กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 100% 15/5/2562
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กรุ่นไอดินกลิ่นไอรัก 26 ลงแขก 100% 15/5/2562  (อ่าน 20263 ครั้ง)

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
“เฮ้ย ข้ามมาทำไม”

“พี่อยากนั่งกับต้นกล้า”

“บ้าสินั่งข้างหน้าก็ดีอยู่แล้ว ตัวก็ออกใหญ่โตยังจะข้ามมาอีกกลับไปนั่งกับไอ้จ๋าเลยไป”

“ก็ไหนบอกพี่ตัวโตข้ามกลับไปกลับมาลำบากแย่ เป็นห่วงพี่ใช่มั้ยงั้นให้พี่นั่งด้วยล่ะกัน”

“อะไรของเขาวะเนี่ยสองคนนี้” ไอ้จ๋าบ่นเบา ๆ แล้วส่ายหัวให้กับลูกพี่ทั้งสอง ที่คนหนึ่งโวยวายให้อีกคนกลับมานั่งที่เดิม อีกคนก็เอาแต่อยากจะอยู่ใกล้ ๆ เฮ้อ ปลง เกิดมาเป็นไอ้จ๋ามีลูกพี่ทำตัวเหมือนเด็ก ๆ มันเป็นแบบนี้นี่เอง คิดรำพึงในใจแล้วมันก็เหลือบมองกระจก แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหันกลับไปใช้สมาธิกับการขับรถอย่างระมัดระวัง จนมาถึงตัวอำเภออันเป็นจุดหมายปลายทาง ไอ้จ๋าขับรถพาเด็ดเดี่ยวไปทำธุระของพ่อกำนันตามที่ลูกพี่บอก เสร็จก็เกือบเที่ยง

“ลูกพี่ครับ”

“ว่าไง”

“เข้าตลาดซื้อของก่อน หรือไปหาอะไรกินกันก่อนครับ” ไอ้จ๋าถามเมื่อทั้งหมดพากันขึ้นมานั่งบนรถ หลังจากที่เด็ดเดี่ยวทำธุระเสร็จแล้ว

“แกหิวเหรอ”

“นิดหน่อยครับ”

“เมื่อเช้าก็เหมาข้าวต้มคนเดียวหมดหม้อนะได้ข่าว” เด็ดเดี่ยวกระแนะกระแหน

“โด่ว แค่นั้นมันจะไปอยู่ท้องไอ้จ๋าได้ยังไงครับ แต่เอาเป็นว่าไปซื้อของก่อนก็ได้ครับแล้วค่อยไปกินก๋วยเตี๋ยวกัน”

“ว่าไง”

“แล้วแต่ เรายังไม่หิวเท่าไหร่”

“งั้นไปตลาดก่อนก็แล้วกัน”

“ครับลูกพี่” ไอ้สารถีหน้าดำขับรถตรงไปตลาดสด อันเป็นจุดหมายปลายทางต่อไป ขับรถไปให้รู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่างแต่ก็นึกไม่ไม่ออก จนกระทั่งจอดรถที่ถนนข้างตลาดแล้วเปิดประตูลงจากรถมานั่นแหละจึงพึ่งจะนึกได้

“จ๋า” นั่นยังไงล่ะ ร่างบอบบางในชุดเสื้อยืดสีขาวลายการ์ตูนสีชมพู กับกางเกงขาสั้นสีฟ้าอ่อนดูสดใสยืนทำตัวขาว ๆ เปล่งแสงอย่างไม่กลัวแดด อยู่ข้างรถมอเตอร์ไซด์คันเล็กลายคิตตี้สีชมพู

“เฮ้ย มาได้ยังไงยัยส้มเน่า”

“ก็พี่กล้าบอกว่าให้มาหาที่นี่เราก็เลยมารอ นายมาซื้ออะไรเหรอ”

“มาธุระ”

“สวัสดีฮะอาจารย์” ออเรนจ์หันไปยกมือไหว้ทักเด็ดเดี่ยว ที่เปิดประตูรถข้างคนขับลงมา “แล้วพี่กล้าล่ะฮะอาจารย์”

“พี่เขาบอกร้อนเลยรออยู่บนรถน่ะ”

“เหรอฮะ พี่กล้า” ออเรนจ์หันสวัสดีแล้วโบกมือให้ต้นกล้าที่นั่งอยู่ในรถแต่..

“มานี่มา”

“อะไรจ๋าจะพาเราไปไหน” ไอ้จ๋าดึงมือเล็กให้เดินตามไปที่รถฝั่งที่ต้นกล้านั่งอยู่อย่างนึกสนุก มันเคาะกระจกรถเบา ๆ เพื่อให้ต้นกล้าลดกระจกลง ซึ่งฝ่ายลูกพี่ไม่อยากให้ใครได้ยลโฉมใบหน้าอันหล่อหลา ที่ยังบวมอยู่ไม่น้อยของตัวเอง เลยต้องรีบดึงฮู้ดเสื้อขึ้นคลุมหัวอย่างว่องไว ก่อนจะลดกระจกลงมาเพียงเล็กน้อย

“พี่กล้าไม่ลงมาเหรอฮะ”

“เอ่อมันร้อนน่ะพี่เลยไม่อยากลงไปเดี๋ยวผิวเสีย”

“แล้วพี่กล้าให้มาหาทำไมล่ะฮะ”

“ถามไอ้จ๋าดูสิ เห็นมันบอกมีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ”

“เหรอฮะ”

“อ้าวอะไรกันครับลูกพี่”

“เออ ๆ มีไรไปคุยกันเอาเองไป” แล้วต้นกล้าก็กดปิดกระจก ทั้งสองมองหน้ากันงง ๆ

“อะไรของเขาวะ”

“นั่นสิ เดี๋ยวสิจ๋า แล้วนายจะไปไหนน่ะ”

“ไปซื้อของสิถามได้”

“อ้าวแล้วตกลงยังไงหนิ ให้เรามาทำไม”

“ฉันจะไปรู้กับเธอเหรอ” ไอ้จ๋าเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในตลาดสดที่เฉอะแฉะ โดยมีออเรนจ์เดินอย่างระมัดระวังตามเข้าไปด้วยกัน

เด็ดเดี่ยวเดินซื้อของได้ครบตามที่ต้องการก็ออกมาที่รถ ซึ่งมีต้นกล้านั่งรออยู่ท่ามกลางความเย็บฉ่ำภายในรถอย่างสบายแฮ ชายหนุ่มเอาของวางไว้ที่กระบะท้ายแล้วจึงเปิดประตูขึ้นรถมา

“ไอ้จ๋าล่ะ”

“ไม่รู้ดิ เห็นเดินเข้าไปในตลาดกับออเรนจ์”

“เสร็จแล้วใช่มั้ย”

“เรียบร้อย”

“งั้นออกรถเลย”

“อ้าวแล้วไม่รอไอ้จ๋าเหรอ”

“จะรอมันทำไมก็เห็นอยู่ว่ามันออกเดท คึ ๆ ”

“หึ ๆ หาเรื่องแกล้งมันเดี๋ยวก็โดนเอาคืนหรอก”

“อย่างกับตัวเองไม่อยากแกล้งมันอย่างนั้นแหละ” ใช่ใครจะไม่อยากแกล้งมันล่ะ ไอ้จ๋ามันน่าแกล้งน้อยเสียที่ไหน ขนาดเด็ดเดี่ยวที่บอกว่าต้นกล้าหาเรื่องแกล้งมันเหมือนจะไม่เห็นด้วย แต่มือก็ปลดเบรกเข้าเกียร์แล้วออกรถไปด้วยล่ะนะ ถามหน่อยนี่คือห่วงหรือพูดพอเป็นพิธีกันแน่

“หิวมั้ย”

“นิดหน่อย”

“อยากกินอะไร”

“เลี้ยงใช่มะ”

“ให้เลี้ยงตลอดไปเลยก็ได้พี่ยินดี”

“วู้อย่ามาติ๊งต๊องหน่อยเลย เห็นไอ้จ๋าบอกว่าไปกินเตี๋ยว”

“อ๋อ เตี๋ยวร้านนั้นแน่ ๆ เคยไปกินกับมันเดี๋ยวพี่พาไป”

“คิดว่ามันจะตามเรามาถูกปะ”

“ไม่รู้สิ”

“ถ้ามันไม่โง่อะนะ”

“ถ้ามันคิดได้ว่าเราจะมาล่ะนะ”

“ก็ก่อนที่จะเข้าตลาดก็คุยกันแล้วไงว่ากินเตี๋ยว ไม่รู้ก็ช่างหัวมัน ฮ่า ๆ “

“เป็นลูกพี่ที่ดีที่สุดในโลกเลย”

“แน่นอน” เด็ดเดี่ยวว่าพลางส่ายหัวให้กับความคิดของต้นกล้า ที่คอยแต่จะหาว่าคนนั้นคนนี้แกล้งตัวเอง ทั้งที่ในหัวของตัวเองก็คิดแต่เรื่องแกล้งคนอื่นอยู่ตลอดเหมือนกัน สรุปก็คือพอ ๆ กันนั่นแหละ



%%%%%

“เฮ้ยลูกพี่หายไปไหนวะ” ไอ้จ๋าอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อเดินกลับมายังบริเวณที่จอดรถไว้ แล้วไม่เห็นแม้แต่เงาของคนเป็นลูกพี่ทั้งสองและรถที่ขับมา

“มีอะไรเหรอจ๋า”

“สงสัยลูกพี่เดี่ยวกับลูกพี่กล้าไปแล้วว่ะ ไม่รอกันเลยมันน่านัก” ไอ้จ๋าบอกพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็ไม่มีวี่แววของรถกระบะสี่ประตูสีขาวคันเก่งของเด็ดเดี่ยวจอดอยู่แถวนั้น หรือแม้กระทั่งรถที่วิ่งผ่านไปมาอยู่บนถนน ก็ไม่มีคันสีขาวโดดเด่นสะดุดตาด้วยซ้ำ

“พี่เขาพากันไปซื้อของอย่างอื่นหรือเปล่า”

“ไม่มีทางหรอก ถ้าเธอได้เห็นหน้าของลูกพี่กล้านะ หึ”

“ทำไมเหรอจ๋า”

“หึ ๆ “

“อะไรอะ มีเรื่องสนุก ๆ อะไรกันเหรอเล่าให้เราฟังบ้างสิ” ออเรนจ์สนใจและคิดว่ามันคงเรื่องเป็นสนุก ๆ สักเรื่องแน่ เมื่อเห็นไอ้จ๋าค่อย ๆ แสยะยิ้มออกมาแล้วหัวเราะชอบใจนัยน์ตาเป็นประกาย

“เธอไม่สงสัยเหรอว่าทำไมลูกพี่กล้าไม่ยอมลงจากรถ”

“ก็พี่กล้าบอกร้อน”

“หึ ๆ มันมีอะไรมากกว่านั้นอีกยัยส้มเน่า”

“เหรอ มีอะไรเหรอ”

“ก็เมื่อวานนะสิ คึ ๆ ลูกพี่กล้าน่ะ ฮ่า ๆ โอ๊ยคิดแล้วขำ”

“ขำทำไมพี่กล้าเป็นอะไร จ๋าแกล้งพี่เขาเหรอ”

“เปล่า ฮ่า ๆ ลูกพี่กล้าน่ะโดนแตนต่อยเข้าที่หน้านะสิ ฮ่า ๆ โอ๊ยกลั้นขำไม่ไหวแล้วโว้ย ฮ่า ๆ เมื่อเช้านะยังบวมปูดอยู่เลย แล้วต่อยที่ไหนมันก็ไม่ต่อยนะไอ้แตนชั่ว ดันมาต่อยที่ตากับปาก พอมันบวมละทีนี้เธอนึกภาพออกมั้ยคนหล่อ ๆ ที่ตาปิดไปข้างหนึ่ง ปากก็ปากล่างด้วยนะที่โดนต่อย มันบวมออกมาเหมือนดอกไม้บานเลย ฮ่า ๆ คิดภาพสิปากบนบาง ๆ ปากล่างบาน ๆ อวบอิ่มมันใช่เลยล่ะยัยเน่าเอ้ย ฮ่า ๆ ” ไอ้จ๋ามันเล่าไปหัวเราะไปอย่างได้อารมณ์ จนออเรนจ์อดไม่ได้หัวเราะประสานเสียงกัน

“คิก ๆ ฉันจะฟ้องพี่กล้า ฮ่า ๆ “คนเคยถูกแตนต่อยหรือเคยเห็นย่อมจะนึกภาพออก และออเรนจ์ที่กำลังร่วมผสมโรงหัวเราะกับไอ้จ๋าก็เช่นกัน ที่นึกภาพตามแล้วก็อดขำไม่ได้ พอขำจนได้ที่ก็ตอนน้ำตาไหลออดมาแล้วนั้นแหละ พากันขำจนน้ำตาไหลไอ้จ๋ามันถึงเพิ่งนึกได้ ว่าตัวเองถูกลูกพี่แกล้งทิ้งไว้ที่นี่ และคงต้องหาทางกลับบ้านเองเป็นแน่

“แล้วนี่ฉันจะกลับยังไงวะเนี่ย”

“พี่เขาอาจจะไปธุระอื่นก็ได้นะจ๋า คิก ๆ ”

“ธุระอย่างอื่นเสร็จหมดแล้ว ซื้อของนี่เสร็จก็กลับ”

“กลับเลยเหรอไม่แวะไหนก่อนเหรอ”

“ไม่” ไอ้จ๋าตอบแบบที่ไม่ต้องคิดอะไรเลย เมื่อออเรนจ์ถามด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวัง

“แล้วนายจะทำยังไงล่ะตอนนี้”

“ก็กลับดิ”

“แต่ฉันหิว”

“แล้วมาบอกทำไม”

“ก็เอ่อ” ออเรนจ์ก้มหน้าพูดไม่ออกกับถ้อยคำตัดรอนของไอ้หมาหน้าดำ ทั้งที่เมื่อกี้ยังหัวเราะขำด้วยกันอยู่เลย แต่ตอนนี้ยิ่งคุยก็ดูเหมือว่าไอ้จ๋ายิ่งหงุดหงิดขึ้นจนตามอารมณ์ ที่คิดว่าจะชวนไปกินข้าวก่อนเลยไม่กล้าแต่ “ไปกินก๋วยเตี๋ยวกันก่อนมั้ย” พูดออกมาแล้วก็ต้องกัดปากตัวเองจนจะช้ำเลือด และแทบจะกลั้นใจรอฟังคำตอบ ทั้งที่พูดออกมาเพียงเบา ๆ แต่ดูเหมือนว่าไอ้คนฟังมันก็ยังคงได้ยิน

“ฉันไม่หิว” โครก

“คิก ๆ “ไอ้จ๋าสะบัดเสียงตอบแต่ท้องของมันกลับทรยศตัวเอง ด้วยการร้องออกมาเสียงดัง จนคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินและอดหัวเราะขำไม่ได้ ก็ใช่นะสิมันหิวและบ่นหิวตั้งแต่ยังมาไม่ถึงตลาดสดด้วยซ้ำ มาถึงตอนนี้มันจึงหิวมากแต่ก็ยังปากแข็ง ไอ้จ๋าที่ตอนแรกทำเสียงดังกลบเกลื่อนความไม่เป็นใจของร่างกายมันเอง กลับต้องยืนหน้านิ่งมองรอยยิ้มสดใส จากริมฝีปากสีแดงสดราวกับลูกเชอรี่ ที่ประดับด้วยเขี้ยวเล็ก ๆ น่ารัก ออเรนจ์ยิ้มขำดูสดใสเป็นธรรมชาติ ตากลมโตเป็นประกายอย่างน่ามอง และไอ้จ๋าก็เผลอมองเสียเพลินเลย

“จ๋า”

“อะ อะไรอีก”

“ไปกินก๋วยเตี๋ยวกันนะ”

“ไม่มีเงินเว้ย ซื้อของหมดแล้ว”

“เรามีเดี๋ยวเราเลี้ยงเอง”

“ฉันไม่อยากกินของเธอ”

“ทำไมล่ะ” ออเรนจ์หน้าเสียถามออกมาเสียงแผ่ว “ถือว่าเราเลี้ยงขอบคุณจ๋าไง”

“จะมาเลี้ยงขอบคุณเรื่องอะไร”

“เรื่องที่จ๋าให้เราค้างด้วย แล้วยังพาไปกินปลา พาไปเจอเพื่อนใหม่ แล้วยังพามาส่งบ้านอีก” ใช่คนตัวผอมรู้สึกว่าเพื่อนของไอ้จ๋าทุกคนเป็นมิตรกับตัวเองมาก โดยเฉพาะไอ้ว่าวที่ดูเหมือนว่าจะพูดดีกับออเรนจ์เป็นพิเศษ จึงเรียกเพื่อนใหม่ได้อย่างสนิทใจ ส่วนเด็ดเดี่ยวกับต้นกล้านั้นก็ดีอยู่แล้ว

“ทุกอย่างมันจำเป็นเถอะ” ใช่สิดูเหมือนวันนั้นอะไรมันบังคับไอ้จ๋าทั้งนั้นนี่

“เราก็ยังอยากขอบใจนะ วันนั้นเราสนุกมากเลย”

“ไม่ต้องหรอก แค่นี้นะแยกย้าย” ไอ้จ๋าพูดจบก็หันหลังกะจะเดินจากไป เพราะรู้สึกหัวเสียขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ตัวมันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปหัวเสียด้วยเรื่องอะไร แต่อยู่ดี ๆ ก็ให้เกิดความรู้สึกไม่สบอารมณ์และไม่เข้าใจตัวเองขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เหอะเพื่อนใหม่เหรอ เขามองตัวเองตาเป็นมันยังไม่รู้ตัวอีกยัยบ้า ไอ้จ๋าคิดพลางเดินไป แต่เดินไม่ทันถึงสามก้าวเสียงเล็ก ๆ ใส ๆ ก็ทำให้ขาทั้งสองข้างของมันชะงัก

“เราอยู่กับจ๋าแล้วสนุกมากเลยนะ” บอกแล้วก็ได้แต่เม้มปากรอฟังคำที่ไอ้จ๋าจะบอกกลับมา ซึ่งก็คงไม่พ้นคำด่าหรือต่อว่าเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ แต่...

อ่านแล้วภาษาอาจจะยังมีป่วง ๆ เพราะยังไม่รีไรท์นะคะ
ต่อค่ะ...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
“จะไปยังไง” พอเงยหน้าขึ้นก็แทบผงะ เมื่อไอ้จ๋าซึ่งไม่รู้ว่าเดินกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มายืนอยู่ตรงหน้าจนแทบชิดกันเลย “เอ้ายัยนี่จ้องอยู่ได้จะไปไม่ไปกินเตี๋ยวน่ะ บอกไว้ก่อนนะสำหรับฉันน่ะชามเดียวไม่พอ”

“กี่ชามก็ได้ อะนี่กุญแจรถนายขับนะ”

“ไหนรถ” ไอ้จ๋าถามเมื่อรับกุญแจรถมอเตอร์ไซด์มาจากออเรนจ์ แต่ก็แทบจะปากุญแจคืนให้เจ้าของมัน เมื่อออเรนจ์ชี้มือไปที่รถของตัวเอง








“ห๊า คันนี้เนี่ยนะ”

“ใช่ ทำไมเหรอ”

“บรึ๋ย ฉันจะขี่ไปได้ยังไง รถอะไรทำไมมันถึงได้สีชมพูแปร๋นออกอย่างนี้วะ”

“รถมอเตอร์ไซด์ไง”

“ยี้ จะนั่งลงไปได้ยังไง” ไอ้จ๋าแสดงท่าทารังเกียจออกมา เหมือนมอเตอร์ไซด์คัดเก่งของออเรนจ์เป็นไส้เดือนกิ้งกือ

“ก็ฉันชอบนี่”

“ไม่เอาอะ ฉันขี่คันนี้ไม่ได้หรอกแค่คิดก็ขนลุกแล้ว”

“มันก็เหมือน ๆ รถทั่วไปนั่นแหละ นี่ลูกรักของฉันเลยนะจ๋า”

“เหมือนที่ไหน สีหวานยังกะนมเย็น แล้วติดสติกเกอร์ตัวอะไรด้วยล่ะนั่นน่ะ เอเลี่ยนหรือไง”

“เขาเรียกคิตตี้ นายไม่รู้จักหรือยังไง”

“ฉันไม่รู้จักอะไรแบบนี้หรอก แค่คิดก็ขนลุกแล้ว”

“ขนลุกอะไรน่ารักออกเอามานี่เลยถ้านายไม่ขับฉันขับเองก็ได้” ออเรนจ์ดึงกุญแจรถคืนมาจากมือไอ้จ๋าแล้วถอยรถออกมา “ขึ้นมาสิ” ไอ้จ๋ายังยืนเฉยในใจถามตัวเองว่ามันต้องนั่งไอ้รถนมเย็นคันนี้จริง ๆ นะเหรอ “จ๋า”

“เออ ๆ ขี่ก็ขี่วะ จะหัวโกร๋นมั้ยนี่กู ฮึ่ยขนลุก”

“คิก ๆ “ออเรนจ์หัวเราะชอบใจกับท่าทางของไอ้จ๋า เมื่อมันวาดขาข้ามเบาะขึ้นไปนั่งซ้อนท้าย โดยมีออเรนจ์ที่ร่างผอมบางเป็นคนขับ เมื่อไอ้จ๋าขึ้นมานั่งได้คนที่มองมาจากข้างหลังก็แทบจะไม่เห็นคนขับเลย เพราะร่างหนา ๆ ของไอ้จ๋าบังเอาไว้จนมิด

ออเรนจ์ขี่รถไปก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไป เพราะขำไอ้คนซ้อนท้ายที่เอาแต่สะบัดขนเหมือนหมาตกน้ำอยู่ข้างหลัง โดยที่มือของมันเกาะไหล่บอบบางทั้งสองข้างของออเรนจ์เอาไว้มั่น รถคันเล็กดูเหมือนจะยิ่งเล็กลงไปกว่าเก่า เมื่อตัวใหญ่ ๆ ของไอ้หมาหน้าดำมานั่งเบียดกันจนกระทั่ง

“จอดทำไม”

“เราจะไปกินร้านไหน”

“เอ้า ก็ไม่ถามแต่แรกยัยบ๊องเอ๊ย” ป้าบ! ไอ้จ๋ากดมือลงบนหัวเล็ก ๆ ของออเรนจ์แล้วผลักไม่แรงมากนัก แต่ก็เล่นเอาหัวเอียงไปได้เลยทีเดียว

“ก็ฉันลืมนี่ ตกลงร้านไหน”

“หน้าโรง’ บาลก็แล้วกันไปได้แล้ว หิว” แล้วรถคันเล็กก็ออกวิ่งอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มขำของคนขับ ที่ไอ้คนซ้อนท้ายบอกไม่หิว ๆ แต่ทั้งท้องร้องทั้งบ่นจนไม่นานทั้งสองก็มาถึงร้าน

“อ้าว ตายห่าแบตฯ หมด” ไอ้จ๋าบ่นในขณะที่นั่งรอก๋วยเตี๋ยวมันก็เอาโทรศัพท์ออกมาจะโทรหาลูกพี่ แต่แบตเตอร์รี่โทรศัพท์ดันไม่มีเพราะติดกระเป๋าตลอด แต่ดันลืมชาร์ตพลังงานให้มัน

“โทรหาใครเหรอ”

“ยุ่ง”

“เอาของเราโทรก็ได้นะ” ไอ้จ๋ามองโทรศัพท์กับใบหน้าสวยของคนที่ยื่นมาให้สลับกันอย่างชั่งใจ ไอ้ครั้นจะไปกดตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญ ในยุคที่ใคร ๆ ก็มีโทรศัพท์มือถือทุกคนแบบนี้มันไม่มีแบบตู้ให้ใช้แล้ว “เอาไปโทรสิ”

“เออ ขอบใจ” รับโทรศัพท์มาถือเอาไว้แต่ก็ยังจ้องอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่ว่าใช้แต่พี่ฮีโร่แล้วมันจะใช้โทรศัพท์รุ่นใหม่ไม่เป็นหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่า..

“ทำไมไม่โทร”

“ฉันจำเบอร์ลูกพี่ไม่ได้อะดิ โว้ยอยากจะบ้าตาย สองคนนั่นต้องแกล้งทิ้งฉันไว้แน่เลย “

“ทำไมต้องแกล้งล่ะมาด้วยกันนะ พี่กล้ากับอาจารย์อาจจะไปทำธุระอย่างอื่นก็ได้”

“เธอจะไปรู้อะไร” ไอ้จ๋าหันมาว่าออเรนจ์เสียงแข็งเพราะยังคิดในแง่ดี ดูตาโต ๆ นั่นสิมองโลกสดใสเชียวไม่ได้รู้ทันสองคนนั่นหรอก ส่วนไอ้จ๋ามันมั่นใจว่าลูกพี่ทั้งสองตั้งใจทิ้งมันไว้นี่อย่างแน่นอน “เป็นอะไรไปอีกล่ะ”

“เปล่า กินเถอะก๋วยเตี๋ยวมาแล้ว” ทั้งสองก็จัดการกับก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย ออเรนจ์กินไปแค่ชามเดียวส่วนไอ้จ๋าสมราคาคุย เพราะจัดไปสามชามเหนาะ ๆ จนออเรนจ์มองตาโต

“โหจ๋า นายจะไม่แน่นท้องเหรอ”

“แค่นี้เองไม่ถึงครึ่งท้องหรอก เสร็จยัง”

“เสร็จแล้ว”

“งั้นก็ไปจ่ายเงินจะได้ไป” บอกแล้วก็ลุกไปรอที่รถ ออเรนจ์เดินไปจ่ายเงินแล้วจึงเดินตามออกมา

“ตกลงนายจะกลับยังไง นั่งสองแถวมั้ย หรือจะให้เราไปส่งก็ได้นะ”

“อย่ามาทำเป็นเก่ง”

“เก่งอะไรเราพูดจริง ๆ นะวันนี้วันอาทิตย์ด้วย คิดว่ารถสองแถวไปถึงบ้านนายมีหรือเปล่าเถอะ “

“เออนั่นสิลืมไปเลยว่ะ” ไอ้จ๋าพึ่งนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งรถสองแถวที่เข้าหมู่บ้านจะหยุดวิ่งตั้งแต่เที่ยง และตอนนี้เวลามันก็ล่วงเข้าบ่ายสองกว่า ๆ ไปแล้ว

“งั้นให้เราไปส่งก็ได้ แต่ต้องพาเราไปบอกพ่อก่อน”

“ไม่ต้องหรอกฉันกลับเองได้”

“นายไม่มีรถนะจ๋า”

“ก็...”

“ให้เราไปส่งนะ ทีนายยังมาส่งเราได้เลย” ใจไม่อยากให้คนตัวเล็กไปส่งหรอก แต่ทำไมอีกใจไอ้จ๋ามันถึงได้ลังเลอย่างนี้ “ขึ้นมาสิ” จนกระทั่งเสียงเล็ก ๆ บอกไอ้จ๋าให้ขึ้นรถมันก็ยังคิดอยู่ แต่ก็วาดขาขึ้นนั่งซ้อนท้าย ไอ้จ๋านั่งเงียบมาตลอดทางจนออเรนจ์ขับรถพามันมาถึงบ้านตัวเอง

“รอแปบเดียวนะ ฉันเข้าไปบอกพ่อก่อน” ออเรนจ์จอดรถหน้าร้านขายอุปกรณ์การเกษตรของพ่อ แล้วเดินเข้าไปในร้านไป

“ลุงก่ำ”

“ว่าไงวะไอ้จ๋าไปไหนมาล่ะมึง”

“ลุงมาทำอะไร”

“มาซื้อของ แล้วมึงมาทำอะไร”

“ผมก็มาซื้อของ ว่าแต่ลุงจะกลับเลยมั้ย ผมขอติดรถบ้านด้วยคนสิ”

“เออ ได้ ๆ เดี๋ยวคนงานขนของขึ้นรถเสร็จก็กลับแล้ว” ลุงก่ำบอกแล้วหันไปดูคนงานที่กำลังขนของขึ้นรถอีแต๋นคันเก่าของแก

“จ๋า เรียบร้อยแล้วไปกันเถอะ” ออเรนจ์เดินยิ้มออกมา หลังจากที่บอกพ่อแล้วว่าจะไปส่งเพื่อนที่บ้าน และได้รับอนุญาตแต่โดยดีเพราะลูกอ้อน

“ฉันจะกลับกับลุงก่ำ”

“อ้าว...ลุงคนนี้เหรอ”

“อืม”

“ไม่ให้เราไปส่งแล้วจริง ๆ เหรอ”

“เออ ไม่ต้องไปหรอกตั้งไกล”

“แค่ 20โลเองไม่เห็นเป็นไรเลย”

“แล้วจะกลับมาคนเดียวยังไงคิดบ้างสิยัยเน่า”

“ก็..”

“เอาตามนี้แหละบอกว่าไม่ต้องไปก็ไม่ต้องไป เดี๋ยวฉันไปขนของช่วยลุงแกก่อนจะได้เสร็จเร็ว ๆ จะค่ำแล้วเนี่ย”

“..” ออเรนจ์ไม่ได้โกรธเพราะชินแล้วกับวิธีการพูดของไอ้จ๋า เพียงแค่เสียดายที่ไม่ได้ไปส่งอีกคนอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ไอ้จ๋าเดินไปช่วยคนงานขนของขึ้นรถอย่างคล่องแคล่วจนเสร็จ จึงเดินกลับมาหาออเรนจ์ที่ยังยืนรออยู่ที่เดิม

“เสร็จแล้วเดี๋ยวกลับเลยนะ”

“อืม”

“เอ่อ..”

“อะไร” หวังว่าไอ้หมาหน้าดำมันจะเปลี่ยนใจให้ไปส่ง

“ขอบใจนะ” ไอ้จ๋าบอกออกมาเบา ๆ มันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนจะเสียดายแต่ก็เหมือนจะโล่งใจ ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรหรอก หากออเรนจ์ไปส่งมันขากลับก็ต้องกลับมาคนเดียว ซึ่งกว่าจะมาถึงอาจจะมืดค่ำไปแล้วก็ได้ แบบนั้นใครมันจะไม่ห่วงวะ เอ๊ะ! ห่วงเหรอ คิดอะไรอยู่วะเนี่ยกู ไอ้จ๋าสะบัดหัวไล่ความคิดแปลก ๆ ของตัวเองออกไป แล้วเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ไม่เป็นไร”

“ไปยังวะไอ้จ๋า”

“ครับลุง “ไอ้จ๋าตอบแล้วหันมามองหน้าออเรนจ์เล็กน้อย แล้วเดินไปที่รถซึ่งลุงก่ำยื่นรออยู่

“เอ้าขับให้กูด้วยหูตากูยิ่งไม่ค่อยดี”

“ได้ลุง” ไอ้จ๋าขึ้นนั่งประจำที่คนขับสตาร์ทรถแล้วขับออกไป โดยมีออเรนจ์มมองตามจนอีกคนขับรถลับตาไปอย่างเสียดาย

“ตกลงเลยไม่ได้ไปส่งเพื่อนแล้วสินะ” เสียงเข้มดังขึ้นข้างหลัง ออเรนจ์หันไปมองแล้วส่งยิ้มบาง ๆ ให้

“พอดีจ๋าเขาเจอคนบ้านเดียวกัน เลยขอติดรถกลับด้วยจ้ะพ่อ”

“เราเลยได้แต่ยืนมองส่งเขาตาละห้อยอย่างนี้ใช่มั้ยล่ะ”

“เปล่าซะหน่อย”

“เปล่าอะไรก็พ่อเห็นอยู่”

“เอารถไปเก็บดีกว่า” ออเรนจ์ก้มหน้าหลบตาพ่อ ด้วยการขี่รถคันโปรดเข้าไปเก็บหลังร้านซึ่งเป็นส่วนของบ้านพัก เพื่อหาทางเลี่ยงสายตาที่มองมาอย่างรู้ทัน และรอยยิ้มล้อของพ่อ ซึ่งคนทั้งสองอยู่ในสายตาของอีกคนที่มองเหยียดมาแต่ไกลจากในร้านด้วยอีกที



%%%%%%%%%%%



“เฮ้ยไปไงมาไงวะเนี่ย เหงื่อโทรมมาเชียว”

“ทำไมหน้าตามอมแมมอย่างนั้นวะจ๋าฮ่า ๆ ” ประโยคแรกลูกพี่เดี่ยวของมันเป็นคนทักขึ้น เมื่อเห็นไอ้จ๋าเดินเข้าบ้านมา ส่วนประโยคที่สองเป็นเสียงทักของลูกพี่กล้า ที่หันมาตามเสียงทักแรกแล้วผสมโรงกัน ความหมายของประโยคนั้นดูเหมือนจะห่วงใย แต่ทำไมไอ้จ๋าให้รู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ ในอก กับคำพูดที่ฟังยังไงก็เหมือนจะห่วงกันอยู่หรอกนะ แต่อะไรคือสายตาและสีหน้าที่ดูสะใจซะเหลือเกิน ไอ้จ๋าเดินหน้าตึงเข้ามาพอดีขณะที่ต้นกล้ากับเด็ดเดี่ยวช่วยแม่แจ่มใจจัดห่อข้าว เหงื่อเม็ดโตผุดเต็มหน้าและเนื้อตัวที่มอมแมมเปรอะเปื้อน ทำให้มันถูกมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ไอ้จ๋าไม่พูดไม่จาเดินเอาของมาวางให้แม่แล้วเลี่ยงไปล้างหน้าล้างตา คนที่นั่งช่วยกันจัดของอยู่ทั้งสามจึงได้แต่มองตามงง ๆ

ที่ไอ้จ๋าหน้าดำกลับมาไม่ใช่เพราะอะไรหรอก ก็อีแต๋นคันโก้เปิดประทุนของลุงก่ำนั่นแหละที่ทำพิษ ขับออกมาได้ครึ่งทางดันหยุดไม่ยอมวิ่งเอาเสียดื้อ ๆ ทำให้ไอ้จ๋าต้องลงไปแก้อยู่นานถึงวิ่งต่อมาได้จนถึงบ้าน ผลออกมาก็เลยอย่างที่เห็นหน้าที่ดำอยู่แล้วเลยดำยิ่งกว่าเก่า ทั้งเขม่าจากรถทั้งน้ำมันจากอะไหล่เครื่องยนต์ ร้อนก็ร้อนจนเหงื่อไหลไคลย้อยเปียกชุ่มไปหมด แต่กระนั้นถึงไอ้จ๋าจะแอบบ่นในใจอยู่บ้าง ก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไรมากมาย เพราะคืนนี้มีเรื่องบันเทิงสนุก ๆ ที่มันตั้งตารออยู่ที่นี่แล้ว เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับไอ้จ๋า ลูกพี่ก็ลูกพี่เถอะวะ ถึงเวลาเอาคืนก็ทีใครที่มันนั่นแหละ โฮะ ๆ

“สงสัยจะโกรธจริงแฮะ” ต้นกล้าพูดออกมาเบา ๆ ทำให้เด็ดเดี่ยวกับแม่แจ่มใจที่นั่งอยู่ด้วยเงยหน้าขึ้นมอง

“โกรธอะไรเหรอ”

“พอดีแกล้งกันนิดหน่อยครับน้าแจ่ม คิก ๆ ”

“มันคงไม่โกรธหรอกมั้ง ไอ้จ๋ามันจะกล้าโกรธลูกพี่ของมันหรือไง” แม่แจ่มใจบอกอย่างรู้ใจลูกชายตัวเอง

“ดีไม่ดีมันกำลังวางแผนเอาคืนสิไม่ว่า ระวังตัวไว้เถอะ หึ ๆ ” เด็ดเดี่ยวคิดว่าตัวเองรู้ทันไอ้จ๋าว่ามันกำลังวางแผนบางอย่างอยู่แน่ เพราะรู้จักนิสัยใจคอกันดี ถึงจะเห็นว่าไอ้หมาหน้าดำมันเงียบและไม่พูดอะไร แต่สายตาแบบนี้เขามั่นใจว่ามันต้องมีแผนชั่วอย่างแน่นอน

“เดี๋ยวเย็นนี้กินข้าวด้วยกันดีกว่านะกล้า เดี่ยว”

“ผมคงต้องขอตัวครับน้าแจ่ม พอดีเย็นนี้มีธุระกับพ่อกำนันนิดหน่อย สักดึก ๆ ผมจะเข้ามาอีกที”

“อ้าว..” ต้นกล้าพลั้งปากอุทานออกมา แต่ก็กลับลำทัน “เออ กลับบ้านตัวเองบ้างก็ดี มาอยู่บ้านคนอื่นทั้งวันรกหูรกตา”

“ถึงเวลาจะอยากให้พี่ไปจริง ๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้นะใครบางคนน่ะ” แม่แจ่มใจเหลือบตามองสองหนุ่มสลับกัน เมื่อได้ยินคำพูดแปลก ๆ ของเด็ดเดี่ยวแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร จึงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อยิ้ม ๆ

“เหอะ แล้ววันนี้เราทำอะไรกินกันดีครับน้าแจ่ม” ต้นกกล้าเสียงขึ้นจมูกแล้วหันไปถามแม่แจ่มใจเรื่องอาหารเย็น โดยไม่สนใจอีกคนที่นั่งมองตาละห้อยเหมือนหมาถูกเจ้าของทิ้งอยู่ข้าง ๆ

“กล้าอยากกินอะไรล่ะลูก เดี๋ยววันนี้น้าทำให้กินเอง”

“ก็...”

“ไม่ทำเองแล้วหรือไง” เด็ดเดี่ยวแทรกขึ้นมาระหว่างที่ต้นกล้านึกเมนูอาหารที่อยากกิน

“วันนี้กินด้วยกันนี่แหละ เสียดายพ่อเดี่ยวไม่อยู่นะ”

“วันหลังก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะครับน้าแจ่ม เดี๋ยวเข้ามาใหม่” แม่แจ่มใจพยักหน้าให้เด็ดเดี่ยวจึงลุกขึ้น ชายหนุ่มพยายามองตาต้นกล้าเพื่อจะส่งสัญญาณบางอย่างบอก แต่อีกคนก็เอาแต่สนใจงานที่กำลังทำอยู่ในมือ ด้วยรู้ว่าคนที่ยืนอยู่ข้างแคร่รออยู่นั่นแหละ ก็เลยทำเป็นไม่สนใจ คนตัวโตต้องส่ายหน้าอย่างเอ็นดู วางมือลงบนหัวที่ประดับด้วยเส้นผมสีแดงแล้วยีเบา ๆ ก่อนเดินออกไป

“พี่ไปนะ”

*****************

21.45 น. คืนแรม 13 ค่ำ เดือน 9 หนุ่มหล่อเกาหลีนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในห้องของตัวเอง หลังจากกินข้าวฝีมือแม่แจ่มใจจนอิ่มหนำสำราญ ก็กลับมาบ้านหลังใหญ่ จัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตั้งตารอ

“เอาไงดีวะ” ต้นกล้าถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ กับความพะว้าพะวงและคิดไม่ตกของตัวเอง ที่ปล่อยให้เรื่องราวมันวุ่นวายบานปลายแล้วต้องมานั่งคิดหนักอย่างนี้ ใช่แล้ว นี่มันบานปลายเกินไปแล้วจริง ๆ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องวุ่นวายกันถึงขนาดนี้ เป็นเพราะคนหน้ามึนที่คอยหาเรื่องแกล้ง และเป็นที่เขาเองไม่ยอมเสียฟอร์ม จึงเข้าทางอีกคนที่คอยหาเรื่องมาท้าทายกันได้อยู่เรื่อย ๆ พอเกิดเรื่องแล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะนี่ก็ดึกแล้วด้วย ไอ้คนที่ว่าจะมาหาและพาไปไหนก็ยังไม่มา หรือว่าเขาจะไม่มาแล้ววะ

ปิ๊ง!

คิดมาถึงตรงนี้ก็เหมือนมีคนเปิดสวิตท์ไฟในหัวของต้นกล้าให้สว่างพรึ่บ ไม่มาก็ดีสิต้นกล้าจะได้ไม่ต้องออกไปทำอะไรเสี่ยงกับการเกิดหัวใจวายแบบนั้น ใช่แล้ว ๆ สาธุอย่ามา ๆ จงอย่ามา

แกรกกก

“เฮ้ย” !! เสียงแกรกกรากที่ได้ยินแว่ว ๆ เล่นเอาต้นกล้านั่งไม่ติด โผลุกขึ้นวิ่งไปที่บานประตูห้องแล้วเอาหูแนบ แต่ดูเหมือนว่าข้างนอกจะมีแต่ความเงียบเชียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการเคลื่อนไหว และเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่คงเพราะหูฝาดไป แต่เพื่อความมั่นใจก็ต้อง..

“ไอ้จ๋า” เรียกออกไปก็ได้แต่ความเงียบกลับมา หรือว่าไอ้จ๋ามันยังไม่มาอันนั้นต้นกล้าก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะยังอุดอู้อยู่แต่ในห้องของตัวเอง “ไอ้จ๋าโว้ย อยู่ข้างนอกหรือเปล่าวะ” ส่งเสียงเรียกไปโดยเพิ่มระดับความดังขึ้นอีกนิด แต่ก็ได้ความเงียบตอบกลับมาเหมือนเดิม จึงเดินกลับมาที่เตียงนอนทรุดตัวลงนั่งในท่ากอดเข่าดูอ้าวว้างว้าเหว่ หัวใจหรือก็เต้นแบบตุ้ม ๆ ต่อม ๆ มันเต้นไม่เป็นจังหวะที่ปกติเหมือนชาวบ้านเอาเสียเลย ตาสวยมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างหวาดระแวง หายใจเข้าก็ไม่ทั่วท้อง ทำไมนะ ทำไมมันไม่มีอะไรยุติธรรมกับต้นกล้า ทำไมต้องให้คนหล่อหน้ามนคนหนุ่มหน้าใส ที่หนุ่ม ๆ สาว ๆ กรี๊ดแทบชักตายอย่างต้นกล้ามาเจออะไรแบบนี้ด้วย ตอนนี้นอกจากความเงียบแล้วในหัวยังคิดไปต่าง ๆ นานา ในแบบที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพจิตตัวเองเท่าไหร่เลย แต่เอ๊ะ!! ต้นกล้าสะดุ้งกับความคิดของตัวเองแล้วให้เกิดคำถามตามมา ว่าไอ้จ๋ามันจะมาหรือยังนี่มันดึกแล้วนะ หรือว่ามันจะยังโกรธอยู่ที่วันนี้แกล้งมันซะแรง ตาสวยเหลือบมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่โต๊ะข้างหัวเตียง …!!

23.30 น. ตายแล้ว! ตายแน่ ๆ ตายห่าแน่นอนเรา ทำไมเวลามันถึงได้เดินเร็วแบบนี้ แต่ก็นะไอ้คนหน้ามึนนั่นก็ยังไม่มา ต้นกล้าภาวนาขออย่าให้เด็ดเดี่ยวมาเลย เพราะถ้าอีกคนไม่มาก็คงไม่มีใครมาบังคับให้เขาไปทำอะไรบ้า ๆ แบบนั้นได้ ด้วยวาจาท้าทายกับคำสบประมาทในแบบที่ต้นกล้าไม่มีวันรับได้ ใช่ถ้าไม่โดนท้ามีหรือต้นกล้าจะรับคำออกไปเผชิญกับสิ่งน่ากลัว ตาสวยเริ่มโรยเพราะความง่วง แต่ก็เป็นไปได้ยากเหลือเกินที่จะเอนหลังลงแล้วหลับตานอน ด้วยเพราะรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีที่จะถึงนี้ เวลาจะเข้าวันใหม่ และเป็นวันที่ต้นกล้าคิดว่าเกลียดมันที่สุด ก็จะอะไรล่ะถ้าไม่ใช้เรื่องที่คนหน้ามึนเล่าให้ฟังเมื่อเช้า เป็นเรื่องที่ต้นกล้าไม่อยากรับรู้มันเลยสักนิด ของแบบนี้ไม่รู้จะดีเสียกว่า เพราะรู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์กับตัวเอง ไม่ได้ช่วยทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นเลย แถมยังดูเหมือนว่ามันจะแย่ลงเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะคนอย่างต้นกล้าที่ยังไงก็ไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้ และเห็นเป็นเรื่องธรรมดาอย่างเด็ดขาด ไม่รู้ก็ไม่ต้องคิดมาก แต่พอรู้แล้วดันหยุดคิดไม่ได้นี่สิแย่ยิ่งกว่า ยิ่งคิดก็ยิ่งหลอนตัวเอง เหมือนที่ต้นกล้ากำลังเป็นอยู่ตอนนี้ยังไงล่ะ ฮึ่ย! เด็ดเดี่ยวไอ้คนหน้ามึน หน้ามึนไม่พอยังใจร้ายอีกด้วย เหอะนี่นะวิธีที่ทำกับคนสำคัญ คิดมาถึงตรงนี้ต้นกล้าอยากบ้าตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย

แกรกกกกก

!!

“สะ เสียงอะไรของมันอีกวะ” ต้นกล้าถามออกมาเบา ๆ อย่างออมเสียงพลางมองไปรอบตัว ถึงแม้จะอุ่นใจที่อยู่ในห้องอันเป็นพื้นที่ของตัวเอง แต่ก็ดูเหมือนว่าเสียงที่ดังมาจากภายนอกจะไม่ต้องการให้เขาได้อยู่อย่างสงบ เมื่อจมอยู่กับความเงียบและคิดอะไรฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย ก็จะมีเสียงแกรกกรากดังแทรกขึ้นมากระตุ้นเป็นระยะ เหมือนจะเร้าให้เกิดความหวาดระแวงและทำให้บรรยากาศมันน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม พอนั่งอยู่เงียบ ๆ เผลอ ๆ มันก็คอยแต่จะดังขึ้นมาทุกที นี่ก็หลายครั้งแล้วนะ หรือว่า หรือว่า ว่า ว่า

โฮ่ง ๆ โหวววววววววววววววววววว!! ต้นกล้าสะดุ้งหูตั้งตาสวยเหลือกลานเหลือบมองนาฬิกา

00.05น. และแล้วเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง! ยกเว้นต้นกล้าคนเดียวเท่านั้นที่อยากยืดเวลาออกไปอีกสักหลาย ๆ วัน แต่นั่นคือสิ่งที่เขาทำไม่ได้ และความเป็นจริงคือหนุ่มหน้าใสทำได้แค่นั่งรอชะตากรรมของตัวเอง ทั้งที่ง่วงแสนง่วงแต่ก็นอนไม่หลับ ทั้งที่อยากจะหลับแล้วไม่ต้องรับรู้อะไรแต่ก็นอนไม่ได้ กลัวหลับตาแล้วจะมองไม่เห็นสิ่งที่ไม่อยากจะเห็น ใจจริงก็กลัวสิ่งที่จะเห็นแต่ถ้าไม่เห็นแล้วจะเอาตัวรอดอย่างไร พยายามเงี่ยหูฟังเสียงจากข้างนอกอีกครั้ง ทุกอย่างคือความเงียบ ป่านนี้แล้วอีกคนยังไม่มา ก็คงจะแปลได้ว่าเด็ดเดี่ยวอาจจะชิ่งเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเราจะนอนเลยจะดีไหมนะ ต้นกล้าถามตัวเองในใจ เพราะตัดสินไม่ได้ว่าควรทำอย่างไรดี มือคลำไปข้างตัวเพื่อหาผ้าห่ม ถ้านอนก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะนอนหลับหรือเปล่า เพราะในหัวเฝ้าแต่คิดวนเวียนถึงคำพูดที่คนตัวโตเล่าให้ฟังไม่หยุด

แรม 14 ค่ำ เดือน 9 วันประตูนรกเปิด วันปล่อยผี วันปล่อยให้ผีกลับมาเยี่ยมญาติ เปรต สัมภเวสี วิญญาณเร่ร่อน โอยยยย ต้นกล้าร้องครางออกมาเบา ๆ พลางเอามืออุดหูตัวเอง เพราะไม่อยากได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว แต่ก็เป็นไปได้ยากเหลือเกินเพราะเสียงมันดังอยู่ในหัวของเขา เป็นเสียงที่ได้ยินมาก่อนและมันอยู่ในความทรงจำที่ยังชัดเจน!

“จะมาไม่มาวะจะมาก็มาสักทีเถอะ” ก๊อก ๆ

เฮือก!! เสียงที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบเล่นเอาคนขวัญอ่อนผวาไปเลย คราวนี้เขาไม่ได้หูแว่วแน่ ๆ ต้นกล้ามั่นใจ แต่ทำไมเสียงมันดังขึ้นแล้วเงียบกริบลงอย่างรวดเร็วแบบนี้ นี่มันคืออะไร แบบนี้มันคืออะไรช่วยตอบผมที....!!

ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกดึงขึ้นมากอดแนบอก ตาสวยจ้องมองไปที่ประตูอย่างหวาดระแวง ใครเล่นตลกอะไรตอนนี้บอกเลยต้นกล้าไม่มีอารมณ์ตลกด้วย มันไม่ขำ เมื่อความเงียบเข้าครอบคลุมพื้นที่ภายในห้องอีกครั้ง ผ้าห่มผืนใหญ่ก็เตรียมพร้อมแล้วพอดี

ก๊อก ๆ พรึ่บ!! พอเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอีก ต้นกล้าที่เตรียมพร้อมรออยู่แล้วก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวตัวเองทันที

“อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย ไปที่ชอบ ๆ เถอะนะครับ”

ปังๆ ๆ ตอนแรกก็เคาะเบา ๆ แต่พอไม่มีเสียงตอบรับออกมาจากในห้อง เสียงเคาะจึงเพิ่มระดับขึ้นมาป็นทุบ แล้วตามาด้วยเสียงเรียก

“ต้นกล้า”

“เอ๊ะ เสียงนี้”

“ต้นกล้าเปิดประตูให้พี่หน่อย”

“เด็ดเดี่ยว” เมื่อตั้งสติได้ว่าเสียงที่เรียกนั่นมันคือเสียงของคนที่กำลังรอ ผ้าห่มอันเป็นที่พึ่งยามยากถูกเหวี่ยงออกจากตัวไปอีกทาง เจ้าของร่างโปร่งลงจากเตียงนอนถลาไปที่ประตู แล้วเปิดออกอย่างรวดเร็ว

“ต้นกล้า โอ๊ยอะไรเนี่ย”

“ทำอะไรอยู่ทำไมพึ่งมาห๊า แกล้งเราอีกแล้วใช่มั้ย” ต้นกล้ากระชากเสียงถาม สองมือขยุ้มกำคอเสื้อยืดที่เด็ดเดี่ยวใส่อยู่อย่างเอาเรื่อง จนคนตัวโตร้องครวญโอดโอย

“พี่เปล่า นี่พี่พึ่งกลับมาจากธุระกับพ่อกำนัน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็รีบมาเลย” ตาสวยมองแรงอย่างหาพิรุธเมื่อได้ฟังคำอธิบาย

“จริงนะ”

“จริงครับ”

“ไม่ได้แกล้งให้เรารอต้องนาน ๆ อยู่คนเดียวหรอกใช่มั้ย”

“พี่เปล่าแกล้ง แต่คนอื่นไม่แน่ ว่าแต่รอพี่เหรอ”

“..”

“ขอโทษที่ให้รอนานนะ มาพี่ชื่นใจหน่อยเร็ว”

ฟอดดดดดดด

เจอกันตอนหน้านะคะ

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 15 แรม 14 ค่ำ เดือน 9 ค่ำคืนสุดสยิว



“ขอโทษที่ให้รอนานนะ มาพี่ชื่นใจหน่อยเร็ว”

ฟอดดดดดดด

“เหอะ มาช้าแล้วยังมาทำหน้ามึนอีกนะ ปล่อยเรา “ต้นกล้าลืมเสียสิ้นว่าก่อนหน้านี้ตัวเองขลาดกลัวยังไง เมื่อมีคนตัวโนมาอยู่ใกล้ ๆ ก็อุ่นใจจนปากเก่งเหมือนเดิม แถมยังพูดอะไรไม่ตรงกับใจเสียด้วย “ที่จริงไม่มาก็ได้นะ”

“ก็พี่บอกแล้วว่าจะมาก็ต้องมาตามที่บอก เดี๋ยวคนแถวนี้จะรอเก้อ”

“ใครจะรอไม่มีใครรอสักหน่อย” ต้นกล้าบอกแล้วผละออก เดินไปนั่งกอดอกพิงหลังกับหัวเตียงมองเด็ดเดี่ยวตาขวาง

“แล้วใครที่ตาโรยเพราะง่วงจนตาจะปิดแล้วแต่ยังไม่นอน ถ้าไม่ใช่รอพี่”

“ก็ไหนบอกว่าจะ จะ..ไป” ท้ายประโยคเสียงของต้นกล้าเบาหวิว เพราะไม่อยากพูดถึงมัน

“พร้อมหรือยังล่ะ”

“เอ่อ..ไม่ไปได้มั้ย” และเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว

“ทำไมล่ะ”

“ก็เราไม่อยากไปนี่”

“มาถึงขนาดนี้แล้ว”

“ขนาดไหนก็ช่าง”

“ป๊อดแล้วใช่มั้ย”

“ไม่ได้ป๊อดเหอะเราแค่ง่วง” เด็ดเดี่ยวเดินมานั่งลงข้าง ๆ จ้องตาสวยอย่างค้นหาความจริงที่เจ้าตัวซ่อนเอาไว้ เพียงคำเดียวหากต้นกล้าลดฟอร์มลงแล้วพูดออกมาตรง ๆ เด็ดเดี่ยวจะไม่แกล้ง แต่ถ้าต้นกล้ายังฝืนทำปากหนักปากแข็งอยู่อย่างนี้ คงต้องพาไปลองดีกันสักครั้ง

“อะไร ขยับออกไปหน่อยสิ”

“พี่ว่าต้นกล้าอุ่นใจที่พี่อยู่ใกล้ ๆ นะ ให้พี่นั่งตรงนี้แหละ”

“บะ บ้า อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย” ใช่เด็ดเดี่ยวรู้ดีเกินไปแล้ว เพราะเมื่อคนตัวโตมาถึงอะไร ๆ ที่อยู่ในใจในหัวและในความคิดของต้นกล้า ก็ดูเหมือนว่ามันอันตรธานหายไปหมดสิ้นในทันที ไม่รู้สึกกลัวเหมือนก่อนหน้านี้เลยสักนิด

“พี่ไม่ได้ทำเป็นรู้ดี แต่นี่ตาคู่นี้มันบอกพี่หมดนั่นแหละ” ชายหนุ่มเอามือสองข้างประคองแก้มนวล แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือไล้เบา ๆ บนเปลือกตาบางทั้งสองข้างที่เจ้าตัวหลับลงรับสัมผัสอ่อนโยนพอดี

“บอกว่าอะไร”

“บอกว่าต้นกล้าดีใจที่พี่มา ดีใจมากด้วย”

“โอ๊ย เราเบื่อคนคิดเองเออเองจริง เข้าข้างตัวเองและหลงตัวเองที่สุด”

“หึ ๆ แล้วดีใจมั้ยล่ะ”

“ดีสิ เอ๊ย เปล๊า อย่ามามั่ว”

“ก็ได้ ๆ พร้อมหรือยัง” เด็ดเดี่ยวเปลี่ยนเรื่องกะทันหันเล่นเอาต้นกล้าชะงักไปเลยทีเดียว กับคำถามที่ได้ยิน นี่มันอะไรกัน ต้นกล้ากะจะชวนคุยให้ลืมจนเลยเวลานัดเสียหน่อย อะไรคืออีกคนไม่ยอมลืมและถามออกมาแบบนี้

“พะ พร้อมอะไร”

“ก็พร้อมที่จะไปวางห่อข้าวน้อยให้ผีไง น้าแจ่มคงรอแล้วมั้ง” พูดออกมาโต้ง ๆ แบบนี้ได้ยังไงวะ! ใจร้ายมาก ต้นกล้าฮึดฮัดในใจแต่ก็พูดออกมาได้แค่

“จะ จะดีเหรอ”

“ดีสิทำไมจะไม่ดีละ”

“ก็..”

“กลัวอะไร”

“เปล๊า กลัวอะไรไม่มี้ไม่ได้กลัวสักหน่อย” ต้นกล้าบอกเสียงสูงแล้วเหลือบมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่ที่เดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือเวลาที่เดินไปเรื่อย ๆ จนตอนนี้เหลืออีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะได้เวลานัดกับแม่แจ่มใจแล้ว “เออ ว่าแต่ไอ้จ๋าล่ะเห็นมันมั้ย มันจะไปด้วยมั้ย”

“เมื่อกี้พี่ขึ้นมาเห็นมันอยู่ข้างล่างน่ะกำลังจะเดินไปบ้านโน้น”

“อืม”

“ไปกันเถอะ” !!

“ไปไหน” ต้นกล้าใจจะขาดรอน ๆ มันถึงเวลาแล้วใช่ไหม นี่ต้องไปจริง ๆ ใช่ไหม ต้นกล้าอยากกรีดร้องออกมาดัง ๆ ว่าไม่ไปเขาไม่อยากไป ไม่ไปได้ไหม อย่าเอาต้นกล้าไปทรมานเลย ในใจคิดแบบนี้แต่ปากนี่สิทำไมมันไม่พูดออกมา ทั้งที่รั้งตัวเองเอาไว้ ไม่ยอมลุกขึ้นตามแรงดึงของอีกคน แต่ปากดันไม่พูดว่าไม่ไปเพราะอะไร

“ไปวางห่อข้าว ไม่นานหรอกมาเถอะไปกับพี่กลัวอะไร”

“เราไม่ได้กลัวเหอะ” ทำเสียงหนักแน่นปากเก่งแต่ทำไมในใจมันหวิว ต้นกล้าขาสั่นอันนี้เขารู้ตัวดี แต่ก็หยุดความไวของปากตัวเองเอาไว้ไม่ได้

“เก่งมาก ไม่กลัวก็ตามมา หึ ๆ “เด็ดเดี่ยวเดินผิวปากนำออกจากห้องไป ใจก็รู้ล่ะนะว่าต้นกล้าไม่อยากไปแค่ไหน แต่ถ้ายังทำปากดีแบบนี้ต้อง...

“เอ้า มาสิเดี๋ยวไม่ทันน้าแจ่ม”

“ไปก็ได้” ต้นกล้าบอกเสียงเบาแล้วเดินตามเด็ดเดี่ยวออกมาจากห้องของตัวเอง ทุกย่างก้าวเป็นไปอย่างเชื่องช้าเหมือนต้องเดินด้วยความระมัดระวัง บังคับให้ทุกจังหวะการก้าวเดินของตัวเองเป็นไปอย่างมั่นคง ปิดประตูห้องก็ทำอย่างนุ่มนวลเนิบนาบทะนุถนอม ราวกับว่ามันเป็นประตูกระจกที่แสนบอบบาง ต้องการความอ่อนโยนเวลาใช้งาน

ต้นกล้าใช้เวลานานเป็นพิเศษสำหรับการเดินจากหน้าห้องมาถึงชานเรือนข้างนอก ที่มีร่างสูงของเด็ดเดี่ยวยืนรออยู่ในมุมสลัว พาดูวังเวงพิกลจนใจสั่น

“ไปยืนทำอะไรตรงนั้น”

“ก็รอ”

“เราว่าเปิดไฟไว้อีกดีกว่า ทำไมวันนี้ไอ้จ๋ามันเปิดไว้แค่นี้วะเนี่ย” เพราะมัวแต่ค่อย ๆ ก้าวค่อย ๆ ย่องออกมานะสิ กว่าจะออกจากห้องได้เลยใช้เวลาเสียนาน จึงไม่รู้ว่าไอ้จ๋ามันก็ทำหน้าที่ของมันอย่างปกติเหมือนทุกวันนั่นแหละ แต่แค่วันนี้มีคนทำให้มันไม่ปกติก็เท่านั้นเอง และจะเป็นใครที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก..

