ?”เจ้าหน้าที่คนนั้นจะแย้ง เราเคยประชุมกันและกำหนดเป้าหมายเอาไว้ ซึ่งนี่มันยังไม่ถึงครึ่งจากที่ต้องการ เป็นเขาที่หลอกฉันเอง หลอกไปว่าการทดลองนี้ไม่อันตรายใดๆหลอกให้ฉันวางใจและยอมเป็นหนูทดลองแลกกับข้อเสนอปัญญาอ่อนที่ไม่อาจจะบอกได้ว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่ฉันจะต้องเสียไป เขาหลอกฉันให้เชื่อเสียสนิทใจ


โดยที่ก็รู้ดีว่าก็ไม่ได้มีข้อมูลมากพอมายันเรื่องความปลอดภัยตอนเราตกลงกันจริงๆ


“เอาเข็มออก!”  ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาจึงคิดว่าฉันไม่น่าจะทนรับไหวได้อีก เรามีข้อมูลวิจัยเกี่ยวกับแวมไพร์น้อยมากและไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ใดๆมารับรอง ตอนที่ไพร์มริเริ่มแผนการนี้เขาเพียงแค่ต้องการจะหาประโยชน์จากเหยื่อโดยไม่สนใจสภาพและไม่สนใจวิธีการ ทว่าวันนี้เขากลับแพ้อย่างสิ้นเชิง


ทั้งๆที่เคยยินดีในตอนที่ฉันมาบอกว่าจะให้ความร่วมมือ


“คุณฉัน”  หลังจากที่เข็มซึ่งแทงลงไปยังกระดูกของแวมไพร์ตัวน้อยถูกเอาออก เขาก็ยังคงกอดฉันอยู่อย่างนั้น ทว่าร่างเล็กในอ้อมอกเขาแทบไร้แรงเคลื่อนไหว ฉันเพียงเงยหน้าขึ้นมา มองกันด้วยดวงตาปิดปรือ ยิ้มให้บางๆก่อนที่เจ้าตัวจะทิ้งตัวลงไปแบบไร้แรงต้านอย่างสิ้นเชิง


“ฉัน…เจ็บ” เสียงกระซิบที่แผ่วเบานี้จางหายไปกับสายลม


ทิ้งไว้เพียงอาการหัวใจกระตุกรุนแรงที่คนฟังต้องเผชิญ



Talk: ด่าพี่ไพร์มได้แต่อย่าแลงมาก พี่เขาจำเป็น ไม่สิ จริงๆก็ไม่จำเป็นแต่เป็นหน้าที่555
เนื้อเรื่องในส่วนของนุ้งฉันนี่ก็เริ่มติงตังแน้วเหมือนกัน ._.
แต่เพราะนี่คือฉัน ความพาสเทลจึงจัดเต็มในโทนดราม่าของเรื่อง
ยังไงก็ยังฝากต่อไปนะคะ55555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
น้องฉันจะเป็นอะไรมากไหม ขอให้ปลอดภัยนะ ส่วนพี่สนก็ขอให้เจอน้องสาไวๆ จะได้ปรับความเข้าใจแล้วกลับมาอยู่ด้วยกันสักที

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ฉันยังน่าเอ็นดูไม่เปลี่ยน

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
- - - - - -
ฉันเป็นห่วง
(._.)
- - - - - -


ก่อนที่ฉันจะหลับลงไป


เสียงเรียกชื่อ ‘ฉัน’ ช่างดังก้องมาถึงในใจ


“อืม”  ไม่สบายตัวเอาเสียเลย แต่ฉันคิดว่าตัวเองก็หลับไปนานจึงไม่อาจจะอยู่ในโลกแห่งความฝันได้มากกว่านี้อีก


ทว่าไออุ่นข้างตัวทำให้ฉันต้องตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่าเราไม่ได้นอนอยู่คนเดียว ร่างสูงที่คุ้นเคยนั้นนอนอยู่ข้างๆ เราเกยก่ายกันเหมือนสนิทสนมเสียเต็มประดา และฉันก็บ้าเกินไปที่จะไม่รู้สึกเขินอาย


คุณไพร์มหลับอยู่ ฉันกวนได้ไหมนะ


“คุณไพร์ม”  เสียงเรียกที่ดังออกไปนั้นเหมือนไม่ใช่เสียงของฉันเลย ทำไมแค่คำสั้นๆก็เปล่งออกไปได้อย่างยากเย็น


ทว่ามันก็ดังพอให้เจ้าของชื่อค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา และสิ่งที่เขาเห็นเป็นอย่างแรกก็คือใบหน้าลางๆของคนที่สลบไปในอ้อมกอดของเขา เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ตรวจร่างกายเท่าไหร่ก็ไม่พบสาเหตุ โชคยังดีที่เขายังสัมผัสสัญญาณชีพได้


“รู้สึกไม่สบายตรงไหนไหมครับ”  ฉันที่ไม่รู้ว่าตนเป็นอะไรหนักแค่ไหนอยากจะถามเขากลับ คุณไพร์มก็ไม่ได้ดูหล่อเหลาเหมือนทุกวัน กลับกัน เขาดูหมองแบบประหลาด


“ฉันไม่เป็นไร”  เสียงที่แหบแห้งนั้นเปล่งออกมาได้อย่างยากเย็น หากฉันจะพิจารณาตัวเองสักนิด จะรู้ว่าที่เป็นอยู่ไม่ปกติเอาเสียเลย


“ตัวคุณฉันยังเย็นอยู่เลย” มือใหญ่ของเขาประคองใบหน้าน่ารักนั่น มันยังเย็นต้านความอุ่นของฝ่ามือเขาอยู่


“คุณไพร์มก็โทรมมาก ไม่หล่อเลย” เขาขยับตัว ฟังคำหยอกล้อของฉันชนกและยิ่งขมวดคิ้ว ในเวลาแบบนี้ยังมีอารมณ์มาเล่นอีก ไม่รู้เลยหรือไงว่าหลับไปนานเท่าไหร่


นี่ผ่านไปสองคืนแล้วนะ!


“เหมือนร่างกายคุณฉันไม่รับเลือดเลย”  เขาส่องไฟและมองไปที่ถุงเลือดซึ่งถูกแขวนไว้ ก่อนจะมองไปที่สายที่ส่งผ่านน้ำเลือดเข้าสู่ท่อนแขนที่ถูกเจาะอีกครั้งด้วยเจตนาที่ต่างออกไป


“นี่มันอะไร”  ฉันถามแบบที่สติก็ยังมาไม่ครบ ปกติก็เหมือนไร้สติอยู่แล้ว นี่ยิ่งหายหนักเข้าไปใหญ่


“คุณฉันตัวซีดมาก เหมือนแวมไพร์ที่มีอาการป่วยรุนแรง”  หรือจริงๆจะให้เรียกว่าเป็นอะไร พวกเราก็เข้าใจว่าเป็นอาการภูมิแพ้ของแวมไพร์ แพ้ต่อหลายสิ่งบนโลก แน่นอนว่าแสงแดดเพียงนิดเดียวก็อาจจะเผาเด็กคนนี้ให้เป็นจุลได้ ดังนั้นห้องที่เขาพามานอนนี่จึงเพียงเปิดไฟสลัวๆให้


ที่ฉันชนกเห็นหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน อาจจะเป็นเพราะมันเป็นหนึ่งในความสามารถของแวมไพร์ที่มองอะไรในที่มืดได้ดี แต่ก่อนหน้านี้เจ้าตัวไม่เคยจะสนใจและเพราะอยู่กับความสามารถนี้มาแต่เด็กเลยไม่คิดว่ามันแปลกไปตรงไหน ทว่าความคิดทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอีกเรื่องทันใดเมื่อเขาส่องไฟไปที่ปลายสายซึ่งส่งผ่านเลือดเข้าไปในร่างของฉัน


มันส่งเข้าไปหมดแล้วแต่ท่าทางเพ้อๆนี่ยังไม่หายไปเสียที


“คุณฉันรู้สึกเป็นไงบ้าง”


“อืม ฉันปวดหัว”


“รู้สึกแย่มากไหมครับ”


“ฉันเป็นอะไรอ่ะคุณไพร์ม”


“บอกผมก่อนว่ารู้สึกอะไร”  ฉันชนกเงียบไป มันยากจะตอบในทันทีเพราะความรู้สึกที่มีอยู่นี่มันปนเปอยู่หลายอย่าง รู้สึกไม่สบายกาย หนาวๆร้อนๆ และรู้สึกเหมือนบางสิ่งได้ขาดหายไปและต้องการอะไรเข้ามาทดแทน และเมื่อคิดดีๆ


“ฉัน…ต้องการเลือด”


“….”


“อึก”


“คุณฉัน”  เขาไม่เข้าใจ เราน่าจะให้เลือดกับคุณฉันไปมากมายแต่ดูเหมือนมันจะไม่เพียงพอกับความต้องการเลย ภูวนัยเร่งคิด หรือเขาควรจะบอกให้คนนำเอาถุงเลือดมาเพิ่มให้อีก ใช่…เขาต้องทำอะไรสักอย่างในเมื่อเจ้าแวมไพร์ก็บอกอยู่ว่าต้องการเลือด แต่อีกส่วนหนึ่งในใจก็แย้งว่าเลือดถุงไม่ใช่คำตอบของปัญหาที่เผชิญ


“นี่ครับคุณฉัน”  เขารวบร่างบางเข้ามาใกล้อีกครั้ง ขยับลำคอของตนไปให้ กลิ่นกายอ่อนๆที่ปล่อยออกมาจากลำคอที่แสนหอมหวานอันเป็นลักษณะเฉพาะทางของมนุษย์ผู้ชื่นชอบการปลดปล่อยเลือดของตัวเองกระตุ้นให้ก้อนเนื้อภายในอกของฉันยิ่งเต้นแรง สัญชาตญาณดิบที่ไม่จำเป็นต้องเก็บกักนั้นทำให้ริมฝีปากอิ่มค่อยๆเปิดออก และเขี้ยวเล็กแหลม


ก็ค่อยๆยาวขึ้น….


ภูวนัย…ไม่เคยรู้สึกถึงการถูกดูดเลือดที่เต็มไปด้วยความต้องการมากขนาดนี้ มันทำให้เขารู้สึกดีแต่ในขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงการไหลเวียนของเลือดที่ไม่ปกตินัก ฉันไม่ได้กินเพื่ออยู่แต่กินเพื่อให้มีชีวิต เพราะพลังชีวิตได้ถูกพรากไปจนไม่อาจจะบอกได้ว่าต้องได้เลือดของมนุษย์เช่นเขากลับมามากเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอสร้างภูมิคุ้มกันภัยจากสภาวะของโลก


“คุณไพร์ม”  ฉันชนกถอนริมฝีปากออก รับรู้ได้ด้วยสติที่เริ่มมีพร้อมว่าตนนั้นดูเลือดของเขาออกไปมาก ปกติเลือดของไพร์มข้นนัก ดูดมากเกินไปจะทำให้ร่างกายของตนรับไม่ไหว แต่นี่ก็ดูดมากกว่าปกติไปหลายเท่าด้วยซ้ำ ฉันชนกก็ยังมีความต้องการมันอีก


และครั้งนี้แปลกมากเพราะฉันไม่ได้ดูดออกไปเพราะหยุดไม่ได้แล้วเพราะตนฝึกตัวเองให้มีสติรับได้พอดีมาสักพัก ทว่าครั้งนี้มันเหมือนร่างกายของตนมันเรียกร้องจริงๆ เรียกร้องราวกับว่าถูกทำให้อดข้าวมาเป็นเดือนๆได้แบบนั้น


“คุณไพร์ม ฉันขอโทษ”  การดูดเลือดที่ยาวนานจนเกือบจะเป็นชั่วโมงนั้นทำให้คนสุขภาพดีแบบไพร์มถึงกับทรุดได้เหมือนกัน แต่ได้ยินฉันชนกพูดชัดถ้อยชัดคำแถมขยับตัวมาหาได้ เขาก็ทิ้งตัวลงอย่างเหนื่อยล้าแต่เต็มไปด้วยความสบายใจในทันที


“ไม่เป็นไรครับ”


“แต่ฉันดูดออกไปเยอะมาก คุณไพร์มอาจจะ…เขาเรียกอะไร อ๋อ! เลือดจางได้”


“ก็เป็นไปได้ครับ”  ไม่ใช่เป็นไปได้ล่ะ เป็นไปแล้วเลย ตอนนี้เขาเริ่มจะมึนหัวและคิดว่าตนเองเข้าสู่ภาวะนั่นจริงๆ


“นี่เราอยู่ไหน ให้ผมตามหมอให้ไหม” 


“อันที่จริงไม่ต้องตามครับ”  เพราะในตึกนี้คนที่รู้ดีเรื่องอนาโตมี่ของมนุษย์เช่นเขาไม่มีใครอื่นอีก และตนก็รับรู้ได้ถึงภาวะที่กำลังเผชิญอยู่ เพียงแต่คิดว่าได้พักสักหน่อยก็คงฟื้นฟูได้ ภูวนัยยังไม่ตายในตอนนี้หรอก


“แต่ฉันเป็นห่วง” เขายิ้มออกมา รับรู้ได้ถึงความห่วงหาจากใจจริงของคนที่กำลังลูบใบหน้ากันอยู่ มันรู้สึกดีอะไรแบบนี้ เหมือนกับว่าเขาไม่คุ้นเคยมาก่อน อา…เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับความห่วงใยจากใครสักคนจริงๆนี่นะ


“ผมง่วงนิดหน่อย อีกสักพักคงสบายดี”


“….”


“นอนกันต่อเถอะครับ เดี๋ยวผมขอบอกข้างนอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยก่อนนะ” และเขาก็คว้าหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความออกไป


ฉันยังคงพะวงเรื่องเขาอยู่ เห็นได้จากท่าทางที่ยังเคร่งเครียดอยู่นี้ เขารู้สึกดีจนแทบบ้า คงบ้าไปแล้วจริงๆถูกสูบเลือดออกจากตัวเกือบหมดแบบนั้นแต่ยังยิ้มมีความสุขอยู่ได้ ภูวนัยก็ไม่เข้าใจตัวเอง แต่ช่างเถอะ บางทีพักผ่อนสักตื่นอาจจะคิดอะไรดีๆออกมาได้


“คุณไพร์ม!”  ฉันร้องออกมา คนที่ป่วยแทนรวบกันเข้าไปในอ้อมกอด นี่เขาจะนอนโดยไม่ไปตรวจร่างกายอะไรจริงๆเหรอ


“หลับนะครับเด็กดี”  ฉันชนกเบะปาก นึกไม่พอใจเสียหน่อยแต่ไม่ได้ว่าอะไรต่อ จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าเขากำลังหลับอยู่จริงๆก็คลายคิ้วที่ขมวดปมแน่นของตนออกมา อย่างน้อยก็วางใจได้ ภูวนัยอาจจะแค่ง่วงนอนจึงหลับไปอย่างที่เขากล่าวอ้าง อย่างไรนี่ก็ดีแล้วที่มันเป็นแค่หลับ


เพราะฉันพิสูจน์ได้ว่าลมหายใจของเขายังไม่ถูกพรากไป


ในด้านของสนธยาที่ได้รับฟังเรื่องราวจากคนสนิทนั้นไม่แปลกใจเท่าไหร่ ฉันชนกต้องทำข้อตกลงอะไรกับภูวนัยไว้อยู่แล้วจึงทำให้ป่านนี้เขายังหาสารินไม่เจอ!


“พาไปที่สำนักงานใหญ่แบบนั้น คงไม่พลาดพาไปที่แล็บเพื่อทำอะไรบางอย่าง” 


“แต่ได้ยินว่าผ่านมาสามวันแล้วก็ยังไม่ได้ออกกันมาเลย”


“อันนี้แปลกแล้ว ยังไงตามสืบด้วย”


“ครับ”


หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน แม้เขาไม่รู้ว่าไพร์มกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ แต่เชื่อมั่นได้เลยว่าเด็กโง่เง่าอย่างฉันชนกคงติดกับเข้าเต็มเปาและอาจจะเจอเรื่องยุ่งยากบางอย่างอยู่จริงๆ เขารู้สึกห่วงเพื่อนน้องชายนิดหน่อย อย่างน้อยครั้งหนึ่งฉันชนกก็เคยมีประโยชน์ต่อเขามากมาย


ช่วยให้พี่น้องที่ไม่ค่อยได้คุยเริ่มสนิทสนมกันได้


ฉันชนกที่วุ่นวายคนนั้นก็มีความดีความชอบไม่น้อย


ท่าทีของเขาต่อสารินเป็นที่สงสัย สนธยารับรู้ได้แต่ไม่สนใจสายตาของใคร มาถึงจุดที่ลูกเมียหนีไปเขาก็คิดว่าหากแคร์คนอื่นมากมายสุดท้ายก็คงไม่เหลืออะไรไว้เลย


ที่ผ่านมาแม้จะวางแผนมากมายแต่สุดท้ายมันอาจจะไร้ค่า เพราะว่าเขาใช้เวลาทำให้สาเกิดความไม่มั่นใจในหลายๆด้าน และความกลัวที่เราสองคนถือครองไว้อยู่ก็ทำให้เรารู้ใจตัวเองและรู้ว่าสิ่งที่ควรทำนั้นคืออะไร ทว่ากว่าจะรู้ดีนั้นก็อาจจะสายไป วันนี้เขาถูกพรากจากอีกคนไปแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าจะเดินออกไปจากชีวิตกันได้ตลอดไป


ครั้งหนึ่งเข้ามาแล้ว ออกไปมันไม่ง่ายหรอก


สิ่งที่เรียกว่าความรักน่ะ…


ในที่สุดฉันชนกที่นอนเป็นแวมไพร์ป่วยก็ได้กลับมาที่คอนโดเสียที นี่ก็เพิ่งรู้ว่าตนนอนหลับไปสองคืนในตอนนั้น ทว่าฉันก็ไม่ได้ถามว่าทำไมเพราะตนเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้มันอาจจะเกิดขึ้นได้ และเพราะยังไม่ตายแถมยังกระโดดได้จึงไม่ถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นร้ายแรงแต่อย่างใด


“คุณฉันไม่กระโดดสิครับ”  ไพร์มที่เดินเข้ามาหาที่ห้องรับแขกนั้นหลุดหัวเราะ อยู่ๆก็เป็นอะไรของเขา


“ฉันแค่เช็คว่าตัวเองสบายดีจริงๆแบบที่คิดหรือเปล่า”


“…”


“แต่เท่าที่ดูก็เหมือนเดิมเลยนะ วิ่งได้ กระโดดได้ หลับสบาย และสดใสเหมือนเดิม!”


“ฮึๆ” 


“หิวได้เหมือนเดิมด้วย”


“และคงจะกินเก่งเหมือนเดิม”  เขาส่ายหน้า รู้สึกว่าตัวเองก็บ้าบอไปกับฉันชนกคนบ๊องเสียแล้ว


วันนี้ไพร์มจัดราดหน้าทะเลให้ แถมยังมีทอดมันกุ้งของโปรดชิ้นใหญ่เพื่อฉลองการหายป่วย เขารู้ดีว่าจะเบี่ยงเบนความสนใจของแวมไพร์ตัวน้อยได้อย่างไร เพราะมันคือสิ่งที่เขาทำมาตลอด จนถึงตอนนี้ที่เขาเคยรู้สึกดีมันกลับไม่ใช่ การที่เขาหลอกให้ฉันนั้นดีใจมันคือสิ่งที่ผิด


นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาเจ็บปวดกับการ ‘ไม่ซื่อสัตย์’


“คุณไพร์มกินนี่ๆ”


“อย่าหลอกเอาคะน้ามาให้ผมกินแทนครับ”


“ง่า…เก่งอ่ะ รู้ทันด้วย”


“นี่นักปราบแวมไพร์กินจุนะครับ กับเรื่องโดนหลอกให้กินคะน้านี่เบามากๆ อย่าหลอกเสียให้ยาก”  ฉันชนกเบะปาก ถูกเขาแซะแซวจนพรุนไปหมดแล้ว ไม่เห็นใจคน(เคย)ป่วยเอาเสียเลย แต่ในขณะที่กำลังด่าทอในใจ เจ้าของใบหน้าหล่อก็ขยับมาฉกเอาคะน้าที่เจ้าตัวตักใส่ช้อนยื่นให้แต่โดยดี  “ของมีประโยชน์ต้องกินให้หมดนะครับ เด็กดี”


นี่มันวิธีรับมือแวมไพร์แบบไหนของเขากันนี่ ฉันจะระเบิดตัวตาย!!!!!


เราสองคนช่วยกันล้างจาน คุณไพร์มซึมมาก มันเพราะอะไร?  ฉันชนกที่ไม่ได้ติดใจอาการของตัวเองก่อนหน้านี้นึกสงสัยอยู่เรื่องเดียวคืออารมณ์ของคนข้างกายที่กำลังเช็ดจานอยู่ เหลือบมองใกล้ขนาดนี้เขายังไม่หันมาเล่นหูเล่นตาใส่ ฉันต้องยื่นหน้าเข้าไปส่องหูเขาเลยไหมถึงจะรู้ว่าเรียกร้องความสนใจอยู่


นี่แน่ะ!


“ทำอะไรครับ ลวนลามแก้มผมเหรอ”  เปล่านะเฮ้ย!


“ส่องหูคุณไพร์มอยู่ต่างหากเล่า!”


“ส่องทำไมครับ ในไปโดนตัวไหนมา ทำไมคึกจังวันนี้”


“ก็กินทุกอย่างที่คุณไพร์มหาให้อ่ะแหละ”  แต่ฉันคิดว่าตัวเองดีดไปจริงๆ ปกติก็ดีด แต่ไม่มากเท่านี้ คาดว่าคงจะมีปัญหาที่ทำให้ตนตลกกลบเกลื่อนได้ทั้งวัน และปัญหานั้นๆเขารู้ตัวไหมว่าฉันเป็นห่วง  “ฉันเป็นห่วงคุณไพร์ม คุณไพร์มซึมไม่ค่อยเล่นเลย”  เพราะกลัวจะไม่รู้ เลยบอกไปตรงๆ และคนที่ดีดทั้งวันก็ทำหน้าจ๋อย ราวกับอยากจะแบกรับเรื่องราวไม่สบายใจแทน


“ผมไม่เป็นอะไรครับ”  เขาเลิกคิ้ว นี่แค่ไม่กี่วัน แต่ทำให้แวมไพร์ตัวน้อยที่ชื่อฉันห่วงไปกี่ครั้งแล้ว


รู้สึกผิดแต่ก็รู้สึกดี อันนี้ฟ้าอนุญาตให้เขาเกลียดตัวเองได้ไหม


“เป็นสิ เป็นมากด้วย หรือว่าผลวิจัยออกมาไม่ดี”


“…”


“พาฉันไปเจาะกระดูกอีกไหม เผื่อว่าจะได้ใช้”  และฉันก็จริงจังมากๆ คนตัวบางยื่นแขนมาให้ และสิ่งที่ได้เห็นก็คือรอยช้ำดวงใหญ่ ตัดกับผิวขาวซีดของแวมไพร์เพิ่งหายป่วย


“ไม่ต้องหรอกครับ”


“แต่ว่า…”


“ผมแค่เหนื่อยๆครับ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่แล็บเลย”  เขายิ้มให้ นับถือในความหวังดีของฉันชนกแต่เพราะความรู้สึกบีบอัดที่ไม่เคยได้สัมผัสมาเนิ่นนานนั้นมันเจ็บปวดราวกับว่าตัวเองจะขาดใจได้ ไพร์มจึงไม่คิดจะช่วงชิงอะไรกับเด็กคนนี้อีก


ที่เขารู้สึกนี้คือความเห็นแก่ตัวใช่ไหม เห็นแก่ตัวเองที่ไม่อยากสูญเสียอะไรไป แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกรุนแรงต่อคนๆหนึ่งได้ถึงเพียงนี้ก็ตาม


ดวงตาใสที่มองกลับมาช่างอ่อนเดียงสา ฉันชนกเติบโตมาขนาดนี้ได้อย่างไร เด็กคนนี้ถูกช่วงชิงผลประโยชน์ไปเท่าไหร่เขาไม่อาจจะรู้ได้เลย แต่ที่รู้แน่ๆ คือเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนไม่ดีที่เข้าหาอีกฝ่ายด้วยจุดประสงค์แย่ๆ ไพร์มค่อยๆวางมือลงบนศรีษะทุย คิดถึงอีกฝ่ายแม้จะยืนอยู่ตรงหน้าก็ตาม


“คุณฉันเคยมีช่วงเวลาที่…เกลียดผมบ้างไหม”


“เกลียดคุณไพร์ม ทำไมเหรอ?”


“เพราะผมคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ดีสักเท่าไหร่”


“แล้วฉันเป็นคนดีที่ไหน เพ้อเจ้อนะเราเนี่ย”


“ยังไม่ได้ชมเลย ใครกันแน่ที่เพ้อเจ้อครับ”


“แฮ่…ฉันเอง”  เจ้าตัวดียิ้ม ช่างพาออกนอกเรื่องเก่งนัก  “แต่จริงๆแล้วฉันเองก็ไม่ใช่คนดี ครั้งหนึ่งเคยเป็นสาเหตุที่ทำให้สาถูกเพื่อนแบนไม่ชอบขี้หน้า ฉันว่าสาต้องร้องไห้แน่ๆเลย ชั่ววินาทีหนึ่งฉันสะใจด้วยนะ”


“…”


“คือแบบ คนดีๆที่ไหนที่อยากแก้แค้นเพื่อนที่ดีมากๆกับเราคนหนึ่งด้วยเหตุผลงี่เง่าที่ว่าเขาอาจจะเป็นคนที่ทำให้แฟนเราไม่รักเราอ่ะ คือสาเป็นเพื่อนที่ดีมากนะ แต่พอพี่สนขอเลิกกับฉัน ฉันก็พาลโกรธสาเพราะคิดไปเองว่าพี่สนอ่ะแอบชอบสามากกว่า”  ฉันพูดออกไป รู้สึกเหมือนได้ระบายความในใจที่เก็บไว้นาน  “แต่ตอนนั้นก็รู้ตัวนะว่าที่ทำไปไม่ถูกเลยไปขอคืนดี”


“คุณฉันเป็นคนดีครับ”  ถึงตอนนั้นฉันไม่เคยพูดเป่าหูใครว่าสาทำอะไรแต่ความเงียบที่จงใจสร้างก็ทำให้เพื่อนพวกนั้นคิดไปเองว่าคนผิดในครั้งนั้นคือสา


“ก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอก”  และนี่คือเหตุผลที่ว่าฉันเองก็อยากชดใช้ เห็นไหมว่าที่ทำลงไปไม่ใช่เพราะเป็นคนดีหรอก เพราะอยากทำให้ตัวเองรู้สึกว่าเราก็เป็นคนดีเหมือนกันต่างหาก


“ดีแล้วครับ ดีมากกว่าผมหลายเท่าเลย”


“เราก็ไม่บอกว่าคุณไพร์มเป็นคนดีหรอก”


“…”


“คุณไพร์มอ่ะ แค่ดูหน้าก็ร้ายแล้ว แถมเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ ใครคิดว่าเป็นคนดีก็ต้องโง่แล้ว นี่ดีนะที่ฉันไม่โง่”


“แล้วทำไมถึงยอมผมครับ”


“ก็บอกแล้วไงว่าฉันโกรธพวกแวมไพร์ และอยากทำเพื่อสา โน่นนี้ แต่จริงๆฉันก็ไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ให้ทุกคนที่มาตีซี้หรือขอหรอก ฉันมองออกนะ แต่กับคุณไพร์ม”  แต่ละถ้อยคำที่หลุดออกมาทำให้เขาใจเต้นแรงขึ้นเรื่อย  “ฉันไว้ใจคุณไพร์มอ่ะ ไม่รู้สิ อาจจะโง่แบบที่คุณไพร์มคิดก็ได้”  สุดท้ายก็ยอมรับ บ้าจัง


“คุณฉันแค่เชื่อคนง่าย ไม่ถึงกับโง่หรอก”  เขายิ้มออกมา กับคำว่าไว้ใจมันให้อานุภาพมากมายขนาดนี้ หัวใจของเขาพองฟูไปหมด  “แต่คิดว่าคุณฉันน่ารักอ่ะเป็นเรื่องจริง เชื่อไหม”


“อันนั้นฉันรู้ ไม่ต้องบอกก็ได้!!!”  แต่ย้อนซะเสียงสูงและแก้มแดงสุกปลั่งขนาดนั้น ไม่ให้เชื่อได้เหรอว่าเขินกันอยู่  “นี่แน่ะๆๆๆๆๆ”  คุณไพร์มอะไรนี่ทำตัวน่าตีขนาดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันรัวมือไม่ยั้ง แต่มันไม่แรงมาก ไม่เจ็บเท่ามดกัดด้วยซ้ำ


“เดี๋ยวช้ำหมด”  แต่เขาก็รวบมือนั้นเอาไว้ แววตาหมองที่เห็นได้ตั้งแต่เช้านั้นแปรเปลี่ยนไปวาวระยับ อย่างไรก็ตาม มันน่าหลงใหลเสียจนหัวใจของฉันก็เต้นแรง เราสองคนเหมือนหลุดออกจากโลกใบนี้ไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง


มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันค้นพบแต่ความจริงใจไร้จริตหรือแผนการจากแววตาคู่นั้น


“คุณฉันครับ”


“อื้อ”


เขายกมือของฉันขึ้นมาจรดริมฝีปาก ก่อนจะถามคำสำคัญ “ผมจูบได้ไหม” 


“…”


“ถ้าไม่ตอบ แปลว่าอนุญาตเลยได้ไหมครับ”  และตามนั้นฉันไม่ตอบไม่แย้งไม่แม้แต่จะกะพริบตา  “จูบเลยละกัน”


ทันใดนั้นริมฝีปากของเขาก็ประกบลงกับริมฝีปากอิ่มของฉัน และดวงตาคู่นั้นก็ปิดสนิทลงราวกับจะฝังให้ตัวเองไปอยู่ในห้วงฝันที่แท้จริง ภูวนัยไม่ได้รุกล้ำกันในคราแรก เขาส่งมอบจังหวะอ่อนนุ่มที่ดีต่อใจผู้รับก่อนจะค่อยๆริเริ่มจังหวะรุกเร้าเข้าไปทีละนิด ฉันกำลังถูกคุกคาม แต่อีกส่วนหนึ่งก็เหมือนตนไปยื่นมือให้เขาเข้ามา


“อืม” เขาผละริมฝีปากที่เคยบดคลึงอย่างเบาบางออกมาเพื่อแปรเปลี่ยนจังหวะที่หนักหน่วงและวาบหวามกว่าเดิมให้ไป ร่างของฉันถูกดึงให้เข้ามาใกล้ก่อนที่จะบดเบียดร่างกายกันไปด้วยจังหวะที่ร้อนเร่าได้มากขึ้น


ในที่สุดมือไม้ที่ไม่รู้จะวางไว้ที่ไหนก็ถูกยกขึ้นมาปัดป่ายสัมผัสไปทั่วแผ่นหลังและเอวสอบได้รูปของเขาราวกับจะระบายความปรารถนาที่ตนมี เราจูบกัน เราสัมผัสกันและเราก็ดื่มด่ำรสชาติจากร่างกายของกันและกันจนคิดไปได้ว่าเท่านี้ยังไม่พอ อยากจะค้น อยากจะหา อยากจะชื่นชมให้ได้มากกว่าที่เคอร์ฟิวกำหนดไว้


และสุดท้ายเราก็หลงลืมคำถามที่ว่าเมื่อไหร่ เราจะหยุดมันไปเสียที รู้ตัวอีกครั้งก็ค้นพบว่าจุดที่ยืนอยู่ตรงนี้มันไม่ใช่เล่นๆแล้ว


นี่คุณไพร์มชอบกันมากเลยนี่หว่า…ใครจะกล้าเถียงฉันไหม!


- - - - - -
แต่ฉันก็ชอบมากเลยเหมือนกัน
(.///.)
- - - - - -


สนธยารับซองที่บรรจุภาพถ่ายจำนวนหนึ่งมาไว้ในมือ ก่อนจะพยักหน้าอนุญาตให้รายงาน


“เหมือนว่าคุณฉันจะเข้าไปในฐานะผู้ถูกทดลองตัวยาใหม่ครับ”


“โปรเจ็คอะไร”


“เป็นโปรเจ็คลับครับ แต่เดาไม่ยาก น่าจะเกี่ยวข้องกับข่าวลือที่ฝั่งแวมไพร์ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้”


“ที่ว่าผลิตสารเพื่อการสร้างภูมิคุ้มกันได้ด้วยตัวเองนะเหรอ”


“คิดว่าใช่ครับ”


“เข้าใจแล้ว ออกไปได้”  เขาบอกก่อนจะหยิบเอารูปถ่ายออกมาจากซอง ภาพจำนวนห้าใบนั้นเป็นภาพที่ถูกถ่ายตอนที่ฉันถูกพาออกมาจากตึก


สนธยามองดูภาพเหล่านั้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่งแต่ในหัวมีความคิดอยู่มากมาย ฉันเป็นแวมไพร์ที่จะพูดว่าแปลกมากก็คงใช่ คงไม่มีใครในเผ่าพันธุ์ไหนยื่นมือช่วยฝ่ายตรงข้าม แต่ฉันไม่ได้โง่ขนาดจะทำอย่างไร้เหตุผล ซึ่งเหตุผลนั้นแค่เพื่อให้สาไปซ่อนตัว เขาไม่คิดว่ามันจะคุ้มหรืออะไรสักหน่อย


ไพร์มตามติดฉันมานานแค่ไหน เขารู้ดี และการลงทุนที่ไพร์มลงมาเล่นเองขนาดนี้ เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องฝากฝังความหวังไว้ที่แวมไพร์ตนนี้มากมายแน่ๆ


แต่การทดลองที่ว่านั่นมันถูกกฎหมายหรือเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่ แม้ปากจะเอ่ยว่าธุรกิจที่ทำนั้นโปร่งใส แต่เราที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เงามนุษย์โลกย่อมรู้กันดีกว่าใครว่าใดๆมันไม่มีโปร่งใสเช่นนั้นหรอก ไม่งั้นเลือดคนคงไม่ผสมอยู่ในซอสปรุงรสวางขายเกลื่อนกลาดอยู่ทุกวันนี้


แล้วพ่อทั้งสองของฉันชนกทราบเรื่องหรือไม่ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาทำอะไรแบบนั้น อันที่จริง เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคนเหล่านั้นรู้ตัวหรือเปล่าว่าเลี้ยงอะไรเอาไว้อยู่ แต่คำว่าถูกทำการทดลอง มนุษย์คนไหนๆก็ย่อมรับไม่ได้ทั้งนั้น จนกว่าจะได้ฟังรายละเอียดถี่ถ้วนก่อน


แต่เขาคงไม่วิ่งไปบอกพ่อของฉันชนกในตอนนี้เพื่อบีบอีกฝ่าย อย่างไรก็ตามก็ถือว่าเป็นแผนการที่ดีหากว่าต่อจากนี้ยังไม่ยอมจำนน ยังไม่ใช่ตอนนี้แต่อีกไม่นานหรอก เขาจะยังสั่งคนไปเฝ้าดูทั้งไพร์มและฉันเอาไว้ เผื่อว่ามีการเคลื่อนไหวแปลกๆเมื่อไหร่ก็จะจัดการได้ทันควัน มิหนำซ้ำเขายังเชื่อสนิทใจว่าสิ่งที่ไพร์มทำกับฉันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ


จะให้ปล่อยไปก็ไม่ได้ ถึงไม่ได้รัก เขาก็รู้ว่าสาต้องโกรธกันแน่ๆหากเขาเมินเฉย ดังนั้นสนธยาจึงคิดจะปล่อยไปเพื่อให้ได้เผชิญกับโลกที่โหดร้ายสักครั้งเผื่อที่จะได้หายซ่า ถึงจะเอ็นดูและไว้ใจฉันที่สนิทสนมกับสาของเขาอยู่บ้าง


แต่ถ้าปล่อยให้ทำตามอำเภอใจเสียทุกอย่าง…เด็กคนนั้นก็จะไม่ได้รับบทเรียนราคาแพงอะไรเลย



Talk:
ตัวร้ายจะกลับใจหรือไม่
โปรดติดตามตอนต่อไป
#คู่กินคู่กัด

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ฉันออกจะน่ารัก อย่ารังแกกันนะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
- - - - - -
ใครน่ะ!
((゚Д゚;))
- - - - - -

ชีวิตของสานั้นเรียกว่าดีมากๆ ตื่นมาก็มีคนหาอาหารต่อสุขภาพที่ดีต่อลูกให้ทาน สภาพจิตก็แจ่มใสดี ลมเย็นๆที่พัดโชยพากลิ่นทะเลมานั้นทำให้รู้สึกว่าโชคดีจริงๆที่ได้มาอยู่ที่นี่


แต่บางทีก็รู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง เพราะที่เผชิญอยู่มันเรียกได้ว่าดีเกินไป


“ผลไม้ค่ะ”


“ขอบคุณครับ”  สารับจานผลไม้ที่เพิ่งถูกปอกใหม่ๆมา ทันทีที่มันเข้าไปในปาก ความสดชื่นก็ทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นไปอีกระดับ


แม้แต่เจ้าตัวเล็กก็ยังชอบ ดีจังเลยน้า


“ว่าไงครับลูก”  สาเอ่ยถามแม้ไร้คำตอบ มือที่ลูบหน้าท้องของตนนั้นสัมผัสได้ถึงแรงตอบกลับดั่งคำทักทายในยามเช้า เจ้าตัวเล็กก็ตื่นเร็วเหมือนกันในวันนี้


คงเป็นเพราะข้าวต้มที่ได้กินไปทำให้เจ้าตัวรับรู้ว่าคุณแม่ได้กินอาหารส่งไปให้ในเช้าวันใหม่ ชีวิตของสารินเรียบง่าย ดูเหมือนจะไร้ความทุกข์ใดๆเพราะมันไกลเกินกว่าสิ่งเหล่านั้นจะเข้าถึง ทว่าจริงๆแล้วมันไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล…


ความทุกข์อยู่ติดกับความรู้สึกที่ใจซึ่งเราพกพามันไปทุกที่ทุกเวลา


“จนป่านนี้แล้วเขาคง…ลืมกันไปหมดแล้วล่ะมั้ง” สารินหวังเช่นนั้น แต่ส่วนลึกภายในใจก็โต้แย้งไม่อยากให้มันเป็นจริงๆ ความรักความผูกพันไม่สามารถสร้างกันในหนึ่งวันได้ฉันใด จะลบมันออกไปก็ไม่ได้ทำได้ง่ายๆเช่นนั้นเหมือนกัน


และเผื่อๆเราอาจจะต้องอยู่กับมันตลอดไป


“มีโทรศัพท์มาค่ะคุณสา”


“จากคุณฉันเหรอ”


“ใช่ค่ะ”


“ขอบคุณมากครับ”  สารับโทรศัพท์นั้นมา ฉันแทบจะโทรหากันทุกวัน แต่แทนที่จะรู้สึกดี บางทีกลับรู้สึกเหงาขึ้นมาจริงๆ


“สารับช้า”


“คนท้องทำอะไรก็ช้าไปหมดนั่นแหละ”


“ตอนนี้คงอ้วนเป็นหมูเลยสิท่า”


“ก็คิดว่าไม่ได้อ้วนขนาดนั้น แต่ก็ใช่…คงอ้วน” สาลืมไปแล้วว่าโลกใบนี้มีเครื่องชั่งน้ำหนักอยู่


“เดินเหินบ้างนะ เดี๋ยวหลานฉันกลายเป็นหมู”


“ก็ดีนะ มีแม่หมู คุณลุงหมู และลูกหมู”


“ฉันไม่อ้วนเหอะ”


“เดี๋ยวนี้ชักแก้มยุ้ยนะ รู้ตัวป่ะ”


“รู้!”  ก็จะเพราะอะไรล่ะ ตั้งแต่เจอคุณไพร์มทุกอย่างมันก็อร่อยไปหมด


“ทางนั้นเป็นไงบ้าง”


“ก็ดีนะ สงบดี”


“แล้ว…ไม่มีอะไรผิดปกติใช่ไหม ทางบ้านเราเข้าไม่…” จริงๆจะถามไปก็กลัวใจไม่น้อย ไม่ว่าจะทางไหนก็ชวนให้ปวดใจทั้งนั้น


“ไม่คุยเรื่องนี้อ่ะ คนท้องต้องเครียดแน่เลย”


“มันน่าเครียดขนาดนั้นเลยเหรอ”


“เรื่องของบ้านนั้น พูดยังไงก็เครียดป่ะสาอ่ะ”  ก็จริงของฉัน


“งั้นก็ได้ เราไม่รู้ก็ได้”


“รู้แค่ว่าสาต้องมีความสุขมากๆก็พอแล้ว จำคำเราไว้”  ฉันย้ำเช่นนี้ และยืนยันจะไม่เปิดปากเรื่องที่พบเจอออกไปเด็ดขาด สายังไม่สมควรรู้ ต่อให้บอกอย่างไรก็คงเก็บไปคิดมากอยู่ดี เอาจริงๆตอนนี้ขนาดไม่รู้อะไร ก็คิดมากอยู่ใช่ไหมเนี่ย มีหรือฉันจะมองไม่ออก!


ดูเหมือนฉันจะโทรมาบ่นกันให้ฟังเสียมากกว่า ซึ่งสาก็ฟังๆไป โทนเสียงของฉันไม่ว่าจะมึงมาพาโวยสักเพียงใดมันก็เป็นได้แค่ลมที่จั๊กจี้ใบหูแค่นั้น ทำไมคนที่ดูจะมืดมนอย่างสาถึงได้ถูกคนแบบฉันชนกดึงดูดให้เข้าหาได้ขนาดนี้


สาเคยอยากเป็นคนแบบฉัน มีความสุขทุกวันเหมือนไม่เคยมีเรื่องทุกข์ร้อนใดๆในหัว แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆระบบประมวลความคิดของฉันนั้นอาจจะซับซ้อนอยู่แต่เราแค่ไม่เข้าใจ ทว่าสามั่นใจว่าหากได้คลอดตาหนูออกมาและมีฉันช่วยเลี้ยง ลูกต้องอารมณ์ดีเหมือนเพื่อนแน่ และนั่นคือสิ่งที่คาดหวังอยากให้เป็น เรื่องเลวร้ายทั้งหมดนั่น….


ให้สาเก็บมันไว้แค่เพียงคนเดียวก็พอแล้วจริงๆ


จริงๆที่ฉันเพียรบ่นเพียรโทรหาก็แค่อยากให้สาได้รู้ว่าตนยังมีคนที่ห่วงใยอยู่ หลังจากวันนั้นที่ได้เจอสนธยา ฉันก็ไม่ได้เจอเขาอีก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคุณไพร์มหรือเปล่าที่กันไม่ให้เขาเข้ามา แต่อย่างไร ฉันก็ได้พูดคุยกับคุณเขาไปเพิ่มเติมในวันก่อน


เรื่องที่ว่าฉันอยากจะกีดกันสนธยาออกจากสารินจริงๆหรือไม่?


เจตนาของฉันนั้นไม่รุนแรงแบบที่สาคิด อย่างไรก็อยากให้ทั้งสองได้คู่กันด้วยเหตุผลที่ว่าคนรักกันก็ควรจะมีความสุขร่วมกันสักครั้ง หากมันไม่รอดจริงๆก็คุยให้ชัดเจน หาทางแก้ปัญหา ถ้าไม่ไหวค่อยแยกจากกันอีกที หนีมาเลยโดยไม่พูดไม่จาแบบนี้มันไม่ดีจริงๆ ไม่ดีที่สักวันหนึ่งก็ต้องถูกตามเจอ และกว่าจะถึงตอนนั้นเราก็ต้องอยู่กับความกังวลใจไปตลอดด


แล้วทำไมฉันถึงช่วยสาแต่แรก ก็เพราะว่าถ้าปล่อยให้พี่สนพาสาเข้าบ้านไป ฉันก็ไม่แน่ใจว่าสาต้องเผชิญอะไรบ้าง หากถูกสั่งให้ทำแท้ง ฉันมั่นใจได้เลยว่าคนที่เจ็บที่สุดคือสาและเสียใจที่สุดคือฉัน ดังนั้นกันออกมาเพื่อให้ได้เจรจากับพี่สนก่อนย่อมดีกว่า แต่เมื่อไหร่กันล่ะที่ฉันจะได้พูดคุยกับพี่สนดีๆสักที


ก็ก่อนหน้านี้ที่เขามา ทั้งท่าทางคุกคามและเลือดแค้นในกายที่สุมอยู่ก็ทำให้ตนเลือกที่จะเล่นละครทำไม่รู้ไม่ชี้ไป อันที่จริงฉันก็คิดไว้ว่าให้เขาได้อดทนกับอะไรบ้างมันอาจจะดีกว่าได้ทุกอย่างมาได้ง่าย แต่ในตอนนี้สำหรับฉันมันไม่ง่ายแล้วสิ ไม่ใช่ว่าตอนนี้สนธยาถอดใจและเลิกตามหาสารินของฉันชนกไปแล้วนะ!


หลานของฉันจะไม่มีพ่อเพราะน้าโง่ๆคนนี้แท้ๆ


ฉันได้บอกภูวนัยถึงเจตนาของตน ทว่าก็บอกต่อไปถึงความกลัวที่จะไม่ได้เจอสนธยาอีก ทว่าสิ่งที่เขาทำกลับยิ้มน้อยๆ ลูบใบหูของฉันแผ่วเบาก่อนจะพูดว่า ‘ต้องได้เจอกันแน่ๆ ไม่นานนี้แหละ’ บอกตรงๆนะ


อีหยังของคุณไพร์มวะ ฉันงง?!


วันนี้ฉันต้องกลับบ้าน มันเป็นคำขอจากพ่อทั้งสองที่ไม่ได้กินข้าวด้วยกันสักพักแล้ว แน่นอนว่าโยเยต่อบุพการีไม่ใช่เรื่องดี ทันทีที่วางโทรศัพท์ที่คุยกับวธิน ฉันก็หยิบกระเป๋าสตางค์กับมือถือออกมากวักเรียกแท๊กซี่ ยังเช้ามากสำหรับวันหยุด คาดว่าถนนคงว่าง และภูวนัยก็คงยังไม่ตื่น


หลังจากโทรไปกวนสา ก็ค้นพบว่าในกรุงเทพรถมันน้อยไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว นั่งเบื่อๆไปก็ไม่รู้จะทำอะไรเลยก้มหน้าเล่นมือถือ รถเคลื่อนตัวไปสักพักก็เริ่มจะคล่องตัวขึ้นบ้างแต่ไม่มาก ฉันกำลังเบื่อเพราะไทม์ไลน์เฟซบุคมีแต่อะไรไร้สาระ ทว่าสายโทรเข้าก็ทำให้ตนร่าเริงขึ้น


สายโทรเข้าที่เฟซไทม์มาหา


“ฉันตื่นเร็ว!”


“ครับผม”  เป็นเขาที่ตื่นสาย และพอตื่นก็โทรหาทันที สภาพของเขาในตอนนี้คือร่างที่ยังหัวยุ่งหน้าบวมตายังไม่เปิดดีและที่สำคัญ ไม่ใส่เสื้อนอน อันนี้คนได้เห็นก็ฮึบไม่ออก แซวไม่ได้ แต่ห้ามเขินเช่นกัน


“ทำไมวันนี้คุณไพร์มตื่นสาย”


“นั่งปั่นงานอยู่ครับ ว่าแต่คุณฉันล่ะ นี่ยังไม่ใช่เวลาตื่นนี่”


“วันนี้ที่บ้านโทรมาปลุกตั้งแต่ฟ้ายังมืดอยู่เลย วันนี้ฉันเลยว่าจะไปกินข้าวกับที่บ้าน”


“แล้ววันนี้จะค้างไหมครับ”  เขาเท้าคาง ตั้งมือถือไว้ในท่าที่ถนัดเพื่อมองหน้าคนที่ยอมเปิดกล้องคุยด้วยในตอนเช้า


“นั่นสินะ ฉันค้างดีมะ…เอ้ยยยย!!!!!!!!!”


“คุณฉัน เกิดอะไรขึ้น?”


“ลุงครับเกิดอะไรขึ้นครับ”  ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมคนขับรถต้องเบรกแรงแบบนั้นด้วย


“ก็ไอ้คันหน้าน่ะสิ อยู่ก็ขับเข้ามาปาดหน้า มันไม่กลัวตายหรือไงวะ แล้วนั่นมันลงมาแล้ว” แท๊กซี่ที่อายุไม่ได้เยอะกว่าพ่อของฉันมากเท่าไหร่แกดูโมโหมาก เอาเป็นว่าพร้อมฟาดตลอดเวลาแต่ฉันผู้รักสงบบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าอยากจะมีเอี่ยวด้วยไหม  “ไหนมึง! ขับรถภาษาอะไรเฮ้ย?!!”  ทว่าทันทีที่คนขับเปิดประตูรถออกไป ร่างก็ถูกกระชากออกไปด้วยแรงอันมหาศาล


ฉันยังคงไม่ได้ตอบไพร์มว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะตนก็ยังงง ไพร์มเองก็เอาแต่เงี่ยหูฟังว่ามีอะไรเกิดขึ้น เสียงดังเกิดขึ้น ฉันสะดุ้งก่อนที่ประตูฝั่งที่ตนนั่งจะถูกเปิดออก


“ลงมา” เสียงที่ไม่ได้เบาหรือดังเกินไปทว่าเต็มไปด้วยความกดดันนั้นทำให้ทำอะไรไม่ถูก


“ผม…” ฉันทำตัวไม่ถูก ในหูที่เสียบหูฟังไว้นั้น ไพร์มได้เรียกชื่อตน และไม่ทันได้อะไรอีกก็กลายเป็นว่าร่างตนได้ถูกกระชากพาออกไปนอกรถเสียแล้ว และในตอนนั้นเอง


การติดต่อกับไพร์มก็สิ้นสุดลงเช่นกัน


“พวกคุณเป็นใครกัน!”


“พาไปขึ้นรถ นายใหญ่ให้รีบจัดการ” นายใหญ่อะไร คนพวกนี้เป็นคนของใครกัน ฉันนั้นมองไปรอบๆ ไม่มีใครที่รู้จัก คุ้นตา หรือสถานการณ์แบบนี้ ก็ไม่อาจจะบอกได้ว่าคุ้นเคย


“มะ…ไม่!!”  ฉันขืนตัวก็แล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ คนพวกนี้แรงเยอะเกินไป หรือสายพันธุ์ของฉันมันอ่อนแอเกินไป


“เดินมานี่”  และแล้วเมื่อมันรำคาญกับท่าทีที่ไม่เชื่อฟัง อาวุธที่ใครก็ต้องกลัวก็ถูกนำมาใช้ขู่ ทว่าแวมไพร์นี่จะตายเพราะกระสุนไหม แต่ถ้าทำจากเงิน ก็ไม่แน่มั้งนะ


สุดท้ายก็ต้องยอมจำนวนและเดินเข้าไปในรถแต่โดยดี ฉันยังไม่รู้จุดประสงค์ของการถูกจับไปหรอก อาจจะเป็นอันตรายก็เป็นได้ แต่ถ้าไม่ไปตอนนี้ก็โดนยิงก่อนเลย ซึ่งอันนี้เป็นอันตรายแน่!


“พาไปที่แล็บ”


“รับทราบครับ”  แล็บ…แล็บที่ไหน


นี่มันเกี่ยวอะไรกับคุณไพร์มหรือเปล่านี่!


- - - - - -
ไม่เล่นสิ! คือฉันยังไม่ได้กินข้าวเลย
((゚Д゚;))
- - - - - -


เขาเหมือนอยู่ในเหตุการณ์นั้น


แต่ในขณะเดียวกันก็ทำอะไรไม่ได้เลย!


ภูวนัยแทบจะพุ่งตัวออกไปจากห้องทั้งในสภาพชุดนอนแบบนั้น จะมีใครที่ต้องการตัวฉันไปเท่ากับสนธยา ทว่าเมื่อเขาติดต่อทางนั้นไป กลับไม่ได้รับการตอบกลับใดๆราวกับว่าไม่ได้สนใจการติดต่อไปของเขา มันยิ่งทำให้น่าสงสัยขึ้นไปอีก


ทว่าลางสังหรณ์บางอย่างก็บอกกันว่าอย่าเชื่ออะไรอย่างใดอย่างหนึ่งไป สิ่งที่เขาทำมันก็ขัดผลประโยชน์หลายฝ่ายอยู่ และเป็นไปได้ที่ฉันชนกจะถูกจับตัวไปเพราะการทดลองของเขา แต่กลุ่มไหนกันล่ะที่ทำสำเร็จ


อย่างไรก็ตาม ในสมองของเขามีแค่เรื่องความปลอดภัยของเด็กคนนั้น น่าแปลกที่แม้แต่นิด ก็ไม่ได้คาดหวังหรือเป็นห่วงเรื่องแผนงานที่วางไว้หลายปีจนแทบเป็นความฝันกว่าค่อนชีวิตเลย แม้แต่ไพร์มที่ฉุกคิดถึงมัน ก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเขารู้สึกร้อนรนเสียจนอยากจะบ้า


“ผมต้องการรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”  เขาติดต่อไปที่ผู้ช่วยของเขา ในใจไม่นึกอยู่สุข หลังจากที่เปลี่ยนชุด เขาก็แทบจะพุ่งรถไปยังเส้นทางตามระบบติดตาม และแห่งสุดท้ายมันคือที่นี่…


แต่ทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น


“ทางสนธยาล่ะ” 


“ตอนนี้คุณสนเหมือนจะไม่ได้อยู่ที่ประเทศไทยครับ บินออกนอกประเทศไปตั้งแต่เมื่อวานก่อนนี้ ทางเราตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้ว”  แต่นี่ไม่ได้ช่วยยืนยันอะไร


“ทางกลุ่มแวมไพร์ล่ะ”


“ขอเวลาหน่อยครับ ตอนนี้กำลังเร่งสืบอยู่”  แม้แต่ผู้ช่วยคนสนิทก็ยังแปลกใจในความใจร้อนของเจ้านาย ปกติเขาสุขุมกว่านี้ แต่ก็เป็นไปได้เพราะนี่คือการหายตัวไปของหนูทดลองที่สำคัญกับอนาคตโปรเจ็ค จะหงุดหงิดก็ไม่แปลก


แต่ก็ยังแปลก…อยู่ดี


ภูวนัยค่อยๆหายใจเข้าออก เขาจอดรถไว้ข้างทาง พยายามบังคับตัวเองไม่ให้สติแตกไปมากกว่านี้ การติดต่อของเขากับผู้ช่วยและแหล่งข่าวๆอื่นที่มีอยู่ได้จบลงไปแล้ว มันน่าตกใจที่เขาไม่เคยเป็นแบบนี้และไม่เคยแม้แต่จะทุ่มหน้าตักกับอะไรแบบนี้มาก่อน ทุกอย่างเหมือนจะมาจากเหตุผลเดียว


เหตุผลที่เป็นบุคคลที่อาจจะไม่มีผลประโยชน์


“เป็นแบบนี้ไม่ได้นะ”  เขาได้แต่พูดกับตัวเอง มันไม่เคยมีครั้งไหนที่หัวใจทำงานหนักขนาดนี้ หรือจะให้พูดให้ถูกคือตัวเขาไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ราวกับว่าที่เป็นบ้าอยู่นี้หัวใจมันเรียกร้อง และสมองก็พยายามปฏิเสธ แต่ว่ามันกำลังจะแพ้ เพราะหัวใจจะไม่ยอมอีกต่อไป


ทำไมผู้ชายตัวเล็กแก้มพองๆคนหนึ่งถึงได้มีอิทธิพลต่อหัวใจได้มากขนาดนี้ ไม่มีใครตอบได้ และหากเขาไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้ ก็จะไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้เช่นกัน ทว่ามีเวลาคิดด้วยเหรอในตอนนี้


เอาเป็นว่าหากหาไม่เจอล่ะเรื่องใหญ่แน่ เน้นหาก่อนแล้วกัน!


ในอีกมุมหนึ่ง คนที่ออกจากประเทศและมีกำหนดกลับในวันนี้ก็ได้รับการแจ้งข่าวแปลกๆที่ดึงเอาความสนใจของเขาทั้งหมดที่มีไป ไม่ใช่ว่ามีคนหาสารินเจอหรอก แต่คนที่ติดตามฉันอยู่กลับเจออะไรแปลกๆเข้า


“ให้คนตามไปใช่ไหม”


“ตอนนี้เราทำได้แค่ตามครับ ทางนั้นมากันเยอะ จะเป็นอันตรายกับคนของเราได้ อีกอย่างเราได้รับคำสั่งแค่ตามเลยไม่ได้ทำการอะไรลงไป”


“เอาเป็นว่าตอนนี้ตามให้รู้แน่ชัดว่าใครกันที่ทำลงไป”


“รับทราบครับ”  นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สนธยาเองก็สงสัยไม่น้อย จะว่าไพร์มทำอะไรเช่นนี้ มันก็ไม่เมคเซนส์เอาเสียเลย งั้นก็คิดได้อย่างเดียวแล้วว่าคงเป็นศัตรูของไพร์มสักคนที่ทำลงไป แต่ด้วยเจตนาอะไรนั้น มันยังยากที่จะตัดสินได้ และฉันอาจจะได้รับอันตรายจากเหตุการณ์นี้


“หึ”  ที่เขาบอกว่าอยากให้ได้ลิ้มลองรสชาติบางอย่าง


ดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าตัวกำลังเผชิญมันอยู่จริงๆ


ในตอนเกือบเที่ยง ทางสารินได้รับโทรศัพท์จากคนที่ให้ที่อยู่ชั่วคราวกับตน ทั้งๆที่ไม่เคยคุยกันมาก่อน ในที่สุดสารินก็ได้คุยด้วย เนื้อหาคือสอบถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไป ซึ่งสาเองก็ตอบไปอย่างที่ตัวเป็น แต่ก็รู้สึกประหลาดๆอยู่บ้าง


และเมื่อวางสาย ตนก็ส่งต่อโทรศัพท์ให้กับคนดูแลไปพูดคุย เธอออกไปพูดคุยกับเจ้านายของเธอข้างนอก ดูเป็นเรื่องส่วนตัวและสาก็ไม่คิดที่จะไปสนใจ


“ไม่มีอะไรผิดปกตินี่คะ”  เธอตอบกลับคำถามของเจ้านาย รอบด้านยังดูปกติ บอดี้การ์ดก็ไม่ได้มาแจ้งให้ทราบถึงอะไรแปลกๆ ว่าแต่เขาไม่ได้ติดต่อไปถามทางบอดี้การ์ดหรอกเหรอ?


“เข้าใจล่ะ แค่นี้แหละ”  ภูวนัยที่อยากจะได้รับความมั่นใจจากหลายๆคนนั้นถามไปทั่ว แต่คำตอบยังคงเป็นคำเดิม


เวลาเหมือนจะผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่สำหรับเขามันนานชั่วกัปกัลป์ ทำไมกับแค่คนๆหนึ่งที่ไม่ได้ผูกพันกันเนิ่นนาน จะก่อให้เกิดความรู้สึกห่วงหาได้ถึงเพียงนี้ เมื่อย้อนคิดเปรียบเทียบกลับไปถึงคนที่เขารู้จักมาทั้งชีวิต ภูวนัยก็นึกสะท้อนใจ


ทำไมเขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้เลย


ตั้งแต่เกิดมาเขาอยู่ในสถานะที่ยิ่งกว่าเป็นรองในทุกๆด้าน มีแม่เป็นเมียน้อยที่นอกจากจะไม่มีความสำคัญ ความใส่ใจต่างๆเรียกว่าแทบไม่มี เขาเคยได้ยินมาว่าพ่อที่เป็นผู้นำตระกูล ‘สุธาสกุล’ ผู้มีลูกมากนั้น บางครั้งเขาก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นลูกของตัวเองบ้าง มันเหมือนจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ไพร์มยังจำสายตาที่คนเป็นพ่อมองกันราวกับไม่มีตัวตนได้


คงนึกว่าเขาเป็นลูกของคนสวนที่บ้างกระมัง


แม่ของเขาเป็นคนใช้ ถูกเข้าหาในคืนหนึ่งและจบลงทั้งอย่างนั้น เมื่อตั้งท้องเธอก็ทำตามเงื่อนไขที่ผู้ช่วยของพ่อซึ่งรู้เห็นทุกอย่าง เธอเดินไปบอกเขาว่าตั้งท้องลูกของนายท่าน และเธอก็ได้รับเงินมาก้อนหนึ่งสำหรับดูแลตัวเอง ทว่าเธอย่อมรู้ดีว่าลูกในท้องจะสามารถใช้นามสกุลร่วมได้ แต่จะไม่มีสิทธิ์อะไรในบ้านหลังนี้เลย


หากไม่พาตัวเองออกไป ก็ต้องใช้ชีวิตเหมือนลูกคนใช้คนหนึ่งไม่ต่างจากคนอื่น ไพร์มไม่ใช่ลูกคนแรกที่มีชีวิตที่รันทดแบบนั้น เขามีพี่น้องอีกเกือบสิบคนที่เกิดมาด้วยกำพืดแบบเดียวกัน และบางคนนั้นสามารถผลักดันตัวเองเป็นที่จดจำและได้เลื่อนลำดับขั้นในที่สุด


เขาไม่แน่ใจว่าความรักคืออะไรเพราะไม่ได้เกิดมาด้วยเหตุผลนั้น อันที่จริงที่เขาไม่ตายเพราะการมีอยู่ของเขาจะทำให้เบี้ยเลี้ยงคนใช้ของแม่สูงขึ้นกว่าปกติ มันไม่มีเรื่องทารุณกรรมอะไรเกิดขึ้นหรอก ทว่าก็ไร้ซึ่งความอบอุ่นอย่างที่ใครๆบอกว่ามันควรจะเป็นเช่นกัน และในวันหนึ่งแม่ของเขาที่ติดยาหนัก…ก็ได้รับกรรมจากการเสพย์ยาเกินขนาด


เขาที่ถูกเลี้ยงแบบค่อนไปทางตามมีตามเกิดนั้นมองสภาพแม่ที่เหมือนศพเดินได้และได้กลายไปเป็นศพจริงๆ ในตอนนั้นเขาน่าจะสักเกือบสิบขวบได้แล้วมั้ง รู้ความ อย่างน้อยก็รู้ว่าแม่นั้นเริ่มติดยามาได้เกือบปีจากคนสวนที่เข้ามาใหม่ในบ้านหลังนี้ จริงๆเธอค่อนข้างจะมีเพื่อนมากน่ะ ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนที่ไม่ค่อยสอนเพื่อนเท่าไหร่


ในวันหนึ่งหลังจากที่แม่ตายแล้ว เขาถูกสั่งให้เข้าไปช่วยทำความสะอาดในบ้านใหญ่ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเหล่าคุณหนูของที่บ้านซึ่งเกิดจากคุณนายใหญ่หรือจะเรียกง่ายๆว่าเป็นเมียหลวงของพ่อ แน่นอนว่าสภาพของเขาที่เป็นลูกเหมือนกันช่างต่างราวฟ้าเหว และด้วยความที่ไพร์มยังเด็กเกินที่จะยอมรับความเป็นจริง เขาจึงเก็บงำความไม่พอใจเอาไว้


ทว่ายังไม่ทันได้เอาไประบายที่ไหนก็มีคนสร้างเรื่องให้เขาแล้ว


‘ไอ้เด็กนั่นมันขโมย’ เมื่อมีของหาย เด็กสักคนหนึ่งก็ชี้มาทางเขา อาจจะเพราะเห็นว่าเพิ่งกำพร้าแม่เลยไม่มีคนมาช่วยแก้ต่างให้ น่าแปลกใจที่ไพร์มในตอนนั้นมองตอบไปด้วยสายตาด้านชา แต่ใจนั้นเต้นระรัว ค้นพบความรู้สึกใหม่ๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในตัวเอง


‘ค้นตัวมันสิ’


‘ไม่มี!’  มันจะไปมีได้ไง


ในเมื่อเขาเห็นว่าต่างหูที่ทุกคนพูดถึงนั้น มันถูกเอาไปวางไว้หลังแจกันโดยอีกคนที่มาทำความสะอาดด้วย


ในตอนนั้นที่เขาไม่สนโลกไม่สนใคร การถูกกล่าวหาเพียงครั้งได้เปลี่ยนทัศนคติของเด็กชายไปตลอดกาล คนที่ชี้มาทางเขาเป็นลูกคนใช้ ส่วนคนที่ค้นตัวหรือมองดูอยู่รอบๆล้วนเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดฝั่งพ่อ ส่วนคนที่น่าจะเป็นขโมยก็คือ…


น้องชายของไอ้คนที่กล่าวหา


‘มึงเอาไปไว้ไหน’


‘กูไม่ได้เอาไป’ เด็กชายตอบด้วยเสียงเรียบนิ่ง


 ‘อย่ามาโกหก’


‘แล้วทำไมต้องเป็นกูที่ถูกมึงค้นตัวด้วย’


‘ก็มึงไม่มีแม่อยู่แล้วไง’ จะหมายความว่าความเป็นอยู่ของเด็กชายมันจะยากแค้นต่อจากนี้จนต้องขโมยของหากิน หรือเพราะการที่แม่ไม่อยู่ทำให้มันไม่ยุ่งยากดีล่ะ เขากระตุกยิ้ม นึกไม่ถึงว่าเรื่องงี่เง่าจะสนุกขึ้นมา


เด็กชายค่อยๆขยับไปยืนใกล้ ก่อนจะพูดคำๆหนึ่งที่พลิกสถานการณ์ออกมา


‘ทำไมมึงไม่ไปค้นตัวน้องมึงล่ะ มันเก็บต่างหูใส่กระเป๋าแล้ว’


‘อึก’


‘กูให้โอกาสนะ’ น้ำเสียงของเด็กชายไม่ได้สั่นแม้แต่น้อย ‘จะรับเองหรือให้เจ้าตัวรับไป’


แต่สุดท้ายแล้ว…ก็ไม่มีใครรับไปเพราะตามดมมือใครไม่ได้ ก่อนที่จะหมดวัน เราพบเจอไอ้ต่างหูนั้นแถวบันได


เด็กชายภูวนัยที่ในตอนนั้นไม่ได้มีชื่อเล่นว่าไพร์มและไม่มีชื่อเล่นอะไรเพราะถูกเรียกว่า ‘มึง’ หรือ ‘มัน’ มาตลอดนั้นเป็นคนใจดีหรือไงถึงได้ปล่อยสองพี่น้องนั่นไป ไม่…เขาไม่ได้ปล่อยใครเลย เป็นเขาที่เสนอแก้สถานการณ์ให้ แลกกับการที่เด็กพวกนั้นต้องทนอยู่กับการถูกบงการชักใยต่อจากนั้นเป็นเวลาหลายปี จนบางทีคิดว่ารับโทษไปเองคงจะสบายใจกว่า


แล้วเด็กชายที่กำพร้ามารดาใช้ชีวิตอย่างไรต่อมา ด้วยเพราะความเป็นจริงบางอย่างได้ทำให้เขาเปลี่ยนไป ไม่มีมิตรแท้แม้แต่คนในสายเลือดเดียวกัน เราไม่มีความเห็นใจใดๆกันเลยในเมื่อทุกคนหมายจะยกตัวเองขึ้นไป แต่คนเหล่านั้นล้วนโง่เขลาเพราะการจะพิสูจน์ตัวเองให้ได้ผลนั้นไม่ใช่แค่ทำตัวเองให้เก่งกว่าใคร


แต่เป็นการทำตัวเองให้เก่งเหนือใคร


เหยียบได้…เหยียบ เด็กชายภูวนัยที่ไร้ซึ่งมารดานั้นเหมือนเหลือตัวคนเดียว เขาคือหมาบ้าที่ฆ่าได้ฆ่า การจะไต่เต้าเข้าไปเป็นที่จดจำนั้น ถ้าไม่ทำมันบนหลังคนอื่นก็จะไม่น่าสนใจ โดยเวลาปีกว่าๆเท่านั้นเขาได้เลื่อนสถานะไปอยู่เรือนที่ใหญ่กว่า รวมถึงได้รับการศึกษาที่ดีพอๆกับคุณหนูทั้งหลายในบ้าน ทว่ายิ่งสูงก็ยิ่งหนาว ยิ่งถูกยอมรับก็ยิ่งถูกคาดหวัง


เด็กชายได้รับการตั้งชื่อเรียกเล่นๆโดยผู้เป็นพ่อว่า ‘ไพร์ม’ เขาได้นำความสำเร็จต่างๆมาให้สุธาสกุลภูมิใจ และผลตอบรับคือความมั่งคั่งและอำนาจมากมาย ทว่าไพร์มก็ไม่เคยที่จะไว้ใจและทำเพื่อใครเต็มร้อย เขาหาผลประโยชน์ให้ทุกคนแต่ก็พร้อมจะยึดครองส่วนแบ่งมหาศาลให้ตนเอง หรือเหยียบทุกคนที่ขวางหน้า จุดประสงค์คืออะไรไม่มีใครทราบ แม้กระทั่งเจ้าตัวเองก็ไม่เคยถามหาเพราะแค่คิดว่ามันสนุกดีก็เพียงเท่านั้น ทว่าในตอนนี้ทุกๆอย่างกลับสั่นคลอน


เพียงเพราะคนๆเดียวหายตัวไป


TBC










ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
 ใครจับตัวฉันไป :katai1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
- - - - - -
ในระหว่างที่ฉันถูกจับตัว
(._.)
- - - - - -


ไม่มีความคืบหน้าเพิ่มขึ้น


มีแต่ความวุ่นวายใจที่เพิ่มขึ้นทุกวินาที


เขาเริ่มหงุดหงิด ใส่อารมณ์ไปทั่ว เป็นการแสดงออกที่เป็นตัวเองที่สุดในชีวิต หลายครั้งคนเราย่อมมีเรื่องที่ทำให้หงุดหงิด แต่ไพร์มจะควบคุมตัวเองได้ดีมาเสมอ จนน่าคิดว่าจริงๆแล้วควบคุมได้ดี หรือแค่ไม่ได้รู้สึกรุนแรงถึงขนาดให้เสียการควบคุมมากกว่า


“ทางเราไม่พบอะไรที่ผิดปกติจากทางฝั่งแวมไพร์เลยครับ และคนที่ติดตามคุณฉันของทางเราก็พบหมดสติเจ็บหนักนำส่งเพื่อรับการรักษาแล้ว”  คนสนิทของเขารายงานมาแบบนั้น “เอายังไงต่อดีครับ”  ไพร์มค่อยๆหลับตาลง เขาไม่อยากเสียอะไรที่ได้ชื่อว่าผลประโยชน์ไป หลายครั้งการเหยียบเรือสองแคมจะให้โทษ และครั้งนี้ก็เช่นกัน


เขาค่อยๆหลับตาลง…


“เข้าใจแล้ว”  คำพูดนี้ทำให้คนอื่นเข้าใจว่าไพร์มจะปล่อยวาง และสิ่งแรกที่คนสนิทคิดได้ก็คือตัวคนที่หายไปนั่นแหละคือสิ่งที่เจ้านายได้ปล่อยวางแล้ว แต่จริงๆนั้น  “ฉันจะลองทำอะไรสักอย่าง”  เขายังไม่ปล่อยวางในบางอย่างแน่นอน


หลายๆอย่างที่เฝ้าติดตามมาตลอดหลายชั่วโมง จากเช้ามาบ่าย จนเกือบจะเย็นค่ำ ภูวนัยมั่นใจแล้วว่าเรื่องนี้มันมีการวางแผนมาอย่างดี กำลังคนที่เขาให้ติดตามฉันชนกอยู่ห่างๆนั้นยังถูกจัดการได้โดยง่าย


ไม่โดนคนของตัวเองบ่อนไส้เสียเอง ก็ต้องเจอกับคนที่เก่งกว่ามากๆ


ทว่ามันยังมีอีกวิธี หลังจากที่เขาพาสารินไปหลบซ่อนและได้เจอกับสนธยาในวันนั้น เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องแอบติดตามกันแน่ และเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายก็คงส่งคนไปติดตามทางฉันชนกด้วยเช่นกันด้วยคิดว่าสักวันเด็กคนนั้นต้องแอบไปหาเพื่อน จะอย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ เพราะไม่เคยบอกฉันเลยว่าสารินอยู่ที่ไหน


ไม่น่าเชื่อว่าไพ่ตายที่ไม่คิดจะได้ใช้ต้องถูกเปิดออก


“ในที่สุดนายก็ติดต่อมาด้วยตัวเอง”


“ก็ใช่ว่าพี่สนจะติดต่อมาก่อนนี่ครับ” สนธยาที่อยู่ปลายสายนั้นลอบยิ้ม ไม่มีครั้งไหนที่รุ่นน้องคนนี้แสดงออกว่าพ่ายแพ้อย่างชัดเจน ไพร์มนั้นเป็นที่รู้จักดีในเรื่องของความเก่งฉกาจในด้านต่างๆ ซึ่งทุกอย่างล้วนได้มาจากความฉลาดแกมโกงของเจ้าตัว


อย่างไรก็ตามเราก็รู้จักกันประมาณหนึ่งตามประสานักธุรกิจที่มีสายเลือดเฉพาะทางกลุ่มเล็กๆ ไม่ได้สนิทสนมกันด้วยเรื่องส่วนตัว เพียงแต่ว่าเขาเคยเรียกขอให้คนของไพร์มคอยเฝ้ามองแฟนเก่าของน้องชายด้วยไม่อยากให้ใครได้รับรู้เรื่องที่เก็บซ่อนไว้ และเราก็เจรจาการค้ากันมาโดยตลอด


และตอนนี้ไพร์มก็คงพร้อมจะเจรจากับเขาเช่นกัน


เดาได้ว่าฉันชนกคงสำคัญพอที่ไพร์มจะยอมตามใจ คนหัวหมอที่ถือครองโปรเจ็คนวัตกรรมใหม่ๆที่เกี่ยวข้องกับตัวยามากมายอย่างภูวนัยนั้นถึงจะชอบส่งคนลงไปทำงาน แต่เพราะไม่ค่อยไว้ใจใครเท่าไหร่ กับงานสำคัญไหนๆก็มักจะลงมือเอง


ตอนแรกที่ได้เห็นว่าสองคนนั้นรู้จักกันตอนไปเยี่ยมเยือนในร้านกาแฟ สายตาที่เหมือนกับหมาล่าเหยื่อของไพร์มนั้นทำให้เขาลงทุนทำตัวสนิทสนมกับฉัน และสายตาที่ถูกมองมันแสดงออกชัดเจนว่ากำลังดูเชิงกันอยู่ เขามั่นใจว่าฉันต้องเกี่ยวข้องกับโปรเจ็คสำคัญบางอย่าง ยิ่งชาติกำเนิดแวมไพร์ของเจ้าตัวที่เขาบังเอิญรู้ ก็ยิ่งเข้าใจความต้องการ


“หวังว่านายคงจะยอมทำตามข้อตกลง”


“ผมเคยคิดว่าพี่คงไม่ลักพาตัวหรือทำอันตรายเพื่อนของสาริน แต่จริงๆแล้วผมคิดผิดไปใช่ไหม”  ไพร์มนั้นเคยไม่สนใจว่าคนที่ชื่อว่าสารินเป็นใครจนกระทั่งเร็วๆนี้เขาได้ตรวจสอบดูก็รู้ว่าตัวเองเคยเป็นมือไม้ให้อีกฝ่ายมาก่อน จึงเดาไม่ยากเลยว่าพี่ชายคนนี้คิดอะไรอยู่ เห็นว่าฉันมีความสัมพันธ์กับบ้านอีกฝ่ายดีเลยเผลอวางใจไม่คิดจะโดนลอบกัด


“นายคิดไม่ผิด คนของฉันแค่ตาม แต่ไม่ได้ทำอะไร และเพราะแค่ตามจึงไม่ได้มีจำนวนมากพอที่จะช่วยได้” คนของสนธยาเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างและต้องพลิกแพลงสถานการณ์ ในตอนนี้เขาเองก็ต้องระแวงว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายสารินเพราะความเข้าใจผิดเช่นกัน


สนธยาไม่เคยคิดจะลักพาตัวฉันชนกเพื่อไปกระตุกหนวดคนแบบไพร์ม สารินกำลังท้องและมันเสี่ยงมากๆกับการท้าทายให้คนที่ถือไพ่เหนือกว่าโกรธ สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนั้นมีเพียงเฝ้าติดตาม ค้นหาด้วยตนเองหรือรอการติดต่อเพื่อต่อรองกลับมา ทว่าวันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ทางเขาเองก็จำต้องทำอะไรบางอย่าง


คือเข้าถึงตัวฉันชนกให้ได้ก่อนไพร์มเพื่อสร้างสถานการณ์ที่เป็นต่อเช่นกัน


“งั้นพี่ก็บอกมาว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน”


“แล้วนายจะบอกฉันก่อนไหมว่าสาอยู่ที่ไหน”


“เขาปลอดภัยดี”


“แค่นั้นมันไม่พอ”


“….”  ถ้าต้องแลกสารินกับฉันชนกล่ะก็ เขาย่อมเห็นว่ามันคุ้มค่าอยู่แล้ว แต่จะอย่างไรหัวใจก็ยังรู้สึกว้าวุ่นอยู่ดี


“ฉันต้องการแลกเปลี่ยนคน”  เขาบอกความต้องการนั้นลงไปก่อนจะวางสายโดยไม่ฟังคำโต้แย้งหรือคำต่อรองใดๆต่อ สนธยาไม่ไว้ใจผู้ชายคนนั้นนักหรอก และถ้าหากอยากแลกเปลี่ยนอะไรสักอย่างที่คิดว่าคุ้มค่าแล้วล่ะก็


สารินแลกกับฉันชนกก็ดูเหมาะสมกันดี!


สนธยาเดินทางกลับไทยพร้อมกับความหวังที่จะได้เจอสารินแบบเป็นรูปธรรมมากขึ้น เขาได้รับการอัพเดทความเคลื่อนไหวอยู่เรื่อยๆ รายงานที่ได้รับทราบมา ข้อตกลงระหว่างเขากับภูวนัยจะเกิดขึ้นหลังจากที่ทางเขาได้ตัวของฉันชนกมาครอบครองไว้แล้วเท่านั้น แต่หากทางเขาบุ่มบ่ามไป ก็อาจจะทำให้ศัตรูของอีกฝ่ายย้อนกลับมาเล่นงานกันได้


แต่ถ้าเขาบอกที่อยู่สารินกับภูวนัยไป ทุกอย่างก็อาจจะเป็นโมฆะ ครั้งนี้เขาจึงจะเข้าไปเคลื่อนไหวใกล้ชิดกว่าเดิม เพราะจะให้ทนนั่งรอเฉยๆ ก็ไม่สบายใจนัก และอีกอย่างมันคงจะดีกว่าถ้าได้เป็นคนที่กำลูกไก่ในกำมือและเอาไปยื่นให้พ่อไก่ด้วยตัวเอง


“คุณสนครับ ทางเราได้รับการแจ้งกลับแล้ว สถานที่ตรงนั้นเป็นทรัพย์สินของสุธาสกุล”


“คนในบ้านคิดไม่ซื่อเองหรอกเรอะ”  เขาพอจะรู้อยู่หรอกว่าปัญหาภายในสุธาสกุลเป็นไง ถึงได้อดที่จะนับถือความปากกัดตีนถีบของภูวนัยอยู่ไม่น้อยและระแวงอยู่พอสมควร


“จะให้ลงมือไหมครับ” 


“ทำตามนั้นต่อเลย” ถึงจะเป็นปัญหาในครอบครัว ทว่าสนธยาก็ได้นำพาตัวเองมาเกี่ยวข้องเสียแล้ว งานนี้จึงไม่มีใครคิดจะถอยหลังกลับมาแม้แต่น้อย ถ้ามันจะพลาด


มันคงพลาดตั้งแต่วันแรกที่เขาได้เจอกับน้องแล้ว…


ทางด้านของภูวนัยที่ไม่สามารถติดต่อไปที่ทางนั้นได้อีก เขาได้เผชิญกับความสิ้นหวังและต้องทนอยู่กับการเฝ้ารอที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสิ้นสุด คนของเขายังคงทำงานอย่างเต็มที่ แต่จะอย่างไรก็ดี เขาเริ่มที่จะคิดว่าที่หาไม่เจอนั้นเป็นเพราะถูกปิดหูปิดตาอยู่หรือเปล่า อันที่จริงไพร์มนั้นไม่เคยเชื่อถือใคร จึงมีการเลือกคนเข้ามาช่วยงานอย่างเข้มงวด


และในตอนนี้ที่อะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ เขาก็เริ่มกลับมานั่งคิดมันใหม่หรือง่ายๆก็คือฟุ้งซ่านนั่นแหละ จริงๆแล้วไพร์มควบคุมตัวเองได้ดีมาเสมอ เขาเองยังแปลกใจเลยว่าทำไมตัวเองถึงเป็นไปได้ขนาดนี้ ฉันชนกมีผลประโยชน์ต่อเขามาเลยหรือไง


ทำให้เขาไม่อยากให้มีการเก็บตัวอย่างจากเด็กคนนั้นอีก


ทำให้เขาคิดไปว่าถ้าหากพรุ่งนี้ไม่เจอกันจะยิ้มได้อีกไหม


ไพร์มไม่เคยยิ้มออกมาอย่างจริงใจ แต่ทำไมกับเด็กคนหนึ่งที่แค่ตลกและน่าเอ็นดู ถึงทำให้รู้สึกว่าชอบตัวเองตอนอยู่กับฉันและรู้สึกมีความรับผิดชอบต่อการหายไปของเด็กคนนั้นถึงเพียงนี้ การเปลี่ยนแปลงไปแบบฉับพลันของเขา ทำให้ในตอนนี้ที่ต้องเผชิญนอกจากต้องวางแผนค้นหา คือความรู้สึกที่ค่อยๆบาดลึกเหมือนจะทิ้งแผลยาวไว้หลังจากจบเรื่องนี้


นี่เขากำลังอ่อนแอลงได้มากกว่าครั้งไหนๆในโลกเลยเหรอ


คนตัวเล็กๆคนหนึ่ง มีพลังมากมายขนาดนั้นเลยหรือไงกัน

- - - - - -


กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่ฉันไม่เคยชอบนั้นอยู่รอบตัว


คนที่ไม่เคยรู้ตัวว่าทำให้โลกของคนๆหนึ่งเปลี่ยนไปนั้นกำลังจ้องมองคนอื่นตาใส ฉันชนกยังคงเป็นคนคิดน้อยหรือไม่ จริงๆแล้วมีแค่เจ้าตัวที่รับรู้ แน่นอนว่าฉันนั้นกังวลเป็นอย่างมาก ที่นี่คือที่ไหนก็ไม่รู้ มิหนำซ้ำยังมีคนและเครื่องมืออีกมากมาย อย่างนี้หัวเดียวกระเทียมลีบจะไม่กลัวได้ยังไง ถามจริง!


แต่จะอย่างไรฉันก็ทำอะไรไม่ได้ ตัวเองอ่อนแอเกินไป และห่วยแตกเกินไป ทว่าจะรอให้คนอื่นมาช่วยก็ทำใจอยู่เฉยๆไม่ได้ แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีคนมาช่วยไหม อย่างน้อยก็อยากให้คุณไพร์มมาช่วยจังเลย


“ตัวอย่างที่ดูดออกจากกระดูกใช้การไม่ได้ใช่ไหม”


“ใช่”


“ไม่ใช่ว่าดูดออกไปไม่พอหรอกเหรอ”


“ตัวอย่างมีความเจือจางมาก อาจจะต้องดูดออกไปใหม่ หรือไม่ก็…” คนพูดเว้นช่วงไป “คงต้องเอาจากแหล่งที่มีความเข้มข้นสูงกว่า”


บทสนทนาเหล่านั้นเกิดขึ้นไกลจากตัวฉันพอสมควร อันที่จริงในยามที่น่ากังวลแบบนี้ ฉันชนกเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีประสาทสัมผัสที่เร็วมากๆ ราวกับว่าตัวเองได้เป็นแวมไพร์จริงๆก็ตอนนี้ เอ่อ…แล้วที่ผ่านมาทำไมง่อยจังนะ


“แต่คราวที่แล้วเราเอาจากกระดูกไปจำนวนหนึ่งเด็กคนนั้นก็ถึงกับสลบไปเป็นวันแถมยังมีอาการไม่สู้ดี สัญญาณชีพก็ต่ำมาก”


“แล้วไง”  ทว่าคนฟังดูไม่สนใจเท่าไหร่


“ผมกลัวว่าถ้าเราเจาะเข้าไปอีกครั้งเขาอาจจะตายได้”


“ต้องเจาะตรงไหนกันล่ะ”


“ครับ?”


“ก็ถ้าเราเจาะอีกครั้งมันจะตาย ก็เจาะให้มันถูกจุดจะได้ไม่พลาดไง แล้วจะตายก็เรื่องของมัน”  ขาของฉันเหมือนจะสั่นขึ้นมา


“แต่ถ้าคุณไพร์ม”


“ถ้าเราทำสำเร็จ ไพร์มมันก็ทำอะไรเราไม่ได้อยู่แล้ว เดิมทีมันก็คงไม่ได้ตั้งใจจะเก็บไว้เพราะรู้ว่าทำยังไงก็ตายเหมือนกัน ไปจัดการซะ จะรอให้ไอ้ไพร์มมันตามมาทันก่อนหรือไง”  ชื่อของอีกคนที่ลอยเข้าหูมาเหมือนจะสร้างความมั่นใจให้ได้แค่ 0.25% ทว่าความจริงที่ว่าเขายังมาไม่ถึง ทำให้ความกลัว 99.75% เพิ่มเป็น 100% ในชั่ววินาที


งานนี้ต้องงัดสกิลแวมไพร์ต่างๆออกมาใช้แล้ว แต่เอาจริงๆนอกจากชอบกัดชอบกิน ฉันก็ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษอื่นๆอีก บางทีฟันแวมไพร์อาจจะคมขนาดกัดคอคนตายได้เหมือนกัน เอายังไงดีฉันควรทำอย่างไร


“เฮ้ย!”  วิ่งสิครับจะรอให้มันจับไปเชือดเหรอ! ฉันชนกที่เคยเป็นแชมป์วิ่งสมัยประถมนั้นไม่แน่ใจว่าฝีเท้ายังดีอยู่ไหมเพราะตั้งแต่เข้ามัธยมก็ต้องวิ่งตากแดดนอกโรงยิมก็เลยจำต้องเลิกวิ่งเพราะเลือดแวมไพร์มันกลัวว่าผิวจะไหม้ ทว่าตอนนี้ตนค้นพบแล้วว่าการที่เปิบได้เร็วมากนั้นไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อที่ไหน แวมไพร์มันไวแบบนี้นี่เอง!?


“จับมัน”  ความปราดเปรียวที่ได้จากแม่มาทำให้ฉันหลบได้ทุกเม็ด คนตัวเล็กวิ่งปัดไปปัดมาสับขาหลอกคนนั้นคนนี้ไปทั่ว แต่ในขณะที่กำลังยิ้มอย่างย่ามใจ ความไวของฝีเท้าก็ค่อยๆลดลงอย่างไม่รู้ตัว


และอากาศที่ใช้หายใจก็เหมือนจะถูกลิดรอนไปทุกวินาที


“ฮึก”  ในที่สุดร่างของคนที่วิ่งอย่างรวดเร็วก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นเดินเซ แม้ไม่มีใครแตะเนื้อต้องตัวได้แต่อากาศที่ใช้หายใจก็เหมือนจะหายไป ร่างทั้งร่างหอบโยน ก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ภายในนั้นเต้นแรง และในที่สุดร่างของตนก็ทรุดลงนั่งก่อนจะล้มลงนอน


“…”  ในเสี้ยววินาทีที่ดวงตาทั้งสองข้างกำลังจะปิดลง


ฉันเหมือนเห็นคนที่ตนรู้จักในห้องนั้น


- - - - - -


มนุษย์หมาป่าที่กลมกลืนอยู่กับมนุษย์และเผ่าพันธุ์อื่นๆบนโลกนั้น ไม่ค่อยถูกกับแวมไพร์ด้วยเพราะเราต่างก็ยึดมั่นในความยิ่งใหญ่ของสายพันธุ์ และนิสัยที่ไม่เป็นมิตรแถมติดจะเย่อหยิ่งของคนพวกนั้นทำให้หลายครั้งได้มีเรื่องให้เชือดเฉือนกันอยู่หลายคราว และในปัจจุบัน…เราก็เปลี่ยนมาแข่งขันกันด้านธุรกิจจึงทำให้ความสัมพันธ์ไม่อาจจะดีขึ้นได้


มันเป็นเพราะอคติระหว่างเผ่าพันธุ์ที่มีมาจนถึงบัดนี้


อันที่จริงสนธยาเองก็ไม่ได้เกลียดชังฉันชนกเป็นการส่วนตัว เด็กคนนั้นเป็นแวมไพร์ที่คบได้แต่แค่ไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับเขาจริงๆ ทั้งนี้เรามีเหตุให้ต้องมาเกี่ยวพันกัน และครั้งนี้ก็คงเป็นครั้งแรกที่เขาให้ความสำคัญกับชีวิตเผ่าพันธุ์ที่ผูกพันธ์กันด้วยอคติมาอย่างช้านาน


“นายครับทางเราพร้อมแล้ว”


“งั้นจัดการได้เลย”  และจากนั้นสนธยาก็นั่งมองทุกอย่างอยู่ในรถ


 คนของเขาค่อนข้างมั่นใจว่าบุคคลที่อยู่ด้านในไม่ใช่จะจัดการได้ง่ายๆ และเพื่อเลี่ยงปัญหาต่อๆมา พวกเขาปิดซ่อนใบหน้าและเลี่ยงการแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าพร้อมกลบเกลื่อนร่องรอยของเผ่าพันธุ์อย่างมิดชิด คนพวกนั้นอาจจะให้ความสนใจในการประกบคนของภูวนัย แต่คงคิดไม่ถึงว่าจะมีบุรุษที่ 3 ที่ต้องการตัวแวมไพร์คนนั้นเช่นกัน


ปราการชั้นแรกถูกกำจัดทิ้งอย่างเงียบๆ เขาฟังเสียงบทสนทนารายงานความคืบหน้าพร้อมคำสั่งให้เข้าไปในตัวอาคารด้วยความรู้สึกสงบนิ่ง ทันทีที่สนธยาลงเครื่องมาเขาก็รีบตรงดิ่งมาที่นี่ ด้วยการเตรียมการอย่างดีก็มาถึงอย่างรวดเร็วอย่างที่ตั้งใจ ทว่าคงไม่สามารถกลบเกลื่อนร่องรอยตัวเองทันไหว จึงได้แต่หวังว่าทีมอัลฟ่าของเขาจะว่องไวกว่า


อย่างน้อยก็ต้องไวกว่าการมาถึงของบุรุษที่ 1ที่กำลังจะมุ่งหน้ามา


 “ชั้น 2เคลียร์” เสียงที่เบาดั่งกระซิบยังคงรายงานอย่างต่อเนื่อง สนธยายกแขนขึ้นมาดูเวลา รวดเร็วเหมือนกับที่คิดไว้


“เป็นไปได้ว่าจะมีห้องลับหรือใต้ดิน ตรวจสอบให้ดีและระวังกับดัก”


“รับทราบครับ” เหล่าบอดี้การ์ดผู้ได้รับการฝึกฝนจนเป็นแนวหน้าของประเทศนั้นยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ทางนั้นจะมีการป้องกันอยู่มาก แต่จะเห็นได้ชัดว่าพวกนั้นเน้นภายนอกอาคาร และภายในอาคารชั้นหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ซ่อนอยู่คงเป็นความลับมากๆจนไม่อาจจะให้ใครต่อใครรู้ได้เลยสินะ


เสียงการปะทะที่เกิดขึ้นนั้นจบลงอย่างรวดเร็ว จมูกของหมาป่านั้นได้ชื่อว่าไวกว่ามนุษย์ทั่วไป พวกเขาจึงจัดการกับศัตรูที่เข้ามาจู่โจมได้ในทันที สนธยาสังเกตได้ถึงการเคลื่อนไหวที่แปลกๆจากด้านหนึ่ง เขานั้นกระชับอาวุธที่มี สำรวจความเรียบร้อยและวางแผนในหัวอย่างเร่งรีบ


คนๆนั้นกำลังจะมาถึงแล้ว


ทางด้านของภูวนัยที่เหมือนจะช้าไปหนึ่งก้าวนั้นถูกรายล้อมด้วยกลุ่มคนที่เขาเคยไว้ใจ เมื่อเขาจับตัวได้คนหนึ่ง ที่เหลือก็เริ่มจะเผยไต๋และสถานการณ์บางอย่างก็เหมือนจะเริ่มรุนแรง


ปึก!


“อ้ากกกกกกก!!!!”  เสียงร้องโหยหวนของผู้ถูกกระทำนั้นดังขึ้น ดวงตาของไพร์มนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชาและไร้ซึ่งความปราณีใดๆ จำนวนคนพวกนี้ต่อให้เป็นเขาอยู่คนเดียวก็ไม่คณามือหรอก หากมีเวลาก็คงจะเล่นสนุกได้นานกว่านี้


“ยกโทษให้ผมด้วยเถอะคุณไพร์ม!!!”


“นี่คือราคาของความไว้ใจ”  เขาพูดเช่นนั้นก่อนจะปักมีดลงบนหลังมือของมันจนทะลุอย่างไม่คิดต่อรองหรือจริงๆคือไม่สนใจใยดีอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เขารับทราบและกำลังจะติดตามสนธยาไปยังสถานที่ที่ซึ่งฉันชนกถูกจับตัวไปอยู่ หากไม่ใช่เพราะพวกคนเหล่านี้ปิดหูปิดตาคนที่เหลือ กับอีแค่หาคนๆเดียวมันไม่น่าจะเกินชั่วโมงด้วยซ้ำ


โดยเฉพาะสถานที่ที่อยู่ตรงปลายจมูกด้วยแล้ว


ใครกันมันจะกล้าเข้าถ้ำเสือ และใครกันมันจะกล้าโค่นเขาลงจากตำแหน่ง คำตอบมันไม่ยากเลยหากไม่ใช่คนที่อยู่ในตำแหน่งที่หวังครองบัลลังก์เดียวกันและนั่นคือคนในครอบครัว เขาเหมือนจะรู้อยู่แล้วแต่ก็ถูกดึงดูดความสนใจออกไป กว่าจะมาถึงตรงนี้ต้องมีเรื่องกับคนมากมายเท่าไหร่ ก่อนจะทำลงไปเขาย่อมไม่เสียใจในผลของการกระทำอยู่แล้ว


และผลของการกระทำเหล่านั้นคือการมีศัตรูมากไป


มากจนไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ในทันที


รถของเขาแล่นออกไปด้วยความเร็วสูง เขาไม่สนใจว่าจะต้องปะทะกับคนของสนธยาหรือว่ากับใครทั้งนั้น รอบกายฃยังมีคนบ้าบอที่สิ้นหวังพอจะทำงานให้กันแบบถวายหัว และนั่นทำภูวนัยกลายเป็นคนๆหนึ่งที่พร้อมจะปะทะกับใครสักคนอยู่ตลอดเวลา


และเลือดของเขาก็ร้อนพอจนคิดว่าพร้อมจะเผชิญหน้ากับบางสิ่งและบางคนแล้ว


เวลาเดินช้ากว่าใจต้องการ ทว่าในที่สุดก็ดั้นด้นมาจนถึงอาคารเก่าที่ซึ่งเคยเป็นแล็บของบริษัทที่เขาทำงานถวายชีวิตให้ หรือที่เรียกง่ายๆว่าธุรกิจของครอบครัวนั่นแหละ เมื่อมาถึง เขาเห็นบ้างที่โดนล้มไปแล้ว บ้างที่ยังไม่ล้ม ทว่าคงไม่ใช่พวกเดียวกัน และบ้าง…ที่กำลังจะตลบหลังและพร้อมจะกู้คืนสถานการณ์


“เอาไงดีครับคุณไพร์ม”


“จัดการคนของคุณพีไปเลย” ครอบครัวของเราก็เป็นเช่นนี้ หากจะบอกว่าน้องไม่ควรทำร้ายพี่ พี่ก็ไม่ควรจะชุบมือเปิบของของน้องเช่นกัน ภูวนัยนั้นไม่เพียงออกคำสั่ง เขายังเดินเข้าไปในสมรภูมิการต่อสู้นี้ด้วยตัวเอง


ไม่ใช่ว่าไม่คิดหน้าคิดหลัง หรือถูกฝึกมาอย่างดี แต่เขาอาจจะบ้ามากพอที่อยากจะไปเห็นกับตาตัวเองว่าฉันชนกนั้นปลอดภัย เจ้าของร่างสูงที่ดูไม่ยอมใครนั้นติดตามไปกับทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ


“คงเป็นพวกหมานั่น”  พื้นที่ภายนอกดูเหมือนจะถูกเคลียร์แล้วเรียบร้อย เขามาสายไปจริงๆ สนธยามาถึงก่อนแล้วแต่ก็ไม่แปลกใจเมื่อเขาติดตามมาก่อน มาช้ากว่าที่คิดนิดหน่อย แต่ก็ไม่แปลกเพราะการมีเรื่องกับคนต่างเผ่าพันธุ์มีความเสี่ยง จึงต้องเสียเวลาเตรียมการ


ปัง ปัง!!


ร่างสูงของภูวนัยใช้ความฉับไวของตนหลบกระสุนได้ในเสี้ยววินาที คนของเขาเหมือนจะถูกยิงบาดเจ็บไปหนึ่งแต่ก็ยังไม่ถึงชีวิต เขาหาจังหวะที่เป็นช่องว่างของห่ากระสุนพวกนั้น ก่อนจะยิงสวนกลับไปได้อย่างแม่นยำ ถามว่านี่มันโชคช่วยเหรอ ก็ใช่…โชคมักช่วยให้เขาเก่งในหลายๆเรื่อง


รวมถึงเรื่องประสาทสัมผัสและพละกำลัง


“อั่ก!”  ในส่วนความเร็วก็ไม่ได้เป็นรองใคร เขาสามารถเข้าประชิดตัวฝ่ายตรงข้ามก่อนจะเหวี่ยงมันเข้ากำแพงในทันที ดูเหมือนว่าคนส่วนมากมักจะคิดว่าไพร์มนั้นเป็นนักวิชาการที่วันๆคงอยู่แต่ในห้องแล็ป ซึ่งมันก็จริง ทว่าเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ภูวนัยยังมีอีกหลายด้านที่คนอื่นไม่รู้ และแม้แต่บางด้าน เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำ


“ฉันชนกอยู่ที่ไหน”  มือของเขาบีบคอมันคนหนึ่ง


“มะ…อั่ก…ไม่รู้”


“พีรวัสจับคนของฉันไปไว้ที่ไหน!” 


“นายครับ!?”  หากปล่อยไพร์มไว้เช่นนี้ คนบางคนอาจจะตายคากำมือของเขาได้ จริงๆมันก็ไม่เท่าไหร่แต่อย่างไรเราก็มีเป้าหมายที่สำคัญ


“ผะ…ผมไม่รู้”


“งั้นก็ตายซะ” ถึงแม้ไพร์มไม่นิยมการฆ่าจริงๆเพราะตายมันง่ายไป


“นะ…น่าจะห้อง ตะ..ใต้ดิน แค่กๆ”  ไพร์มที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่เสียเวลาอีก เขาปล่อยมันทว่าก็ไม่ปล่อยให้ได้สำลักอากาศนาน ด้ามปืนที่เขาถืออยู่ที่มือซ้ายได้ถูกกระแทกที่หลังคอจนมันสลบไป


ห้องใต้ดิน…เป็นไปได้


แม้จะเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้ถูกใช้งานแล้ว แต่สภาพที่สมบูรณ์ที่สุดคือบริเวณนั้น ทว่าข้อเสียของมันคือมีทางเข้าเดียว และเป็นไปได้ว่าเขาจะต้องปะทะกับคนอีกมากมายเพื่อที่จะได้ไปถึงตัวของฉันชนก จากตรงนี้ไปก็คงไม่ไกล


แต่อย่างไรก็คงไปไม่ทันสนธยาที่นำไปก่อนอยู่ดี


ใช่แล้ว…สนธยาที่นำไปก่อน สามารถไปถึงตัวของฉันชนกได้ก่อนจริงๆ ก่อนที่เขาจะเข้ามาที่นี่ ทีมของเขาได้จัดการปลดอาวุธโดยรอบ ส่วนคนที่ขัดขืนก็ถูกจัดการจนหมอบไปหมดแล้ว ภายในห้องนี้มีแต่นักทดลองดูไม่ประสาเรื่องการต่อสู้ จึงไม่ยากที่จะเข้าควบคุม ทว่าแม้จะจัดการรวบรัดแล้ว เขาก็เชื่อว่ามีใครบางคนได้หนีไปก่อนนี้ ทว่ามันไม่ใช่ปัญหาของเขา


เพราะปัญหาที่ว่า กำลังจะถูกแก้ไขได้ด้วยบุคคลที่นอนอยู่ตรงหน้า


“ยังไม่ตายใช่ไหม”  เขาถามคนของเขา ซึ่งได้รับการยืนยันว่าเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงได้หลับสนิทอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถตอบได้ในทันทีหรอกว่าโดนยาตัวไหนไป เอาเป็นว่ายังไม่ตายก็เพียงพอที่จะแลกกับน้องชายของเขาแล้วละมั้ง แต่ถึงจะพูดว่ายังไม่ตาย มันก็น่าหวั่นใจอยู่ดี


“เข็มนั่น”


“ครับ”  ผู้ช่วยคนหนึ่งของเขาตอบรับ ก่อนจะพูดออกมาเสียงเบา  “แทงเข้าไปที่จุดตายพอดี” นั่นหมายความว่าสภาพของคนที่ยังไม่ตายในตอนนี้ กำลังเข้าสู่เขตความตาย และเครื่องมือที่ใช้พรากวิญญาณของแวมไพร์ตัวนี้นั้น


คือเข็มที่แทงลงไปบริเวณหน้าอก และน่าจะลึกพอถึงหัวใจ


Talk: ตอนแรกว่าจะลงเมื่อวานแต่ก็ไม่ได้มาลง ขอโทษที่ให้รอนะคะ ใกล้จะจบแล้วเอาใจช่วยน้องฉันด้วยนะคะ #คู่กินคู่กัด

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4
 :m31:น้องฉันนนนนนน

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
- - - - - -
หิว!!!!!!!!
(iДi)
- - - - - -


ชีวิตฉันดราม่าสุดคือตอนที่งอนสา


นอกจากนั้นคือเรื่องกินอะไรไม่อร่อยเลย!


ทว่าตอนนี้ชีวิตฉันผจญกับเรื่องที่ดราม่ายิ่งกว่า ทว่าเจ้าตัวไม่ได้รู้ตัวอะไรกับใครเขาเลย สนธยานั้นยืนนิ่งมองร่างที่ที่มีเข็มปักทิ่มบนเตียงราวกับมองศพที่ตายอนาถแต่ไม่รู้จักกันก็ไม่ปาน เขาถอนหายใจออกมา รับรู้มาตลอดจากรุ่นสู่รุ่นว่าจุดตายของแวมไพร์คือที่อกซ้าย ทว่าไม่เคยได้มีโอกาสเอาอะไรไปปักใคร จึงไม่รู้เลยว่าที่นอนนิ่งไปใกล้จะตายจริงๆหรือไม่


ทว่าคนที่ไม่ใช่ญาติแต่ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟกำลังจะเข้ามา


“เฝ้าไว้ อย่าแตะต้อง”  และเขาคือคนที่สมควรจะไปเผชิญหน้ากับคนๆนั้นที่สุด ด้วยความหวังที่จะรู้ว่าคนที่ตนเองต้องการเจออยู่ที่ใด ไม่ตายก็ดี เพราะถ้าตายแล้วก็อาจจะเอามาเป็นข้อต่อรองอะไรไม่ได้เลยนอกจากภูวนัยจะอยากได้ศพไปผ่าทดลองเพื่อสานต่อโครงการเหล่านั้น


เมื่อออกมา เขาก็เห็นสภาพคนของเขาและคนของแล็บที่ล้มนอนระเนระนาด ที่ยังคงพยายามสกัดกั้นคนที่พยายามจะบุกเข้ามาก็มีอยู่บ้าง เห็นเช่นนี้แล้วก็รู้ว่าใครบางคนนั้นเลือดร้อนแค่ไหน กับแค่คนๆเดียวที่วันๆได้แต่ทำหน้าโง่ๆใส่คนนั้นคนนี้ไปทั่ว ภูวนัยต้องให้ความสำคัญจนถึงขั้นลงมือเองเชียวเหรอ


“หยุดได้แล้วไพร์ม ทางเราได้ตัวฉันไว้แล้ว!”  เขาตะโกนก้อง ก่อให้เกิดภาวะชะงักงันในทันใด ไพร์มผลักคนของเขาไปให้พ้นทาง และเพราะได้รับคำสั่งให้ถอยจากเจ้านาย พวกเขาจึงไม่มีใครคิดที่จะขวางทางคนที่เหมือนจะไร้ซึ่งความเจ็บปวดทางร่างกายคนนี้


“ต้องการแค่ที่อยู่ของสารินใช่ไหม”


“ใช่แล้วไพร์ม ถ้านายให้ง่ายๆทุกอย่างมันก็จบลงอย่างง่ายดาย” มันควรจะเป็นเช่นนั้น “แต่ถ้าไม่ เรื่องมันคงยากกว่านั้น”


“ผมต้องการตัวฉันชนก”


“ให้นายได้อยู่แล้วไพร์ม แต่นายต้องส่งมอบสารินมาให้ทางนี้เช่นกัน แต่ถ้าไม่พี่ก็จะไม่ประกันความปลอดภัยของฉันในห้องนั้น เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็สามารถตายได้ทันทีเหมือนกัน”  ถึงจะอย่างไรฉันก็มีสายเลือดของแวมไพร์ คงไม่ตายง่ายๆ แต่ถ้าจะตายในเสี้ยววิก็คงอยู่ในภาวะปางตายหรือไม่ก็มีกระสุนเงินจ่อที่หัว


หรือไม่ก็หัวใจในตอนนี้….


“ส่งมอบที่อยู่ของสารินให้คุณสน” 


“ครับ”  เหมือนอย่างที่เขาคิดแต่ไม่ได้คาดหวังไว้ สนธยาคิดว่าฉันชนกมีค่าพอให้ต่อรองกับสารินจริงๆ ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าตัวฉันชนกนั้นสำคัญอะไรหรอก แต่น่าจะเพราะสารินต่างหากที่ไม่ได้มีความสำคัญเลย  อย่างไรก็ตามแววตาของไพร์มในตอนนี้ทำให้ได้เปิดมุมมองอะไรใหม่ๆ ทั้งเรื่องความต้องการของอีกฝ่าย


และตัวตนที่แท้จริง…


สนธยาพยักหน้าหนึ่งครั้ง การถอนกำลังของทีมมนุษย์หมาป่าได้เริ่มต้นขึ้น ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็ได้ออกมา หลีกทางให้คนที่เขาให้สัญญาได้เข้าไปก่อนที่จะสั่งการให้ทีมเก็บกวาดจัดการงานนี้ให้เรียบร้อยที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากอื่นๆตามมา


ในด้านของภูวนัยที่ได้เข้าไปในห้องนั้น เขาไม่รู้ว่าขาตัวเองช้าได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่ายิ่งภาพตรงหน้าชัดขึ้นเท่าไหร่ เรี่ยวแรงก็เหมือนจะค่อยๆหายไปเช่นกัน เข็มที่ใช้สกัดเอาตัวอย่างที่ใหญ่กว่าของวันนั้นถูกปักอยู่บนอกของแวมไพร์ตัวน้อยที่นอนหลับใหลราวกับเจ้าชายนิทรา


“คุณฉัน”  เขาเรียก หัวใจของเขาเต้นจนปวดหน่วงอีกครั้ง ตั้งแต่เกิดมา ภูวนัยเคยนึกว่าคนร่วมเผ่าพันธุ์แบบเขาทุกคนไม่มีหัวใจ เพราะสิ่งที่ทุกคนทำไปล้วนไร้ซึ่งศีลธรรมอันดีงาม เขาเคยคิดว่าตัวเองก็คงเป็นหนึ่งในนั้น


จนกระทั่งได้มาพบ รู้จัก และผูกพันกับฉันชนก อาการเหล่านี้หากไม่ใช่เพราะเขากำลังเป็นโรคร้ายทางทรวงอก มันก็ช่วยพิสูจน์ว่าที่ปวดอยู่นั้นคือหัวใจจริงๆ


เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าทั้งวันเขาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของอีกฝ่ายแค่ไหน และความหมกมุ่นนี้คงฝังรากลึกลงไป เขาแอบมองแอบตามตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกันด้วยผลประโยชน์บางอย่าง หลายครั้งที่คิดว่ามันไม่จำเป็นที่ต้องทำขนาดนี้ แต่ก็มักจะมีเหตุผลบ้าๆมาหักล้างเสมอ มันเกิดขึ้นหลายครั้งจนคิดว่าที่นึกหาเหตุผลมากมายเหล่านั้นคือข้ออ้างให้ทั้งวันได้มองหาคนที่ชื่อฉันชนกใช่หรือไม่


คำตอบเหมือนจะใช่ เพราะแค่วันนี้ที่พยายามหาเท่าไหร่ มันยิ่งหักห้ามใจไม่ได้เลย ของที่ต้องการก็ได้มาแล้ว ทว่าทำไมเราถึงปล่อยมือคนๆเดียวไปไม่ได้ เพราะไม่อยากให้ใครมาชุบมือเปิบใช่ไหม แต่เหนือกว่าสิ่งใดแค่คิดได้ว่าจะเกิดอะไร จินตนาการก็นำพาให้ไปถึงจุดที่กระวนกระวายจนไม่เป็นอันทำอะไรไปหมดแล้ว


เพราะสิ่งที่ต้องทำมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น….คือตามหาให้เจอ


“คุณฉันครับ”  เขาค่อยๆหาสัญญาณชีพตามแอ่งชีพจรต่างๆและเมื่อรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ ใจก็พองฟูขึ้นมา ภาพที่เคยเหมือนจะช้าพลันกลับมารวดเร็วเหมือนเดิม เขาค่อยๆดึงเข็มนั้นออกไป


โชคดีที่ทีมของสนธยามาเร็วกว่าที่คนพวกนั้นจะดูดเอาตัวอย่างขึ้นมาจากหัวใจของแวมไพร์ แม้จะไม่มีเอกสารรองรับถึงผลที่ตามมา แต่ทว่าจุดตาย…ก็ไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้


“คุณไพร์มครับ เราตรวจเจอการปล่อยสารที่เป็นพิษต่อร่างกายของแวมไพร์ตามช่องระบายอากาศครับ”  ผู้ช่วยของเขาที่ดูจะสงบกว่านั้นเดินมาบอก เขาหันกลับไปมองคนที่นอนอยู่อีกครั้ง เป็นไปได้ว่าที่นอนไม่ตื่นและดูจะซีดเซียวขนาดนี้นั้นเพราะรับสารพวกนั้นฉับพลัน และมันเป็นพิษต่อร่างกายที่แวมไพร์เป็น


“ไปเอาเลือดมา เราจะให้เลือดกับเขา!”  ภูวนัยสั่ง ตอนนี้มีวิธีเดียวคือทำให้ร่างกายของฉันมีภูมิต้านทานขึ้นมา และภูมิต้านทานเดียวที่พวกเขารับรู้คือแวมไพร์…


ต้องได้รับเลือด


เป็นอีกครั้งที่ไพร์มต้องมานั่งดูการให้เลือดทางสายยางแบบนี้กับคนๆเดิม และความรู้สึกครั้งที่สองไม่ได้น้อยลงจากครั้งแรกแต่อย่างใด เขามีอาการวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด เสียจริตต่อหน้าลูกน้องไปมากเท่าไหร่ เหมือนจะหลงลืมสิ่งที่ต้องรักษาไว้ชั่วขณะ แล้วต่อจากนั้นก็จะนึกขึ้นได้ว่ากำลังสูญเสียความเป็นตัวเองที่เคยเป็นมา


แต่เมื่อดวงตาของฉันชนกค่อยๆเปิดขึ้นมา เขาที่แทบไม่ได้กะพริบตาก็รีบถลาเข้ามาหา เกาะข้างเตียงเหมือนลูกหมานั่งเฝ้าเจ้าของอะไรอย่างนั้น น่าสมเพชแต่ช่างมันก่อน ฉันตื่นแล้ว!


“รู้สึกยังไงบ้างครับ”


“ดีจังที่คุณไพร์มมา”  คำแรกที่ฉันนั้นพูดคือคำนี้ และมันน่าเจ็บใจตรงที่อันที่จริงเขาไม่ได้มาถึงเป็นคนแรก แต่เป็นไอ้บ้าแฟนเก่าที่วันนี้มันไม่ได้แม้แต่จะสนใจใยดีความเป็นความตายของเด็กคนนี้จริงๆ  “ทำหน้าอย่างนั้นทำไมอ่า..”


“ไม่มีอะไรหรอกครับ”


“เมื่อกี้ฉันทำอะไรนะอา…ฉันกำลังวิ่ง วิ่งเร็วมากๆด้วย แล้วก็ง่วงขึ้นมา ก่อนที่จะแบบว่าลาก่อย ขอนอนแพพ อะไรแบบนี้”


“ลาก่อย นอนแพพอะไรกันครับ”  เขาหลุดหัวเราะ ในความเครียด ฉันชนกที่นอนพะงาบๆป่วยๆยังอารมณ์ดี


“ก็มันง่วงจริงๆนี่ ขนาดเจ็บหน้าอกแบบมากๆๆๆๆ ก็ยังขี้เกียจตื่นอยู่ดี”


“…”


“ฉันนอนไปนานไหมอ่ะ”


“สักพักหนึ่งครับ”


“เริ่มจะหิวแล้ว แต่ก็ยังง่วง”


“งั้นนอนก่อนนะครับ เดี๋ยวตื่นมาจะได้กินอิ่มๆไม่ต้องรอย่อยจะได้นอนต่อ”


“อืม”  บทสนทนาระหว่างเขากับฉันชนกจบลงแค่นั้น เหมือนสติของคนป่วยคนนั้นค่อยๆหายไปพร้อมกับการเข้าสู่ห้วงนิทรา


ฉันชนกปลอดภัยจริงๆ ภูวนัยควรจะวางใจได้แล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกกระวนกระวายอยู่ไม่น้อย ในขณะที่ออกตามหา ความรู้สึกที่ไม่พอใจต่อความคาดหวังที่ควรจะเป็นก็เข้ามากัดกินความรู้สึก ไพร์มพยายามแล้วที่จะควบคุม แต่การหายไปของฉันชนกกับสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีที่เข้ามาเรื่อยๆก็ลอยมาเข้าหูทำให้ความพยายามเหล่านั้นหายไป


เป็นเพราะฉันที่ทำให้อ่อนแอ


เป็นเพราะฉันที่ทำให้เขาเหมือนคนขี้แพ้


แต่จริงๆไม่ใช่ฉันหรอกที่ทำ เป็นเขาที่อ่อนแอและขี้แพ้


เป็นมานานแล้วแต่แค่ไม่มีใครไปถึงจุดที่ปลุกพวกมันให้ตื่นขึ้นมาได้


“ทางเราพร้อมเคลื่อนย้ายแล้วครับ”


“จะมีการเปลี่ยนแผนนิดหน่อย”  เขาหันไปบอกกับลูกน้องที่เข้ามารายงาน ใบหน้าของคนมาใหม่นั้นดูแปลกใจเล็กน้อย แต่วันนี้อะไรๆก็น่าแปลกใจไปหมด โดยรวมแล้วไม่มีอะไรน่าตกใจอีก “เราจะพาคนป่วยไปส่งที่บ้านของเขา”  นั่นเท่ากับว่าจะไม่ไปที่คอนโดของเรา…


อีกแล้ว?


ทางด้านบ้านของฉันที่อยู่นอกตัวเมืองนั้น คุณพ่อทั้งสองคนที่รอลูกชายคนเดียวของพวกเขามาหาก็กระวนกระวายไม่น้อย บอกว่าจะมาแต่ก็ไม่ยอมมาสักที โทรไปก็ไม่รับ ช่องทางการติดต่อก็ขาดหาย พวกเขาถามทุกคนที่นึกออกทว่ากลับไม่มีใครรับรู้ ก็ได้แต่คิดในแง่ดีว่าเจ้าลูกตัวดีเถลไถลไปเรื่อยแล้วมือถือแบตหมดไป อีกสักพักคงยิ้มแฉ่งเดินเข้ามาหา


ถ้าไม่ใช่ ผ่านชั่วโมงนี้ไปพวกเขาคงต้องไปแจ้งความแล้วล่ะ


“พ่อมึง หรือว่าเราจะไปแจ้งความกันดี”


“นั่นสินะ”  วธินที่ไม่มั่นใจในการตัดสินใจของตนเช่นกันก็ได้แต่ครุ่นคิด หากพวกเขาเป็นมนุษย์ธรรมดา แล้วเจ้าเขี้ยวเล็กนั่นไม่ใช่แวมไพร์ ไม่มีทางหรอกที่พวกเขาจะไม่พุ่งชนไปเข้าหาตำรวจ แต่เพราะมันมีความเสี่ยงที่ความลับของเผ่าพันธุ์จะเปิดเผย จึงต้องอดทนนั่งเงียบๆกันต่อไป


“ป่านนี้เจ้าฉันจะเที่ยวเล่นอยู่ไหนน้า”  การันต์นั้นแทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้ พวกเขาห่วงเด็กคนนั้นพอๆกัน และก็ยังคงหงุดหงิดใจไม่น้อยที่ทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าไม่เพราะหนีมาไกลและไม่ต้องการให้ใครมาข้องเกี่ยว พวกเราคงไม่วางตัวสันโดษเสียจนแทบไม่มีใครให้ไหว้วานช่วยเหลือแบบนี้ และคนๆเดียวที่พอจะถามได้อย่างสารินก็ไม่รับสายเสียอย่างนั้น


ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน?


“นั่น…ใครมากันนะ” การันต์ที่เหมือนจะเห็นบางอย่างในความมืดมิดภายนอกบ้านร้องถาม วธินหลับตาลง..เขารับรู้ได้ถึงการเข้าใกล้จากกลุ่มคนที่มีกลิ่นอายต่างจากมนุษย์ทั่วไป หันไปมองทางการันต์ที่ปิดปากตัวเองแน่น กลิ่นบางอย่างที่ลอยเข้ามาทำให้สัญชาตญาณแวมไพร์ของการันต์ทำงาน


พวกมนุษย์โรคจิตพวกนั้นนะเหรอที่มาเยือนพวกเขา?


“รออยู่ในนี้”  เขาเอ่ยเตือนพร้อมกับค่อยๆเดินออกไป กลิ่นอายของคนจำนวนมากเมื่อครู่เหมือนจะลดหายไปบ้าง เหลือเพียงกลิ่นอายประหลาดๆเล็กน้อยที่ดูเหมือนจะมาจากคนๆเดียว  “ใคร??!”  วธินร้องถาม


“คุณวธินใช่ไหม”  ท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืน ลมเย็นๆพัดมาให้รู้สึกขนลุก แขกของเขาหรือ ทำไมไม่เคยรู้จักกันนะ


“คุณเป็นใคร”


“ผมพาคุณฉันมาส่ง”


“ฉันงั้นเหรอ?”มันเกิดอะไรขึ้น บรรยากาศแบบนี้ช่างดูไม่ปกติเอาเสียเลย วธินที่มั่นใจในพละกำลังของตัวเองนั้นเดินเข้าไปใกล้ มีประตูบานใหญ่ที่ขวางกั้นเราเอาไว้


“และผมมาเพื่ออธิบาย”  เพราะว่ามีเรื่องอธิบายจึงทำให้เขายิ่งสงสัยมากขึ้น วธินตัดสินใจปลดล็อกของประตูบานนั้นและเลื่อนเปิดให้บุคคลผู้น่าสงสัยได้เข้ามา ทว่าเมื่อได้เห็นตัวของชายคนนั้น


ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาแทบคลั่งจนยากจะยับยั้งอารมณ์ไหว?!


“…”


“…”


“ผมขอเล่าทั้งหมดก่อน”  เป็นชายหนุ่มอายุน้อยกว่าที่ยั้งกันไว้ แววตาของเขาที่มองมาทำให้วธินไม่อาจจะพูดอะไรได้อีก หากมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาคงไม่พลาดขย้ำเจ้าเด็กนี่แน่ แม้ว่าลูกชายของเขา


จะถูกอุ้มแนบอกอยู่ก็เถิด


“น้องฉัน!”  เสียงของการันต์ที่มองออกมาทำให้เขาจำใจต้องพาแขกไม่ได้รับเชิญเข้าไปในตัวบ้าน คนรักของเขาถลาเข้ามาหาลูก แทบจะรับไปในอ้อมกอดของตัวเองโดยไม่ได้คิดจริงๆว่าเจ้าลูกชายในวันนี้ ไม่ได้ตัวเล็กเป็นก้อนให้กอดอุ้มและหอมไปมาได้เหมือนเดิมอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ดื้อซนเกินไป เกินไปจนทำให้คนเป็นพ่อเจ็บแปลบที่หัวใจ


“ช่วยวางไว้ที่ฟูกตรงนั้น และเราค่อยมานั่งคุยกันดีกว่า” หากยื้อเจ้าตัวไม่เล็กกันไปมาตรงนี้อาจจะได้มีบาดเจ็บกันระหว่างส่งมอบได้ มันดีกว่าที่จะให้แขกผู้มาใหม่ได้วางเจ้าแสบให้ปลอดภัยลงเสียก่อน


“ขออนุญาตนะครับ”  ฟูกนอนกลางวันที่แวมไพร์จอมขี้เกียจทั้งสองชอบเอามานอนนั้นถูกวางปูอย่างรีบเร่ง ร่างของฉันที่ยังหลับอยู่นั้นค่อยๆถูกวางอย่างทะนุถนอม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่ต่อหน้าพ่อๆของเจ้าเด็กแก่นนี่หรือเปล่า เขาคนนี้จึงได้อ่อนโยนนัก


“เชิญคุณมานั่งก่อน การันต์ช่วยเอาน้ำมาให้แขกได้ไหม”


“ผมไม่เป็นไรครับ”


“งั้นทางนี้ไม่ขอเกรงใจละกันนะ”  วธินจึงนั่งลง ประสานมือของตัวเองบนหน้าตักเพื่อเก็บกักความหงุดหงิดของตนเอาไว้และจ้องตาคนที่พูดว่ามีคำอธิบายให้กัน คนหนุ่มคนนี้มีแววตาที่มุ่งมั่นและไม่แม้แต่จะเกรงกลัวกัน ว่าแต่เขานั้นรู้ไหมว่าในบ้านหลังนี้ นอกจากจะมีแวมไพร์ป่วยๆคนหนึ่งนอนอยู่ ยังมีแวมไพร์ที่ขาดเลือดมานานแถมยังหมาป่าอีกหนึ่งตัว


ที่กำลังโกรธมากๆด้วย…


ชายหนุ่มได้เริ่มจากแนะนำตัวเอง เขาชื่อภูวนัย และพูดต่อถึงความบังเอิญที่ได้เจอกันและหลังจากนั้นก็เริ่มพูดถึงความสนใจของเขาที่มีต่อตัวฉันรวมไปถึงสิ่งที่ศึกษาและต้องการ การันต์ที่ได้ยินเช่นนั้นเกือบจะร้องไห้ออกมา พวกเราออกมาจากวงสังคมตรงนั้นเราไม่รู้หรอกว่าโลกแวมไพร์พัฒนาไปถึงไหนและการแข่งขันอะไรนั่นก็ไม่เคยใส่ใจ


คนรักของเขายอมสละความสุขทางการลิ้มรสเพียงเพราะต้องการอยู่กับเขาและลูก ทว่าไม่เคยรู้เลยว่าฉันนั้นทุกข์แค่ไหนกับการมีชีวิตอยู่อย่างแตกต่างในโลกมนุษย์โดยที่ไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นอะไร


“เขาถึงกับร้องไห้เลยเหรอ”


“ครับ”  เรื่องราวของฉันที่ออกจากปากไพร์ม ในวันแรกที่เคยเจอกัน เพียงแค่เลือดหนึ่งหยดนั้นก็ช่วยให้ฉันได้รับรู้ถึงความเป็นจริงของโลกใบนี้ จุดเริ่มต้นแปลกๆแต่อาจจะสวยงามในความรู้สึกของเด็กคนนั้นทำให้คนเป็นพ่อรู้สึกผิดที่ปิดบัง


ไพร์มเล่าต่อไปถึงความสัมพันธ์ลำดับถัดมา เขาพยายามเข้าหา เริ่มต้นคือเพื่อนบ้านโดยมีเป้าหมายที่ต้องการให้ฉันไว้วางใจ จนกระทั่งวันหนึ่งก็ได้เปิดเผยให้อีกฝ่ายรู้ถึงความลับส่วนตัวของเราที่ฉันเองไม่เคยเข้าใจ สัญชาตญาณแวมไพร์ของฉันถูกปลุกขึ้นมาวันแรก ต่างจากแวมไพร์คนอื่นที่ถูกถ่ายทอดสั่งสอนโดนแวมไพร์เหมือนกัน


“เราเป็นผู้ปกครองที่แย่มากที่ไม่เคยได้สอนให้เขาปรับตัวกับสัญชาตญาณ”  การันต์ด่าว่าตัวเองเสียงเบา เพียงเพราะไม่อยากให้ใครหาครอบครัวเจอ การโกหกครั้งใหญ่จึงเริ่มขึ้น ทว่าฉันชนกที่ไม่เกี่ยวข้องก็ต้องถูกลากมาอยู่ในเกมนี้ เกมที่ไม่รู้เลยว่าวันไหนเขาจะรู้ตัวเองว่าเป็นใคร


และวันหนึ่งฉันชนกก็มาเรียกหา บอกว่ายอมรับข้อเสนอของเขาแลกกับการช่วยพาสารินหนี เรื่องนี้การันต์พอจะทราบอยู่แล้วจึงปะติดปะต่อได้ ทว่าเหตุผลที่ฉันไม่ได้บอกใครตรงๆว่าทำไมต้องลงทุนขนาดนี้เพื่อเพื่อนคนหนึ่ง ไพร์มก็คิดเอาเองว่าเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่เคยกระทำกับอีกฝ่าย ฉันไม่เคยเล่าทั้งหมดตรงๆแต่เพียงส่วนเสี้ยวก็พอเดาได้


ทว่าเรื่องราวต่อจากนี้ทำให้บุพการีของฉันชนกรับไม่ได้ วิธีการเก็บตัวอย่างของเขาทำให้แวมไพร์อย่างการันต์ตกใจ แวมไพร์นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีเลือดไหลเวียนเป็นของตัวเองอยู่น้อยมาก และการจะเก็บตัวอย่างที่เข้มข้นต้องเก็บจากกระดูกซึ่งนั่นต้องเจ็บมากๆ แล้วยิ่งหากดูดเอาสิ่งนั้นออกไปมากเกิน ร่างกายที่ต่างจากมนุษย์ของพวกเขาอาจจะตายได้


“ผมเห็นความเจ็บปวดของเขาเลยตั้งใจจะหยุดทุกอย่างแค่นั้น”


“แล้วทำไมคุณถึงไม่หยุด”


“…”


“ทำไมฉันถึงกลับมาหาเราในสภาพนี้อีก”


“เขาหลับไป เพราะฤทธิ์ยา”


“ร่างกายของแวมไพร์นั้นซับซ้อน พวกคุณไม่รู้จักพวกเราดีแต่ให้ฉันรับยาอะไรก็ไม่รู้เข้าไป เขาอาจจะตายได้”  การันต์ต่อว่าเขายกใหญ่ แต่มันก็สมควรแล้วจริงๆ


“ผมต้องขอโทษจริงๆครับ”


“ครั้งนี้ใครเป็นคนทำ”  วธินที่นั่งเงียบรับฟังมานานเอ่ยเสียงเรียบ


“เป็นพวกพี่ชายของผมเอง พีรวัส สุธาสกุล”


“นี่มันปัญหาภายในของพวกคุณชัดๆ แล้วทำไมต้องมาวุ่นวายกับลูกของพวกเราด้วย”


“ผมไม่รู้จริงๆว่าพวกเขาจะทำแบบนี้ แต่แก้ตัวไปมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา”  ไพร์มยอมรับตรงๆ  “ผมจึงคิดว่าการจัดการที่ดีที่สุดคือพาฉันกลับมาหาพวกคุณ”


“คุณก็แค่คิดว่าทำแบบนี้มันดีที่สุดเพราะมันทำให้คุณสบายใจที่สุด”


“ไม่ปฏิเสธเลย”


“ลูกชายของเราอาจจะตายได้ เขาเอาเลือดของลูกเราไปมากแค่ไหน!?!”


“ผมคิดว่าเขาไม่ได้เอาไป ยังไงผมก็ได้จัดการถ่ายเลือดให้ฉันแล้ว”  ไพร์มพูดอย่างใจเย็น  “แต่ที่กังวลคือครั้งนี้พวกเขาแทงเข็มลงไปที่อกของฉัน ผมกลัวว่ามันจะเกิดอันตราย”


“ที่อกงั้นเหรอ?!”  พวกเราล้วนรู้ดีว่ามันคือจุดตาย


“และผมก็ไม่แน่ใจว่าจะดูแลยังไงเลยคิดว่าพามาหาพวกคุณคงดีกว่า”


“แสดงว่านายรู้ว่าการันต์เป็นแวมไพร์”  วธินพูด


“…ผมแค่สงสัย”


“นี่มันไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย”  วธินที่วันนี้ต้องมารับรู้เรื่องราวมากมายอยากจะหลุดหัวเราะออกมาด้วยท้อแท้ การันต์ที่เปิดเสื้อของลูกดูก็พบว่าบริเวณอกซ้ายมีร่องรอยของการถูกเข็มทิ่มแทง มันเป็นรอยช้ำสีม่วงวงใหญ่ แต่อย่างไรก็ยืนยันได้ว่าไม่ถึงตาย จึงหันไปหาวธินและพยักหน้าให้


โชคดีที่คนพวกนี้ไม่รู้ว่าหัวใจของแวมไพร์อยู่ต่ำกว่าบริเวณนั้นนิดหนึ่ง!


“ผมคงไม่มีอะไรจะโต้แย้งและพร้อมยินดีรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด”


“ลูกชายของเราเพิ่งพบเจอประสบการณ์เฉียดตาย คุณจะชดใช้ยังไง”


“ผม…ไม่รู้เลย”


“…”


“…”


“กลับไปเถอะ”  วธินกล่าว  “ผมขอให้คุณรับผิดชอบด้วยการกลับไป ได้ไหม”  ถ้านี่คือความต้องการของผู้เสียหาย เขาในฐานะผู้เสนอมันลงไปจะทำอะไรได้ เขาให้กลับ ก็ต้องกลับ และต่อไปหากเขาไม่ให้เจอ


ก็คงมาเจอไม่ได้อีก…


การันต์ยังคงอยู่กับลูก ฉันชนกที่มีความหมายว่า ‘เหมือนดั่งพ่อ’ นั้นกำลังหลับใหลฝันดีอยู่ในบ้าน ต่างจากสภาวะความรู้สึกของ ‘ผู้เป็นพ่อ’ ของเจ้าเด็กบ้านี่จริงๆ วธินออกมาส่งแขกออกจากบ้าน ดวงตาของเขาแวววับ มันก็สักพักแล้วที่เขาไม่ได้กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าจนอาจจะลืมไปแล้วว่าการวิ่งด้วยสี่ขาต้องทำอย่างไร


“สุธาสกุลทำไม่ถูก”  เขาพูดไล่หลังมา กลิ่นอายแห่งความโกรธเคืองยังคงมีอยู่ หากเป็นตัวเขาก่อนที่จะละทิ้งทุกอย่างมาอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าต้องมีตายกันไปข้าง ทว่าวันนี้วธินมีครอบครัวที่สำคัญกว่าใครที่ต้องรักษาไว้


“ผมจะจัดการเอง”


“จะจัดการยังไง ในเมื่อนายก็เป็นสุธาสกุลคนหนึ่งเหมือนกัน นายจะมาเห็นคนอื่นดีกว่าสายสัมพันธ์ของครอบครัวได้ยังไง” วธินที่ไม่อาจจะเก็บกรงเล็บของตนเมื่อร่างนั้นกำลังจะเปลี่ยนไปยังคงเดินไปข้างหน้า ภูวนัยนั้นหยุดแล้วและเขาไม่แม้แต่จะสั่นไหวหวาดกลัวกับการคุกคามนี้ ใบหน้าของชายหนุ่มผินมาด้านหลังเพื่อมองวธินที่กำลังเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ


“ผมคิดว่าคำถามนี้คนที่หนีมาจากฝูงเพื่ออยู่กับคนที่มีเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างอย่างคุณคงตอบได้ดีกว่าใคร”  ภูวนัยตอบคำถามนั้นสั้นๆแต่ทำให้เท้าที่กำลังก้าวเดินของวธินชะงักในทันที และเมื่อเขาได้เห็นใบหน้าของชายคนนั้นอีกครั้ง คำตอบที่ให้กลับไปคิดเองก็กระจ่างชัดในหัวใจ


ไพร์มอาจจะทำได้ถ้าเขาอยากทำ


และการที่เขาจะทำสิ่งนั้น มันขึ้นอยู่กับว่าแรงขับเคลื่อนที่มีมันมากเพียงใด


“…” ภูวนัยไม่ตอบอะไรอีกและเดินออกจากบ้านของพวกเขาไป ทิ้งไว้ซึ่งวธินที่มีหลายสิ่งที่ต้องคิด ทว่าคิดเท่าไหร่ก็ไม่มีอะไรดีๆออกมา บางทีวธินก็อาจจะแก่เกินกว่าจะมีเรื่องกับใครแล้ว เขาถอนหายใจออกมา ปลดปล่อยเรื่องราวหนักหัวและคิดเรื่องของเจ้าลูกชาย ตื่นมาต้องเล่นงานเสียให้เข็ด ส่วนเรื่องว่าคนๆนั้นจะจัดการกับสุธาสกุลหรือไม่


ดวงตาสีทองคู่นั้นเหมือนจะตอบกลับมาให้หมดแล้ว


Talk:
พรุ่งนี้มาอีกจะมีใครรออ่านไหมน้า  ><
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2019 20:58:31 โดย skylover☁ »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เอิ่มมม ไพร์มเป็นใคร มีสายพันธ์ุแต่ใดมา

เอ็นดูฉันมากเลยค่ะ น้องไม่ใช่ไม่รู้ รู้บ้างแต่ก็ยังทำ
เพราะใจเอียงไปทางคุณไพร์มเค้าซะเยอะเลย
แล้วดูแต่ละอย่างที่ฉันเป็น น่าบีบมาก
เจ็บขนาดนั้น ยังห่วงคนอื่น

ไพร์มจะได้รู้ตัวสักทีว่า ฉัน คือคนพิเศษจริงๆ
ไม่ใช่แค่รู้สึกไปเอง สับสน ไม่ยอมรับ

ป๊ะกับพ่อคือคนละสายไปอีก ตอนแรกคิดว่าสายเดียวกัน
รอลุ้นค่ะ ว่าจะคืบหน้ากันบ้างไหม ดูพ่อแอบเกรี้ยวกราด

สนจะไปตามหาสาแล้ว เอ็นดูสา อยากเจอก็อยาก
อยากตัดก็อยาก แต่รอพ่อหาเจอก่อนเหอะ แม่หนีไม่รอดแน่

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
- - - - - -
คุณไพร์มไปไหน!?!!!!
(iДi)
- - - - - -


ทั้งๆที่คิดว่าไพร์มคงตามกันเจอแน่ๆ แต่ก็ประเมินไว้แล้วว่าคงถ่วงเวลาไว้ได้ในระดับหนึ่ง


“กลุ่มไหนกันที่มันแทรกแซง”  คนกลุ่มนั้นดูจะเป็นกลุ่มรับจ้างอิสระ ก็อาจจะเป็นไพร์มนั่นแหละที่หามา


แต่มันเร็วมากที่ไพร์มจะหาเจอ ทั้งๆที่มีพวกนกต่อในทีมซึ่งถูกซื้อตัวไว้ แต่ก็ใช้เวลาในการหาเร็วมาก มันน่าเจ็บใจไม่น้อยที่ยังไม่ได้อะไรจากแวมไพร์ตนนั้น และต้องหนีหัวซุกหัวซุนไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้


“จะหนีไปต่างประเทศก่อนไหมครับ”


“ไม่จำเป็น”  แต่ถึงกระนั้นก็คงไม่ต้องทำอะไรให้มันมากเกินไป ถึงอย่างไรไพร์มก็คงไม่ทำอะไรกับคนในบ้านอยู่แล้ว ยิ่งเขาคือสายหลักของคุณพ่อ แม้ไพร์มจะเป็นคนโปรดแต่ก็เกรงใจกันอยู่บ้าง พรีวัส สุธาสกุลมั่นใจเช่นนั้น แต่เขาคงไม่รู้เลย…


ว่าคนในความคิดกำลังจะมาปรากฏกายให้เห็นจริงๆถึงที่


“แย่แล้วครับ นายท่านหนีเร็ว!” เสียงตึงตังที่ดังจากด้านนอกทำให้เขาที่กำลังจะเข้านอนนั้นต้องลุกขึ้นมาอย่างหงุดหงิด นอกจากวันนี้จะปฏิบัติการใหญ่ไม่สำเร็จ ยังมีเรื่องวุ่นวายตามมาไม่ได้หยุดหย่อน


“เกิดอะไรขึ้น”  เขาพูดออกมาอย่างเบื่อหน่าย เปิดประตูออกมาหมายจะเฉ่งเจ้าคนเสียงดัง ทว่าก่อนหน้านั้นไม่เคยได้รู้เลยว่าถ้าออกมาจะไม่ได้ดุด่าใคร


เพราะเจ้าตัวต้นเรื่องได้นอนสลบอยู่กับพื้นแบบเป็นตายก็หารู้ได้ไม่ในตอนนี้


“ไพร์ม…” และคนทำก็เหมือนจะเป็นน้องชายต่างแม่ของเขา แต่แม้จะคล้าย ทว่าก็มีส่วนที่ไม่เหมือนเอาเสียเลย


โดยเฉพาะดวงตาสีทองที่ไม่ควรจะมีหรือเป็นคู่นั้น


“แก…แกเป็นใคร” ทุกคนรับรู้ว่าแม่ของไพร์มคือใคร และมั่นใจว่าไม่ว่าทางไหนภูวนัยก็ไม่ควรจะมีดวงตาสีนี้ ฉับพลันความจริงบางอย่างก็แล่นขึ้นมาในหัว หลายคนได้รับรู้ว่าผู้หญิงคนไหนคลอดปีศาจร้ายตัวนี้ออกมา


นั่นก็เท่ากับว่า…


“แกรนหาที่ให้ความอดทนต่ำๆก็ฉันหมดลงเองนะ” เจ้าของดวงตาสีทองพูดออกมา ก่อนหน้านี้เขาจำได้ว่าเคยส่งมนุษย์หมาป่าไปทำร้าย แต่สายรายงานมาว่าไพร์มสามารถตบทีเดียวมันกระเด็นได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์สายพันธุ์ไหนก็ไม่ควรทำได้ทั้งนั้น


“กะ…แกไม่ใช่น้องฉัน”


“ต่อให้มีสายเลือดเดียวกันแกก็ไม่เคยเห็นใครเป็นน้องอยู่แล้ว”  ขายาวๆนั้นไม่เคยหยุดก้าวเดิน ในตอนนี้แม้ไม่มีใครติดตาม แต่น่ากลัวว่าแค่ไพร์มคนเดียวก็ล้มคนได้มากมาย พีรวัสถอยหนี ถอยจนไม่รู้ว่าตัวเองจะถอยไปไหน


“พะ..ไพร์ม…”


“ดูเหมือนว่าแกคงไม่รู้ว่าล้ำเส้นกันเกินไป”  อาจจะเพราะเขายอมให้ล้ำเส้นกันบ้าง เพราะบางอย่างก็ต้องยอมให้เพื่อที่จะได้รับ ทว่าฉันชนกคือคนที่ไม่อนุญาตให้ใครแตะ และคนๆนี้ก็ไม่ได้ทำแค่แตะต้อง  “และคงไม่รู้ว่าต่อจากนี้ชีวิตจะเป็นยังไง” 


“มะ…ไม่” เขาไม่เคยรู้ ไม่เคยสนใจเพราะมีชีวิตที่สุขสบายในกองเงินกองทอง แต่ความทะเยอทะยานโง่เง่ากำลังจะทำให้ได้รู้


ดวงตาสีทองวาวโรจน์อย่างน่ากลัว ในตอนนั้นพระจันทร์เต็มดวงกำลังถูกเมฆบดบัง เสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งดังออกมาจากบ้านหลังนั้น


แต่น่าเสียดายที่คนได้ยินไม่อาจจะช่วยเหลืออะไรไม่ให้มันเกิดได้เลย

- - - - - -

“คุณพีพ้นขีดอันตรายแล้วครับ”  ชายชราที่ได้รับฟังนั้นยังคงมีใบหน้านิ่งเรียบ เดิมทีพีรวัสก็เป็นลูกนอกสายตาอยู่แล้ว และยิ่งสร้างปัญหาครั้งใหม่นี้ เขายิ่งไม่สนใจว่าลูกคนนั้นจะเป็นตายร้ายดียังไง


“จัดการกลบข่าวให้เรียบร้อย”  เจ้าบ้านสุธาสกุลนั้นสั่งเสียงเรียบ นี่ก็ดึกมากแล้ว ผู้เฒ่าเช่นเขาไม่ควรจะนอนดึกให้เสียสุขภาพ ชายชราที่อยู่ในชุดผ้าราคาแพงนั้นเดินกลับไปยังห้องนอน รู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย ไม่ใช่เพราะการที่ลูกๆของตนตีกันมันไม่ดี การแข่งขันก็ให้เกิดผลกำไร แต่เพราะมันวุ่นวายมาถึงทางนี้ ก็เลยไม่ค่อยชอบใจนัก


และไปตีกับใครไม่ตี ไปตีกับเจ้าไพร์ม…


“ดูคุณพ่ออารมณ์ไม่ค่อยดีเลยนะครับ”


“ไพร์ม?”  ยังไม่ทันที่ท่านเจ้าบ้านจะเปิดไฟในห้อง ไฟมันก็สว่างขึ้นมาเอง เผยให้เห็นกับแขกอีกคนที่มาเยือนในยามวิกาล ลูกชายที่เคยอยู่นอกสายตามากๆอีกคนนั้นบุกเข้ามาหาเขาถึงที่ คาดว่าคงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น เดิมทีเจ้าคนหนุ่มไฟแรงคนนี้สร้างผลกำไรมากมายให้บริษัท ทัศนคติที่ดีจึงค่อยๆถูกสร้าง ในขณะเดียวกันเขาก็เรียนรู้ได้ถึงความน่ากลัวบางอย่าง


บางอย่างที่ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นกับตระกูลเรา


“ผมหวังว่าคุณพีจะหายดี”


“แกทำให้พี่เขาเดินไม่ได้”


“ถ้าเขามีความพยายามมากพอ จะกลับมาเดินได้สักวัน แต่เกรงว่าอาจจะไม่มีวันนั้นที่เขาจะวิ่งตามทันคนอื่นอีก”


“…”


“ถ้าการมีขาทำให้เขาก่อเรื่องวุ่นวาย ผมก็แค่เรียนรู้วิธีการจัดการแบบสุธาสกุล”  นั่นคือตัดขาอย่าให้เดิน


“มาที่นี่ทำไม”


“ผมแค่มายื่นใบลาออกจากบริษัทอย่างเป็นทางการ”


“กับเรื่องแค่นี้ถึงกับต้องลาออกเลยรึ”  ชายชรายังคงไว้มาด เขาเดินไปนั่งอย่างสบายใจบนเตียง ที่อีกด้านหนึ่งมีผู้บุกรุกนั่งอยู่บนโซฟาหนังตัวโปรดอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด


“อันที่จริงผมก็สนุกสนานมาพอแล้ว”  ความสำเร็จของบริษัทมากมายที่มาจากมือของเด็กชายนอกสายตาคนนั้น ไม่ได้เกิดจากความรัก หากแต่เต็มไปด้วยความอยากเอาชนะและความสนุกสนาน ภูวนัยถือเป็นสมบัติไร้หัวใจที่ล้ำค่า ทว่าวันนี้เจ้าตัวกลับมาขอถอนตัวออกไป


น่ากังขาว่าเพราะหาหัวใจเจอแล้วหรือยังไง


“ฉันจ่ายแกไม่พอรึ”


“ผมมีเยอะเลยไม่คิดอยากได้อีก”


“อวดดี”


“ต้องขอบคุณพวกคุณผมถึงได้ร่ำรวยถึงเพียงนี้”  ไพร์มยิ้ม “แต่คงจะดีถ้าไม่มายุ่งกับผมอีก”


“ไพร์ม…”


“คุณก็รู้ว่าผมรู้ว่าผมไม่ใช่ลูกคุณ”


“…”


“คุณรับเด็กทุกคนเป็นลูก เพราะจะยังไงคุณก็ไม่ได้เลี้ยงดูให้ดีกว่าคนใช้อยู่แล้ว ถ้าเด็กคนนั้นมีแววก็แค่ปั้นเขาให้ใช้งานได้ ลูกของคุณมีมากมาย แต่หลายคนก็ไม่ใช่ลูกของคุณ”


“แก…”


“เพราะถ้าคุณเป็นพ่อ…” เขาจ้องมองชายแก่คนนั้นที่เป็นคนแปลกหน้าเสมอมา  “ดวงตาของผมคงไม่เป็นสีนี้”  สีทอง คือสีที่หลบซ่อนอยู่บางเวลา สีทองเป็นสีที่หายาก และเป็นสีที่บอกกันชัดเจนว่าเลือดของเขาที่มันข้นจนต้องคอยถ่ายออกนี้ เขามีเลือดของอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งไร้เวียนอยู่รอบกาย


และสีทองไม่ใช่สีที่ควรจะเข้าไปมีเรื่องด้วย


ภูวนัยรู้ตัวว่าพ่อของเขาไม่ใช่เจ้าบ้านสุธาสกุลตั้งแต่วันแรกที่ตื่นขึ้นมาพบว่าดวงตาของตัวเองสามารถเปลี่ยนเป็นสีทองได้ เขาเริ่มหาข้อมูลถึงความเป็นไปได้ว่าตัวเองเป็นใครกันแน่ และวันหนึ่งก็ได้พบกับความจริงโดยบังเอิญ มันมีผู้ชายอีกคนที่มีดวงตาสีเดียวกันกับเขา แต่มีร่างอีกร่างที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง


“หวังว่าต่อไปนี้คงไม่ได้มีเหตุให้เจอกันแล้วนะครับ”  ไม่เช่นนั้นอะไรจะเกิดขึ้นกับสุธาสกุลก็สุดรู้ หลายสิ่งที่ไพร์มสร้างขึ้นมาให้ ในขณะเดียวกันก็สามารถทำลายมันลงได้ และถ้าเขาขยันพอ


ก็สามารถที่จะทำให้สิ่งอื่นที่สร้างสรรค์โดยคนอื่น


พังทลายได้ต่อหน้าลูกหลานทุกคนในบ้านหลังนี้เช่นกัน


หลังจากมั่นใจว่าการมาของตัวเองในครั้งนี้ไม่เสียเปล่า ภูวนัยก็เดินจากมาโดยไม่หมายจะย้อนกลับไปอีก นี่เป็นการตัดสินใจที่จะเรียกกว่ากะทันหันก็ว่าเช่นนั้นได้ แต่ทุกอย่างล้วนถูกคิดมาอย่างดีแล้ว


อันที่จริงเขาอยากจะทำอย่างนี้มาตลอด ทว่ามันไม่ได้มีแรงบันดาลใจมากพอให้ทำเพราะทุกครั้งสิ่งที่สุธาสกุลทำ คือการมอบของเล่นใหม่ๆเพื่อไม่ให้เขาทนเบื่อกับการอยู่ที่นี่จนเกินไป แต่วันนี้เขาเล่นจนพอแล้ว


ไม่น่าเชื่อว่าแวมไพร์ตัวเล็กๆจะกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้คนนิสัยเสียคนหนึ่งเลือกที่จะเดินจากมาแบบเงียบๆ และในเวลาที่ว่างแบบไม่มีอะไรทำจริงๆ เขาเคยจินตนาการว่ามันจะเป็นอย่างไรหากไม่มีความเกี่ยวข้องกับสุธาสกุลอีก และในวันนี้เขาก็กำลังได้เผชิญกับมัน


อย่างโดดเดี่ยวไม่เหลือใครแบบที่ควรจะเป็น

- - - - - -


อีกด้านหนึ่งของมุมเมือง ใครสักคนกำลังห่มผ้าผืนหนาให้กับเจ้าโอเมก้าอวดเก่งที่ในวันนี้คอพับคออ่อนอาละวาดไม่ได้เต็มที่อย่างน่าสงสาร ทาริคที่ต้องคอยสู้รบกับคนเก่งที่มีร้อยแปดพันวิธีหนีไปจากเขานั้นยิ้มออกมา ในที่สุดเจ้าโอเมก้าก็มาตายรังอยู่ตรงนี้ บนกองหมอนนิ่มทั้งหลายในห้องนอนของเขาที่กำลังกลายเป็นของเรา


ฝันดีนะดรัญ…


“ดรัญหลับแล้วสินะ”  เอลที่รอที่จะคุยด้วยนั้นทัก ทาริคผู้ซึ่งสละตำแหน่งผู้นำเผ่าพันธุ์นั้นเดินลงบันไดมาหาอย่างอารมณ์ดี หลายวันมานี้มีแต่เรื่องดีๆ


เรื่องที่โอเมก้าที่รักกำลังจะมีลูกเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เรื่องที่ส่งสารินออกไปไกลตัวโดยไม่จำเป็นต้องมีปัญหากับธัมรงค์รัชต์ก็ดีมากๆแถมลูกพี่ลูกน้องอย่างเอลก็ได้รับคะแนนเสียงดีกว่าที่คาดไว้ บางทีตำแหน่งผู้นำเผ่าพันธุ์รุ่นต่อไป ก็ยังคงเป็นเพย์ตันอยู่ เอาเป็นว่าชีวิตเขาตอนนี้ดีมากๆ


“ได้ยินว่าตอนนี้สนธยาเข้าใกล้ตัวสารินได้แล้ว”


“เป็นไพร์มจริงๆสินะที่ช่วยเหลือ” จริงๆพวกเขาตัดขาดเรื่องที่ว่าสารินจะไปไหนทำอะไรมาสักพักแล้ว แต่ดรัญเป็นฝ่ายหงุดหงิดทุกครั้งที่ตอบอะไรไม่ได้ ดังนั้น…เขาจึงต้องไปหาคำตอบมาให้กับทุกสิ่งที่เจ้าโอเมก้าเจ้าอารมณ์อยากรู้


“อืม” 


“เป็นอะไรไปล่ะเอล”


“วันนี้เกิดเรื่องนิดหน่อย”  เอลนั้นครุ่นคิดว่าตนควรจะพูดออกไปหรือไม่  “ไพร์มมีเรื่องกับคนที่สุธาสกุล”


“อะไรนะ”


“ไม่รู้ว่าทำไม แต่ทั้งสนธยาและไพร์มเข้าไปมีเรื่องวุ่นวายกับพีรวัส ไพร์มเล่นงานซะหนักเลย คิดว่าคงตัดขาดกับสุธาสกุลแล้วแน่”


“ก็ถ้าไม่มัวแต่เล่นสนุก หมอนั่นก็คงไม่เห็นค่าอะไรของสุธาสกุลนัก”  ทาริคไหวไหล่ เขาไม่ได้รู้จักไพร์มดีนักหรอก แต่บางทีก็เคยได้ร่วมโต๊ะกันบ้าง


เป็นการคบหาสนิทสนมกันแบบลับๆ


“สุธาสกุลที่ไม่มีไพร์มคงจะวุ่นวายน่าดู”  ทาริคนั้นค่อยๆรินไวน์ใส่แก้วและส่งให้เอล เพย์ตันลูกพี่ลูกน้องของเขา ทำไมพวกเขาถึงได้เกี่ยวข้องกับคนอย่างภูวนัย สุธาสกุลนะเหรอ มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้เปิดเผยเป็นวงกว้าง มิหนำซ้ำบางทีมันก็อาจจะเป็นเรื่องที่เปิดเผยออกไปไม่ได้


“โทรหาหมอนั่นก็ไม่รับ”


“ให้เวลาน้องมันบ้าง คาดว่าคงเจอเรื่องที่ใหญ่พอตัวเลยล่ะวันนี้”  ทาริคเอ่ยปลอบไป เขาค่อนข้างมั่นใจว่าคนแบบนั้นคงไม่ล้มนานเกินไป ภูวนัยเป็นคนหนึ่งที่แข็งแกร่งมากๆ แม้ว่าร่างกายของหมอนั่นจะมีความเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ แต่มันสมองที่สุดยอดเจ้าเล่ห์นั้น เขาเดาภาพไพร์มที่ล้มหมดท่าจริงๆไม่ออกเท่าไหร่


“ถ้าตอนนั้นเราไม่ตามใจหมอนั่นจนเกินไปคงจะดี”


“ก็มันอยากทำและอีกอย่างสถานการณ์ของเพย์ตันก็ใช่ว่าจะดี”  ทาริคยังคงพยายามพูดให้เอลเย็นลงแต่เหมือนจะไม่เลย ดวงตาของเอลที่มองออกไปยังด้านนอกอันมืดมิดนั้นเต็มไปด้วยความกังวล และเมื่อนึกถึงความผิดพลาดมากมายที่เคยเกิดขึ้นเขาก็ได้แต่นึกโทษตัวเอง “ดวงตานายเปลี่ยนสีแล้ว” และความคิดที่ควบคุมไม่ได้ก็ส่งผลให้ร่างกายทำปฏิกิริยา


“อย่างน้อยเขาก็มีดวงตาสีเดียวกับพวกเรา” เอลหันกลับมามองญาติผู้พี่ ในตอนนี้ด้วยดวงตาสีทองไม่ต่างจากอีกคน


“แต่เขาไม่ใช่มนุษย์หมาป่าเต็มตัว”  ไม่บ่อยหรอกที่เอลจะเอาแต่ใจ  “เขามีลักษณะของมนุษย์มากกว่า หมอนั้นยังต้องจัดการกับเลือดของตัวเองอยู่ทุกสามวัน ถึงจะมีร่างกายแข็งแกร่งแบบพวกเราแต่เขาแปลงร่างไม่ได้”  นี่คือความจริงที่ต้องยอมรับ


พวกเราไม่เคยสืบกันจริงจังว่าญาติของพวกเราคนไหนเป็นพ่อของไพร์ม ทว่าทั้งเอลและทาริคผู้ซึ่งค่อนข้างจะหัวสมัยใหม่ต่างรับได้ที่พวกเขาจะมีน้องชายโผล่มาอีกคน แม้ว่าน้องชายคนนั้นจะไม่ได้มีลักษณะทางกายภาพเหมือนพวกเขาทุกกระเบียดนิ้วก็ตาม


“…”


“เอล…นายทำดีที่สุดแล้วจริงๆ” ในวันหนึ่งที่พวกเราไปร่วมงานเลี้ยงที่จัดโดยสุธาสกุล ที่นั่นเราได้พบกับเด็กหนุ่มมนุษย์ผู้ถูกเรียกว่าคุณไพร์ม เด็กคนนั้นเป็นหนึ่งในคนโปรดของเจ้าบ้านสุธาสกุล เขามีศักดิ์เป็นลูกคนที่เท่าไหร่ไม่รู้ ทว่าออร่าบางอย่างที่โอบล้อมกาย มันช่างต่างจากคนบ้านนั้นเหลือเกิน


คาดว่าอะไรสักอย่างในวันนั้นได้กระตุ้นสัญชาตญาณของเราสองพี่น้อง เอลและเขาเผลอจ้องมองเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยดวงตาสีทองอันเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นในตระกูลเพย์ตันเท่านั้น และก็พบว่าถูกมองกลับด้วยดวงตาแบบเดียวกันขึ้นมา มันทำให้เขาพบว่าจริงๆเรามีญาติพี่น้องคนอื่นอยู่นอกตระกูล


พี่น้องที่ ไม่ได้มีลักษณะของมนุษย์หมาป่าแต่เป็นลูกครึ่งอัลฟ่าที่แข็งแกร่งและมีสติปัญญาที่ดีเยี่ยม


แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์ของเราไม่ต้อนรับคนที่มีลักษณะแบบไพร์มให้เข้ามาแน่ๆ เด็กหลายคนต้องอยู่อย่างหลบซ่อนและทำตัวให้กลมกลืนกับเผ่าพันธุ์อื่นมากกว่าหากพวกเขามีเชื้อสายของหมาป่าแต่ไม่ได้กำเนิดโดยโอเมก้าแบบที่อัลฟ่าคนอื่นๆเป็น และนั่นเป็นเหตุผลที่เรารับเขามาอย่างเปิดเผยไม่ได้ แต่ก็ติดต่อกันเรื่อยๆหยิบยื่นน้ำใจกันบางครา


อย่างไรก็ตาม ไพร์มก็ไม่เคยคิดอยากจะเข้ามาเป็นหนึ่งในตระกูลเพย์ตัน เขาไม่ได้รู้สึกผูกพันกับเอลหรือทาริคพอที่จะสนิทใจ สิ่งใดที่รับได้เขาก็รับ หากแต่สิ่งใดที่ไม่มั่นใจว่าจะดีก็ไม่คิดจะรับไว้ แน่นอนว่าผลประโยชน์หลายอย่างหมอนั่นก็โกยจากไปอื้อ โชคดีที่พอจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หลายๆเรื่องนั้นไพร์มก็เผื่อแผ่ความช่วยเหลือมาที่เพย์ตันบ้าง


“ปล่อยวางซะเอล ไพร์มมันไม่แย่ไปกว่านี้หรอก”  เพราะเท่าที่เขารู้จักไพร์ม เจ้าบ้านั่นคือแย่แล้วและก็คงไม่อาจจะแย่ได้อีก


ถ้าแย่กว่านี้ก็เกรงว่าคงไม่มีใครจะหยุดหมอนั่นได้อีก…แล้วจริงๆ


ทว่าคนที่เป็นต้นเหตุของทุกสิ่งที่วุ่นวายในช่วงวันที่ผ่านมานี้กลับนอนหลับเต็มตื่น “ฮ้าววววววว”  แถมตื่นมาก็ยังหาวปากกว้าง มึนงงกับทุกสิ่งทันทีที่ลืมตา ที่นี่ที่ไหน ฉันมาทำไม และหิวแล้วมีอะไรกินไหม


เดี๋ยวสินี่มันที่บ้านนี่?!!


“ฮื้อออออออ”  ฉันชนกที่ร่างกายไม่พร้อมจะลุกขึ้นยืน ทว่าจิตใจก็เข้มแข็งพอที่จะส่งมอบพลังกายไปให้กระดิกตัว ฉันค่อยๆกลิ้งไปข้างๆลงจากเตียง นอนให้พอหายมึนก่อนจะคลานกระดื้บไปยังประตูห้องนอนที่ตนคุ้นเคย


นี่ฉันฝันอยู่เหรอ แค่คิดว่าอยากกลับบ้านเลยมาอยู่ที่บ้านได้เลยหรือไง เจ้าแวมไพร์โง่เง่าถามตัวเองเท่าไหร่ก็ไม่ได้คำตอบ ถึงแม้จะพาตัวเองมาถึงบันไดบ้านได้แล้ว ทว่าก็ไม่คิดจะลุกขึ้นยืนและเดินลงมาดีๆ


“เดี๋ยวพ่อจะตีให้”  วธินที่มาเห็นเจ้าตัวแสบค่อยไถก้นตัวเองลงมาตะโกนก้อง เขายังเคืองเรื่องเมื่อวานไม่หาย วันนี้จอมขี้เกียจทำงามหน้าด้วยการสวมร่างขี้เกียจไถตัวเองลงมาแบบนี้อีก นอกจากอันตรายแล้วมันไม่ได้ดูน่ารักเลย


“ป๊ะ! ช่วยน้องฉันด้วย”  พอเห็นวธินตั้งท่าจะต่อว่า เจ้าตัวเลยร้องหาตัวช่วยที่มักจะอยู่ไม่ไกล การันต์เดินเข้ามาเห็นสองพ่อลูกก่อสงครามย่อมๆก็ส่ายหน้า ทว่าก็เดินไปฉุดเจ้าลูกตัวแสบให้ลุกขึ้นยืนและช่วยพยุงให้เดินมาดีๆ


“ลูกยังอ่อนแรงนะ”  ด้วยความที่เป็นแวมไพร์เหมือนกันและเป็นมานานกว่า การันต์รู้ดีถึงอาการขี้เกียจที่ฉันแสดงออกมา ฤทธิ์ยาอะไรนั่นยังคงตกค้าง คงต้องให้ร่างกายแข็งแรงกว่านี้ก่อนคงวิ่งซนได้รอบบ้านเหมือนเดิม


“งั้นจะลงมาทำไม”  วธินที่ทราบดังนั้นเลยเข้ามาช่วยประคอง


“หิววววว”  ไม่ได้กินอะไรมาหลายเพลาแล้ว


“วันหลังส่งโทรจิตมา จะเอาขึ้นไปให้กิน”  ทำแบบนั้นได้ซะที่ไหน เจ้าตัวแสบลูบหัวตัวเองปอยๆมองค้อนคนพ่อที่ตีเบาๆเมื่อครู่นี้


หลังจากความทรงจำกลับมาเข้าสู่สมองแบบปกติ คำถามแรกคือทำไมตนถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยังนอนอ้อนผู้ชายอยู่อีกที่ ทำไมตอนนี้ถึงมาอ้อนพ่อกับพ่ออย่างนี้ได้


“เป็นอะไรไปล่ะเจ้าฉัน ขมวดคิ้วใหญ่เลย” การันต์ที่ว่าจะเอาจานชามไปล้างเห็นท่าทางลูกชายแปลกๆเลยถามออกไป โดยไม่รู้เลยว่าต่อจากนี้ตนจะไม่ได้เอาจานไปล้างอีกพักใหญ่


“ทำไมผมมาอยู่ที่นี่ได้อ่ะ”


“มีคนมาส่ง”


“คุณไพร์มนะเหรอ”


“อืม”


“แล้วคุณไพร์มบอกอะไรป๊ะกับพ่อไหม”


“บอก…บอกว่าลูกชายป๊ะมันแก่นเซี้ยวแค่ไหน น้องฉันมันอันตรายมากนะทำไมทำอะไรถึงไม่คิดถึงใจป๊ะเลย” การันต์ต่อว่า


“ก็…ไม่อยากให้ป๊ะเป็นห่วง”


“แล้วเราไปไว้ใจคนอื่นแบบนั้นได้ไง อยู่ๆเขาบอกจะเอาไปทดลองก็ไปเหรอ จะตายไหมทำไมไม่รู้”


“ก็คุณไพร์ม…” อันที่จริงเขาเคยสัญญาต่อกันว่าจะไม่ให้ฉันต้องเป็นอะไร แต่สุดท้ายเรื่องราวเมื่อคืนวานก็เกิดขึ้น แม้มันจะไม่ใช่ฝีมือเขา แต่การที่ฉันก้าวเท้าเข้าไปเกี่ยวข้องเลยเป็นอันต้องเผชิญกับมันด้วยแบบนั้น


“ร่างกายของแวมไพร์ไม่เหมือนมนุษย์ มันมีจุดที่อ่อนไหวและให้ใครแตะต้องไม่ได้เพราะถ้าเกิดพลาดไปนิดนึง”  การันต์หยุดพูดไปพักหนึ่ง  “เราอาจตายได้”


“ก็ผมไม่รู้”


“…”


“ผมเพิ่งรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์”  ลูกอธิบาย ดวงตาคลอน้ำตาอย่างรู้สึกผิด แต่อันที่จริงมันก็เป็นความผิดของวธินและการันต์ด้วยที่ปิดบังไม่ให้ฉันรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เพียงเพราะคิดว่าเราหนีมาไกลถึงเพียงนี้ก็ควรจะลืมสิ่งที่ตัวเองเคยเป็นไป เราจึงเลี้ยงลูกขึ้นมาโดยให้เขามีจิตสำนึกของการเป็นมนุษย์มากกว่าแวมไพร์


และคิดว่าหากรอบตัวของฉันมีแต่มนุษย์แล้วล่ะก็ เด็กคนนี้คงไม่เกิดปัญหาอะไร แต่เราคิดผิด โลกมันเปลี่ยนไปแล้วและต้องยอมรับว่าทุกเผ่าพันธุ์อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนเกินไป และในระหว่างนั้นอาจจะก่อให้เกิดภัยอันตรายที่เราไม่อาจจะคาดได้ว่ามันจะเกิดแบบไหน อย่างไร หรือเมื่อไหร่ 


“ไม่ต้องร้องแล้วน้องฉัน มันผ่านไปแล้ว” การันต์เดินเข้าไปหา ช่วยเกลี่ยหยดน้ำตาบนใบหน้าอย่างแผ่วเบา ในตอนที่ลูกแสดงออกมาว่ารู้แล้วว่าตัวเองเป็นแวมไพร์ การันต์ต้องเก็บสีหน้าและความรู้สึกเอาไว้ ทำเหมือนกับว่าเป็นเรื่องทั่วไป อันที่จริงเขาแค่ไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไง เพราะไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเผชิญ


ในบรรดาผู้คนทั้งหมดลูกคือคนที่รับมือยากจริงๆ เพราะเราแคร์เขากว่าใคร เราจึงไม่อยากให้เขาแตกหักไปเพราะความผิดพลาดของเรา


“ต่อไปนี้เรามาเรียนรู้กันว่าน้องฉันมีความสามารถอะไรบ้าง และต้องระวังอะไรบ้าง”


“ฉันวิ่งเร็วใช่ไหม”


“ใช่”  แวมไพร์นั้นหากฝึกอย่างถูกวิธีก็จะมีความว่องไวเหนือใคร ทว่าเขาไม่แน่ใจในเคสของฉันชนกนัก เด็กคนนี้มีเชื้อสายของมนุษย์ธรรมดาผสมอยู่ด้วย ทุกวันนี้ที่เขาใช้ชีวิตแบบมนุษย์ บางทีก็ละเลยความเคร่งครัดบางอย่างแบบแวมไพร์ที่อาศัยอยู่บนโลก แต่ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร คงจะเพราะเลือดมนุษย์ที่ไหลเวียนอยู่ในกายด้วยส่วนหนึ่ง


ทว่าตอนนี้ลูกได้ถูกปลุกสัญชาตญาณแวมไพร์ในตัวแล้ว ทั้งการดูดเลือด ความว่องไวที่เจ้าตัวรับรู้ว่ามี มันทำให้ฉันเริ่มที่จะเป็นแวมไพร์มากขึ้น และมันคงเป็นหน้าที่ของการันต์ที่จะต้องสอนให้ลูกปรับตัว


วธินที่เดินเข้ามาเห็นสองพ่อลูกอย่างการันต์และฉันกอดกันกลมนั้นก็ยิ้มออกมา เขาเคืองเจ้าตัวแสบไม่น้อยที่ก่อเรื่องเอาไว้แต่ก็ยอมรับว่าส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขาปิดกั้นลูกเกินไป และในตอนนี้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติสุขแล้วเราจึงต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไข เขาเดินเข้าไปโอบกอดคนทั้งสองที่เขารักที่สุดในโลกเอาไว้ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่เช่นกัน


ความลับของครอบครัวเราก็จะยังคงเป็นความลับอยู่ แต่ต่อไปนี้จะไม่มีความลับต่อคนข้างในครอบครัวอีกแล้ว พวกเราสามคนดื่มด่ำอยู่กับบรรยากาศแห่งความอบอุ่น วธินกับการันต์ช่วยกันพยุงเจ้าตัวแสบขึ้นไปนอนบนห้อง ห่มผ้าและจูบหน้าผากเหมือนเมื่อครั้งที่ฉันยังเป็นเด็ก


“ฝันดีนะเจ้าฉัน”  การันต์พูดก่อนจะดึงให้วธินออกจากห้องไป


ทว่าเมื่อประตูห้องนอนปิดลงคนที่ควรจะหลับตานอนฝังตัวเองลงไปในโลกแห่งความฝันก็ลืมตาขึ้น ความรักคือสิ่งที่สัมผัสได้และยังคงอยู่ไม่หายไปไหน ทว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่และไม่เข้าที่เข้าทางในความรู้สึก ฉันชนกยังคงมีคำถามมากมายและความกังวลที่ตนไม่อาจจะรู้วิธีแก้ไข แต่จะอย่างไร


มันก็วนเวียนอยู่กับเรื่องของภูวนัยที่หายไปและติดต่อไม่ได้คนนั้น…


- - - - - -


บ้านหลังนั้นคือเป้าหมายที่ใกล้แค่เอื้อม


แต่ไกลทางความรู้สึกนัก


สนธยามาถึงที่นี่ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับข้อมูลสถานที่แล้ว ทว่าสิ่งที่เขาทำนั้นคือการมองอยู่ห่างๆ ไพร์มทำตามสัญญาได้ดี เขาเอื้อเฟื้อให้เบอร์ติดต่อของแจง โอเมก้าที่ดูแลสารินเอาไว้ เราคุยกันและนำมาสู่ข้อตกลงที่ว่าสนธยาจะได้รับการรายงานเรื่องราวของสารินโดยตรง


ทำไมสนธยาไม่เข้าไป เขาคิดว่าเขายังคงต้องการเวลาอีกหน่อย จะอย่างไรตอนนี้มันก็อยู่ในระยะที่พอใจแล้วที่จะได้มองเห็น เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมย่อมเข้าไปแน่


แล้วเมื่อไหร่สารินถึงจะยอมรับกันได้เล่า จริงๆเขาก็ไม่รู้เลยจริงๆ น้องเป็นเด็กดื้อและยึดมั่นในตัวเองกว่าที่ใครๆคิดๆ และเรื่องที่หนีออกมา เจ้าตัวก็ได้วางแผนรวมถึงทำมันอย่างรอบคอบ แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าสารินไม่ได้อยากกลับไป ไม่ว่าจะกลับไปหาครอบครัวของเรา หรือแค่กลับมาหาเขาก็ตาม


“เคลียร์คนออกไปให้หมด”  เขาหันไปสั่งกับลูกน้อง หากคนอยู่กันเยอะเกินไป เกรงว่าอีกฝ่ายอาจจะพบเห็นและตกใจได้ ในบ้านหลังใหญ่ของภูวนัยที่อยู่ริมทะเลแห่งนี้  เจ้าตัวคงมีแผนจะเปิดที่พักตากอากาศหรืออะไรสักอย่าง ทว่ายังไม่ได้เริ่มเลยให้คนของเขามาพักที่นี่ก่อน อย่างไรก็ตามเขาก็ได้ที่พักในอาคารเดียวกันหากแต่คนละฝั่ง


สารินอยู่ในสัดส่วนของตัวเองเพราะเกรงใจและไม่อยากเดินไปไหนมาไหนในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย และนั่นจึงเปิดโอกาสให้เขาได้ย้ายเข้าไปอยู่ใกล้ๆโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เอะใจอะไร และที่เหลือ…


ก็ขึ้นอยู่กับโอกาส


“แขกเหรอครับ”  สารินถามออกไป เห็นว่าเมื่อช่วงเช้านั้นดูวุ่นวายไม่ใช่น้อย เพิ่งรู้ว่านอกจากตัวเองแล้วก็มีใครอีกคนมาพักที่นี่


“ค่ะ คนรู้จักของคุณเจ้าของมาพักตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่คุณสาหลับ”


“มาเที่ยวเหรอครับ”


“ค่ะ แต่คงไม่อยากให้รบกวน วันนี้ก็บอกให้ช่วยเอาอาหารไปวางไว้ที่หน้าห้องเลย”


“อ๋อ”


“คุณสารับอาหารเลยไหมคะ”


“ก็ดีครับ”  และเรื่องราวของผู้มาใหม่ก็ถูกบอกเล่าแค่นั้น เขาดูเหมือนคนที่อยากได้รับความส่วนตัว ซึ่งดีแล้วเพราะสาเองก็ต้องการความเป็นส่วนตัวเหมือนกัน


จนถึงตอนนี้ภาพร่างอนาคตของสารินก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ต่อไปจะเลี้ยงลูกยังไง ที่ไหน หาเงินอย่างไร สาก็ยังไม่มั่นใจเลย อันที่จริงตนเคยนึกภาพที่ต้องออกมาจากธัมรงค์รัชต์โดยตลอด พอต้องออกจริงๆแล้วมันก็เคว้งทำอะไรไม่ถูกอยู่เหมือนกัน แต่จะกลับไปมันก็ทำไม่ได้แล้ว


สาไม่อาจจะโกหกใครได้จริงๆว่าพ่อของลูกเป็นใคร ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถบอกกับทุกคนว่าได้เผลอปล่อยตัวปล่อยใจทรยศต่อความเชื่อมั่นของพวกเขาลงได้ ทว่าสิ่งที่ตนกลัวที่สุดอาจจะไม่ใช่ทั้งคุณพ่อหรือคุณแม่ แต่เป็นพี่สนเองที่จะมองมา สาไม่อาจจะมองหน้าหรือบอกเขาได้จริงๆเพราะกลัวเกินไปถึงสิ่งที่เขาจะเอื้อนเอ่ย


 สากลัวว่าเขาจะให้ตนไปทำแท้ง


“อึก” 


เจ้าตัวแสบ…


“ไม่เครียดแล้วครับลูก”  ลูกรู้ว่าสาอ่อนแอแค่ไหนและรู้ที่จะเบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้คิดต่อไปถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นมา  “เป็นห่วงแม่เหรอครับ”  สารู้ว่าเขาจะยังไม่ตอบตอนนี้ แต่เจ้าตัวเล็กที่แสนดี เขาน่ารักขนาดนี้สาคงไม่สามารถปล่อยไปได้


โอเมก้าคนอื่นต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งขนาดไหนกันที่จะสามารถปล่อยลูกไปเป็นลูกคนอื่นได้ คาดว่าพวกเขาคงบอบช้ำและกลายเป็นคนไร้หัวใจไปเลยหลังจากนั้น แต่สารินมีทางเลือก และตนไม่เลือกทางนั้นแน่ๆ หากการกลับไปที่ธัมรงค์รัชต์คือความเสี่ยงที่จะสูญเสียเด็กคนนี้ไป งั้นอย่าได้หวังเลยว่าชาตินี้สารินจะยอมกลับไปเยือนที่นั่นอีก


แม้จะได้ชื่อว่าอกตัญญู แต่สา…จะไม่ยอมเสีย ‘เจ้าแสนดี’ นี่ไปเด็ดขาด!




Talk:


ตอนนี้อาจจะตัดไปตัดมาหน่อยนะคะ  หวังว่าจะไม่งงกัน แต่ถ้างงหรือยังไงก็บอกกันได้ค่ะ หลังจากตอนนี้ก็อาจจะตัดไปคู่สนสาหน่อย และก็อีกไม่กี่ตอนก็คงจะจบแล้วล่ะค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ  #คู่กินคู่กัด

ออฟไลน์ angelninae

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
สาคิดมาก พี่สนต้องรีบเจ้าไปง้อนะคะ  :mew2:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
สานี่นะ คิดเองเออเองอยู่นั่นแหละ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
บางทีอะไรๆมันอาจจะดีกว่าที่คิดไว้ก็ได้นะน้องสา

ออฟไลน์ skylover☁

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-2
- - - - - -
คนอะไรตั้งชื่อลูกตัวเองว่า ‘แสนดี’
(=_=)
- - - - - -

แค่ได้รับรู้ว่าสารินมีความสุขและได้รับความสะดวกสบาย เขาก็สบายใจขึ้นมาระดับหนึ่ง


แต่ก็ไม่ได้ดีนักเพราะมันไม่เท่ากับการได้ไปยืนมองในระดับที่ใกล้ๆเลย


“วันนี้มีมังคุดด้วยค่ะ” 


“จริงเหรอครับ”  คนที่ชอบมังคุดมากนั้นถึงกับตาโตขึ้นมา เคยขอให้คนไปซื้อให้แล้วเพราะอยากกินมากๆกับกลายเป็นว่ามันเป็นผลไม้หายากของแถวนี้


“เผอิญคนของแขกของคุณไพร์มออกไปซื้อมาเลยแบ่งมาให้ โชคดีจังเลยนะคะ”  แขกของคุณไพร์มเหรอ จะว่าไปมาอยู่ตั้งสามวันแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ทักทายกันแม้แต่น้อย หรือจริงๆเขาอาจจะไม่สะดวกที่จะทักทาย สารินก็ไม่รู้


“ถ้ายังไงเจอคุณเขา สาฝากขอบคุณไปด้วยนะครับ”  สารินเพียงยิ้มบางๆ ค่อยๆรับจานมังคุดที่ถูกผ่าครึ่งมาให้แล้ว เจ้าตัวเล็กในท้องก็เหมือนจะชอบมังคุดเหมือนกัน ไม่มีอาการงอแงใดๆให้อยากขย้อนออกมาเลย อันที่จริงเขาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายแทบไม่เคยทำให้แพ้ท้องเลยด้วยซ้ำ เป็นเด็กดีขนาดนี้จะให้ทิ้งเขาไปได้ยังไง


พอกินแล้วก็นอน คนท้องก็จะง่วงบ่อยหน่อย ทว่าวันนี้อากาศดี คุณแม่ที่อ่านหนังสืออยู่บนเปลนอนได้ผล็อยหลับไปทั้งๆที่หนังสือยังคาอก และโดยไม่รู้ตัว ชายคนหนึ่งได้เดินเข้ามาหา เขาหยิบหนังสือที่ยังอ่านค้างนั้นขึ้นมาพร้อมคั่นหน้าและปิดมัน ก่อนจะคลี่ผ้าห่มผืนบางคลุมตัวให้ด้วยกลัวว่าลมเย็นๆจะทำให้ไม่สบาย


“แก้มยุ้ยกว่าเดิมอีกนะ”  เขาสังเกตน้องอย่างใกล้ชิด สารินอ้วนขึ้นแต่ไม่นับว่าอ้วนมาก ท้องนี้ก็ขยายบ่งบอกว่ามันก็หลายเดือนแล้วที่เจ้าลูกหมาป่าที่อยู่ข้างในได้เติบโตขึ้น เขายิ้มที่ทุกอย่างมันเป็นไปด้วยดี


สนธยายังคงแอบมองอยู่ห่างๆและรับฟังเรื่องราวการใช้ชีวิตประจำวันจากคนอื่น เขายังไม่ได้บอกคนที่บ้านว่าพบน้องแล้ว เพราะกลัวว่าคนอื่นจะตามกันมาจนทำให้สาตกใจเตลิดหนีหรือต่อต้านกันอย่างออกนอกหน้า มันยากที่จะได้รับการยอมรับ เพราะทิฐิทางเผ่าพันธุ์ของเขา และการยึดมั่นในหลักการของตัวสาเองใช่ว่ามันจะหักล้างกันง่ายๆ


“ถ้ามีอะไรที่อยากได้ บอกกับผู้ช่วยของผมได้เลย”  เขากำชับคนดูแลอย่างนั้น แม้จะทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้วแต่เขาก็ยังอยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับคนท้อง ขอแค่ทั้งลูกและแม่มีความสุขกายสบายใจ เขาในฐานะพ่อก็ไม่มีอะไรจะต้องห่วงหาอีก


ถ้าถามเจ้าจอมดื้อ ต้องไม่ยอมรับว่าเขาเป็นพ่อของลูกในท้องเป็นแน่ สารินที่ชอบคิดไปเองและทำอะไรคนเดียวคงคิดว่าอย่างนี้มันดีที่สุด ซึ่งมันดีที่ไหน หอบลูกหนีไปและตั้งใจจะเลี้ยงดูด้วยตัวเองคนเดียวอะไร ในเมื่อเขาเต็มใจจะรับผิดชอบขนาดนี้ สนธยาจึงมองว่ามันไร้สาระสิ้นดี


แต่ขืนพูดไปอีกฝ่ายก็คงจะโกรธเคืองกัน แล้วเมื่อไหร่เขาถึงจะสามารถพูดสิ่งที่หวังออกไปได้ แค่พูดว่าให้กลับไปอยู่ด้วยกันมันไม่ควรจะยากขนาดนี้ แต่มันต้องยากขนาดนี้เพราะแค่เผชิญหน้า


เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำ…ได้เลย


สาเผลอหลับไปไม่นานและเมื่อลุกขึ้นนั่ง ผ้าที่ห่มคลุมอกก็หล่นตกลงมา คงเป็นพี่แจงที่เอามาคลุมให้ สาก็ไม่น่ามานอนตรงนี้เลยจริงๆ ถึงอยากจะนอนต่อแต่คงไม่มานอนตรงนี้แล้วเพราะอาจจะป่วยได้ ซึ่งมันไม่ดีกับเจ้าตัวเล็กเอาเสียเลย


“คุณสาจะขึ้นห้องแล้วเหรอคะ”


“ครับ สายังง่วงอยู่เลย”


“ถ้างั้นขึ้นห้องเถอะค่ะ พักผ่อนเยอะๆ”  เธอพูดเช่นนั้นและเข้ามาประคอง และในจังหวะนั้นสาก็เกือบจะทำผ้าตกลงพื้น  “อุ้ย! ขอโทษค่ะ”


“ผมต่างหากต้องขอโทษที่ทำผ้าตก”


“จะมาขอโทษทำไมล่ะคะ ผ้าก็ของคุณสาเอง”


“…” 


“ขึ้นห้องกันดีกว่า เดี๋ยวพี่ช่วยถือนะคะ”  สารินคิดว่าตัวเองง่วงและเบลอมากจริงๆวันนี้


และคงเพราะง่วงและเบลอมากเลยกลายเป็นว่าติดผ้าผืนนั้นไปโดยปริยาย แบบที่ไม่รู้ตัว ก็ลุกเดินงัวเงียไปเอาผ้าห่มพื้นบางนั่นมากอดห่มไว้ น่าแปลก สารินไม่เคยอยากกอดหมอนกอดผ้าห่มอย่างนี้มาก่อน อันที่จริงตนเองไม่เคยยึดติดกับอะไรแบบนี้เลยด้วยซ้ำ


แต่ทุกครั้งที่สูดดมกลิ่นหอมที่ติดบนผ้า สาก็รู้สึกสบายใจและเข้าสู่นิทราที่หวานเกินใคร จนเลิกคิดไปถึงนิสัยที่เปลี่ยนไปของตนแบบนั้น


“ทำรัง?”


“ค่ะ คุณสางอแงใหญ่พอบอกจะเอาไปซักให้ พี่ก็เพิ่งมารู้ว่าผ้าผืนนั้นเป็นของคุณสน แต่ว่าคุณสาเธอยังไม่รู้และเธอก็ติดผ้านั้นมาก พอพี่กำลังจะเอาไปซักเธอก็เดินร้องไห้มาเลยค่ะ”


“ร้องไห้เลยเหรอครับ”


“ตอนแรกก็คิดว่าอาจจะเป็นอาการคนท้อง แต่ทุกครั้งพี่จะเห็นเธอกอดอยู่เสมอเลยคิดได้ว่าน้องเขาอาจจะเอาไว้ทำรังหรือเปล่า”


“ผม…ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย”


“จริงๆมันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดจนเรียกว่าอาจจะไม่มีไปแล้วจริงๆค่ะ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อโอเมก้ารู้สึกปลอดภัยถ้าได้อยู่ใกล้กลิ่นของอัลฟ่าที่ตนรู้สึกเชื่อใจ”  ที่มันไม่ค่อยถูกพูดถึงก็เพราะในทางปฏิบัติส่วนใหญ่ โอเมก้ากับอัลฟ่านั้นมีความสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจน้อยมาก และส่วนใหญ่


มักเกิดในหมู่คู่รักเสียมากกว่า


“แล้วผมควรทำยังไง”  สนธยาไม่รู้ว่าตนควรจะลำบากใจหรืออย่างไรดี


“คุณสนไม่ต้องทำอะไรค่ะ ดูเหมือนว่าน้องสาเขาก็พอใจกับแค่ผ้าห่มผืนเดียวด้วย”


“….”


“พี่เองก็เพิ่งเคยเห็นโอเมก้าติดรังเหมือนกันเลยอาจจะบอกอะไรไม่ได้ แต่คุณสนอาจจะลองเอาพวกผ้าห่มหรือผ้าปูที่นอนมาให้พี่ไปเปลี่ยนให้น้องสา เขาอาจจะสบายใจกว่าถ้าได้หลับในสภาวะที่มีกลิ่นของคุณสนรอบตัวแบบนั้น” การทำรังอะไรนี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ


แต่อย่างไรก็ไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ไม่ได้ เขาเลยยินดีที่จะให้อีกฝ่ายมาเอาพวกชุดเครื่องนอนที่ใช้อยู่เป็นประจำและให้คนขนมาให้จากบ้านไปเปลี่ยนให้อีกคน อย่างไรก็ตาม มันเหลือเชื่อจริงๆที่โอเมก้าคนหนึ่งจะรู้สึกกับกลิ่นของอัลฟ่าขนาดนี้ เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นมาก่อน แต่พอได้ยินว่าผ้าห่มของเขาทำให้อีกฝ่ายถึงกับร้องไห้ตอนที่มีคนมาเอาไป ก็อยากจะวิ่งไปฉุดรั้งมากอดปลอบใจจริงๆ


“อืม เคยเห็นครั้งหนึ่ง”


“เรื่องทำรังนะเหรอครับ”


“ว่าแต่ทำไมถึงถาม”  นั่นสิทำไมอยู่ๆเขาถึงเอาเรื่องนี้ไปถามกับพ่อของตัวเอง ว่ารู้จักเรื่องการ ‘ทำรัง’ หรือเปล่า


“เผอิญมีเพื่อนมาถามอีกที”


“มันก็ไม่ได้อะไรหรอก โอเมก้าที่เขาท้องหรือเครียดอยู่น่ะ เขาจะสบายใจเวลามีกลิ่นของอัลฟ่าที่เขาผูกพันอยู่รอบๆตัว แต่บางทีมันก็วุ่นวาย บอกเพื่อนแกให้ระวังตู้เสื้อผ้าให้ดีแล้วกัน”  วรวุฒิก็บ่นไปเรื่อย อันที่จริงการที่อัลฟ่ากับโอเมก้าจะรักกันมันก็คงมีอยู่บ้าง แค่ไม่เปิดเผยมากเพราะมันมีคนมากมายเชื่อว่าระบบจะไม่เสถียรเพราะการเปลี่ยนแปลงนี้


และพวกอัลฟ่าไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ เลยพยายามควบคุมหัวใจไม่ให้ตกหลุมรักใครโดยง่ายแบบนั้น


“ตู้เสื้อผ้า?”


“อื้ม”  สมัยนั้นเสื้อผ้าของเขาก็หายไปหมดตู้ พวกโอเมก้าจอมวุ่นวายมาขโมยมันไปหมด พอเสนอตัวให้กอดก็ไม่ยอมกอดอยู่ดี  “แม่ที่คลอดลูกออกมาก็เป็น เสื้อผ้าของพ่อหมดตู้ต้องซื้อใหม่ ทุกวันนี้ยังได้คืนมาไม่หมด และเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้ตัวด้วยนะว่าทำอะไรแบบนั้นลงไป” และนั่นคือสาเหตุที่วรวุฒิรู้จักการทำรังดีกว่าใคร


ครั้งหนึ่งแม่แท้ๆของสนธยาก็ทำเช่นนั้นกับข้าวของของเขาเช่นกัน


สรุปคือเรื่องทำรังนั้นมีอยู่จริงและมีอยู่ใกล้ตัวมากๆด้วย แต่กระนั้นสารินก็ไม่ได้รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นสนธยาจึงคิดว่าตนคงไม่ต้องหาซื้อเสื้อผ้าของใช้อะไรของตนใหม่มาทดแทนขนาดนั้น แต่แล้ววันหนึ่งในขณะที่กำลังอ่านอีเมล์ของคู่ค้าที่ส่งมาในห้องพักส่วนตัว โอเมก้าผู้ดูแลสารินก็เดินเข้ามาหาหน้าซีด


“เสื้อผ้าของผมเหรอครับ”  เธอพยักหน้า


“ค่ะ…พี่ใส่ตะกร้าไว้กำลังจะเอาเข้าเครื่องซักแต่เผอิญต้องออกไปรับจดหมายกะทันหันเลยทำให้ไม่ได้ยืนเฝ้าไว้”  เธอค่อยๆอธิบาย  “กลับมาอีกทีก็หายเหลือแต่ตะกร้า”  สนธยากุมขมับ เรื่องที่เขาไม่คิดว่าจะเกิดกลับเกิดขึ้นมาในชีวิตจริงๆ


ทว่าแทนที่จะปวดหัวเพราะไม่มีอะไรให้ใส่เปลี่ยน เขากลับหัวเราะออกมา นึกเอ็นดูเจ้าโอเมก้าที่เวลาอยู่ให้กอดไม่กอด แต่แอบย่องเบามาลักขโมยของไปนอนกอดเองสบายใจเฉย


“วันหลังถ่ายรูปรังของเด็กคนนั้นมาให้ดูหน่อยนะครับ”  น่าเสียดายจริงๆที่ไม่ได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง


- - - - - -


“แค่ไม่สบายจริงๆเหรอ”  สารินที่ฟังคำแก้ตัวของฉันนั้นไม่ค่อยจะเชื่อใจ พอเป็นเรื่องสำคัญเด็กนี่ไม่ค่อยจะบอกกันสักเท่าไหร่


หลายวันแล้วที่ฉันไม่ได้โทรมาก่อกวนกันแถมโทรไปก็ไม่รับ แต่วันนี้เจ้าตัวดีได้ฤกษ์โทรมาหากันสักที และเหมือนเดิม ทำเสียงสดใสกลบเกลื่อนความผิดที่สารินยังไม่ได้ถามเลยว่าไปทำอะไรมา


“ไม่สบาย หนักมากๆๆ แค่กๆ เห็นไหมยังไออยู่เลย”  สารินที่รับฟังนั้นหรี่ตาไม่เชื่อถือ ทว่ายังไม่ทันซัก ฉันชนกตัวดีก็ชวนคุยเรื่องลูก และคุณแม่ที่เห่อลูกกว่าสิ่งใดจึงยอมปล่อยให้ฉันชนกหลอกชวนคุยเรื่องอื่นไปและไม่ได้กลับไปถามเรื่องเดิมอีกเลย


จะว่าไปก็ไม่ใช่แค่ฉันที่แปลกๆ แม้แต่สาเองก็แปลก เดี๋ยวนี้ตนนอนหลับสบายมากขึ้น แต่ก็ค้นพบว่าของใช้ในห้องมันเปลี่ยนไป มิหนำซ้ำยังชอบไปเอาเสื้อผ้าใครมากองไว้ มันเป็นนิสัยแปลกๆตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้ยินว่ามีคนแพ้ท้องแบบนี้


แต่เอาอะไรกับคนท้อง สาเลือกที่จะตัดความคิดฟุ้งซ่านไป กับเสื้อผ้าของใครไม่รู้พวกนั้นแม้ตนจะยอมตัดใจเอาไปคืนพี่สาวผู้ดูแลแล้ว แต่เธอกลับยิ้มออกมาและบอกว่าพวกนี้คือเสื้อผ้าของเจ้าของบ้านที่เขาไม่ใส่ สาสามารถเอาไปใช้ต่อได้ แต่เอาจริงๆไซซ์ใหญ่แบบนั้นใครมันจะใส่ ทว่าก็ไม่พูดต่อเพราะกลัวเธอจะรู้ว่าตนเอาไปกอดนอน


“ได้ยินว่าคุณแพรวรรณไม่ค่อยสบายอ่ะ”


“…”


“เอ่อเราลืมไปว่าไม่ควรพูด”


“ไม่หรอกฉัน พูดได้”


“ขอโทษนะ แต่เราบอกเขาไปว่าเราไม่รู้ว่าสาอยู่ไหน” 


“ฉันทำถูกแล้ว”  สาพยายามสะกดกั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา รู้สึกผิดทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่าตนคือต้นเหตุของอาการป่วยนั่นหรือเปล่า


เราสองคนจบบทสนทนาไว้เท่านั้น และสารินก็ไม่อาจจะห้ามน้ำตาของตนเองได้อีก เรี่ยวแรงที่ควรมีนั้นเหมือนจะหายไป คนตัวเล็กกอดผ้าห่มผืนบางที่ตนถือลงมาด้วยหมายจะหวังพึ่งมันสร้างความสบายใจ และในที่สุดเด็กบ้าก็หาทางแก้ปัญหาด้วยการหลุดโทรไปหาอีกฝ่ายที่ตนคิดถึงอย่างเผลอไผล


“สวัสดีค่ะ”


“…”


“สวัสดีค่ะ?”


“…”


“…”


“น้องสาเหรอลูก”  น้ำเสียงของปลายสายสั่นไหว และมันยิ่งทำให้สารินควบคุมตัวเองได้ยากขึ้นไปอีก


“คุณแม่…”


“น้องสาๆ น้องสาจริงๆใช่ไหมคะ”


“ผม…ขอโทษ” และสารินก็เลือกที่จะตัดสายไป


มือถือนั้นหลุดล่วงหล่นจากมือ พร้อมกับร่างที่ค่อยๆทรุดลงนั่งเกาะบันไดเป็นที่ยึดเหนี่ยว สารินไม่เคยคิดจะติดต่อไปทางนั้นก่อนด้วยหมายจะให้เวลาช่วยทำให้ทุกฝ่ายได้เยียวยา เธอพยายามโทรกลับแต่สาก็คว้ามือถือมาปิดเครื่องไปเลย ต่อไปนี้ฉันโทรมาคงไม่ได้รับแน่ๆแต่ช่างก่อน เดี๋ยวเปลี่ยนเบอร์แล้วค่อยหาโอกาสโทรไปบอกเบอร์ใหม่อีกครั้ง


มีแค่คำขอโทษที่หลุดออกไปทั้งๆที่สิ่งที่อยากรู้คืออาการป่วยของปลายสาย สารินขี้ขลาดเกินไปหรือเปล่าที่ไม่กล้าเผชิญหน้า แต่ทุกอย่างที่ตนทำก็เพื่อเจ้าแสนดีทั้งนั้น แม้จะคิดภาพคุณพ่อคุณแม่ด่าทอหรือสั่งกันให้ไปเอาเด็กออกไม่ได้ แต่ภาพที่พวกเขาแสดงสีหน้าผิดหวัง มันหลอกหลอนกันในความฝันเกือบจะทุกคืน


“ฮึก”  สารินนั้นปล่อยน้ำตาตัวเองให้ไหล จะอย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีคนอยู่บ้าน อีกสักประเดี๋ยวเมื่อร่างกายพร้อมกว่านี้ เจ้าแสนดีก็คงจะช่วยพาแม่ของเขาขึ้นไปร้องไห้งอแงต่อบนห้องนอนได้ แต่ตอนนี้ไม่ไหวจริงๆ


หัวใจของสาบีบรัดจนพาลทำให้แข้งขาไม่มีแรงตามไปด้วย


ทว่าใบหน้าที่ก้มต่ำของตนกลับตรวจพบสลิปเปอร์ของใครสักคนที่เดินเข้ามา จากที่คิดว่าในบ้านนั้นมีเพียงตนแค่คนเดียว สากลับลืมไปว่ายังมีแขกของเจ้าของบ้านอีกคน มือเล็กรีบปาดน้ำตาด้วยหมายจะเงยหน้าขึ้นมาบอกว่าไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ทว่าเมื่อสบตาคมคู่นั้น น้ำตามากมายก็ไหลออกมาได้อีก


“ไม่ต้องร้องแล้ว”  เขาย่อตัวลงนั่งตรงหน้า ร่างกายใหญ่โตของสนธยานั้นไม่ค่อยจะถนัดเท่าไหร่แต่เขาไม่อยากให้น้องต้องแหงนหน้ามองร้องไห้แบบนี้


“พี่…พี่สน” เขาเกลี่ยน้ำตาให้เจ้าของพวงแก้มใส อยากจะหอมอยากจะจูบใจแทบขาดแต่ต้องอดทนไว้ มันยังเร็วไปเกินกว่าจะสร้างความไว้ใจให้เกิดขึ้นมาได้


“ลุกขึ้นก่อน”  เขาค้นพบว่าน้องไม่มีแรง และคนท้องจำต้องปกป้องลูกของตนให้ดีที่สุด หากเขาจับอุ้มแล้วอีกฝ่ายจะไม่ผวาเขาก็คงทำ แต่มันต้องเกิดขึ้นเป็นแน่จึงได้แต่พยุงให้ลุกเดินก่อนจะช่วยประคองให้ไปนั่งบนโซฟา


และสารินก็ไหลเป็นของเหลวลงไปนอนกอดผ้าห่มผืนบางที่เคยเป็นของเขา


“…”


“แม่โทรบอกพี่ว่าสาโทรไปหา” 


“…”


“แม่ดีใจมากรู้ไหม” ได้รู้ว่าคุณแพรวรรณไม่ได้โกรธเคือง สาก็ดีใจ  “พี่เองก็ดีใจมากๆเหมือนกัน”  คำหลังนั้นพูดด้วยเสียงเบา แต่ก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ที่กำลังส่งผลต่อหัวใจ ใบหน้าของสารินนั้นถูกผ้าห่มปิดไว้ ใครเล่าจะเข้าใจว่าเจ้าตัวเล็กนั้นคิดอะไรอยู่


เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมาทำไมกัน?


ในวันนี้สารินมีอะไรที่ยังมอบให้กับเขาได้อีกเหรอ ตนคิดว่าสภาวะที่ถูกผูกติดอยู่กับลูกของเขาแบบนี้ สารินไม่อาจจะเป็นประโยชน์อะไรได้มาก เจ้าของใบหน้าน่ารักนั้นกัดริมฝีปาก อยากจะพูดอยากจะถาม แต่ไม่อาจจะประดิษฐ์คำ


“ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายครับ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้สาช่วยหรือเปล่า”  สารินที่คิดอะไรไม่ออกนั้นแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง จากสภาพที่ดูไม่ได้เมื่อครู่ เจ้าโอเมก้าตัวดีค่อยๆลุกขึ้นนั่งและจ้องมองกันด้วยแววตาที่ว่างเปล่าเสแสร้ง


“ไม่มีเป็นพิเศษ”


“…”


“…”


“งั้นสาขอตัวขึ้นไปพักผ่อนก่อนครับ”  พอมีแรงก็กำผ้าห่มเขาแน่นและจะลุกขึ้นยืน ทว่าเป็นสนธยาเองที่รั้งเจ้าตัวไม่ให้ลุกขึ้น และจอมดื้อก็ไม่ยอม ยื้อกันไปมาจนเหมือนลืมว่าเจ้าลูกหมาป่าอาจจะเวียนหัวอยู่ในท้อง


“อย่าดิ้น!”


“ปล่อย!”  กับแค่ขอให้นั่งอยู่ที่นี่ก่อนมันจะอะไรนักหนา เขากอดคุณแม่ตัวนิ่มเอาไว้ ทว่าเป็นอีกฝ่ายที่ไม่ยินดีกับสัมผัสนี้ แล้วจะให้เขาทำอย่างไร ปล่อยไปทั้งๆที่ทุ่มเทตามหาเช่นนี้เหรอ ไม่มีทางหรอกนะ


“สา…พี่ขอร้อง” ในที่สุดคำนี้ก็หลุดออกมา สาที่ดิ้นหนักก็ค่อยๆลดแรงของตนลง จนกระทั่งมันได้จังหวะที่เขาจะหยุดยั้งสองขาที่ชอบหนีกันเอาไว้


สนธยาลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น


“อย่าหนีไปไหน…ได้โปรด” เขาคือคนเย็นชา เป็นคนใจร้าย เป็นคนที่มาพรากเอาหัวใจคนอื่นไป ก่อนจะมองกันด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลน สารินยังจดจำแววตาของเขาวันนั้นที่มาเยี่ยมได้ มันแย่ยิ่งกว่าตอนที่เรื่องลึกซึ้งแบบนั้นยังไม่เคยเกิดขึ้นเสียอีก เขาเป็นพ่อของเจ้าแสนดีในท้องของสานะ แต่เขามันแสนแย่ แสนเลวร้ายเหลือเกิน


“พี่สนปล่อยสา”  อ้อมแขนของเขาโอบกอดสาเอาไว้ ใบหน้าของเขาซุกกับไหล่บอบบางของคนไร้ทางสู้แต่ยังเอาแต่ทุบตีเขาไม่หยุดยั้ง สาร้องไห้ออกมา และเมื่อแรงทั้งหมดที่มีถูกใช้ไปกับการทำร้ายร่างกายเขาที่ไม่แม้แต่จะพลิ้วไหว สารินก็ค่อยๆทิ้งแขนลงข้างลำตัวอย่างคนหมดแรง มีเพียงแค่อ้อมกอดของสนธยา….ที่แน่นขึ้นหมายจะฝังตัวตนเอาไว้ ไม่เปิดโอกาสให้สารินได้เริ่มต้นใหม่จริงๆ 


นานพอที่น้องจะสงบลง เขากอดสาเอาไว้เพราะมันคือความต้องการทั้งหมดตลอดหลายเดือนที่ไม่ได้เจอหน้า เขามันคือคนขี้ขลาดที่ปล่อยให้สาทำนั่นทำนี่เพื่อครอบครัวของเขาแต่ไม่อาจจะทำอะไรตอนแทนได้จริงๆจังๆ สนธยาทั้งเกลียดตัวเองและครอบครัวที่เหมือนจะยืนหลบหลังเด็กคนนี้ เขาไม่นึกภูมิใจสักครั้งทั้งๆที่มันควรจะเป็น


ในตอนนั้นหากจัดการปัญหาความไม่มั่นคงของธุรกิจที่บ้านได้เร็วกว่านี้ เขาคงไม่ปล่อยให้ผู้ชายคนไหนแอบอ้างการเป็นพ่อของลูกในท้องของน้องไปได้ แต่ทั้งนี้ก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว จึงได้แต่กระซิบบอกคำขอโทษต่อไปโดยตัวเองก็ไม่เคยนึกสนใจหรือแอบอ้างความพังทลายที่ได้เผชิญมาหลายเดือนในขณะที่สาอยู่ที่เพย์ตันเหมือนกัน


อ้อมแขนแกร่งนั้นโอบอุ้มแม่ของลูกของเขาเอาไว้ ก่อนจะพาขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องนอนที่เต็มไปด้วยข้าวของของเขา สนธยาค่อยๆวางน้องบนเตียงที่มีแต่เสื้อผ้า และเมื่อได้อยู่ในรังของตน เจ้าโอเมก้าตัวน้อยก็ค่อยๆซุกตัวลงสูดกลิ่นที่ก่อให้เกิดความสบายใจพวกนั้น เหมือนที่พ่อเขาบอก เจ้าของกลิ่นอยู่ตรงนี้ไม่รู้จักกอด


อะไรที่เป็นแรงผลักดันให้เขาปรากฏตัวในตอนนั้นกัน? เพราะแม่โทรมาและเขานึกขึ้นได้ว่าผู้ดูแลของสาไม่อยู่ที่นี่ การที่สารินที่ใจแข็งมานานโทรไปหาแม่ของเขาอย่างนั้น มันคิดเป็นอื่นไม่ได้ เจ้าตัวกำลังเผชิญปัญหาภาวะทางอารมณ์อยู่เป็นแน่ สนธยาที่ไม่ได้คิดคำพูดหรือเตรียมตัวเองไว้ก่อนได้ตัดสินใจก้าวออกไปหาหลังจากหลบอยู่ในมุมมืดมานาน


และภาพที่เห็นตรงบันไดก็ทำให้เขาแทบอยากจะอ้อนวอนขอทุกอย่าง


สารินนั่งลงที่บันไดนิ่งๆ น่าหวั่นใจว่าเจออุบัติเหตุอะไรหรือเปล่า ยิ่งเป็นคนท้องก็ยิ่งต้องห่วง ทว่าเจ้าตัวที่นั่งนิ่งนั้นปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมามากมาย เขาจึงวางใจแต่กระนั้นก็ไม่หันหลังให้ เขาเลือกเดินเข้าไปหา หากไม่พร้อมก็จะไม่มีวันพร้อมตลอดไป สักวันหนึ่งเราต้องเผชิญหน้ากันอยู่แล้ว


เขาจึงเลือกที่จะให้เราได้เจอกันตอนนี้เลย!


“…”


“สาอยากอยู่คนเดียว”


“อยู่คนเดียวนานเกินไปแล้วหรือเปล่า”  เขาถาม มองคนที่บอกความต้องการของตัวเองแบบไม่แคร์ใครซุกใบหน้าลงกับหมอนที่เต็มไปด้วยกลิ่นของเขา  “ใจคอตั้งใจจะอุ้มลูกหนีพี่ตลอดชีวิตเลยใช่ไหม”


“ไม่ใช่ลูกพี่สน”  เจ้าตัวดื้อตอบกลับมาด้วยเสียงบู้บี้


“ถ้าไม่ใช่พี่แล้วใครมันจะไปเสกเด็กเข้าท้องเรา สา…เลิกล้อเล่นสักที”


“สาไม่ได้ล้อ”  ในตอนนี้คนที่เอาแต่หลบตากลับเงยหน้าขึ้นมาสบตา  “ลูกของสาไม่ใช่ลูกพี่สน”


“เราท้องเองได้คนเดียวเหรอ”


“สาก็ท้องเองมาหลายเดือนแล้ว”


“พี่หมายถึงพ่อเด็กนะสา”


“แล้วทำไมสาจะเป็นทั้งพ่อและแม่ของลูกตัวเองไม่ได้”


“…”


“โอเมก้าหลายคนก็เป็นแบบนี้ พี่สนจะมาดูถูกว่าสาทำไม่ได้อย่างนั้นเหรอ”  ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำ


“พี่ไม่ได้จะดูถูกอะไรเลย”  เขาตอบเสียงอ่อน  “แต่ไม่เห็นด้วยสักนิดที่เราจะไปอยู่คนเดียว”


“ตลอดชีวิตเราไม่เคยสนิทสนมกัน ทำไมวันนี้พี่สนต้องมาแคร์สาด้วย”


“แล้วพี่แคร์ในฐานะพ่อของลูกไม่ได้หรือไง”


“ลูก?”  เขาแคร์เด็กในท้องของสาสินะ  “ไม่ใช่ลูกพี่สน ต้องให้บอกกี่ครั้ง”


“ถ้าไม่ใช่ลูกพี่ แล้วใครกันมันเป็นพ่อเด็ก”


“ใครก็ไม่รู้ สาไปมั่วกับใครมา สาจำไม่ได้”


“ทำไมเราถึงเป็นคนแบบนี้”  เขาข่มอารมณ์คุกรุ่น ไม่เชื่อเลยสักนิดว่าสาจะทำมันลง “ทำไมถึงดื้อแบบนี้”


“เลิกยุ่งกับสาซะสิ”


“สาก็รู้ว่าพี่ทำไม่ได้”


“สาไม่รู้!”  สาเองก็ใช่ว่าจะควบคุมไว้  “กับแค่ความผิดพลาดไม่กี่ครั้ง พี่สนอย่ามาเหมารวมหรือบังคับว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของพี่สนนะ!”


แต่สิ่งที่สาไม่เคยรู้


“แล้วใครว่ามันเป็นความผิดพลาด”


“…”


“ในเมื่อเด็กคนนี้คือความตั้งใจที่พี่จะมีกับเรา”



Talk
เฉลี่ยแล้วพี่สนซ่อนตัวแค่ตอนเดียว…นะคะ
#คู่กินคู่กัด

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด