ep 6
จากเหตุการณ์ที่เกือบเกินเลยเมื่อคืน พอตื่นเช้ามาผมเปิดอกคุยกับเพื่อน ทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องแบบเมื่อคืนขึ้นอีก มันไม่ควรจะมาค้างกับผมจนกว่าจะแน่ใจว่าร่างกายของเราสองคนจะไม่สปาร์กกันอีก
“มึงยังรักปิ่นอยู่ใช่ไหม” ผมถาม มันพยักหน้า “เราจะยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม แต่เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่ทำผิดซ้ำซากกันอีก ระหว่างนี้มึงห้ามมานอนค้างกับกู”
มันนิ่งไป
ก่อนหน้านี้มันเคยอยากมาค้างเมื่อไหร่ก็มา อยากทำอะไรก็ทำ แต่ตั้งแต่เราพังกำแพงระหว่างเพื่อนลง เราก็ก้าวเข้าหากันในฐานะเพื่อนสนิทไม่ได้อีก
ผมรักมัน
…แต่รักอย่างเพื่อนนะครับ
ส่วนความรู้สึกแฝงอื่นๆ มันไม่ควรจะเกิดขึ้น ทันทีที่ความรู้สึกเหล่านั้นผุดขึ้นมา ผมจะรีบใช้ค้อนที่มองไม่เห็นทุบหัวมันลงไปทันที
มันพยักหน้ารับ
“สักเดือนก็ได้ แต่มึงยังมากินข้าวได้เหมือนเดิม เพียงแต่อย่าค้างเท่านั้น โอเคหรือเปล่า” อย่างน้อยก็ควบคุมง่ายหน่อย
“ก็ได้ เพราะกูไม่อยากทำผิดกับปิ่นเหมือนกัน แต่กูจะไม่มาหามึงที่ห้องอีก เจอกันที่คณะก็พอ”
ผมใจหายวาบ ผมกับมันตัวติดกันตลอด ไม่เคยแยกกันถึงขั้นนี้มาก่อน
“อย่าทำหน้าเหมือนกูขอเลิกคบกับมึงแบบนี้สิ กูแค่ต้องการเวลาในการปรับตัว การเข้าใกล้มึงตอนนี้เป็นอันตรายกับร่างกายกู กูไม่อยากหน้ามืดทำร้ายทั้งมึงและปิ่นในเวลาเดียวกัน เราจะยังเป็นเพื่อนกัน เพื่อนสนิท เพื่อนรัก เพื่อนตาย แต่ขอเวลาให้กูได้ปรับตัวหน่อย”
ผมพยักหน้าหงอยๆ
“เอาเป็นว่า เรายังไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเดิม แต่ห้องมึงคือเขตหวงห้าม บอกตามตรงนะ เข้ามาทีไร ภาพคืนนั้นหวนเข้ามาในหัวกูตลอด”
ผมหัวเราะแหะๆ
“เหมือนกัน ทรมานฉิบหาย”
มันมองตาผม หัวเราะ
“กูคิดว่ากูทรมานอยู่คนเดียวซะอีก”
“กูผู้ชายนะ”
“กูรู้” มันถอนหายใจแรง “งั้นเริ่มตั้งแต่วันนี้เลยละกัน กูนัดปิ่นไปดูหนัง”
ผมพยักหน้า รู้สึกเหงา ทั้งที่มันยังยืนอยู่ตรงนี้
“อย่าทำหน้าแบบนี้สิน่าน รู้สึกเหมือนกูกำลังรังแกมึงเลย”
ผมยิ้มจางให้มัน
หลังเตรียมตัวเสร็จ เราเดินไปเรียนพร้อมกัน
ในระหว่างนี้ เราเลือกนัดเจอกันเฉพาะในมหา’ลัย มันเองก็ไปกับปิ่นแก้วได้ดี ทะเลาะกันน้อยลงด้วย เอาตามจริงแล้วเพื่อนผมไม่มีอารมณ์จะทะเลาะด้วยมากกว่า เพราะเวลาอยู่กับปิ่นมันจะดูซึมๆ มองมาที่ผมบ่อยๆ
เราลอบมองตากัน เหมือนคนเป็นชู้กันยังไงพิลึก ทั้งที่จริงๆ แล้วเราเป็นแค่เพื่อนกัน
…เพื่อนที่เผลอมีอะไรเกินเลยกันเท่านั้น...
“พวกมึงทะเลาะกันหรือเปล่าวะ ช่วงนี้กูไม่เห็นมึงไปห้องไอ้น่านเลย ดูห่างกันแปลกๆ” เพื่อนในกลุ่มเริ่มจับสังเกตได้
“กูเป็นคนบอกให้มันเอาเวลาไปอยู่กับปิ่นนานๆ เอง เพราะมัวแต่อยู่กับกู เห็นไหมช่วงนี้มันทะเลาะกับปิ่นน้อยลงตั้งเยอะ”
“ก็จริง อ้าว งั้นมึงก็เป็นตัวทำให้ภคินกับปิ่นแก้วทะเลาะกันจริงๆ น่ะสิ” ดอมเขวี้ยงเศษอะไรสักอย่างใส่ผม
“ควายเถอะ กูแค่เห็นว่าเรียนกันปีสุดท้ายแล้ว มันน่าจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อเตรียมพร้อมเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว”
พูดจาดูน่าเชื่อถือเนอะ ทั้งที่จริงๆ แล้วแค่แยกกันชั่วคราวเพราะสปาร์กกันง่ายต่างหาก
“จริงเหรอวะภคิน”
ภคินพยักหน้ารับ ช่วงนี้เพื่อนเชื่องครับ พูดอะไรก็เออออห่อหมกตาม
ผ่านมาจะครบเดือนแล้วที่เราทำตามข้อตกลงว่ามันจะไม่ไปหาผมที่หอ ผมนี่โคตรเหงาเลย เพราะปกติมันจะโผล่มาตลอด มาให้ผมทำกับข้าวให้กินบ้าง มานั่งเล่นนอนเล่นบ้าง จนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว
ไม่ใช่แค่มันหรอกที่ซึมไป ผมเองก็ไม่ต่าง เพียงแต่พอเจอหน้ามันผมจะแกล้งทำเป็นร่าเริงเพื่อให้มันเห็นว่าผมโอเค กลัวมันเป็นห่วงน่ะครับ
บางครั้งผมถึงกับน้ำตาซึมนอนเหงาอยู่บนเตียง
…ผมติดเพื่อนขนาดนี้เลยเหรอวะ
ฝึกไว้น่าน อนาคตภคินต้องแต่งงาน มีลูก มันจะยิ่งห่างกันมากกว่านี้อีก ดีไม่ดีจะไม่มีโอกาสได้นอนด้วยกันอีกเลยด้วยซ้ำ
เสาร์นี้ผมนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนที่นอน มองปฏิทินที่ถูกขีดฆ่าไปแล้วหลายวัน ผมยิ้ม เพราะเมื่อวานเป็นวันสุดท้ายตามข้อตกลงที่ภคินจะไม่มาหาที่ห้อง
แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลสำหรับผมเลย เพราะผมยังคิดถึงมันอยู่ รู้สึกหวิวๆ เวลานึกถึง เห็นเตียงก็นึกถึงคืนนั้น เข้าห้องน้ำก็นึกถึงแต่ภาพนั้น
และที่เหี้ยไปกว่านั้นคือเคยช่วยตัวเองเพราะมันด้วย
…แย่ยิ่งกว่าเดิมอีก…
“อย่าให้ถึงกับต้องเลิกคบกันเลยนะ” ผมเปรยกับตัวเอง เสียงมือถือดังขึ้น ผมกระเสือกเกลือกกลิ้งไปมอง หน้าภคินโชว์หรา ผมคลี่ยิ้ม คว้ามากดรับ
[คิดถึง]
อื้อหือ มาคำแรกก็กระแทกใจกูเลย
[โคตรทรมานเลยรู้ไหม]
“ทรมานเรื่องอะไร ไม่ได้แดกกับข้าวฝีมือกู คิดถึงงั้น?” ผมแกล้งเย้า มันหัวเราะร่วน
[ทุกอย่าง กูไม่รู้ว่ากูจะทำได้หรือเปล่านะ แต่กูจะพยายาม]
ฟังเสียงแล้ว ดูท่ามันกับผมคงมีสภาพไม่ต่างกัน
เฮ่อ… ร่างกายคนหนุ่มนี่อันตรายจริงๆ
“อยู่ไหนเนี่ย”
ผมหมุนตัวเองเป็นลูกข่างอยู่บนเตียง
[หน้าห้องมึง]
ผมเด้งลุกทันที ถลาแทบจะหายตัวไปเปิดประตูออกดังผัวะ
…แล้วก็เห็นไอ้หล่อมายืนยิ้มเผล่อยู่หน้าห้องจริงๆ
“ทำไมไม่เคาะวะ” ผมพูดใส่โทรศัพท์ ทั้งที่ก็ได้ยินเสียงกันชัดๆ อยู่แล้ว มันเองก็ทำแบบเดียวกัน
[กูไม่กล้า กูยังทำไม่ได้ เลยรู้สึกว่าไม่ควรจะก้าวเข้าไปในห้องนี้อีก]
ใจผมร่วงไปอยู่ตาตุ่ม
ถ้าให้แยกจากกันนานกว่านี้อีก คงเป็นผมนี่แหละที่จะแย่ก่อนมัน
ผมกดตัดสาย ลดมือถือลง
“กูก็ไม่มั่นใจว่าจะยับยั้งชั่งใจได้ไหม”
เรามองตากัน
…ให้ตายสิ แรงดึงดูดในตัวมันเยอะชะมัด
“เพราะมึงนั่นแหละ หล่อเกินไป” ผมโบ้ยเป็นความผิดของมันเสีย
“เอ้า พ่อแม่ให้กูมาอย่างนี้”
ผมหัวเราะหึๆ
“เข้ามาเถอะ แต่กูแนะนำว่าวันนี้เราอย่าอยู่ด้วยกันสองคนในห้องดีกว่า รอกูอาบน้ำเสร็จแล้วไปข้างนอกกัน อยากไปไหนคิดไว้ละกัน” ผมชวน ก้าวนำเข้ามาภายใน
มันยืนนิ่ง ทำท่าคิด
“แล้วแต่นะ ถ้าไม่พร้อมก็ยืนรออยู่ตรงนี้ ที่พื้น เดี๋ยวขอกูอาบน้ำก่อน” ผมบุ้ยปากไปที่พื้นหน้าห้อง มันหัวเราะร่วน ก้าวฉึบเข้ามาภายใน
“ไม่เกิน 15 นาที กินอะไรมารึยัง”
“ยัง กำลังคิดอยู่ว่าเผื่อโชคดีได้กินกับข้าวฝีมือมึง ข้าวผัดก็ยังดี”
“งั้นขอกูอาบน้ำก่อน จะทำข้าวผัดกุนเชียงให้กิน”
ดวงตามันวาวขึ้นมาทันที
…ไม่ได้เห็นนานแล้วนะ ดวงตาแบบนี้…
มันพยักหน้า ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป
ไม่เกิน 15 นาทีผมก็ออกมาแต่งตัวข้างนอก คุ้ยครีมทา ไอ้หล่อนั่งเล่นมือถืออยู่บนเตียง
“รอแป๊บนะ” ผมเดินดุ่ยๆ ไปทำข้าวผัดกุนเชียงนอกระเบียงทันที สองจานสำหรับผมหนึ่งมันหนึ่ง พอแล้วเสร็จก็ยกออกไป ภคินลากโต๊ะญี่ปุ่นออกมากางนั่งคอยเรียบร้อย
ผมหัวเราะหึๆ เหมือนเห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ มานั่งรอกินข้าวอยู่เลยแฮะ
ผมวางจานมันลงตรงหน้า ภคินจะกินเยอะกว่าผม เพราะงั้นจานมันจะพูนกว่าผมเยอะ อีกอย่างผมยังไม่หิวด้วย แค่อยากกินกับมันเท่านั้น
“คิดได้ยังว่าอยากไปไหน”
อีกสองอาทิตย์จะสอบกลางภาคแล้ว จะได้เร่งอ่านหนังสือกันต่อ
“สยามไหม ไม่ได้ไปนานละ”
“กูเห็นมึงเพิ่งเช็กอินไปเมื่ออาทิตย์ก่อน นั่งทำหน้าเซ็งอยู่ร้านขายรองเท้าผู้หญิง”
“กูหมายถึงไปกับมึง ส่วนที่กูลง กูเซ็งจริงๆ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าปิ่นชอปทีไรนานทุกที”
ผมหัวเราะร่วน
“ธรรมชาติของผู้หญิง ทำใจอย่างเดียว”
มันพยักหน้าเห็นด้วย
คบกันมาจะสี่ปีแล้ว น่าจะชินได้แล้วนะ
“สยามก็ได้”
มันฉีกยิ้ม ตักข้าวเข้าปากคำโต
“กูนั่งไอ้นี่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่วะ” ผมถามหลังแปะก้นเล็กๆ ลงบนเบาะปอร์เช่ของมัน รู้สึกนานมากจริงๆ เพราะมันมาหาผมเป็นหลัก แล้วก็ใช้ชีวิตติดดินเหมือนผม แต่เห็นปิ่นแก้วอัปเฟซอัปอินสตราแกรมคู่กับรถคันนี้บ่อยๆ อยู่นะ
มันไม่ได้ตอบคำถาม หัวเราะในลำคอ เคลื่อนรถออกจากซองอย่างนุ่มนวล รถติดพอประมาณ ส่วนใหญ่ถ้าเราขับรถราคาแพง รถคันอื่นๆ ไม่ค่อยเข้าใกล้หรอกครับ มอ’ซงมอ’ไซต์หนีหมด
…ก็ดีไปอย่าง
ไม่นานเราก็มาถึงถิ่นของวัยรุ่นและวัยไม่รุ่นแต่อยากรุ่นทั่วไทย
ผมก้าวลงจากรถ เดินเคียงไปกับเพื่อน ไม่เน้นชอป ไม่เน้นเอาสาระ เน้นเดินเล่น ยกเว้นคุณชายเจอเสื้อผ้าแบรนด์ที่ชอบก็จะแวะเข้าไปทักทายพนักงานบ้าง แล้วเดินกลับมาพร้อมเสื้อผ้าที่ราคาแพงกว่าเสื้อผ้าทั้งหมดในตู้ของผมเหมือนเดิม มันเคยจะซื้อเสื้อผ้าให้ผมหลายรอบ แต่ผมบอกมันว่าถ้าซื้อให้โดยที่ผมไม่เต็มใจรับ เราเลิกคบกัน มันเลยไม่ถามอีก
เราสนุกชอปกันมาก เอาตามจริงแล้วผมก็ชอบเลือกเสื้อผ้ากับมันนะ ไอ้หล่อมันเกิดมาหล่อไง จับใส่ตัวไหนก็หล่อ มันชอบให้ผมมีส่วนร่วมในการเลือกด้วย แต่พอผมเลือกทีไรมันมักจะบอกว่าเซ้นส์เรื่องแฟชั่นของผมเน่าหนอนมาก
โทษที กูถนัดแต่เสื้อตัวละ 100 ไม่เกิน 300 มากกว่านั้นถือว่าเกินความสามารถกูว่ะ
ผมยืนมองเสื้อยืดตัวหนึ่งอยู่ในร้าน ส่วนเพื่อนผมเข้าไปลองเสื้อผ้า ผมให้อิสระมันเต็มที่ การรอมันก็เป็นความสุขของผมอย่างหนึ่งเหมือนกัน
ผมสะดุ้งเพราะมีใครสักคนเดินเข้ามายืนใกล้ๆ หล่อเชียว ผมรีบขยับหนีเพราะคิดว่าตัวเองกำลังบังทิศทางที่เขากำลังจะเลือกเสื้อผ้า
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไร มาคนเดียวเหรอ”
ผมมองคนถามงงๆ
…ใครวะ
“เปล่า มากับเพื่อนน่ะ” ผมไม่ถนัดคุยกับคนแปลกหน้าเท่าไหร่ เขามองผมยิ้มๆ อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน
“ว้า นี่ผมหน้าตาจืดชืดจนจำกันไม่ได้เลยเหรอ”
หะ หา ใครวะ?
หน้าผมคงเต็มไปด้วยเครื่องหมายเควสชันมาร์ก คนตรงหน้าถึงได้หัวเราะร่วน
“เราเรียนอยู่มหา’ลัยเดียวกัน อดีตเดือนคณะมนุษย์ศาสตร์ เอกภาษาต่างประเทศ” สงสัยกลัวว่าผมจะไม่เชื่อ ถึงได้ล้วงหยิบบัตรนักศึกษามายื่นให้ดู
เออ จริงด้วย
“โทษที ความจำไม่ค่อยดี”
เขายิ้ม เวลายิ้มดูดีขึ้นไปอีก
“ไม่เป็นไร ให้อภัยคนน่ารัก”
หะ อะไรนะ?
ผมคิ้วขมวด
“อะไรนะ”
“เปล่า ผมบอกว่าไม่เป็นไร ชอบตัวนี้เหรอ เห็นยืนมองนานแล้ว อยากได้ไหม เดี๋ยวซื้อให้เป็นของขวัญทักกันครั้งแรก”
โห เจอสายเปย์แฮะ
ผมส่ายหน้าจนผมสะบัด
“ไม่ได้อยากได้ ยืนมองเฉยๆ รอเพื่อนไปลองเสื้อผ้าอยู่”
“ภคินน่ะเหรอ”
“รู้ได้ไง” ผมถามตาโต
“ตัวติดกันเป็นตังเม นี่ถ้าไม่เห็นว่าภคินเป็นแฟนกับปิ่นแก้วจะคิดว่าน่านกับภคินเป็นแฟนกันนะเนี่ย”
ผมสะดุ้งอยู่ในใจ
…ไม่ใช่แฟนแต่ก็มีความสัมพันธ์อย่างแฟนมาแล้ว...
“เพื่อนสนิทน่ะ”
สนิทมากด้วย ชนิดติดเนื้อติดหนังเชียว
“อยากได้ตัวไหนไหม ผมพูดจริงนะ ที่ว่าจะซื้อให้เป็นของขวัญทักกันครั้งแรก เลือกเอาได้เลย ราคาไม่จำกัด”
ผมส่ายหัวพรืดทันที เรื่องอะไรจะยอมให้คนแปลกหน้ามาซื้อของให้ ขนาดภคินผมยังไม่ยอมเลย
“ไม่เป็นไร ไม่อยากได้อะไรจริงๆ รับเพียงน้ำใจละกัน”
“เหรอ” เขามองผมตาวาว เห็นแววพึงพอใจฉายชัดอยู่ในนั้น
“ขอเบอร์ได้ไหม หรือถ้าไม่สะดวก ไลน์ก็ได้ เฟซก็ดี อินสตราแกรมถ้ามี อะไรเอาหมด ใกล้จบแล้ว เผื่อได้ติดต่อโคงานกันในอนาคต”
ผมนิ่งคิด ก็ดีนะ เผื่อช่วยให้ภคินทำงานได้ง่ายขึ้น กำลังจะอ้าปากบอก แต่ชะงักเพราะภคินเดินเข้ามาแทรกก่อน
“เสร็จแล้วเหรอ ได้สักตัวไหม” ผมหันไปถามทันที มองเสื้อผ้ามากมายในมือ มันยื่นให้พนักงาน ฝั่งหนึ่งเอา อีกฝั่งไม่เอา
ถ้าวันไหนไม่มีอะไรจะกินขึ้นมา ผมว่าเอาเสื้อผ้ามันไปขายสักตัวก็น่าจะอยู่ได้อีกเป็นเดือน
“เดล”
“ไงภคิน”
“รู้จักกันเหรอ” ผมถามงงๆ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ
“ตอนประกวดเดือนมหา’ลัย”
…อ๋อ
“หายไปไหนมาตั้งนาน”
คนแปลกหน้าสำหรับผมยักไหล่
“ไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนอยู่สองปี”
…อ๋อ
ทำไมผมทำได้แค่ร้องอ๋อวะ
“ยินดีที่กลับมานะ แค่นี้ก่อน ต้องรีบไปดูหนัง แล้วคุยกันใหม่” ภคินจับมือผมลากพาไปที่เคาน์เตอร์ เซ็นสลิป รับของมาถือ
ผมหันไปมองเดล รายนั้นมองผมอยู่ยิ้มๆ ยกมือให้ ภคินลากพาผมออกจากร้านไปทันที
“รีบอะไรขนาดนั้นวะ กูยังไม่ทันได้แลกเบอร์กับเดลเลย แล้วนี่คิดไงอยู่ๆ อยากดูหนัง”
“ข้อแรก มึงไม่ต้องไปยุ่งกับเดลอีก ถ้าเขามาขอเบอร์ขอไลน์ หรืออะไรไม่ต้องให้ ส่วนหนังกูอยากดู”
“ทำไมอ่ะ กูหมายถึงเรื่องเดล เขานิสัยไม่ดีเหรอ”
“เปล่า”
“อ้าว แล้วทำไมไม่ได้”
“ไม่ต้องให้ ถ้ามึงให้ กูโกรธมึงจริงๆ ด้วย”
“เดี๋ยวภคิน มีเหตุผลหน่อย ทำไมไม่ได้ แค่เพื่อนกัน เขาบอกว่าเผื่อได้โคงานกันในอนาคต คบไว้ไม่เสียหายนี่”
“มัน…”
“มันทำไม??” ผมถามงงๆ ภคินคิ้วขมวด
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเห็นแก่กู อย่าให้เบอร์มันเด็ดขาด ไลน์ เฟซก็ไม่ได้ เข้าใจนะ”
ผมไม่เข้าใจมันสักนิด แต่ก็พยักหน้าเออออ มหา’ลัยไม่ได้เล็ก คงไม่ได้เจอกันบ่อยๆ หรอก
เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นคนดัง
…ไม่ใช่สิ เพื่อนผมเป็นคนดัง ผมเลยผลพลอยได้มากกว่า
เราเอาของไปเก็บไว้ที่รถ ก่อนย้อนกลับมาเลือกหนังที่ต้องการดู
“กูเลี้ยง เพราะรู้ว่าช่วงนี้มึงถังแตก”
ไม่ต้องรู้ดีขนาดนั้นก็ได้นะกูว่า
ตอนแรกว่าจะค้าน แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันมาตั้งเดือน ผมไม่อยากเรื่องมากให้เสียเวล่ำเวลา พยักหน้าเออออ เดี๋ยวค่อยกลับไปทำกับข้าวอร่อยๆ ให้มันกินตอบแทนค่าตั๋วละกัน
“อยากดูเรื่องไหนเลือกเลย” มันขยับมายืนใกล้ๆ ไอตัวร้อนผ่าวของมันทะลุผ่านเนื้อผ้าเข้ามากระทบผิว มันอุ่นเข้ามาถึงหัวใจเลยทีเดียว
“มึงล่ะอยากดูเรื่องไหน” ผมหันไปถาม แอบประหม่าเล็กน้อย เพราะมันอยู่ใกล้เกิน จริงๆ ก็ปกติของเรานั่นแหละ แต่ตอนนี้ผมไม่ปกติไง
…ผมแอบใจเต้นกับเพื่อนสนิท…
“งั้นเรามาใช้วิธีจิ้ม นับหนึ่งถึงสาม จิ้มเรื่องที่ต้องการ ดูว่าจะได้เรื่องเดียวกันหรือคนละเรื่อง”
ผมหัวเราะ พยักหน้าเออออ พอเลือกเรื่องในดวงใจได้ก็เล็งเป้า
มันนับ…
“หนึ่ง”
“สอง”
“สาม!”
ผมยกนิ้วขึ้นจิ้มเรื่องที่ต้องการทันทีพอๆ กับภคิน
ผมหันไปมองหน้ามัน มันเองก็หันมามองหน้าผมเหมือนกัน เพราะตอนนี้เราจิ้มอยู่ที่ป้ายเรื่องเดียวกัน ตำแหน่งเดียวกันเด๊ะๆ
ผมหัวเราะ
“ใจตรงกันเลย”
“อืม คิดเหมือนกัน งั้นดูเรื่องนี้”
“อือฮึ” ผมตอบรับเขินๆ
พากันเดินไปซื้อตั๋วหนัง มีที่ว่างพอดี มันซื้อป๊อบคอร์นกับเครื่องดื่มมาอีกเซต พอถึงเวลาเราก็พากันเดินเข้าไป
“ไม่ได้มาดูด้วยกันนานแล้วเนอะ”
ก็จริง เพราะหลังๆ ปิ่นจะลากมันไปดูเรื่องใหม่ๆ ด้วยกัน แล้วมันก็กลับมาดูหนังแผ่นกับผมอีกรอบที่ห้อง
เครื่องเสียงเซอร์ราวด์ดังก้อง เพิ่มความเมามันให้หนังแอ็กชันยิงกันสนั่นจอ ดีนะเป็นหนังฝรั่ง ยิงโป้งเดียวดับ ถ้าหนังไทยยิงไปเป็นสิบๆ ลูกถูกแต่กิ่งไม้ใบไม้ปลิวว่อน ฝีมือยิงปืนห่วยมาก น่าจะไปฝึกกันก่อนมาเป็นพระเอกหรือตัวร้าย ตำรวจเองก็พอกัน
พอหนังจบเราก็พากันเดินออกไป วิจารณ์เรื่องที่ดูกันตามประสา ผมเมาท์มอยเปรียบเทียบเรื่องการยิงปืนของหนังไทยกับหนังฝรั่งด้วย ภคินหัวเราะใหญ่บอกเห็นจริงด้วย อย่างน้อยปีนี้ก็มีพัฒนาการ หนังรุ่นหลังๆ ย้อมหน้านางเอกให้เลอะบ้าง ไม่ได้สวยกิ๊กประหนึ่งวิ่งในป่าแล้วมีช่างแต่งหน้าวิ่งตามตลอดทางเหมือนเมื่อก่อน
ภคินหัวเราะร่วนกับมุกผม
…นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้หัวเราะด้วยกันหนักๆ ขนาดนี้
มันมองตาผม ผมก็มองตามัน
“นานแค่ไหนแล้ววะ ที่เราไม่ได้หัวเราะด้วยกันแบบนี้”
“มึงอย่าก๊อปความคิดกูได้ไหม”
มันเลิกคิ้วสูงพยุงหน้าหล่อๆ ให้ดูดีกว่าเดิม ผมใช้หลอดคนแก้วเครื่องดื่มที่เหลือแต่น้ำแข็ง
“กูเพิ่งคิดแบบเดียวกัน มึงก๊อปความคิดกูนาทีต่อนาทีเลย”
มันหัวเราะร่วน
“แปลว่าเราคิดอะไรเหมือนๆ กันไงล่ะ”
“เหรอ”
แล้วไอ้ความรู้สึกแปลกๆ ที่กูคิดอยู่นี่ มึงเองก็คิดเหมือนกันใช่ไหม
Tbc...
คิดเหมือนกันไหม
#ผมท้องกับเพื่อน #หลบมาหวีดภคินน่าน เบาๆ