“เปิดทำไมเปลืองไฟ”

“เราจ่ายนะอย่าลืม”

“ไม่ต้องเปิดหรอกไปได้แล้ว”

“จะดีเหรอเดี๋ยวขากลับมองไม่เห็นทาง”

“สว่างขนาดนี้มองไม่เห็นก็ตาไม่ดีแล้วจะไปได้หรือยัง”

“ก็ได้” หมดกันกับการถ่วงเวลาจนไม่รู้ว่าจะถ่วงยังไงแล้ว สุดท้ายก็โดนอีกคนจูงแขนเดินลงเรือนไปจนได้ แต่ต้นกล้าไม่ได้คิดมากหรอกใช่ไหมที่ว่าวันนี้บ้านมันดูมืด ๆ กว่าทุกคืน ในคืนข้างแรมว่ามืดอยู่แล้วยังจะมาห่วงประหยัดไฟอยู่ได้ ไฟทุกดวงที่เคยเปิดเอาไว้ปกติ คืนนี้กลับไม่ได้เปิดทุกดวงเหมือนเคย ที่เปิดให้เห็นแสงสว่างอยู่ตอนนี้ก็แค่ไฟดวงเดียวที่อยู่กลางบ้านให้พอมองเห็นทางเดิน กับไฟที่หัวบันไดเท่านั้น

“มากันแล้วเหรอ”

“ครับไอ้จ๋าล่ะครับน้าแจ่ม”

“อ้าว มันก็เดินไปไปบ้านใหญ่ตั้งแต่หัวค่ำแล้วนี่”

“เหรอครับ ไหนเมื่อกี๊บอกเห็น” แม่แจ่มใจทักต้นกล้ากับเด็ดเดี่ยวทีเดินมาด้วยกัน ต้นกล้าถามหาไอ้จ๋าปรากฏว่ามันไปบ้านใหญ่ตั้งแต่หัวค่ำยังไม่มา หรือว่ามันจะอู้นอนอุตุอยู่ในมุ้ง เพราะตอนออกมาต้นกล้ากับเด็ดเดี่ยวก็ไม่ได้แวะไปดู ไหนคนตัวโตบอกว่าเห็นมันเดินกลับมาแล้ว ตกลงคือมันไปไหนแต่ช่างเถอะ “แล้วลุงสมควรล่ะครับ”

“รายนั้นนอนปลุกไม่ยอมตื่นเลย เราไปกันแค่นี้ล่ะ”

“แต่ไอ้จ๋า..” ต้นกล้ายังคาใจที่ไม่เจอไอ้จ๋าที่บ้าน เพราะกลัวจะถูกมันแกล้งให้ออกไปวางห่อข้าว แล้วตัวมันเองไอ้นอนหลับสบาย

“เดี๋ยวคงตามไปเองนั่นแหละ”

“ไปเลยกันเลยหรือเปล่าครับ”

“ไปก็ไป ออกไปวัดกัน” แม่แจ่มใจตอบเด็ดเดี่ยว แล้วหันไปยกตะกร้าที่ใส่ของเตรียมไว้แล้วมาให้สองหนุ่มช่วยถือ ส่วนตัวเองก็ถือตะกร้าอีกใบ

“นี่เราจะเดินไปเหรอครับน้าแจ่ม” ต้นกล้าเห็นแม่แจ่มใจเดินนำออกไปทางหน้าบ้านจึงถามขึ้น เพราะรถจอดอยู่คนละทาง

“เดินไปนี่แหละ วางห่อข้าวเขาต้องทำกันเงียบ ๆ “

“ครับๆ “แม่แจ่มใจบอกแล้วก็เดินนำออกไป

“ให้พี่ถือให้มั้ย”

“ก็ถือคนละอันแล้วไง”

“ต้นกล้าจะได้เดินเฉย ๆ ไง”

“วัดอยู่ไกลมั้ย” ต้นกล้าถามเมื่อพึ่งนึกได้ว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เขายังไม่เคยไปวัดเลยสักครั้ง เอาจริง ๆ ก็คือวัดอยู่ไหนต้นกล้าก็ไม่รู้หรอก เพราะเขาไม่ได้เป็นคนธรรมธรรมโมขนาดนั้น มันก็เลยลืม ๆ ไป พอต้องไปตอนนี้ล่ะถึงพึ่งจะนึกขึ้นได้

“ไม่ไกลเท่าไหร่หรอก เดินลัดออกไปตรงนี้แล้วเดินอีกนิดหน่อยก็ถึงแล้ว” เมื่อพากันเดินพ้นมุมถนนออกมาก็เห็นหลังคาโบสถ์เหนือยอดไม้อยู่ไม่ไกล ชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ออกมาวางห่อข้าวในเวลาเดียวกัน ต่างคนต่างก็เดินออกมามีทักทายกันบ้างแต่ก็ไม่ได้เอิกเกริกอะไร เพราะเป็นประเพณีที่ต้องทำกันอย่างเงียบ ๆ ไม่มีงานบุญไม่การรื่นเริงบันเทิงใจ แม่แจ่มใจที่เดินนำหน้าคุยกันเบา ๆ กับยายแก่คนหนึ่ง และมีชาวบ้านคนอื่น ๆ เดินออกมาสมทบอีกหลายคน ทำให้บรรยากาศไม่ค่อยน่ากลัว อย่างที่ต้นกล้าได้คิดจินตนาการเอาไว้ในตอนแรกนัก แม้จะเป็นคืนแรม เป็นคืนเดือนมืดที่ไม่มีแสงจันทร์นำทาง เพราะจันทร์แรมจะขึ้นให้เห็นช่วงเช้าไปจนถึงตลอดช่วงกลางวันและตกเอาตอนเย็น จะมีก็แต่ไฟตามทางภายในหมู่บ้านที่ติดเอาไว้เป็นระยะให้พอมองเห็นทาง

‘เฮ้ออ โล่ง’ นี่คือสิ่งที่ต้นกล้าคิด เพราะตอนแรกที่บอกว่ามาตีหนึ่งตีสองนี่คือคิดเอาไว้แล้ว ว่าดึก ๆ ดื่น ๆ กลางค่ำกลางคืนให้ออกมามันก็คงต้องมีความวังเวงน่ากลัวกันอยู่ไม่น้อย แต่พอเห็นชาวบ้านที่ทยอยออกมาเรื่อย ๆ ความตื่นกลัวที่มีอยู่ในหัวใจก็ค่อย ๆ คลายลง ถึงจะไม่ขนาดเข้าสู่ภาวะปกติแต่ก็ดีขึ้นมากล่ะนะ

“ไปหาที่วางเลยนะกล้า เดี่ยว กระจายกันออกไปทางโน้นด้วย แยกกันไป” แม่แจ่มใจหันมาบอกเมื่อเดินมาถึงกำแพงวัด เด็ดเดี่ยวจึงพาต้นกล้าแยกไปอีกทาง ทั้งสองเดินเลียบข้างกำแพงวัดผ่านชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่มาจับจองที่วางห่อข้าวน้อยกันอยู่ก่อนแล้ว ขายาวพาเดินไปจนเกือบจะสุดกำแพงวัดอยู่แล้ว ก็ยังไม่ได้ที่เหมาะ ๆ อย่างที่เด็ดเดี่ยวต้องการ

“จะเดินไปถึงไหนเนี่ย” ต้นกล้าอดถามไม่ได้ เพราะยิ่งคนตัวโตเดินไป ก็ยิ่งห่างจากชาวบ้านคนอื่นออกเรื่อย ๆ จนนึกเอะใจแบบนี้ต้นกล้าไม่ไหวแน่ เพราะยิ่งไกลออกมามันก็ยิ่งมืด ยิ่งเดินออกมาไกลยิ่งดูเหมือนว่าแสงสว่างส่องทางค่อย ๆ น้อยลงบางช่วงมันน้อยมากจนแสงแทบจะหายไปแล้ว แทนที่ด้วยความมืดดำ ยิ่งมืดก็ยิ่งดูเหมือนจะวังเวงวิเวกโหวงเหวงจนใจสั่น

“มาตรงนี้แหละ”

“กลับไปตรงโน้นไม่ดีกว่าเหรอ”

“ตรงนี้ล่ะ เงียบดี”

“เงียบไม่ดีหรอก”

“พิธีนี้เข้าให้ทำเงียบ ๆ มาวางตะกร้าเอาห่อข้าวออกมา” เด็ดเดี่ยวบอกมือก็หยิบใบตองที่เตรียมไว้ออกมาปู แล้วทยอยเอาห่อข้าว และห่อยาหมากพลูออกมาวาง ต้นกล้ากวาดตามองเลยไปข้างหลังของเด็ดเดี่ยว ก็มีแต่ความมืดสลัวและเงาที่วูบไหวชวนใจสั่น ความรู้สึกบางอย่างเคยเกาะกินหัวใจที่มันลดลงในคราแรก เริ่มกำเริบขึ้นมาช้า ๆ หันย้อนกลับไปมองทางเก่าที่เดินผ่านมา ชาวบ้านต่างคนก็ต่างเตรียมจัดวางห่อข้าวของตัวเองเงียบ ๆ โดยไม่สนใจคนอื่นเช่นกัน

หันกลับมามองเด็ดเดี่ยวที่กำลังขะมักเขม้นจัดห่อข้าว แล้วตาเจ้ากรรมก็อดไม่ได้ ที่จะมองเลยออกไปยังความมืดสลัวเบื้องหลังของคนตัวโต เหมือนกับว่ายิ่งกลัวเหมือนยิ่งยุ ในความมืดที่มีต้นไม้เล็กใหญ่ขึ้นสลับกัน บ้างเป็นไม้ยืนต้นสูงใหญ่ใบหนา บ้างเป็นพุ่มสลับกันสูงต่ำจึงเห็นเป็นเงาตะคุ่มดูไม่น่าไว้ใจ ต้นกล้ารู้ว่าเบื้องหลังป่ามืดตรงนั้นคือแม่น้ำสายเล็กที่ไหลผ่านหมู่บ้านไปยังเขื่อนที่อยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ทั้งที่กลัวแต่ทำไมไม่อาจห้ามสายตาตัวเองให้กวาดมองไปรอบ ๆ ได้ หรือต้นกล้ากำลังทำให้ตัวเองแน่ใจ ว่าตอนนี้ก็เหมือนเวลาทั่วไป ไม่มีอะไรแอบแฝง ไม่มีสิ่งลี้ลับน่ากลัว เพียงแค่มีความมืดเข้ามาเป็นสิ่งเร้าชวนใจสั่นก็เท่านั้นเอง

ลมพัดมาเป็นระยะจนยอดไม้ไหวน้อย ๆ พอให้ใจตื่น ทำให้เห็นความเคลื่อนไหวในความสลัว ซึ่งก็คงพอจะวางใจได้บ้างแล้ว ว่าคงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ต้นกล้าก้าวขาเดินเข้าไปหาคนตัวโตที่กำลังจุดเทียนเล่มน้อยวางลง แต่เพียงสองก้าวขณะกำลังจะทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า ก็เหมือนมีบางอย่างผุดเข้ามาในครองสายตา อะไรบางอย่างที่ทำให้ต้นกล้าต้องตัวแข็งทื่อทำตัวไม่ถูก เมื่อเหลือบตาขึ้นมองเลยไปทางด้านหลังของเด็ดเดี่ยวอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ท่ามกลางความมืดของคืนแรม และความสลัวของแสงไฟที่ส่องไม่ถึง ตรงนั้นจึงดูลางเลือน แต่เมื่อลมพัดยอดไม้ให้ไหวอีกครั้ง จึงเป็นการเปิดให้แสงสุดท้ายจากหลอดไฟหลอดสุดท้าย ที่ติดอยู่มุมกำแพง ส่องไปตกกระทบกับร่างร่างหนึ่งที่อยู่ตรงนั้น ร่างร่างหนึ่งที่มีสีขาวหม่นในเงามืดยืนนิ่งอยู่ที่นั่น ทำให้ต้นกล้าเสียววาบตั้งแต่หัวใจไปถึงปลายเท้า รู้สึกเหมือนตัวเองหล่นวูบลงจากที่สูง แล้วลอยดิ่งเคว้งคว้างลงในหลุมมืดจนใจเต้นรัว ลมหายใจหอบแรงถี่รัวรับกับอัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้น ร่างสูงโปร่งของหนุ่มหล่อเกาหลีสั่นสะท้าน เพราะความกลัวเกาะกินหัวใจ นั่นมัน นั่นมัน คือ อะ อะไร....

เลื่อนลงอ่านต่อค่ะ...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


ตาสวยที่เบิกค้างในตอนแรกเมื่อเห็นสิ่งนั้นเริ่มกระพริบถี่ รับกับจังหวะหอบหายใจที่กระชั้นขึ้นตามความตื่นตกใจของตัวเอง ต้นกล้ากระพริบตาเร็ว ๆ แล้วหลับนิ่งลง ริมฝีปากสวยแบะออกพร้อมกับทำขมุบขมิบเหมือนบ่นอะไรสักอย่าง ใจอยากวิ่งหนีไปจากตรงนี้ แต่ขาเหมือนมีหินสักสิบตันถ่วงเอาไว้ อยากจะยกขึ้นยังทำไม่ได้เรื่องวิ่งไม่ต้องพูดถึง ต้นกล้าสูดหายใจเฮือกสุดท้ายเข้ายาวลึกแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง เพื่อให้สายตาปรับให้คุ้นชินกับความมืดได้ดียิ่งขึ้น นี่เป็นความกล้าที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะหากเป็นปกติเขาคงวิ่งหนีป่าราบไปแล้ว และอาจจะด้วยเห็นว่ามีคนตัวโตอย่างเด็ดเดี่ยว และชาวบ้านคนอื่นอีกหลายอยู่เต็มไปหมด เลยยังรู้สึกอุ่นใจ จนเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งภาพนั้นก็เหลือเพียงความสลัว แต่ร่างนั้นก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม!

นิ่ง! แข็ง! ทื่อ! อยู่ในท่าเดิมไม่เปลี่ยน ต้นกล้ามองหวาด ๆ จนลมวูบใหญ่พัดมาอีกครั้ง ยอดไม้จึงถูกพัดแรงกว่าเดิม เผยให้แสงที่ถูกบังในคราวแรกเล็ดลอดไปถึงสิ่งนั้น ยอดไม้ไหวไปตามลมเป็นจังหวะของมัน ผิดกับหัวใจดวงน้อยที่เต้นตุบ ๆ เร่งจังหวะตื่นตัว แสงที่วูบไหวส่องลอดไปกระทบกับสิ่งที่ยังนิ่งสนิทอยู่ที่เดิมเหมือนถูกสาป ใจดวงน้อยยังคงเต้นกระหน่ำ ตาสวยมองค้างเหมือนถูกสาปให้จับจ้องอยู่แต่จุดนั้นจุดเดียว ลมธรรมชาติยังพัดโชยมาเรื่อย ๆ พาให้ยอดไม้อ่อนไหวไปตามกระแสของมัน และนั่นทำให้ต้นกล้าที่ยังจับสายตามองนิ่งเหมือนถูกตรึงได้เห็นว่า เงาร่างขาวหม่นที่เห็นในคราวแรกนั้น มันคือ มันคือ

มันก็คือ....

มันก็แค่...

ต้นไม้!! ต้นยูคาลิปตัส!!

จากครั้งแรกที่ประสบจนได้รู้ว่ามันคืออะไรนั้นใช้เวลาเพียงครึ่งนาที แต่สำหรับคนกลัวผีที่มีแต่ความหวาดระแวงหวั่นไหวในหัวใจ ให้รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่นานชั่วกัปชั่วกัลป์ ต้นกล้ารู้สึกโล่ง ใช่ นั่นคือความรู้สึกของเขาตอนนี้ แต่ถ้าถามว่ายังมีความกลัวอยู่ไหม บอกเลยว่ามาก จนกว่าจะหมดภาระหน้าที่จากตรงนี้ จนกว่าจะได้กลับไปในที่ของตัวเอง และจนกว่าว่าเช้าวันใหม่ที่ผ่านพ้นคืนวันปล่อยผีนี้จะมาถึง นั่นแหละคนหวาดระแวงในความกลัวของตัวเองถึงจะวางใจได้

“เอ้า ยืนอยู่ทำไม นั่งลงสิ” เฮือก!

“เอ่อ..” ในความจริงแล้วต้นกล้าแทบจะไม่ได้ยินเสียงพูดเบา ๆ ของเด็ดเดี่ยวที่นั่งคุกเข่าอยู่ หากไม่ได้แรงกระตุกที่ข้อมือ คนหล่อเกาหลีก็คงยังย่อตัวค้างเหม่อมองเหมือนถูกสาปอยู่อย่างนั้น ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าทับส้นเท้าข้างคนตัวโต ที่วางห่อข้าวจัดไว้เรียบร้อยแล้ว ต้นกล้าวางตะกร้าที่ถืออยู่แล้วเอาห่อข้าวของตัวเองออกมาวางบ้าง แต่ตาสวยก็ยังไม่วายเหลือบมองข้างหลังเป็นระยะอย่างหวาดระแวง

“มองหาใคร”

“เฮ้ยเปล่า” ร่างโปร่งสะดุ้งจนน่าสงสารเมื่อได้ยินเสียงเด็ดเดี่ยวถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ “อย่าถามอะไรแบบนี้สิ ไม่ดีรู้มั้ย”

“ไม่ดีตรงไหนล่ะ ก็แค่ถามว่ามองหาใคร”

“ก็..ก็มันไม่ดีอะ ไม่ดีก็แล้วกันนะมันไม่มีใครหรอก” เหมือนจะปลอบตัวเองมากกว่า เด็ดเดี่ยวมองต้นกล้าที่หลบตาทำเป็นจัดของก็ได้แต่ยิ้มบาง ๆ พลางคิดว่านี่เขาคงไม่ใจร้ายกับอีกคนมากเกินไปหรอกใช่ไหม หากเด็ดเดี่ยวจะทำให้ต้นกล้าเลิกกลัวเลิกหวาดระแวงความคิดของตัวเอง ที่มีต่อสิ่งลี้ลับมองไม่เห็นลงได้บ้าง เพราะต้นกล้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นมันตัวตนอยู่จริงหรือเปล่า

“ไม่มีได้ยังไง มันเข้าคืนแรม 14 ค่ำแล้ว ต้นกล้าก็รู้ว่าวันนี้มันมีอะไรพิเศษ” พิเศษตายล่ะพูดออกมาทำไมวะ ต้นกล้าจิกตามองค้อนคนตัวโต แล้วก็ให้หน้าเสียตัวเริ่มสั่นกับคำบอกของคนหน้ามึน หวนนึกถึงคำพูดและเรื่องราวที่เขาพยายามทำเป็นลืมไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าไอ้คนหน้ามึนนี่จะไม่ยอมจบสักที หากเป็นแบบนี้อีกไม่นานคงมีต่อยกันแน่

“จะ จะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา ไหนทำยังไงต่อ” ต้นกล้าเปลี่ยนเรื่องให้เด็ดเดี่ยวหันมาสนใจห่อข้าวน้อยที่วางเรียงรายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

“จุดเทียนก่อน แล้วค่อยจุดธูปบอก”

“อืม” ต้นกล้าทำตามที่เด็ดเดียวบอกด้วยมือที่สั่นเทาจนเห็นได้ชัด จนกระทั่งเขาจุดธูป

“เอาล่ะถือธูปพนมมือขึ้นว่าตามพี่ ขอให้ญาติพี่น้องที่ล่วงลับ เปรต สัมภเวสี วิญญาณเร่ร่อน ทั้งหลาย จงมารับส่วนบุญส่วนกุศล และอาหารที่ข้าพเจ้าอุทิศให้เหล่านี้ไปด้วยเถิด สาธุ”

“ดะ เดี๋ยวสิ” ต้นกล้าเรียกเบา ๆ ด้วยเสียงสั่น ๆ เมื่อเด็ดเดี่ยวพูดจบ เพราะเหมือนกับว่ามีลมเย็นเฉียบพัดผ่านตัวไปจนรู้สึกได้ ขนแขนของต้นกล้าลุกชันขึ้นมาทันที โดยไม่ต้องคิดมาก เจ้าของร่างโปร่งบางก็ขยับเข้าไปหาคนตัวโตจนตัวแทบติดกัน

“อะไร”

“บอกให้เขามารับหลังจากที่เรากลับไปแล้วไม่ได้เหรอ”

“อ้าว หึ ๆ ไม่ได้ต้องว่าตามนี้พูดได้แล้ว นี่มันเป็นการบอกกล่าวเรียกเขามาเอา ถ้าไม่เรียกเดี๋ยวเขาจะรับเอาไม่ได้”

“เราไม่พูดได้มั้ย”

“ไม่ได้ต้องพูดเดี๋ยวเขาจะไม่ได้รับ” ปากสวยแบะออกโดยไม่รู้ตัว ใจลึก ๆ นั้นก็อยากทำบุญอยากแบ่งปัน แต่กระนั้นความศรัทธาก็ไม่สามารถข่มความกลัวที่ฝังติดอยู่ในหัวเอาไว้ได้ ต้นกล้าจึงมีสภาพเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างที่เห็น

“พูดแล้วเราจะกลับได้เลยใช่ไหม”

“ไม่ได้ต้องรอก่อน”

“ระ รอ รออะไร กลับเถอะนะ เราจะพูดแล้วกลับเลย ใครจะอยู่ก็ช่าง”

“มันก็เหมือนกับว่าเราไม่เต็มใจสิ”

“เราเต็มใจแต่เราไม่อยู่” ว่าแล้วต้นกล้าก็ยกมือที่ถือธูปขึ้นมาประนมขึ้นเหนือหัว แล้วพูดตามที่เด็ดเดี่ยวพูดไปก่อนหน้านั้นด้วยเสียงที่คนฟังรู้เลยว่าสั่นมากแค่ไหน “ให้ผมไปแล้วค่อยมาเอานะครับ ผมยกให้ทั้งหมดด้วยความเต็มใจสาธุ” พูดจบก็ปักธูปลงตรงกลางห่อข้าวที่เรียงรายแล้วลุกขึ้น โดยไม่ลืมตะกร้าคู่ใจที่ถือมาด้วย

“รอพี่ก่อนสิ”

“ไม่มาก็อยู่ไปคนเดียวเถอะ เราไม่อยู่แล้ว” ต้นกล้าเดินไปทางที่เห็นแม่แจ่มใจเดินออกมาพอดี โดยมีสายคาคมของเด็ดเดี่ยวมองตามไปพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันกลับมาเก็บตะกร้าที่ถือมา แล้วลุกขึ้นเดินตามอีกคนไปด้วยท่าทางอารมณ์ดี ทิ้งให้สิ่งที่อยู่เบื้องหลังรับเอาส่วนบุญ และอาหารคาวหวานที่หนุ่มทั้งสองอุทิศให้อย่างหิวโหย!






ห่อข้าวน้อย (ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต) Cr.ในรูปฮับ

ทางเดินริมกำแพงวัดเรียงรายไปด้วยห่อข้าวน้อย หรือห่อข้าวห่อเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านเอามาวาง บ้างก็วางตามข้างทาง ใต้ต้นไม้ เห็นได้จากเทียนดวงเล็ก ๆ ที่จุดเอาไว้ แสงเทียนพลิ้วไปตามแรงลม

“กลับเลยมั้ยครับน้าแจ่ม”

“จ้ะ กลับก็กลับ แล้วพ่อเดี่ยวล่ะ”

“โน่นครับอยู่เฝ้าห่อข้าว ช่างเขาเถอะ ว่าแต่ตกลงไอ้จ๋าไม่มาใช่มั้ยครับ”

“มันคงไม่มาเพราะน้าก็ไม่เห็นเหมือนกัน”

“อ้าว แล้วจะไม่เป็นไรเหรอครับ”

“ไม่เป็นไรนี่ มาก็ได้ไม่มาก็ไม่เป็นไร ปะกลับกันดีกว่าดึกมากแล้ว” ต้นกล้าเดินตามแม่แจ่มใจกลับบ้านพร้อมกับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันคนบางคนในใจ ที่หลอกให้เขาต้องออกจากบ้านมาเผชิญกับอะไรๆ ที่เขาเองอยากหลีกหนี ทั้งที่เขาจะไม่มาก็ได้ แต่อีกคนก็ยังโกหกหลอกให้มา โดยอ้างเรื่องความจำเป็นเหมือนกับว่าทุกบ้านทุกคนต้องมา ทำให้ต้นกล้าคิดว่าตัวเองก็ไม่สามารถเลี่ยงหรือปฏิเสธได้ แถมยังหยิบยกเอาความท้าทายแบบที่ต้นกล้ายอมไม่ได้ออกมาพูด ทำให้คนรักศักดิ์ศรียิ่งชีพอย่างเขา ตามคติในใจว่า จะฆ่าก็ฆ่าเถอะแต่อย่าหยาม ต้องยอมก้าวข้ามความกลัว ทั้งที่ยังกลัวจนตัวสั่นเดินลงจากบ้านมา เด็ดเดี่ยวไอ้คนหน้ามึนจำไว้เลย จำเอาไว้ให้ดี ๆ

ตลอดทางประมาณ 300 เมตรจากวัดไปสู่ตัวหมู่บ้านมีห่อข้าวน้อยวางไว้เป็นระยะ พร้อมธูปที่จุดเรียกและเทียนที่จุดให้ความสว่างวางเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าตันกล้าไม่มองไปยังจุดวางห่อข้าวเหล่านั้น ให้ตัวเองเสียวสันหลังเล่นหรอก เขาเดินคุยกับแม่แจ่มใจเบา ๆ ผ่านถนนกลางหมูบ้านแล้วลัดเข้าอีกซอย เพื่อแยกออกจากตัวหมูบ้านมา จากนั้นเดินกันไม่นานก็ถึงหน้าบ้านของแม่แจ่มใจ

“น้ารีบขึ้นนอนก่อนนะ ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นอีกแล้ว”

“ครับน้าแจ่ม นี่ครับตะกร้าขอบคุณนะครับที่ช่วยเตรียมห่อข้าวให้ผม”

“ไม่เป็นไร ไปรีบกลับไปนอนต่อได้แล้ว”

“ครับ” แม่แจ่มใจแยกเดินเข้าบ้านตัวเองไปแล้ว ต้นกล้าจึงพึ่งนึกอะไรบางอย่างได้ หันกลับไปมองทางที่พึ่งเดินผ่าน ด้วยคิดว่าจะเห็นคนตัวสูง ๆ เดินตามมา แต่ถนนที่มีแสงไฟส่องสลัวนั่นกลับว่างเปล่า มองเลยไปก็ไม่เห็นใครสักคน นอกจากทางโล่ง ๆ และเงียบเชียบ ทุกอย่างนิ่งสนิทราวกับเวลาถูกหยุดไว้ ตาสวยกวาดมองไปทั่วบริเวณ ที่ความเงียบเริ่มคืบคลานเข้ามารอบตัว เหมือนมันกระชับพื้นที่เข้ามาเรื่อย ๆ จนเริ่มเกาะกินหัวใจ

พรึ่บ!

“เฮ้ย” ต้นกล้าสะดุ้งตกใจ เมื่อไฟที่เปิดไว้ใต้ถุนบ้านของไอ้จ๋าดับลง นั่นแสดงว่าแม่แจ่มใจคงเข้านอนแล้ว หายใจเข้าลึกเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง แต่กลับไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด เมื่อความกลัวเข้าครอบงำจิตใจ ร่างโปร่งก็เริ่มสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

เด็ดเดี่ยว...อยู่ไหน ต้นกล้าได้แต่ร่ำร้องหาอีกคนในใจ อยากร้องเรียกอกมาดัง ๆ แต่ก็รู้กันอยู่ว่าทำแบบนั้นไม่ได้ ตาสวยหันไปมองทางเข้าบ้านตัวเองซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก ประตูไม้บานใหญ่เปิดไฟส่องให้บริเวณนั้นสว่างพอสมควร ในหัวคิดหาทางเอาตัวรอด แต่ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเดินไปทางนั้น หรือเดินลัดไปอีกทางตรงข้างบ้านของไอ้จ๋าดี เพราะไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็ต้องผ่านช่วงที่มีความมืดอยู่ดี ก็อย่างทีรู้กันอยู่แล้วว่าบ้านสองหลังนี้ ถึงจะอยู่ในอาณาเขตที่ดินผืนเดียวกัน แต่ก็ปลูกอยู่ในสวน เดินไปข้างบ้านมันก็ต้องผ่านสวนที่มีต้นมะม่วงปลูกขั้นเอาไว้เป็นสวนเล็ก ๆ แต่หากเดินอ้อมไปเข้าทางประตูใหญ่หน้าบ้านที่ต้องขับรถเข้า ยังไงก็ต้องเดินผ่านช่วงที่มืด ๆ นั่นอยู่ดี ต้นกล้าคิดหนัก แต่ดูเหมือนว่ายิ่งคิดเวลาก็ยิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว แล้วความกลัวก็พอกพูนทบทวีขึ้นเรื่อย ๆ หนุ่มหล่อเกาหลีที่เคยภูมิใจในตัวเองนักหนา นึกเกลียดบ้านสวนของคุณยายขึ้นมาจับใจ แต่จะยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคืนก็คงใช่ที่ ตาสวยมองทางเข้าบ้านสลับกับทางข้างบ้าน เหมือนไม่รู้จะตัดสินใจเลือกทางไหนดี ไอ้ครั้นจะเรียกแม่แจ่มใจที่ดูเหมือนว่าจะไม่เกรงกลัวต่อสิ่งลี้ลับใด ๆ ให้เดินไปส่ง ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอน แบบนั้นคงมีหัวเราะกันให้ได้อายไปสามบ้านแปดบ้านเป็นแน่แท้

ต้นกล้ายืนหันรีหันขวางอย่างน่าสงสาร หันกลับไปมองทางที่เดินผ่านมาอีกครั้ง ด้วยหวังว่าจะมีร่างสูงที่คุ้นเคยเดินตามมา แต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาก็ยังเป็นความว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม ทางโล่งเงียบและยังไม่เห็นมีวี่แววของคนคนนั้น สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวตอนนี้คือคำถามโง่ ๆ เท่าที่ต้นกล้าสามารถคิดได้ นั่นก็คือเด็ดเดี่ยวหายไปไหน ไม่รู้หรือยังไงว่าเขากลัว เอ๊ะ ก็ไม่รู้จริง ๆ นี่นา และก็คงให้รู้ไม่ได้ ต้นกล้าคิดแต่ดันลืมสนิทถึงวันแรกที่เจอกัน เพราะมัวแต่คาดโทษและต่อว่าอีกคน ที่แค่นี้ก็จะทิ้งกันแล้ว ต้นกล้าอยากร้องไห้ เขาอยากให้จิตใจของตัวเองเข้มแข็ง และไม่หวั่นกลัวต่อสิ่งที่มองไม่เห็น ความกลัวที่เกิดขึ้นทั้งที่ไม่เคยได้เห็นสิ่งนั้นจริง ๆ กับตาตัวเอง กลัวทั้งที่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันมีจริงหรือเปล่า กลัวกับแค่จินตนาการของตัวเอง อย่าว่าแต่เห็นของจริงเลยแม้แต่หนังผียังไม่กล้าดู ไม่รู้ว่าเขาเอาความกลัวนี้มาจากไหน แต่สรุปแล้วยังไงมันก็คือกลัว แบบนี้เขาเรียกว่าไม่มีเหตุผลใช่ไหม นั่นคือสิ่งที่คนกลัวผีทุกคนต้องหาคำตอบ แต่สำหรับต้นกล้า ถามว่าเคยเห็นมาก่อนหรือเปล่าบอกเลย ไม่! แต่หากจะถามว่าไม่เคยเห็นแล้วทำไมถึงกลัวนั้นก็ตอบไม่ได้อีก กลัวก็คือกลัวจะอะไรนักหนามันกลัวออกมาจากความรู้สึกลึก ๆ จากหัวใจและจะไม่สามารถควบคุมได้เมื่ออยู่ในความมืด ตอนนี้แค่คิดว่าจะกลับบ้านยังไงเท่านั้นก็พอ

หน้าบ้าน ข้างบ้าน หน้าบ้าน ข้างบ้าน หน้าบ้าน ข้างบ้าน สองทางเลือกที่ไม่แตกต่าง เอ๊ะหรือแตกต่างวะ เข้าทางประตูหน้าบ้านเดินไปไกลกว่า แต่ก็ต้องผ่านสวนมืด ๆ ตรงนั้น ส่วนลัดไปทางข้างบ้านผ่านสวนมะม่วง ถึงสวนจะไม่ใหญ่เพราะปลูกอยู่แค่สามแถว แต่ไม้ยืนต้นพุ่มใบหนาอย่างต้นมะม่วงก็กระตุ้นความรู้สึกได้ไม่แพ้กัน เอายังไงดี เอายังไงดี อยากร้องไห้ นี่คือสิ่งที่ต้นกล้ากำลังคิด แต่เขาก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งจะให้ร้องออกมาง่าย ๆ มันก็กะไรอยู่ อยากเขกหัวตัวเองแรง ๆ สักที ไม่น่าเลยไม่น่าบอกอีกคนไปแบบนั้นเลย ป่านนี้คนตัวโตอาจจะโกรธหรือไม่พอใจจนไม่ตามมาก็ได้ หรืออาจจะกลับบ้านไปแล้วก็ได้ ทั้งที่จะไปไหนก็น่าจะมาเอารถตัวเองก่อนนะ รถยังจอดอยู่หน้าบ้านคุณยายอยู่เลย ฮึ่ย

ต้นกล้าตัดสินใจไม่ได้ยิ่งคิดยิ่งร้อนรนและหันรีหันขวาง ยิ่งคิดยิ่งกระวนกระวายจนสั่นเทิ้มไปหมดทั้งตัวแล้ว ยืนเคว้งคว้างหันหน้าหันหลังอยู่นาน แต่ก็ยังคิดไม่ตก กลัวก็กลัว คิดถึงเด็ดเดี่ยวก็คิดถึง ไม่รู้ทำไมต้องคิดถึง ไม่รู้ทำไมต้องอยากให้อีกคนมาอยู่ตรงนี้ มาบอกเขาว่าไม่เป็นไรแล้วเดินกลับบ้านด้วยกัน บ้านที่อยู่ห่างจากตรงนี้ไม่ไกลเลย แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะกลับเอง ถ้ารีบวิ่งไปเร็ว ๆ จะทันไหมนะ วิ่งไปทางไหนจะดีกว่ากันนะ และขณะที่กำลังหันรีหันขวางอย่างคนเลือกไม่ได้ ว่าจะไปทางไหนหรือจะเอายังไงกับตัวเองดีนั้น ก็มีบางสิ่งบางอย่างเร่งต้นกล้าให้รีบตัดสินใจ...

โฮ่ง โฮ่ง โฮวววววววววววววววววววววว

โฮ่ง โฮ่ง โฮวววววววววววววววววววววว

โฮ่ง โฮ่ง โฮวววววววววววววววววววววว

!! เสียงหอนโหยหวนลากยาวจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ขนหัวลุก ขนแขนลุก ขนอ่อนตามร่างกายพร้อมใจกันลุกอย่างเท่าเทียม ความเย็นยะเยือกแทรกลึกเข้าสู่ขั้วหัวใจ เสียงโหยหวนหอนรับกันมาเป็นทอด ทำเอาใจดวงน้อยแทบหล่นวูบลงไปอยู่ตาตุ่ม ต้นกล้าหันรีหันขวางหนักยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับเสียงเล่าขานของเด็ดเดี่ยวดังขึ้นมาในหัว เหมือนจะตอกย้ำความกลัวให้ทะลุเพดานพุ่งสู่จุดสูงสุด

‘คืนแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า ว่ากันว่าเป็นคืนปล่อยผี’ หน้าบ้าน ข้างบ้าน

‘ยมบาลจะปล่อยให้ผีออกมาเยี่ยมญาติบนโลกมนุษย์’ ข้างบ้าน หน้าบ้าน ต้นกล้าท่องในใจร่างกายสั่นเทิ้ม ลมหายใจหอบถี่อย่างน่าสงสาร เอาวะอยู่ก็เสี่ยงหัวใจวาย ไปก็ไปแค่วิ่ง วิ่งให้เร็วที่สุดอย่าให้อะไรก็ตามวิ่งมาทัน ลัดไปทางข้างบ้านนี่ล่ะง่ายดี ไม่ต้องเปิดประตูให้เสียเวลาด้วย! เมื่อต้นกล้าตัดสินใจได้แล้วก็..

อ๊ากกกก ร้องเสียงดังแล้วออกวิ่ง โดยไม่ลืมกระโดดข้ามกระถางต้นไม้ของลุงสมควรที่วางเรียงราย แล้ววิ่งต่ออย่างไม่คิดชีวิต เพราะเสียงหอนโหยหวนชวนรู้สึกขนลุกที่ดังตามหลังมานั้น มันเป็นแรงขับเคลื่อนให้อย่างดี เหมือนบอกว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ต้นมะม่วงเรียงสามแถวท่ามกลางความมืดดำของคืนแรม ดูเหมือนใบของมันจะหนาและมืดทึบมากกว่าทุกวัน จนกลัวว่าจะมีอะไรแฝงตัวอยู่ในนั้น ต้นกล้าวิ่งแบบไม่คิดชีวิต เพื่อให้พ้นจากบริเวณนี้ไปสักที แต่ยังไม่ทันจะวิ่งพ้นความมืดวังเวงที่ปกคลุมพื้นที่สวน ก็ให้รู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่าง เกี่ยวดึงรั้งข้อเท้าของเขาเอาไว้ และ..

ตุบ!

“โอ๊ย” ต้นกล้าร้องเสียงดังเมื่อเสียหลักล้มคะมำลงกับพื้น จนหน้าหล่อเกาหลีทิ่มลงดินมอมแมม ร่างสูงโปร่งนอนคว่ำราบอย่างน่าอาย เกิดความรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าแต่ก็ทำได้เพียงแค่เอามือลูบคลำสองสามที ใบหน้าหล่อที่หลายคนเคยหลงใหล เปลี่ยนเป็นใบหน้าเหลอหลาตื่นตกใจเมื่อเงยขึ้น ในหัวคิดว่ายังไงก็ต้องรีบไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด จึงใช้ข้อศอกยันพื้นในท่าเตรียม เขาหันรีหันขวางก่อนจะลุกขึ้นวิ่งต่อ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ตาเจ้ากรรมจะดันไปปะทะกับบางสิ่งบางอย่างเข้าเสียก่อน บางสิ่งบางอย่างที่ทำเอาร่างกาย หยุด! นิ่ง! ค้าง! ชะงัก! เลือดในกายเย็นเฉียบราวกับถูกแช่แข็ง แม้ความหอบสะท้านเพราะเหนื่อยจากการออกวิ่งสุดแรงยังคงมีอยู่ และรู้สึกถึงความขัดยอกของร่างกายจากการล้ม แต่ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านั่นทำให้ต้นกล้าบอกตัวเอง ว่าต้องรีบไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ทั้งที่ภาพนั้นมันแทบจะทำให้เจ้าของร่างโปร่งหยุดหายใจมันลงเดี๋ยวนี้อยู่แล้ว

ที่ตรงนั้นห่างจากจุดที่ต้นกล้าล้มลงไปเพียงสองก้าวยาว ๆ มีแสงไฟที่ส่องลอดพุ่มใบหนาของมะม่วงต้นเตี้ยเข้ามา และสิ่งนั้นที่ตรึงสายตาของต้นกล้าเอาไว้ มันไม่ใช่โคนต้นมะม่วงอย่างที่ควรจะเป็น แต่เป็นสิ่งที่ทำให้ร่างกายทุกส่วนหยุดนิ่ง แม้แต่หัวใจก็ยังอยากจะหยุดเต้น เกิดอาการชะงักไปชั่วขณะ แต่พออาการชะงักหายไปอาการสั่นก็เข้ามาแทนทันที กับสิ่งที่กำลังประจักชัดแก่สายตานะเสนอโดยแสงไฟไกล ๆ ที่ลอดเข้ามาให้มองเห็นได้เต็มตา มันคือเท้าคู่หนึ่งที่ยืนชิดนิ่งราวกับถูกตรึงให้แข็งทื่ออยู่กับที่ เท้าที่ดูมอมแมมไปด้วยฝุ่นดินเหมือนพึ่งเดินผ่านเส้นทางแสนยาวไกลมา ประตูนรกคงอยู่ไกลมากสินะ เท้าคู่นั้นสวมใส่รองเท้าแตะหูหนีบสีดำ และยืนสงบนิ่งไม่ไหวติงหรือขยับเขยื้อน ต้นกล้ากลัวที่จะเงยหน้าขึ้นไปสำรวจให้สูงกว่านี้จึงมองต่ำอยู่เฉพาะเท้า แค่เท้าคู่นั้นก็เล่นเอาตัวอ่อนไร้เรี่ยวแรงแทบไปไม่เป็น ระยะเผาขน*! * นี่คือระยะเผาขนจริง ๆ สิ่งที่ต้นกล้าพยายามหลีกหนีมัน ตอนนี้อยู่ใกล้ในระยะที่เรียกว่าเผาขน และ..และต้นกล้าต้องไปจากที่นี่ ไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด แต่จะไปยังไงทำไมแรงจะลุกขึ้นมันไม่มีนี่คือปัญหา!

ยังไม่จบน้าาาาา ลงๆๆๆ

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


ใครก็ได้ช่วยที พี่เดี่ยวช่วยกล้าด้วย พี่เดี่ยวอยู่ไหน ช่วยด้วย ช่วยที! ต้นกล้านึกว่าตัวเองกรีดร้องตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดัง เพื่อเรียกให้อีกคนมาช่วย ทั้งที่ความจริงมันเป็นแค่เสียงอืออาเงอะงะที่ดังออกมาไม่พ้นลำคอ ร่างโปร่งอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ เมื่อถูกความกลัวเข้ากัดกินหัวใจ มันกระชับพื้นที่ภายในอย่างรวดเร็วจนแทบขาดสติ ทำไมต้นกล้าถึงได้โชคร้ายแบบนี้ ที่ต้องมาเจออะไรที่ไม่อยากเจออย่างนี้ สิ่งนี้คือสิ่งที่เขาเรียกกันว่าผีใช่ไหม ถ้าใช่ต้นกล้าอยากจะขอร้องคุณผีให้ละเว้นแล้วไปที่ชอบ ๆ เถอะ ห่อข้าวน้อยก็เอาไปวางให้แล้วยังจะตามมาทำไมอีก ไม่ต้องมาขอบคุณก็ได้ต้นกล้าเต็มใจให้ไม่หวังผล อยากบอกออกมาแบบนั้น อยากบอกออกมาตรง ๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะลืมวิธีพูดไปแล้ว ตัดสินใจกราบข้อร้องอ้อนวอนคุณผี และในขณะที่รวบรวมกำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ เพื่อยกสองมือสั่น ๆ ขึ้นพนมอ้อนวอน และร้องขอความเห็นใจจากคุณผี ก็เหมือนกับว่าบุญของต้นกล้ายังมีเหลืออยู่ เมื่อ..

“ต้นกล้า” เฮือก!! ต้นกล้าสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงคุ้นเคยดังเข้ามาในโสตประสาท เขาชะงักแล้วหันไปตามเสียงที่ดังมาจากบ้านหลังใหญ่ เห็นใครคนนั้นที่กำลังต้องการตัวยืนอยู่ และ....

“อ้าก เด็ดเดี่ยวเราอยู่นี่” สิ่งที่ยืนนิ่งอยู่ในความมืดได้แต่มองตามงง ๆ มันอ้าปากค้างและขมวดคิ้ว เมื่อหรี่ตามองตามด้วยท่าทางงุนงงสงกะสัย เพราะยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมาสักคำ เมื่อคนที่ล้มฟุบอยู่ตรงหน้า รวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ปากก็ร้องเรียกคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านแล้ววิ่งออกไป ราวบั้งไฟถูกจุดฉนวน ความแปลบที่ข้อเท้าส่งสัญญาณเตือนว่ามันยังเจ็บ แต่สำหรับต้นกล้าเวลานี้อะไรก็ฉุดเขาไม่อยู่แล้ว

เด็ดเดี่ยวเดินมาถึงบ้าน โดยลัดมาคนละทางกับต้นกล้าและแม่แจ่มใจ เห็นบ้านเงียบ ๆ ไม่รู้ว่าต้นกล้ากลับมาถึงหรือยังจึงส่งเสียงเรียก สักพักก็ได้ยินเสียงของคนที่เรียกหาดังมาจากอีกทาง จึงหันกลับไปทางต้นเสียง และได้ก็เห็นร่างสูงโปร่งวิ่งหน้าตั้งเหมือนหนีอะไรสักอย่างมา

“เด็ดเดี่ยวช่วยเราด้วย” ขาวิ่งปากก็ร้องขอความช่วยเหลือ มาถึงก็กระโดดกอดคอคนตัวโตเสียแน่นพร้อมขาสองข้างตวัดเกี่ยวเข้าที่เอว ให้เด็ดเดี่ยวรับน้ำหนักเอาไว้เองคนเดียวทั้งหมด ดีที่ชายหนุ่มตั้งหลักทันตอนนี้เขาจึงมีสภาพเหมือนแม่ลิงกำลังกระเตงลูกลิงเข้าเอวก็ไม่ปาน เอ๊ะ! หรือว่าเขาจะเป็นลิงอุ้มแตงดีหว่า

“ต้นกล้าเป็นอะไร”

“คนใจร้ายไปไหนมา ฮือเราช่วยด้วย ช่วยด้วย” รีบละล่ำละลักบอกจนแทบจะฟังไม่รู้เรื่อง ต้นกล้าตัวสั่นจนเด็ดเดี่ยวรู้สึกได้ ชายหนุ่มมองไปยังทางที่อีกคนวิ่งมา แต่ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติจึงกระซิบถามเบา ๆ

“เป็นอะไรวิ่งหนีอะไรมาหืม” ต้นกล้าเอาแต่ซุกหน้ากับซอกคอคนตัวโต แล้วส่ายหัวไม่ยอมตอบคำถาม เด็ดเดี่ยวจึงไม่ได้เห็นว่าบัดนี้ใบหน้าหล่อใสนั้นซีดเผือด ราวกับเลือดได้หายไปหมดตัวแล้ว วงแขนที่รัดต้นคอดูจะแน่นขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับน้ำหนักของใบหน้าที่กดบดบี้ลงที่ซอกคอแกร่ง ตัวหรือก็ยังสั่นจนชายหนุ่มรู้สึกได้ แบบนี้มันเล่นเอาคนที่กำลังอุ้มสั่นตามขึ้นมาเหมือนกัน แต่คนล่ะอารมณ์ อย่าทำกับพี่อย่างนี้สิครับคนดี อืม “ไหนบอกพี่ซิเป็นอะไร”

“อย่าถามได้มั้ย พาเราขึ้นบ้าน เราอยากขึ้นบ้าน นะ พี่เดี่ยวเราอยากขึ้นบ้านเดี๋ยวนี้ นะขึ้นบ้าน ๆ ” ต้นกล้างอแงพร้อมกับขยับตัวดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ในอ้อมแขนของเด็ดเดี่ยว ทาบประกบอกแบน ๆ เข้ากับอกแกร่งแน่นกล้าม ปากก็ร้องบอกจะขึ้นบ้าน ๆ ท่าเดียว แต่ไม่ยอมบอกว่าเป็นอะไร เด็ดเดี่ยวมองไปยังทางที่ต้นกล้าเพิ่งจะวิ่งมาอีกครั้ง จากนั้นจึงหันหลังกลับพาคนขี้กลัวเดินขึ้นบันไดไป

“เข้าห้องเลยมั้ย ถอดรองเท้าด้วย”

“เข้า ๆ จะรออะไร รอให้มันตามมาหรือไง เข้าไปเลยเข้าไปเดี๋ยวนี้”

“ลงก่อนมั้ยพี่เปิดประตูห้องไม่ได้”

“ไม่ลง”

“แล้วจะเปิดประตูห้องยังไงครับ”

“เปิดยังไงก็ช่างแต่เราไม่ลง” เด็ดเดี่ยวรู้สึกได้ถึงแรงรัดช่วงเอวและต้นคอที่เพิ่มขึ้น มันยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงต้นกล้าก็ไม่ยอมปล่อยเขาแน่ ๆ ชายหนุ่มจึงขยับให้การอุ้มกระชับขึ้น แล้วพยายามเปิดประตูเองอย่างทุลักทุเล แต่ปัญหามันยังไม่จบเพียงเท่านี้

คนตัวโตใช้เท้ายันเบา ๆ ให้บานประตูปิด เดินผ่านห้องที่เปิดไฟหัวเตียงสีเหลืองนวลเอาไว้สลัวตรงไปยังที่นอน พยายามวางร่างที่เกาะหนึบติดแน่นของต้นกล้าลงบนที่นอนนุ่ม แต่พอจะปล่อยมืออีกคนก็ส่ายหัวเอาเป็นเอาตายไม่ยอมให้ปล่อย แรงที่รัดต้นคอกับช่วงเอวที่ราลงตอนเขาโน้มตัว ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นและรัดแน่นเหมือนเดิม

“ถึงห้องแล้วปล่อยพี่ก่อน”

“ไม่ปล่อย จะทิ้งเราอีกใช่มั้ย”

“ไม่ทิ้ง แต่ตอนนี้มันถึงห้องแล้วพี่จะวางต้นกล้าลงบนเตียงนะครับ”

“ไม่ ๆ ไม่ให้วาง”

“มันหนักนะต้นกล้า ลงไปนั่งบนเตียงดี ๆ “

“หนักก็ช่างแต่เราไม่ปล่อย อยากนั่งก็นั่งแต่เราไม่ปล่อยเด็ดขาด ให้ตายก็ไม่ปล่อยอย่ามาทำตัวใจร้ายแถวนี้นะ”

“เอาล่ะครับไม่ปล่อยก็ไม่ปล่อย ฮึ่บ” เด็ดเดี่ยวยอมตามใจแต่แขนชายหนุ่มนั้นเริ่มล้า เพราะต้องรองไว้ใต้สะโพกเพื่อรับน้ำหนักทั้งหมดของต้นกล้านานเกินไป เขาจึงหันหลังให้เตียงแล้วค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งพิงหัวเตียงเอาไว้อย่างทุลักทุเล โดยมีลูกลิงขี้กลัวตัวสั่นเกาะหนึบไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมแม้กระทั่งเงยหน้าขึ้นมาคุยกันดี ๆ ใบหน้าหล่อใสเอาแต่บดบี้ลงกับซอกคอ แล้วปฏิเสธการออกห่างท่าเดียว ตอนนี้ต้นกล้าจึงนั่งคร่อมตักของคนตัวโต ที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่ในท่าล่อแหลม และเจ้าตัวก็ไม่สนใจมันสักนิด

“เอาล่ะ คราวนี้จะบอกพี่ได้หรือยังว่าเราวิ่งหนีอะไรมา” ต้นกล้าส่ายหัวเอาเป็นเอาตายและตัวสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมาจนคนถามชักอ่อนใจ มืออบอุ่นก็ยกขึ้นมาลูบเรือนผมสีแดงนุ่มมือแผ่วเบา แล้วกดนิ่งค้างเอาไว้พร้อมทิ้งจูบหนักแน่นลงกลางกระหม่อม จมูกสูดรับเอากลิ่นแชมพูอ่อน ๆ หอมละมุมจนชุ่มปอด มือใหญ่อีกข้างยังลูบหลังอย่างประโลม เพื่อปลอบโยนอาการตัวสั่นให้คลายลง ก็รู้ล่ะนะว่ากลัวอะไรมา ที่ถามก็แค่อยากให้พูดออกมาบ้างก็เท่านั้นเอง

“หลับแล้วเหรอ หืม” ครู่หนึ่งผ่านไปเด็ดเดี่ยวจึงถามขึ้นมาอีก เพราะต้นกล้าเอาแต่เงียบ แม้ว่าอาการตื่นตระหนกจะดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าร่างโปร่งสั่นอยู่เล็กน้อย

“บ้าสิ ใครจะไปหลับลง”

“ไหนเงยขึ้นมาให้พี่ดูหน้าซิ”

“ไม่! ”

“เงยหน้าขึ้นมาก่อนเร็ว” จุ๊บ

“ฮึ่ยมันใช่เวลามั้ย” เมื่อเด็ดเดี่ยวกดจูบลงที่กลุ่มผมสีแดงนั่นอีกครั้ง ต้นกล้าก็เงยหน้าขึ้นมาถามอย่างเอาเรื่อง ต่อว่าคนที่ไม่รู้จักเวลาล่ำเวลา คนยิ่งกลัว ๆ ยังมีอารมณ์มาจุ๊บมาจิ๊บอยู่ได้

“แล้วจะเล่าให้พี่ฟังได้หรือยังว่าวิ่งหนีอะไรมา” พอถามคำถามนี้ทีไรดูเหมือนว่าร่างของคนที่นั่งบนตัก จะสั่นแรงด้วยความสะท้านขึ้นมาทุกครั้ง เด็ดเดี่ยวจึงกระชับอ้อมแขนที่รวบตัวบางเอาไว้ให้แน่นขึ้น เหมือนจะบอกกลาย ๆ ว่าอ้อมแขนนี้จะเป็นปราการที่คอยปกป้องจากสิ่งชั่วร้ายให้เอง

“ระ เรา” ใบหน้าหล่อบิดเบี้ยวเพราะเจ้าตัวแบะปากเหมือนจะร้องไห้ ต้นกล้าสะบัดตัวสั่นขนราวกับว่าการกระทำนี้ จะช่วยให้ความรู้สึกที่รุมเร้าอยู่ในใจจางหายลงไปบ้าง แต่ความกลัวก็ยังหลงเหลืออยู่มาก และแสดงออกมาทางเสียงสั่น ๆ เหมือนขากรรไกรทำงานผิดปกติ

“เรา จะ เจอ ฮือ”

“..”

“เขา เราเจอเขา” คำบอกเล่านี้เล่นเอาคนฟังขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมาทันที

“เขาเหรอ ใครกัน”

“ระ เราไม่รู้ สะ สงสัยเขาที่มาเอาห่อข้าวแน่ ๆ ตะ แต่ทำไมมาอยู่ตรงนั้นก็ไม่รู้” ใบหนาหล่อใสบิดเบี้ยวเมื่อพยายามละล่ำละลักออกมาเป็นคำพูด ให้คนฟังได้ยินอย่างชัดเจนที่สุด ต้นกล้าละมือทั้งสองข้างมาประคองแก้มตัวเอง แล้วตบเบา ๆ ไม่เคยนึกฝันว่าจะได้เจอกับตาเน้น ๆ จัง ๆ แบบนี้ ในหัวเฝ้าแต่คิดว่าเคยไปทำอะไรกับใครไว้หรือเปล่า ทำไมเขาต้องตามมาหลอกหลอนให้กลัวจนหัวจะโกร๋นอยู่แล้ว

“ระ เรา เห็น เราเห็นเขา อ๊าก” พูดออกมาได้เท่านั้น ก็เอามือปิดหน้าตัวเองแล้วซบลงที่อกกว้างแข็งแกร่งของคนตัวโต ที่รอรับและโอบกอดคนขวัญเสียเอาไว้แน่น แต่ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาให้ไม่สามารถเยียวยา และขับไล่ความกลัวในหัวใจของต้นกล้าออกไปได้โดยพลัน แม้จะมีมือใหญ่ที่คอยลูบปลอบ แม้จะมีอ้อมกอดอบอุ่นที่คอยโอบอุ้ม แม้จะอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงที่ปกป้อง ยังไงคนขี้กลัวก็ยังไม่คลายความขลาดกลัวที่มีมากจนขึ้นสมอง!

“ขวัญเอ๊ย ขวัญมา”

“ฮือ..” เด็ดเดี่ยวได้แต่เอ่ยเรียกขวัญ เพราะต้นกล้าเอาแต่ซบหน้าลงที่อกของขา แล้วครางฮืออย่างหวาดกลัวตัวสั่นจนสะท้าน แม้ตัวเขาเองจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่หากถามว่ากลัวไหมชายหนุ่มก็ไม่สามารถตอบได้ เพราะความรู้สึกของเขาต่อเรื่องนี้คือเฉย ๆ แต่จะบอกว่าไม่คิดอะไรเลยก็คงไม่ใช่ เมื่อเห็นท่าทางของต้นกล้า ที่ดูเหมือนว่าจะหนักกว่าที่เคย เขาเรียกขวัญแล้วปลอบโยนด้วยมืออุ่นข้างหนึ่ง ที่คลายจากกอดรัดร่างโปร่ง มาวางลงบนหัวทุยกดให้ซุกซบอกหาไออุ่นพร้อมคำปลอบประโลม

“ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว พี่อยู่ด้วยทั้งคน”

“ห้ามไปไหน” เสียงสั่น ๆ กระซิบตอบกลับมา

“ไม่ไปไหน”

“ห้ามปล่อยเรา”

“ไม่ปล่อยทั้งคืน”

“กอดเรา ๆ ”

“ครับ ๆ พี่ก็กอดอยู่นี่ไง” เด็ดเดี่ยวกระชับแรงกดที่หัวทุยให้เพิ่มขึ้นอีก พร้อมกับแขนอีกข้างที่โอบกอดแน่นขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจ และดูเหมือนว่าคนกลัวจะอุ่นใจแล้วว่าได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ ตัวสั่น ๆ กับเสียงครางฮือจึงค่อยหายไปท่ามกลางความเงียบระหว่างทั้งสอง และมืออุ่นที่ลูบปลอบ ในที่สุดก็เหลือไว้เพียงลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอ ของร่างที่ซบหลับแนบแน่นบนอกกว้าง





%%%%%%%%%%%%%



เสียงไก่ขันยามรุ่งสางดังรับกันเป็นทอดจากมุมหนึ่งของปลายนา ไปดังอยู่อีกมุมหนึ่งท้ายหมู่บ้าน หัวถนน ท้ายสวน ข้างยุ่งข้าว ใต้ถุนบ้าน ปลายทุ่ง ข้างเล้าไก่ และรับกันเป็นทอด ๆ ดังชัดบ้างแผ่วบ้างตามระยะทาง และความห่างจากกัน เป็นการต้อนรับแสงสีส้มทอง ที่สาดความอบอุ่นของรุ่งอรุณไปทั่วหล้า แสงนวลลูบไล้ไปตามสันเขาขาดที่มองเห็นลิบ ๆ อยู่ปลายนา ก่อนที่พระอาทิตย์ดวงโตสีส้มนวลตาจะขยับโผล่ขึ้นมาช้า ๆ ให้แสงอุ่นยามเช้าได้แผ่ไปบนผืนหญ้าชุ่มน้ำค้างดูฉ่ำชื้นสดชื่น ความแวววาวส่องรัศมีออกมาจากหยดน้ำบนยอดหญ้า ต้องแสงอรุณเป็นประกายรุ้ง แสงอุ่นไล้อาบเหนือยอดข้าวใบอ่อนลู่ลม นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกการเริ่มต้นวันใหม่อีกวัน ที่มาพร้อมความสดชื่นและสดใส บ้านทุ่งดอกจานอบอวลไปด้วยความบริสุทธิ์ของอากาศยามรุ่งสาง อวลไอหมอกที่ฉ่ำเย็น ความสดใหม่ของธรรมชาติช่วยให้ลืมสิ่งที่ไม่อยากจำจนหลับสบาย และดูเหมือนว่าจะฝันดีจนยามตื่นมาเยือน แต่จากรุ่งเช้าเวลาล่วงเข้ารุ่งสาย คนที่ได้นอนสบาย ๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นมารับอรุณ ส่วนอีกคนที่ต้องนั่งยามอย่างจำใจเพราะไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ จนสุดท้ายก็ทนความง่วงงุนไม่ไหว เผลอหลับไปในที่สุดเมื่อใกล้ค่อนรุ่งนี่เอง

ร่างโปร่งที่อาศัยอกแน่นเนื้อเป็นที่พักพิงมาตลอดคืน เริ่มขยับกายยุกยิกด้วยความเมื่อยขบ ตาสวยค่อย ๆ ปรือเปิดขึ้น และกระพริบปริบ ๆ สองสามทีจึงตื่นเต็มตา สัมผัสได้ถึงความปวดเมื่อยบริเวณต้นคอจึงขยับเล็กน้อย คิ้วได้รูปขมวดมุ่นแล้วนึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร ใจดวงน้อยกระตุกวูบแต่ก็ตั้งตัวได้เร็วพอกัน เมื่อแสงสว่างรอบกายเป็นเครื่องบ่งบอกถึงเช้าวันใหม่ และต้นกล้าพึ่งจะนึกได้ว่าตัวเองยังอยู่ในท่าเดิมนี้ตั้งแต่เมื่อคืน ท่าเดิมก่อนที่เขาจะเผลอหลับไป

‘ทำไมไม่ปลุกให้เรานอนดี ๆ วะเนี่ย ฮึ่ย’ ต้นกล้าต่อว่าให้คนตัวโตในใจ เขาเหลือบตาขึ้นมองซีกหน้าหล่อคมคร้ามแดด เพราะยังอยู่ในท่าเดิมคือท่าอิงซบแก้มแนบอกแกร่ง เจ้าของอกเอนตัวพิงหัวเตียงหลังรองด้วยหมอนนุ่มสองใบ รู้สึกถึงแขนหนักที่พาดทับด้านหลังตอนลองขยับตัวเบา ๆ แต่เจ้าของท่อนแขนหนักคู่นี้ดูเหมือนจะกำลังหลับลึก และหลับสบาย ต้นกล้าสองจิตสองใจว่าจะปลุกหรือไม่ปลุกดี ตาสวยกวาดมองซีกหน้าคมที่เห็นได้เพียงด้านเดียว ผ่านสันกรามครึ้มเคราเขียวที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจนเกลี้ยงเกลาน่าลูบไล้ มันส่งให้รูปหน้าของคนตัวโตดูคมคาย และเข้มแบบไทยแท้ ๆ มีเสน่ห์ สันจมูกโด่งได้รูปพอดีรับกับขนตาไม่ยาวมากแต่เหยียดตรง คิ้วหนาพาดเฉียงได้องศาพอเหมาะ อันเป็นความโดดเด่นที่รับกันได้อย่างลงตัว กับหน้าผากมีราศี เป็นครั้งแรกที่ต้นกล้าได้พินิจใบหน้าของคนตัวโตกว่าอย่างตั้งใจ โดยไม่ต้องมีใครคอยส่งสายตาล้อเลียน แม้จะเป็นใบหน้าเพียงซีกเดียวก็เล่นเอาหัวใจสั่นไหวได้ไม่น้อย เจ้าของใบหน้าคร้ามแดดกำลังหลับตาพริ้มอยู่ในห้วงลึกของนิทรา จนต้นกล้ากลัวว่าหากขยับตัวเพียงนิดเดียว ก็อาจจะทำให้อีกคนตื่นขึ้นมาแล้วไม่พอใจได้

เจ้าของร่างโปร่งหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณยายประไพศรี มองซีกหน้าหล่อจนเพลิน และพยายามอยู่ในท่านั้นให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะนิ่งได้ แต่เหมือนกับว่าร่างกายจะไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย เพราะยิ่งนั่งนานเขาก็เริ่มจะไม่ไหว ความเมื่อยจากที่อยู่ในท่าล่อแหลมเนิ่นนานเกินไป จึงเริ่มออกอาการ มันนานในแบบที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าความแนบชิดเกือบเนื้อถึงเนื้อนี้ ผ่านไปแล้วกี่ชั่วโมง มันชิดยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ที่เคยชิดมา แต่มันก็ทำให้ต้นกล้าแอบรู้สึกดีอยู่ลึก ๆ ที่ได้ใกล้ชิดกัน แต่ความรู้สึกดีมันอยู่กับต้นกล้าได้เพียงไม่นาน หลังจากซึมซับมันเข้าไว้ในใจแล้ว แผนร้ายในหัวก็ผุดขึ้นมาเป็นฉาก

“อืม” เด็ดเดี่ยวครางออกมาเบา ๆ จากลำคอที่แห้งแหบ เมื่อรู้สึกถึงการก่อกวนที่ปลายคาง ใบหน้าคมคายหันไปอีกทาง แต่ยังไม่หลุดออกมาจากนิทราสุขสม จึงเป็นทีให้คนที่รอก่อกวนอยู่แล้วได้โจมตีอีก

“อืม”

“คึ ๆ ” ต้นกล้าหัวเราะชอบใจเบา ๆ เมื่อยืดตัวขึ้นใช้ปลายจมูกรั้นไล้ที่ปลายคางได้รูปของอีกคน เด็ดเดี่ยวขยับตัวอย่างรำคาญกับการก่อกวนไม่สิ้นสุด แต่ก็ยังไม่ยอมตื่น แถมยังไถลตัวนอนราบลงให้ได้ท่าที่เหมาะ โดยไม่ยอมปล่อยคนในอ้อมแขนที่ทาบทับบนตัว เหมือนกับว่าแม้จะหลับหน้าที่การปกป้องก็ยังต้องดำเนินไป

“หึ ไม่ตื่นใช่มั้ย”

“ฟี้...”

“จะตื่นมั้ย”

“ครอก ฟี้” ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอยืนยันได้เป็นอย่างดี ว่านิทรานี้ยังแสนสุขสม ต้นกล้าหรี่ตาเม้มปากในหัวระดมกำลังสมองคิด ว่าจะแกล้งยังไงดีจนกระทั่ง

ก็ยังไม่จบอะ ตอนนี้ ยาวมากๆๆ เลื่อนลงๆๆ...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“อึก อื้อ” เฮือก! เด็ดเดี่ยวสะดุ้งตื่นใจเต้นแรงเมื่อลมหายใจสะดุด นั่นเป็นผลมาจากจมูกถูกบีบปิดกั้นอากาศไม่ให้ไหลผ่าน ชายหนุ่มหอบเหนื่อยเพราะการสะดุ้งตื่น และขาดอากาศชั่วคราว แต่ตกใจได้ไม่นานก็ต้องชะงักงันกับใบหน้าหล่อใส ที่อยู่ชิดใกล้และรอยยิ้มขำ

“แกล้งพี่เหรอ เจอดีแน่”

“เฮ้ย เปล่า เราเปล่า ปล่อย ๆ “ต้นกล้าร้องโวยวายเมื่อเด็ดเดี่ยวพลิกตัวเปลี่ยนให้เป็นฝ่ายอยู่ข้างล่างแทน หลังจากที่ชายหนุ่มต้องอดทนกับความเมื่อยขบอย่างเต็มใจมาตลอดทั้งคืน ตอนนี้ต้องตื่นอย่างไม่เต็มใจ แต่ยังไงก็ไม่ลืมเรียกเก็บค่าตอบแทน เมื่อถูกร่างหนาคร่อมทับ ก็ดูเหมือนว่าต้นกล้าจะตัวเล็กลงไปมากทีเดียว ท่ามกลางความเงียบระหว่างทั้งสอง ที่กำลังเผลอไผลไปกับการประสานสายตา ใบหน้าคมผิวสีน้ำผึ้งเพราะคล้ำแดดจากงานกลางแจ้ง ค่อย ๆ โน้มเข้าหาเรียกร้องทางสายตา และมอบบทลงโทษคนกวนการนอน

ริมฝีปากอุ่น ๆ ของคนพึ่งตื่น แตะซับแผ่วเบาลงบนกลีบปากหยักได้รูปสวย แล้วกดนิ่งเน้นนาน มันนานจนแทบจะต้องกลั้นหายใจ แม้ในความเป็นจริงแล้วมันเพียงแค่เสี้ยวนาที

“อรุณสวัสดิ์” เด็ดเดี่ยวกระซิบบอกชิดกลีบปากนุ่ม แต่ไม่รีรอคำตอบรับ บอกแล้วก็เริ่มจูบซับชิมความหวานเป็นการทักทายอรุณยามสาย โดยที่ต้นกล้าก็ดูเหมือนว่าจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ด้วยการจูบตอบหวานละมุนละไมไม่แพ้กันแต่...

“อะไร” เด็ดเดี่ยวถามขึ้น เมื่อไหล่ทั้งสองข้างถูกผลักออกด้วยมือของคนที่เขาคิดว่าให้ความร่วมมือกับจูบของเขา

“เมื่อคืนเราเห็น เห็น เออ นั่นแหละ เห็นเต็ม ๆ ตาเลย”

“อันนั้นพี่รู้แล้ว”

“รู้ได้ยังไงเรายังไม่ได้บอกเลย”

“โห วิ่งหน้าตั้งหางจุกตูดมาซะขนาดนี้ ใครมันจะไม่รู้ล่ะ”

“ก็...เรา เฮ้ยเราไม่ใช่หมานะ”

“หึ ๆ “

“อย่ามาหัวเราะขำ ใครเจอจัง ๆ แบบนั้นไม่วิ่งจะกราบเลยเถอะ”

“แล้วเจอแบบไหน”

“ช่างเถอะเราไม่อยากพูดถึงมัน นี่ยังขนลุกไม่หาย”

“งั้นมาเดี๋ยวพี่ปลอบเอง” จุ๊บ ต้นกล้าไม่ทันได้พูดอะไรตอบก็ถูกปิดปากด้วยจูบหวามหวาน เป็นสัมผัสอ่อนโยนละมุนละไม เพื่อเรียกขวัญและปลอบประโลม แต่ต้นกล้าก็คือค้นกล้าที่กลัวผีจนขี้ขึ้นสมอง กลัวอย่างไรเขาก็ยังคงกลัวอยู่อย่างนั้นเหมือนเดิม โดยเฉพาะเวลากลางคืน เด็ดเดี่ยวมอบจูบเป็นการปลอบ แต่ถึงแม้จูบนั้นจะอ่อนหวานสักปานใด ก็ไม่สามารถมอมเมาให้ลืมภาพติดตาในคืนแรมมืดมิดที่ผ่านมาได้ ความหวานละมุนของจูบอ่อนโยนเรียกร้อง ไม่สามารถนำพาให้ต้นกล้าหายกลัว แม้คนตัวโตจะบอกว่ามันเป็นจูบปลอบใจก็ตามเถอะ

“อื้อ ปล่อย นี่เราจริงจังอยู่นะ”

“นี่พี่ก็ปลอบแบบจริงจังอยู่เหมือนกัน”

“จูบเอา ๆ นี่นะจริงจัง ไม่ขำนะ ฮึ่ย”

“มันไม่มีอะไรหรอก”

“พูดได้สิไม่ได้เจอเองนี่”

“ไม่เจอพี่ก็อยู่ไม่ไกลนี่ ไม่เห็นมีอะไรเลย”

“แต่เราเห็นเต็มสองตาเขาดึงขาเราให้ล้มลงด้วย” ต้นกล้าใช้สองมือขยุ้มเสื้อยืดของเด็ดเดี่ยวตรงหน้าอกแน่น เพื่อย้ำความจริงจังของตัวเอง บอกเล่าด้วยสีหน้าตื่น ๆ ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายใต้ความกลัวในคืนเดือนมืด ก่อเกิดเป็นความสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ยิ่งคิดความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา ยิ่งเกาะกินหัวใจให้เกิดความหวั่นไหวหวาดกลัวยิ่งกว่าเก่า

“จริงนะ เราเห็นกับตาตัวเองเลย”

“พี่เชื่อ แต่มันไม่มีอะไรหรอกไม่ต้องกลัว เขาไม่ได้มาทำร้ายเรานี่”

“ทำเราล้มคลุกดินเลยนี่ไม่ทำร้ายใช่มั้ย”

“สะดุดขาตัวเองมั้ง” เด็ดเดี่ยวสันนิษฐานสีหน้าจริงจัง

“ใครมันจะไปซุ่มซ่ามขนาดนั้น” ถึงจะค้านออกมาแบบนั้น แต่คำพูดของเด็ดเดี่ยวก็สร้างความลังเลให้ต้นกล้าได้ไม่น้อย จึงบอกเสียงอ่อยเมื่อพยายามคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนตอนล้มลง แต่เว้นช่วงที่เห็นเท้าคู่นั้นเอาไว้

“เห็นมั้ยพี่ว่าต้นกล้าสะดุดอะไรล้มลงเองมากกว่า”

“แต่เท้า ฮึ่ย”

“เท้าอะไร”

“ช่างเถอะ ลุกเลยมันหนักนะ” ต้นกล้าผลักอกกว้างแล้วขยับตัวออกจากความใกล้ชิด ที่ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นความเคยชินของเขาไปเสียแล้ว จนไม่ได้ปัดป้องตัวเอง เด็ดเดี่ยวยอมปล่อยโดยดี แต่ยังนอนแผ่หลาอย่างสบายอยู่บนเตียง จนต้นกล้าเดินเข้าไปทำธุระในห้องน้ำแล้วนั่นแหละ ชายหนุ่มจึงได้ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไป



%%%%%%%



“เอ๊ะ”

“อะไร”

“ทำไมออกมาจากทางนั้น” ไอ้จ๋าตีสีหน้าสงสัยขั้นสุด และเพื่อให้เหมาะกับคำถามจับผิด มันขมวดคิ้วเป็นปมพร้อมกับหรี่ตามอง ปากอิ่มของมันยื่นออกมาเหมือนคนกำลังใช้ความคิด ขณะที่กำลังจะขึ้นไปปลุกลูกพี่ใหญ่ เพราะเห็นว่าตะวันสายโด่งมากแล้ว ก็พอดีกับที่ลูกพี่รองเดินออกมาจากทางที่มันกำลังจะเดินเข้าไป

“ออกมาไม่ได้เหรอ” ลูกพี่รองถามกลับหน้าตาเฉยพลางเดินผ่านไอ้จ๋าเดินลงบันไดไป

“ได้แต่มันน่าสงสัย”

“สงสัยอะไร”

“...” ไอ้จ๋าไม่ตอบคำในทันที แต่ยังคงสีหน้าสงสัยเอาไว้เหมือนเดิม มันเดินตามลูกพี่รองลงบันไดมาด้วยท่าทางนิ่งขรึมเป็นงานเป็นการ จนทั้งสองเดินมาหยุดลงที่พื้นหน้าเชิงบันได ไอ้จ๋าหรี่ตาขมวดคิ้วอีกเพื่อให้เกิดความสมจริง สองมือไขว้หลังขณะที่เดินรอบร่างสูง ๆ ของลูกพี่รอง ทำท่าทางเหมือนผู้ใหญ่กำลังจะสอบสวนเด็กทำความผิด

“อะไรวะ” เด็ดเดี่ยวอดทนไม่ไหวกับลีลาของไอ้จ๋าจึงถามออกมา

“เมื่อคืนนอนนี่ดิ”

“คิดว่าไงล่ะ” ไอ้จ๋าเดินวนมายืนประจันหน้ากับเด็ดเดี่ยว หรี่ตามองชายหนุ่มที่มันยกให้เป็นลูกพี่รองอีกครั้ง เหมือนกำลังคิดพินิจพิจารณาอะไรบางอย่าง ในแบบที่ใคร่ครวญอย่างถ้วนถี่ ทั้งที่ตัวมันเองก็รู้ดีล่ะนะ ว่าสองคนนี้นอนห้องเดียวกันอยู่ทั้งคืน

“เปล๊า”

“ไร้สาระนะแก”

“แหม ใครจะมีสาระเหมือนลูกพี่ล่ะครับ ว่าแต่ตกลงได้นอนปะเนี่ย”

“นอนสิทำไมจะไม่ได้นอน”

“แน่ใจว่านอนกันเฉย ๆ ”

“เออสิ ทำไมล่ะ” ท่าทางที่ดูสบาย ๆ ขัดกับในใจของเด็ดเดี่ยวที่ค่อนข้างหงุดหงิดค้างเติ่ง แต่จะพูดอะไรออกมามากก็ไม่ได้ นี่เขากำลังพูดกับใครทุกคนก็รู้ ๆ กันอยู่ นี่ไอ้จ๋าไง ไอ้จ๋าเชียวนะ คนที่เด็ดเดี่ยวเรียนรู้ว่าอย่าเปิดช่องโหว่ให้มันเป็นอันขาด เพราะจะโดนเอามาล้อไม่เลิกเลยล่ะ

“หลับสบายดีมั้ยครับลูกพี่”

“ที่สุด”

“อืม” ไอ้จ๋าสวมท่าทางให้ตัวเองดูเป็นผู้ใหญ่ที่กำลังใช่หัวคิด เมื่อมันได้ยินคำตอบของเด็ดเดี่ยว ไอ้ตัวดำหัวเกรียนยืนจังก้าในท่ากอดอก หากมีจุกอยู่บนหัวด้วยคงได้คิดว่านี่คือกุมารทองเป็นแน่แท้ มันยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบคางอย่างไว้ท่า ทำเหมือนว่ากำลังใช้ความคิดพิจารณาอยู่เป็นครู่ แล้วจึงพูดออกมา “หลับสบายแต่ทำไมตื่นมาตาคล้ำอย่างกับหมีแพนด้าอย่างนี้ล่ะครับลูกพี่”

“หมีแพนด้าอะไรวะมั่วแล้ว”

“ฮ่า ๆ “

“ขำอะไรกัน” ไอ้จ๋าหันไปทางต้นเสียงที่ทักขึ้น พอเห็นลูกพี่ใหญ่ของมันกำลังเดินหน้าตาสดใสลงบันไดมา ก็ให้อดคิดไม่ได้ว่าทำไมอีกคนขอบตาคล้ำเหมือนไม่ได้นอน แต่อีกคนกลับดูสดใสเปล่งประกายออร่ามาแบบจัดเต็ม

“เปล่าครับลูกพี่ วันนี้ตื่นสายเป็นพิเศษนะครับ ไอ้จ๋ากำลังจะขึ้นไปปลุกเลยเนี่ย” มันบอกแต่ตามองใบหน้าหล่อคนละแบบของสองลูกพี่สลับกันไปมา จนต้นกล้าอดไม่ไหวกับความทะเล้นบนหน้าของมันจึงถาม

“มองอะไรวะ”

“มองคนสองคนครับ”

“มองทำไม” เป็นเด็ดเดี่ยวที่เริ่มสงสัยตามบ้าง

“เพราะไอ้จ๋าชักสงกะสัยซะแล้วล่ะครับลูกพี่” พูดจบมันก็กอดอกด้วยท่อนแขนข้างเดียว หลังมือของท่อนแขนข้างนั้นเป็นที่รองข้อศอกของแขนอีกข้าง เมื่อมันยกมือขึ้นมาเกาแก้มสากทำท่าครุ่นคิด คิ้วของมันขมวดมุ่นแทบติดกัน ตาหรือก็หรี่มองลูกพี่ใหญ่เหมือนที่มองลูกพี่รองในตอนแรกไม่มีผิด

“สงสัย..สงสัยอะไรของแกวะ” ต้นกล้าชักจะพูดไม่ออก ในใจนึกด่าตัวเองว่าไม่น่าจี้ถามไอ้จ๋ามันอย่างนี้เลย เพราะตอนนี้มันเอาแต่มองหน้าของเขากับเด็ดเดี่ยวสลับกัน คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วยิ่งขมวดมุ่นขึ้นรับกับดวงตาสอดรู้สอดเห็นของมันที่หรี่มอง หรี่เอา ๆ จนจะปิดอยู่แล้วมันก็ยังไม่ละความพยายามในการหรี่ ท่าทางของมันเหมือนกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่ทำให้เด็ดเดี่ยวมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ ไอ้จ๋ามันจะรู้เรื่องเมื่อคืนหรอเปล่าวะ ไม่ใช่เรื่องที่ต้นกล้าเจอผีนะ แต่เป็นเรื่องหลังจากนั้นต่างหาก เรื่องที่คนตัวโตนอนที่นี่กับเขาทั้งคืนด้วยท่านอนแสนแนบชิดนั่น

“อืม..” ไอ้จ๋าลากเสียงยาว มันเอาท่าทางที่ดูเป็นผู้ใหญ่กำลังวิเคราะห์ข้อมูลมาสวมให้ตัวเองอีกครั้ง ด้วยการยืนจังก้ามือข้างหนึ่งกอดอก ส่วนมืออีกข้างยกขึ้นลูบคาง ข้อศอกของมือข้างนั้นทิ้งน้ำหนักลงบนแขนข้างที่กำลังกอดอกนั่นแหละ แต่แค่นั้นดูเหมือนจะไม่พอต่อการวางมาดของมัน เพราะรอบนี้ไอ้จ๋าเพิ่มความน่าหมั่นไส้ของตัวเองขึ้นมาเป็นระดับสูงสุด และเน้นหนักด้วยการยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนขั้นบันไดขึ้นบ้าน ด้วยท่าทางที่คิดว่าตัวเองนั้นเท่เหลือคณา จนต้นกล้าอดมองตามเท้าหนัก ๆ ของมันข้างนั้นไม่ได้

ปึง!

“ไอ้จ๋าสงสัยว่า..” ต้นกล้าสะดุ้งสุดตัวตาเหลือกค้างตกตะลึง เมื่อสายตาปะทะเข้ากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นเท้าใหญ่ดำมอมแมมของไอ้จ๋า ที่สวมใส่รองเท้าแตะหูหนีบสีดำ! แค่เท้าข้างเดียวเล่นเอาคนเป็นลูกพี่อ้าปากค้างยืนมองนิ่งเหมือนถูกสาป!

“ต้นกล้า”

“..” ภาพที่ยังชัดเจนอยู่ในหัว ถูกนำมาเปรียบเทียบกับเท้าของไอ้จ๋าที่วางให้เห็น และมันฉุดต้นกล้าให้จมดิ่งไปในความคิดของตัวเอง จนลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ในอกให้สั่นสะท้านสันหลังเสียววาบ ๆ ด้วยภาพที่ปรากฏชัดเจนมันตรงกับภาพที่อยู่ในหัว จนแทบหลอนขึ้นมาอีกแล้ว

“ต้นกล้า” เหมือนมีเสียงเรียกดังมาแว่ว ๆ แต่ตอนนี้ต้นกล้าไม่ได้สนใจว่าเป็นเสียงใคร หรือเรียกทำไม เขาเดินเข้าไปหาไอ้จ๋าที่ยืนห่างกันไม่กี่ก้าว ไม่รู้ว่าตั้งใจคุกเข่าลงตรงหน้ามันหรือขาทั้งสองข้างหมดสิ้นเรี่ยวแรง แต่สองมือก็ประคองจับท่อนขาช่วงหัวเข่าของมันแน่น แล้วจัดเท้าข้างนั้นลงมายืนที่พื้นให้ชิดกันกับเท้าอีกข้างเหมือนเป็นเนื้อคู่

“ลูกพี่ครับ” เหมือนกับว่าไอ้จ๋ามันจะพูดอะไรบางอย่างที่ต้นกล้าไม่สนใจ เพราะเท้าคู่นี้ของมันดูจะน่าสนใจยิ่งกว่า เท้าใหญ่ที่ยืนชิดกันสวมใส่รองเท้าแตะหูหนีบสีดำ นิ้วก้อยทั้งสองข้างของมันงอเล็กน้อย ฝุ่นดินที่จับตามหลังเท้าช่วยเสริมความมอมแมม เหมือนกับว่าผ่านการเดินทางมาไกลแสนไกล ตอนนี้เท้าที่เหมือนกับที่สิ่งที่เห็นเมื่อคืน จนนึกว่าเป็นเท้าคู่เดียวกันมาปรากฏอยู่ตรงหน้า เพราะมันติดตากินใจต้นกล้าเหลือเกิน จนนั่งมองนิ่งคอแข็งเหมือนไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไรดี มันบรรยายไม่ถูก นั่นคือสิ่งที่ต้นกล้ากำลังคิด อยากให้มันเป็นแค่ความเข้าใจผิดหรือแค่ความบังเอิญเหมือน รองเท้าแบบนี้เขาคงไม่ได้ผลิตมาคู่เดียวหรอกใช่ไหม ต้นกล้าไม่รู้ว่าจะตื่นเต้นหรือตกใจ หรือว่าจะโล่งใจดี ตกลงว่ามันเป็นสิ่งที่ต้นกล้าอยากหลีกหนี หรือว่าเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด ทำไมเมื่อคืนต้นกล้าไม่เงยหน้าขึ้นดูให้มันชัด ๆ ไปเลย จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดไม่ตกอยู่แบบนี้

โอย! คนหล่อสับสนเหลือเกิน หากเป็นสิ่งนั้นจริงต้นกล้าคงหัวโกร๋นเป็นแน่แท้ แต่หากไม่ใช่มันก็ดีที่ไม่ต้องหัวโกร๋น แต่จะดีมันก็ดีไม่สุดเสียทีเดียว เพราะไอ้จ๋าคงได้เห็นท่าทางน่าอายของเขา ที่มันคงจะเอามาล้อกันได้ทั้งปี โอ้วไม่นะ! ทำไมอะไร ๆ มันไม่ยุติธรรมสำหรับคนหล่อ ๆ อย่างต้นกล้าเอาเสียเลย!

ต้นกล้ายังอยู่ในท่านั่งคุกเข่าตรงหน้าไอ้จ๋า ส่วนตัวไอ้จ๋าเองมันก็ได้แต่ยืนยิ้มหน้าแป้นแล้นทำตัวไม่ถูก และมองคนเป็นลูกพี่ที่นั่งมองเท้าของมันเงียบ ๆ ไม่สนใจรอบข้างอยู่อย่างนั้น จนเวลาผ่านไปเป็นครู่ต้นกล้าจึงหาเสียงของตัวเองเจอ และเรียกไอ้จ๋าออกมาอย่างเลื่อนลอย

“ไอ้จ๋า”

“ครับลูกพี่ มีอะไรกับเท้าไอ้จ๋าเหรอครับ” ไอ้จ๋าถามหน้าซื่อยกมือเกาหัวเกรียนของมัน เกิดอาการงงปนเขินเลยเผลอยืนท่าตรง ขยับเท้าทั้งสองข้างให้ชิดกันเข้าไปอีก นั่นทำให้ต้นกล้าตาลุกคลานเข่าเข้าไปดูแทบเท้ามันเลยทีเดียว “เฮ้ย อะไรกันครับลูกพี่”

“ต้นกล้า” เด็ดเดี่ยวกระโดดเข้ามาประคองต้นกล้าที่อยู่ในท่าแปลก ๆ ให้ลุกขึ้น เมื่อเห็นไอ้จ๋าขยับเท้าของมันเข้ามาจนติดกัน คนหล่อเกาหลีที่หยิ่งทะนงในตัวเองนักหนา ก็ทิ้งตัวคุกเขาก้มหน้าแทบชิดเท้ามอมดำ นี่ถ้าเด็ดเดียวไม่ดึงไหล่เขาเอาไว้ ไม่แน่ว่าต้นกล้าจะลองจัดท่าตอนล้มหน้าคะมำเหมือนเมื่อคืนด้วยเสียเลย จะได้ดูในองศาที่เท่ากันพอดี

ความรู้สึกของต้นกล้าตอนนี้คือ ใจชื้นขึ้น ใช่แล้วใจชื้นขึ้นมาก เท้าคู่! นี้เมื่อคืนมันต้องเป็นเท้าคู่นี้ของไอ้จ๋าแน่ ๆ มันคือเท้าของไอ้จ๋าเองใช่ไหม มันไม่ใช่สิ่งที่ต้นกล้าคิด มันไม่ใช่ผี เพราะผีไม่มีจริง กับสิ่งที่เจอเมื่อคืนมันไม่ใช่ผีเปรต ผีเร่ร่อน หรือสัมภเวสีวิญญาณไร้ญาติที่ไหน แต่เป็นผีบ้าอย่างไอ้จ๋าไอ้ลูกน้องหน้าดำคนนี้นี่เอง ต้นกล้าเถียงกับตัวเองและเกิดความรู้สึกลิงโลดขึ้นในใจ พยายามบอกตัวเองทั้งที่ยังสับสนว่าไม่มีผีในโลกนี้แน่ และทั้งที่ความกลัวเกาะแน่นติดหนึบในหัวใจออกปานนั้น ต้นกล้าก็ยังจ้องเท้าไอ้จ๋าตาเป็นประกาย ปากก็เรียกมันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นมีความหวัง

ต่อจ้า...
อู้ยยย ยาววุ้ย...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“ไอ้จ๋า”

“ครับลูกพี่”

“เมื่อคืนตอนดึก ๆ ประมาณตีสองกว่านิด ๆ แกอยู่ไหน”

“ไอ้จ๋าก็หลับไปแล้วสิครับ ลูกพี่นี่ถามแปลกจัง”

“อย่าโกหกนะเว้ย”

“ครับ ๆ เมื่อคืนเห็นลูกพี่ออกไปวางห่อข้าวแล้วไอ้จ๋าก็เข้านอนเลย” ไอ้จ๋าตีหน้าหมางงแบบที่มันทำประจำอย่างเป็นธรรมชาติ ต้นกล้าและเด็ดเดี่ยวที่มองหน้ามันอยู่ไม่รู้เลยว่ามันงงจริง ๆ หรืองงเล่น ๆ แต่พอมันพูดจบก็เล่นเอาต้นกล้าหน้าถอดสีไปได้เลยทีเดียว

“อะ ไอ้จ๋า พูดดี ๆ ดิวะ”

“เอ้า ไอ้จ๋าพูดไม่ดีตรงไหนครับลูกพี่ ไอ้จ๋าพูดออกจะเพราะปานนี้”

“แกแกล้งฉันหรือเปล่า”

“ไอ้จ๋ามิบังอาจครับ ทำไมลูกพี่คิดแบบนั้น” ไอ้จ๋าเอียงคอตอบน้ำเสียงและสีหน้าดูใสซื่อ เมื่อลูกพี่กล้าของมันยังถามย้ำแล้วย้ำอีก แต่มันก็ยังยืนยันคำตอบเดิม

“งะ งั้น ก็แสดงว่า”

“ครับ แสดงว่าอะไร”

“คงไม่ใช่อย่างเราคิดหรอกน่า ไป ๆ เดี๋ยวพี่ทำอาหารเช้าให้กิน วันนี้ต้นกล้าอยากกินอะไร” เด็ดเดี่ยวเห็นหน้าดูมีความหวังของต้นกล้าในตอนแรก เปลี่ยนเป็นซีดเผือดเหมือนเมื่อคืนก็รีบตัดบท

“มะ ไม่ ไอ้จ๋าแกบอกฉันทีว่าเมื่อคืนเป็นแกเองที่อยู่ในสวนมะม่วง”

“แล้วอะไรจ๋าจะไปทำอะไรที่สวนมะม่วงตอนกลางคืนละครับลูกพี่” ก็จริงของมัน ดึก ๆ ดื่น ๆ ไอ้จ๋ามันจะไปยืนทำอะไรที่สวนมะม่วงให้เสียเวลานอน คนที่พยายามจะหาคำตอบให้ตัวเองว่าเมื่อคืนสิ่งที่เจอนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ไม่อยากเจอก็เข่าอ่อนยวบอีกรอบ จนเด็ดเดี่ยวแทบจะคว้าเอวเอาไว้ไม่ทัน

“อ้าวลูกพี่เป็นอะไรครับ”

“ปละ เปล่าว่ะ เด็ดเดี่ยวเราว่าเราอยากนั่งพัก”

“ครับ ๆ “เด็ดเดี่ยวส่งสายตาเขียวปัดคาดโทษไปที่ไอ้จ๋า ที่ตอนนี้มันยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ว่าตัวเองผิดอะไร เมื่อโอบเอวต้นกล้าที่หน้าซีดตาลอย พาเดินไปนั่งพักยังแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นลำไยหน้าบ้าน ดูเหมือนว่าต้นกล้าจะไม่มีแรงทำอะไรเองได้ แถมใบหน้าหล่อยังซีดเผือดมือเรียวสั่นเทาจนเด็ดเดี่ยวรู้สึกได้

ทำไม ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทั้งที่ต้นกล้ามีหวังแล้วแท้ ๆ ว่าค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นเพียงภาพลวงตา ที่ไอ้จ๋ามันสร้างขึ้น ยอมให้ไอ้จ๋ามันบอกว่าแกล้งและถูกล้อ ยังดีกว่าจะมารับรู้ว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรที่ไม่ต้องการเห็น ทำไมไอ้จ๋าต้องมาใส่รองเท้าแตะหูหนีบสีดำ ทำไมเท้าของมันต้องดำมอมแมมมีฝุ่นเกาะ และใหญ่เหมือนเท้าคุณผีที่เจอมาเมื่อคืน ทำไม ทำไม ต้นกล้าไม่เข้าใจ....

ไอ้จ๋าตีหน้าซื่อเมื่อเด็ดเดี่ยวหันมามอง แต่พอลูกพี่ทั้งสองเดินห่างออกไป มันก็กลั้นความขำเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว คิดถึงใบหน้าของคนเป็นลูกพี่ที่มันเห็นเมื่อคืนที่ผ่านมา ดูแล้วช่างตราตรึงหัวใจของมันยิ่งนัก ตราตรึงจนขำแล้วขำอีก ขำแบบนี้ไม่รู้คนอื่นเขาเรียกว่าอย่างไร แต่มันก็ขำจนน้ำตาเล็ดน้ำตาไหลไม่หยุดเลยทีเดียว ท้องของมันหรือก็แข็งจนตัวงอต้องเอามือมากุมไว้ ยิ่งคิดก็ยิ่งให้เกิดขำเสียจนหยุดไม่ได้

คิก ๆ เป็นเรื่องยากมาที่จะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้ ยิ่งหากได้ปล่อยก๊ากออกมาบ้างคงสะใจดีพิลึก ไอ้จ๋าแม้ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องอะไรแบบเมื่อคืนขึ้น แต่มันเองก็ต้องยอมรับว่าพอใจอยู่ไม่น้อย กับการที่ได้เอาคืนเสียบ้าง โดยไม่ต้องวางแผนอะไรให้ลึกซึ้ง เหมือนที่มันคิดไว้ในตอนแรก ถึงมันจะเป็นเรื่องบังเอิญแต่ยิ่งคิดก็ยิ่งสะใจ จนอยากหัวเราะออกมาดัง ๆ และทั้งที่ไม่สามารถปล่อยเสียงหัวเราะดัง ๆ ออกมาได้ ไอ้จ๋าก็ยังเอามือใหญ่ของมันยกขึ้นมาปิดปากอย่างมีจริตจะก้านตอนหัวเราะ ราวกับว่าหากเอามือออกเสียงของมันจะดังไปถึงหูของลูกพี่ จนพาลให้มันเดือดร้อนเอาได้ง่าย ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งขำ ถ้าอย่างนั้นก็ขำมันแบบกลั้น ๆ อย่างนี้แหละ มันหันหน้าไปอีกทางแล้วอ้าปากหัวเราะไม่มีเสียงออกมา ทำเหมือนกับว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้มันสะใจ และสำราญใจไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว มันหัวเราะจนพอใจกับความสะใจของตัวมันเอง แล้วจึงตีหน้านิ่งเพื่อหันกลับมาทางเดิม และเมื่อหันกลับมาทางเดิมเท่านั้นแหละเป็นเรื่องเลย เฮือก...!!

“อะ ลูกพี่เดี่ยว”

“เออ” เด็ดเดี่ยวกระแทกเสียงตอบรับ “ตกลงเรื่องเมื่อคืนมันยังไง”

“กะ ก็...” ไอ้จ๋าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก มันรู้ว่าเด็ดเดี่ยวคงเดาเรื่องทั้งหมดได้แล้ว ก็เล่นขำจนน้ำตาเล็ดเสียขนาดนี้ ใครจะไม่รู้ว่าเป็นมันนั่นแหละที่สวมรอยแกล้ง

“พูดให้เข้าหูด้วย”

“โธ่ลูกพี่ ไอ้จ๋าไม่ได้ตั้งใจนี่ครับแค่มันบังเอิญอ่า”

“แน่ใจนะ”

“แน่ใจครับ”

“มานี่ซิเรื่องมันเป็นยังไงมายังไงไหนเล่ามา” เด็ดเดี่ยวดึงไอ้จ๋าพากันเดินไปข้างพุ่มดอกไม้ต้นเตี้ย เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตของต้นกล้า ที่นั่งทำใจอยู่บนแคร่อีกมุมของสวน ส่วนเขาบอกว่าจะไปทำอะไรให้กินเป็นอาหารเช้า แล้วจึงเดินออกมา แต่ก็เจอไอ้จ๋าที่ยืนหัวเราะขำแบบกลั้นเสียงอย่างน่าสงสัย พอปะติดปะต่อเรื่องได้จึงตัดสินใจเดินเข้ามาถามมัน

แล้วไอ้จ๋าก็เล่าเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้เด็ดเดี่ยวฟังด้วยสีหน้าขำปนสะใจ เอาจริง ๆ แล้วมันไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เลยสักนิด ไม่มีเลยแม้สักนิดเดียวจริง จริ๊ง

เมื่อคืนมันก็คิดเพียงแค่ว่าไม่เห็นลูกพี่ต้นกล้ากลับมาบ้านสักที และด้วยความเป็นห่วง ด้วยรู้ว่าลูกพี่นั้นกลัวผีเป็นทุนเดิม มันรู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่เคยเอ่ยปากล้อเลียน เพราะศักดิ์ศรีของคนเป็นลูกพี่นั้นยิ่งใหญ่นัก แม้ว่าจะมากับลูกพี่เดี่ยวอีกคน แต่มันก็อดเป็นห่วงไม่ได้ คิดว่าแค่เดินมาดูสักหน่อยคงไม่เป็นไร แต่....แต่อะไรคือพอเดินเข้ามาถึงสวนมะม่วงใบหนา แล้วหูก็ได้ยินเสียงลูกพี่กล้าร้องดังมาแว่วมาแต่ไกล ไอ้จ๋าหยุดฟังเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเสียงของลูกพี่จริง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกไปไหน ร่างของคนเป็นลูกพี่ก็ล้มคะมำลงตรงหน้ามัน และมันเห็นลูกพี่ทำท่าจะลุกขึ้นแล้วแต่ก็ไม่ลุก และมันไม่เข้าใจว่าทำไมลูกพี่กล้า ถึงได้เอาแต่จ้องมองเพียงแค่เท้าของมัน ที่สวมใส่รองเท้าแตะหูหนีบสีดำแลดูมอมแมมเท่านั้น แม้จะเป็นคืนเดือนมืดและต้นกล้าก้มหน้ามองต่ำ ไอ้จ๋าก็ยังเห็นสีหน้าของลูกพี่ได้เป็นอย่างดี ว่ามันซีดเผือดราวกับเลือดในกายหายไปทุกหยด ไอ้จ๋าตกใจปนงง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรหรือส่งเสียงทัก ก็ได้ยินเสียงลูกพี่เดี่ยวร้องเรียกมาจากหน้าเรือน พอหันกลับมาอีกที ลูกพี่กล้าก็ใส่เกียร์หมาวิ่งออกไปแล้ว โดยไม่มองหน้าหล่อ ๆ ของไอ้จ๋าเลยสักนิด นี่มันต้องงอนด้วยซ้ำเหอะ

ไอ้จ๋าเล่าจบก็ถอนหายออกมาด้วยความเห็นใจตัวเอง และเห็นใจลูกพี่ต้นกล้าของมันด้วย ในแบบเสแสร้งเป็นที่สุดเท่าที่เด็ดเดี่ยวเคยเห็นมา แต่สิ่งที่ทำให้ไอ้หมาหน้าดำต้องสะดุ้งจนตัวโหย่งเลือดในกายเย็นเฉียบ หัวใจหรือก็แทบหล่นลงไปอยู่ตาตุ่มก็เมื่อ....

“ไอ้จ๋า “เฮือก! “ตายซะเถอะแก อ๊าก”

“เฮ้ยลูกพี่ครับ อุบ” ตุบ “อ๊ากอยู่ไม่ได้แล้วโวย” ไอ้จ๋าโกยแนบด้วยเกียร์หมายกกำลังสิบ เมื่อมันโดนจับได้คาหนังคาเขาหลังจากที่เล่าเรื่องทั้งหมดให้ลูกพี่เดี่ยวฟัง โดยไม่รู้ว่าลูกพี่อีกคนเดินมายืนฟังด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งมันเล่าจบก็อย่างที่เห็น ลูกพี่กล้าเรียกมันเสียงเหี้ยมดุ แล้วกระโดดถีบขาคู่จนไอ้จ๋าเซถอยหงายหลังขาชี้ฟ้าไม่น่ามอง มันพยุงตัวเองขึ้นอย่างทุลักทุเล และพอตั้งตัวได้ก็วิ่งหัวเราะเสียงดังออกไปจากตรงนั้น หายเข้าสวนมะม่วงเขตอันตรายโดยไม่หันกลับมาอีกเลย

“ฮึ่ย อย่าอยู่เลยแก” โดยมีต้นกล้าวิ่งตามแตะมันได้อีกครั้งหนึ่งก่อนจะต้องหยุดหอบหายใจ เพราะเหนื่อยจากการใช้พลังงานที่มากเกิน

“ต้นกล้าใจเย็น ๆ “

“เย็นได้ยังไงก็ดูมันทำสิจะบอกจะเรียกกันสักนิดนี่ไม่มีเลย”

“มันก็บอกอยู่ว่าไม่ได้ตั้งใจ พอจะเรียกก็ไม่ทันแล้ว”

“แล้วเมื่อกี้ที่เราถามทำไมมันบอกไม่ใช่มันล่ะ ทั้งที่เราจำอีแตะรองเท้าของมันได้ จำเท้าใหญ่ ๆ อัปลักษณ์ของมันได้ด้วยอะ”

“มันแค่แกล้งเรากกลับที่แกล้งมันไว้เมื่อวาน”

“แรงไปปะแค่แกล้งเหรอ ถ้าเราหัวโกร๋นผมร่วงหมดหัวใครจะรับผิดชอบ”

“พี่ไงพี่รับได้หมดล่ะต้นกล้าจะเป็นยังไง”

“จริงนะรับได้หมดเลยนะ เฮ้ย พูดเรื่องอะไรเนี่ย วู้บ้าบอที่สุด ไปเลยไปทำกับข้าวเลยเราหิวแล้วเนี่ย”

“แล้วจะกินอะไรล่ะ ปะไปทำด้วยกัน”

“อะไรก็ได้ง่าย ๆ เร็ว ๆ หิว ๆ เราหิว” พอได้รู้ว่าไม่ใช่ผีอย่างที่คิด ต้นกล้าก็กลับมาเริงร่าเป็นปลากระดี่ได้น้ำเหมือนเดิม ความหิวตีมวนขึ้นมาในท้องและนึกอยากจะกินมันเดี๋ยวนี้ แต่ติดที่อีกคนยังไม่ทำอะไรไว้เลยเพราะมัวคุยกับไอ้จ๋า ซึ่งต้นกล้าก็ไม่บ่นหรอกนะ เพราะมันทำให้เขาได้รู้ว่าที่แท้ก็เป็นเท้าของมันนั่นล่ะ หาใช่ผีมาจากที่ใดไม่ ความรู้สึกของต้นกล้าตอนนี้คือโล่ง มันโล่งมาก โล่งที่สุด โล่งยิ่งกว่าหายจากอาการท้องผูก โล่ง โปร่ง เบา สบาย หายห่วง

สองหนุ่ม ต่างความสูง ต่างความหล่อ ต่างความหนาของร่างกาย และต่างกันในอีกหลาย ๆ อย่าง แต่กลับได้มาอยู่ด้วยกัน โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบังเอิญหรือตั้งใจ แต่ตอนนี้เขาทั้งสองคนกำลังช่วยกันทำอาหารเช้าง่าย ๆ อย่างที่หนุ่มตัวเล็กกว่าร้องขอ อันได้แก่ข้าวไข่เจียวที่...

“เฮ้ย ไหม้ ๆ ทำไงดีอะตรงนี้ยังไม่สุกทำไมตรงนี้มันไหม้แล้ว ว้า เอาออก ๆ เอามันออกมาก่อน”

“ก็เล่นไฟแรงซะขนาดนี้ แล้วตีไข่กี่ฟองใส่ชะอมไปกี่กำทำไมมันเยอะอย่างนี้”

“ไม่เยอะหรอกแค่สิบฟองกับชะอมกำหนึ่งเอง”

“ห๊า ไข่สิบฟองนี่นะไม่เยอะ”

“ก็เราหิวนี่”

“ก็ใช่ แต่เขาเทใส่กระทะทอดทีละน้อย ไม่ใช่ทอดทีเดียวทั้งหมดแบบนี้ มันหนาเกินแล้วจะสุกพร้อมกันได้ยังไง”

“เราพึ่งหัดทำนะได้ข่าว”

“เฮ้อ” เด็ดเดี่ยวถอนหายใจออกมาเสียงดังอย่างไม่เกรงใจคนข้าง ๆ ที่ยืนมองตาแป๋ว เขาส่ายหน้าเหมือนรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยกับการแถสด ๆ ของหลานชายคนโปรดคุณยายประไพศรี แต่ก็เท่านั้นแหละ เขาทำได้เพียงเท่านั้นจริง ๆ เพราะแม้จะทำหน้าเหนื่อยแต่สุดท้ายก็เอาใจต้นกล้าอยู่ดี

“อย่าทำสีหน้าอย่างนี้สิ ครูที่ดีต้องอดทนนะรู้ปะ”

“แบบนี้พี่ก็ดีไม่ไหวหรอกนะต้องลงโทษ” หาเรื่อง

“ห๊า เจียวไข่ไม่สุกแค่นี้ต้องลงโทษด้วยหรือไง”

“ลงโทษสิจะได้จำไว้”

“แล้วจะลงโทษเรายังไง”

“มาให้พี่จูบเดี๋ยวนี้ซะดี ๆ ” นั่นไงหาเรื่องยกผลประโยชน์ให้ตัวเองชัด ๆ

“ฝันไปเถอะ ทำเองเลยเราไม่เรียนแล้วไอ้ทำกับข้าวเนี่ย”

นอกจากไข่เจียวแล้วก็ยังมี...

“แกงจืดได้ที่แล้วไปชิมซิว่ารสพอดีหรือยัง ถ้าพอดีแล้วยกลง” เด็ดเดี่ยวบอกแล้วหันไปสนใจกับการตำน้ำพริกกะปิ ไว้กินกับผักเคียงและไข่เจียวชะอม ที่บังเอิญเหลือเกินว่าเป็นของโปรดของทั้งสองคน ต่างคนก็ต่างพึ่งรู้และนี่เองคือเหตุผลที่ทำให้ต้นกล้าเจียวไข่เสียเต็มกระทะ เพราะกลัวแย่งกันกินแล้วจะไม่อิ่ม

“ได้” ต้นกล้ารับคำสั่ง หยิบช้อนชิมมาตักน้ำแกงจืดขึ้นเป่าไล่ความร้อนก่อนชิมรส แต่ดูเหมือนรสชาติจะยังไม่ถูกใจจึงมองหาอะไรบางอย่าง ที่จะมาเติมความอร่อยซึ่งนั่นก็คือน้ำปลา “อยู่ไหนหว่า” ต้นกล้าพึมพำเบา ๆ แต่ก็ไม่เห็นมีขวดน้ำปลาอยู่แถวนั้น นอกจากกระปุกเกลือ

“ใส่สักนิดก็แล้วกัน” แต่พอเปิดผากระปุกเกลือตะแคงดูเท่านั้นแหละ จ๋อม! “ตายห่า” ! ตนกล้าอุทานเบา ๆ อย่างลืมตัว เมื่อเกลือก้อนใหญ่กลิ่งหล่นลงไปในหม้อที่กำลังเดือด แล้วละลายหายไปทันที คนหัวแดงหันซ้ายหันขวารีบวางกระปุกเกลือลงที่เดิม ราวกับมันเป็นของร้อนของต้องห้าม

“เป็นอะไร”

“ปะ เปล่าครับ”

“หืม พูดครับกับพี่ก็เป็นด้วย”

“กะ ก็ไม่มีอะไร แค่..แค่อยากพูดบ้างบางครั้ง เอ่อ ครับ” บอกแล้วก็ยิ้มออกมาเหมือนไม่ยิ้ม แต่เป็นเพียงการแยกริมฝีปากออกมาให้เห็นฟันเรียงซี่สวย

“แล้วไปพูดบ่อย ๆ ก็ดีพี่ชอบ”

“ฝันกลางวัน”

“หึ ๆ แหวะ อะไรกันเนี่ย” เด็ดเดี่ยวแทบคายน้ำแกงจืดที่ตักชิมออกมาไม่ทัน เมื่อเดินมาเห็นต้นกล้าทำท่าลุกลี้ลุกลนเหมือนคนทำอะไรผิด แต่ก็ไม่ได้สนใจ ถามแล้วพออีกคนบอกไม่มีอะไร เขาก็หันไปตักแกงจืดขึ้นมาชิมและพบว่า..

“ทำไมมันเค็มปี๋อย่างนี้” ต้นกล้าก้มหน้าช้อนตาสวยขึ้นมองคนตัวโต อย่างไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ กับความผิดพลาดของตัวเอง

“เราไม่ได้ตั้งใจ” ไอ้หัวแดงจอมรั้นคนเดิมหายไปแล้ว เหลือแต่หนุ่มหน้าจืดอดีตคนหล่อเกาหลี ที่ยืนตัวลีบบอกเสียงอ่อยรอรับความผิด แต่คนตัวโตยังจ้องหน้าดุเหมือนจะงับหัวเอาให้ได้ ต้นกล้าจึงจำต้องคายเรื่องทั้งหมดออกมา “ตอนแรกเราว่ามันไม่พอดีมองหาน้ำปลา แต่ไม่เห็นเลยหยิบเกลือจะเอามาใส่นิดหน่อย”

“นี่คือนิดหน่อยแล้วใช่มั้ย” เด็ดเดี่ยวยังคงความนิ่งของใบหน้าและน้ำเสียงที่ดุ เมื่อเขาพยักพเยิดใบหน้าคร้ามแดดไปทางหม้อแกงจืด ที่แปรสภาพเป็นแกงเค็มประกอบคำถาม ซึ่งต้นกล้าก็พยักหน้ารับด้วยแววตาที่ดูไร้เดียงสาน่าสงสาร “นิดหน่อยทำไมมันถึงได้เค็มขนาดนี้”

“เราใส่นิดหน่อยจริง ๆ ส่วนที่ทำให้เค็มคือมันตกลงไปเองเป็นก้อน”

“ปัดโธ่แล้วจะกินยังไง”

“เราว่ามันคงเค็มนิดหน่อย แต่ไม่ต้องกินก็ได้เนอะว่ามั้ย” เด็ดเดี่ยวอยากบอกเหลือเกินว่า เค็มนิดหน่อยกับผีนะสิ แต่ก็ยั้งปากตัวเองเอาไว้ได้ทัน ตอนนี้คนหัวแดงใบหน้าลดลงเหลือแค่สองนิ้วอย่างรู้สึกผิดจนน่าสงสาร ไอ้หัวแดงจอมรั้นคนนั้นหายไปไม่เหลือเค้าคนเดิมที่เขารู้จักเลย

“ไม่ต้องมาเนอะ แบบนี้เขาเรียกว่าเค็มมาก”

“เหรอ มากเลยเหรอ แต่เราเห็นแล้วก็ยังไม่กล้าชิมเลยเนอะ” ต้นกล้ายิ้มแหยให้เมื่อถูกมองอย่างคาดโทษ และร่างของคนตัวโตก็ย่างสามขุมเขามาหาเรื่อย ๆ ทำให้ต้องถอยตามสัญชาตญาณ ตาสวยจับอยู่ที่ใบหน้าดุแล้วส่งยิ้มหวาน ๆ ที่คิดว่าหวานที่สุดและหล่อที่สุดไปให้ แต่มันก็ไม่สามารถละลายความเครียดตึงขึงขังเอาจริงเอาจัง ที่อยู่บนใบหน้าคมของอีกฝ่ายให้หายไปได้เลย

“พี่บอกว่ายังไง”

“บอกเหรอ บอกอะไร”

“บอกว่าถ้าทำผิดต้องถูกลงโทษไง”

“เราไม่ได้ตั้งใจถือว่าไม่ผิด”

“ตั้งใจไม่ตั้งใจสรุปก็ผิดทั้งนั้น หยุด “

“เด็ดเดี่ยว อย่าทำบ้า ๆ “

“ถ้าไม่ได้ทำพี่ยิ่งจะบ้า”

“อย่าเข้ามานะ”

“หึ ๆ “

“บอกว่าอย่าเข้ามา ไม่งั้น”

“ไม่งั้นอะไร”

“ไม่งั้นเราถีบจริง ๆ “

“หึ ๆ “เด็ดเดี่ยวย่างสามขุมเข้าหาต้นกล้าอย่างใจเย็น เหมือนอีกคนเป็นลูกไก่ในกำมือ เพราะกำลังเป็นทีของเขา ที่ต้นกล้ายอมรับผิดอย่างจำนน ถึงจะไม่ยอมถูกลงโทษ แต่ก็ดูเหมือนว่าต้นกล้าจะปฏิเสธได้ไม่เต็มปากเต็มคำเท่าไหร่นัก

“อย่าเข้ามาไม่งั้นโดนแน่” ต้นกล้ายกเท้าขึ้นในท่าเตรียมพร้อม แต่พอเห็นท่าทางของคนตัวโตไม่มีความยำเกรง ต่อบาทาของเขาจึงลดเท้าลง มือคลำสะเปะสะปะไปคว้าได้บางอย่าง ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องปรุงข้างตัวมาเป็นอาวุธป้องกัน บางอย่างที่ขนาดเหมาะมือรูปทรงเหมือนกระปุกมีฝาปิด แต่ทั้งสองคนก็ไม่มีใครสนใจ ว่าอะไรคือสิ่งที่อยู่ในมือของต้นกล้า เด็ดเดี่ยวจ้องหน้าหล่อใสจะเอาเรื่อง ส่วนต้นกล้าก็จ้องหน้าดุที่ความคม และความคล้ำจากการทำงานกลางแจ้ง ยิ่งส่งให้ใบหน้าเข้ม ๆ ดูดุยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

“หึ ๆ โดนอะไรจะทำร้ายพี่เหรอ “

“แน่นอน”

“หึ ๆ “

“หยุดหึ ๆ เราเอาจริง” เด็ดเดี่ยวไม่ฟังคำเตือนเดินเข้าหาร่างโปร่งอย่างย่ามใจ คนถอยก็ถอยไปจนหลังชนกำแพงห้องครัวและจนตรอก แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะโรคจิตดังมาอีกครั้งเท่านั้นแหละ

“หึ ๆ “

“อย่าเข้ามานะ” วืด ตุบ...!

“โอ๊ย” เคร้ง! ของที่อยู่ในมือของต้นกล้าถูกขว้างออกไปไม่เบาแรง และกระทบเข้ากับอกหนั่นแน่นกล้ามเนื้อของอีกคน และด้วยแรงที่มากพอสมควรนั้น ทำให้ฝาของกระปุกที่ดูเหมือนจะถูกปิดครอบเอาไว้ลวก ๆ กระเด็นออก ส่งผลให้สิ่งที่อยู่ภายในสาดกระจายกระซ่านกระเซ็นไปทั่ว โดยเฉพาะอกแกร่งน่าซบนั่นที่รับเอาของเหลว และตัวปลาที่ออกมาจากกระปุกเข้าเต็ม ๆ ต้นกล้าอึ้งกับการกระทำของตัวเอง ยืนมองอย่างสยดสยองเพราะมันคือ..

ต่ออีกอันจ้า ท้ายตอน....ลงๆๆๆ

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo
“แหวะปลาร้า ทำไมมันเหม็นอย่างนี้” เมื่อขว้างไปแล้วและได้กลิ่นนั่นแหละ ต้นกล้าจึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองหยิบมาใช้เป็นอาวุธ คือกระปุกปลาร้ารสโอชาของแม่แจ่มใจ!

ต้นกล้าอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น พอกันกับเด็ดเดี่ยวยืนอึ้งกับสภาพของตัวเอง ที่เละอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เคยมีอะไรทำให้เขาขาดความมั่นใจไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ก้มหน้าลงดูสภาพของตัวเองอีกครั้ง แล้วเงยหน้าขึ้นมองต้นเหตุ ที่ทำให้ร่างบึกบึนมาดแมนถูกชโลมด้วยน้ำปลาร้า สองขาก้าวเขาหาอย่างมุ่งมั่นและหมายมาด

“หึ ๆ มาคลุกกลิ่นหอมรัญจวนนี้ด้วยกันกับพี่ดีกว่า”

“หอมอะไร นี่มันปลาร้าเชียวนะเหม็นจะตายอยู่แล้ว อย่าเข้ามา อย่าเล่นอะไรบ้า ๆ นะเราโกรธจริงด้วย” ต้นกล้าหมดทางที่จะหนีแล้วเพราะหลังชนฝา จึงทำได้แค่ขู่ฟ่อแต่มันไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด จนกระทั่งร่างที่โชกไปด้วยปลาร้าเข้ามาอยู่ในระยะประชิดยากจะเลี่ยง ถ้าเป็นไปได้ต้นกล้าอยากรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับผนังห้องครัวเสียเหลือเกิน แต่ในความเป็นจริงเท่าที่เขาทำได้ก็คือ ทำให้ตัวเองตัวลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งมันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อตัวเขาก็เป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง ไม่ใช่ยางที่จะยืดหยุ่นได้ ไม่ใช่น้ำที่จะซึมซับเข้าสู่สิ่งต่าง ๆ หรือระเหยหายไปได้ เขายังเป็นต้นกล้าหลานชายคุณยายประไพศรี ต้นกล้าคนเดิมที่จะเพิ่มเติมเข้ามาคือปลาร้าและกลิ่นบนตัว จากการแบ่งปันของเด็ดเดี่ยว ที่กำลังจะเอามาให้ แต่เขาไม่เต็มใจรับ ต้นกล้าหดตัวลงให้เล็กที่สุดแล้วหลับตา ทั้งที่ไม่อยากยอมรับชะตากรรม แต่ก็รู้ว่าถึงอย่างไรตัวเองคงไม่มีทางหนีรอดได้อีกแล้ว มุมที่เขาถอยเข้ามาเป็นมุมอับที่ข้างหนึ่งเป็นโต๊ะวางเครื่องปรุง ส่วนอีกข้างก็เป็นผนัง ถึงจะมีช่องหน้าต่างเปิดรับลม แต่เขาออกไปไม่ได้ ส่วนข้างหน้าก็มีร่างโชกปลาร้ายืนจังก้าขวางอยู่

เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารดและกลิ่นที่แรงชัดขึ้นมากกว่าเดิม ต้นกล้าจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาดูเหตุการณ์ตรงหน้า แต่เขาก็มองไม่เห็นอะไร มองไม่เห็นพื้นที่ในห้องครัว เพราะบางสิ่งบางอย่างบังเอาไว้ บางสิ่งบางอย่างที่กว้างและเปียกชุ่มไปด้วยน้ำปลาร้าระบุสีไม่ได้ แต่กลิ่นเหม็นรุนแรงระดับสูงสุดที่ต้นกล้าเคยรู้จักมา ซึ่งมันก็คือหน้าอกของคนตัวโต หน้าอกของเด็ดเดี่ยวนั่นเอง

“อย่าเข้ามานะขอร้อง”

“พี่จำเป็นต้องทำโทษต้นกล้า”

“เราไม่ได้ตั้งใจ”

“ตั้งใจไม่ตั้งใจพี่ไม่สน พี่สนแต่ต้องลงโทษต้นกล้าให้หลาบจำ” เด็ดเดี่ยวยิ้มร้ายยื่นใบหน้าที่มีหยดน้ำปลาร้าเกาะอยู่เต็มเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มเอามือข้างหนึ่งยันผนังห้องเอาไว้ แล้วก้มหน้าเข้าไปหาคนที่หลับตาเบี่ยงหน้าหลบ

“ไม่เอา อย่า”

“หึ ๆ “

“อ๊าก”

“ลูกพี่ครับ” !

“ไอ้จ๋า” ต้นกล้าไม่เคยดีใจที่ได้ยินเสียงของไอ้จ๋ามากมายขนาดนี้มาก่อน แม้จะเป็นแค่เสียงแต่เขารู้ว่าตัวมันจะตามในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน ทั้งที่เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาเขายังไล่แตะมันอยู่เลย แต่ตอนนี้เสียงของไอ้จ๋าเป็นเหมือนเสียงจากสรวงสวรรค์ ที่ต้นกล้าเพรียกหา เสียงที่ทำให้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยิน

“ถอย” เด็ดเดี่ยวยอมถอยแต่โดยดี พร้อมเพิ่มข้อหาไอ้จ๋าเอาไว้ในใจ

“ใครทำปลาร้าหกครับทำไมเหม็นตลบอบอวนไปทั่วอย่างนี้” ไอ้จ๋าถามขึ้นพลางเดินเข้ามาหาลูกพี่ทั้งสอง ที่ยื่นส่งสายตาคาดโทษให้กันและกันอย่างหวานซึ้ง? และพอมันเดินมาถึงจึงได้คำตอบของคำถาม โดยที่ยังไม่มีใครได้อ้าปากตอบ แต่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า เล่นเอาไอ้จ๋ามองลูกพี่รองของมันตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยทีเดียว

“ครับ ลูกพี่เดี่ยวเล่นอะไรครับเนี่ย”

“..” เด็ดเดี่ยวยืนจังก้าหน้าตึงกับสภาพของตัวเอง ที่ไอ้จ๋ามันกำลังมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ด้วยแววตารังเกียจปนสะใจ ความสะใจที่มันไม่พยายามจะปิดบังเลยสักนิด เป็นความสะใจที่มันปล่อยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ทั้งที่ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุด้วยซ้ำ เด็ดเดี่ยวมองมันตอบด้วยสายตาไม่เป็นมิตร อย่างที่ไม่เคยมาก่อน

“เอ้า ๆ มองไอ้จ๋าอย่างกับว่าไอ้จ๋าเป็นคนทำซะอย่างนั้นแหละครับลูกพี่ แต่เกิดอะไรขึ้นก็ช่างเถอะ ไป ๆ ไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวก่อน เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้สองคนนี้ คึ ๆ ” ไอ้จ๋าพูดไปก็หัวเราะไป มันน้ำตาเล็ดเพราะหัวเราะขำออกมาแบบไม่ต้องกลั้น แต่ก็ยังมีน้ำใจไล่เด็ดเดี่ยวไปอาบน้ำล้างตัว แล้วจึงหันมาบอกต้นกล้า

“เออ ลูกพี่ครับมีคนมาหา”

“ใคร” ต้นกล้าขมวดคิ้วถาม

“ไม่รู้ครับบอกเพื่อนมาจากกรุงเทพ มากันสามคน”

“เพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“ผู้ชายทั้งสามคนครับ แต่เพื่อนลูกพี่กล้านะครับไม่น่าจะเกี่ยวกับลูกพี่เดี่ยวเลย” เด็ดเดี่ยวกัดฟันกรอดกับคำย้อนแย้งของไอ้จ๋า ทั้งที่มันก็รู้อยู่ล่ะนะว่าทำไมเด็ดเดี่ยวถึงได้ถามอย่างนี้ แต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อวันนี้ดูเหมือนจะเป็นวันดีของไอ้จ๋า แม้ว่าจะโดนถีบโดนไล่เตะ อย่างน้อยก็มีเรื่องให้มันบันเทิงใจและอารมณ์ดีตลอดวันได้ล่ะนะ

“เดี๋ยวฉันออกไปดูเอง”

“เดี๋ยวสิต้นกล้าต้องรับผิดชอบพี่ก่อน”

“รับผิดชอบอะไร”

“ใครโยนกระปุกปลาร้ามาใส่พี่ก็ต้องไปอาบให้พี่สิ”

“โฮ้ว” ไอ้จ๋าส่งเสียงโห่ร้องล้อเลียนออกมาเมื่อได้ยิน ตอนนี้มันได้รู้สาเหตุที่ทำให้เกิดร่างโชกปลาร้าขึ้นแล้ว ไม่ใช่ว่ามันแค่สะใจที่ได้รู้ว่าเป็นต้นกล้าเอง คือต้นเหตุของกลิ่นปลาร้าที่คลุ้งไปทั่วครัว แต่เพราะคำพูดของเด็ดเดี่ยวที่บอกมานั่นต่างหาก

หวายเค้าจะไปอาบน้ำให้กันด้วยแหละแก ไอ้จ๋ามันนึกขำแล้วส่งสายตาล้อเลียนปนสะใจให้ลูกพี่เดี่ยวอย่างไม่เกรงใจ แม้ความเคารพต่อลูกพี่ทั้งสองจะยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม แต่เรื่องสนุก ๆ แบบนี้ มันก็ไม่ละเว้นที่จะตอกย้ำซ้ำเติมด้วยความขบขัน เมื่อลูกพี่ทั้งสองคนพลาดขึ้นมา

“ไปล่ะ แขกอยู่ไหนวะจ๋า”

“หน้าบ้านครับ รีบล้างเนื้อล้างตัวแล้วออกไปนะครับลูกพี่ คนที่มามีแต่หล่อหน้าตาดีทั้งนั้นเลย” ไอ้จ๋าทิ้งท้ายไว้ให้เด็ดเดี่ยวร้อนรนเพียงเท่านั้น ก็เดินตามลูกพี่ใหญ่ของมันออกไปหน้าบ้านที่ให้แขกนั่งรอ โดยไม่สนใจลูกพี่อันดับรองอย่างเด็ดเดี่ยวเลยแม้หางตา

“ฮึ่ม ฝากไว้ก่อนเถอะ” !


********************
หายไปหลายวัน ดาวต้องขออำไพมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ มัวยุ่งๆ อยู่กับต้นฉบับเรื่องนี้อยู่ และตอนนี้ กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก ก็มาถึงเวลาเปิดพรีแล้วค่ะ ใครสนใจเล่มก็พรีกันได้นะคะ มีข้อสงสัยก็ IB ถามได้ที่เพจค่ะ ส่วน การพรีฯ ที่เล้าแห่งนี้ ดาว ก็อยากทำให้มันถูกต้องตามกฏ ว่าเขาให้ทำอย่างไร คงต้องหาเวลามาศึกษา เงื่อนไขกันก่อน เพราะดาวถือว่ายังใหม่มากสำหรับที่นี่ นี่ลงนิยายเป็น ทำสารบัญเป็น ก็ว่าตัวเองเก่งแล้วค่ะ สารภาพ เลยว่า เคยพยายามจะมาลงนิยายที่นี่นานแล้วเป็นปีได้ แต่ก็ไม่ได้มาลงสักที เพราะทำไม่เป็นค่ะบอกตรงๆ เลย  พอได้ลงก็ลง มันสองเรื่องเลย พอพูดถึงแล้ว ดาวก็ขอฝากนอยายอีกเรื่อง กับนักอ่านด้วยนะคะ อ่านเรื่องกดเลยค่ะ เกมรักซิงบัลลังก์หัวใจ
บรรยากาศแนวพีเรียด ในยุคอัศวิน ประมาณยุคกลาง ก็จะอัพไปพร้อมๆ กัน เพราะเขียนจบแล้ว ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามนะคะ เจอกันตอนหน้าค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-12-2018 09:19:28 โดย AlittleStarWr »

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไอ้จ๋านี่มันมาได้จังหวะเหมาะทุกทีเลยนะ  เอ้ย...ไม่สิ  มันเลือกจังหวะเหมาะ ๆ ที่จะโผล่หัวออกมามากกว่า 555

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



๑๖. ความสุขของไอ้จ๋า
“พวกมึงมาได้ไงวะเนี่ย ไอ้สิบ ไอ้ยุ” ต้นกล้ายิ้มตาแทบปิดเพราะความดีใจ ที่เห็นเพื่อนทั้งสองยืนอยู่หน้าบ้าน
“ไอ้กล้าคล้ำลงเยอะเลยว่ะ เป็นชาวไร่ชาวนาเต็มตัวแล้วสิมึง” ปั้นสิบหนุ่มหน้าสวยปากไวนิสัยห้าว หันมาเห็นต้นกล้าก่อนจึงเดินเข้ามากอดคอทักทายแกมหยอก ตามด้วยพายุเพื่อนตัวสูง
“ไอ้ยุเป็นไงวะทำงานแล้วไม่ใช่หรือเหรอ มึงหนีงานมาใช่ไหม” ต้นกล้าผละออกจากปั้นสิบแล้วหันมาทักพายุ
“ทำงานห่าอะไรมันลาออกแล้ว เกือบโดนไล่ออกด้วยซ้ำที่ไปมีเรื่องกับเขาน่ะ” ปั้นสิบตอบแทนพายุเพราะปากไวกว่า ต้นกล้าได้แต่ร้องอ้าวอย่างเสียดาย 
“เออ ๆ ช่างมันเถอะยังไงกูก็ออกแล้ว ตอนนี้กูมาพักผ่อนไอ้สิบมึงอย่าเอาเรื่องปวดหัวมาพูด” พายุว่า
“เออว่าแต่ไอ้บูมล่ะ เห็นไอ้จ๋าบอกมากันสามคนไอ้บูมไปไหน” ต้นกล้าถามหาเพื่อนอีกคน
“ไอ้บูมไม่ได้มาว่ะ มันกลับไปอยู่บ้านดูแลแม่ที่เชียงรายแล้ว ว่าแต่ไอ้จ๋านี่ใครหว่า” ปั้นสิบถามกลับสีหน้างง
“แล้วใครพาพวกมึงมาที่นี่”
“ก็เหมารถสองแถวจากอำเภอมาส่ง ตามที่อยู่ที่มึงเช็กอินไง เข้าหมู่บ้านก็ถามทางมาเรื่อยจนถึงนี่ เจอเด็กผู้ชายหัวเกรียนคนหนึ่งอยู่หน้าบ้าน พอบอกว่าเป็นเพื่อนมึงมาจากกรุงเทพ น้องเขาก็เลยพาเข้ามานี่แหละ” พายุตอบ
“อ๋อ นั่นล่ะไอ้จ๋า ว่าแต่อีกคนล่ะมันบอกพวกมึงมากันสามคนนิ”
“คือ...” กลุ่มเพื่อนสนิทของต้นกล้าจะมีกันอยู่สี่คนคือ ต้นกล้าเจ้าของเส้นผมสีแดง พายุทำผมสีเขียว ปั้นสิบสีทอง และบูมเจ้าของเส้นผมสีม่วง กลุ่มสี่หนุ่มหัวสี่สีถูกเรียก หนุ่มจอมหยิ่งเพราะท่าทางเชิด ๆ หยิ่ง ๆ มั่นหน้าไม่สนใจใคร
“คืออะไรวะ”
“กล้า” เจ้าของชื่อชะงักไม่คิดว่าจะได้เจอคนคนนี้อีก วันสุดท้ายที่เจอคือวันที่เขาบอกว่าไม่ได้ชอบต้นกล้า เสียงนั้นยังดังก้องขึ้นมาในหูอยู่ตลอดนับจากนั้น เพิ่งจะมาหายไปตอน..ตอนที่..อืม ที่มีคนตัวโต ๆ หน้ามึน ๆ เข้ามาในชีวิตนี่เอง
 “เราชอบกล้านะ..แต่เราไม่ได้คิดที่จะคบจริงจังกับผู้ชายด้วยกันขนาดนั้น”
“นนท์” ต้นกล้าไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว เพราะที่ผ่านมาก็แค่ชอบหรืออาจจะแค่ถูกใจ ไม่ได้ลึกซึ้งมากไปกว่านั้น อาจจะมีเสียความรู้สึกอยู่บ้าง ที่คนคนนี้เข้ามาล้อเล่นกับความรู้สึกกัน
“กล้าสบายดีไหม ขอโทษที่มาไม่ได้บอก”
“ไม่เป็นไร แล้วนึกยังไงถึงมากันวะ” ต้นกล้าหันไปหาเพื่อนตัวเองไม่สนใจนนท์
ปั้นสิบว่า “เซอร์ไพรส์ไง กูอยากมาดูน้ำหน้าชาวนาอย่างมึง เห็นอัปรูปในเฟชรัว ๆ อัปไอจีเป็นว่าเล่น นึกว่าจะไม่รอดเสียอีก ไหงมึงอยู่ได้ตั้งหลายเดือนวะ”
“เรื่องของกูเหอะ ขึ้นบ้านก่อนไหม”
“เออ แต่พวกกูกะมาอยู่กับมึงสักพักนะเว้ย”
“ได้สิไม่มีปัญหาหรอก ไปขึ้นบ้านก่อน”
“เด็กผู้ชายอย่างนั้นเหรอ หน็อยไอ้หัวเขียวไอ้แมลงวัน! ” ไอ้จ๋ากัดฟันกรอดนึกถึงคำที่เพื่อนลูกพี่ที่เรียกมัน ทั้งที่ตัวมันเองใช้คำว่านายนำหน้าชื่อมาหลายปีแล้ว เรียนก็ใกล้จบปริญญาแล้วด้วย มันเลยคำว่าเด็กผู้ชายมานานแล้วโว้ย มาเรียกแบบนี้มันหยามกันชัด ๆ มือกร้านงานที่ถือถาดใส่เหยือกน้ำเย็นกำแน่นอย่างหงุดหงิด ร่ำ ๆ จะเอาเข้าไปเก็บในครัวอยู่แล้ว ไม่ต้องกงต้องกินมันล่ะ นี่เห็นแก่หน้าลูกพี่หรอกนะ ไอ้จ๋าเลยจำใจยกน้ำขึ้นไปต้อนรับแขก
“ใครมาวะ” เด็ดเดี่ยวถามพลางเดินเข้ามาหา หลังล้างหน้าล้างคราบปลาร้าตามตัวออกไปบ้างแล้ว เสื้อที่ใส่เมื่อเช้าถูกถอดทิ้ง จึงได้โชว์แผงอกอวดมัดกล้าม กับหน้าท้องแน่นเป็นลอน แต่กลิ่นนั้นยังคงติดตัวเหมือนเดิมจนไอ้จ๋าเบ้หน้า
“ก็เพื่อนลูกพี่กล้าอย่างที่ไอ้จ๋าบอกนั่นแหละครับ ว่าแต่เมื่อไหร่ลูกพี่จะไปอาบน้ำอาบท่าครับเนี่ย จะเหม็นอยู่อย่างนี้ทั้งวันหรือไง”
“อือเดี๋ยวกลับไปอาบที่บ้าน วันนี้มีสอนตอนสิบโมงไปด้วยกันไหม” เด็ดเดี่ยวชวน เพราะเห็นว่าไอ้จ๋าอยู่ในชุดนักศึกษาเตรียมตัวไปเรียนเรียบร้อยแล้ว
“เดี๋ยวไอ้จ๋าขับอีกแก่ไปเองครับ ลูกพี่ควรจะกลับบ้านได้แล้วม้าง มาตั้งแต่เมื่อคืนนะได้ข่าว” เด็ดเดี่ยวถลึงตาใส่มัน “ครับ ๆ ว่าแต่กลับตอนนี้เลยหรือเปล่าครับ”
“เออ”
“งั้นก็ไปสิครับลูกพี่” เด็ดเดี่ยวทำท่าจะเดินออกไป พอดีกับที่ไอ้จ๋ามันจะก้าวขาขึ้นบันไดเรือน คนเป็นลูกพี่เหมือนพึ่งนึกอะไรได้จึงหันกลับมา
“เออจ๋า” ไอ้จ๋าหันกลับมาขมวดคิ้วมองสีหน้าสงสัย เด็ดเดี่ยวเดินเข้ามากระซิบ “เฝ้าไว้นะ”
“เฝ้าอะไรครับ”
“เฝ้าลูกพี่ของแกไง”
ไอ้จ๋าตีหน้าซื่ออย่างที่ชอบทำ “เฝ้าทำไมครับ กลัวลูกพี่กล้าหายหรือไง”
“ไม่ใช่โว้ย! เฝ้าดูไว้เฉย ๆ อย่าให้ลูกพี่ของแกทำอะไรนอกลูกนอกทาง”
“อะไรคือนอกลู่นอกทางล่ะครับ” มันเกาหัวแกรก เด็ดเดี่ยวรู้ว่ามันแกล้งไม่เข้าใจ
“เออน่าดูไว้” บอกแล้วชะเง้อคอยื่นหน้าขึ้นไปบนเรือน ไอ้จ๋าชะเง้อตามแบมือออกมาข้างหน้า กระดิกนิ้วยิก ๆ สายตาเจ้าเล่ห์แพรวพราว “อะไร”
“ค่าเหนื่อยไอ้จ๋าไงครับลูกพี่ โอ๊ย” !
“แค่นี้ทำเป็นงก” เด็ดเดี่ยวโบกหัวไอ้จ๋าไปหนึ่งทีกัดฟันว่ามัน “ดูไปเถอะ”
“เอ นะวิชานั้น” มันต่อรอง อาจารย์หนุ่มถึงกับตีหน้าเข้ม เหมือนกำลังบอกว่ามากไป “ใครน้าทิ้งไอ้จ๋าไว้ตลาดเมื่อวาน”
“เออ ๆ ขอโทษก็แล้วกันแต่ฉันไม่ได้เป็นคนต้นคิดนะเว้ย ลูกพี่ใหญ่ของแกโน่นบังคับให้ฉันให้ขับรถออกมาก่อน”
“แล้วลูกพี่ก็ทำตามสินะ แหมดีจริง ๆ ท่าทางเชื่อง เฮ้ย ๆ อย่าเชียวนะครับลูกพี่ เดี๋ยวไอ้จ๋ามึนแล้วตาพร่าดูใครไม่ได้นา“
“ทำคะแนนอยู่ใครจะไม่ตามใจวะ อย่าลืมก็แล้วกันดูไว้ เออเกือบลืมเลย” ไอ้จ๋าชะงักเท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันไดอีกครั้ง มันหันกลับมาทำสีหน้ารำคาญแทนคำถาม “อาหารเช้าเตรียมไว้แล้วนะ ฝีมือลูกพี่ใหญ่ของแกนั่นแหละ ฉันจัดไว้ให้แล้วยกขึ้นไปให้แขกเลยทั้งถาด ไม่ต้องเปิดฝาชีล่ะ”
“ทำไมล่ะครับลูกพี่”
“น่า..ทำตามที่บอกเถอะ ถามมากให้มันรู้หน่อยว่าใครเป็นลูกพี่ บอกอะไรก็ทำไป”
“รับแซบครับ” ไอ้จ๋ายืนตัวตรงรับคำสั่ง หากไม่ติดว่าถือถาดน้ำดื่มอยู่ มันคงยกมือขึ้นมาตะเบ๊ะให้ลูกพี่ไปแล้ว
ต้นกล้าแนะนำเพื่อนให้รู้จักกับลูกน้องคนสนิท จากนั้นไอ้จ๋ารีบกลับลงมายกอาหารเช้า เห็นถาดครอบด้วยฝาชีไว้อย่างดี จึงรีบยกขึ้นไปให้ไม่คิดเปิดดูด้วยซ้ำ วางถาดอาหารลงตรงหน้าลูกพี่ ยิ้มกริ่มพอใจในความว่องไวของตัวเอง จัดการตักข้าวใส่จานให้ทุกคนจนครบแล้วจึงปลีกตัว แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาลงบันได เสียงลูกพี่ใหญ่ก็ดังลั่นบ้านแทบแตก!
“อ๊าก อะไรวะเนี่ย ไอ้จ๋า ๆ “
“ครับลูกพี่” ไอ้จ๋ารีบวิ่งหน้าตั้งกลับมาให้ทันใจลูกพี่ “เกิดอะไรขึ้นครับ”
“ทำไมเอาไข่เจียวบ้า ๆ นี่ขึ้นมาวะ”
“อ้าว! ก็ลูกพี่เดี่ยวบอกว่าลูกพี่อยากกินอาหารฝีมือตัวเอง เลยจัดไว้ให้ครับ ไอ้จ๋าไม่ทันได้ดูว่ามันคืออะไร แหะ ๆ ” ไอ้จ๋ายิ้มหน้าตายยกมือเกาท้ายทอยแกรก ๆ ขอลุแก่โทษ ตาเหลือบมองอาหารที่มันเห็นแล้วยังไม่กล้ากิน
“แกมาดูสิแบบนี้ใครจะไปกินลงวะ! ” ต้นกล้าเบ้ปากให้จานไข่เจียว จนใบหน้าหล่อเกาหลีเหยเก ท่าทางไว้อาลัยให้อาหารในถาดฝีมือของตัวเอง ส่วนเพื่อนอีกสามคนชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วยสีหน้าที่รับไม่ได้พอกัน
“ไหนครับ เฮ้ย! นี่อะไรวะ..ฮ่า ๆ ” ไอ้จ๋าแสร้งร้องตกใจเมื่อเห็นไข่เจียวสุก ๆ ดิบ ๆ มีสีเขียวของชะอมปนมากับส่วนที่ไหม้จนดำเกรียม และน้ำมันที่ใส่เยอะจนเยิ้ม
“เออ กินได้ไหมล่ะ”
“แล้วทำไมลูกพี่เดี่ยวเอาไข่ขี้เหร่แบบนี้มาให้ลูกพี่ล่ะครับเนี่ย เฮ้อไม่ไหวเลย ไหนว่าทำคะแนนวะ” ไอ้จ๋าส่ายหัวไว้อาลัยให้เด็ดเดี่ยว ที่ทำแบบนี้แล้วต้องเสียคะแนนนิยมจากต้นกล้าแน่ ๆ
“ลูกพี่เดี่ยวนี่มันใครอีกล่ะวะ ทำไมต้องทำคะแนน” ปั้นสิบนึกสงสัย ที่ได้ยินไอ้จ๋าพูดถึงใครอีกคน ต้นกล้าส่งสายตาคาดโทษที่มันเผลอพูดอะไรบ้า ๆ แบบนั้นให้คนอื่นได้ยิน ทำคะแนนอะไรของมันวะ!
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” ต้นกล้ากัดฟันกรอดจนทุกคนได้ยิน รู้ว่าเด็ดเดี่ยวตั้งใจแกล้งเอาไข่ไม่สมประกอบฝีมือของเขาเอง มาให้ขายหน้าเพื่อน ๆ แต่ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ เพราะต้องรับหน้าเพื่อนที่มีท่าทางสงสัยอะไรบางอย่างไปก่อน
“แหวะฝีมือมึงจริง ๆ เหรอวะไอ้กล้า อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยว่ะ แต่ทิ้งไปเถอะ แล้วทีหลังไม่ต้องเข้าครัวเลยมึงเสียของหมด” ปั้นสิบบอก
“เออ ๆ กูทำเองแหละ ก็เพิ่งหัดทำไหมวะจะเอาอะไรนักหนา”
“ผีที่ไหนเข้าสิงมึง”
“ไอ้ยุอย่าพูดพล่อย ๆ ผีที่ไหนไม่มีหรอก” พอถูกถามว่าผีที่ไหนเข้าสิง คนกลัวผีย่อมต้องขนลุกเป็นธรรมดา เลยได้แต่กลบเกลื่อนและปลอบตัวเอง ว่าไม่มีผีที่ไหนอย่างที่คิด นอกจากผีบ้าหน้ามึนต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องเข้าครัวทำอาหารอย่างเด็ดเดี่ยว
“เออ กูมุกไงแล้วนึกยังไงทำกับข้าววะ อยากมีเสน่ห์ปลายจวักติดตัวเหรอ”
“ปลายจวักป้ามึงสิ กูแค่ลองหัดทำไว้กินเองเหอะ..ไอ้จ๋า”
“ครับ ๆ รู้แล้วครับ เดี๋ยวไอ้จ๋าไปทำมาให้ใหม่รอไม่นานครับลูกพี่” คล้อยหลังไอ้จ๋าไปแล้ว ทั้งปั้นสิบ พายุ และนนท์ต่างก็หันมามองต้นกล้าเป็นตาเดียว
“เล่ามาลูกพี่เดี่ยวนี่คือใครวะ” ท่าทางปั้นสิบคาดคั้นอยากรู้อยากเห็นเต็มแก่
“นั่นสิ” พายุเห็นด้วย
“เออ ๆ คนแถวนี้ล่ะ พวกมึงจะถามอะไรนักหนาวะ” ต้นกล้าบอกปัด
“กูว่าเรื่องนี้มีมูล” ปั้นสิบก้มไปกระซิบกับพายุ ด้วยเสียงที่ทุกคนสามารถได้ยินกันถ้วนหน้า  แล้วมันจะทำเป็นกระซิบทำไม ต้นกล้าล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ
“มีการทำคะแนนด้วย กูได้ยิน” พายุก็รับมุกด้วยการกระซิบกลับ “มีมูลความจริง พอพูดถึงเขามึงสังเกตดูตามันนะปิ๊ง ๆ เลย”
“โอ๊ย! ไอ้กล้า! ” ปั้นสิบกับพายุร้องขึ้นพร้อมกัน เพราะโดนต้นกล้าจับหัวที่กำลังก้มซุบซิบโขกใส่กันจนเสียงดัง
“เจ็บนะเว้ยมึงเห็นดาวเลยไอ้ห่านี่”
“เออ ก็กูทำให้เจ็บ นี่พวกมึงกำลังนินทากูในระยะเผาขนอยู่นะรู้ตัวปะ”
“ก็เออ มึงจะได้ได้ยินด้วยไงกูขี้เกียจพูดหลายรอบ” ปั้นสิบบอก
“แล้วมึงจะก้มไปทำท่ากระซิบกระซาบกันให้มันลำบากทำไมไม่ทราบ”
“เออ ๆ ไม่กระซิบแล้ว ว่าแต่ตกลงเขาคนนี้คือใครวะ” พายุแกล้งถามกลับ ปั้นสิบหูผึ่งรอฟังเต็มที่
“พวกมึงจะอะไรกะเขานักหนาวะ หน้าตากันก็ยังไม่เคยเห็น”
“กูสงสัย” พายุขมวดคิ้วใช้ความคิด นั่นทำให้ต้นกล้าชักนั่งไม่ติด เพราะเป็นที่รู้กันว่าพายุไม่ชอบพูดมาก แต่มักจะเดาอะไร จากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่รู้มาได้ถูกต้องเสมอ
“สงสัยห่าอะไรของมึงนักหนา” ต้นกล้าชักเริ่มพาลที่เพื่อนไม่ยอมจบ
“กล้าแกล้งกันแบบนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ “ พายุสันนิษฐาน
“ไม่ธรรมดายังไงวะ” ปั้นสิบแกล้งถามกลับหน้าซื่อ
“ไม่ธรรมดาก็พิเศษไงวะไอ้ห่านี่ ก๋วยเตี๋ยวธรรมดา 35 พิเศษ 45 ไง ความหมายแนวเดียวกัน”
“กูคงเข้าใจหรอกนะ” ปั้นสิบผลักหัวพายุไปที
“แล้วตกลงเขาคนนั้นเป็นใครเหรอกล้า” นนท์ที่นั่งฟังอยู่นานถามขึ้นอย่างอดใจไม่ไหว ดูเหมือนทั้งสามคนแค่พูดกวนกันไปกวนกันมาเอาสนุก ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง ทำให้คนที่ต้องการคำตอบอย่างเขาต้องถามเอง
“คนแถวนี้ล่ะ” ต้นกล้าตอบปัดด้วยคำตอบเดิม อีกสามคนเลยมองอย่างจับผิด โดยไม่ได้นัดหมาย
“มาแล้วครับลูกพี่” ดีที่ไอ้จ๋ามาช่วยได้ทันโดยที่มันเองไม่รู้ตัว
“เออ จ๋าขอบใจนะมากินด้วยกันสิ” ปั้นสิบชวน
“ตามสบายครับ เดี๋ยวไอ้จ๋าไปเรียนก่อนนะครับลูกพี่ มีอะไรก็โทรไปละกัน” ไอ้จ๋าตอบปั้นสิบแล้วหันไปบอกลูกพี่ของมัน
“เออ ขอบใจนะเว้ย” ไอ้จ๋ารีบวิ่งลงเรือนไปเพราะสายมากแล้ว ถึงจะมีเรียนตอนสิบโมง แต่มันก็ไม่อยากเข้าห้องทีหลังอาจารย์หรอกนะ ไอ้จ๋าก็เด็กเกรียน เอ๊ย! เด็กเรียนเหอะพูดเลย
“มาอยู่ไม่ทันไรมีลูกน้งลูกน้องนะมึง ว่าแต่ตกลงเขา..”
“มึงจะกินข้าวไหมไอ้สิบ” หึ ๆ เสียงหัวเราะแบบนี้ต้นกล้าไม่ชอบเลย เพราะมันทำให้คิดถึงใครอีกคนที่เขาสร้างวีรกรรมไว้ก่อนเพื่อนมา..
“ตายห่า! “ ต้นกล้าสะดุ้งโหยงจนตาโต
“อะไรใครตาย”
“เปล่าไม่มีอะไรพวกมึงกินกันเลยนะ เดี๋ยวกูจะลงไปดูอะไรข้างล่างก่อน”
“ดูอะไรของมึง มันต้องไปเดี๋ยวนี้เหรอวะ”
“เออ ไก่น่ะกูลืมให้อาหารมัน”
“กินก่อนค่อยไปก็ได้ไหมแค่ไก่”
“ไม่ใช่แค่ไก่โว้ย แต่มันคือไก่ชนตัวเก่งลูกรักกูต่างหาก” ต้นกล้านึกถึงไก่ชนของลุงสมควรเลยเอามาอ้าง แต่ที่จริงเพราะพึ่งนึกได้ถึงใครบางคน ที่ไม่รู้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วหรือยัง แล้วจะมีเสื้อผ้าชุดใหม่เปลี่ยนไหม ทำไมไม่เห็นขึ้นมาเอา ว่าจะไม่สนใจแต่ทำไมความรู้สึกผิดถึงได้คอยสะกิดใจยิก ๆ ตลอด จนต้องไปดู

เอี๊ยด!!! เสียงล้อรถกระบะเล็กคันเก่าบุโรทั่ง บดครูดพื้นถนนดังไปทั่วบริเวณ เรียกให้ผู้คนที่นั่งอยู่ป้ายรถเมล์ และใกล้เคียงหันมามองเป็นตาเดียว
“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้”
“รอรถไปเรียนสิ”
“ฉันจะไปเรียนเหมือนกันไปไหม จะไปก็ขึ้นมา”
“ได้เหรอ” ไอ้จ๋าไม่ตอบแต่มองกลับตาดุ คนตัวผอมจึงรีบขึ้นรถ ใจแอบรู้สึกดีจนต้องเม้มปากแน่นไม่ให้เผลอยิ้มกว้าง เพราะคำแพงแกล้งให้ทำนั่นทำนี่จนสาย จากน้อยใจพี่สาวตอนนี้ต้องขอบคุณ ที่ผ่านมาได้แค่มองตามท้ายรถ ไม่คิดว่าจะได้นั่งมาด้วยเลยวางตัวไม่ถูก กลัวพูดไม่เข้าหูจึงนั่งเงียบบีบมือบรรเทาความประหม่า หันหน้าออกไปนอกรถแอบยิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่ ส่วนไอ้จ๋าที่ท่าทางนิ่ง แต่ในใจมันกลับตื่นเต้นแปลก ๆ เหมือนมีอะไรอุ่น ๆ ทาบทับกลางอก เป็นความรู้สึกที่มันบรรยายไม่ถูก เพราะไม่เคยรู้สึกอะไรบ้า ๆ แบบนี้มาก่อน
“ฮึ่ม! ” ไอ้จ๋าถอนหายใจแรงจนออเรนจ์ตกใจ กลัวว่ามันกำลังอารมณ์ไม่ดีแล้วจะขบหัวเอา
“จ๋าเป็นอะไรไปเหรอ” ทำใจกล้าถามแต่ไอ้หมาหน้าดำแค่เหลือบมอง “ขอบใจนะที่ให้เรามาด้วย” ไอ้จ๋าทำเพียงเสียงอือในคอเหมือนไม่อยากคุย แต่คนตัวผอมก็ไม่ละความพยายาม “นายกินอะไรมาหรือยัง ฉันมีแซนด์วิชกินด้วยกันไหม”
“ไม่! “
“งั้นเราขอกินบนรถหน่อยนะ”
“เออ”  ออเรนจ์แอบหันไปมองหน้าไอ้จ๋า ปากเล็กจิ้มลิ้มค่อย ๆ ละเลียดเล็มกินทีละน้อย ไอ้จ๋าเหลือบมองบ้างเวลาอีกคนเผลอ แต่มันก็ต้องรีบหันไปดูทาง เพราะปากบาง ๆ สีสดนั่นเหมือนมีอิทธิพลแปลก ๆ กับอะไรบางอย่างในความรู้สึกของมัน ไม่นานรถออกสู่ถนนใหญ่ ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่มากขึ้น แต่...
“อะไรของเธอบอกไม่กินไง” ไอ้จ๋าเหล่มองแซนด์วิชที่ยื่นมาจ่อปากทางหางตา หน้ามันตึงระดับสิบด้วยความหงุดหงิด
“แต่นายหิวนี่กินเถอะ”
“ฉันไม่หิว! ” ออเรนจ์หัวเราะคิกคักชะโงกหน้าเข้ามากใกล้ แต่ไอ้จ๋าไม่ขำด้วยหรอกเพราะต้องตั้งใจขับรถ ไหนจะหน้าใส ๆ ที่กำลังล่อตาล่อใจอยู่นี่อีก ที่ทำให้มันใกล้หมดความอดทน นึกอยากกัดปากแดง ๆ นั่นให้ขาดเพราะความมันเขี้ยวสักที “หัวเราะอะไรยายส้มเน่า”
“บอกไม่หิวแต่ท้องร้องเสียงดังเลย อ้าปากอย่าดื้อ” ออเรนจ์บอกยิ้ม ๆ จ่อของกินชิดปากแข็ง
“อย่ามาลามปามเชียวนะยายเผือกน้อย! ” คำว่าอย่าดื้อทำให้ไอ้จ๋าฮึดฮัดไม่พอใจ แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท้องมันร้องดังจริง ๆ คนยิ่งหิว ๆ มานั่งกินให้ดูอยู่ได้
“อ้าม อ้าปากเร็ว ๆ สิจ๋า”
“เออ ๆ เซ้าซี้อยู่ได้! ” แทนที่จะสลดคนตัวผอมกลับยิ่งยิ้มกว้าง เพราะไอ้จ๋ายอมอ้าปากงับของกินในมือ คนตัวผอมนั่งใจสั่นเพราะริมฝีปากนุ่มหยุ่นอุ่น ๆ งับโดนปลายนิ้ว จนรู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีประจุไฟแตกกระจายไปทั่วตัว ไอ้จ๋ากัดกินไปคำใหญ่ทั้งที่ตายังมองถนน แซนด์วิชชิ้นเดียวมันกัดไปคำออเรนจ์เอากลับมากัดกินเองคำ เหลืออีกคำก็เอากลับไปป้อนใส่ปากที่อ้ารับอย่างว่าง่าย ไม่นานของกินที่เตรียมมากล่องใหญ่ ก็ถูกทั้งสองคนช่วยกันกินจนหมด
“อ้าปากคำสุดท้าย”
“หมดแล้วเหรอเธอกินเถอะ”
“ฉันอยากให้นายกิน”
“เออก็ได้” ถึงจะกระแทกเสียงบอกแต่ไอ้จ๋าอ้าปากรอ มันไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองทั้งเคี้ยวทั้งยิ้ม ตามองทางปากอ้ารับของกิน เคี้ยวหมดมีหลอดดูดยื่นมาจ่อปาก มันก็ดูดกินนมในกล่องไปอึกใหญ่
“ยิ้มอะไร” ไอ้จ๋าถามเมื่อเหล่ตามองเห็นอีกคนกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มีความสุข จนมันรู้สึกถึงความสว่างเจิดจ้ารอบตัว
“เปล่า” แล้วต่างคนก็ต่างเงียบ ออเรนจ์กลบเกลื่อนความเขินด้วยการมองออกไปนอกรถ ไอ้จ๋าก็กลบเกลื่อนความรู้สึกแปลก ๆ ด้วยการตั้งใจขับรถ จนไม่นานก็พากันมาถึงมหาวิทยาลัย
“เลิกกี่โมง”
“เที่ยงทำไมเหรอ”
“เปล่าไม่มีอะไรถามไปงั้น”
“อือ เราไปก่อนนะขอบใจนะที่ให้มาด้วย”
“นี่” ออเรนจ์หยุดมือที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถ ไอ้จ๋าเรียกด้วยเสียงเข้มเหมือนหงุดหงิด “เลิกเรียนแล้วถ้าจะกลับบ้านรถก็จอดอยู่ตรงนี้”
“ทำไมล่ะ”
“เอ้า ยายส้มเน่านี่คิดก่อนไหมที่ถามน่ะ”
“ก็เราไม่รู้นี่ว่าจ๋าจะบอกเราทำไม”
“ก็..ช่างเถอะไปได้แล้ว” ออเรนจ์เปิดประตูลงจากรถไปแล้ว ไอ้จ๋ายังนั่งหน้าบูดกับตัวเอง ไม่รู้ทำไมไม่บอกไปตรง ๆ ว่าให้มารอที่รถถ้าจะกลับพร้อมกัน
ก๊อก ๆ “อะไรอีกวะ! ”
“นายเลิกเรียนกี่โมง”
“เที่ยง”
“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันกลับด้วยคนได้ไหมล่ะ ทางผ่านพอดีนี่” คนอย่างไอ้จ๋าต้องเล่นอย่างนี้ถึงจะไปกันได้ มันตอบเออมาคำเดียว คนขอกลับด้วยเลยยิ้มกว้าง “ขอบใจนะไปล่ะ แล้วเจอกัน” คนตัวผอมเดินไปแล้ว แต่ไอ้จ๋าต้องนั่งหน้าบึ้งอยู่ในรถเป็นครู่ ความตึงเครียดในหัวจึงผ่อนคลายลง และได้รอยยิ้มผุดขึ้นมาแทน

ต่อจ้า...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



ต่างคนต่างตั้งใจเรียนในรายวิชาของตัวเอง คนตัวผอมนั่งเรียนไปยิ้มไปจนใกล้เที่ยง อาจารย์ปล่อยก่อนเวลา พอออกจากห้องก็รีบไปรอไอ้จ๋าที่รถ แต่เจอกับใครบางคนระหว่างทางเสียก่อน
“สวัสดี”
“ว่าวเรียนที่นี่เหมือนกันเหรอ ไม่เคยเจอกันเลยนะ”
“เรียนคนละคณะไม่เจอกันง่าย ๆ หรอก ว่าแต่ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”
คุยกับไอ้ว่าวอยู่เป็นครู่จึงแยกกัน ดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือเห็นว่าเที่ยงกว่าแล้ว มองหาคนที่บอกจะให้ติดรถกลับบ้านด้วยแต่ไม่เจอ จึงหยิบสมุดเล่มเล็กมาเขียนอะไรบางอย่าง ฉีกไปแปะติดไว้กับกระจกรถฝั่งคนขับแล้วเดินไปซื้อน้ำดื่ม
   คล้อยหลังคนตัวผอม ไอ้จ๋าที่ยืนอยู่อีกด้านของมุมตึกก้าวออกมา จากมุมที่ยืนอยู่สามารถได้ยินบทสนทนาของออเรนจ์กับไอ้ว่าวชัดเจน มันถามตัวเองกลับไปกลับมาหลายรอบถึงเรื่องที่ได้ยิน ว่าใช่หรือที่คนตัวผอมชอบมัน ชอบมานานแล้วอย่างนั้นหรือ แต่ตุ๊ดก็คือตุ๊ด ตุ๊ดคือผู้ชายคนหนึ่ง ไอ้จ๋าไม่ได้ชอบผู้ชายแต่ชอบผู้หญิง ถึงจะรู้สึกดีกับยายนี่อยู่บ้างก็ตามเถอะ ยังไงก็ไม่คิดเกินเลยมากไปกว่านี้ มันบอกตัวเองทั้งที่ใจเต้นแรงยามเข้าใกล้กัน มันปฏิเสธกับตัวเองทั้งที่ลมหายใจสะดุดทุกครั้ง ยามเห็นรอยยิ้มสดใส ยิ้มให้มันแต่ละทีราวกับมีดอกไม้เบ่งบานรอบตัว แบบ
นี้มันหมายความว่ายังไง ไอ้จ๋าเป็นงุนงงสงสัยจริง ๆ
 ไอ้จ๋าถอนหายใจส่ายหัวไปมา ความสับสนตีกันวุ่นวายเลยพาลหงุดหงิด ยิ่งเดินมาเห็นกระดาษสีชมพูหวานแปะไว้ ยิ่งพาลให้รู้สึกถึงอะไรบางอย่างยากอธิบาย มันเหมือนมีความไม่พอใจอยู่ลึก ๆ แต่อีกใจกลับบอกไม่ใช่ ไอ้จ๋าสับสนตัวเองเข้าขั้นรุนแรง ความหงุดหงิดงุ่นง่านจึงเพิ่มขึ้นหลายระดับ มันสบถหยาบคายถอนหายใจฟืดฟาด แต่ก็ยังไม่หายจากอาการนี้สักที
มือกร้านขยำกระดาษแล้วปาทิ้ง มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใช่ความโกรธ หรือเป็นแค่ความสับสนจนทำให้หงุดหงิด รถกระบะคันเล็กถูกขับกระชากออกไปอย่างแรง ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดงุ่นง่านหนัก ตั้งแต่เจอกันอีกคนก็ทำให้มันอารมณ์เสียตลอดสิน่า
อารมณ์เสียอย่างนั้นเหรอ..?
อารมณ์เสียเพราะยายส้มเน่านี่เหรอ..? เปล่า!..ไม่ใช่เลย ไอ้จ๋าอารมณ์เสียเพราะตัวมันเองต่างหาก ที่เจอหน้าใส ๆ ของยายนี่ทีไร ก็ไม่เคยห้ามตัวเองไม่ให้มองได้สักที ไม่มองตรง ๆ ก็ต้องแอบมอง ไม่เห็นหน้าก็เผลอคิดถึง เจอกันแต่ละครั้งที่พูดไม่ดีด้วย เพราะต้องกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง อย่างความรู้สึกคล้าย ๆ อาการประหม่า หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเขินอะไรเทือกนั้น ส่วนอีกคนไม่มีความผิดเลย แค่ทำสายตาอ้อนไม่รู้ตัว แล้วพูดกับไอ้จ๋าเสียงอ่อนเสียงหวาน แค่นี้ก็ทำให้มันหงุดหงิดงุ่นง่านได้แล้ว 
“โธ่เว้ย! ” ไอ้จ๋าตะโกนระบายความหงุดหงิด ขับรถออกมาถึงหน้ามหาวิทยาลัย ตั้งใจจะตรงกลับบ้าน แต่ในหัวกลับหยุดคิดเรื่องยายส้มเน่าไม่ได้ หงุดหงิดตัวเอง!
ออเรนจ์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพื่อกลับมากับความว่างเปล่า รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รถคันเก่าที่ควรจอดอยู่ตรงนี้หายไปแล้ว กระดาษสีชมพูถูกขยำจนเป็นก้อนตกอยู่ไม่ไกล ใบหน้าสวยหม่นลง นี่คงแปลได้อย่างเดียว ว่าคนทำคงไม่พอใจมาก ถ้าไม่รอแล้วเมื่อเช้าจะพูดแบบนั้นทำไม อยากพูดให้เข้าใจแบบนั้นหรือไม่ได้ตั้งใจพูด แต่คนฟังเข้าใจความหมายผิดเอง
   ปลอบใจตัวเองว่าอาจจะเจอไอ้จ๋าอยู่ตรงไหนสักที่แถวนี้ แต่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นมีวี่แววของคนหัวเกรียนตัวดำ ๆ กับรถคันเก่าของมันเลย พอหมดหวังก็ก้าวออกมาจากตรงนั้น รู้อยู่แล้วว่ายังไงต้องเจ็บปวด รู้อยู่แล้วว่าคงไม่สมหวัง แต่ความรู้สึกดี ๆ ที่ได้รับมันทำให้หลงลืมไป จากนี้คงอยู่แค่ในมุมของตัวเอง ยอมรับความจริงอย่างคนแอบรักเหมือนที่ผ่านมา
 
”หายไปไหนแล้ววะ ไปแป๊บเดียวเองนะเว้ย” พอไอ้จ๋ามาถึงก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่ตั้งใจย้อนกลับมารับ เพราะแป๊บเดียวของมันนั้นกินเวลาอยู่ไม่น้อย กว่าจะจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้ กว่าจะตัดสินใจว่าต้องทำอะไรสักอย่าง กว่าจะวนรถฝ่าความวุ่นวายของการจราจรบนถนน ก็ใช้เวลาตั้งครึ่งค่อนชั่วโมงเข้าไปแล้ว!
“ป่านนี้งอนตุ๊บป่องไปแล้วแน่ ๆ ยายเผือกน้อยเอ๊ย“ มันเดินวนแถวนั้นตาก็มองหาไปทั่ว แต่ไม่มีวี่แววเจ้าของร่างบอบบางให้เห็น ล้วงพี่ฮีโร่โทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าจากกระเป๋ากางเกง เปิดหารายชื่อที่บันทึกไว้แล้วชั่งใจ
“โทรไม่โทรดีวะ” สองจิตสองใจ ใจหนึ่งอยากโทรอีกใจกลับไม่ ใจหนึ่งบอกช่างมันเถอะ แต่จะช่างมันได้ยังไงในอกร้อนรนขนาดนี้ ไอ้จ๋าสับสนแต่ก็กดโทรออกยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู รู้สึกตื่นเต้นปนหงุดหงิด ไม่เคยคิดจะทำอะไรอย่างนี้มาก่อน รู้ว่าตัวเองผิดที่ไม่รอ แต่ไม่เคยง้อใครเพราะไม่เคยมีใครให้ง้อ ถ้าง้อแล้วไม่หายโกรธอย่ามาโทษไอ้จ๋าก็แล้วกัน!
 ขอโทษค่ะยอดเงินของคุณไม่เพียงพอต่อการใช้บริการ กรุณาเติมเงินด้วยนะคะ
“ฉิบหาย! โว้ยทำไมมันมาหมดเอาตอนนี้วะเนี่ย” ไอ้จ๋าฉุนหนัก ร่ำ ๆ จะโยนโทรศัพท์ทิ้ง แต่ยั้งใจทันเพราะเสียดาย เดินไปตู้เติมเงินเครื่องก็ใช้ไม่ได้ เดินไปซื้อบัตรเติมเงินบัตรก็ดันหมด แล้วทำไมเครื่องมันต้องใช้ไม่ได้ บัตรต้องมาหมดเอาตอนที่มันต้องการแบบนี้ ไอ้จ๋าอยากบ้าตาย อะไรต่อมิอะไรไม่เป็นใจกับมันสักอย่าง
“เอ้ารับสิวะ” ไอ้จ๋าโทรอีกครั้ง หลังจากแวะเติมเงินที่ร้านสะดวกซื้อระหว่างทางกลับบ้าน แต่ก็ได้ฟังแค่เสียงรอสาย “โกรธจริง ๆ ใช่ไหมไม่ยอมรับสายเนี่ย รับสักทีสิวะยายส้มเน่า! ” รอจนสายตัดแล้วโทรใหม่ แต่ผลยังเหมือนเดิมคือออเรนจ์ไม่รับโทรศัพท์ ดีที่ยังไม่ปิดเครื่องหนี
ไอ้จ๋าขับรถมาถึงตัวอำเภอ สุดท้ายก็มาจอดสนิทข้างทาง ตรงข้ามร้านขายอุปกรณ์การเกษตรและปุ๋ย มองเข้าไปในร้านเป็นนานสองนานไม่ยอมไปไหน พี่ฮีโร่คู่ใจอยู่ในมือชั่งใจแล้วชั่งใจอีกว่าจะกดโทรดีหรือไม่โทรดี
“เอาวะโทรก็โทร ครั้งสุดท้ายไม่รับก็เรื่องของเธอนะยายส้มเน่า ฉันไม่ง้อโว้ย” ไอ้จ๋ากำลังจะกดโทรออก แต่เป็นจังหวะที่มีสายเข้ามาพอดี การโทรออกของมันจึงกลายเป็นการรับสายโทรเข้าแทน
”ครับลูกพี่ ไอ้จ๋าอยู่อำเภอลูกพี่จะเอาอะไรหรือเปล่าครับ”
(เหรอวะ งั้นเอาของเมามาเย็นนี้ไอ้พวกนั้นมันอยากฉลอง)
“เอาอะไรบ้างล่ะครับ”
(เบียร์ เหล้า ซื้อของสดมาทำกับแกล้มด้วย เดี๋ยวกลับมาคืนตังค์ให้)
“หา! จะกินเหล้ากันเหรอครับลูกพี่”
(เออสิ ฉลองมันก็ต้องมีเหล้ามีเบียร์ปะวะ ว่าแต่แกมีเงินพอจ่ายไหม)
“แหะ ๆ ไม่มีครับตอนนี้ทั้งตัวไอ้จ๋ามีห้าสิบบาทเอง”
(ปัดโธ่ แล้วก็ให้คุยตั้งนาน งั้นก็รีบกลับมาเดี๋ยวมาซื้อเอาแถวนี้ก็ได้)
“ครับ ๆ ไอ้จ๋าจะกลับเดี๋ยวนี้ครับ” ไอ้จ๋าตรงกลับบ้านไม่ใช่ไม่อยากรอ แต่รออยู่อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ระยะทางเกือบยี่สิบกิโลเมตร ขับรถไม่นานมันก็มาถึงบ้านทุ่งดอกจานอย่างปลอดภัย
“นี่ใจคอจะไม่รับโทรศัพท์จริง ๆ เหรอวะ” ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านไอ้จ๋าโทรหายายส้มเน่าหลายครั้ง รอสายจนสายตัดก็ไม่มีทีท่าว่าคนที่โทรหาจะรับสายสักที จนมันชักจะหงุดหงิดงุ่นง่านอีกแล้ว
“ทำอะไรอยู่เหรอ” ไอ้จ๋ามองโทรศัพท์ในมือตัวเอง แล้วมองหน้าคนถามนิ่ง
มันชูของที่อยู่ในมือให้อีกคนดู “นี่รู้จักไหม”
“โทรศัพท์รุ่นที่โบราณมาก” ทำไมต้องย้ำวะ!
“แล้วไง” ไอ้จ๋าเอียงคอถามท่าทางพร้อมมีเรื่อง มันไม่อายหรอกว่าโทรศัพท์ของมันจะรุ่นเก่าหรือโบราณแค่ไหน ถ้ายังใช้ได้อยู่ก็ถือว่ามีประโยชน์
“พูดกับผู้ใหญ่ไม่ควรมีหางเสียงหน่อยเหรอน้อง”
“มีสิ แต่กับผู้ใหญ่ที่นับถือไม่ใช่คนที่พึ่งเจอกัน” ไม่ใช่ไม่เกรงใจลูกพี่ แต่เพราะเพื่อนลูกพี่มองมันแปลก ๆ อย่างที่มันไม่ชอบ ไอ้จ๋าเลยไม่อยากญาติดีด้วย ยิ่งพออีกคนจ้องหน้ามันด้วยสายตากวน ๆ ไอ้จ๋าเลยจะเดินหนีมันเสียดื้อ ๆ นี่แหละ
 “เดี๋ยวจะไปไหน”
“ต้องรายงานเหรอ” ถามแล้วไม่สนใจรอคำตอบ ไอ้จ๋าเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเลี่ยง
ออกไปทางสวนมะม่วง พายุมองตามท่าทางที่ทำให้เขาสะดุดตาแต่แรก แต่ไม่รู้เป็นอะไรทำไมถึงไม่พูดกับน้องมันดี ๆ
“ไอ้ยุมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้วะ เห็นไอ้จ๋าไหมกูจะให้มันออกไปซื้อเหล้าเนี่ย”
“เห็นเดินไปทางโน้น”
“เออ มึงไปดูไอ้สิบกับไอ้นนท์ในครัวหน่อยไป มันกำลังหาอะไรกินรองท้องกัน เดี๋ยวกูเดินไปบ้านโน้นแป๊บหนึ่ง” ต้นกล้าเดินมาถาม ๆ สั่ง ๆ แล้วเดินไปตามทาง ที่หากเป็นเวลาหลังตะวันตกดินไปแล้ว ไม่มีวันย่างกรายมาใกล้แน่ แต่ตอนนี้พึ่งจะบ่ายแก่ ๆ จึงไม่ต้องกลัวหรือกังวลอะไร หนุ่มหล่อเกาหลีเดินผิวปากอารมณ์ดีไปตามทางที่คุ้นเคย “ไอ้จ๋า”
“ครับลูกพี่มีอะไรเหรอครับ” ไอ้จ๋าทิ้งโทรศัพท์ในมือไว้บนที่นอนรีบวิ่งลงเรือน เมื่อได้ยินเสียงลูกพี่มาเรียกถึงบ้าน
“ไปซื้อของหน่อยไป” ต้นกล้าบอกของที่ต้องการสำหรับปาร์ตี้คืนนี้ โดยไม่ลืมกำชับว่าต้องซื้อมาให้ครบทุกอย่าง ทั้งเหล้าและกับแกล้ม ที่ไอ้จ๋าเสนอให้ซื้อเนื้อมาย่าง และมันจะทำเนื้อย่างสูตรพิเศษที่เหมาะแก่การแกล้มเหล้าให้ชิม
ต้นกล้าหยิบเงินจำนวนหนึ่งส่งให้ไอ้จ๋าเป็นค่าซื้อของ “เอานี่เงินพอไหมวะ”
“พอครับพอเหลือด้วยมั้งเนี่ย”
“เออ. เอานี่อีก”
“แล้วเงินนี่ซื้ออะไรครับลูกพี่” ไอ้จ๋าทำหน้าหมางง ที่เห็นลูกพี่หยิบเงินออกมาอีกสามพันยื่นให้
“แกเก็บไว้”
“ให้ไอ้จ๋าเก็บไว้ทำไมล่ะครับ จะให้ซื้ออะไรอีกก็บอกเลย ไอ้จ๋าไปหาซื้อมาให้ได้หมดล่ะครับ”
“เก็บติดกระเป๋าไว้ใช้เวลาไปเรียนฉันให้”
“เอ๋า ให้ไอ้จ๋าทำไมล่ะครับลูกพี่ไอ้จ๋าพอมีครับ” ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะรีบเก็บเงินไว้แล้ว แต่นี่เป็นไอ้จ๋ามันจึงยืนเกาหัวแกรก ๆ และยังไม่รับเงินมา
“อะไรของแกวะ ไหนบอกมีเงินติดตัวห้าสิบบาท เอาเก็บไว้เลยหมดแล้วแกต้องบอกฉันด้วยเดี๋ยวให้ใหม่ เอ๊ะไม่ดีกว่า ฉันจะให้เป็นอาทิตย์ก็แล้วกัน” ต้นกล้ารวบรัดเองเสร็จสรรพแต่ไอ้จ๋ายังเกรงใจ
“ลูกพี่ให้ไอ้จ๋าทำไมครับ ไอ้จ๋ามีเงินที่คุณยายให้อยู่แล้วทุกเดือน”
“นั่นเก็บไว้ ส่วนเงินนี่ฉันให้ติดตัวไว้เผื่อฉุกเฉินไงวะ อีกอย่างเผื่อฉันอยากได้อะไรแกจะได้ซื้อมาเลย จะได้ไม่เหมือนวันนี้”
“แต่..”
“ไม่ต้องเถียงหนวกหูไปได้แล้ว เดี๋ยวโบกหัวทิ่มเลยพูดมาก ไป ๆ ”
“ก็ได้ครับลูกพี่ขอบคุณครับ” ไอ้จ๋ายกมือไหว้รับน้ำใจจากลูกพี่ด้วยความเคารพ อย่างน้อยมันก็คอยดูแลต้นกล้าเป็นอย่างดี ถ้าเขาจะดูแลมันบ้างแค่นี้จะเป็นไรไป ยังไงไอ้จ๋าก็น้องก็นุ่ง บอกง่ายใช้คล่องแถมยังแสนรู้อีกต่างหาก..
   ต้นกล้าเดินผิวปากอารมณ์ดีกลับเรือนหลังใหญ่ เจอเพื่อนทั้งสองนั่งเล่นรอที่แคร่หน้าบ้าน พายุเล่นกีตาร์ร้องเพลงให้ปั้นสิบที่นอนอยู่บนเปลญวนฟัง ส่วนนนท์ที่ขอมาด้วยเดินคุยโทรศัพท์ในสวน นั่งเล่นคุยเล่นกันอยู่ครู่ใหญ่ ไอ้จ๋าก็กลับมาพร้อมกับของทุกอย่างตามคำสั่งลูกพี่
“เดี๋ยวไอ้จ๋าเอาเตาออกมาย่างเนื้อตรงนี้เลยนะครับลูกพี่” มันบอกพลางเทน้ำแข็งใส่กระติกไปด้วย จากนั้นสหายจากเมืองกรุงของลูกพี่ก็เริ่มตั้งวง
แคร่ไม้ใต้ต้นลำไยหน้าบ้าน ถูกเปลี่ยนเป็นสถานที่ตั้งวงกินเหล้า ไอ้จ๋ายกเตาถ่านออกมาตั้งก่อไฟย่างเนื้อติดมันหมักอย่างดี ผ่านไปอีกครู่เนื้อที่ย่างก็เริ่มสุกส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ
“แล้วลูกพี่เดี่ยวล่ะครับ” ไอ้จ๋ากระซิบกระซาบข้างหูลูกพี่ใหญ่ ถามหาลูกพี่อีกคนที่ไม่น่าพลาดงานนี้ โดยมีสายตาของคนที่นั่งตรงข้ามกันอย่างนนท์มองอย่างสังเกต และหูของปั้นสิบกับพายุก็ผึ่งขึ้นมาทันที ที่ได้ยินคำว่าลูกพี่เดี่ยวแว่ว ๆ
“ไม่รู้โว้ย”
“อะไรวะซุบซิบอะไรกัน” ปั้นสิบแกล้งถาม ไอ้จ๋าเลยล่าถอยไปประจำเตาย่างเนื้อเหมือนเดิม
“เปล่าโว้ยไม่มีอะไรชนหน่อยพวกมึง นนท์ยกสิ“ ต้นกล้าชวนเพื่อน ๆ ชนแก้ว ใจก็อยากให้มีอีกคนมานั่งร่วมลงตรงนี้ด้วย แต่จะให้ต้นกล้าโทรไปชวนหรือก็ใช่ที่ อยากมาก็มาเองเถอะแต่จะไม่มาก็ช่างใครจะสน
จากเวลาบ่ายแก่ ๆ ล่วงเข้าสู่ยามเย็น และตอนนี้ก็สามทุ่มกว่าเกือบสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว วงเหล้ายังไม่มีทีท่าจะเลิกรา แม้ว่าเหล้าที่ซื้อมาใกล้จะหมด ไอ้จ๋ายังสบายดีเพราะมันดื่มไม่กี่แก้ว แต่ลูกพี่กับเพื่อน ๆ นี่สิท่าทางชักไม่ไหว จนเหล้าหมดแต่คนยังไม่หมดไฟ เพราะยังนั่งคุยกันถึงเรื่องเก่าเคล้าสายลม
 “กูว่าไปซื้อเหล้ามาอีกเหอะว่ะ” ถึงเสียงปั้นสิบจะอ้อแอ้บ่งบอกถึงความเมา แต่ท่าทางก็ดูมุ่งมั่นตั้งใจในการดื่ม
“พอแล้วมั้งไอ้สิบ”
“มึงนี่อ่อนนะไอ้ยุแค่นี้ยอมแพ้เหรอวะ”
พายุฮึดฮัดเหมือนกลัวคนอื่นจะคิดว่าอ่อนจริง ๆ “อย่างกูนี่นะอ่อน จัดมาเลยแล้วมึงจะรู้ว่าของแข็งเป็นยังไง ไอ้กล้าจัดมา”
“เออเดี๋ยวให้ไอ้จ๋าไปซื้อให้นั่นไงมาพอดี” ไอ้จ๋ามาพร้อมกลิ่นหอมกรุ่นของสบู่ตรานกแก้ว ที่ฟุ้งกระจายไปทั่วเพราะเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ “ไอ้จ๋าไปซื้อเหล้ามาอีกไป”
“ต่อเหรอครับแต่ร้านในหมู่บ้านคงปิดหมดแล้วนะครับ”
“อ้าวเหรอวะเอาไงดี” ต้นกล้าหันกลับไปถามความเห็นเพื่อน ๆ ไอ้จ๋าจึงเสนอทางเลือกให้
“เดี๋ยวไอ้จ๋าเข้าไปซื้อในเมืองให้ครับ ขับรถแป๊บเดียว”
“เออ เอางั้นเหรอ”
“ครับ ๆ ไอ้จ๋าไปเดี๋ยวนี้เลย”
“จ๋าเอานี่ตังค์ อยากกินอะไรก็ซื้อมาเพิ่มเลยนะเว้ย” ไอ้จ๋าเดินไปหยิบกุญแจรถคันใหญ่ แล้วขับออกไปซื้อของตามที่ลูกพี่สั่ง ดีเหมือนกันเอาคันนี้ไปจะได้เหยียบให้ทันใจสักหน่อย ถึงแม้อีแก่ของมันจะถึงใจอยู่แล้วก็ตามเถอะ
   คล้อยหลังไอ้จ๋าไปแล้ว ลูกพี่และเพื่อน ๆ ก็พากันนั่งคุยรอ เล็มของกินที่เหลือแก้เมาไปด้วย พายุเล่นกีตาร์ร้องเพลงกล่อมเพื่อน ผ่านไปครู่ใหญ่ต่างคนต่างเงียบ เสียงเพลงเริ่มเบาลงและเงียบไปในที่สุด ปั้นสิบหลับไปแล้ว พายุนั่งพิงต้นลำไยตาปรือกีตาร์ยังวางอยู่บนตัก นนท์หาวแล้วหาวอีกแต่ไม่ยอมลุกไปไหน ต้นกล้าก็เมาพอสมควรแต่ยังพอมีสติ เห็นสภาพแต่ละคนแล้วได้แต่ส่ายหัว
“ซื้อของเสร็จยังวะ”
(เสร็จแล้วครับลูกพี่ ไอ้จ๋ากำลังจะกลับ)
“เออ ๆ ไม่ต้องรีบก็ได้ ไอ้พวกนั้นมันหลับไปหมดแล้วคงไม่มีใครกินแล้วว่ะ ขับรถกลับระวังด้วยแค่นี้แหละ” ไอ้จ๋าวางสายไปแล้วแต่ต้นกล้ายังยืนอยู่ที่เดิม ตาเหม่อมองออกไปทางหน้าบ้าน เหมือนกำลังมองหาใครบางคน ตั้งแต่เพื่อนมาต้นกล้าก็ดันลืมคนตัวโตไป ว่าจะโทรหาก็ไม่มีโอกาสสักที เอาไปเอามาเลยลืมไปว่าใครบางคนอาจจะโกรธที่ถูกทิ้ง โทรศัพท์มือถือเครื่องบางถูกยกขึ้นมาดู ปากสวยเม้มแน่นตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะโทรหรือไม่โทรดี ตอนนี้หน้าจอโชว์เบอร์เด็ดเดี่ยว จะเหลือก็แค่กดโทรออก และสุดท้ายท้ายที่สุด…
“เอ่อ จะนอนหรือยัง” ไม่มีใครรู้หรอก ว่าตอนนี้ต้นกล้าตื่นเต้นมากแค่ไหน ทั้งที่กำลังสองจิตสองใจ แต่หน้าจอโทรศัพท์ระบบสัมผัสอันทรงประสิทธิภาพ แค่เลื่อนมือผ่านแผ่วเบามันดันทำงานทันที เวรแท้!
(คิดว่ายังไงล่ะ) แค่ได้ยินเสียงก็รู้เลยว่าน่าจะยังงอนอยู่
“งั้นแค่นี้ล่ะ”
(โทรมาแค่นี้จะโทรมาทำไม)
“แล้วจะกวนทำไมเล่า” คนยิ่งเขิน ๆ อยู่ ไม่ใช่ล่ะต้นกล้าแค่ยังไม่ทันคิดว่าจะพูดอะไรกับเด็ดเดี่ยวต่างหาก
(แค่อยากรู้ว่าจะมีใครเป็นห่วงความรู้สึกพี่หรือเปล่า แต่ดู ๆ แล้วคงไม่มีหรอกมั้ง คนมันไม่สำคัญนี่เนอะเลยถูกลืม)
“บ้าสิ คิดอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้”
(แปลว่ายังไม่ลืม) ต้นกล้าไม่รู้หรอก ว่าปลายสายยิ้มกว้างตาแทบปิด
“ชิใครจะสน” ได้ยินเสียงหัวเราะโรคจิตดังมาตามสายต้นกล้าเลยหน้างอ “เราไม่มีอะไรจะคุยแล้วแค่นี้ล่ะ” พูดจบก็วางสายทันที แต่พอจะเดินเข้าบ้าน ดันชนเข้ากับใครบางคนที่มายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ยังไม่นอนเหรอ”
“เรามีเรื่องอยากคุยกับกล้า”
“อือ พอดีเลยเราก็มีเรื่องอยากคุยกับนนท์เหมือนกัน” รอยยิ้มประดับขึ้นบนใบหน้านนท์ ที่ได้ยินว่าต้นกล้าก็มีเรื่องอยากคุยกับเขาด้วยเช่นกัน แต่....
“นายมาที่นี่ทำไม” เป็นคำถามที่ต้นกล้าหาโอกาสถามมาทั้งวัน
“เราอยากมาขอโทษกล้าเรื่องวันนั้น” ต้นกล้าขมวดคิ้วมุ่นมองนนท์สีหน้ามีคำถาม “เราโง่เองที่พูดแบบนั้นออกมา เราไม่ทันคิดเพราะยังไม่รู้ใจตัวเอง หลังจากวันนั้นเราก็เอาแต่คิดถึงกล้า เริ่มรู้ว่าตัวเองก็รู้สึกดี ๆ เหมือนที่กล้ารู้สึกกับเรา” ต้นกล้าเพียงยิ้มบางเหมือนกำลังคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศ
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว เราไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นแล้วว่ะนนท์”
“ไม่ ๆ กล้าอย่าพูดแบบนั้น นนท์ขอโทษจริง ๆ วันนั้นพูดอะไรไม่คิดออกไปนนท์ขอโทษ” คำพูดของต้นกล้าทำให้นนท์ร้อนรน จนต้องรีบดึงมือต้นกล้ามากุมไว้
“ปล่อยเราก่อนนนท์ เราเข้าใจนะที่นายพูดวันนั้น แต่วันนี้เราไม่เข้าใจว่านายต้องการอะไรกันแน่”
“เราต้องการกล้า ลืมเรื่องที่พูดวันนั้นแล้วเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม จะเป็นเหมือนเดิมได้ไหมกลับมาคบกัน” เข้าประเด็น! “ให้เราได้ไถ่โทษได้ไหม ที่พูดวันนั้นขอให้กล้าลืมมันแล้วเรามาเริ่มต้นใหม่นะ” เห็นแก่ตัว!
“แต่เราไม่คิดอะไรอย่างนั้นละ อุบ! “ ต้นกล้าตกใจตาโตที่ถูกนนท์กระชากเข้าหา ประกบจูบอย่างแรงจนฟันกระทบ ไม่เข้าใจว่าอีกคนจะมาขอโทษกับเรื่องที่ผ่านไปแล้วทำไม แค่ความรู้สึกว่าชอบมันลืมไม่ยาก และวันนี้มันก็เลือนหายไปหมดแล้ว เหลือแค่บางอย่างไว้เตือนใจแค่นั้นจริง ๆ
“ทำบ้าอะไรของนายวะนนท์! ” ต้นกล้าตวาดใส่นนท์แล้วผลักร่างที่สูงเท่ากันออกห่าง แต่พอหันหนีไปอีกทางพลันต้องชะงักนิ่ง เพราะเจอเข้ากับดวงตาดุจ้องเขม็งจนน่ากลัว “เด็ดเดี่ยว! ”
“พี่มาผิดเวลาหรือเปล่า”
“ใช่มาผิดเวลา! ” นนท์ตอบแทนเจ้าของบ้าน ต้นกล้ายังอึ้งเพราะไม่คิดว่าอีกคนจะมาอยู่ที่นี่ได้เร็วขนาดนี้ทั้งที่พึ่งวางสาย แต่สำหรับคนที่จอดรถซุ่มดูอยู่หน้าบ้าน นี่ถือว่าช้าไปมากต่างหาก “มาบ้านคนอื่นดึก ๆ อย่างนี้มันไม่เหมาะนะหรอกคุณ”
“พูดอะไรของนายวะนนท์” ต้นกล้าหันมาต่อว่าอย่างไม่พอใจ แต่พอหันกลับมาหาเด็ดเดี่ยวอีกคนก็ประชิดตัวแล้ว “อื้อ ปล่อยเรานะทำอะไรเนี่ย”
“เช็ดปากทำความสะอาดไง”
“มันเจ็บ” ต้นกล้าประท้วงเพราะเด็ดเดี่ยวเดินเข้ามากอดคอ ดึงชายเสื้อที่ใส่อยู่ขึ้นเช็ดปากให้แรง ๆ ใช่สิก็คนมันหวง เห็นจะ ๆ คาตาแบบนี้ เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อคนดีศรีหมู่บ้านอย่างเด็ดเดี่ยวละก็ ไอ้นี่คงได้โดนต่อยคว่ำไปแล้ว แม้ว่าเด็ดเดี่ยวเองก็อยากต่อยปากมันอยู่เหมือนกันก็ตามเถอะ ที่บังอาจจะมาจูบคนพิเศษของเขา
“ปล่อยพอแล้ว” เช็ดจนหนำใจถึงได้ปล่อย แต่ก็ยังไม่พอใจเสียทีเดียว จนกว่าจะได้ลบรอยด้วยตัวเอง  เด็ดเดี่ยวยืนกอดอกมองส่วนเกินเขม็ง ไอ้หน้าปลาเข็งนี่สินะที่ทำให้ต้นกล้าลืมเขาเมื่อเช้านี้ แล้วอีกสองคนไปไหนไหนว่ามาสามคน
“ไหนบอกเพื่อน”
“ก็..” ต้นกล้าเหลือบไปมองนนท์ “เพื่อนเก่า ไม่สิไม่แน่ใจว่าเป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ”
“กล้า! ”
“ขอโทษนะนนท์ อย่างที่เราถามนั่นแหละว่านายมาทำไม” นนท์เสียหน้าที่ต้นกล้าถามเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่น เพราะไม่ได้คุยกันในฐานะเพื่อนมาแต่แรกอยู่แล้ว ตอนจะไปยังทิ้งความรู้สึกไม่ดีไว้ให้อีก “เฮ้ย! ไปไหน ปล่อยก่อนเราไม่ไป” ต้นกล้าเป็นต้องร้องขึ้นมาอีก เพราะเด็ดเดี่ยวจะลากเดินลงเรือนไปด้วยกันให้ได้
“อย่าดื้อกับพี่ คนมีความผิดติดตัวต้องถูกลงโทษ ส่วนนายดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน”
“เกิดอะไรขึ้นทำอะไรกันน่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนเด็ดเดี่ยวจะดึงต้นกล้าลงบันไดไป เป็นพายุที่แบกปั้นสิบเข้าไปนอน แล้วออกมาซุ่มดูอยู่ตั้งแต่เห็นว่าต้นกล้าคุยกับนนท์แล้ว
“ไอ้ยุ เอ่อ..อย่าดึงเราสิ” ต้นกล้าเรียกเพื่อน แต่เด็ดเดี่ยวไม่สนใจใครแล้ว พยายามจะดึงคนตัวเล็กกว่าให้ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้ให้ได้
“ใครวะไอ้กล้า” เด็ดเดี่ยวมองพายุแล้วหันมามองต้นกล้ารอคำตอบ ว่าอีกคนจะบอกเพื่อนว่าเขาเป็นใคร
“เอ่อ นี่เด็ดเดี่ยว”
“เด็ดเดี่ยวเหรอ ใช่ลูกพี่เดี่ยวที่ไอ้จ๋ามันพูดถึงหรือเปล่าวะ” ต้นกล้าพยักหน้ารับส่ง ๆ “แล้วมีปัญหาอะไรกัน”
“ไม่มีอะไรหรอกมึงเข้านอนก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูคุยกับพี่เขาก่อนแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวมา เฮ้ย! อย่าดึงเราสิเด็ดเดี่ยว! ”
“ไอ้กล้า! ”
“เออ ๆ กูไม่เป็นไรมึงดูไอ้สิบด้วยละกัน” ต้นกล้ามีโอกาสบอกเพื่อนได้เท่านั้น ก็ถูกเด็ดเดี่ยวลากแขนไปแล้ว นนท์กับพายุได้แต่มองตามต่างความรู้สึก
“นายปล่อยให้เพื่อนไปกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ได้ยังไง”
“กูว่ากูคิดได้นะว่าใครที่มึงหมายถึง เขาคงมาดีกว่าคนบางคนแถวนี้” พายุมองนนท์ตั้งแต่หัวจรดเท้า “ถามหน่อยเถอะมึงกลับมาหาเพื่อนกูทำไม หวังอะไรอยู่”
“เปล่าแค่อยากคืนดี”
“กูว่าไม่เท่านั้นหรอกมั้ง อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของมึง คราวก่อนกูปล่อยให้มึงเข้ามาในชีวิตเพื่อนกูได้ แต่อย่าคิดว่าคนอย่างกูจะไม่รู้เรื่องอะไร มึงกลับไปซะเพื่อนกูไม่คบคนเห็นแก่ตัวอย่างมึงหรอก ไอ้กล้ามันไม่ได้โง่ขนาดนั้น” พายุเดินเข้าห้องไปแล้วทิ้งให้นนท์ยืดกัดฟันกรอดมองตามหลัง


******
วันนี้เอาฉบับรีไรท์ พร้อมพิมพ์มาลงให้อ่านค่ะ หลังจากก่อนหน้า ลงเนื้อหาดิบที่ยังไม่รีไรท์ให้อ่านตั้ง 15 ตอนแน่ะ เรานี่กะดายเนาะ ช่างทำไปได้ อิอิอิ เอาล่ะทีนี้ เป็นเรื่องแน่ เจอดีแน่ไอ้กล้าเอ้ย กล้าทำพี่เดี่ยวโกรธเหรอ
แต่จะเป็นยังไง เจอกันตอนหน้าจร้า มีเสียว ส่วนใครอยากได้เล่มไปพรีฯ นะเรารออยู่

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เหมือนว่า  ไอ้จ๋าจะเสน่ห์แรงนะ  ทั้งส้มเน่าทั้งพายุ

ส่วนนนท์ ที่ย้อนกลับมา คงหวังสมบัติสินะ

ออฟไลน์ แก้มกลม

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สงสารออเร้จน์จัง ไอ้จ๋ารู้ใจตัวเองเร็วๆนะ

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



๑๗. คืนเดือนมืดสลัวกับหิ่งห้อยสองตัวและตะเกียงเจ้าพายุ[/size]


   พอซื้อของได้ครบทุกอย่าง ก็พอดีลูกพี่โทรมาบอกด้วยความเป็นห่วง ว่าไม่ต้องรีบขับรถกลับ เพราะไอ้คนที่อยากกินต่อดันนับดาวจนหลับคาที่ไปแล้ว  วางสายจากลูกพี่แล้วไอ้จ๋าก็ได้แต่โครงหัว มันตั้งใจจะกลับบ้านเพราะดึกแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ขับรถมาจอดอยู่ตรงนี้ นั่งมองพี่ฮีโร่ร่ำ ๆ จะปาทิ้งแล้วขับรถกลับ แต่มือไม่รักดีดันกดโทรออกหน้าตาเฉย ไอ้จ๋ายังไม่ได้เตรียมคำพูดไว้เลยไม่รู้จะคุยอะไรดี
 “ยังไม่นอนหรือไง”
(ยัง) เออนั่นสิ มันต่อในใจ ถามไปแล้วถึงนึกได้ว่าเป็นคำถามโง่เง่าสิ้นดี นอนแล้วเขาคงไม่รับสายหรอกมั้ง
“หิวไหม” คำถามนี้ยิ่งดูโง่กว่าคำถามแรกอีก ดึกจนป่านนี้เขาคงกินข้าวกินปลาเตรียมตัวเข้านอนกันหมดแล้ว แต่คำถามของไอ้จ๋ากลับทำให้คนตัวผอมพึ่งนึกได้ ว่ายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เย็น
(ก็..หิวอยู่นิดหนึ่ง) ตอบตามตรงแต่ไม่ตามความจริง เพราะพอนึกได้ว่ายังไม่กินอะไรความหิวก็ประดังขึ้นมาจนแสบท้อง
“อยากกินเกาเหลาไหม”
(ไม่อยากกินขี้เกียจออกไปเดี๋ยวก็นอนแล้ว แค่นี้ใช่ไหม) ยิ่งคุยไอ้จ๋ายิ่งไม่เข้าใจตัวเอง ทั้งที่จุดประสงค์ของการโทรมาก็แค่อยากขอโทษ แค่พูดคำว่าขอโทษคำเดียว แต่เรื่องที่คุยกันอยู่กลับไม่ใกล้เคียงกับการขอโทษเลยสักคำ
“กินไหมล่ะ”
(หมายความว่ายังไง)
“ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ ไม่เข้าใจตรงไหนวะ กินไม่กิน” ออเรนจ์ไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้จ๋าต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องกลับมาให้ความหวัง คนที่หวังมันก็อยากตะครุบไว้ แต่อีกใจก็กลัวเจ็บ ปลายสายเงียบมันเลยรีบบอก “ฉันอยู่หน้าบ้านเธอ”
(หา! ล้อเล่นหรือเปล่า) คนอะไรนึกอยากมาทำดีด้วยก็มา นึกอยากจะไปก็ไป
“ยายส้มเน่าเห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นหรือไง จะกินก็ออกมา”
(อือ...ก็ได้ เดี๋ยวลงไป) ความลิงโลดในใจนี้คืออะไร ออเรนจ์ไม่อยากคิดมาก ทิ้งความเสียใจความน้อยเนื้อต่ำใจ กับการกระทำของไอ้จ๋าไว้ข้างหลัง กระโดดลงจากที่นอนเปิดประตูห้องออกไป
“นายมาจริง ๆ ด้วย” ไอ้จ๋าพึ่งได้สติก็ตอนออเรนจ์ทักขึ้นนี่แหละ หลังจากที่มันยืนพิงรถเงียบ ๆ มองร่างผอมบางในชุดนอนสีขาวลายการ์ตูน ตั้งแต่ที่เจ้าตัวเดินออกจากประตูร้านมาแล้ว “มาชวนฉันไปกินเกาเหลาเนี่ยนะ”
“เปล่ามาธุระ”
“อะ อ๋อ เหรอ แล้วจะไปกินร้านไหนดี”
“ไม่ไป” อ้าว! ออเรนจ์มองไอ้จ๋า สีหน้าเหมือนกำลังถามว่า ตกลงจะเรียกมาทำไม “เออไม่ไป ฉันซื้อมาแล้วมีที่กินไหม”
“ไปกินที่ห้องก็ได้ตามมาสิ” ไอ้จ๋าอมยิ้มเดินตามร่างผอมบางเข้าไปในบ้าน ออเรนจ์แวะเอาของในครัวแล้วพากันขึ้นห้อง
“สาบานนะว่านี่ห้องคนอยู่”
“ใช่สิทำไมเหรอ”
“ทำไมมันต้องชมพูขนาดนี้วะ แล้วไอ้ตัวประหลาดนี่เอามาทำไมเยอะแยะ” ไอ้จ๋าชี้มือไปยังกองตุ๊กตาบนเตียงนอน ที่กินพื้นที่ด้านหนึ่งของเตียงไปเกือบครึ่ง
“นี่ไม่ใช่ตัวประหลาดนะ เขาเรียกคิตตี้นายไม่รู้จักหรือไง”
“ไม่รู้จักไม่เคยสนใจ” พูดจบก็มองกองตุ๊กตาด้วยท่าทางขยะแขยง ส่วนออเรนจ์จัดการแกะถุงเทของกินใส่ถ้วย ต่างคนต่างนั่งกินเงียบ ๆ จนกินอิ่ม เกาเหลาร้อน ๆ ทำให้รู้สึกดีและมีแรงขึ้นมาบ้าง
“เอ่อจ๋า..มองเราทำไม”
“มองคนบอกหิวนิดหน่อย” แล้วมันก็หลุดยิ้ม เป็นยิ้มที่ไม่คิดว่าจะได้จากคนอย่างไอ้จ๋า พอได้มาแล้วเลยทำตัวไม่ถูก
“ก็..มันก็หิวนั่นแหละขอบใจนะที่เอามาให้กิน” อมยิ้มนัยน์ตาเป็นประกายให้ไอ้จ๋ามองเพลิน ด้วยสายตาที่เล่นเอาสะท้านไปถึงข้างใน ยิ่งมันใช้ฟันบนขบริมฝีปากล่างไว้เหมือนกำลังมันเขี้ยว ยิ่งหายใจติดขัด คนอะไรทำหน้าอย่างนี้ก็เป็นด้วย....
“ตอบแทนแซนด์วิชของเธอเมื่อเช้านี้ไง”
“ตอบแทนยังไง จ๋าไม่เห็นป้อนเราเมื่อที่เราป้อนจ๋าเลย”
“ฝันไปเถอะยายส้มเน่า! ” ไอ้จ๋าผลักหัวจนใบหน้าหวานเปื้อนรอยยิ้มหงายไปข้างหลัง สายตาจิกมองแรงแสยะปากให้ ทั้งที่น่าจะไม่พอใจ แต่ทำไมออเรนจ์หุบยิ้มไม่ได้สักที แถมยังกล้าหาญไปย้อนไอ้จ๋าให้อีก
กินอิ่มเก็บของแล้วพากันกลับมานั่งเงียบ ๆ ไอ้จ๋าไม่พูดออเรนจ์ก็ไม่รู้จะพูดอะไร นั่งได้ไม่นานก็เริ่มวางตัวไม่ถูก เขินก็เขินอยากชวนคุยก็อยาก แต่ก็กลัวเขารำคาญ เลยนั่งกดเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อย จนไอ้จ๋าต้องแย่งรีโมตมากดปิดเสียเลย
ไอ้หมาหน้าดำจ้องเขม็ง “เธอมีอะไรอยากพูดกับฉันไหม”
“ก็เอ่อ...” ไอ้จ๋าไม่ชอบเลยที่หัวใจของมันเต้นแรง จนกลัวคนนั่งข้าง ๆ จะได้ยิน เมื่อคิดว่าคนตัวผอมกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ที่มันได้ยินมาก่อนแล้ว แต่เป็นการพูดกับคนอื่น ไม่ใช่สารภาพกับตัวมันตรง ๆ
แต่พออีกคนไม่พูดสักที มันเลยทำท่าจะลุกขึ้น “ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูดกลับล่ะ”
“พูดแล้ว ๆ คือถ้าเราทำอะไรให้นายไม่ชอบใจ” ดวงตาหวานที่มีแต่แววกังวลช้อนขึ้นมองไอ้จ๋า ที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้วด้วยสายตาจริงจัง “จ๋าอย่าเกลียดเราเลยนะได้ไหม ขอแค่ไม่เกลียดเราได้หรือเปล่า”
“แล้วเธอทำอะไรไม่ดี ทำไมฉันถึงต้องเกลียดเธอด้วยยายส้มเน่า! ”
“ก็..ก็เรา..เราแอบชอบจ๋า เราชอบจ๋าแต่จ๋าคงไม่ชอบคงรำคาญเรา ขอโทษ” สายตาไอ้จ๋าแข็งกร้าวกับคำสารภาพตรง ๆ คนตัวผอมก้มหน้าคางแทบชิดอก รอฟังเสียงโวยวายแต่ก็ไม่มี “แอบชอบมานานแล้วด้วย” บอกเสียงเบาเพราะกลัวไอ้หมาหน้าดำจะขบหัวเอา โทษฐานที่พูดมากจนทำให้มันรำคาญ “จ๋าคงไม่มีทางชอบเราตอบหรอก เพราะเราเป็นแบบนี้”
“แบบไหน”
“ก็แบบที่เป็นอยู่นี่ไง จ๋าชอบผู้หญิงแต่เราไม่..”
“ฉันบอกเธอแล้วหรือไงว่าไม่ชอบ..”
“ก็..” ใบหน้าสวยหวานเอียงเล็กน้อย คิ้วได้รูปขมวดมุ่นดูสงสัยปนงง คิดไม่ทันคำพูดไอ้จ๋า ความเฉลียวฉลาดในยามปกติหายไปหมด เมื่ออยู่ต่อหน้าไอ้คนหัวเกรียน “อะไรล่ะ”
“โอ๊ย ทำไมเข้าใจอะไรยากอย่างนี้วะ” สีหน้าเจ้าของร่างบอบบางเศร้าลงยิ่งกว่าเดิม “ในเมื่อไม่ได้บอกว่าไม่ชอบ ก็แปลตรงข้ามได้อย่างเดียวจะอะไรนักหนา”
“แล้วพูดออกมาตรง ๆ ไม่ได้หรือไง เรายังพูดตรง ๆ เลย” อยู่ดี ๆ ไอ้จ๋าก็ให้รู้สึกร้อนผ่าว ๆ ขึ้นมาบนใบหน้ากร้านแดด ไม่รู้เป็นอะไร ยิ่งอีกคนเอาแต่พูดแล้วจ้องหน้ารอฟังอย่างตั้งใจ มันยิ่งรู้สึกว่าความร้อนกระจายลามไปทั้งตัว
“เออ ก็ชอบนั่นแหละ” สักทีเถอะน่า!
“จะ จ๋า จริงเหรอ! ”
“เออสิ..เอ๊ะ!..เฮ้ย! ” ไอ้จ๋าตกใจจนร้องลั่น อยู่ดี ๆ คนตัวผอมก็กระโดดขึ้นมานั่งบนตัก รั้งใบหน้ากร้านแดดเข้าไปหอมแก้มฟอดใหญ่ทีละข้าง จนมันได้แต่นั่งอึ้งตัวแข็งทื่อเป็นผีดิบ
ไม่เคย!
ไม่เคยมีอะไรแบบนี้!
ไม่เคยมีใครมาหอมแก้มไอ้จ๋าแบบนี้มาก่อน! แต่ตอนนี้มันเคยแล้ว มันถูกหอมแก้มแล้วทั้งสองข้างเลย รู้สึกดีชะมัด!
พากันนั่งอึ้งจนเกิดความเงียบขึ้นอีก เป็นคนตัวผอมรู้สึกตัวก่อน จึงหลบตาเม้มปากแน่นกลั้นรอยยิ้ม เพิ่งรู้สึกเขินกับการกระทำของตัวเอง ดีใจจนเกินงามเขินมากจนสั่นไปทั้งตัว ส่วนไอ้จ๋าแน่นอนว่ามันเองก็ยอมรับความรู้สึกของตัวเองได้แล้ว ถึงได้วนรถกลับไปหาคนที่ทิ้งไว้
“ทำไมเงียบ”
“ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่เมื่อไหร่เธอจะลงไปจากตักฉันสักที”
“อุ๊ย! ขอโทษ” กำลังลงมานั่งที่เบาะรองดี ๆ เอวบางก็ถูกรวบไว้แน่นจนเนื้อแนบเนื้อ
“ไม่ต้องแล้วเพราะฉันจะทำโทษเธอก่อน”
“ทำโทษอะไรเราไม่ได้ทำอะไรผิด..อุบ! ” ยังพูดไม่ทันจบประโยคดีด้วยซ้ำ ริมฝีปากสวยก็ถูกไอ้จ๋าบดเบียดยัดเยียดริมฝีปากของมันเข้าหา บดบี้ขยี้อย่างมันเขี้ยว แต่ไม่ได้รุกล้ำเข้าสู่ความหวานฉ่ำข้างใน
“โทษฐานที่ทำให้ฉันหัวเสียมาทั้งวัน” ไอ้จ๋ากระซิบบอกชิดกลีบปากสีสดนุ่มนิ่ม หน้าผากทาบหน้าผากให้ตาสองคู่ได้สบกันในระยะประชิด
“แต่ อื้อ..” คนโดนปล้นจูบที่เพิ่งจะเสียจูบแรกเงอะงะ ไอ้จ๋ารำคาญเลยเอามือกดท้ายทอยเล็กไว้ จัดให้ได้องศาต้องการ มันจูบเอาจูบเอาจนคนตัวผอมหายใจแทบไม่ทัน
เฮือก! “จ๋า พอก่อนเราหายใจไม่ทันทำไมจูบเก่งจังเลย” ไอ้จ๋าแค่นเสียงฮึจากลำคอ อยู่ดี ๆ หัวใจของมันก็พองโตคับอก แต่แสร้งตีหน้ายักษ์กลบเกลื่อน
“เพราะเธอมันอ่อนไงล่ะยายส้มเน่า”
“ก็เราไม่เคยจูบกับใครมาก่อนนี่” ก้มหน้าเอียงอายตัวสั่นสะท้านจนไอ้จ๋านึกขำ
“ดีแล้วที่ไม่เคยจูบกับใครมาก่อน แล้วอย่าให้รู้นะว่าแอบไปจูบกับคนอื่น พ่อจะหักกระดูกเล็ก ๆ นี่มาแคะขี้ฟันเสียเลย” ไอ้จ๋ากำข้อมือเล็กชูขึ้นประกอบคำขู่เข้ากับตาดุของมัน ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแสดงความหวงออกมา
“พูดอะไรน่ากลัว ปล่อยได้หรือยังอยากนั่งดี ๆ แล้ว”
“นั่งตักฉันมันไม่ดีตรงไหนวะ ได้ข่าวว่าเธอขึ้นมานั่งเองโดยไม่ได้เชิญนะ”
“ตอนนี้ก็อยากลงแล้วไง”
“จะลงก็ได้ แต่ต้องตกลงคบกับฉันก่อน”
“หา! ” ออเรนจ์ตาโต คนอะไรก็ไม่รู้กลางวันทำให้ร้องไห้ กลางคืนมาทำให้ใจสั่น
“จะมาตกใจอะไรวะคบไม่คบ” ยิ่งออเรนจ์อ้ำอึ้งไอ้จ๋ายิ่งเสียงดัง ไม่ใช่อะไรตัวมันเองก็เขินไม่น้อยไปกว่ากัน คนอย่างมันเคยทำอะไรอย่างนี้กับเขาที่ไหนล่ะ “หรือจะไม่คบ เธอไม่อยากเป็นแฟนกับฉันใช่ไหม”
“ทำไมล่ะ ถ้าเราบอกไม่เป็นจ๋าคงไม่สนหรอกใช่ไหม” ออเรนจ์ช้อนตาขึ้นมองใบหน้ากร้านแดด กัดปากตัวเองอย่างชั่งใจ “ที่จริง..ก็กลัวอยู่เหมือนกันว่าจะทำให้จ๋ารำคาญ วันนี้เลยคิดว่าจะตัดใจไม่เจอกันอีก โอ๊ย! ”
“ปากดี” ไอ้จ๋าบีบคางเรียวกดจูบหนัก ๆ ลงที่ปากสวยแถมดูดแรง ๆ ส่งท้าย ทั้งที่มันพึ่งบอกไปว่าชอบเหมือนกัน ทั้งที่มันเพิ่งชวนมาคบกัน ไอ้จ๋าอุตส่าห์ยอมรับความรู้สึกตัวเอง มาบอกว่าตัดใจไม่เจอกันอีก มันเข้าข่ายหักหน้ากันชัด ๆ แล้วมีหรือคนอย่างไอ้หมาหน้าดำมันจะยอม!
“อื้อ จ๋า”
“อย่าพูดอะไรไม่เข้าหูอีกไม่งั้นโดน.. ยิ้มอะไรยายเน่า”
“เปล่า” แค่ดีใจมากจนหุบยิ้มไม่ได้เลยต่างหาก
ถึงร่างบนตักจะเบาสำหรับไอ้จ๋า แต่ถ้านั่งนาน ๆ ก็เมื่อยได้เหมือนกัน มันจึงขยับถอยพิงหลังกับเตียงนอน โดยมีร่างบอบบางนั่งคร่อมตักติดมาด้วย ทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน ต่างฝ่ายต่างมองตากันและกัน ความรู้สึกเต็มตื้นในใจ
“นี่เรื่องจริงใช่ไหม”
“เออ”
“อะไร เออแค่นี้เหรอ”
“แล้วจะให้ตอบอะไรล่ะ” สมเป็นไอ้หัวเกรียนจริง ๆ
“ก็..” ออเรนจ์ทาบฝ่ามืออุ่นลงกับแก้มสากทั้งสองข้างของไอ้จ๋า แนบไว้อยู่อย่างนั้น ตาสวยกวาดมองทั่วใบหน้ากร้านกวนอย่างหลงใหล ไล้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างลงที่ริมฝีปากหยักเบา ๆ แต่เล่นเอาไอ้จ๋าเสียววาบไปถึงท้องน้อย ฮึ่ม!
“ทำอะไรของเธอเนี่ย หยุด ๆ “ ก่อนที่มันจะรู้สึกไปมากกว่านี้
“จับหน้าแฟน”
“พอ ๆ ไม่ต้องลูบ” แน่ล่ะสิแค่นั่งคร่อมตักอยู่นี่ ไอ้จ๋ามันก็ร้อนวูบวาบด้วยความรู้สึกไปทั้งตัวแล้ว ไหนจะมือเล็ก ๆ นิ่ม ๆ ที่ทาบอยู่บนแก้มแล้วไล้นิ้วเบา ๆ บนริมฝีปากของมันอย่างซุกซนนี่อีก ไอ้จ๋าไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะเว้ยจะได้ไม่รู้สึกอะไร!
“อย่ามาอ่อยให้ยากเธอไม่ได้แอ้มฉันหรอก”
“ก็อยากอ่อยแฟน” เจ้าของร่างผอมนึกสนุกอยากแกล้งจึงได้กล้าพูด ยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวเล็ก ๆ ที่มุมปาก
“อะไรนะพูดใหม่ซิฟังไม่ทัน”
“เปล่า” ทำไมต้องลาดเสียงยาว
“พูดใหม่สิ น้ำส้ม”
“ไม่เรียกส้มเน่าหรือไง” ไอ้จ๋าไปไม่เป็นเลยหัวเราะกลบเกลื่อน เพราะอยู่ดี ๆ ก็นึกอยากเรียกออเรนจ์ว่าน้ำส้มขึ้นมา แล้วก็ห้ามปากตัวเองไม่ทัน
“ฉันไม่ชอบชื่อออเรนจ์ ต่อไปเธอต้องเป็นน้ำส้มของฉันเข้าใจหรือเปล่า ชื่อนี้มีฉันเรียกได้คนเดียว” พออีกคนพยักหน้ารับ ไอ้คนเผด็จการมันก็ยิ้มพอใจ “ตกลงชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้จริง ๆ ชื่ออะไรกันแน่ยายส้มเน่า”
“อีกละส้มเน่าอีกแล้วจ้างก็ไม่บอกหรอก”
“กวนเหรอเดี๋ยวเถอะ” ไอ้จ๋าเชยคางน้ำส้มขึ้นประกบปาก ฉกชิงความหวานละมุนผ่านการบดเบียดละเลียดจูบ ให้จังหวะเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดกัน เป็นไปตามธรรมชาติของร่างกายเรียกร้อง ตัวมันเองใช่จะจูบเก่งมาจากไหน เอาจริง ๆ ก็ไม่เคยจูบกับใครมาก่อนเหมือนกัน แค่เคยเห็นในละครทีวีมาบ้างว่าทำกันยังไง เอาปากมาแตะกันตรงไหน แต่ยังไม่เคยปฏิบัติจริง ที่ทำ ๆ อยู่นี้มันเป็นไปเองตามความเรียกร้องของหัวใจ ต่อไปคงต้องหาคลิปมาดูสักหน่อยแล้วล่ะ แต่...พี่ฮีโร่คู่ใจของมันดูคลิปไม่ได้นี่หว่า..
 
ต่อเด้อจ้า...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-12-2018 23:46:53 โดย AlittleStarWr »

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo



“จะพาเราไปไหนไม่บอกเราจะโดด”
“อย่าดื้อกับพี่! ” เด็ดเดี่ยวบอกเสียงดุจับข้อมือต้นกล้าไว้แน่น ความเร็วของรถเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนต้นกล้านึกกลัว
“เผด็จการเอาแต่ใจจริง ๆ ” ใช่วันนี้เด็ดเดี่ยวขอเผด็จการและเอาแต่ใจตัวเองสักวัน มีอย่างที่ไหนยอมให้คนอื่นจูบ ถึงต้นกล้าจะไม่เต็มใจก็ตามเถอะ สุดท้ายก็ถูกจูบอยู่ดี “ทำไมทางมันมืดอย่างนี้ เราว่ากลับดีกว่าไหม”
“กลัวอะไรแค่มืด”
“ไม่ได้กลัวแค่ไม่อยากไป ถ้าไม่พากลับเราจะโกรธจริงแล้วด้วย”
“ตอนนี้พี่โกรธต้นกล้าอยู่นะ อย่าลืมว่าพี่โกรธก่อน”
“เราไปทำอะไรให้โกรธตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ”
“ทำลืมหน้าตาเฉยแบบนี้ให้ไปถึงที่ก่อนเถอะเดี๋ยวรู้กัน” ต้นกล้าอดมองออกไปยังความมืดข้างนอกไม่ได้ เด็ดเดี่ยวจอดรถแล้วดับเครื่อง แต่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ตามองตรงไปยังป่าข้างหน้า ไม่พูดไม่คุยไม่บอกอะไรสักอย่าง
“ที่นี่ที่ไหนพาเรามาทำไม” เด็ดเดี่ยวไม่ตอบแต่ปิดไฟหน้ารถถอดกุญแจออก เปิดประตูลงจากรถไป ต้นกล้ามองตามหงอย ๆ ใจให้รู้สึกหวั่น คราวนี้คนตัวโตคงโกรธจริงอย่างที่บอกเข้าแล้ว
“ลงมาสิ” ขายาว ๆ พาก้าวไปตามทางสายเล็ก รอบตัวป่าหญ้ามืดไปหมด แต่ก็อุ่นใจเพราะมากับเด็ดเดี่ยว ที่คงไม่พามาฆ่าหมกป่าเหมือนในข่าวหรอก (มั้ง)
“ขึ้นไป” เด็ดเดี่ยวบอกแล้วเบี่ยงตัวให้ ต้นกล้าจึงได้เห็นบันไดลิงที่พาขึ้นไปบนบ้าน บ้านเหรอ? มันเป็นบ้านหรือกระท่อม ที่ต้นกล้าไม่สามารถมองเห็นสภาพทั้งหมดได้เพราะความมืด มันมืดมากในความคิดของคนขี้กลัว ทั้งที่มีแสงจากไฟฉายอันเล็กส่องทาง ต้นกล้าลังเลแต่ก็ถูกอีกคนดันหลังให้ก้าวขึ้นไปก่อน
“มืดจัง”
“ไม่มีไฟมันก็ต้องมืดสิ” เด็ดเดี่ยวบอกเสียงนิ่ง มันนิ่งมากจนคนฟังรู้สึกแปลก ๆ ปกติเสียงของเขาจะทุ้มนุ่มน่าฟัง ได้ยินแล้วรู้สึกว่าคนพูดใจดีอารมณ์ดีอยู่ตลอด แต่ตอนนี้ทำไมได้ยินแล้วมันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ๆ แบบนี้วะ!
“แล้วจะมาทำไมค่ำ ๆ มืด ๆ ก็ไม่รู้”
“แล้วอยากอยู่กับไอ้หน้าปลาเข็งนั่นหรือไง”
“อย่ามาหาเรื่องเรานะ” พอขึ้นมาข้างบนได้ แสงจากไฟฉายอันเล็ก ส่องให้เห็นว่าที่นี่เป็นบ้านต้นไม้หลังกะทัดรัด มีระเบียงไม่กว้างมากรอบตัวบ้าน ลูกกรงระเบียงทำจากกิ่งไม้ดัดอย่างมีศิลปะ ในความมืดยังเห็นว่าถูกเคลือบเงาไว้อย่างดี
ตะเกียงเจ้าพายุกับน้ำมันมีพร้อมอยู่แล้ว เด็ดเดี่ยวจุดมันขึ้นมาสองอัน อันแรกวางไว้บนหลังตู้ใบเล็ก ส่วนอีกอันเอาออกไปวางไว้ข้างนอก แสงสว่างสาดกระจายไปทั่วห้อง ผนังด้านหนึ่งมีชั้นไม้ตั้งอยู่ข้างตู้ชั้นลิ้นชักเก็บของทำจากไม้ อีกมุมของห้องมีฟูกนอนพับเก็บเป็นระเบียบ
“เดี๋ยวพี่จะไปอาบน้ำที่ลำธารไปด้วยกันไหม” ต้นกล้ามองเด็ดเดี่ยวตาแป๋วแต่ไม่ตอบคำ “ไม่ไปก็รออยู่นี่พี่ไปแป๊บเดียว ทำงานมาทั้งวันเหนียวตัว” ต้นกล้าเพิ่งสังเกตเห็นว่าคนตัวโตยังอยู่ในชุดทำงาน เด็ดเดี่ยวไม่รอคำตอบเดินไปเปิดตู้ลิ้นชัก ในนั้นมีของใช้บางส่วนที่เอามาไว้ หยิบของที่ต้องการแล้วเดินหน้านิ่ง ผ่านต้นกล้าจะออกจากห้อง
“ไปด้วย แต่เราไม่อาบนะ”
   เด็ดเดี่ยววางตะเกียงเจ้าพายุกับของที่ถือมาไว้บนท่าน้ำ เขาถอดเสื้อผ้าออกไม่สนใจคนที่ยืดชิดเกาะติดไม่ห่าง จนถอดปราการชิ้นสุดท้ายทิ้ง แล้วเดินโทง ๆ หน้าไม่อายลงบันไดท่าน้ำนั่นแหละ ต้นกล้าจึงทำท่าว่าจะขยับตามไปด้วย “ตามมาทำไมไหนว่าไม่อาบ”
“อะ เอ่อ จะอาบแล้วเหรอ ก็ไปสิ”
   ต้นกล้านั่งหย่อนเท้าลงบนท่าน้ำ สัมผัสความเย็นของสายธารา หิ่งห้อยสองสามตัวบินเกาะเล่นตามยอดผักบุ้งลอยเหนือผิวน้ำ ตาสวยกวาดมองรอบตัวจนหยุดที่แผ่นหลังกว้าง ที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อตึงแน่น ผิวสีแทนกระทบแสงไฟจากตะเกียงดวงใหญ่เป็นสีทองแดงนวลตา ระดับน้ำสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อร่างกำยำย่อตัวลงช้า ๆ จนจมน้ำมิดหัว แต่ไม่นานก็โผล่ขึ้นแล้วหันกลับมามองต้นกล้าตาดุ หยดน้ำที่เกาะอยู่บนกล้ามแน่นกระทบแสงไฟดูพราวระยับ ผมถูกเสยขึ้นเผยให้ใบหน้าหล่อคมคร้ามน่ามอง
พอเด็ดเดี่ยวเดินเข้ามาใกล้ ต้นกล้าจึงได้เห็นว่าสายตาคู่นั้น มันนิ่งดุกว่าครั้งไหน ๆ แต่กลับน่าหลงใหลจนไม่อาจถอนสายตามองไปทางอื่น นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่เห็นเด็ดเดี่ยวทำหน้าดุโหดโกรธจริงจัง ส่วนครั้งแรกก็ตอนถูกลงโทษ จนต้องเสียจูบแรกให้คนหน้ามึนนั่นไง
“โกรธเราเหรอโกรธมากเลยหรือไง” เด็ดเดี่ยวยังเงียบมือถูสบู่เร็ว ๆ ไปตามร่างกาย ดึกมากแล้วน้ำก็เย็นเขาเองเริ่มหนาว กำลังจะว่ายน้ำออกไปช่วงที่ลึกกว่านี้ แต่ถูกต้นกล้ารั้งไหล่ยึดตัวไว้จากด้านหลังก่อน
“โกรธลงอยู่เหรอ” เสียงที่ดังไม่เกินกระซิบทำให้ร่างสูงหยุดนิ่ง แต่เพียงแค่ครู่เดียวคนตัวโตก็ดันร่างตัวเองออก ว่ายข้างหน้าดำหายลงไปใต้น้ำมืด ๆ
   ต้นกล้าหัวใจกระตุกขอบตาร้อนผ่าว มองตามร่างที่จมหายลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว ความกลัวเกาะกินหัวใจ ไม่ใช่เพราะกลัวอะไรที่มองไม่เห็นเหมือนเคย ตอนนี้ต้นกล้าไม่ได้คิดถึงมันเลยด้วยซ้ำ นอกจากความรู้สึกของเด็ดเดี่ยว คิดว่าอีกคนคงเสียความรู้สึกกับเรื่องนี้มาก จนถึงขนาดดึงให้หยุดยังไม่ยอม ตาสวยกวาดมองไปรอบ ๆ หาคนที่จมลึกลงไปในน้ำ จนผ่านไปเป็นครู่แล้วยังไม่ยอมโผล่ขึ้นมา
“เด็ดเดี่ยว” ต้นกล้าเรียกเบา ๆ พลางขยับลงไปนั่งบนบันไดท่าน้ำอีกขั้น ใจนึกเป็นห่วง มันนานเกินไปแล้ว เด็ดเดี่ยวดำน้ำลงไปนานจนต้นกล้าเริ่มกังวล “เด็ดเดี่ยวขึ้นมาสิ อย่าเล่นอย่างนี้เราไม่ขำนะโว้ย”
“...” แต่อีกคนยังคงเงียบเหมือนเดิม ใบหน้าหล่อเกาหลีที่สีหน้าแย่อยู่แล้ว เลยยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ นัยน์ตาที่เคยเป็นประกายสดใสมีแววหวาดหวั่น
“เรา เราขอโทษ” ความเงียบคือคำตอบที่ต้นกล้าได้รับ คนหัวแดงเริ่มกระวนกระวาย มันไม่ใช่เรื่องปกติที่มนุษย์จะอยู่ใต้น้ำได้นานขนาดนี้ ผืนน้ำยังเรียบและนิ่งสนิท หิ่งห้อยตัวน้อยยังบินหยอกล้อยอดผักบุ้ง ไม่รับรู้ความร้อนรนของต้นกล้า แสงไฟจากตะเกียงที่วูบไหว ไม่ทำให้คิดถึงสิ่งลี้ลับหรือภาพหลอนอย่างเคยเป็น เพราะใจพะวงถึงคนที่อยู่ในน้ำมากกว่า
“เด็ดเดี่ยวขึ้นมานะ ขึ้นมาเดี๋ยวนี้! ” ต้นกล้าตะเบ็งเสียงเรียก แต่นอกจากเสียงตัวเองที่สะท้อนกลับมา และเสียงจิ้งหรีดเรไรขับกล่อม ก็ไม่มีเสียงอื่นดังมาให้ได้ยิน ผืนน้ำยังเงียบ เรียบ และนิ่ง หิ่งห้อยยังเมินเฉยต่อความร้อนใจของเขา เสียงกบเสียงเขียดยังดังตามประสาของมัน ต้นกล้าหันซ้ายหันขวาตัดสินใจหย่อนขาทิ้งตัวลงน้ำ
“เฮ้ย! เด็ดเดี่ยว” คนขี้งอนโผล่พรวดขึ้นมาตรงหน้า เล่นเอาต้นกล้าสะดุ้งจนตัวโยน แต่กระนั้นความโล่งใจก็มีมากกว่า จะโกรธเลยโกรธไม่ลง
   เด็ดเดี่ยวเองก็ชะงัก ที่โผล่ขึ้นมาแล้วเห็นต้นกล้าอยู่ในท่าแปลก ๆ เหมือนกำลังจะกระโดดลงน้ำ แววตาของคนหัวแดงเอ่อไปด้วยความห่วงหาอาทร เด็ดเดี่ยวหันหลังทำท่าจะกลับลงน้ำไปอีก แต่ไหล่ทั้งสองข้างถูกรั้งไว้ก่อน
“เด็ดเดี่ยว” ไม่รู้เพราะสำนึกในความผิดตัวเองหรือเพราะห่วงมาก หรือเพราะเหล้าที่ดื่มเข้าไปพอสมควร ต้นกล้ายึดไหลแกร่งทั้งสองข้างบีบไว้แน่น
“ก็รู้ว่าเราไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ ยังจะโกรธอยู่หรือไง” รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นบนใบหน้าของคนในน้ำ แต่ยังเงียบไม่ยอมพูด ที่ไม่ตอบไม่ใช่เพราะโกรธหรืองอน เด็ดเดี่ยวแค่ยังจัดการความรู้สึกหนัก ๆ กับอาการน้อยใจที่สั่งสมแต่เช้าไม่ได้
ต้นกล้าจับให้เด็ดเดี่ยวหันหน้ากลับมาหา เล่นเอาคนตัวโตใจสั่นจนอึ้งไปเลย เพราะมันไม่ใช่แค่การจับให้หันมาเผชิญหน้ากันเฉย ๆ แต่อีกคนยังเกี่ยวร่างแกร่งไว้ด้วยขาเรียวจนขยับไปไหนไม่ได้
“จะโกรธจริง ๆ เหรอ” สายตาเว้าวอนคู่นี้ เล่นเอาใจที่แข็งแกร่งของสุภาพบุรุษหนุ่มแห่งบ้านทุ่งดอกจานแทบละลาย แต่เพราะอยากรู้ว่าต้นกล้าจะทำยังไงต่อจึงยังเงียบ “ขอโทษครับ” สัมผัสจากมือเรียวที่ประคองสองแก้ม ให้ความรู้สึกอุ่นไปถึงกลางอก ความน้อยเนื้อต่ำใจที่มีมาทั้งวันหายไปเหมือนถูกปลิดทิ้ง
“จูบเราสิ” เป็นคำสั่งที่ค่อนข้างเผด็จการแต่ถูกใจคนฟังยิ่ง “ทำสิจูบเราหน่อยลบรอยนั่นออกไปที” เด็ดเดี่ยวอึ้งจนกลายเป็นใบ้ โชคดีที่หูไม่หนวกจึงได้ยินคำสั่งชัดเจน
เพราะฤทธิ์เหล้าที่กินเข้าไปไม่น้อย ทำให้ต้นกล้าเอ่ยปากพูดอะไรแบบนี้ง่ายขึ้น แต่ก็ไม่ได้เมาจนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ต้นกล้ารู้ตัวดีทุกอย่าง และความรู้สึกของคนคนนี้คือความรู้สึกที่ต้นกล้าอยากใส่ใจที่สุด
   ใบหน้าหล่อใสขึ้นสีระเรื่อ โน้มลงมาหาคนที่ยืดตัวขึ้นเต็มความสูงป้อนจูบ รอยราคีจากใครบางคนกลายเป็นส่วนเกิน ถูกทาบทับบดขยี้จนเลือนหาย ริมฝีปากประกบ บดเบียดความอบอุ่นผ่านกลีบปากนุ่มละมุน ลิ้นเรียวแลกความหวามหวานเกี่ยวพันดูดดื่ม ความต้องการกันและกันล้นเอ่อ ทั้งที่ช่วยกันตักตวงเก็บเกี่ยวผ่านเรียวลิ้นกระหวัดรัดรึง แต่เหมือนยังไม่เพียงพอ เด็ดเดี่ยวขยับเข้ามาจนแนบชิด ต่างคนต่างกอดรัดลูบไล้ระบายความโหยหา
“ยังโกรธอยู่ไหม” ต้นกล้าถามชิดปากหยักชุ่มฉ่ำ สองมือสอดแทรกเข้าไปในเส้นผมเปียก สองตาสบประสานกัน ถามแต่ไม่เปิดโอกาสให้คนตัวโตได้ตอบ จึงมีเพียงเสียงครางจากลำคอแทนคำตอบว่าพอใจที่สุด
   ทุกความรู้สึกถูกปลดปล่อย ความกังขาถูกโยนทิ้ง ทั้งสองเปิดรับกันและกันอย่างควรจะเป็น แสงตะเกียงเจ้าพายุที่สว่างวับแวมไปทั่ว บัดนี้เหลือเพียงความริบหรี่แต่ยังไม่ดับมอด ให้แสงสลัวนวลตาอาบสองร่างเคล้าแสงจันทร์เสี้ยว ท่ามกลางเสียงเรไรขับกล่อมราตรี บรรยากาศงดงามเหมือนภาพฝันตราตรึงใจ
เด็ดเดี่ยวดึงเสื้อผ้าออกให้ทีละชิ้น เผยกายโปร่งในแสงขมุกขมัว หิ่งห้อยตัวน้อยบินวนราวคู่รักกำลังหยอกล้อ ลมกลางคืนโชยกระทบร่างเปลือยเปล่าเย็นจนขนลุก แต่ความร้อนระอุในกายมันร้อนแรงมากกว่า โอบแผ่นหลังพาต้นกล้าก้าวขึ้นบันได ไล่จูบตั้งแต่ซอกคอระหงจนถึงยอดอกเม็ดเล็กเชื้อเชิญให้เขาชิม
 “อ๊ะ! ดะ เดี่ยว เด็ดเดี่ยว” ต้นกล้าผวากอดกระซิบเรียกเสียงสั่น เมื่อกลางกายที่ตื่นตัวถูกมือสากงานนวดคลึง ปลายนิ้วปัดป่ายผ่านส่วนปลายป้าน เรียกความสะท้านจนสั่นไหว เสียงหายใจหอบถี่เร้าอารมณ์ยิ่ง ความมึนจากเหล้าบวกแรงกำหนัด กระพือความต้องการให้โหมแรง เหมือนมีไฟลุกโชนในกาย
“เด็กรั้นของพี่..” ร่างแกร่งกำยำขึ้นมาบนท่าน้ำทั้งตัว โน้มลงทาบทับร่างที่อยู่ในอ้อมกอดให้นอนราบไปกับพื้นไม้ ร่างเปลือยเปล่าเปียกน้ำขยับเข้าแนบเนื้อ จนรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของชายหนุ่มฉกรรจ์ที่ตื่นตัว
“สัมผัสพี่หน่อยครับคนดี” สิ้นเสียงเรียกร้อง มือเรียวถูกดึงมาวางบนความแข็งตระหง่าน ให้กอบกุมนวดคลึงเอาใจ “ต้นกล้า” แค่ถูกมืออุ่น ๆ สัมผัส เด็ดเดี่ยวก็ห้ามเสียงครางกระเส่าของตัวเองไว้ไม่อยู่ ขณะไล่จูบไปตามเนื้อนวล ยังเผลอปล่อยเสียงแหบพร่าเรียกอย่างหลงใหล หอบหนักเพราะแรงปรารถนาจนต้องสูดปากระบายความกระสัน ลืมสิ่งรอบกาย ลืมเสียงเรไรขับกล่อม ลืมแสงนวลตาของหิ่งห้อยตัวน้อยที่บินวน ลืมแสงจากจันทร์เสี้ยวที่อาบไล้เพียงสลัว ลืมแสงวับแวมจากตะเกียงที่หรี่ลงจนใกล้ดับ มีเพียงความเร่าร้อนที่ระอุแรงขึ้น เรียกร้องการหลอมรวมความปรารถนาให้เป็นหนึ่งเดียว
“คนดีของพี่” สิ้นเสียงกระซิบอ่อนโยน ต้นกล้ารู้สึกถึงร่างกายถูกพรมจูบไปทั่ว เกิดความกระสันไปทุกอณูเนื้อ จนหลุดเสียงครางหวานซ่านอารมณ์ รสจูบร้อนแรงจนต้นกล้าแทบขาดใจ แต่คนตัวโตไม่มีทีท่าจะปรานี หรือลดระดับความร้อนแรงลงสักนิด ราวกับจะฆ่ากันให้ตายด้วยสัมผัสวาบหวามเย้ายวน
“อ๊ะ! อื้อ พี่เดี่ยว” เด็ดเดี่ยวนวดคลึงความเป็นชายของต้นกล้า ด้วยน้ำหนักมือที่เพิ่มขึ้น เขาอยากให้มันดีที่สุด ประทับใจน้องที่สุด ลิ้นร้อนไล้ชิมผ่านผิวเนื้อทุกจุดไวสัมผัส เจ้าของร่างโปร่งสยิวจนตัวบิดเร่า ยอดอกเม็ดเล็กถูกจู่โจมด้วยปลายลิ้นอุ่น ไล่จูบตามนวลเนื้อลงต่ำจนลิ้นร้ายมาถึงปลายทางที่ต้องการ โพรงปากอุ่นครอบครองความเป็นชายขนาดพอตัว ที่ผงาดกล้าในอุ้งมือ เด็ดเดี่ยวครอบครองดูดดื่มเข้ากับจังหวะรูดรั้งถี่รัว จนความเสียวซาบซ่านจากทุกส่วน บิดมวนรวมที่จุดกลางกาย แตกกระจายเป็นความรู้สึกถูกปลดปล่อย
“อ่า เด็ดเดี่ยว พี่เดี่ยว ไม่ไหวแล้วนะ“ ร่างขาวนวลกระตุกเกร็ง ใบหน้าหล่อเกาหลีหงายเชิด ความปรารถนาถูกปลดปล่อยออกมาเป็นสายธารเข้าสู่โพรงปาก บางส่วนเอ่อล้นเปรอะเปื้อนมือใหญ่ ความเร็วของจังหวะชักนำค่อย ๆ ลดลง ต้นกล้าหอบหายใจเหนื่อยร่างทั้งร่างเบาหวิว
ดวงตาหวานปรือปรอยหยาดเยิ้ม เรียกรอยยิ้มประดับใบหน้าหล่อคมยามก้มลงจูบปลอบ ต้นกล้าเผยอปากรับความหวานละมุน จากจูบดูดดื่มอย่างหลงใหล แก้มใสขึ้นสีเรื่อในแสงสลัว คนตัวโตอดใจไม่ได้ก้มลงไปหอมฟอดใหญ่ แทะเล็มเลยไปตามใบหู จุดความปรารถนาของต้นกล้าขึ้นมาอีกครั้ง
“เป็นของพี่นะครับคนดี” เสียงกระเส่ากระซิบชิดหู จนรู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นขยับตามจังหวะพูด ต้นกล้าสยิวจนขนลุกซู่ แต่ก็พยักหน้ารับน้อย ๆ ปากสวยถูกครอบครอง เรียวลิ้นหวานละมุนเกี่ยวกระหวัดรัดรึง ขาเรียวถูกจับแยกออกกว้าง แทรกกายหนาเข้ามาแนบชิด ความเป็นชายใหญ่โตพร้อมรบจ่อสอดแทรกเข้าเติมเต็ม
“อื้อ จะ เจ็บ”
“เดี๋ยวมันจะดีเองพี่สัญญา” รอยยิ้มละมุนประดับใบหน้าคมคาย เด็ดเดี่ยวพลิกตัวเปลี่ยนไปอยู่ข้างล่าง ให้ต้นกล้าขึ้นมาอยู่ข้างบน “กดตัวลงมาเองจะได้ไม่เจ็บมาก”
“เราก็ยังเจ็บอยู่ดี” เด็ดเดี่ยวยิ้มอ่อนปลอบใจ ถึงบอกเจ็บแต่ไม่มีสักคำที่บอกพี่ให้หยุด คนดีของพี่น่ารักจริง ๆ
“พี่ขอโทษ อย่าเกร็งตัวพี่จะไม่ไหวแล้วครับ” ต้นกล้าในท่านั่งคุกเข่า ผวากอดลำคอแกร่งซบหน้าลงกับไหล่กว้าง เมื่อคนตัวโตจับสะโพกบังคับให้กดตัวลง เด็ดเดี่ยวโยกตัวช้า ๆ เป็นจังหวะเนิบนาบ จนในที่สุดร่างกายก็ประสานเข้าด้วยกันจนสุดทาง
“พี่ใจจะขาดแล้วครับคนดี”
“สะ สมน้ำหน้า อย่าพึ่งทำเราเจ็บอยู่”
ฟอด “จูบปลอบพี่หน่อยสิ วันนี้พี่น้อยใจทั้งวันเลย”
“ดีสมน้ำหน้า” ถึงจะต่อว่าปากเก่งแต่กลับไม่กล้าสบตากัน ต้นกล้าว่าง่ายแตะริมฝีปากอุ่นลงกับกลีบปากคนตัวโต เลาะเล็มแผ่วเบา เปิดโอกาสให้คนเรียกร้องการปลอบโยนสนองตอบถึงใจ ส่วนร่างกายช่วงล่างประสานกันแนบแน่นแล้ว แต่ยังไม่ยอมรุก ทั้งที่ความต้องการในร่างกาย กำลังจะทำให้เขาขาดใจตายอยู่แล้ว
เด็ดเดี่ยวขยับตัวช้าเนิบ จุดความวูบวาบซาบซ่านให้คนบนร่างขึ้นทีละน้อย เพราะสัมผัสที่กระตุ้นอยู่ภายใน กำลังเปลี่ยนความเจ็บให้เป็นความซ่านเสียว ก่อตัวเป็นความกระสันวูบวาบ ต้นกล้าเจ็บปนเสียว เกิดอยากรู้อยากลองและต้องการมากกว่านี้
   เด็ดเดี่ยวเอนร่างนอนหงายไปกับพื้น ใช้อกกว้างแกร่งรองรับร่างโปร่ง ปากยังมอบจูบรุ่มร้อนปนเร่งเร้า สรรพสิ่งทุกอย่างรอบตัวถูกลืมเลือน หิ่งห้อยตัวน้อยที่คอยเปล่งแสงเรืองรองถูกเมิน แสงจากจันทร์เสี้ยวที่หม่นอยู่แล้วยิ่งหม่นหมองลงไปอีก พอกันกับตะเกียงที่บัดนี้เหลือเพียงความริบหรี่จนแทบดับ เมื่อสองร่างประสานรักหนักแน่น ทุกจังหวะรับกันได้อย่างพอดีจนความสุขล้นปรี่ท่วมท้นใจ
“ปลอบพี่หนัก ๆ สิครับ“ บั้นท้ายต้นกล้าถูกมือใหญ่จับกดลงหนัก ๆ อย่างที่ปากบอก เด็ดเดี่ยวเด้งตัวเองขึ้นใส่ จนความใหญ่โตคับแน่นภายในโดนจุดกระสัน มันเสียดสีซ้ำไปซ้ำมาตามจังหวะกระแทกกระทั้นกับผนังเนื้อนุ่มไวความรู้สึก จนเสียววาบปราบแปลบไปทั้งตัว เหมือนมีประจุไฟฟ้ากระจายอยู่ในร่างกาย “จูบพี่”
“เด็ดเดี่ยว อ๊ะ! อือ” รู้สึกถึงแรงกดที่ท้ายทอยเป็นการบังคับกลาย ๆ เมื่อคนตัวโตบอกให้จูบ ต้นกล้าก็ทำตามอย่างว่าง่าย เพราะในใจก็เรียกร้องสิ่งเดียวกัน ต้นกล้ามอบจูบร้อนแรงถึงใจ ขณะที่เด็ดเดี่ยวเร่งจังหวะรักรัวเร็ว จนหนำใจแล้วเจ้าของร่างสูงใหญ่จึงดันตัวเองขึ้นนั่ง ร่างโปร่งยังอยู่ในอ้อมกอดแน่นไม่คลาย
เด็ดเดี่ยวค่อย ๆ วางต้นกล้าให้นอนราบไปกับพื้น ขาเรียวตั้งฉากอ้ากว้างรับร่างสูงใหญ่ที่ไม่ยอมห่าง  ไม่ยอมถอดถอนร่างกายออกจากกัน จังหวะรักยังคงร้อนแรง ความสุขสมเสียวซ่านจากการหลอมรวมร่างกายเป็นหนึ่ง มอมเมาให้ตอบสนองความเร่าร้อนแต่ทะนุถนอม ทั้งที่ตัวเองเป็นคนเรียกร้องการปลอบโยน แต่ริมฝีปากอุ่นยังจูบซับปลอบประโลมไปตามนวลเนื้อ ต้นกล้าหลงระเริงไปกับอารมณ์รักที่หลอมรวม จังหวะรักเร่าร้อนจนเหงื่อเม็ดโตผุดไปทั่ว ลมดึกที่ว่าเย็นสบายยังไม่อาจบรรเทาความรุ่มร้อนนี้
“ไม่ไหว แล้ว เด็ดเดี่ยว เรา..อื้อ” ต้นกล้าจับกลางกายตัวเองแน่น ขยับให้เข้ากับจังหวะที่คนตัวโตเสือกไสนำพา ปากสวยพร่ำบอกไม่เป็นภาษา ความซ่านกระสันแทรกซึมทุกส่วนของร่างกายเสียวสะท้านแทบขาดใจ
“อีกนิดนะครับ..ไปพร้อมกัน อืม”
“อะ โอ๊ย..พี่เดี่ยว”


ต่อ.....

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo

“ครับ” ใบหน้าหล่อเกาหลีหงายเชิดขึ้น ร่างกายเดินทางมาจนถึงจุดสูงสุดยากควบคุม หยาดแห่งความปรารถนาถูกปลดปล่อย พร้อมความรู้สึกอุ่นวาบในร่างกาย
 เด็ดเดี่ยวย้ำสะโพกเน้น ๆ อีกสองสามครั้งแล้วทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง
“คนดีของพี่” เสียงกระเส่าปนหอบกระซิบคลอเคลีย ต้นกล้าหมดแรงต่อต้านได้แต่รอฟัง “เป็นของพี่แล้วนะ” กลีบปากหยักกดหนัก ๆ ลงกลางหน้าผากนวล ดวงตาคมกวาดมองใบหน้าหล่อใสชื้นเหงื่อ ที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่วันแรก มือเรียวถูกกอบกุมดึงเข้าหาตัว เด็ดเดี่ยวคลี่ฝ่ามือต้นกล้าให้ทาบทับกับกลางอก ตรงตำแหน่งที่มีก้อนเนื้อเต้นเป็นจังหวะหนักแน่น
 เขากระซิบต่อ “คอยดูหัวใจพี่ว่าจะรักต้นกล้าได้มากแค่ไหน พี่ไม่สัญญา แต่ในนี้จะมีคนคนเดียวเป็นเจ้าของ” จูบหวานละมุนประทับบนกลีบปากสวย ใจดวงน้อยหวั่นไหวไปกับคำรื่นหู ต้นกล้าเลยได้แต่เผยอปากรับเอาความหอมหวาน หิ่งห้อยตัวน้อยบินวนเวียนรอบตัว แสงริบหรี่จากตะเกียงเจ้าพายุเป็นพยาน จันทร์เสี้ยวลับยอดไม้ไปแล้ว ลมอ่อนและน้ำค้างยามดึกเริ่มลงจนหนาวเนื้อ ยังดีที่มีไอรักซาบซ่านอยู่ในใจ กับอ้อมกอดมั่นคงคอยปลอบให้พอคลายหนาว
 “ดะ เดี๋ยว พอก่อน”
“ไม่พอหรอกแค่นี้ไม่พอ” เด็ดเดี่ยวไม่สนใจซุกใบหน้าลงกับซอกคอหอมอ่อน ๆ ส่ายหัวปฏิเสธ เขาขยับตัวแต่ไม่ยอมถอดถอนตัวเองออก ร่างโปร่งถูกรวบกอดแน่นจนเนื้อแนบเนื้อ เมื่อคนตัวโตพาลุกขึ้นยืน ต้นกล้าตกใจผวากอดคอตวัดขาเรียวเกี่ยวเอวสอบไว้มั่น “เล่นน้ำกันดีกว่า”
“จะบ้าเหรอมาเล่นอะไรตอนนี้มันดึกแล้ว ง่วงจนตาจะปิดแล้ว”
“งั้นล้างตัวแล้วขึ้นไปนอนนะครับ”
“ปล่อย อื้อ..”
“เป็นอะไร ฮึ ๆ “ ต้นกล้าซบหน้าลงกับไหล่แกร่งหลบตา เพราะเผลอขมิบข้างหลัง
อย่างแรงตอนเด็ดเดี่ยวยืนขึ้น มือใหญ่รองใต้สะโพกกดให้เกิดการแนบชิดนั้นไม่เท่าไหร่ พอคนตัวโตก้าวขาลงบันไดท่าน้ำนี่สิที่ทำให้อะไร ๆ ที่ยังอยู่ในตัวขยับ และตอนนี้มันขยายขนาดขึ้นอีกแล้ว
เด็ดเดี่ยววางต้นกล้าลงบนขั้นบันไดประสานสายตานิ่ง “ขอบคุณที่ยอมเป็นของพี่ โอ๊ย! ตีพี่ทำไม” ลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ นัยน์ตาซึ้งชวนฝันเหลือเพียงแววตัดพ้อ
“ก็พูดบ้าอะไรล่ะ” เขินนะเว้ย!
“อยากให้รู้”
“ไม่เห็นอยากรู้ถอยไปเลยเราจะอาบน้ำ” ดูก็รู้ว่าต้นกล้ากำลังกลบเกลื่อนความเขิน และยิ่งต้องเขินมากขึ้นอีก เมื่อมือใหญ่วิดน้ำขึ้นมา แล้วลูบไล้ขัดถูไปตามนวลเนื้อ ตั้งแต่แผ่นอกจนถึงขาเรียว เด็ดเดี่ยวถูสบู่ให้เบามือ ต้นกล้าผ่อนคลายเมื่อฝ่าเท้าถูกนวดด้วยแรงพอดี มือนวดตาสบตา เด็ดเดี่ยวบอกความรู้สึกทั้งหมดในใจผ่านมาทางนั้น นานเป็นครู่ต้นกล้าเริ่มตัวสั่นไม่รู้เพราะอากาศยามดึกเย็น ๆ หรือเพราะสัมผัสอ่อนโยนละมุนละไมของคนตรงหน้า
“ตรงนี้ต้องล้างดี ๆ ”
“อ๊ะ! โอ๊ยจะทำบ้าอะไรอีก” เพราะนวดอยู่ดี ๆ เด็ดเดี่ยวก็จับขาต้นกล้าแยกออกจากกัน แทรกตัวเข้ามายืนตรงกลาง นั่นไม่เท่าไหร่แต่ที่ทำให้ตกใจ เพราะอีกคนเล่นขยับเข้ามาชิด ส่งปลายนิ้วนวดคลึงสอดแทรกควานเอาอะไรบางอย่าง ที่ค้างอยู่ข้างในออกมา
“หึ ๆ อีกรอบนะ”
“ไม่เอานะ อื้อ..” ต้นกล้ายังไม่ทันได้ประท้วงหรือคัดค้าน ปากสวยก็ถูกประกบครอบครองดูดดื่ม ดีกรีความเร่าร้อนโหมแรงกระหน่ำขึ้น เด็ดเดี่ยวยืนตรงกลางระหว่างขา ครึ่งตัวช่วงล่างอยู่ในน้ำ ส่วนช่วงบนบดเบียดเนื้อแนบเนื้อจนร่างกายร้อนผ่าวกันทั้งสองคน
 
“นอนได้แล้ว ฉันจะกลับแล้ว”
“ลงไปส่งจ๋าก่อน” ไอ้จ๋าทำท่าจะปฏิเสธแต่น้ำส้มมีเหตุผลมากกว่า “เดี๋ยวคนงานตื่นมาเห็นนึกว่าขโมยจะทำยังไง” ไอ้จ๋าเพิ่งนึกได้มันถึงกับตาโต
“เออว่ะ ถ้าเกิดมีคนมาเห็นหรือพ่อเธอตื่นมาเจอตอนฉันลงไปพอดีจะทำยังไงวะ”
“แล้วจ๋าจะทำยังไงล่ะ”
“ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ เผ่นนะสิ” ไอ้จ๋าตอบติดตลกแต่อีกคนกลับไม่ขำด้วย
น้ำส้มถามเสียงอ่อย “เผ่นเลยเหรอ”
“เออ หึ ๆ ทำไมทำหน้าอย่างนั้นวะ”
“เปล่าหรอก” ก้มหน้าตอบอ้อมแอ้มแอบน้อยใจคำพูดไอ้จ๋า ส่วนไอ้ตัวต้นเหตุหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ มองคนหน้าเสียซบอยู่บนอกด้วยสายตาเอ็นดู “ไม่ต้องมายิ้มขำเค้าด้วยไอ้แฟนบ้า”
“เอ๊า งอนทำไมล่ะ นี่บอกก่อนเลยนะว่าฉันไม่ง้อ ง้อไม่เป็นไม่เคยง้อใครเว้ย หึ ๆ ” ทำไมมันจะไม่รู้ว่าน้ำส้มคิดอะไร ไอ้จ๋าก็แค่แกล้งบอกไปอย่างนั้นเองแหละ คนอย่างมันกล้าเผชิญความจริงกล้าทำก็กล้ารับ  ซื่อตรงต่อการกระทำของตัวเองอยู่แล้ว ถึงก่อนหน้านี้จะไม่ซื่อตรงกับความรู้สึกก็ตามเถอะ
“ขับรถดีนะจ๋าส้มเป็นห่วง”
“เออ”
“อะไร” น้ำส้มถามเมื่อไอ้จ๋ายื่นหน้าเข้ามาใกล้จนต้องผงะถอย
“ลาแฟนสิวะ เร็ว ๆ จะได้รีบขึ้นไปนอน” ไอ้จ๋ายื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก
“เอ่อ จะดีเหรอ เมื่อกี้บนห้องจ๋าก็จูบลาเราไปแล้วนี่”
“นั่นมันฉันจูบลาเธอ ตอนนี้เธอต้องจูบลาฉันยายส้มเน่า! ”
น้ำส้มขมวดคิ้วมุ่น ไอ้จ๋าเตะเข้าทางตัวเองตลอด แม้ว่าน้ำส้มเองก็อยากจูบไอ้จ๋าเหมือนกัน แต่จะให้บ่อยขนาดนี้มันเกินไปไหม “สรุปก็คือเราจูบกันไม่ใช่หรือไง”
“เออ ๆ จะลาไม่ลาเดี๋ยวเถอะ”
“ก็ได้คนบ้านี่” ไอ้จ๋าหัวเราะเจ้าเล่ห์พออกพอใจ เมื่อน้ำส้มโน้มคอมันลงเอาปากแตะปาก แต่เป็นมันเองล็อกท้ายทอยไว้ บดขยี้สอดแทรกเรียวลิ้นเข้าหาความหวานละมุนผ่านกลีบปากสวย ลิ้มรสลิ้นเล็กหอมหวานฉ่ำชื่นหัวใจ
“ไปละขึ้นบ้านได้แล้ว”
“ขับรถดี ๆ นะ” สองคนหันหลังให้กันแล้วเดินแยก แต่รอยยิ้มที่ประดับใบหน้าต่างก็ไม่อาจห้ามหรือหุบมันลงได้ มันคือความสุข แบบนี้เขาเรียกว่าความสุขใช่ไหมนะ ต้องใช่สิ การได้อยู่กับคนที่เรารัก การได้รับความรู้สึกดี ๆ ตอบกลับมาจากคนที่เราแอบรักมานาน มันคือความสุขที่สุดแล้ว จนกระทั่ง.....
“งามหน้า! ”
“พี่คำแพง! “





“อรุณสวัสดิ์ครับ” คำทักทายพร้อมจูบอุ่น ๆ กดลงบนหน้าผาก เมื่อต้นกล้าปรือตาขึ้น และหลับลงอีกครั้งอย่างเกียจคร้าน
“อือ..กี่โมงแล้ว สายแล้วมั้งเนี่ย โอ๊ย! ” แค่ขยับตัวเบา ๆ ก็ยังเจ็บจนต้องร้องออกมา
“จะรีบไปไหน”
“เพื่อนเรามาออกเต็มบ้านนะแล้วก็พามาทำอะไรก็ไม่รู้”
“ไม่รู้เลยเหรอว่าเราทำอะไรกัน ไม่รู้ทำไมให้ความร่วมมือดีขนาดนั้น โอ๊ย! เจ็บ ๆ พี่เจ็บ” ต้นกล้าฟาดฝ่ามือลงกลางใบหน้าหล่อคมคร้ามไม่ยั้งแรง โทษฐานที่เด็ดเดี่ยวพูดจาไม่เข้าหู “ตีพี่ทำไม”
“ไม่ต้องพูดเลยเราอยากกลับแล้ว”
“ล้างหน้าก่อนไหมเดี๋ยวพี่ไปตักน้ำให้” พอต้นกล้าไม่ตอบเด็ดเดี่ยวก็ลุกเดินไปที่ชั้นลิ้นชักเก็บของ ต้นกล้าจะไม่ว่าอะไร และไม่เบือนหน้าหนีเลย หากคนตัวโตจะไม่เดินโทง ๆ ไปทั้งที่ร่างกายยังเปลือยเปล่าอย่างนั้น
“ใส่เสื้อผ้าก่อน” พอหันกลับมาก็มีเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นยื่นมาตรงหน้า ดีหน่อยที่อีกคนรู้จักหาอะไรมาใส่แล้ว จึงไม่ต้องปั่นป่วนหัวใจกับร่างกายสูงใหญ่แน่นกล้ามเปลือยเปล่า ถึงจะใส่แค่กางเกงขาสั้นตัวเดียวก็ตามเถอะ
“แล้วเสื้อผ้าเราล่ะ”
“อยู่ท่าน้ำเดี๋ยวพี่ลงไปเก็บมาให้ ใส่ชุดนี้ไปก่อน” จุ๊บ “เดี๋ยวพี่มานะครับ”
“บ้าบอที่สุดทำบ้าอะไรวะ ฮึ่ม! ” ต้นกล้าบ่นตามหลัง เพราะเด็ดเดี่ยวก้มลงมาจูบปาก แล้วเดินออกไปหน้าตาเฉย ไม่นานก็กลับมาพร้อมถังน้ำและเสื้อผ้าที่ใส่เมื่อคืน แต่มันชุ่มน้ำค้างจนใส่อีกไม่ได้ ล้างหน้าล้างตาเสร็จก็พาต้นกล้ากลับมาส่ง แต่พอมาถึง
หน้าบ้าน คนหัวแดงกลับไม่อยากลงจากรถเสียอย่างนั้น “ถึงบ้านแล้วลงได้แล้วครับ”
“แต่..” ต้นกล้ามองขึ้นไปบนบ้านเงียบเชียบ คิดว่ายังไม่มีใครตื่น น่าจะย่องขึ้นห้องได้โดยไม่มีใครเห็น สายปานนี้ไอ้จ๋ามันคงลงนาหรือออกไร่ไปแล้ว คิดว่าทางสะดวกจึงเปิดประตูลงจากรถ โดยมีคนตัวโตมองพฤติกรรมแปลก ๆ ไม่วางตา ใจแอบนึกขำที่คนหัวแดงไม่เห็นเพื่อน ที่ยืนแอบบนระเบียงชานเรือน จะบอกก็ไม่ทันเพราะอีกคนลงจากรถไปแล้ว
   ต้นกล้าเหมือนหัวขโมย ที่กำลังย่องขึ้นบ้านตัวเอง กับท่าเดินแปลก ๆ ที่ค่อย ๆ ก้าวขา ตาจับที่บันไดสามขั้นสุดท้าย กะว่าขึ้นไปพ้นจะวิ่งเข้าห้องให้เร็วที่สุด แต่ยังไม่ทันได้ยกขาขึ้นหรือก้าวไปไหน เสียงคุ้นเคยของเพื่อนสนิทก็ทักขึ้นมาก่อน “กลับมาตะวันสายโด่งเลยนะมึง”
“ชะอุ๊ย! ไอ้ยุตกใจหมดเลยมึงไอ้บ้านี่”
“ตกใจทำไมวะขึ้นบ้านตัวเองแท้ ๆ ทำไมต้องทำลับ ๆ ล่อ ๆ ด้วย“
“กูเปล่าเหอะ”
“เมื่อคืนบอกคุยแป๊บเดียว แต่มึงเล่นหายไปทั้งคืนเลย” แม่ยังไม่ถามขนาดนี้!
“เฮ้ย อย่าเอ็ดไปสิวะ” ใช่พายุไม่ควรพูดดังไป กับสถานการณ์ของต้นกล้าตอนนี้ ที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาหายไปทั้งคืนกับใครอีกคน โดยเฉพาะไอ้ลูกน้องคนสนิท หากมันรู้มีหวังโดนเอามายำให้ขำเล่นเป็นแน่แท้
“เออ ๆ แล้วตกลงเขาเป็นใครวะจะบอกได้ยัง”
“ไว้กูพร้อมแล้วจะบอก”
“หายไปด้วยกันทั้งคืน กลับมาเอาเช้าป่านนี้มึงน่าจะพร้อมแล้วไหมวะ”
“เอ๊ะ ไอ้ห่านี่จะเป็นเพื่อนหรือเป็นพ่อกูวะ เดี๋ยวเถอะมึง”
“จะยืนคุยตรงนี้อีกนานไหม! ”
“อ้าวตามมาทำไม” ต้นกล้าตาตื่น หันไปมองเด็ดเดี่ยวกำลังขึ้นบันไดมา แล้วหันกลับมาหาเพื่อนที่มองด้วยสายตาจับผิด เป็นเพื่อนสนิทกันมานานแค่ไหนทำไมจะไม่รู้ พายุดูแค่นี้ก็เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ที่ถามแค่อยากให้แน่ใจ อยากให้พูดออกมาเอง แต่ต้นกล้ายังไม่พร้อมจะพูดตรง ๆ ยังไงก็ไม่ใช่ตอนนี้ที่พึ่งกลับมาเว้ย!
“พี่มีเรื่องจะคุยด้วย”
“อะไรอีก” พอเด็ดเดี่ยวเหลือบตามองพายุ ต้นกล้าก็รู้ทันทีว่าอีกคนคงไม่อยากพูดต่อหน้าเพื่อน ซึ่งหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับเมื่อคืน ต้นกล้าเองก็ยังไม่อยากให้เพื่อนรู้เหมือนกัน “งั้นลงไปคุยกันข้างล่าง”
“ในห้องดีกว่า”
“ทำไมล่ะ” เด็ดเดี่ยวเหลือบตาไปทางพายุอีกครั้ง แล้วเดินผ่านต้นกล้าขึ้นบ้านหน้าตาเฉย “อะไรของเขาวะ”
“มึงกับพี่เขาเป็นอะไรกันวะ” นั่นสิเรื่องระหว่างเขากับคนตัวโตมันคืออะไร เกิดเกินเลยมาถึงขนาดนี้แล้ว แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่กันในสถานะไหน ถึงอีกคนจะบอกว่าต้นกล้าเป็นคนพิเศษก็ตามเถอะ ยังไงมันต้องมีสถานะที่ชัดเจน จะมาเดินเข้าห้องกันหน้าตาเฉย ต่อหน้าต่อตาเพื่อนแบบนี้ไม่ได้ ต้นกล้าไม่ยอม!
“หน็อยไอ้คนหน้ามึน! ”

***************************

อ๊ากกกก ไอ้คนหน้ามึน!!  หลอกกินน้อง   :katai1: :haun4: :jul1: :pighaun: :m25:
ถ้าอ่านแล้ว เว้นวรรคแปลก ๆ หรือ ขึ้นฉากใหม่แบบอยู่ดี ๆ ก็ตัดไป อาจจะทำให้การอ่านสะดุด
เพราะดาวเอาฉบับที่รีไรท์จัดหน้ากับขนาดหนังสือมาลง ส่วนที่ตัดฉากขึ้นหน้าใหม่
อาจจะมาต่อฉากคนละฉากกัน ไม่ต้องงนะคะ แหะๆ พอเอามาลงในนี้ก็ขี้เกียจจัดหน้าใหม่ซะงั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-12-2018 23:45:29 โดย AlittleStarWr »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

หวัย ๆ ต้นกล้าเสียตัวแล้ว  อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 18 น้องเมา น้องน้อยใจ



ปัง!!

“อูยเป็นอะไรทำไมปิดประตูเสียงดังอย่างนั้น” เด็ดเดี่ยวถามหลังจากที่สะดุ้งสุดตัว เมื่อต้นกล้าเดินหน้าตึงตามเข้ามาในห้องพร้อมทั้งกระแทกประตูปิดเต็มแรง

“เข้ามาทำไม”

“อ่าว เข้าไม่ได้หรือไง”

“ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย เดินเข้าห้องคนอื่นหน้าตาเฉยแบบนี้เขาเรียกว่าไม่มีมารยาท” เด็ดเดียวมองหน้าต้นกล้าอย่างไม่เข้าใจ เอาละท่าทางแบบนี้มาอีกแล้ว ท่าทางเหมือนตอนที่เจอกันช่วงแรกๆ ไม่มีผิด ที่อีกคนเอาแต่ตั้งแง่กับเขา หมาน้อยขี้อ้อนที่คอยงอนง้อเอาใจเมื่อคืน คงหล่นหายข้างทางไปแล้วตอนที่ขับรถมา

“หืมลืมอะไรไปหรือเปล่า พูดผิดพูดใหม่ได้นะ”

“ลืมอะไรล่ะ เราไม่ได้พูดอะไรผิดเลย”

“ทั้งที่เมื่อคืนเรา..อุบ! ” ต้นกล้าเอามือปิดปากเด็ดเดี่ยวอย่างรวดเร็วเมื่อคนตัวโตจะพูดถึงเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา

“อย่าพูด” ที่สั่งเสียงดุนี่ไม่ใช่เพราะอะไรเลยแก้เขินทั้งนั้น เพราะรู้ว่าคนตัวโตต้องพูดเรื่องเมื่อคืนนี้ออกมาตรงๆ หน้าตาเฉยแน่นอน ต้นกล้ารู้ว่าตัวเองพลาดไปแล้วที่เปิดประเด็นว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่แล้วยังไงล่ะก็แค่พฤตินัย เมื่อมันพลาดไปแล้วและเขาก็รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ทั้งที่อีกคนไม่บอกไม่พูดเลยว่าเป็นอะไรกัน แบบนี้เขาเรียกว่าใจง่ายหรือเปล่าหว่า

“นี่ล่ะเรื่องที่พี่อยากคุยกับต้นกล้า”

“??!!”

“เรื่องที่เราเป็นอะไรกันนี่ไง”

“เหอะ”

“หรือจะให้พี่ย้ำอีกรอบ”

“ย้ำอะไร จะไปไหนก็ไปเลย”

“แหนะ ได้พี่แล้วไล่แบบนี้แสดงว่าลืมแล้วใช่มั้ย มานี่เลย”

“เฮ้ย อย่า..”

ตุบ!!

ร่างสองร่างล้มลงไปทับกันอยู่บนเตียง โดยที่ร่างของต้นกล้าอยู่ข้างบนอย่างที่คนรั้งลงไปต้องการ รู้สึกอึดอัดเมื่อถูกกอดเอาไว้แน่นจะดิ้นหนีก็ดิ้นได้ไม่เต็มที่ ยิ่งดิ้นยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่ายิ่งถูกกอดรัดแน่นยิ่งขึ้นไปอีก ไหนจะขาแข็งแรงที่รัดแล้วเกี่ยวกันรอบต้นขาของเขาอยู่นั่นอีก นี่มันคนหรืองูกันแน่วะ ทำไมมันรัดได้ทั้งตัวอย่างนี้ ต้นกล้าดิ้นขลุกขลักได้ไม่นานก็ต้องหยุดเพราะความเหนื่อย ไหนจะร่างกายที่ไม่สมบูรณ์เต็มที่เพราะเมื่อคืนใช้งานมาหลายชั่วโมงนั่นอีก ไหนจะข้างหลังที่เจ็บทุกครั้งที่เคลื่อนไหวหรือขยับตัวแรงๆ นั่นอีก เจ็บนะไม่ใช่ไม่เจ็บแค่ไม่แสดงอาการออกมาเท่านั้นเอง

“ปล่อยสิจะทำอะไร”

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“เราไม่มี”

“พี่มี มาถึงขนาดนี้แล้วนะ ต้องให้พี่บอกมั้ยว่าเราเป็นอะไรกัน” เด็ดเดี่ยวถามออกมาตรงๆ เพราะก่อนที่เขาจะเข้าห้องได้ยินพายุถามต้นกล้าถึงเรื่องสถานะของเขาสองคน เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่าคนหัวแดงมีอาการชะงัก และเหมือนกับว่าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พอต้นกล้าตามเข้าห้องมาก็มีท่าทางปั้นปึงอย่างที่เห็น เขาจึงขอเดาเอาแบบเข้าข้างตัวเองก็แล้วกัน ว่าอีกคนคงคิดเรื่องนี้อยู่ ไหนจะยังมาถามอีกว่าเป็นอะไรกันนั่นอีก ทำให้เด็ดเดี่ยวแน่ใจว่าตัวเองคงคิดไม่ผิดแน่นอน

“..”

“ต้นกล้าเป็นของพี่เต็มตัวแล้วไง และพี่จะคิดเองเออเองว่าใจก็ด้วย ไม่อย่างนั้นเรื่องเมื่อคืนก็คงไม่มีวันเกิดขึ้นหรอก เราเป็นคนสำคัญของพี่ และพี่ก็เป็นของต้นกล้าคนเดียว เราเป็นคนรักกันแล้วนะจะคิดมากอะไรอีก”

“พูดเองเออเอง มันต้องขอคบกันก่อนปะ”

“เราเลยขั้นนั้นมาแล้วล่ะ เสียเวลานี่ไม่ใช่เด็กๆ ปั๊ปปี้เลิฟแล้วนะ”

“หึ แก่อะดิ”

“แก่ไม่แก่ก็รู้ๆ กันอยู่ เมื่อคืนถ้าใครบางคนไม่ง่วงจนตาจะปิดพี่รับรองได้เลยไม่เช้าไม่หยุด” เด็ดเดี่ยวบอกเสียงกระเส่าแล้วมองต้นกล้าตาเชื่อม ส่วนคนถูกมองก็ทำตัวไม่ถูกไปสิไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือทำหน้านิ่งดี แต่ที่แน่ๆ ริมฝีปากของเขานี่แหละที่มันคอยแต่จะยกขึ้นเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้มจนต้องกัดเอาไว้ “คราวนี้ก็เข้าใจตรงกันนะเดี๋ยวพี่ต้องไปแล้ว”

“จะไปไหนก็ไปเลยปล่อยเราด้วยอึดอัด”

“ก่อนไปพี่ขอ..”

“ขะ ขออะไรวะอย่ามันทำตัวหื่นแถวนี้นะเว้ย”

“หืม หื่นอะไร พี่แค่จะขอให้ต้นกล้าอย่าเข้าใกล้ไอ้หน้าปลาเข็งนั่นอีก ไล่กลับกรุงเทพได้เลยยิ่งดี”

“อะอ้าวเหรอ”

“หึๆ หรือว่าต้นกล้าคิดจะทำอะไรพี่ แต่อยากทำก็ทำได้นะพี่ยังพอมีเวลา”

“บ้าเถอะ”

“ตกลงเอาไง ไล่กลับเลยมั้ย”

“เราก็มีมารยาทปะ เขามาเยี่ยมนะ”

“มาทำตัวไม่น่าคบล่ะสิไม่ว่า พี่ไม่ไว้ใจมัน”

“ช่างมันเถอะ เดี๋ยวก็คงกลับเองนั่นล่ะ เรากับนนท์ไม่ได้อะไรกันนักหรอก”

“ไม่อะไรก็ดีแล้วแต่บอกไว้ก่อนว่าพี่ไม่ไว้ใจมัน พี่หึง”

“อย่ามาคิดอะไรบ้าๆ จะไปไหนก็ไปปล่อยเราเลย”

“ให้พี่ชื่นใจก่อนไปหน่อยสิ”

“ชื่นใจบ้าอะไรอีกล่ะเนี่ย ปล่อยๆ โอ๊ย! อย่าลูบก้นเราโรคจิตชะมัดเลย “

“หึๆ เจ็บเหรอ “เด็ดเดี่ยวพลิกตัวให้ต้นกล้าลงมาอยู่ข้างล่าง แล้วดันตัวเองขึ้นข้างบนจากนั้นก็ ฟอดดดดด

“อื้อออ ทำบ้าอะไร จิ๊” ต้นกล้าหน้าแดงไม่ใช่เพราะถูกหอมแก้ม แต่เพราะคนหอมที่หอมแล้วยังมาทำตาเชื่อมจ้องมองอยู่นี่สิ ไม่รู้จะมองอะไรนักหนาไม่รู้หรือไงว่ามันทำให้ต้นกล้าวางตัวไม่ถูก

“ชื่นในที่สุด จุ๊ป”

“พอเถอะน่า”

“เดี๋ยวพี่ต้องไปทำงานแล้วนะ”

“ก็ไปสิ”

“วันนี้คงกลับค่ำหน่อย ไม่ต้องรอกินข้าวเย็นล่ะ...หืม? ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เด็ดเดี่ยวถามอย่างสงสัย เพราะพอเขาพูดจบต้นกล้าก็เบ้หน้าจนความหล่อใสบิดเบี้ยว เหมือนกำลังขยักแขยงบางอย่าง

“พูดมาได้”

“หึๆ พี่รู้ว่าต้นกล้าจะรอเลยบอกไว้ก่อน วันนี้สอนเสร็จมีธุระต่อ”

“หืม สอน?” ต้นกล้าทำเสียงเหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง เมื่อเด็ดเดี่ยวบอกว่าสอนเสร็จ สอนอะไร ยังไง เป็นครูหรือถึงได้สอน ต้นกล้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าเด็ดเดี่ยวทำอะไรบ้างนอกจากงานไร่งานนา เห็นแต่งตัวดีๆ เวลาเข้าเมืองก็ไม่เคยถามเลย มีแต่อีกคนที่บอกว่าไปทำงานๆ “งานเหรอ”

“อืมใช่มาจูบก่อนไปหน่อยซิ” เด็ดเดี่ยวบอกพลางไถลตัวลงนอนข้างๆ รั้งให้ต้นกล้านอนหันหน้าเข้าหากัน

“จะไปไหนก็ไปเถอะ ไม่ต้องมา อื้อออออ” ปากสวยถูกประกบป้อนความหวานด้วยเรียวลิ้นซุกซนของคนตัวโต ที่เข้าซอกซอนควานหาความละมุมภายในอย่างที่ใจเรียกร้อง ขาของต้นกล้าถูกเด็ดเดี่ยวที่ยังคงหลงมัวเมาในรสรักรั้งดึงให้ขึ้นมาพาดก่ายที่ช่วงเอวสอบ เพราะชายหนุ่มไม่อยากจากหรือห่างกันไปไหน ส่วนต้นกล้าที่แม้ว่าปากจะพูดไล่ผลักใสแต่ก็ไม่อาจห้ามหัวใจของตัวเอง ที่ต้องการจูบนี้เหมือนกัน จูบอ่อนหวานปลอบประโลม มาพร้อมกับอ้อมแขนกอดรัดที่เปลี่ยนเป็นลูบไล้ไปตามนวลเนื้อ ด้วยมือสากกร้านเพราะงานหนัก ราวกับต้องการกระตุ้นความรู้สึกในร่างกายเพื่อจุดไฟปรารถนา มือใหญ่ลากผ่านบั้นท้ายงอนบีบเค้นสัมผัสเบาแรง เพราะรู้ว่าเจ้าของร่างกายโปร่งยังเจ็บตัวอยู่ ทั้งสองกำลังหลงไปกับรสจูบและการสัมผัสแนบเนื้อ จนเกือบจะจูงมือกันเข้าสู่ห้วงอารมณ์เสน่หาอยู่แล้วเชียวถ้าไม่...

ปังๆ ๆ ๆ ๆ ๆ!!!

เฮือกกกกก

“ไอ้กล้ามีคนมาหาโว้ย” เสียงพายุตะโกนมาจากหน้าห้อง หลังจากที่ทุบประตูรัวๆ ย้ำว่าเป็นการทุบไม่ใช่การเคาะราวกับรู้ว่าข้างในกำลังทำอะไรกันอยู่ และเจ้าตัวก็อยากขัดจังหวะเพื่อความสะใจ เด็ดเดี่ยวชักสีหน้าอย่างเสียอารมณ์แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยการกอดรัด จนต้นกล้าต้องเตือน

“ปล่อยก่อนสิ”

ปังๆ ๆ ๆ

“ไอ้กล้าโว้ยมีคนมาหา”

“เออๆ ๆ รู้แล้ว ปล่อยเราสิ” ต้นกล้าตะโกนตอบรับเสียงเรียกของพายุ แล้วหันมาบอกเด็ดเดี่ยวที่ไม่ยอมปล่อยดีๆ สักที

“ใครมาหา”

“เราจะรู้มั้ยก็อยู่ด้วยกันเนี่ย ปล่อย โอ๊ยเจ็บ” ต้นกล้าหน้าตึงเมื่อเด็ดเดี่ยวไม่ยอมปล่อยอย่างที่บอกสักที แถมคนตัวโตยังทิ้งตัวนอนหงายแล้วรั้งร่างของเขาให้ขึ้นมาอยู่ด้านบน ทำให้ร่างที่ขัดยอกบางส่วนและช่องทางที่บอบช้ำ เกิดความเจ็บแปลบส่ออาการประท้วงจนเผลอร้องออกมา อกบางแนบอกแกร่งรวมทั้งร่างกายส่วนล่างก็ด้วย ที่แนบชิดกันจนสัมผัสได้ถึงความตื่นตัวของท่อนเนื้อในกางเกง ไอ้คนหื่น ไม่รู้ว่าจะหน้ามึนไปถึงไหนสิเนี่ยชักจะมากไปแล้วนะ ต้นกล้าได้แต่โวยวายในใจเพราะกระดากเกินกว่าจะพูดออกมา ยิ่งอีกคนนอนอมยิ้มมองตายิ่งดูเหมือนว่านี่จะทำให้เขาไปไม่เป็นได้เลยทีเดียว

“อะไรปล่อยสิเดี๋ยวไอ้ยุมันเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาทำไง”

“หอมแก้มก่อนดิแล้วจะปล่อย”

“โอ้ย บ้าบอที่สุดมาหงมาหอมอะไรตอนนี้ ไอ้ยุมันเรียกแล้ว”

“ไม่หอมไม่ปล่อยเอ้า”

“จูบด้วยมั้ย”

“ได้ก็ดีครับพี่ชอบ”

“เหอะ”

“อะ ทำสิ” เด็ดเดี่ยวเอียงแก้มที่พองลมของตัวเองมาให้ต้นกล้าอย่างนำเสนอ และรอคอยให้อีกคนหอมลงมาสักที ต้นกล้ามีท่าทาลังเล แต่เสียงทุบประตูที่ดังมาเป็นตัวเร่งอย่างดีให้เขารีบทำๆ ไปซะจะได้จบเรื่อง

ปังๆ ๆ ๆ

ฟอดดดด

“เก่งมากคนดีของพี่ จุ๊ป” บอกแล้วก็ยื่นปากขึ้นแตะจูบที่ปากสวยเน้นๆ ก่อนจะปล่อยให้เป็นอิสระอย่างที่ต้องการ ต้นกล้าชักสีหน้าให้เด็ดเดี่ยวแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูออกจากห้องไป

“ใครมาหากูวะ”

“ไม่รู้ว่ะ เห็นลุงสมควรบอกเป็นนักข่าว”

“หืม?” พายุบอกไม่รู้จักต้นกล้าก็ไม่แปลกใจ เพราะยังไงไอ้เพื่อนมันก็เพิ่งมาจะไม่รู้จักใครก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่พอบอกว่าเป็นนักข่าวนี่สิทำให้เป็นต้นกล้าเองที่แปลกใจและนึกสงสัย นักข่าวมาทำไมมีข่าวอะไรแถวนี้ที่น่าสนใจอย่างนั้นเหรอ

“อยู่ไหนวะ”

“ข้างล่าง ลงไปดู”

“เออ” พายุกำลังจะก้าวขาเดินตามต้นกล้าไป ก็พอดีกับชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ในห้องเดินตามออกมา เด็ดเดี่ยวปิดประตูห้องแล้วหันมาก็เจอพายุที่มองเขาอยู่พอดี

“มีอะไรหรือเปล่า” เขาถามเมื่อพายุเอาแต่ยืนจ้องอยู่อย่างนั้น แต่ไม่พูดทักทายหรือถามไถ่อะไรออกมาสักคำ

“เปล่า”

“มีอะไรกันเหรอ ว่าแต่นี่ใครวะ” ปั้นสิบเดินงัวเงียออกมาจากอีกห้อง เจอเด็ดเดี่ยวกับพายุกำลังยืนทำสงครามสายตากันอยู่จึงถามขึ้นงงๆ แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองเองก็ยังไม่มีใครได้รับการแนะนำกันและกันอย่างเป็นทางการเลย

“เพื่อนไอ้กล้าน่ะ” พายุบอกแล้วเดินตามต้นกล้าไป

“สวัสดีครับ ผมปั้นสิบ”

“สวัสดีครับ ผมเด็ดเดี่ยว”

“เอ๊ะ นี่ใช่ลูกพี่เดี่ยวที่ไอ้จ๋าพูดถึงหรือเปล่าครับ”

“ใช่ครับ”

“อืม ว่าแต่ข้างล่างมีอะไรกับเหรอครับ”

“ไม่รู้เหมือนกันลงไปดูสิ”

“ครับ” เด็ดเดี่ยวเดินนำปั้นสิบลงมาที่หน้าบ้าน เพื่อนตัวเล็กของต้นกล้าได้แต่มองตามหลังและหันไปมองที่ประตูห้องเจ้าของบ้าน เพราะรู้ว่าหนุ่มบ้านทุ่งคนนี้เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องเพื่อนของเขา ด้วยท่าทางที่ดูจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี ในหัวปั้นสิบคิดประติดประต่อเรื่องราวไปด้วยพลางเดินตามหลังผู้ชายตัวสูงใหญ่ลงบ้านมาอีกคน

ที่ลานใต้ต้นลำไยหน้าบ้าน พายุเดินลงไปสมทบกับต้นกล้าและลุงสมควร ที่กำลังยืนคุยอยู่กับคนแปลกหน้าสองคน เด็ดเดี่ยวไม่ได้เดินเข้าไปร่วมวงด้วย แต่ยืนมองอยู่ห่างๆ ในรัศมีที่สามารถได้ยินและจับใจความที่พูดกันได้พอดี

“เน็ตไอดอล! ”

“ครับ”

“คุณว่ายังนะครับ พูดอีกทีซิ”

“พวกผมสองคนมาทำข่าวเน็ตไอดอลชาวนาหล่ออปป้าเกาหลี ที่คนกำลังแชร์ต่อๆ กันอยู่ตอนนี้ครับ ถ้าคุณคือคุณต้นกล้า กวินกานต์ชาวนาหล่อคนนั้น พวกผมก็มาถูกที่แล้วครับ” นักข่าวที่หนึ่งบอก

“แต่ผมไม่ได้เป็นเน็ตไอดอลอะไรอย่างที่คุณพูดมานะครับ”

“เอ๊ะ ดูจากในรูปก็ใช่นี่ครับ คุณไม่ดูเพจตัวเองเลยเหรอครับ ว่ามีคนติดตามมากขนาดไหน” นักข่าวที่สองเสริมหลังจากดูรูปที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือจอใหญ่เทียบกับใบหน้าของต้นกล้าแล้ว

“นั่นสิครับ คนตามเป็นล้านแล้วนะครับ ตอนนี้คุณดังมากใครๆ ก็ตามข่าวคุณอยู่ รูปคุณถูกแชร์ออกไปเยอะมาก” นักข่าวที่หนึ่งบอกอีก แต่ยิ่งพูดต้นกล้าก็ยิ่งงง เพราะเขาไม่เคยสนใจข่าวอะไรอย่างนี้มาก่อน ไอ้ที่เล่นๆ อยู่ก็เห็นล่ะว่ามีคนมาขอติดตามเยอะมาก อัปรูปลงแต่ละทีก็มีคนเข้ามากดถูกใจหลายร้อยคนในช่วงแรกๆ จนหลังๆ มานี้เป็นหลักพันหลักหมื่น ใหม่ๆ ก็ตื่นเต้นดีอยู่หรอกที่มีคนมากดถูกใจเยอะอย่างนั้น แต่พอเล่นไปนานๆ เข้าเขาก็ชักไม่ค่อยสนใจมันแล้ว สองคนนี้บอกลุงสมควรว่าเป็นนักข่าวจากเพจดังที่ทำข่าวเกี่ยวกับเน็ตไอดอลโดยตรง หรือคนที่มีชื่อเสียงและเรื่องต่างๆ ที่กำลังดังอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ต ยิ่งคนที่มียอดคนติดตามเยอะๆ ด้วยแล้วจะมีการออกมาสัมภาษณ์ เพื่อไปทำข่าวแชร์ที่หน้าเพจของตัวเองอีกที

“แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงครับ ผมจะเป็นข่าวดังได้ยังไง”

“แหม แค่หน้าตาดีทำอะไรทุกวันนี้ก็เป็นข่าวดังได้แล้วครับ โลกโซเซียลนี่มันเป็นไปได้ทุกแบบล่ะครับ ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็แชร์ต่อๆ กันไป ขนาดทำอะไรบ้าๆ บอๆ สาระไม่มีไปวันๆ เอามันไว้ก่อนยังเป็นข่าวได้ แต่ผมว่าสำหรับชาวนาหล่ออย่างคุณต้นกล้านี่ไม่ไร้สาระแต่น่าสนใจมากครับ”

“นั่นสิครับ วันนี้เราเลยอยากมาขอสัมภาษณ์คุณสักหน่อย”

“แต่ผมไม่มีอะไรให้สัมภาษณ์หรอกครับ และผมก็ไม่อยากเป็นข่าว” ต้นกล้าบอกพร้อมกับมองเลยไปยังรถกระบะสี่ประตูสีขาวที่จอดอยู่ใต้ต้นมะม่วง เขาไม่ได้สนใจรถแต่สนใจคนที่กำลังเดินไปที่รถต่างหาก เด็ดเดี่ยวเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไปโดยไม่หันมาลากันเลยสักคำ เป็นแบบนี้อีกแล้วสินะคนๆ นี้ จะมาจะไปไม่ยอมบอกกล่าวกัน

“ขอสัมภาษณ์สักหน่อยเถอะนะครับ พวกผมอุตส่าห์มา” เสียงนักข่าวที่หนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของต้นกล้า เมื่อท้ายรถเลี้ยวหายลับประตูรั้วหน้าบ้านไป

“แล้วพวกคุณจะถามอะไรผมล่ะครับ”

“ก็ความเป็นมาเกี่ยวกับการเป็นชาวนาของคุณครับ ว่าไปยังไงมายังไงถึงกลายมาเป็นอปป้าของบ้าน่ทุ่งแห่งนี้ได้”

“เอ่อ..” หลังจากนั้นคำถามต่างๆ ก็ตามมาอีกหลายคำถาม สองสามคำถามแรกก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำไร่ไถนาของต้นกล้าอยู่นั่นแหละ แต่หลังจากนั้นทำไมกลายเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาล้วนๆ นับตั้งแต่ อายุ การศึกษา ความชอบส่วนตัว ไปจนถึงเรื่องของหัวใจ เสป็คผู้หญิง แฟนคนปัจจุบัน จนต้นกล้าเบื่อที่จะตอบจึงตัดบทไปด้วยการบอกว่าถึงเวลาต้องออกไปทำงานแล้ว นักข่าวทั้งสองยอมล่าถอยแต่ไม่วายทิ้งท้ายเอาไว้ว่าจะมาขอสัมภาษณ์แบบตามติดชีวิตของต้นกล้าอีก

“ดังใหญ่เลยนะมึง” ปั้นสิบแซว

“กูอยากดังที่ไหนล่ะ”

“แล้วจะเอายังไงต่อ” พายุถาม

“ไม่รู้ว่ะ ว่าแต่วันนี้พวกมึงเอาไง จะทำอะไรลงนากับกูมั้ย”

“เออลงก็ลง”

“เดี๋ยวผมกับไอ้พวกนี้ลงนานะครับลุง แล้วไอ้จ๋าล่ะครับ” ต้นกล้าหันไปบอกลุงสมควร ไม่ลืมถามหาลูกน้องคนสนิทด้วยเพราะมันหายหัวไปแต่เช้า

“ไอ้จ๋าออกไปเรียนแต่เช้าแล้ว”

“ครับๆ ไปพวกมึงเตรียมตัวทำงาน มาแล้วต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์” ต้นกล้าหันไปบอกเพื่อนทั้งสอง

“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวลุงออกไปดูคนงานที่ไร่ก่อน ขาดเหลืออะไรไปบอกก็แล้วกัน”

“ครับๆ “ลุงสมควรเดินออกไปแล้วเหลือเพื่อนทั้งสามที่ยืนมองตากันอยู่

“ว่าแต่นนท์ยังไม่ตื่นเหรอวะ” ต้นกล้าถามหาแขกอีกคน

“มันกลับแต่เช้าแล้ว”

“หืม?”

“เออ กูเห็นมันแอบหนีกลับแต่เช้าแล้ว ไปซะได้ก็ดีขวางหูขวางตากู ว่าแต่มึงเถอะห่วงมันหรือไง” พายุถามกลับ

“เปล่าเถอะ กูไม่เห็นมันก็แค่ถาม เดี๋ยวจะว่าเอาได้ว่ามีแขกมาถึงบ้านต้อนรับไม่ดี”

“เออๆ ไปแล้วก็ช่างแม่งเหอะน่า กูหิวแล้วเนี่ยหาอะไรมากินกันดีกว่า” ปั้นสิบรำคาญที่จะพูดถึงคนอื่นจึงตัดบทถามหาของกินแทน

“ล้างหน้าก่อนมั้ยมึงไอ้สิบ ไอ้ซกมก”

“ไม่ต้องมาว่ากูเลยไอ้ยุ ใครจะสำอางอย่างมึงน้ำไม่อาบสามวัน”

“พอๆ อย่ากัดกัน พวกมึงจะทำอะไรก็ทำ เดี๋ยวกูไปดูก่อนว่าวันนี้น้าแจ่มทำอะไรให้กิน รอนี่ล่ะ” ต้นกล้าบอกเพื่อนทั้งสองแล้วเดินไปทางสวนมะม่วงที่มีความหลังต่อกัน เพื่อเดินลัดไปบ้านไอ้จ๋าหาของกินมาให้เพื่อนๆ



%%%%%%%%%%%








ทางด้านไอ้จ๋าวันนี้มันมีเรียนเช้า ก็ออกจากบ้านมาแต่เช้าด้วยความอารมณ์ดี ขับรถไปก็ผิวปากคลอเพลงหมอลำจากวิทยุที่เปิดอยู่ไปด้วยจนกระทั่งมาถึงตัวอำเภอ ไอ้จ๋าเลี้ยวรถเขาจอดข้างทางก่อนจะเอาพี่ฮีโร่เครื่องเก่งประจำตัวออกมาแล้วกดโทรออก

(“จ๋า”)

“เออ อยู่ไหนวะ”

(“นี่แฟนนะไม่ใช่เพื่อนทักทายให้มันหวานๆ เป็นมั้ย”) น้ำส้มว่ากลับมาทั้งที่หากอยู่ด้วยกันไม่รู้จะกล้าพูดอะไรทำนองนี้ออกมาหรือเปล่า

“เออๆ ว่าแต่ตอนนี้เธออยู่ไหนเนี่ย”

(“บนรถสิ ฉันมีเรียนเช้านะ”)

“เออ ก็เรียนวิชาเดียวกันปะ ทำไมไม่รู้จักรอ”

(“อ้าว แล้วจะรู้มั้ยล่ะว่าจ๋าจะมารับทุกทีก็ต่างคนต่างไป”)

“ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้วปะยัยเผือก”

(“อืม กะ ก็ใช่ แต่ฉันออกมาแล้วนี่”) น้ำส้มบอกเสียงหงอยเพราะแอบเสียดาย ไม่คิดว่าไอ้จ๋าจะมารับเพราะมันก็ไม่ได้โทรมาบอกตั้งแต่ ส่วนไอ้คนที่โทรหาก็เผยยิ้มออกมาบางๆ แค่ฟังจากเสียงก็รู้แล้วยัยส้มเน่าของมันคงจะเขินจนแก้มนวลสองข้างนั่นแดงปลั่งกันเลยทีเดียว มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์แนบหู มืออีกข้างเข้าเกียร์รถแล้วขับออกไป จุดหมายปลายทางเดียวกันคือมหาวิทยาลัยที่อยู่ในตัวจังหวัด

“ถึงไหนแล้ว”

(“ถึง..”) น้ำส้มมองผ่านหน้าต่างออกไปนอกรถ ( “ฟาร์มหมู”) น้ำส้มบอกเมื่อเห็นป้ายทางเข้าฟาร์มเลี้ยงหมู ซึ่งเป็นฟาร์มแห่งเดียวริมถนนหลวงสายนี้ พอดีกับที่ไอ้จ๋าเลี้ยวรถออกจากตัวอำเภอ ขับไปบนเส้นทางที่จะพามันไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งจากที่น้ำส้มบอกมันคิดคำนวณเอาไว้แล้วว่าอีกไม่เกินสิบนาที ก็คงตามรถเมล์ที่น้ำส้มนั่งไปทัน ใจก็ไม่ได้ว่าจะเรียกให้ลงจากรถมาขึ้นรถไปด้วยกันหรอกนะ แค่อยู่ดีๆ ไอ้จ๋าก็อยากตามไปให้ทันเหมือนอยากอยู่ใกล้ๆ อะไรอย่างนี้แค่นั้นอะแหม...

“ฉันกำลังไป”

(“อืม”)

“อืม แค่นี้เหรอ”

(“แล้วจะให้พูดอะไรล่ะ”)

“บอกคิดถึงฉันสิเธอคิดถึงฉันไม่ใช่เหรอ”

(“คนบ้าคิดได้ไงเนี่ย”) น้ำส้มทั้งคุยโทรศัพท์ทั้งเขิน ทั้งที่อีกคนไม่ได้อยู่ตรงนี้ยังเขินขนาดนี้ ถ้าอยู่ต่อหน้ากันจะขนาดไหน และเพราะมัวแต่หันหน้าเข้ามุมคุยนั่นเอง จึงไม่รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนหญิงในตอนแรก ถูกเปลี่ยนเป็นผู้ชายไปแล้ว และมันกำลังขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ โดยที่น้ำส้มไม่ทันได้ระวัง ( “ขับรถดีๆ นะ”)

“เออ ไม่ต้องห่วงใกล้ทันเธอแล้วเนี่ย ใช่คันเขียวๆ นี่หรือเปล่าวะ” ไอ้จ๋าหมายถึงรถเมล์สายสีเขียวที่วิ่งจากอำเภอหนึ่งเข้าสู่ตัวจังหวัด และผ่านตัวอำเภอของมันพอดี

(“ใช่ อุ้ย! ”)

“เป็นอะไร”

(“นาย”) (“เจอกันอีกแล้วนะคนสวย”)

“ยัยเน่าเป็นอะไร” ไอ้จ๋าเสียงรนขึ้นมาเมื่อได้ยินน้ำส้มอุทานออกมาเหมือนกำลังตกใจ และได้ยินเสียงผู้ชายแทรกเข้ามา

(“คราวนี้กูไม่ปล่อยมึงแน่”)

(“จ๋าช่วย อุ๊ป อื้ออออ”)

ตุบ!!

“น้ำส้มๆ ๆ “ไอ้จ๋าเรียกไปตามสายหลังจากได้ยินแต่เสียงน้ำส้มเรียกชื่อของมัน แล้วตามมาด้วยเสียงของหล่นดังตุบเหมือนอะไรหนักๆ ตกลงพื้นและเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ ทิ้งโทรศัพท์แล้วรีบขับรถจะแซงรถเมล์เขียว เมื่อมันมองขึ้นไปก็เห็นน้ำส้มที่นั่งติดหน้าต่างช่วงท้ายของรถ ถูกผู้ชายคนหนึ่งล็อคตัวเอามือปิดปากไม่ให้ส่งเสียงร้องและกำลังดิ้นรนเอาตัวรอด ไอ้จ๋าเร่งเครื่องรถขึ้นไปอีก ส่งสัญญาณบอกให้คนขับรถจอด แต่คนขับรถกลับทำท่าทางเหมือนรำคาญและไม่มีทีท่าว่าจะจอด ทั้งที่มันพยายามบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นบนรถ ทั้งตะโกนบอกทั้งบีบแตร เมื่อไม่มีทางเลือกไอ้จ๋าตัดสินใจขั้นสุดท้าย เหยียบคันเร่งแซงขึ้นไปและ

เอี๊ยดดดดด!!!

เอี๊ยดดดดดด กึก!!

เสียงล้อรถบดกับพื้นถนนดังขึ้นอย่างน่าหวาดเสียว ก่อนที่รถเมล์จะจอดกะทันหันเมื่อถูกรถกระบะคันเล็กตัดหน้า แต่กระนั้นกว่ารถจะหยุดได้ก็จูบท้ายรถไอ้จ๋าเข้าพอดีแต่เจ้าของมันไม่สนใจ คนขับรถเมล์สบถอย่างหัวเสียพลางลุกจากที่นั่งจะลงไปเอาเรื่องคนที่ขับรถตัดหน้า ก็พอดีกับไอ้จ๋าวิ่งขึ้นมาบนรถก่อน

“เฮ้ยขับรถตัดหน้ามึงจะเอาใช่มั้ย” ไอ้จ๋าไม่สนใจเสียงคนขับที่ตะคอกใส่อย่างเอาเรื่อง เมื่อขึ้นมาบนรถได้ก็วิ่งเลยไปยังเก้าอี้แถวหลัง ที่น้ำส้มกำลังถูกผู้ชายลวนลามอยู่ทันที คนบนรถต่างยืนขึ้นดูอย่างอยากรู้อยากเห็น

“น้ำส้ม! มึงปล่อยเดี๋ยวนี้เลย” ไอ้จ๋าเรียกน้ำส้มแล้วหันไปบอกให้คนที่กอดล็อคตัวอยู่ปล่อย

“จ๋า”

“ยุ่งไรด้วยวะไอ้ห่านี่” ไอ้คนที่ลวนลามน้ำส้มตะคอกกลับมา เมื่อเห็นหน้ากันเต็มๆ ตาน้ำส้มจึงจำได้ว่ามันคือไอ้เด็กช่างกลคนนั้นนั่นเอง

“ปล่อยเดี๋ยวนี้! ” ไม่ใช่แค่เสียงที่ดุตอนนี้ไอ้จ๋าสีหน้าถมึงทึงนัยน์ตาวาวโรจน์ เพราะความโกรธทวีขึ้นที่เห็นน้ำส้มถูกรวบกักตัวเอาไว้ ยิ่งเห็นตาคู่สวยแดงก่ำสองแก้มนวลอาบไปด้วยน้ำตา และตัวสั่นอย่างน่าสงสาร นั่นยิ่งทำให้ไอ้จ๋าเดือดจนเลือดขึ้นหน้า

“กูไม่ปล่อยมึงมีปัญหาเหรอ”

“จ๋า”

“ปล่อยแฟนกู”

“เฮ้ย นี่มึงเป็นแฟนอีตุ๊ดนี่เหรอวะ พวกมึงดูหน้ามันไว้นะ ฮ่าๆ ๆ ” ที่แท้ก็เพราะว่ามันมากับเพื่อนอีกสามคนนี่เอง วันนี้ถึงได้กร่างขึ้นอีกเท่าตัว ยิ่งเมื่อเพื่อนๆ มันที่นั่งอยู่ข้างหลังพากันลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาไอ้จ๋าอย่างเอาเรื่อง มันยิ่งผยองพองขนเข้าไปใหญ่ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร..

ต่อนะ...

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


“หาเรื่องตีกันอีกแล้วเหรอไอ้พวกเด็กเวร” คนขับรถที่ยืนดูพอจะเดาเรื่องออกเดินเข้ามาพร้อมกับประแจอันใหญ่ในมือ

“ปล่อยคนของกูซะ”

“กูจะเอา”

“ข้ามศพกูไปก่อนเถอะ”

ผลัวะ!! เพราะน้ำส้มที่ตัวเล็กแถมยังผอมบางและสูงเท่าคางของไอ้เด็กช่างกล นั่นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่ไอ้จ๋าจะวาดเท้าขึ้นตบครึ่งปากครึ่งจมูกของไอ้เด็กช่วงกล โดยข้ามหัวน้ำส้มไปนิดเดียวอย่างรวดเร็วจนมันหน้าหงาย พื้นรองเท้าผ้าใบที่แข็งตบเข้าทีเดียวเล่นเอาจมูกได้เลือดเต็มหน้า ทำให้มันปล่อยน้ำส้มแต่โดยดี

เมื่อเป็นอิสระเจ้าของร่างบอบบางก็โผเข้ามาหาไอ้จ๋าอย่างขวัญเสีย น้ำส้มถูกดันให้มาอยู่ข้างหลังเมื่อไอ้จ๋าเห็นไอ้เด็กช่างกลอีกสามคนจะพากันกรูเข้ามาหามัน แต่เพราะอยู่บนรถบัสพื้นที่ค่อนข้างแคบ ทำให้ไอ้จ๋าไม่เสียเปรียบมากนัก พวกมันไม่สามารถเข้ามารุมได้พร้อมๆ กันเพราะพื้นที่ไม่อำนวย คนแรกที่เข้ามาจึงถูกไอ้จ๋าถีบสวนออกไปเต็มๆ เท้า ก่อนที่จะทันได้ถึงตัว และนั่นทำให้มันเสียหลักเซไปทับเพื่อของมันอีกสองคน ส่วนคนที่ลวนลามน้ำส้มยังเมาตีนไม่หาย

“ไอ้หนุ่มเอานี่เครื่องทุ่นแรง” คนขับรถเรียกไอ้จ๋าแล้วยื่นประแจอันใหญ่ในมือให้อย่างมีน้ำใจ ซึ่งไอ้จ๋าก็รับมาอย่างยินดี มันหันไปยิ้มเย็นให้กลุ่มเด็กช่างกลแล้วย่างเท้าเข้าหา

“ดูหน้ากูแล้วจำไว้ให้ดีๆ อย่ามายุ่งกับคนของกูหรือหาเรื่องใครอีก “สิ้นคำพูดของไอ้จ๋าจากฮึกเหิมในตอนแรกพวกมันก็เหลือแค่ใบหน้าที่ไม่มีความมั่นใจ แน่ละสิไอ้เด็กช่างกลคนแรกที่โดนตบด้วยเท้ายังไม่หายงง ยืนเองยังไม่อยู่ต้องให้เพื่อนอีกคนคอยพยุง ไหนจะถูกสายตาของไอ้จ๋ามองด้วยแววโหดเหี้ยม และถึงมันจะลุยคนเดียวแต่ดูๆ แล้วท่าจะเป็นมวยคนละรุ่น ไอ้จ๋านั้นรู้เชิงมวยเพราะมันก็มีดีติดตัว แถมร่างกายยังดูสูงใหญ่กว่า เสื้อนักศึกษาสีขาวเปียกชุ่มเพราะเหงื่อแนบติดผิวเนื้อ เผยให้เห็นกล้ามของมันที่ดูแข็งแกร่งเป็นมัดๆ เทียบกับไอ้เด็กช่างกลทั้งสี่คนนั่นก็แค่ไอ้ขี้ก้างเหมือนพวกติดยากระจอกๆ

เมื่อเห็นว่าไอ้จ๋าเอาจริง ตอนนี้พวกมันจึงทำได้เพียงแค่มองหน้ากันลอกแลกสลับไปมา เพื่อหาทางหนีทีไล่หากประแจในมือไอ้คนตัวใหญ่จะหวดฟาดลงมาที่หัว ไอ้จ๋าสีหน้าเหี้ยมเกรียมแสยะยิ้มแล้วเงื้อมือที่ถือประแจขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ฟาดใส่หน้ากวนๆ ของพวกมันสักครั้ง....

“จ๋า ไปกันเถอะส้มอยากไปจากตรงนี้แล้ว” ตัวของไอ้จ๋าถูกกอดรวบมาจากด้านหลัง พร้อมกับเสียงสั่นๆ ของน้ำส้มที่เรียกสติของของมันให้กลับมา เพื่อพาคนเสียขวัญไปจากตรงนี้ ไอ้จ๋าลดมือลงแล้วรวบกอดน้ำส้มพาเดินถอยหลังไปที่ประตู โดยที่สายตาระวังไม่ละไปจากเด็กช่างกลกลุ่มนั้น จนกระทั่งมาถึงประตูทางลงด้านหน้า มันจึงคืนประแจให้คนขับรถแล้วเดินลงไปก่อน เมื่อน้ำส้มก้าวลงบันไดรถตามมา มันก็รวบร่างบอบบางอุ้มไปที่รถทันที

“หายกลัวหรือยัง”

“อืม อยู่กับจ๋าเราไม่กลัวหรอก”

“ยัยเน่าเอ๊ยมานี่ซิ” สิ้นเสียงบอกน้ำส้มโผเข้าหาไอ้จ๋าที่กำลังอ้าแขนรอ ตอนนี้ทั้งสองอยู่ในรถที่ไอ้จ๋าขับพามาจอดที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งซึ่งเป็นจุดพักรถ ร่างบอบบางสะอื้นสะท้านน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้ร้องไห้ เพียงแค่ยังขวัญเสียกับเรื่องที่เกิดขึ้น

“ต่อไปเรามาเรียนพร้อมกันนะ” น้ำส้มพยักหน้ารับรู้อยู่กับอกของไอ้จ๋าและกอดร่างบึกบึนของมันเอาไว้แน่น ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าไปถึงหัวใจ เมื่อไอ้หมาหน้าดำจอมเกรียนก้มลงจูบเบาๆ ที่กลางกระหม่อมอย่างปลอบโยน

“เธอน่าจะให้ฉันสั่งสอนมันสักคนละทีสองทีนะ”

“อย่าเลยจ๋าเราไม่ชอบ เกิดพวกนั้นเป็นอะไรจ๋าต้องโดนตำรวจจับแน่ๆ “

“รอดตัวไปนะ นึกว่าห่วงพวกมัน”

“บ้าสิใครจะไปห่วง” น้ำส้มผละออกแล้วอมยิ้มมองหน้าไอ้จ๋า ที่มองตอบกลับมาด้วยสายตาซุกซนขี้เล่นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อเห็นน้ำส้มโดนรังแกใจมันเดือด แม้ว่าตอนนี้จะลดลงไปมากแล้ว แต่ถ้าเจอหน้าพวกมันอีกก็ไม่แน่ว่าจะไม่เอาเรื่อง ยิ่งเห็นใบหน้านวลมีแต่คราบน้ำตา ขนตางอนเป็นแพยังเปียกชุ่มเพราะร้องไห้หนัก ยิ่งทำให้ใจมันอยากกลับไปสั่งสอนพวกนั้นให้กระอักกันไปเลย แต่ตอนนี้ที่ทำได้ก็แค่ไล้ปลายนิ้วเกลี่ยเช็ดคราบบนแก้มออกให้อย่างปลอบโยน

“ไปล้างหน้าล้างตาไป”

“งั้นจ๋ารอเราอยู่นี่นะ”

“เรื่องอะไร เกิดไปโดนใครรังแกอีกจะทำยังไง ฉันจะไปกับเธอ” จากนั้นไอ้จ๋าก็พาน้ำส้มไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะไปเรียน และไอ้จ๋าตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะเป็นคนรับส่งน้ำส้ม และคอยดูแลไม่ให้คลาดสายตา โชคดีที่ถึงแม้จะมีบางวิชาที่ไม่ได้เรียนด้วยกัน แต่เวลาเรียนของทั้งสองก็พร้อมกันเหมือนตั้งใจจัดเวลาให้ตรงกัน ทำให้ไม่มีปัญหา ทั้งสองมาด้วยกันทุกวันจนพักหลังมานี้เพื่อนๆ สังเกตเห็น

“นี่แกกับนายจ๋านี่มันอะไรยังไงยะ เล่ามาเลยนะยะ” ปอทักขึ้นเมื่อน้ำส้มเดินยิ้มเข้ามาในห้องเรียน หลังจากแยกกับไอ้จ๋าที่หน้าห้อง

“เปล่านี่ไม่มีอะไร”

“ไม่มีอะไรเหรอ เห็นช่วงนี้ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด มาเรียนก็มาพร้อมกัน ตัวติดกันอย่างกะผัวเมียอย่างนี้ไม่มีอะไรได้ไงยะ”

“ใช่ๆ แล้วสายตานั้นมันคืออะไรยะ มองกันแบบนั้นฉันหวั่นไหวอะ” อุ๊เสริม

“แกจะไปหวั่นไหวอะไรยัยอุ๊”

“ก็หวั่นไหวนัยน์ตาหวานเชื่อมของนายจ๋าที่มองยัยออเรนจ์ไงยัยปอทุกทีตาดุจะตาย ว่าไงยะจะเล่าไม่เล่า”

“ก็ไม่มีอะไรนี่แค่คบกัน” น้ำส้มตอบเบาๆ เพราะเขินเพื่อนจนแก้มใสแดงลามถึงใบหู

“ห๊า แค่คบกัน! ”

“นั่นสิ คบกันเชียวนะ จะแค่ได้ยังไง”

“ก็ไม่เห็นมีอะไรมากนี่ พวกแกเลิกคุยได้แล้วอาจารย์มาโน่นแล้ว” น้ำส้มหยุดเพื่อนก่อนที่จะโดนซักไปมากกว่านี้ก็พอดีกับที่อาจารย์เดินเข้ามาในห้อง การเรียนการสอนที่คร่ำเคร่งเริ่มขึ้น แต่สำหรับคนที่กำลังอยู่ในห่วงรักอย่างน้ำส้ม ไม่ว่าบทเรียนจะเครียดมากแต่ไหน ก็ไม่ทำให้คนที่กำลังอารมณ์ดีรู้สึกเครียดไปได้หรอก ยิ่งเมื่อคิดถึงใครอีกคนที่เรียนอยู่อีกห้อง ยิ่งอารมณ์ดีขึ้นเป็นพิเศษอีกเท่าตัว เมื่อคิดถึงตอนมาเรียนก็มาด้วยกัน กลับก็กลับด้วยกันแวะกินข้าวไปไหนมาไหนด้วยกัน แค่นี้น้ำส้มก็เรียนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มจนหมดชั่วโมง

%%%%%%50%%%%%%%

บ่ายแก่ๆ ที่ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในตัวจังหวัด กลุ่มเพื่อนสุดหล่อทั้งสามคนหนีร้อนจากกลางทุ่งมาเดินเล่นตากแอร์เย็นฉ่ำ สายตาสอดส่ายหาของสวยๆ งามๆ และเมื่อเดินจนพอใจต้นกล้าได้ของที่อยากได้มาพอสมควร เพราะตั้งแต่มาอยู่บ้านทุ่งดอกจานเขาก็ไม่ได้ไปไหนเลย ออกจากบ้านมาไกลสุดก็แค่ตัวอำเภอ ที่ไม่ค่อยมีของอะไรอย่างที่เขาต้องการจะซื้อนัก พอวันนี้มีโอกาสได้เข้าตัวจังหวัดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาอยู่ ก็เลยขนซื้อไปตุนไว้ให้พอ ทั้งเสื้อยี่ห้อโปรด กางเกงยีนส์ตัวใหม่อีกสามตัว ของใช้ส่วนตัวยี่ห้อดัง ถึงแม้ว่าต้นกล้าจะเริ่มปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตของชาวบ้านทุ่งได้แล้ว แต่ความเคยชินบางอย่างก็ยังคงมีอยู่ เดินจนเหนื่อยก็ได้เวลาหาของกินใส่ปากท้องกันสักที

“สาวจังหวัดนี้สวยว่ะไอ้กล้า” พายุเอ่ยขึ้นขณะที่สายตาก็มองตามกลุ่มนักศึกษาสาวสวยที่เดินผ่านหน้าไป ตอนนี้ทั้งสามกำลังนั่งอยู่ในร้านสเต็กชื่อดังร้านหนึ่ง หลังจากที่ออกไปดูนาเรียบร้อย กลับมาบ้านไม่รู้จะพากันทำอะไร จึงอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากบ้านทุ่งเข้ามาเล่นในเมืองบ้างสักวัน

“เออ”

“อะไรวะเออแค่เนี้ยเหรอมึง แปลกไปนะไอ้กล้า มึงว่ามั้ยไอ้ยุ” ปั้นสิบตั้งขอสังเกตแล้วหันไปหาแนวรวมอย่างพายุ

“นั่นดิ แต่ช่างมัน ดีซะอีกจะได้ไม่ต้องมาแย่งกู”

“มึงนี่น้า เออ..ว่าแต่ไอ้จ๋ามันเรียนที่ไหนวะ ไม่ชวนมันออกมากินด้วยกิน”

“เออ นั่นดิ เดี๋ยวโทรหามันก่อน” ต้นกล้าพึ่งนึกได้จึงหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาลูกน้องคนสนิท แต่ขณะฟังเสียงรอสายอยู่ ก็พอดีตาเหลือบไปเห็นใครบางคนเดินเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่นฝั่งตรงข้าม ใครบางคนที่เดินไปพร้อมหญิงสาวหน้าตาดีแต่งตัวสวยท่าทางสนิทสนมกัน โดยชายหนุ่มถือถุงมากมายดูก็รู้ว่าคงพากันไปเดินซื้อของมา นี่ใช่ไหมที่บอกว่ามีธุระ นี่ใช่ไหมที่อีกคนพูดออกตัวเอาไว้ก่อนว่าคงกลับบ้านช้าและบอกให้เขาไม่ต้องรอ อย่างกับ..อย่างกับ เฮ่อ อย่างกับอะไรก็ช่างมันเถอะ ที่บอกเมื่อเช้านั่นก็คงเป็นเพราะมีนัดกับหญิงสาวอย่างนี้นั่นเองสินะ

“ฮึ” ต้นกล้าแค่นเสียงออกมาจากลำคอก็พอดีกับที่ไอ้จ๋ากดรับโทรศัพท์

“เออไอ้จ๋าเลิกเรียนหรือยังวะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่.....รีบมานะ” ต้นกล้าบอกรวดเดียวเมื่อไอ้จ๋ามันรับโทรศัพท์และส่งเสียงทักมาตามสาย เขาก็สั่งให้มันรีบมาหาเลย โดยไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่ามันอยู่ที่ไหนกำลังทำอะไร เพราะตาสวยกำลังจับจ้องอยู่ที่ร้านฝั่งตรงข้าม และหัวใจที่ล่องลอยไปไกลเหมือนจะควบคุมไม่อยู่ ดีที่ยังจำได้ว่าโทรหาใครเพื่ออะไร สั่งเสร็จก็ไม่สนใจว่าไอ้ลูกน้องคนสนิทจะตอบรับหรือปฏิเสธเพราะพูดจบต้นกล้าก็วางสายทันที

“ตกลงว่าไง ไอ้จ๋ามันจะมาใช่มั้ย” ปั้นสิบที่ดูเหมือนว่าจะเอ็นดูไอ้จ๋าเป็นพิเศษถามขึ้น เมื่อเห็นต้นกล้าคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว

“เอ่อ อืม”

“เป็นอะไรวะ อ้ำๆ อึ้งๆ ”

“เปล่าว่ะ ไม่มีอะไร” ต้นกล้าเบนสายตากลับมามองเพื่อนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่ได้เห็นอะไรในแบบที่ชวนเข้าใจผิดอย่างนั้น ทั้งที่ภาพของชายหนุ่มหญิงสาวเดินยิ้มสบตากันเข้าไปในร้านอาหาร ยังติดตาอยู่อย่างชัดเจน ทำให้ต้นกล้ายิ้มไม่ค่อยออกเท่าไหร่ รู้สึกถึงความบิดมวนและอาการหายใจไม่ทั่วท้องจนแน่นอก โกหกอย่างนั้นเหรอ นี่คงจะเป็นธุระที่อีกคนบอกสินะ แถมยังเป็นธุระที่ต้นกล้าไม่ควรจะได้มาเห็นเสียด้วย

ท่าทาผิดปกติของต้นกล้าอยู่ในสายตาของเพื่อนสนิททั้งสอง ที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงมันได้ทันที แต่เมื่อถามไปแล้วต้นกล้าบอกเปล่าก็ไม่รู้จะซักไซ้ต่อยังไง จึงได้แต่มองตากันแล้วคอยดูอยู่เงียบๆ จนไม่นานไอ้จ๋าก็เดินเข้ามาพร้อมใครอีกคนที่ยกมือไหว้ต้นกล้าทันทีเมื่อมาถึง แต่พายุก็ทันได้สังเกตเห็นล่ะนะว่าทั้งสองเดินจูงมือกันเข้ามา

“พี่กล้าสวัสดีฮะ”

“อ้าวตัวเล็กมาด้วยกันได้ยังไงนิ มานั่งนี่มา” ต้นกล้าปรับสีหน้าและรับไหว้อดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นมาด้วยกันกับไอ้จ๋า น้ำส้มกำลังจะเดินไปนั่งข้างๆ อย่างที่ต้นกล้าบอก แต่ถูกไอ้จ๋าจับต้นแขนรั้งเอาไว้ให้นั่งลงข้างๆ มันอย่างที่ควรจะเป็น

“ออกหน้าออกตาโว้ย” ที่รั้งน้ำส้มเอาไว้ไอ้จ๋าคิดว่าตัวเองทำได้เนียนแล้ว แต่ก็ยังไม่รอดพ้นจากสายตาของคนเป็นลูกพี่ไปได้ ใจจริงก็ไม่อยากปิดบังอะไรหรอก แต่ที่ไม่อยากให้คนเป็นลูกพี่รู้ก็เพราะอย่างเดียวเลย คือลูกพี่จอมแกล้งต้องแซวไม่เลิกแน่ๆ กวนออกอย่างนี้ ใครมันจะไปยอมเสียหน้าที่ถูกแกล้งถูกแซวล่ะ

“นี่ไอ้ปั้นสิบ กับไอ้พายุเพื่อนพี่เองนะตัวเล็ก”

“สวัสดีฮะ”

“เป็นแฟนจ๋าหรือไง” น้ำส้มกับไอ้จ๋าชะงักและมองไปทางต้นเสียง ที่ถามผ่ากลางวงขึ้นมาหน้าตาเฉย ทำให้ไอ้จ๋ารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ ยิ่งคนถามๆ แล้วยังทำเป็นลอยหน้าส่งสายตาเหมือนกำลังประเมินมามอง ไอ้จ๋ายิ่งไม่สบอารมณ์ เพื่อนของลูกพี่คนนี้จะเอายังไงกันมันกันแน่วะ น้ำส้มเหลือบมองไอ้จ๋า ไม่รู้ว่าอีกคนจะให้ตอบออกมายังไงดี ทั้งเขินที่ถูกถามตรงๆ บิดมือตัวเองที่วางอยู่บนตักใต้โต๊ะจนแดงไปหมดแล้ว

“เฮ้ย ว่าไงวะจ๋าคบกันแล้ว?” ต้นกล้าหันมาถามอีกเสียง แล้วแสยะปากเตรียมยิ้มล้อ นั่นไงเป็นอย่างที่ไอ้จ๋าคิดไว้ไม่มีผิด

“พวกมึงจะอะไรกับน้องมันวะ คบกันก็ดีไปสิโว้ย..ใช่มั้ย” ปั้นสิบตัดบทให้

“ใช่ครับผมกับน้ำส้มเป็นแฟนกัน” แต่ไอ้จ๋าก็บอกออกมาตรงๆ

“บ๊ะ มันต้องอย่างนี้สิวะพูดออกมาแบบแมนๆ เลย ไม่ต้องอ้ำต้องอึ้งกันล่ะ คบก็บอกว่าคบ รักก็บอกว่ารัก” คำพูดของปั้นสิบทำให้ต้นกล้าคิดถึงเรื่องตัวเอง เมื่อคิดถึงสายตาก็อดไม่ได้ที่จะมองเลยไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นฝั่งตรงข้าม ที่ชายหญิงคู่นั้นกำลังนั่งกินอาหารพูดคุยยิ้มหัวกันอยู่อย่างมีความสุข และอดไม่ได้ที่จะแอบมองเป็นระยะ และต้องพยายามปรับสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติที่สุด เมื่อหันมาคุยกับเพื่อน เพราะต้นกล้าจะแสดงพิรุธอะไรออกมาให้เกิดความสงสัยไม่ได้ ทั้งที่ตอนนี้เพื่อนทั้งสองนั้นคิดไปไกลเลยคำว่าสงสัยไปแล้ว

“เกิดอะไรขึ้นวะ” ปั้นสิบอดไม่ได้ที่จะเอียงตัวไปกระซิบถามพายุ เมื่อต้นกล้าหันไปคุยกับน้ำส้มและไอ้จ๋า

“ไม่รู้ว่ะ มันต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างแน่นอน ถึงมันจะยิ้มแต่ดูตามันกูก็รู้ว่าต้องมีเรื่องในใจ”

“พวกมึงสองคนซุบซิบอะไรกันวะ” ต้นกล้าทักขึ้นเมื่อหันกลับมาเห็นเพื่อนทั้งสองเอาหัวชนกันและทำปากขมุบขมิบ

“เปล่าโว้ย กูแค่บอกไอ้ยุเล็งสาวที่เดินผ่านหน้าร้านไป”

“แล้วไป ว่าแต่ตัวเล็กอิ่มหรือยังครับ”

“อิ่มแล้วฮะพี่กล้า”

“งั้นกลับเลยมั้ย จะเอาอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า”

“ไม่ฮะ”

“งั้นก็กลับกันเลย น้องครับเช็คบิลครับ ไอ้สิบมึงเลี้ยงนะ” ต้นกล้าบอกกับทุกคนแล้วเรียกพนักงานมาเก็บเงิน ก่อนจะหันไปบอกให้ปั้นสิบเป็นคนจ่าย

“เอ้า ไรวะทำไมต้องเป็นกู”

“ฮ่าๆ เออ มื้อนี้มึงเลี้ยง เตี่ยมึงรวยแค่นี้ไม่สะเทือนขนหน้าแข้งมึงหรอก” ต้นกล้าหัวเราะขำปั้นสิบที่ตอนนี้ทำหน้าเหมือนหมางง เมื่ออยู่ดีๆ ตัวเองต้องเป็นคนเลี้ยงทั้งกลุ่มคนเดียว “อีกอย่างโทษฐานที่มึงเมาหลับไปก่อนเมื่อคืน ทำให้ไอ้จ๋าซื้อเหล้ามาเก้อ มึงเลี้ยงมันถูกแล้ว”

“เออๆ ก็ได้วะ ว่าแต่เย็นนี้น่าเอาอีกสักยกดีกว่าว่ะ เมื่อคืนกูยังไม่เก็ทเลยนะ”

“ไม่เก็ทอะไรของมีไอ้สิบเมาสลบคาที่ขนาดนั้นแล้ว” พายุแทรกขึ้น

“นั่นแหละ อย่างนี้มันต้องถอนโว้ย จั่งซี่มันต้องถอน จั่งซี่มันต้องถอน” ปั้นสิบทำเสียงเลียนแบบเพลงลูกทุ่งหมอลำที่เคยได้ยินจากวิทยุของไอ้จ๋า จึงเรียกเสียงฮาได้ทันที โดยเฉพาะน้ำส้มที่หัวเราะจนน้ำตาไหล

“เอ้า จัดไปงั้น” ต้นกล้าเห็นด้วยกับปั้นสิบ “ขากลับแวะตลาดสดก่อนละกัน”

“เออ จ๋าวันนี้แกจะเสนอเมนูอะไรเด็ดๆ อีกวะ” ปั้นสิบที่ติดใจฝีมือไอ้จ๋าหันมาถาม

“ที่กินไปเมื่อกี้มึงย่อยยังเลยเหอะไอ้สิบไอ้ห่า” แต่โดนพายุดักคอทันที

“กูถามเผื่อมื้อเย็นไอ้ห่านี่”

“มีแน่นอนครับ เดี๋ยวไอ้จ๋าโชว์ฝีมือเอง”

“จ๋าทำกับแกล้มเหรอ” น้ำส้มถามขึ้นเพราะไม่คิดว่าไอ้จ๋าจะทำอาหารเป็น เห็นท่าทางห่ามๆ เหมือนไม่สนใจอะไร ไม่น่าจะเป็นงานบ้านงานเรือน ทั้งที่ไอ้จ๋าก็แสดงความมีฝีมือของมันให้ได้เห็นหลายอย่างแล้ว ว่ามันเองก็ไม่ใช่ขี้ไก่ขี้กานักหรอกนะ อยู่กับไอ้จ๋าไม่มีอดตายล่ะวะ

“เออ” ไอ้จ๋าตอบสั้นตามแบบของมัน

“ไปด้วยกันมั้ยตัวเล็ก” ต้นกล้าหันมาชวนน้ำส้มที่นั่งตัวลีบอยู่ข้างๆ ไอ้จ๋า เพราะสายตาของพายุที่มองมาบ่อยๆ ทำให้เจ้าของร่างบอบบางรู้สึกเหมือนจะวางตัวไม่ถูก

“คงไม่ได้ไปฮะพี่กล้า มีงานต้องรีบทำส่งอาจารย์”

“ว้าเสียดาย งั้นคราวหน้าห้ามพลาดนะ”

“ฮะพี่กล้า”

“ปะๆ กลับบ้านเราเหล้ารออยู่” ปั้นสิบที่จ่ายเงินให้พนักงานเสร็จแล้วหันมาชวนอย่างอารมณ์ดี ทั้งหมดจึงพากันออกจากห้างและแยกย้ายกันไป โดยน้ำส้มไปกับไอ้จ๋าเหมือนเดิม ส่วนหนุ่มหล่อทั้งสามที่มาด้วยกันก็ไปแยกไปรถอีกคัน จุดหมายคือตลาดสดที่ตัวอำเภอเพื่อซื้อของสำหรับทำกินกันเย็นนี้และซื้อของเมาไปเพิ่ม จะได้ไม่ต้องออกมาซื้อตอนดึกอีกหากไม่พอ


50%

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ปั้นสิบนี่ยังไง?

สาวคนนั้น น่าจะเป็นน้องสาวนะ  ว่าป่ะ?

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


เมื่อกลับมาถึงบ้านปั้นสิบที่คออ่อนที่สุดในกลุ่มเพื่อน แต่ชอบเป็นตัวตั้งตัวดีในการชวนดื่ม จัดแจงเตรียมของเตรียมพื้นที่กับไอ้จ๋า แคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นลำไยหน้าบ้านเป็นมุมเหมาะที่ได้รับเลือกเป็นที่ตั้งวงเหล้าอีกครั้ง ส่วนต้นกล้าที่ยังมีเรื่องคาใจขอปลีกตัวเอาของขึ้นไปเก็บในห้อง โดยมีพายุกับปั้นสิบแอบมองตามอย่างเป็นห่วง ด้วยมั่นใจแล้วว่าต้นกล้าคงมีเรื่องอะไรบางอย่างในใจ แต่ไม่สามารถเดาได้ว่ามันคือเรื่องอะไรเท่านั้นเอง ส่วนไอ้จ๋ารีบจัดเตรียมของสำหรับทำกับแกล้มด้วยความคล่องแคล่ว จนเสร็จแล้วจึงปลีกตัวไปอีกคน

“เตรียมของเสร็จแล้วเหรอวะ”

“ครับลูกพี่จะเอาอะไรหรอเปล่าครับ”

“เออเดี๋ยวหยิบเอง”

“ลูกพี่ครับ”

“อะไร”

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าครับ”

“เปล่านี่ถามไมวะ”

“เปล่าครับลูกพี่ ไอ้จ๋าคงดูผิดไป แต่ถ้าลูกพี่มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ หรือไม่พอใจอะไรบอกไอ้จ๋าได้นะครับ”

“อืม...ขอบใจ” ตอนนี้ทั้งสองยืนคุยกันอยู่ในครัว ต้นกล้าบอกขอบใจแล้วเดินจากไปตัวเปล่า ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจเข้ามาเอาอะไรบางอย่าง แต่เมื่อไอ้จ๋าทักขึ้นมาเขาเองก็เลยลืมๆ ไปเลยว่าจะมาเอาอะไร

“เอ้ามาๆ ทำอะไรอยู่วะชักช้าเสียเวลา” ปั้นสิบเร่งเมื่อเห็นต้นกล้าเดินออกมาจากส่วนหลังของบ้านซึ่งเป็นห้องครัว แล้วยื่นแก้วเหล้าให้เมื่อเพื่อนรักเดินเข้ามาถึง

“ไอ้ยุชนโว้ย” ไม่ลืมหันไปเรียกเพื่ออีกคนที่กำลังย่างหมึกอยู่ วันนี้เป็นทะเลเผาที่จะได้ลองน้ำจิ้มรสเด็ด ที่ไอ้จ๋ามันนำเสนอ ต้นกล้าพยายามปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติ ทั้งที่ในใจไม่สามารถหยุดคิดเรื่องเมื่อตอนบ่ายได้เลย ในหัวมันมีแต่คำถามต่างๆ นานาที่คอยวนเวียนเข้ามา ถึงการกระทำของคนตัวโต ต้นกล้าไม่รู้จะเชื่ออย่างไหนดี เพราะเวลาอยู่ด้วยกันเด็ดเดี่ยวก็ทำเหมือนกับว่าต้นกล้ามีความสำคัญมาก แต่ทำไมต้องโกหกเรื่องที่ไปกับคนอื่น หรือว่าเด็ดเดี่ยวเพียงแค่คิดเล่นๆ ไม่ได้จริงจัง และเป็นเขาเองที่หลงเชื่ออะไรหลอกตาง่ายๆ เป็นเพราะความใจง่ายของเขาเองใช่ไหม เป็นเพราะต้นกล้าง่ายจนทำให้เกิดความสัมพันธ์เกินเลยขึ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วอีกคนก็ไม่ได้คิดจะจริงจัง

ต้นกล้าคิดมาถึงคำว่าจริงจังก็ให้รู้สึกเจ็บหน่วงแน่นลึกในอก และเหมือนมีความเจ็บแปลบแทรกเข้ามากลางอกจนรู้สึกอึดอัดคับแน่นไปหมด ความสับสนเข้าโจมตีในความรู้สึกที่มีแต่ความขัดแย้ง เมื่อคิดถึงการกระทำของใครอีกคน จากที่คิดว่าเข้าใจตอนนี้ต้นกล้ากลับมีแต่ความลังเลสงสัย ในหัวสับสนจนเริ่มไม่แน่ใจในการกระทำที่ขัดแย้งของเด็ดเดี่ยว ต้นกล้าลังเลกลัวว่าเหตุการณ์เดิมๆ จะเกิดขึ้นอีก ครั้งนี้มันคงสาหัสกว่าคราวก่อนมาก เพราะต้นกล้าเองก็มีไม่ใช่แค่รู้สึกชอบแต่คิดว่ามันมากกว่านั้นไปแล้ว ถึงจะยังไม่สามารถพูดคำว่ารักออกมาได้เต็มปากเต็มคำ แต่มันก็คือความรู้สึกพิเศษที่รู้อยู่แก่ใจตัวเอง ตอนนี้กลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะเสียความรู้สึกดีๆ ที่มีกับใครคนนั้นไป เพราะการกระทำที่หลอกลวง หรือจะเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือเด็ดเดี่ยวกำลังหลอกลวง แต่จะทำไปเพื่ออะไร ต้องการอะไรกันแน่หรือแค่ต้องการแกล้งกันเท่านั้น หรือว่าไม่พอใจอะไร ไม่พอใจที่โดนแกล้งก่อน เลยแกล้งคืนด้วยการมาทำให้ต้นกล้ารู้สึกดีจนมีใจด้วย กลายเป็นความผูกพันให้ถลำลงลึกทั้งตัวและหัวใจ แล้วก็ฉุดกระชากให้จมดินกับความเจ็บเพราะผิดหวังอย่างนั้นเหรอ

ภาพของใครอีกคนที่มักจะเข้ามากวนใจและวนเวียนอยู่ในความคิด จนต้องยอมรับใจตัวเองว่าคิดถึง ยอมรับว่ามีใครคนนั้นค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในใจ ในหัวและในความรู้สึกนึกคิด จนตอนนี้ต้นกล้ารับเอาเด็ดเดี่ยวเข้ามาในใจเต็มๆ และพึ่งจะได้รู้ว่าใครคนนั้นก็มีคนอื่นไปพร้อมๆ กัน หลังจากถลำตัวลงไปแล้ว มันจะเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไปหรือเปล่า หากต้นกล้าจะคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นแค่เพื่อน เป็นแค่คนรู้จัก แม้ระยะที่เห็นจะห่างอยู่พอสมควร แต่ต้นกล้าไม่ได้ตาบอด ถึงจะไม่เห็นอย่างชัดเจนใกล้ๆ แต่มันเห็นจะๆ ตาจากระยะที่ต้นกล้าอยู่ ว่าทั้งสองมองตายิ้มหัวพูดคุยกันอย่างมีความสุข สายตาของต้นกล้าคงไม่หลอกตัวเองหรอก ว่าคนทั้งคู่นั่งมองกันจนตาเชื่อม

“ไอ้กล้า” เฮือกก

“..”

“เหม่ออะไรของมึง มีเรื่องอะไรในใจไหนบอกมาดิ๊”

“กูเปล่า” ต้นกล้าหลบสายตาจับผิดจากเพื่อนทั้งสอง ด้วยการทำเป็นยกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว

“แต่กูว่าไม่เปล่าแน่มึง ตอนนี้กูแน่ใจแล้ว”

“แน่ใจอะไรของมึงไอ้สิบ บอกไม่มีก็ไม่มี”

“เออๆ อย่ากัดกัน” พายุขัดขึ้นก่อนที่เพื่อทั้งสองจะได้กัดกันจริงๆ

“มาๆ จ๋าไหนน้ำจิ้มรสเด็ดเอามาลองดิ๊”

“ครับๆ ลุยเลยครับ” ไอ้จ๋าวางถ้วยน้ำจิ้มกับจานยำที่ถือมาลงตรงกลางวง

“นี่แก้วนาย” พายุชงเหล้าเสร็จแล้วยื่นมาตรงหน้าไอ้จ๋า ที่ยังไม่ยอมรับแก้วไปแต่โดยดี “รับไปสิหรือมันเข้มไป” คนชงถามขึ้นอีกเมื่อเห็นไอ้จ๋ามองแก้วในมือตัวเองแต่ไม่ยอมรับไปสักที แก้วเหล้าผสมโซดาที่ดูเหมือนว่าปริมาณเหล้ามันมากจนเหมือนไม่ได้ใส่โซดาสักหยด นี่กะจะมอมหรือยังไงวะ หึๆ ไม่ได้กินคอเหล้าขาวสี่สิบอย่างไอ้จ๋าหรอกโว้ย

“ก็เข้มดี” ไอ้จ๋าบอกเมื่อรับแก้วเหล้ามาจากมือของพายุ แล้วยกขึ้นจิบโดยมีสายตาของคนยื่นให้มองทุกการกระทำของมัน จนไอ้จ๋าวางแก้วที่พร่องลงไปนิดเดียวลง ก็พอดีกับที่พี่ฮีโร่คู่ใจในกระเป๋ากางเกงส่งเสียงเตือนว่ามีสายโทรเข้ามา ไอ้จ๋าหยิบโทรศัพท์ออกมาดูแล้วแสยะยิ้มมุมปากออกมาบางๆ ก่อนจะเลี่ยงออกไปรับสาย โดยมีสายตาคมของพายุที่ไม่เคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของไอ้จ๋ามองตาม รอยยิ้มที่เขาคิดว่ามันดูน่ารักผิดกับเวลาปกติเหลือเกิน

“เออ”

(“เออตลอด”)

“ก็เออน่า”

(“เมาแล้วเหรอ”)

“อืม”

(“คนเกเร”)

“เกเรเธอก็ยังรักล่ะน่า”

(“บ้า เค้าบอกตอนไหนว่ารักจ๋า”)

“หึๆ ไม่ต้องเขินเลยยัยเผือก ว่าแต่โทรมามีอะไร”

(“ชิ โทรไม่ได้หรือไง”)

“ได้ แค่อยากถาม”

(“อย่ากินเหล้ามากนะ”)

“ไม่ห้ามเหรอ”

(“เราไม่กล้าห้ามจ๋าหรอกแค่ไม่อยากให้กินเยอะ ไม่กินได้ยิ่งดี”)

“ไม่ได้หรอกลูกผู้ชายมันต้องกินเหล้า”

(“เหอะตรรกะบ้าบอ”)

“กล้าว่าฉันบ้าเหรอยัยส้มเน่า”

(“เค้าเป็นห่วงจ๋าต่างหาก”) แค่นี้ก็ทำให้จิตใจอันแข็งแกร่งของไอ้จ๋าไหวเอนจนอ่อนยวบแล้ว แต่มันยังคงรักษาฟอร์มของตัวเองเอาไว้ให้เหนียวแน่นไม่ผิดไปจากลูกพี่ใหญ่ของมันเลย

“เออน่ากินไม่เยอะหรอก แค่นี้นะเดี๋ยวฉันไปดูลูกพี่ก่อน”

(“อืม....จ๋าๆ ๆ ”)

“อะไรอีกวะ”

(“เอ่อ...”)

“เอ้า จะพูดอะไรก็พูด”

(“คิดถึงจ๋าจัง”)

“หึๆ ๆ “

(“ขำอะไรเขาอุตส่าห์คิดถึงนะคนบ้า”)

“ขำที่คิดเหมือนกันเด๊ะเลยไง”

(“คนบ้าไม่คุยด้วยแล้ว”)

“เอ้า ยัยส้มเน่านี่”

(“วางล่ะแค่นี้นะ”) น้ำส้มวางสายไปแล้วแต่ไอ้จ๋ามันยังยืนยิ้มมองพี่ฮีโร่อยู่อย่างนั้น เหมือนกับว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กของมันเป็นใบหน้าของใครอีกคนที่พึ่งจะวางสายไปจนกระทั่ง

“นายยิ้มมากไปแล้วนะวันนี้” ไอ้จ๋าหันไปทางต้นเสียงก็เจอเข้ากับใครอีกคนที่มันไม่ค่อยชอบหน้า ยืนเอาสองมือล้วงกระเป๋าพิงต้นไม้อยู่ข้างหลัง

“ไม่เกี่ยวกับใครนี่” ไอ้จ๋าเดินเลี่ยงไปโดยที่ไม่สนใจว่าคนๆ นั้นตามมาแอบฟังมันคุยโทรศัพท์หรืออะไรยังไง เพราะมันไม่อยากสนใจ ไม่อยากต่อปากต่อคำเอาง่ายๆ คือไม่อยากคุยกับเพื่อนของลูกพี่คนนี้ ที่ชอบมองมันด้วยสายตาแปลกๆ อย่างที่มันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

“เฮ้ยไอ้กล้า เบาโว้ยอะไรของมึงวะยกเอาๆ จนกูชงไม่ทันแล้วเนี่ย” ไอ้จ๋าได้ยินเสียงปั้นสิบโวยวายให้ต้นกล้าจึงเดินเข้ามาสมทบ และได้เห็นว่าลูกพี่ใหญ่ของมันดูเหมือนจะใจร้อนรีบเมาล่วงหน้าไปไกลกว่าคนอื่นมากแล้ว ทั้งใบหน้าหล่อเกาหลีที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อนั่นอีก

“ไหวหรือเปล่าครับลูกพี่”

“เออไหวๆ วันนี้จัดเต็มที่สักวันก็แล้วกัน”

“แล้วลูกพี่เดี่ยวล่ะครับ” ต้นกล้าชะงักกับคำถามของไอ้จ๋าที่มันอุตส่าห์ก้มลงมากระซิบที่ข้างหู แต่เพียงครู่ก็เปลี่ยนเป็นความเมินเฉยไม่สนใจ

“ไม่ต้องถามหาคนอื่นไปไหนก็ช่างเขาดิ”

“ครับๆ “ไอ้จ๋ารับคำทั้งที่ไม่เข้าใจอะไร เพราะดูเหมือนว่าระหว่างลูกพี่ทั้งสองก็เป็นอย่างนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เมื่อพายุเดินเข้ามาสมทบอีกคน สมาชิกวงเหล้าครบวงก็ครึกครื้นขึ้น เวลาล่วงเลยจากช่วงเย็นเข้าสู่ช่วงหัวค่ำ ที่ทั้งสี่คนนั่งดื่มด้วยกัน แต่ปั้นสิบกับต้นกล้านั้นได้ที่พอสมควรแล้วกับความเมา เสียงคุยของคนเมาโขมงโฉงเฉงสลับกับเสียงร้องเพลงมั่วๆ ฟังแล้วก็น่าขำ ส่วนพายุดูเหมือนว่าจะคอแข็งกว่าทุกคุณในกลุ่มเพื่อนก็เริ่มมึนๆ มีแต่ไอ้จ๋าที่มันจิบไปแค่ไม่เท่าไหร่ และดูเหมือนว่าจะยังไม่มีอาการที่เรียกว่าเมาสักนิด เพราะถ้าเป็นแบบนี้มันคงต้องคอยดูแลลูกพี่ใหญ่ของมันจนเข้านอน

โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของต้นกล้าสั่นเมื่อมีสายเข้า คนเมาที่พอรู้สึกตัวล่วงหยิบโทรศัพท์ออกมาดู เมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาความรู้สึกเมื่อตอนกลางวันก็หวนกลับเข้ามาในหัวคิดอีก จึงกดปิดเครื่องแล้วยัดเข้าไว้ในกระเป๋ากางเกงของตัวเองเหมือนเดิม

“ยกเว้ยยก ไม่เมากูไม่เลิก”

“มึงน่ะเมาแล้ว”

“งั้นก็ให้เมากว่านี้แม่งเลย”

“งั้นก็ชนสิครับเพื่อนรออะไร” เป็นคนเมาอย่างต้นกล้ากับปั้นสิบที่เล่นกันอยู่สองคน มีพายุมองแล้วสายหัวปลงๆ ส่วนไอ้จ๋าไอ้แต่ยิ้มขำ จนครู่หนึ่งผ่านไปก็มีสายเข้าโทรเข้ามาที่พี่ฮีโร่ของมัน ไอ้จ๋าจึงปลีกตัวออกไปรับสาย

“กูว่าวันนี้เลิกก่อนดีกว่ามั้ยวะ”

“เลิกทามม้าย กูยังม่ายมาวเลยเนี่ย” เสียงอ้อแอ้ของปั้นสิบประท้วงเมื่อพายุบอกให้เลิกกิน

“น่านดิวะอ้ายยุ เมิงง่วงก็ปายนอนเรยปายอ้ายอ่อนเอ้ย” ต้นกล้าเสริม

“แต่มันดึกแล้วมึงสองคนจะไม่ไหวแล้วเนี่ย”

“ม่ายหวายเด่วกูน็อคให้ดู เมิงไม่ต้องห่วง ชงมาอีกดิ๊ไอ้ยุ” พายุได้แต่ส่ายหัวให้คนดื้อที่เมารู้เรื่อง เพราะพูดคุยกันได้เป็นเรื่องเป็นราวแต่ก็บังคับควบคุมอะไรไม่ได้ และเขาก็จำใจต้องชงเหล้าให้เพื่อนต่อ วันนี้สำรองมาอย่างเต็มที่ จนไอ้จ๋าที่คุยโทรศัพท์เสร็จเดินกลับมาสมทบ



%%%%%%%%%%%



เด็ดเดี่ยววางสายแล้วยืนจ้องโทรศัพท์ของตัวเองอยู่ในมุมมืดที่สวนหน้าบ้านเงียบๆ หลังจากที่คุยเสร็จแล้วครู่หนึ่งผ่านไป จึงได้แต่ถอนหายใจหนักๆ ออกมา สุดท้ายชายหนุ่มก็ห้ามตัวเองไม่ได้ ยิ่งต้นกล้าไม่ยอมรับสายมันยิ่งเหมือนกับใจจะขาด ที่ไม่ได้ยินเสียงของอีกคนที่เขาคิดว่าถึงวันนี้ไม่ได้ไปหา อย่างน้อยได้ยินเสียงก่อนนอนก็ยังดี ชายหนุ่มยอมรับว่าเป็นเอามากอยู่เหมือนกัน แต่ในเมื่อมันห้ามใจตัวเองไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยๆ ไปเลยตามเลย วันนี้ทั้งวันก็ไม่ได้คุยกันแล้ว นี่ขอคุยก่อนนอนหน่อยจะไม่ได้เลยหรือยังไง พอโทรหาแล้วต้นกล้าไม่รับสาย เด็ดเดี่ยวจึงต่อสายหาไอ้จ๋าทันที นั่นจึงได้รู้ว่าคนหัวแดงกับเพื่อนกำลังพากันกินเหล้าอยู่ และเด็ดเดี่ยวจะไม่ร้อนใจเลยหากไอ้จ๋ามันไม่ทิ้งท้ายเอาไว้ ว่าตอนนี้ลูกพี่ใหญ่ของมันเมาไม่รู้เรื่องแล้ว คนตัวโตถอนหายใจหนักๆ อีกครั้งก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง และเดินออกจากมุมมืดแห่งนั้น แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปถึงรถเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน

“ไปไหนวะ”

“ผมจะไปบ้านคุณยายหน่อยครับพ่อ”

“กลับมั้ย”

“เอ่อ..” เด็ดเดี่ยวเงยหน้าหน้าขึ้นมองกำนันอาจหาญผู้เป็นพ่อ ที่ยืนอยู่บาศาลานั่งเล่นแล้วก็ได้แต่พูดไม่ออก นี่เขาควรจะบอกอะไรผู้เป็นพ่อบ้างดีไหม ถึงเวลาแล้วหรือยัง มันต้องเป็นตอนนี้ไหม ตอนที่เขาห่วงอยากไปหาอีกคนแทบแย่ “ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับพ่อ แต่เอาไว้ก่อนได้มั้ยครับ ตอนนี้ผมรีบไป”

“เออ เอายังไงก็เอา จะทำอะไรก็คิดให้ดีๆ ก็แล้วกัน โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้วไม่ใช่เด็กๆ “

“ครับพ่อ” เด็ดเดี่ยวเดินออกจากตรงนั้นไปขึ้นรถแล้วขับออกไป โดยมีสายตาของผู้เป็นพ่อมองตามอย่างเคย ใบหน้าเรียบเฉยของกำนันอาจหาญมันนิ่งมาก จนไม่สามารถเดาความรู้สึกได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

เด็ดเดี่ยวขับรถด้วยความเร็วเท่าที่เขาสามารถขับได้ เพราะใจของชายหนุ่มนั้นไปถึงบ้านคุณยายก่อนแล้ว ตั้งแต่ที่วางสายจากไอ้จ๋า เมื่อมาถึงก็เห็นว่ากลุ่มเพื่อนยังตั้งวงอยู่ที่แคร่ใต้ต้นลำไยอย่างคืนก่อน แต่ดูเหมือนว่าสมาชิกสองคนจะเปลี่ยนจากนั่งดื่มเป็นนอนนับดาวกันแล้ว

“อะไรกัน ทำไมเมาไม่รู้เรื่องอย่างนี้วะไอ้จ๋า”

“ก็กินกันตั้งแต่บ่ายไม่เมาก็ไม่ใช่คนแล้วครับลูกพี่ ถึงตอนนี้จะเมาไม่เหมือนคนก็ตามเถอะ หึๆ ๆ ” คนเป็นลูกพี่ส่ายหัวแล้วหันไปเรียกต้นกล้าที่นอนกองกันอยู่กับปั้นสิบในสภาพเมามายพอกัน

“ต้นกล้า”

“อึก”

“ทำไมกินจนเมาขนาดนี้เนี่ย”

“ครายวะ อึก”

“ให้มันได้อย่างนี้สิ เมาจนสะอึกลุกเลย” เด็ดเดี่ยวบ่นเบาๆ แต่น้ำเสียงเข้มบ่งบอกว่าไม่พอใจมาก หันมาทางไอ้จ๋าที่ดูเหมือนจะไม่เมาเท่าคนอื่นๆ ส่วนพายุนั้นนั่งมองอยู่เฉยๆ ดูท่าทางไม่เมามากเท่าไหร่ แต่ดูก็รู้ว่ากินเข้าไปไม่น้อยเหมือนกัน

“ยุ่ง” คนเมาพูดออกมาสั้นๆ ทั้งที่ยังหลับตา เมื่อร่างกายถูกจับให้ลุกขึ้นมานั่ง

“ลุกขึ้นเดี๋ยวพี่พาไปนอนบนบ้าน”

“พี่หนายวะ ม่ายไปโว้ย จานอนแข่งกะไอ้สิบตรงนี้”

“เฮ่อ”

“เอ้า ปล่อยๆ ปล่อยโว้ย อารายวะเนี่ยอึก” ต้นกล้าโวยวายเมื่อเด็ดเดี่ยวพยายามพยุงร่างปวกเปียกให้ยืนขึ้น และคนเมาก็ไม่สามารถยืนด้วยตัวเองให้ตรงได้ จึงเอนตัวทิ้งน้ำหนักไปที่อกกว้างของคนตัวโตทั้งตัว

“นี่คุณคนเขาไม่อยากไปจะมาบังคับทำไม” เด็ดเดี่ยวหันกลับไปมองพายุที่พูดแทรกขึ้นมา ขณะที่เขากำลังจะพยุงบังคับหิ้วปีกให้ต้นกล้าขึ้นบ้าน

“ลูกพี่เดี่ยวพาลูกพี่กล้าขึ้นบ้านเลยครับ ไม่ต้องสนใจคนแถวนี้” ไอ้จ๋าตัดบทให้ เอาจริงๆ มันก็อยากให้ลูกพี่ของมันขึ้นบ้านได้แล้ว เพราะเมาจนไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เป็นอะไรแต่คนเป็นลูกพี่นั้นกินเหล้าอย่างกับจะประชดน้ำจนมันแอบเป็นห่วง ส่วนเด็ดเดี่ยวพอได้ยินไอ้จ๋ามันบอกมาอย่างนั้น จึงหันไปรวบอุ้มต้นกล้าขึ้นในท่าเจ้าสาว แต่ต้นกล้าก็ไม่ยอมให้ตัวเองถูกอุ้มไปได้ง่ายๆ จึงดิ้นขัดขืนสุดแรงทั้งที่แทบจะไม่มีแรงอยู่แล้ว และเมื่อถูกอุ้มขึ้นนี่เองจึงทำให้คนเมาที่หัวมึนอยู่แล้วรู้สึกมึนและวิงเวียนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก และเมื่อทำอะไรไม่ได้ต้นกล้าจึงได้แต่โวยวายเสียงดัง

“โอยยย โลกหมุน

“อย่าดิ้นเดี๋ยวพี่พาไปนอน”

“พี่หนายวะ พี่คราย ไม่ไปโว้ย”

“อย่าเสียงดังมันดึกแล้ว”

“ม่ายต้องมาสั่ง เป็นใครมีสิทธิไรมาสั่ง ปล่อยๆ ๆ ๆ โอยเวียนหัวมากมาย”

“เวียนหัวก็ซบไหล่พี่นิ่งๆ “

“พี่ไหนไม่มีพี่โว้ย”

“อืม..พี่ลืมไปว่าต้นกล้าเป็นลูกคนเดียว ไม่อยากเรียกพี่งั้นเรียกอย่างอื่นดีมั้ย” เด็ดเดี่ยวบอกเมื่อวางร่างปวกเปียกลงบนที่นอน พยายามจัดท่านอนให้ดีๆ แต่เจ้าตัวก็เอาแต่ดิ้นหนีและผลักไส

“เรียกอาราย ออกปาย อึก คนจานอน ฮึ่ย” ต้นกล้าผลักคนตัวโตให้ออกห่าง เท้าก็ยันที่นอนอย่างขัดใจ

“เฮ่อ” ไม่อยากเรียกพี่ก็เรียกได้อย่างเดียวล่ะวะ เด็ดเดี่ยวถอนหายใจออกมาแล้วลุกขึ้น แอบยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อคิดถึงคำที่เขาอยากให้หลานชายคุณยายเรียกขาน และนั่นทำให้คนเมาคิดว่าอีกคนคงออกจากห้องไปแล้วจึงเงียบเสียงลงได้ แต่เพียงไม่นานคนตัวโตก็กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับอ่างน้ำและผ้าเช็ดตัว ชายหนุ่มถอดเสื้อผ้าของคนเมาออกจนเหลือแต่ชั้นในตัวเดียว ก่อนจะลงมือเช็ดตัวให้อย่างเบามือ

“อื้อ ไม่อาวไม่ทำ”

“อยู่นิ่งครับ เดี๋ยวเช็ดตัวให้จะได้ดีขึ้น”

“คนใจร้าย มาทามมายอีกวะ” ตาสวยปรือขึ้นมองคนที่กำลังดูแลด้วยการเช็ดตัวให้อย่างเอาใจใส่ ต้นกล้าที่พอจะมีสติสตังเหลืออยู่น้อยนิดจึงพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วๆ อย่างน้อยใจ เสียใจ เสียความรู้สึก ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร แต่เชื่อสายตาตัวเองเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน

“หืม? ว่าอะไรนะ” เด็ดเดี่ยวก้มลงใกล้คนนอนบนเตียงพลางถามกลับ เมื่อได้ยินเสียงพึมพำดังออกมาจากปากของต้นกล้าแต่มันเบามากจนฟังไม่ได้ศัพท์

“ปายไหนก็ปายเลยคนโกหก อึก” ดูเหมือนว่าต้นกล้าจะมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ จึงได้ละเมอออกมาทั้งยังกินเหล้าเสียเมาอย่างนี้ แต่มันเรื่องอะไรนั่นคือสิ่งที่เด็ดเดี่ยวกำลังสงสัย

“ว่าอะไรไหนพูดชัดๆ ซิพี่ฟังไม่รู้เรื่อง” ก้มลงชิดกันยิ่งกว่าเก่า

“โคนโกหก”

“ใครโกหก”

“คนหน้ามึน โก....หก! ”

“หมายถึงใครครับ” จุ๊บ “ว่าพี่เหรอ” ฟอดดด จุ๊บ ยิ่งชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เพื่อให้ฟังได้ถนัดขึ้นยิ่งอดใจไม่ไหว ไอ้ที่ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะไม่แอบรังแกคนเมานั้นก็เลยอดใจเอาไว้ไม่ได้ เมื่อมีจูบแรกที่ปากสวยสีแดงเรื่อ ก็ตามด้วยการกดจมูกลงหอมแก้มหนักๆ แล้วฝากอีกจูบไว้ที่หน้าผาก และจูบที่สามสี่ห้าก็ตามมาอย่างอดใจไม่อยู่ ทั้งจูบทั้งหอมจนหนำใจ แล้วจึงเช็ดตัวให้คนเมาต่อ

“อื้อออ เย็น”

“แหนะรู้อีกว่าเย็น”

“รู้เด้ไม่ได้ตายด้านนะโว้ย อึก”

“หึๆ ๆ ครับไม่ได้ตายด้านก็ไม่ได้ตายด้าน ไหนมาพี่จูบอีกทีดิ๊ถ้าไม่ได้ตายด้าน” เด็ดเดี่ยวบอกแล้วแนบริมฝีปากสวยด้วยปากอุ่นๆ ของตัวเอง ลิ้นร้ายซอนไซเข้าชิมความหวานปนรสเฝื่อนและกลิ่นเหล้า ที่ทำให้เร้าความรู้สึกไปได้อีกแบบ จนร่างกายเกิดความร้อนวูบวาบวาบขึ้นมา เพราะมันเหมือนเป็นยากระตุ้นอย่างดีจากกลิ่นและรสที่ได้รับ ร่างโปร่งที่นอนระทวยชวนมองจนไม่อยากละสายตาไปทางอื่น

ตาคมกวาดมองอย่างสำรวจตั้งแต่หน้าอกที่มีกล้ามเนื้อเพียงเล็กน้อย ประดับด้วยทับทิมเม็ดเล็กสองเม็ด หน้าท้องแบนราบถึงหลุมสะดือตื้น และไรขนอ่อนๆ ที่หายเข้าไปในขอบชั้นใน เด็ดเดี่ยวหายใจเข้าลึกเมื่อไล้ผ้าเช็ดตัววนไปตามลำตัวที่เรียบเนียน จนถึงต้นขาขาวๆ ของคนเมา ยิ่งเมื่อเช็ดผ้าผ่านเข้ามาทางต้นข้าด้านใน ยิ่งดูเหมือนกับว่าเขาจะตั้งใจทำมันเป็นพิเศษ ขาเรียวถูกจับแยกออกเล็กน้อยให้เช็ดถูได้ง่ายขึ้น ร่างขาวๆ ที่ขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะพิษเหล้าดึงดูดสายตา จนคนมองต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ มือก็วนๆ เวียนๆ อยู่แถวกลางลำตัว จนร่างกายของคนเมาชักเริ่มตื่น นี่จึงยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าต้นกล้าไม่ได้ตายด้านอย่างที่คุยไว้จริงๆ เพราะแค่เด็ดเดี่ยวปัดมือผ่านและแตะนิดๆ หน่อยๆ อย่างตั้งใจ ส่วนกลางกายที่ซ่อนอยู่ใต้กางเกงชั้นในก็เริ่มโป่งนูนขึ้นมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน

ต่อ.....

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


‘นี่เราคงไม่หื่นเกินไปหรอกใช่ไหม’ เด็ดเดี่ยวถามตัวเองในใจ เมื่อไล้ปลายนิ้วสัมผัสแผ่วเบาบนท่อนเนื้อนูนเด่นดันเนื้อผ้ายืด เหมือนมันอยากจะออกมาสูดอากาศข้างนอก

“อื้อออ อ่า” ซึ่งมันจะไม่มีผลอะไรกับคนที่ตั้งใจแกล้งเลย หากไม่ตามมาด้วยเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกสยิววูบวาบลงไปถึงส่วนล่างของร่างกายแบบนี้

“อย่าทำเสียงแบบนี้สิ หึๆ ๆ ”

“อึก อ๊ะ”

“อยากให้พี่จูบมั้ยครับ” จุ๊บ เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะถามทำไม ในเมื่อคนที่โดนจูบจะอนุญาตหรือไม่เขาก็จะทำมันอยู่ดี

“คนขี้โกหก อึก อยาก..”

“หืม? “เด็ดเดี่ยวเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อคนเมาพูดค้างเอาไว้เพียงเท่านั้นแล้วพยายามดิ้น ชายหนุ่มเอาผ้าจุ่มน้ำแล้วบิดอีกรอบก่อนจะเอามาเช็ดที่ใบหน้าหล่อใสแดงระเรื่ออีกครั้ง เจ้าของร่างโปร่งเริ่มกระวนกระวาย

“ย่ะ อยาก..อึก” คราวนี้เด็ดเดี่ยวได้ยินมันอย่างชัดเจนที่ต้นกล้าพูดคำว่าอยาก ในหัวคนหื่นนึกสนุกจึงยิ้มออกมาบางๆ แล้วถามต่อ

“อยากอะไรครับบอกพี่ดีๆ สิ”

“อื้อออ อยาก อยาก”

“อยากอะไรครับคนดี ลองอ้อนพี่สิแล้วพี่จะทำให้”

“อ้อน อื้อ อ้อน อยากอ้อน”

“อยากให้พี่ทำอะไรครับ จุ๊บ”

“อยากกก อึก อื้อออ” ปากสีสดทำให้ยากจะอดใจเอาไว้ได้ไหว ยิ่งบอกแต่ว่าอยากๆ ยิ่งทำให้คนที่ตอนนี้มีแต่ความหื่นในหัวยากจะอดใจไม่เชยชิมรสชาติหวานละมุนของเรียวลิ้น เด็ดเดี่ยวประกบจูบดูดดื่มลงมาอีกครั้งอย่างหลงใหล กับความยั่วยวนที่ทำให้เขาห้ามตัวเองไม่ได้ ทั้งที่อีกคนพยายามผลักไสแต่ดูเหมือนยิ่งทำให้คนรุกย่ามใจ ได้จูบแล้วก็จูบเอาจูบเอาอย่างเมามัน อารมณ์รักก่อตัวบิดมวนบอกว่าต้องการการตอบสนองและเติมเต็ม

“พี่ก็อยากเหมือนกัน” เด็ดเดี่ยวบอกอย่างนึกสนุก

“อืม อยากใช่ อยาก”

“ครับ อยากอะไรเอ่ย”

“อยาก อยากกกก อ้วก! ....อึก อุ๊บ!! ”

“เดี๋ยวๆ อย่าพึ่งอ้วก เดี๋ยวพี่พาไปห้องน้ำ” อารมณ์รักที่ก่อตัวขึ้นเพราะคิดว่าต้นกล้าเรียกร้อง และออดอ้อนให้ทำบางสิ่งบางอย่างหายไปหมดสิ้นทันที เมื่อเจ้าตัวเฉลยออกมาว่าแท้ที่จริงแล้วอยากอะไร เด็ดเดี่ยวไม่เข้าใจว่าทำไมความอยากระหว่างเขาสองคนตอนนี้มันถึงไม่ตรงกัน แต่ก็เอามือปิดปากสวยไว้ก่อนที่ต้นกล้าปล่อยของเก่าออกมาตรงนี้ เด็ดเดี่ยวรั้งร่างโปร่งให้ลุกขึ้นเพื่อพาไปห้องน้ำได้ทันเวลาพอดี

อ้วกกกกกก อึก

“ไหวมั้ย”

“อืม”

“ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วกลับไปที่เตียงปะ”

“ไม่..”

“หืม? ทำไม”

“เดิน เดินไม่ไหวมึน”

“มาพี่อุ้ม”

“ไม่เอาไม่ให้อุ้มจะไปไหนก็ไปเลย” เมื่อได้ปล่อยของเสียออกมาก็ดูเหมือนว่าความเมาจะลดลงได้อยู่บ้าง แม้จะยังไม่สร่างเต็มที่ก็ตาม

“อย่าดื้อน่า เดินจะไม่ไหวอยู่แล้ว”

“น้ำ อยากกินน้ำ”

“งั้นออกไปเดี๋ยวพี่หยิบน้ำให้” เด็ดเดี่ยวพยุงคนตัวเล็กกว่าออกจากห้องน้ำ แต่ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงของต้นกล้าจะไม่มีเอาเสียเลย ชายหนุ่มจึงรวบร่างโปร่งเกือบเปลือยเข้าหาตัวแล้วอุ้มออกมาวางไว้ที่เตียง

“น้ำ ขอน้ำ”

“ครับๆ เดี๋ยวพี่ไปเอาให้”

“..”

“ดีขึ้นมั้ย” ถามหลังจากที่ป้อนน้ำให้คนเมาที่ดูมีสีหน้าดีขึ้น

“อืม”

“อย่าพึ่งหลับนะครับให้พี่คิดบัญชีก่อน”

“คิดบัญชีอะไร” ต้นกล้าขมวดคิ้วถามออกมาเสียงแหบ เมื่อได้ยินสิ่งที่คนตัวโตกระซิบบอกว่าจะคิดบัญชี

“บัญชีที่ทำตัวเกเรกินเหล้าเมามายจนไม่รู้เรื่องแบบนี้” และทำให้พี่ค้างเติ่ง หึๆ

“เหอะ ตัวเองทำตัวดีนักเหรอ”

“ดีที่สุด”

“โกหก ออกไป”

“อ้าว จริงจังมั้ยเนี๊ย”

“เออ”

“จ้างพี่ก็ไม่ไป” จุ๊บ

“อย่านะ อื้อออ” ปากสวยที่กำลังไล่และปฏิเสธถูกปิดด้วยจูบร้อนแรง ร่างขาวๆ ที่ขึ้นริ้วแดงระเรื่อเป็นช่วงทำให้คนตัวโตยากจะอดใจไหว เด็ดเดี่ยวจูบจาบจ้วงอย่างเอาแต่ใจตัวเอง แม้ว่าต้นกล้าจะทั้งผลักทั้งทุบแต่ก็ไม่สามารถหยุดความต้องการของอีกคนลงได้ เพราะทั้งหลอก ทั้งล่อ ทั้งลูบไล้ และเชิญชวน จนความโกรธ ความน้อยใจ ความสบสน ความหวาดระแวงทุกอย่างพลันมลายและหายไปทันที นั่นเป็นเพียงเพราะก้อนเนื้อในอกก้อนเดียว ที่มันเต้นไปพร้อมๆ กับเยื่อใยที่มีอยู่เต็มเปี่ยม อะไรๆ ก็ต้านทานความต้องการของมันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ต้นกล้าเปลี่ยนจากกการผลักไส กลายมาเป็นให้ความร่วมมือ โดยการวางสองแขนโอบต้นคอคนตัวโต รั้งให้เกิดความแนบชิดกันมากยิ่งขึ้น

“โกรธอะไรพี่หรือครับคนดี” ผละออกมาถามแต่ก็ไม่รอคำตอบเพราะรุกทันทีแบบไม่ต้องตั้งตัวกันล่ะ ต้นกล้าได้แต่ครางอื้ออึงอยู่ในลำคอเป็นการประท้วง เมื่อจูบจาบจ้วงในตอนแรกกลายเป็นความเร่าร้อน ที่ก่อตัวกระตุ้นจนจุดกระสันตามร่างกายเกิดความวูบวาบ เหมือนมีกระแสไฟฟ้าที่เพิ่มกำลังแรงสูงขึ้นเรื่อยๆ พอผนวชกับความเมามายที่มี นั่นก็เหมือนเป็นเชื้อไฟอย่างดีที่สุมอารมณ์ให้ลุกโชน ยิ่งเมื่ออีกคนเคลื่อนตัวขึ้นมาทาบทับ แล้วบดเบียดร่างกายส่ายไปมา ให้เนื้อที่แนบกันเกิดการเสียดสี นั่นยิ่งทำให้อารมณ์ปรารถนาที่เริ่มคุขึ้นมาจนกระเจิงไปไกล

“มีอะไรก็ถามพี่ดีๆ อย่าติดเองเออเองคนเดียวเข้าใจมั้ย” เหมือนจะรู้ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาไม่รู้หรอกว่าต้นกล้าจะโกรธหรือคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆ หลานชายคนเดียวคุณยายประไพศรี คงไม่พอใจอะไรสักอย่างในตัวเขาแน่นอน แต่นั่นเอาไว้คุยกันทีหลัง เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาของการเจรจาด้วยภาษาพูด มันเป็นเวลาของภาษากายตามที่ใจเรียกร้อง เด็ดเดี่ยวจูบไซ้ไปตามลำคอไล่ลงมาจนถึงหน้าอกแบนราบ ที่มีทับทิมสองเม็ดขึ้นตุ่มไตแข็งรอท่าให้เขาละเลียดชิม เรื่องคาใจในหัวถูกสลัดทิ้งทันที ที่ประกบความเร่าร้อนทับลงที่กลีบปากบาง เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ถูกถอดออกทีละชิ้นอย่างใจเย็น เมื่อเขาผละออกจากจูบแสนหวาน แล้วไล่ละเลงลิ้นไปตามผิวเนื้ออ่อนนวลเนียน

“อ๊ะ! “ยากเหลือเกินที่จะห้ามไม่ให้ปล่อยเสียงของความเสียวกระสันออกมา เมื่อถูกปลายลิ้นอุ่นๆ แตะลงที่ยอดอก พร้อมกับความรู้สึกโล่งที่ส่วนล่างของร่างกาย เพราะปราการชิ้นสุดท้ายที่ติดตัวถูกถอดออกแล้วโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี ความต้องการของร่างกายเห็นได้อย่างชัดเจน ผ่านแท่งรักที่ดีดตัวออกมารับความเป็นอิสระ ต้นกล้าครางกระเส่าเมื่อถูกมือสากกอบกุมแล้วรูดขึ้นลง

“คนดีของพี่” เด็ดเดี่ยวเรียกด้วยเสียงกระซิบซ่านอารมณ์ เพราะความต้องการปรารถนาบีบรัดความรู้สึก จนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ชายหนุ่มแทรกตัวเข้าสู่ตรงกลางหว่างขาของคนเมาที่เริ่มจะสร่างเหล้า แต่ถูกมอมเมาด้วยรสเสน่หาแทนจนเคลิบเคลิ้ม

“อ่าาา” ต้นกล้าปล่อยเสียงครางรับคำเรียกอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อแท่งรักที่แข็งตั้งถูกเด็ดเดี่ยวจับรวบเข้ากับแท่งแข็งๆ ขนาดใหญ่อีกอันแล้วรูดไปพร้อมๆ กันเป็นจังหวะ เขาทำมันเหมือนช่ำชองมามากและเป็นจังหวะรับกันได้พอดีกับเรียวลิ้นร้อน ที่ส่งเข้ามาควานหาความหวานละมุนในโพรงปาก ความเมากับความต้องการลึกๆ ในใจที่มีต่อคนๆ นี้ ทำให้ต้นกล้าหลงลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งความโกรธ ความน้อยใจ ความสงสัย ความสับสน เปิดรับเพียงแค่ความรู้สึกจากสัมผัสของกันและกัน ที่แปรเปลี่ยนมาเป็นความกระสันซาบซ่านเอ่อล้นอยู่ในหัวใจ ส่วนปลายป้านที่บานสวยเยิ้มฉ่ำไปด้วยน้ำใสๆ มันบ่งบอกความต้องการของร่างกาย ว่ามาถึงจุดที่ต้องได้รับการตอบสนอง ต้นกล้ากอดรัดรั้งร่างหนากว่าเข้าหา แล้วเชิญชวนด้วยริมฝีปากอุ่นที่ซุกไซ้ไล่ขบเม้ม เพื่อช่วยปลุกและกระตุ้นให้อารมณ์ของอีกคนตื่นความต้องการไม่แพ้กัน

“ต้องการพี่มั้ยคนดี” จุ๊บ คนตัวโตไล้นิ้วกวาดน้ำใสๆ ที่ไหลเยิ้มจากส่วนปลายของแท่งรักทั้งสอง แล้วละเลงเข้าที่แก่นกายของตัวเอง แม้ว่ามันจะไม่มากมาย แต่ก็พอช่วยให้การสัมผัสลื่นขึ้นเมื่อได้น้ำบ่อน้อยมาผสมกัน เด็ดเดี่ยวจดจ่อปลายแท่งรักเข้ากับช่องทางด้านหลังที่ขมิบรับสัมผัส ตอนเขาส่งเรียวนิ้วเปียกชุ่มเข้าไปนำทาง จนเมื่อช่องทางเริ่มขยายได้ที่จึงใส่ความใหญ่โตของตัวเองเข้ามาทดแทน

“อ๊ะ จะ เจ็บ อื้อ ซี๊ดดด” ต้นกล้ากัดฟันแน่นสูดปากเมื่อร่างกายถูกความใหญ่โตที่ผงาดแข็งรุกราน คนตัวโตค่อยๆ สอดใส่แก่นกายเข้ามาอย่างระมัดระวัง แต่ความเจ็บร้าวที่แปลบปราบขึ้นมาทันทีนั้น มันไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย แม้ว่าจะเข้ามาได้แล้วครึ่งหนึ่งก็ตาม

“ผ่อนคลายนะครับ ซี้ดด คนดีของพี่” จุ๊บ เด็ดเดี่ยวกระซิบบอกแล้วทิ้งจูบอ่อนโยนลงที่หน้าผากมน พร้อมกับช่วงล่างที่ถอนถอยตัวเองออกเล็กน้อย แล้วขยับใส่เข้ามาใหม่ช้าเนิบนาบอย่างใจเย็น ทั้งที่เขาต้องกัดฟันข่มความต้องการจากอารมณ์ดิบของตัวเองที่ประท้วงเอาไว้ เพราะความใหญ่โตที่สอดเข้าไปถูกรัดจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว แต่เพื่อให้ทางรักของต้นกล้าได้ค่อยๆ ปรับตัวเขาต้องทน เพราะไม่อยากทำให้ไอ้หัวแดงจอมรั้นของเขาเจ็บตัวไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มก้มลงมอบจูบดูดดื่มหวานละมุน ที่เขาเปลี่ยนให้มันเป็นความเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ความเจ็บของต้นกล้าเริ่มเปลี่ยนเป็นความรู้สึกใหม่เข้ามาทดแทน เมื่อพื้นที่ตั้งแต่ปากช่องทางรักถึงภายใน อันเป็นจุดรวมของประสาทการรับรู้มากมาย ได้รับการกระตุ้นจากการเสียดสีเข้าออกที่ทะนุถนอมจากอีกคน

“อาาา” ริมฝีปากสวยอ้าออกเล็กน้อย หลังปล่อยเสียงครางจากความเจ็บปนเสียวซ่านออกมา ความมึนที่มัวเมานอกจากพิษของเหล้าแล้ว ยังมีพิษของความเสน่หาเข้ามามอมมัวอีกแรง ทำให้ต้นกล้าปลดปล่อยอารมณ์และความรู้สึกออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ คนตัวโตที่คอยปรนเปรอป้อนความอ่อนหวานยิ้มน้อยๆ อย่างพอใจ นัยน์ตาของชายหนุ่มที่มองต้นกล้ามีแต่ความรักใคร่ เขาหลงใหลในความเป็นตัวของตัวเอง ที่ต้นกล้าแสดงออกมาให้เห็นว่ากำลังต้องการการเติมเต็มที่มากกว่านี้

“ชอบมั๊ย” ถามแต่ไม่รอคำตอบอีกแล้ว เมื่อเด็ดเดี่ยวจับมือเรียวทั้งสองข้างของคนเมามาโอบไว้ที่รอบคอของตัวเองอีกครั้ง แล้วรั้งให้ร่างโปร่งที่ปวกเปียกลุกขึ้นนั่ง ความเมาที่ยังทำให้มึนบวกกับอารมณ์รักที่ก่อเกิด ทำให้ต้นกล้าแทบจะไม่มีแรงทรงตัวนั่งดีๆ ถ้าไม่ได้วงแขนแข็งแรงรองรับที่ด้านหลัง คงได้หงายลงไปอีกเป็นแน่ ท่อนแขนแข็งแรงที่รองรับร่างต้นกล้าไว้ดันขึ้น ทำให้หน้าอกแบนราบที่ประดับยอดด้วยทับทิมสองเม็ดแอ่นเชิดท้าทาย ส่วนล่างเชื่อมกันจนแนบแน่นแล้ว แต่เด็ดเดี่ยวก็ทำเพียงแค่ส่ายสะโพกเป็นวงช้าเนิบ เพราะไม่อยากละตัวเองจากความแนบชิดนี้ ลิ้นร้ายส่งส่วนปลายทักทายกับยอดอกสีชมพูเกือบแดง ก่อนจะอ้าปากครอบความอุ่นลงแล้วไล้ปลายลิ้นตวัดเลียอยู่ภายใน

“อ๊ะ อืมมม ซี๊ดดด” ต้นกกล้าบิดร่างเร่าๆ เพื่อระบายความเสียวซ่าน ที่ก่อเกิดมาตั้งแต่ส่วนล่างที่ถูกสอดใส่ และแท่งรักใหญ่โตที่หมุนวน หน้าอกทั้งสองข้างที่ถูกครอบครองด้วยริมฝีปากอุ่นสลับกันว่าเสียวสยิวมากอยู่แล้ว แต่ลิ้นที่อยู่ข้างในยังตวัดเลียไล้เหมือนกำลังหยอกเล่น นั่นยิ่งทำให้ปากของต้นกล้าเผยออ้าออกครางไม่ได้ศัพท์อย่างเสียวกระสันที่สุด

"อ่าาาา อืมม"

“ต้นกล้าน่ารักมากรู้มั้ย ต้นกล้าของพี่” ถามไปพร้อมกับส่ายสะโพกเหมือนกำลังยั่วยวน ก่อนจะซุกหน้าลงที่ซอกคอหอมอ่อนๆ เด็ดเดี่ยวอ้าปากออกกว้างแล้วครอบลงที่ผิวเนื้ออ่อน ดูดเบาๆ แล้วดุนลิ้นจนเจ้าของซอกคอครางรับไม่เป็นภาษา

“อึก อืมม อา” ส่วนต้นกล้าที่กอดรัดร่างแกร่งสมชายเอาไว้แน่น ก็ไม่ช่วยระบายความเสียวซ่านสยิวที่เกิดขึ้นได้อย่างที่ใจต้องการ มือจิกเกร็งกรงเล็บลงที่แผ่นหลังกว้างเต็มๆ เมื่อถูกกระทำให้เสียวกระสันหลายจุดพร้อมกัน แต่ทำไมมันกลับไม่ถึงจุดที่สามารถปลดปล่อยได้สักที ราวกับอีกคนกำลังแกล้งให้เขาทรมาน

“ต้องการพี่มั้ยคนดี” ดูเหมือนว่าคนที่กำลังรุกเร้าจะรู้ว่าซอกคอเป็นจุดอ่อนที่ถูกสัมผัสแล้วเสียวสยิว เมื่อผละมาถามก็ไม่รอคำตอบเพราะเลื่อนไปทำอีกข้างให้รู้สึกไม่ต่างกัน ก่อนจะไล่ลิ้นลงไปข้างล่าง มือใหญ่กอบกุมแท่งรักของต้นกล้าเอาไว้มั่น ทำงานได้เข้ากันกับปลายลิ้น ด้วยการไล้นิ้วหัวแม่มือวนรอบส่วนปลายป้านบานฉ่ำ ร่างระทวยของต้นกล้าอาศัยท่อนแขนแกร่งที่แข็งแรงรองรับส่วนหลัง ไม่อย่างนั้นคงได้นอนหงายลงไปอีกเป็นแน่แท้

“อ๊ะ แกล้ง”

“แกล้งอะไร อยากให้พี่ทำอะไรบอกดีๆ สิครับ”

“ทำ อื้อออ ซักที อึก เถอะ” เปล่งเสียงออกมาได้ยากลำบากเหมือนกำลังทรมาน แต่มันเป็นเสียงที่ทำให้คนฟังเกิดความฮึกเหิมในอารมณ์ เพราะไม่ใช่แค่พูดแต่เหมือนคนตัวเล็กกว่าสั่งให้เขาตอบสนองความต้องการ อ้อมแขนกอดรัดร่างแกร่งและขาเรียวที่ตวัดเกี่ยวเอวสอบ เป็นเหมือนคำสั่งพิฆาตที่เขาไม่อาจขัดขืน เด็ดเดี่ยวละทิ้งความอดทนอดกลั้นของตัวเอง ที่จะเล่นกับความทรมานอยากเพื่อให้ต้นกล้าเป็นฝ่ายเรียกร้อง เมื่อทั้งคำพูดและร่างกายของคนตัวเล็กกว่าบังคับให้เขาปลดปล่อยทุกความรู้สึก ร่างกายใหญ่โตจึงอยู่ในท่าที่มั่นคง เพื่อการเสือกไสตัวตนซอยเข้าหาช่องทางตอดรัดที่เชิญชวน

“อ๊ะ อ๊ะ” ปากเล็กที่ปล่อยเสียงออกมาตามจังหวะกระแทกตัว สร้างความฮึดในใจคนกระทำให้ใส่ทุกความรู้สึกที่มี ผ่านร่างกายที่สอดเชื่อมกัน ทุกจังหวะเข้าออกร้อนแรงเร่งเร้าจนใจแทบหลอมละลาย ความเจ็บในตอนแรกคืออะไรต้นกล้าแทบจำมันไม่ได้ เพราะตอนนี้มีเพียงความสุขเสียวที่สมใจอย่างที่อยากได้

“มีความสุขหรือเปล่าครับคนดี”

“อะ อืมม เดี่ยว”

“ครับ อยากได้อะไรครับ”

“เดี่ยวจะ..จูบ...เรา..จูบเรา”

“คนดีของพี่ น่ารักมากที่สุดเลย” พูดจบก็ป้อนจูบหวานๆ ที่ปนมากับความร้อนแรงอย่างเรียกร้อง ต้นกล้าหลับตาพริ้มรับจูบเร่าร้อน ลิ้นร้ายกระหวัดเกี่ยวรัดกันได้เข้าจังหวะพอดีกับสะโพกสอบที่ซอยถี่เข้าหา

“ใกล้แล้วทำเองนะครับ” มือเรียวของต้นกล้าถูกจับมาวางที่กลางกายของตัวเอง เขาจึงเริ่มรูดรั้งรัวเร็วอย่างรู้หน้าที่ เพื่อให้เข้ากับอารมณ์ที่กำลังจะพุ่งถึงขีดสุด เด็ดเดี่ยวจับขาเรียวมาพาดไหล่มือข้างหนึ่งยังรองที่หลังบังคับให้อกของต้นกล้าแอ่นหยัด ส่วนมืออีกข้างค้ำยันร่างกายให้มั่นคง เขาเร่งจังหวะสอบสะโพกเร็วขึ้น ความใหญ่โตผลุบเข้าออกช่องทางรักที่ตอบรับด้วยความกระชับแน่น ความเสียววูบวาบก่อเกิดขึ้นมาทั้งสองร่าง ที่ถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยพันธะเสน่หา พันธะที่เหมือนเปลวไฟราคะเร่าร้อนเผาไหม้ สองร่างที่โยกคลอนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเป็นเม็ดๆ ที่ผุดขึ้นมาตามผิว เกิดความเสียวกระสันวูบวาบไปทุกอณู ความต้องการที่จะไปให้ถึงจุดสิ้นสุดของความสุขซาบซ่าน บังคับให้ต้นกล้าเอ่ยปากบอก อย่างคนที่กำลังหลงระเริงอยู่ในทุ่งหญ้าหอมกลิ่นกามารมณ์

“อา อ่า เร็ว หน่อย”

“ครับที่รัก ซี๊ดดด”

“อ๊ะ”

“ซี๊ด คนดีของพี่ อืม จะฆ่าพี่ให้ตายเพราะความน่ารักเหรอ อาส์ ตอดพี่ อึก รัดพี่ ซี๊ดดด ทำกับพี่ให้หนำใจ อ่า”

“อ๊ะ เดี่ยว พี่เดี่ยว ซี๊ดดดด อ่า” เสียงครางปนเสียงหอบประสานกันดังออกมาเป็นระยะ ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ในความสนใจอีกต่อแล้ว เมื่อสัญชาตญาณดิบมีอำนาจเหนือกว่า จึงตะเกียกตะกายตอบสนองให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ด้วยการปรนเปรอรสรักที่หอมหวานผ่านการสัมผัสกอดรัดปลุกเร้า เด็ดเดี่ยวตอกอัดตัวตนเข้าใส่ได้อย่างพอดีกับจังหวะรับของอีกคน จนร่างทั้งสองกระตุกแล้วเกร็งแน่นพร้อมๆ กัน ต้นกล้ารู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายถูกบีบอัดรัดเป็นปมเกรียว ด้วยความกระสันซ่านที่วูบวาบกระจายไปทั้งตัว ก่อนที่ความเสียวสยิวจะขมวดเข้าหากันเป็นมัดปม แล้วระเบิดความสุขสมที่ได้ปลดปล่อยออกมา ธารแห่งความปรารถนาพุ่งกระเซ็นเป็นสาย พร้อมกับภายในที่รู้สึกได้ถึงความอุ่นวาบ เมื่อคนตัวโตที่ควบขี่จังหวะรักร่างกระตุก เขาเกร็งแต่ยังสามารถควบคุมจังหวะเอาไว้ได้เป็นอย่างดี เด็ดเดี่ยวเน้นย้ำสะโพกให้แนบชิดทุกครั้งเมื่อสอบเอวเข้าหาราวกับว่าไม่อยากแยกจากไปไหน ความเคลื่อนไหวถูกลดจังหวะลงเรื่อยๆ ช้าๆ จนกระทั่งหยุดนิ่ง เจ้าของร่างใหญ่โตทิ้งตัวซุกซบบนอกบางที่หอบขึ้นลงเป็นจังหวะและเริ่มผ่อนคลาย

ฟอดดดด

“พี่มีความสุขมาก”

“..”

“พี่หวังว่าต้นกล้าก็คงไม่ต่างกันนะ”

“...”

“พี่รัก”

“...”

“คนดีของพี่”

“..”

“พี่รัก” ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะคนเมาที่มีสติหลงเหลือเพียงน้อยนิดหลับไปในทันที พร้อมกับหูที่ได้ยินเสียงกระซิบบอกคำรักแว่วหวานก่อนดวงตาจะปิดลง

v

v

v

v

v

v

ไอ้จ๋าถอนหายใจออกมาเบาๆ เหมือนโล่งอก แล้วเดินกลับเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัวของมัน บอกตัวเองว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว ในใจให้นึกขอโทษและฝากสายลมไปบอกกับลูกพี่ทั้งสอง ว่ามันเองไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังเลยจริง จิ้งงงงงงง ให้ฟ้าผ่าตายเถอะครับลูกพี่ หึๆ ๆ ๆ



 %%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

ครึ่งหลังเอา NC มาเสริฟ อีกล่ะ อย่าเพิ่งเบื่อ NC ล่ะ เพราะตอนหน้ามันไม่มี 555

ดาวสงสัยขอถามผู้รู้หน่อยค่ะ เวลาเราอัพ ตรงหน้าแรก ท้ายนิยายมันจะขึ้น ว่า New แถบสีส้มอะ แต่ของดาวทำไมมันไม่ขึ้นเหมือนเขาคะ ตั้งแต่เริ่มกระทู้ก็ไม่มี แล้วมาวันหนึ่งมันมีอยู่วันเดียวแล้วก็หายไป เป็นเพราะอะไรคะ เห็นคนอื่นเขาก็มีกันทั้งน้น ใครรู้วานบอกค่ะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไอ้จ๋านี่มัน อยู่ถูกที่ถูกเวลาแทบทุกครั้งเลยนะ  อิอิ

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
โอ๊ย.....นาทีนี้อยากเป็นจ๋ามาก 5555+

ออฟไลน์ AlittleStarWr

  • ดาว ณ แดนดิน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
    • https://www.facebook.com/ALittleStarWriter/?eid=ARB0j1cH0esPR8hRT-dtFbYMb-2_QxYrZHilPjVeZktiZELggHI9krjDA8KpE9EAkE37Y9krMgYPFPvo


กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก 19 หลุมดักปลา

จากวันนั้นที่นักข่าวมาจนถึงวันนี้ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว ต้นกล้าดูข่าวตัวเองที่มีการแชร์ต่อมาเรื่อยๆ จนเต็มหน้าเพจ โดยเฉพาะข่าวที่เริ่มจากนักข่าวสองคนนั้นมาสัมภาษณ์เขาเป็นประเด็นที่กำลังร้อนและผู้คนให้ความสนใจ ยิ่งมีเพจอื่นๆ แชร์ต่อๆ กันออกไป คนที่ติดตามต้นกล้าอยู่ก็ช่วยกันแชร์ไปอีก เลยกลายเป็นว่าข่าวโอปป้าชาวนาหล่อถูกกระจายออกไปในวงที่กว้างขึ้น ต้นกล้าเห็นคนติดตามตัวเองมากมาย เห็นข้อความและคอมเม้นต่างๆ ตามข่าวที่ล้วนแล้วแต่ชื่นชมในตัวเขาและหน้าตาที่หล่อใสสไตล์หนุ่มเกาหลี จนบางสื่อยกตำแหน่งสามีแห่งชาติให้เขาก็มีแล้ว อดยิ้มกริ่มและสนุกกับการติดตามข่าวของตัวเองไม่ได้ จนกระทั่ง..

“ลูกพี่ครับ! ”

“เฮ้ย ตกใจหมด ทำไมย่องมาเงียบๆ วะ “

“โถๆ ลูกพี่ไอ้จ๋าก็มาปกตินะครับไม่ได้ย่องได้อะไรเลย ลูกพี่ไม่สนใจเองอะ”

“เออๆ แล้วเรียกทำไม”

“มีคนมาหาครับบอกว่าเป็นนักข่าว”

“เหรอ แกไปบอกเขาหน่อยว่าฉันไม่อยู่”

“บอกไม่ได้หรอกครับลูกพี่ แหะๆ “

“ทำไมบอกไม่ได้วะ”

“เพราะไอ้จ๋าบอกไปแล้วว่าลูกพี่อยู่ครับ”

“โว้ย ทำไมไม่มาถามกันก่อนวะ”

“เอ้า เขามาถึงก็ถามว่าลูกพี่กล้าอยู่มั้ย เขาเป็นนักข่าวอยากมาขอสัมภาษณ์อะไรนิดๆ หน่อยๆ ไอ้จ๋าเห็นท่าทางก็น่าจะไว้ใจได้อยู่เลยบอกไปว่าลูกพี่อยู่บนบ้าน” ไอ้จ๋าส่งยิ้มขอลุแก่โทษให้ลูกพี่ แต่ตั้งท่าเตรียมตัวกระโดดเพราะคนเป็นลูกพี่อาจจะบันดาลโทสะโทษฐานที่มันทำอะไรไม่ถามกันก่อน

“เออๆ ช่างเถอะว่าแต่ตอนนี้นักข่าวอยู่ไหนกัน”

“ข้างล่างครับมุมเก่าใต้ต้นลำไย”

“เออ” ต้นกล้าตอบเพียงเท่านั้นแล้วเดินลงเรือนไป มีไอ้จ๋าเดินตามมาติดๆ ชายหนุ่มทั้งสองคนที่นั่งรอยู่แคร่ ก็คือคนที่เคยมาสัมภาษณ์เขาเมื่อคราวก่อน และคนหน้าใหม่อีกสองคน หนุ่มทั้งสี่แต่งตัวคล้ายๆ กันคือกางเกงยีนส์เสื้อยืด สวมทับด้วยเสื้อกั๊กที่เต็มไปด้วยกระเป๋าติดโลโก้สำนักข่าวและเพจของตัวเอง พร้อมกล้องคล้องคอท่าทางทะมัดทะแมง

“สวัสดีครับคุณต้นกล้า” เมื่อนักข่าวคนหนึ่งทักขึ้น อีกสามคนก็หันมามองต้นกล้าพร้อมๆ กัน “คือวันนี้เราจะมะ..”

“วันนี้ผมขอตัวนะครับ พอดีกำลังจะออกไปทำธุระ”

“ธุระอะไรครับ ธุระที่นาหรือที่ไร่ พอจะอนุญาตให้พวกเราไปตามติดชีวิตชาวไร่ชาวนาของคุณได้หรือเปล่าครับ” นักข่าวที่หนึ่ง ที่ดูท่าทางอาวุโสที่สุดในกลุ่มถาม

“ไม่ได้หรอกครับ ผมจะไปทำธุระสำคัญในเมือง และไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับพวกคุณ”

“แต่..”

“ผมขอตัวนะครับ”

“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นเราขอถามอะไรสักเล็กน้อยได้หรือเปล่าครับ” นักข่าวหน้าใหม่คนที่หนึ่งรีบพูดแทรกขึ้นมา เพราะเจ้าตัวก็อยากสัมภาษณ์ต้นกล้าด้วยตัวเองบ้าง

“ผมรีบครับ”

“แล้วคุณต้นกล้าสนใจไปให้สัมภาษณ์ที่สถานีของเราหรือเปล่าครับ ผมมาจากช่อง...อยากติดต่อให้คุณไปออกรายการกับเรา”

“ผมไม่สนใจและผมไม่ว่างครับขอโทษด้วย”

“นี่นามบัตรของผมครับ ถ้าเปลี่ยนใจติดต่อได้ตลอดนะครับ”

“ครับ ขอตัวนะครับ” ต้นกล้ารับนามบัตรแล้วบอกขอตัวเดินกลับจะขึ้นบ้าน ทำให้นักข่าวทั้งสี่คนต้องล่าถอยกลับไป แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาขึ้นบันไดไอ้จ๋าที่ถือของพะรุงพะรังออกมาจากหลังบ้านก็เรียกเอาไว้ก่อน

“ลูกพี่ครับ วันนี้ลงนาหรือเปล่าครับ” ไอ้จ๋ากระซิบถามเสียงเบาเมื่อเดินเข้ามาใกล้ลูกพี่

“ลงดิวะ ทำใต้องกระซิบด้วย”

“เดี๋ยวพวกนั้นได้ยิน” ต้นกล้าหันไปมองทางหน้าบ้านที่กลุ่มนักข่าวกำลังเดินไปที่รถสองคันที่จอดอยู่นอกรั้ว

“คงไม่มีใครได้ยินหรอกมั้งไกลขนาดนี้แล้ว แล้ววันนี้แกไม่มีเรียนหรือไง”

“ไม่มีครับ งั้นลงนากับได้จ๋าตอนนี้เลยมั้ยครับ”

“เออๆ แล้วแกจะขนอะไรไปเยอะแยะวะนั่น” ต้นกล้ามองไอ้จ๋าตั้งแต่หัวจรดเท้า ในมือของมันมีทั้งจอบ เสียมและถังใบใหญ่ที่ใส่อะไรต่อมิอะไรในนั้นมาด้วย

“เดี๋ยววันนี้ไอ้จ๋าจะสาธิตการขุดหลุมให้ลูกพี่ดูครับ” ไอ้จ๋าตอบพลางยื่นเสียมให้เพราะต้นกล้าที่ยื่นมือออกมาเหมือนเป็นสัญญาณว่าจะช่วยถือ

“หืม แค่ขุดหลุมใครจะขุดไม่เป็นวะ ทำไมต้องสาธิต” แล้วลูกพี่กับลูกน้องสองสหายก็พากันเดินลงนา คุยกันโขมงโฉงเฉงไปตลอดทาง

“ใช่ครับลูกพี่แค่หลุมใครๆ ก็ขุดเป็น แต่หลุมที่ไอ้จ๋าจะขุดนี่มันเป็นหลุมดักปลาครับ”

“ยังไงวะ”

“การขุดหลุมที่ไอ้จ๋าพูดถึงนี่จะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าฝังหลุมก็ได้ครับ เป็นวิธีดักจับปลาตามแบบภูมิปัญญาชาวบ้านเรา เป็นเทคนิคที่เกิดขึ้นจากการทำความเข้าใจกับธรรมชาติของปลา ว่าเมื่อน้ำตามนาแห้งลงปลามันจะตะเกียกตะกาย หรือที่ภาษาอีสานบ้านเราเรียกกันว่า ‘บืน’ นี่แหละครับ”

“อืม บืนเหรอวะ ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ยว่ามันแปลว่า ตะเกียกตะกาย ต่อไปฉันต้องหัดเว่าอีสานให้มันคล่องๆ แล้วใช่มั้ยเนี่ย แกจะได้ไม่ต้องแปลไทยเป็นไทยอีก”

“ได้ก็ดีครับลูกพี่ แหะๆ ๆ ”

“เออ แล้วยังไงต่อวะ”

“ปลามันก็จะบืนไปหาแหล่งน้ำใหม่ ที่มีน้ำมากพอให้มันสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงฤดูฝนหน้า ซึ่งอันนี้ชาวบ้านเขาเรียกอยู่ให้ ‘ม้มแล้ง’ ครับ ต่อจากนี้ตั้งแต่หลังเกี่ยวข้าวซึ่งก็คงอีกเดือนกว่าๆ ที่แถวนี้จะแล้งมากเพราะจะเข้าฤดูหนาวที่อาจจะไม่มีฝนตกลงมาอีกเลยหลายเดือน บางปีก็มีฝนหลงฤดูตกบ้างแต่โอกาสน้อยมากปลามันรอไม่ได้”

“อืม..น่าเห็นใจว่ะ”

“ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ “ม้มแล้ง” นี่ก็คือ ปลามันจะไปหาที่อยู่ใหม่ให้อยู่ได้ผ่านหน้าแล้งไปจนถึงฤดูฝนหน้าครับ ที่ๆ มันจะหาทางไปก็อย่าง ห้วย หนอง คลอง บึง แหล่งน้ำต่างๆ ที่มีน้ำมากพอที่อยู่ใกล้เคียงกัน และทางที่ปลามันจะ "บืน"ไปนี่เองจะเป็นจุดสำหรับขุดหลุมดิน เพื่อฝังกระบอกไม้ไผ่ หม้อ ไห หรือภาชนะต่าง ๆ ที่น้ำไม่ซึมเข้าได้เอาไปฝังขวางทางไว้ เมื่อปลามันตะกายหรือบืนผ่านมาก็จะตกลงในหลุมดัก ทำไว้วันนี้เช้า ๆ พรุ่งนี้ก็ไปจับมาทำอาหารกินได้เลยครับลูกพี่ แถมเรายังไปเก็บปลาในหลุมได้ตลอดจนน้ำแห้งขอดไปหมด ส่วนพวกที่ไม่บืนไปไหนก็เรียก ‘ปลาข่อน’ ครับ"

“ปลาแบบไหนว่ะปลาข่อนเนี่ย เหมือนปลาช่อนที่เรียกว่า ปลาค่อ หรือเปล่าวะ”

“ฮ่าๆ ๆ ไม่ใช่ครับลูกพี่ ปลาข่อน จะเป็นปลาชนิดไหนก็ได้ครับ เพราะมันหมายถึงปลาที่เหลืออยู่ในนาที่น้ำแห้งขอดหายจากมันไปเกือบหมดเหลือแต่ตม แต่ปลาพวกนี้มันดันไม่มีที่ไป เว่ากันง่ายๆ ซื่อๆ มันก็คือปลาที่ยังเหลืออยู่ในนาแต่น้ำแห้งจากมันไปหมดแล้ว ปลามันไปไหนต่อไม่ได้ก็จะบืนมารวมตัว หรืออยู่ในตมตรงก้นแอ่งสุดท้ายที่เหลือน้ำอยู่ไม่มาก นี่ทำให้เราไปเก็บมันได้ง่ายยังไงล่ะครับ”

“อ่อ ใจร้ายวะไม่ปล่อยให้มันบืนไปหาแหล่งน้ำวะ ไปเก็บมันมาทำไม”

“ถ้าปล่อยไว้ไม่เป็นอาหารนกมันก็ตายแล้งครับลูกพี่ เพราะแหล่งน้ำอยู่ไกลมันบืนไปไม่ถึงกันหรอก”

“อ่ออย่างนี้เองเหรอวะ แล้วปลามันจะโง่บืนไปลงหลุมของแกหรือ”

“โธ่ลูกพี่ของอย่างนี้มันก็ต้องมีเทคนิคสิครับ ไม่งั้นเขาไม่เรียกภูมิปัญญาชาวบ้านหรอกน่า”

“เออใช่ว่ะ แล้วทำไงปลามันถึงจะไปถูกทางหลุมที่ขุดเอาไว้ล่ะ ทำป้ายบอกทางปะ ฮ่าๆ ๆ ” ต้นกล้าคิดตามแล้วหัวเราะเสียงดัง ชักนึกสนุกกับการขุดหลุม อยากรีบเดินให้ถึงนาไวไวจะได้เห็นวิธีการกับตาตัวเอง

“เทคนิคที่เราจะทำให้ปลาบืนเร็วขึ้นและไปในทิศทางของหลุมที่เราฝังไว้ ทำได้ง่าย ๆ ครับลูกพี่ แค่นำโคลนใน ห้วย หรือหนอง ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงมาป้ายทำเป็นทางบืนไปหาปากหลุม เพื่อให้ปลามันไปตามโคลนที่ป้ายไว้ เท่านี้ปลามันก็ตามไปแล้วครับ เป็นวิธีหาปลากินง่าย ๆ ตามสไตล์ อีสานบ้านเฮาครับ” ไอ้จ๋าจบการบรรยายเกี่ยวกับการขุดหลุมแล้วยิ้มภูมิใจ ทั้งที่คนเป็นลูกพี่ที่เดินตามหลังมาก็คงไม่เห็น เพราะมัวแต่คิดตามที่ไอ้คนเป็นลูกน้องพล่ามบอก จนกระทั่งทั้งสองเดินมาถึงทุ่งนาที่ข้าวเขียวขจีกำลังตั้งท้องออกรวงสวย

“เออแล้วไข่มดแดงนี่มันมีหรือเปล่าวะช่วงนี้”

“ไม่มีหรอกครับลูกพี่ ไข่มดมันต้องช่วงหน้าร้อน ช่วงนี้ก็เป็นปลาเดี๋ยวอีกหน่อยเข้าหน้าเกี่ยวข้าว พวกปูพวกปลานี่ยิ่งมันและอร่อยครับ เหมือนที่เขาบอกข้าวใหม่ปลามันก็หมายถึงปลาช่วงนี้ล่ะครับลูกพี่”

“อืมเหรอ”

“นึกภาพออกมั้ยครับ ถ้านึกไม่ออก ไอ้จ๋ามีอะไรจะบอก”

“อะไรวะ”

“ก็ถ้านึกไม่ออกลูกพี่ก็คิดถึงเวลาอยู่กับลูกพี่เดี่ยวสิครับ ใหม่ๆ อะไรมันก็ดีไปหมดแหละ เขาถึงได้เรียกว่าข้าวใหม่ปลามัน คึๆ ๆ ”

ต้นกล้าหน้าเปลี่ยนสีไม่ใช่เพราะอายหรือเขิน ดีที่เดินตามหลังไอ้จ๋ามันจึงไม่เห็น ในหัวหนุ่มหล่อหัวแดงกำลังคิดถึงใครบางคนที่ถึงแม้เขาจะเมา แต่ก็ยังจำได้ว่าเมื่อคืนอยู่ด้วยกัน นอนข้างๆ กันและ และนั่นล่ะ อย่างที่ทุกคนก็รู้ๆ กันอยู่ ก็ตามนั้นเข้าใจ แต่ทำไมพอตื่นเช้ามากลับปรากฏว่า ที่นอนด้านข้างว่างเปล่าและเย็นชืด ไร้คนที่คิดว่านอนอยู่ข้างๆ มาตลอดทั้งคืน ถึงแม้ว่าต้นกล้าจะตื่นสายไปสักหน่อยก็เถอะ ก็ไม่อยากตื่นมาเจอกับความว่างเปล่าแบบนี้หรอกนะ เพราะยอมรับว่ารู้สึกแย่เอามากๆ แต่ช่างมันเถอะจะไปไหนก็ไป ต้นกล้าไม่ได้ชินแต่พอมีสติสตังที่สมบูรณ์ ก็ให้คิดถึงเรื่องเมื่อวาน และความรู้สึกไม่ดีก็เกิดขึ้น แต่จะให้ทำยังไงล่ะ จะให้ร้องเอะอะโวยมันก็ใช่ที่ และที่สำคัญคือไอ้ตัวต้นเหตุดันหายหัวไปแล้ว และต้นกล้าจะไม่ตามไม่ถาม เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ต่างคนต่างอยู่อย่ามากยุ่งเกี่ยวกันเลย ต้นกล้าถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงเข้มๆ อย่างหงุดหงิด

“เกี่ยวอะไรกันวะ”

“แหะๆ ไอ้จ๋าแค่อยากให้ลูกพี่เห็นภาพที่ชัดเจนครับ”

“..” ต้นกล้าเดินตามเงียบๆ ไม่ต่อปากต่อคำจนไอ้จ๋าต้องหยุดเดินและหันกลับมาดู

“ลูกพี่ครับ”

“อะ อะไรวะ”

“เป็นอะไรไปครับทำไมเงียบ”

“ไม่มีอะไร ว่าแต่แกกับตัวเล็กเถอะเป็นยังไงบ้างตอนนี้”

“แนะมาเข้าเรื่องไอ้จ๋าได้ยังไงครับเนี่ย”

“เออ แล้วเป็นยังไงล่ะ เป็นแฟนกันแล้วนิ”

“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับเหมือนเดิม ปะๆ เดี๋ยวก็ถึงแล้วดูทำเลขุดหลุมดีกว่า” ต้นกล้าพยายามกลบเกลื่อนเรื่องของตัวเองโดยถามเรื่องของไอ้จ๋ากับน้ำส้มแทน แต่ไอ้ลูกน้องตัวแสบมันก็เลี่ยงได้ทุกที เพราะตอนนี้ระหว่างตัวมันกับน้ำส้มนั้นตรงกันข้ามกับคำว่าไม่มีอะไรมากโขทีเดียว

“เลี่ยงเลยนะแก”

“ไอ้จ๋าเปล่านะครับ” ไอ้จ๋าหัวเราะร่ากับคำแก้ตัวของตัวเอง

“แล้วไอ้สิบกับไอ้ยุไปไหนของมันสองคนวะ วันนี้ยังไม่เห็นเลยเถอะ”

“เดินลงมากับพี่สอนก่อนหน้าเราไม่นานครับ ไปกันเถอะครับลูกพี่เดี๋ยวเก็บปลาไม่ทันพวกนั้น”

“อ้าวเออเหรอวะก็ไม่บอกนะโว้ย” แล้วสองคู่หูลูกพี่ลูกน้องก็เดินลงนาคนหนึ่งแบกจอบอีกคนแบบเสียม ไอ้คนเป็นลูกน้องมีถังเอาไว้ใส่ปลาถือติดมือมาด้วย จุดหมายปลายทางคือทุ่งนากว้างที่ข้าวเขียวขจีออกรวงอ่อนช้อยเล่นลม

“สองคนนั้นทำอะไรกันน่ะพี่” ปั้นสิบหันไปถามพี่สอน เมื่อเดินมาหยุดอยู่บนคันนาดูต้นกล้ากับไอ้จ๋ากำลังทำอะไรบางอย่างกันอยู่กลางทุ่ง

“อ่อ คงกำลังขุดหลุมดักปลา” พี่สอนตอบ

“เฮ้ย พวกมึงสองคน มาขุดขุดหลุมดักปลาแข่งกันมั้ยวะใครได้เยอะกว่าชนะ” ต้นกล้าตะโกนขึ้นมาจากกลางทุ่ง เล่นเอาเพื่อนทั้งสองคนมองหน้ากัน

“พี่สอนทำยังไงพี่เทรนผมหน่อยดิ”

“ได้ๆ ตามมาทางนี้”

“ได้เลยไม่มีปัญหา รอดูผลงานพวกกูก็แล้วกัน” ปั้นสิบหันมาถามพี่สอนก่อนจะตะโกนตอบรับคำท้าของต้นกล้า แล้วเดินตามพี่สอนไปยังทุ่งนาอีกด้านที่อยู่ห่างออกไป เพื่อหาพื้นที่เหมาะแก่การขุดหลุม “ไอ้ยุตามสิวะ”

“เออ”

ต้นกล้าเพลินกับการขุดหลุมและเดินหาทำเลเหมาะๆ ในการทำหลุม ทำไปก็ถ่ายรูปเก็บไว้ บ้างส่งให้พ่อกับแม่และคุณยายที่อยู่กรุงเทพฯ ดู บ้างก็อัปเดตลงเพจของตัวเอง เอาไปเอามาเลยเปิดการถ่ายทอดสดมันซะเลย ซึ่งก็เป็นไปตามคาดว่ามีคนเข้ามาดูและติดตามมากมาย พร้อมกับคอมเม้นท์ต่างๆ ที่ชื่นชม เจ้าของร่างโปร่งอยู่ในสายตาของพายุที่คอยลอบสังเกตเพื่อนอยู่เป็นระยะ แล้วก็ให้คิดถึงบทสนทนาของเขากับหนุ่มเจ้าถิ่นเมื่อเช้า

(ขุดหลุม)







“ต้นกล้ายังไม่ตื่นฝากบอกเขาด้วยนะว่าผมออกไปธุระด่วนแล้วเย็นๆ จะเข้ามาใหม่” เมื่อพายุยังเงียบและยืนมองหน้าหล่อคมคร้ามแดดนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น โดยไม่ได้ตอบโต้อะไร เด็ดเดี่ยวที่มั่นใจว่าเพื่อนของต้นกล้าฟังเข้าใจแล้วก็ลงเรือนไป และจนถึงตอนนี้ พายุก็ยังไม่ได้เอ่ยปากบอก หรือพูดอะไรเกี่ยวกับคนที่ฝากข้อความเอาไว้สักคำ ก็ในเมื่อต้นกล้าเองก็ยังเฉยพายุจะเดาเอาเอง ว่าเพื่อนก็อาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ หรือถึงต้นกล้าจะถามหาเขาก็ไม่บอกหรอก

“เอาล่ะครับลูกพี่ พรุ่งนี้เช้าเราจะมาดูกันว่าหลุมของใครจะหมานปลา” ไอ้จ๋าพูดขึ้นเมื่อทุกคนพากันขุดหลุมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้มายืนเรียงหน้ากระดานรวมตัวอยู่บนคันนา ตามองไปยังที่นาผืนใหญ่ที่เขียวขจี ความเขียวขจีที่ปกคลุมพื้นที่โดยรอบไกลสุดตา รวงข้าวอ่อนๆ ลิ่วลมลู่ไหวไปตามแรงพัดพา ที่หอบเอาความรู้สึกสดชื่นและเย็นสบายมาให้ แต่ละคนตามองตรงไปยังภาพเบื้องหน้า เพื่อซึมซับบรรยากาศดีๆ แม้ว่าตามเสื้อผ้าและเนื้อตัวจะเปรอะเปื้อนไปด้วยดินและโคลน แต่ต่างคนก็ต่างสัมผัสได้ถึงความอิ่มเอมเปี่ยมสุขที่อยู่ในใจ แม้กระทั่งพี่สอนและไอ้จ๋าที่ใช่ชีวิตอยู่กับท้องนาท้องไร่มาแต่เกิด ก็ยังพลอยมีความสุขไปด้วย

“เสร็จแล้วกลับเลยดีมั้ย หรือจะไปไหนต่อ” ต้นกล้าถามเมื่ออสูดอากาศบริสุทธิ์จนพอใจแล้ว

“เดี๋ยวพี่ขอไปดูพวกไอ้ว่าวมันลงปลาที่ท้ายนาก่อนก็แล้วกัน”

“ท้ายนาเหรอครับตรงไหน”

“ก็ตรงที่กล้าตกคันนาตั้งแต่วันแรกที่มาไง ฮ่าๆ ๆ ”

“ห๊า ว่ายังไงนะครับพี่สอน ไอ้กล้าตกคันนาตั้งแต่วันแรกที่มา ฮ่าๆ ๆ “ปั้นสิบหัวเราเสียงดังเจือไปด้วยความสะใจ

“ฮ่าๆ ๆ ตกคันนาเนี่ยนะมึง” ผสมโรงด้วยพายุที่หัวเราะขำหน้านิ่ง

“เออ พวกมึงเงียบไปเลยนะเว้ย กูโดนควายแกล้งเหอะ”

“โอ้ย มึงซุ่มซ่ามแล้วโทษควายเนี่ยนะ”

“เออ ก็มันเดินเข้ามาใกล้จนกูตกใจนี่หว่า”

“มึงมันอ่อนนอะสิ”

“เออๆ แล้วแต่มึงจะคิดเถอะ ไอ้จ๋ากลับ”

“เดี๋ยวไอ้จ๋าไปช่วยพวกนั้นเก็บปลากับพี่สอนก่อนดีกว่าครับลูกพี่”

“อ้าวแกก็จะไปเหรอ พวกเราเอาไงดีวะลองไปดูกันหน่อยมั้ย” ต้นกล้าหันมาถามความคิดเห็นของเพื่อนทั้งสองคน พายุและปั้นสิบนึกสนุกจึงเห็นด้วย เลยตกลงว่ามาดูการเก็บปลา

สองหนุ่มบ้านทุ่งเดินนำ สองหนุ่มจากเมืองกรุงเดินตาม และหนึ่งหนุ่มชาวนามือใหม่เดินปิดท้าย เดินเรียงแถวกันไปตามคันนา ต้นกล้าชี้ชวนให้เพื่อนทั้งสองดูที่ดูนาดูต้นไม้ใบหญ้าที่น่าสนใจไปตลอดทาง จนกระทั่งพากันเดินมาถึงหนองที่เหลือน้ำขังอยู่เพียงเล็กน้อยกับโคลนตม เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหน้าแล้งกำลังจะมาเยือนจริงๆ และอีกไม่นานก็จะถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ปีนี้น้ำแห้งไวคงจะแล้งกว่าทุกปี ซึ่งนั่นหมายถึงผลกระทบหลายๆ อย่างที่จะตามมาเมื่อขาดแคลนน้ำ ซึ่งชาวบ้านแถวนี้จะทำนากันแค่ปีล่ะครั้ง เนื่องจากปริมาณน้ำมีไม่เพียงพอ และทำเกษตรอย่างอื่นที่ไม่ต้องการใช้น้ำมากเหมือนปลูกข้าวผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป เท่าที่น้ำจากบ่อบาดาลจะนำมาใช้ได้เพียงพอ

(ลงเก็บปลา)



“อ้าว พี่กล้ามากับใครล่ะนั่น มาๆ มาเล่นขี้ตมด้วยกันครับพี่” ไอ้ว่าวที่อยู่กลางหนองท่ามกลางขี้ตมและโคลนดินตะโกนเรียกขึ้น เมื่อเห็นต้นกล้าเดินข้ามคูน้ำขึ้นมาพอดีตามด้วยคนอื่นๆ ในโคลนมีกลุ่มเพื่อนทั้งไอ้ว่าว ไอ้จ๊ะเอ๋ ไอ้ว่าน ขาดก็แต่ไอ้ดำที่คงจะติดงานอยู่ไร่พ่อกำนัน

“ท่าทางสนุกนะนั่น ไอ้จ๊ะเอ๋ว่ายโคลนเล่นเหรอวะ”

“ฮ่าๆ “เสียงหัวเราะของทุกคนประสานกันกับมิตรภาพท่ามกลางท้องทุ่งเขียวขจีและโคลนตม ต้นกล้าและกลุ่มเพื่อนึกสนุกจึงลงเก็บปลาด้วย ยิ่งเห็นปลาที่จมอยู่ในโคลนมากมาย ยิ่งสนุกและตื่นเต้น เพราะไม่เคยเจอแบบนี้กันมาก่อนทั้งสามคน พี่สอนรับหน้าที่เป็นคนรินเหล้าขาวสี่สิบดีกรีขวดเล็ก ที่ไอ้ว่านเอาเหน็บกระเป๋าหลังกางเกงยีนส์ของมันมาด้วย หนุ่มรุ่นพี่รินเหล้าแบ่งแจกทุกคนให้ช่วยกันยกคนล่ะกรึ่บ เหล้าขวดเล็กกับคนหนุ่มแปดคนจึงหมดลงอย่างรวดเร็ว ส่วนไอ้จ๋ารับหน้าที่ถ่ายทอดสดการเก็บปลาผ่านทางเพจของคนเป็นลูกพี่ ซึ่งมันเก็บรายละเอียดได้ชัดทุกมุม โดยเฉพาะตอนนี้ที่ต้นกล้าหงายหลังก้นจ้ำเบ้าลงตม เมื่อถูกปั้นสิบแกล้งสาดโคลนมาใส่

Rrrrrrr

“เออ” ไอ้จ๋ารับสายเมื่อพี่ฮีโร่ของมันดังเตือนยังไม่ถึงห้าวินาที เพราะพอเห็นชื่อคนโทรเข้ามาใจมันก็บอกว่าช้าไม่ได้แล้วต้องรีบกดรับทันที

“ทำอะไรกันน่ะ ทำไมตัวพี่กล้ามีแต่ขี้โคลน” น้ำส้มถามเสียงตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงไอ้จ๋า

“เออ กำลังเก็บปลาที่หนองท้ายนานี่แหละแล้วเธอรู้ได้ยังไง” ไอ้จ๋าผู้ยังไม่ค่อยจะสันทัดในเรื่องของโซเซี่ยลถามกลับ เพราะเมื่อต้นกล้ายื่นโทรศัพท์ให้และบอกมันว่าให้ถ่ายทอดสดมันก็ทำตามที่ลูกพี่สาธิตให้ดู แต่จะไปสดที่ไหนยังไงอันนั้นมันไม่รู้จริงๆ นี่จึงทำให้มันสงสัยที่น้ำส้มรู้ว่าตอนนี้ต้นกล้ากำลังคลุกตมคลุกโคลน

“ก็เห็นที่ถ่ายทอดสดไงในเพจของพี่กล้าน่ะ”

“เหรอ เพจไหนอีกวะ แต่ช่างมันเถอะ”

“...”

“...”

“จ๋า”

“อืม ฟังอยู่มีอะไร”

“เปล่า”

“เอ๊า ยัยนี่โทรมาไม่พูดพอถามดันบอกเปล่าแล้วจะโทรมาทำไมห๊า”

“เอ่อ เรากวนเหรอ งั้นวางสายก็ได้นะ”

“ไม่ได้ๆ โทรมาแล้วจะวางดื้อๆ อย่างนี้ได้ยังไงวะยัยส้มเน่านี่”

“อ้าว ก็จ๋าว่าเราเมื่อกี๊”

“ล้อเล่นบ้างเถอะ แล้วเธออยู่ไหนเนี่ย”

“อยู่..” น้ำส้มบอกชื่อหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านทุ่งดอกจานของไอ้จ๋าเท่าไหร่นัก ซึ่งนั่นมันทำให้ไอ้จ๋าเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาทันที

“มาทำไม มายังไง มากับใคร”

“มาบ้านเพื่อน ขี่มอ’ ไซด์มา”

“กับใคร”

“เอ่อ....คนเดียว”

“ยัยบ้าเอ๊ย บอกว่าอย่าไปไหนมาไหนคนเดียวไงวะ”

“ก็คือ คือ” น้ำส้มพูดไม่ออกเมื่อได้ยินเสียงดุๆ ของไอ้จ๋า จึงได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ จนไอ้คนห่วงใยแต่ปากร้ายมันดุเอาอีก

“แล้วจะกลับตอนไหน”

“เดี๋ยวก็กลับแล้ว”

“งั้นกลับเดี๋ยวนี้เลย”

“โอ๊ยจ๋าจะให้เรากลับเดี๋ยวนี้ได้ยังไงเพิ่งมาถึงได้ไม่นานเอง”

“กลับไม่กลับ”

“แต่..”

“กลับเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่กลับเดี๋ยวนี้เธอต้องมาหาฉันที่บ้าน”

“..”

“ว่าไง”

“จริงเหรอจ๋า จ๋าให้เค้าไปหาที่บ้านเหรอ” เสียงของน้ำส้มฟังดูลิงโลด นี่ถ้าเห็นหน้ากันไอ้จ๋าคงได้เห็นดวงตาดำขลับที่เป็นประกายเพราะความดีใจ

“เออสิมาไม่มา”

“ไปๆ “

“เออ ฉันอยู่บ้านใหญ่นะ บ้านลูกพี่น่ะมาที่บ้านใหญ่ก็แล้วกัน”

“งั้นเดี๋ยวเจอกัน”

“แค่นี้ละรีบมา” ไอ้จ๋าสั่งเสียงเข้มก็วางสายทันทีก่อนที่มันจะมองลงไปสบตากับใครบางคน ที่กำลังมองตอบมันกลับมา ใครบางคนที่ยืนอยู่กลางตมขุ่นคลักสูงเกือบถึงเข่าถอดเสื้อโชว์เนื้อแน่นๆ เหลือแต่กางเกงตัวเดียวที่เปื้อนดินเปื้อนโคลน

ต่อหน้า 4 ค่ะ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-12-2018 09:12:14 โดย AlittleStarWr »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด