ตอนที่ ๒๗
กลลวงปฏิวัติ
หลังจากวันที่แสนสับสนวุ่นวายก็ผ่านมาสัปดาห์หนึ่งแล้ว เช้านี้กิลเบิร์ตสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาก็เห็นแสงแดดเริ่มสาดเข้ามาในห้องนอนรำไร เขาย่อมคิดจะลุกจากที่นอนเพื่อไปจัดการธุระปะปังเรื่องการซื้อขายกับวิลเลียมให้เรียบร้อย แต่ครั้นพอขยับตัวกลับรู้ว่าถูกแขนของสามีโอบกอดรั้งไว้จากด้านหลัง ดังนั้นหากคิดขยับคงต้องถีบใครบางคนตกเตียงเสียก่อน ที่นอนตั้งเยอะแยะทำไมต้องมากอดกันกลมอยู่กลางเตียงแบบนี้! แต่ขืนทำแบบนั้นลุดวิกอาจจะอารมณ์เสียจนไม่ยอมปล่อยเขาลุกแทน นี่ช่างเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงจริงๆ!
“เช้าแล้วนะ คุณตื่นเถอะ วันนี้ยังมีงานอีกเยอะไม่ใช่หรือ” กิลเบิร์ตพยายามขยับตัวให้สัญญาณ แต่ครั้นพอจะขยับแรงกอดกลับมากขึ้น แม่นแล้วว่าไอ้คุณสามีคนนี้เจตนาจะอู้ “นี่! อยากให้ฉันถูกหาว่าเป็นภรรยาถ่วงความเจริญของคุณหรือไง! ลุกได้แล้ว!” ว่าพลางใช้ข้อศอกดันลำตัวอีกฝ่าย แต่ลุดวิกกลับพลิกตัวขยับ ในตอนนั้นเองที่เขากลับมาเป็นฝ่ายกดร่างของกิลเบิร์ตจมลงกับเตียงแทน
“อรุณสวัสดิ์ กิล” คุณสามีฉีกยิ้มหวานในยามเช้าก่อนจะจูบลงที่ข้างแก้มอีกฝ่ายพลางใช้จมูกดุนคลอเคลียด้วยความรักใคร่จนคนถูกกอดรู้สึกเขินแทน นับแต่วันที่ทะเลาะกันผ่านมาสัปดาห์หนึ่ง ลุดวิกก็แสดงท่าทีออดอ้อนเช่นนี้อยู่ทุกเช้าจนกิลเบิร์ตสับสนว่าเขาเกิดเป็นอะไรขึ้นมา นี่คือช็อคที่เขาบีบน้ำตาใส่จนเพี้ยนไปเลยหรือไง! “นี่ จูบรับอรุณล่ะคุณภรรยา”
“จูบพ่อคุณสิ! นี่เช้าแล้วนะ ไปทำงานเถอะ!” โวยวายไปตามเรื่อง แต่ก็ถูกขโมยจูบบนริมฝีปากไปอีกครั้ง ลุดวิกไม่รีรอที่จะแสดงความรักต่อภรรยาของเขา และไม่ฟังเสียงด้วยว่าอีกฝ่ายจะบ่นกระปอดกระแปดเป็นแมวง่วงนอนขนาดไหน ไม่สิ แมวตัวนี้เป็นฝ่ายข่วนให้เขาตื่นมาเองนี่นา ช่างเป็นภรรยาที่ขยันขันแข็งเอาการเอางานจริงๆ
จะว่าไปตั้งแต่คืนแรกที่อยู่ด้วยกัน กิลเบิร์ตก็มักจะเป็นฝ่ายตื่นก่อนเขาบ่อยครั้ง นี่ต้องเป็นสัญชาตญาณความเอาการเอางานของอดีตท่านนายพลแห่งเทสล่าแน่ๆ
“ไปอาบน้ำด้วยกันนะ ฉันจะช่วยเธอทำความสะอาดร่างกาย” ว่าแล้วก็จัดการลุกขึ้นยืนและอุ้มภรรยาที่กำลังช็อคหนักขึ้นเต็มสองแขน แน่ล่ะว่ากิลเบิร์ตพยายามจะดิ้นให้หลุด แต่ก็กลัวจะตกลงมากระแทกพื้น สุดท้ายจำยอมต้องกอดคอสามีปล่อยเลยตามเลย
“อย่าดิ้นเลย ฉันสัญญาว่าจะแค่อาบน้ำให้ ไม่ทำอย่างอื่นหรอก เวลามันไม่พอน่ะ” จูบฟอดที่ต้นคออีกครั้งและดูจะเคลิบเคลิ้มหนักมาก หารู้ไม่ว่าคำพูดส่อเจตนาแบบนั้นทำเอาฝ่ายตรงข้ามได้แต่เบ้หน้า
กิลเบิร์ตรู้สึกว่า สามีของเขาอาการหนักมากขึ้นทุกที! นี่ติดสัดเรอะ!!
สุดท้ายลุดวิกจัดการอาบน้ำสระผมให้ ทั้งยังมีแก่ใจมาเป่าผมหวีผมให้อีกต่างหาก กิลเบิร์ตรู้สึกว่าหมอนี่ชักจะเห็นเขาเป็นแมวไปจริงๆเข้าทุกที ไม่ใช่ว่ากำลังนึกว่าตัวเองกำลังอาบน้ำเป่าขนให้แมวอยู่หรอกนะ นี่กะเป่าให้ขนฟูฟ่องเลยหรือไง!
“นี่ ช่วงนี้คุณเป็นอะไรรึเปล่า ตัวร้อนไม่สบายรึเปล่า” อดถามไม่ได้ แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มหวานโปรยเสน่ห์ก่อนจะหัวเราะขึ้นเบาๆอย่างไม่ถือสาหาความ เล่นบทเป็นคุณผู้ชายที่ใจกว้างแสนโอบอ้อมอารี
“ฉันกำลังเอาอกเอาใจภรรยา เผื่อว่าภรรยาของฉันจะบอกรักฉันบ้างไง” พูดเรื่องหน้าไม่อายหน้าตาเฉยพลางใช้หวีค่อยๆแปรงเส้นผมและจูบที่ปลายผมของอีกฝ่าย เขารู้สึกว่าผมของกิลเบิร์ตยาวขึ้นเล็กน้อยแล้ว “ว่าไง เธอตกหลุมรักฉันหรือยัง”
“ไม่ใช่ว่าฉันบอกไปแล้วว่าฉันเป็นภรรยาของคุณหรือ” เถียงกลับ ก็อุตส่าห์พูดไปแล้วว่าไม่มีทางนอกใจเพราะเป็นสามีภรรยากันแล้วแท้ๆ นี่ยังจะเอาอะไรอีก!
“เป็นสามีภรรยากับเป็นคนรักเป็นคนละเรื่อง” ลุดวิกตอบพลางย่อกายลงและจ้องมองดวงตาสีรัตติกาลใสแจ๋วของเจ้าแมวดำแสนดื้อของเขา “เธอไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนหรือ”
สามีภรรยากับคนรัก?
“เออะ...” คำพูดของลุดวิกเหมือนจะช่วยทำให้กิลเบิร์ตพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง แท้ที่จริงที่ลุดวิกต้องการคือ...การบอกรักงั้นหรือ?
ว่ากันตามตรงกิลเบิร์ตนึกไม่ออกว่าอดีตสามีเคยบอกรักเขาครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ เหมือนว่ามันนานมากแล้วจนจำไม่ได้ แม้เขามีความคิดเสมอมาว่าเมื่อเป็นสามีภรรยาก็ต้องมีความรักปรารถนาดีและความซื่อสัตย์แก่กัน แต่หากถามว่านั่นเป็นแบบเดียวกับสิ่งที่เรียกว่าคนรักหรือไม่นั้น...เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
ลุดวิกทำให้เขาหัวใจเต้นแปลกๆ ทำให้เขารู้สึกน้อยใจ ดีใจ และสับสนเหมือนคนงี่เง่า ทำให้เขาได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่สดใหม่หลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับเฟรเดอริค ตอนที่เฟรเดอริคขอแต่งงาน เขายังอายุน้อยมาก รู้แต่ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่จะดูแลเขา เป็นคนที่สำคัญ เพราะแบบนั้นไม่ว่าอะไรก็ให้ได้ทุกอย่าง นับประสาอะไรกับการแต่งงาน แต่ว่า นั่นเป็นแบบเดียวกับความรักของหนุ่มสาวหรือเปล่า?
เป็นแบบเดียวกับคำว่ารัก ที่ลุดวิกบอกกับเขาในคืนนั้นหรือเปล่า?
“นี่ คุณ เอ่อ รักอะไรฉันน่ะ ฉันน่ะขี้โวยวาย เจ้าเล่ห์ นิสัยไม่ดี มีความลับเยอะแยะปกปิดไม่ยอมบอกคุณ คบหาคนแปลกๆเพี้ยนๆ มีคดีติดตัวถึงขั้นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แถมยังเป็นคนที่เคยแต่งงานมาแล้ว อดีตอะไรก็จำไม่ได้ ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ ฉันคิดแทบตาย ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่าตัวฉันมีอะไรให้สมควรรัก” กิลเบิร์ตถามตรงไปตรงมา แม้เขาจะกลัวว่าลุดวิกยิ่งฟังก็จะยิ่งหงุดหงิดแล้วก็คิดได้จนทิ้งเขา แต่เขาก็ไม่ต้องการความสงสาร ไม่ต้องการแค่ความรับผิดชอบ “คุณเก็บฉันได้ คุณช่วยชีวิตฉัน คุณรับผิดชอบฉันถึงขนาดให้เป็นภรรยา แต่ว่า...”
“เพราะตอนนี้ฉันรู้ตัวแล้วว่ารักเธอ” พูดมาเสียยืดยาว แต่ลุดวิกกลับตอบสั้นอย่างยิ่ง สั้นจนกิลเบิร์ตอดโวยขึ้นมาอีกไม่ได้ เจ้ากระโถนใบนี้มันจะมักง่ายเกินไปแล้ว!
“เดี๋ยวสิ!”
“นี่กิล การรัก ไม่ต้องการเหตุผลมากมายปานนั้นหรอก” ลุดวิกตอบอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน วิสัยผู้ชายเช่นเขาย่อมไม่ใช่คนอ้อมค้อม เมื่อรู้สึกหึงหวงก็เข้าใจทันทีว่าตัวเองรักคนๆนี้เข้าแล้ว การพยายามปากหนักเล่นตัวไม่ใช่นิสัยที่ลูกผู้ชายคนจริงพึงกระทำ เขาไม่ต้องการสูญเสียสิ่งที่สำคัญไปเพียงเพราะตัวเองยึดถือศักดิ์ศรีไร้สาระ “แต่ถ้าหากเธออยากรู้ ฉันคิดว่า เพราะเธอน่ารักมาก”
“หา!” กิลเบิร์ตหน้าแดงขึ้นทันที อายุปูนนี้แล้วจู่ๆมีคนมาบอกว่าเขาน่ารักมาก อีแบบนี้จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง ดีที่ลุดวิกจับมือเขาไว้ไม่งั้นคงหงายหลังตกเก้าอี้ไปแล้ว “คนนะไม่ใช่แมว จะได้มาน่าร้งน่ารักอะไร!!”
ท่าทีแบบนั้นกลับทำให้ลุดวิกยิ่งหัวเราะใส่ เขาจูบขมับของกิลเบิร์ตเบาๆก่อนจะหยัดกายขึ้นบ้าง ดวงตาหวานซึ้งมองภรรยาที่ยังอยู่ในอาการงงงวยสุดกู่ แล้วก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ
“ตอนนี้เธอยังไม่พร้อมหรือไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ไว้ถึงตอนที่เธอต้องการพูด ฉันก็จะรอฟัง เพียงแต่ว่า ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปจากฉัน เข้าใจนะ” พูดคำพูดสุดแสนจะเผด็จการแต่กลับยิ้มเสียหวานเชื่อมโปรยเสน่ห์เป็นว่าเล่นจนกิลเบิร์ตรู้สึกว่าเขากำลังถูกผู้ชายคนนี้ยั่วยวนใส่ นี่ลุดวิกจนตรอกถึงขนาดต้องยั่วภรรยาตัวเองแล้วหรือ?
นี่ลุดวิก...ถึงขนาดยั่วเขาเลยเรอะ?
“เจ้ากระโถนเผด็จการ!”
นั่นแหละ ยังไงกิลเบิร์ตก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี
ทว่า ในตอนที่พวกเขากำลังโต้แย้งกันเล็กๆน้อยๆนั่นเองที่เบนจามินรุดขึ้นมาเคาะประตูห้อง ตรงจุดนี้กลับทำให้ทั้งลุดวิกและกิลเบิร์ตตกใจ แต่ไหนแต่ไรเบนจามินไม่เคยขึ้นมาก้าวก่ายห้องส่วนตัวของพวกเขา ทั้งนี่ก็ยังเช้ามาก ไม่มีสาเหตุอะไรเลยที่เบนจามินจะมาอยู่ที่นี่ หากจะมีนั่นย่อมต้องเป็นเรื่องสำคัญ แล้วต้องเป็นเรื่องสำคัญขนาดไหนกันเล่าที่ทำให้เขาต้องร้อนรนขนาดนี้
“เกิดอะไรขึ้น” ลุดวิกเปิดประตูห้องออกไปก็เห็นเบนจามินส่งเครื่องฉายภาพสามมิติขนาดเล็กให้เขา ลุดวิกรับมันมาและกดเปิดในทันที ภาพของนิโคลัสฉายขึ้นมา นี่เป็นการบันทึกภาพและเสียงเท่านั้น ตัวจริงไม่ได้ปรากฏอยู่ดังนั้นจึงไม่อาจโต้ตอบกันได้
ภาพสามมิติของนิโคลัสกำลังเริ่มต้นรายงาน
“เรียนฝ่าบาท เช้านี้พวกเราได้รับแจ้งข่าวร้ายมาจากเมืองโคล์ว เจ้าหน้าที่ที่นั่นรายงานว่า เมื่อคืน เจ้าชายอ๊อตโต้ได้ลงมือสังหาร เอ่อ...คาร์ล เออร์เนส ตอนนี้ คาร์ลเสียชีวิตแล้วครับ ท่านประธานรัฐสภาลูคัสกำลังรอปรึกษากับท่านอยู่ที่พระราชวัง”
สิ้นคำรายงานทุกคนที่อยู่ตรงนั้นถึงกับอึ้งไป ลุดวิกแทบไม่เชื่อหูว่าพี่ชายของเขาจะลงมือสังหารคาร์ลที่เป็นคนรักของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาร์ล หมอนั่น...เป็นเพื่อนของเขา
“ลุดวิก” กิลเบิร์ตเข้ามาประคองสามีจากด้านหลัง แม้ลุดวิกจะแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทั้งกิลเบิร์ตและเบนจามินทราบเรื่องราวของสองคนนี่ดี คาร์ลเป็นเพื่อนของลุดวิกตั้งแต่เด็ก พวกเขาแม้สุดท้ายทรยศหักหลังต่างจุดยืน แต่ลุดวิกย่อมไม่มีวันปรารถนาให้เพื่อนของตนเองตาย เขาคิดว่าอย่างน้อยการส่งคาร์ลไปอยู่กับเจ้าชายอ๊อตโต้ก็น่าจะทำให้คาร์ลพอใจในระดับหนึ่ง แต่ว่ากลับกลายเป็นว่าตอนนี้การตัดสินใจของเขา คือสิ่งที่ฆ่าคาร์ลงั้นรึ?
เขา...ฆ่าคาร์ลงั้นหรือ
“ฉัน เอ่อ ไม่เป็นไร” ลุดวิกตอบเบาๆ พลางสั่งให้เบนจามินไปเตรียมคนขับรถ เช้านี้เขารู้ตัวว่าตนเองมีสภาพจิตไม่พร้อม เขาต้องการคนขับไปส่งเขากับกิลเบิร์ตที่พระราชวัง เบนจามินแม้จะห่วงเจ้านายแต่ก็รู้ว่าไม่อยู่ในสถานะที่จะปลอบได้จึงได้แต่ขอตัว
สุดท้ายเหลือแต่กิลเบิร์ตที่ยังกอดแขนลุดวิกไว้แน่น กิลเบิร์ตมีเพื่อนรัก และเขารู้ดีว่าหากต้องสูญเสียเพื่อนสนิทไปมันจะเจ็บปวดแค่ไหน ยิ่งคนๆนั้นสำหรับลุดวิกแทบจะถือเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวด้วย
“นี่ นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณนะ” กิลเบิร์ตเอ่ยขึ้นยามที่ได้เห็นสีหน้าซีดเผือดของลุดวิก สีหน้าเช่นนี้ไม่มีทางบอกว่ารู้สึกดีไปได้ แน่นอนว่าคำพูดนั้นทำให้สามีของเขาสะดุ้งเล็กน้อยราวกับถูกอ่านความนัยใจ “คุณปรารถนาดีกับคาร์ล คุณทำเพื่อเขา ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเป็นแบบนี้”
ลุดวิกยังไม่ตอบอะไร เขาเพียงแต่ใช้มือลูบศีรษะของกิลเบิร์ตและจูบเบาๆที่ขมับ คำพูดของคนที่เขารักในยามที่ทุกสิ่งกำลังสับสน นี่ช่างเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจโดยแท้ แต่กระนั้นลุดวิกกลับไม่คิดจะแสดงความอ่อนแอออกมา แน่ล่ะ เขาเสียใจเรื่องคาร์ล แต่ยามนี้เขาทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ต่อให้ร้องไห้ให้กับการกระทำที่ผ่านไปแล้วของตนเอง คาร์ลก็ไม่ฟื้นขึ้นมา สิ่งที่จำเป็นยามนี้คือสืบสาวราวเรื่องที่มาของโศกนาฏกรรมนี้ต่างหาก เกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่ชายเขาต้องฆ่าคนรักของตัวเอง ฆ่าคนที่ทรยศ
ทุกสิ่งเพื่อตัวเอง!
“คืนนี้ฉันอาจต้องไปโคล์ว และอาจต้องพักที่นั่น ฉันจะให้พวกเอสเปอร์มาดูแลเธอ ถ้ายังไงเธอไปพักที่วังกับอัยการบิลลี่ดีกว่านะ” ลุดวิกแนะนำเช่นนั้น เหตุเพราะหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เกิดกระแสข่าวลือเรื่องพฤติกรรมเสียหายของกิลเบิร์ต มีคนเอาใบปลิวไปแจกจ่ายกล่าวหาเขาหลายอย่างซึ่งก็เป็นเรื่องเดิมๆ แต่เพราะคราวนี้มีเรื่องของวิลเลียมเข้ามาพัวพันจึงทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นเป็นวงกว้าง
จากเรื่องที่เกิดขึ้น พวกขุนนางที่เคยถือหางเจ้าชายอ๊อตโต้ไม่มีทางเป็นผู้บริสุทธิ์ สายข่าวของนิโคลัสรายงานว่าพวกนี้เองที่อยู่เบื้องหลังการกระพือข่าวลือร้ายกาจให้ร้ายกิลเบิร์ต และเชื่อว่าพวกเขาลักลอบติดต่อกับพวกเจ้าชายอ๊อตโต้กับตระกูลเกอเจ้นที่โคล์ว เพื่อจะสร้างสถานการณ์ให้เกิดการรัฐประหาร หรือไม่ก็ให้ลุดวิกปลดกิลเบิร์ตจากตำแหน่งภรรยาเอก
ในขณะที่กำลังมีข่าวลือแบบนี้ เจ้าชายชายอ๊อตโต้กลับสังหารคาร์ล ไม่ต้องคิดมากก็รู้ว่าต้องเกี่ยวพันกันไม่มากก็น้อย และย่อมเป็นเหตุผลที่ดีที่จะชักจูงให้พวกลุดวิกต้องออกจากเมืองหลวงเพื่อสืบสวนการฆาตกรรมของอดีตเชื้อพระวงศ์ ทั้งลุดวิกในฐานะราชา ทั้งลูคัสในฐานะประธานรัฐสภา ทั้งนิโคลัสที่เป็นนายพลของกองทัพเวลานี้ งั้นแล้วคนที่มีอำนาจสูงสุดในเมืองหลวงตอนนี้ กลับกลายเป็นกิลเบิร์ตในฐานะชายางั้นหรือ?
เรื่องนี้มีลับลมคมนัยแล้ว
“พาพวกเอสเปอร์ไปด้วยเถอะ ฉันสังหรณ์ใจไม่ดี ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อคุณ แต่ฉันยังมีฟินน์กับเฟรเซีย มีบิลลี่กับวิลเลียม พวกเขาทกคนพึ่งพาได้นะ คุณต้องเดินทาง มันอันตราย” กิลเบิร์ตเกาะแขนสามีแน่นพลางเงยหน้าจ้องอีกฝ่ายเอ่ยเต็มปากเต็มคำ เขาเองก็มองสถานการณ์ได้ปรุโปร่งเช่นกัน เพียงแต่ว่าเขาย่อมห่วงใยความปลอดภัยของลุดวิกยิ่งกว่าตัวเอง สำหรับตัวเขานั้นการได้ชื่อว่าเป็นเอสเปอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นข้ออ้างที่ดีที่จะทำให้ลุดวิกยอมจำนน “อย่าลืมว่า ฉันเก่งมากนะ เก่งสุดๆไปเลย แล้วก็นี่สำคัญมาก หากคุณเป็นอะไรไป อาทีเรียก็จบสิ้นกันพอดี”
“หากเธอเป็นอะไรไป ฉันก็จบสิ้นเช่นกัน”
“!” กิลเบิร์ตแทบไม่เชื่อหูว่าอีกฝ่ายจะยังเอ่ยอะไรหวานแบบนี้ในช่วงเวลาน่าสิ่วน่าขวาน หากแต่นัยน์ตาอ่อนโยนของลุดวิกย่อมไม่โกหก เขามีความหมายเช่นที่พูดจริงๆ นี่ไม่ใช่แค่คำหวานหู แต่เป็นความจริงใจ “ฉัน เอ่อ...”
“ฉันเชื่อเธอ และจะทำตามที่เธอขอ แต่เธอก็ต้องดูแลตัวเองมากๆด้วย เข้าใจไหม” กอดภรรยาเข้ามาแนบอกและวอนขอ เขาไม่อาจพูดได้ว่าอยากให้กิลเบิร์ตไปด้วยกัน เพราะถ้าทำแบบนั้นกิลเบิร์ตมีแต่จะปฏิเสธ เวลาแบบนี้จะให้ทิ้งเมืองหลวงไปกันหมด นั่นย่อมเป็นความคิดของคนโง่โดยแท้
และภรรยาของเขาย่อมไม่ใช่คนโง่ ทั้งยังไม่ใช่คนอ่อนแอ
เช้านั้นกิลเบิร์ตเดินทางไปที่พระราชวังพร้อมกับลุดวิก หลังจากการประชุมที่ตึงเครียดพอตกช่วงสายลุดวิกพร้อมกับลูคัสและนิโคลัสก็จำต้องออกเดินทางไปโคล์วพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่ง ส่วนกิลเบิร์ตได้รับมอบหมายให้ดูแลพระราชวังและนครหลวง เขาในตอนนี้กลับพบว่าตัวเองเข้าสู่สถานการณ์หนักอึ้งอีกครั้ง
“ดวงของนายนี่มีเคราะห์เพราะสามีจริงๆนะ” เจ้าของวาทะน่ารำคาญนั่นจะเป็นใครไปได้หากไม่วิลเลียมที่กำลังนั่งดื่มชาพลางประมูลราคาสินค้าไปด้วย
พวกเขาสามคน กิลเบิร์ต บิลลี่ และวิลเลียม ตอนนี้นั่งอยู่ในห้องรับรองส่วนตัวในวัง ส่วนบรรดาคนรับใช้นั้นหากไม่ได้รับอนุญาตย่อมห้ามเข้ามาโดยเด็ดขาด
“ฉันมีเคราะห์เพราะนายต่างหาก!” กิลเบิร์ตกอดอกปรายตามองเพื่อนรักอย่างชังน้ำหน้า ตอนนี้วิลเลียมเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าแบบปกติของอาทีเรีย เป็นชุดสูทหางยาวสีดำตามธรรมเนียม ไม่อาจปฏิเสธว่าเขาดูหล่อเหลารูปงามจนทั้งหญิงทั้งชายมองกันเป็นตาเดียว แต่นั่นจะไม่วุ่นวายเลยหากในวันแรกที่มาถึงวิลเลียมจะไม่ใส่ไฟจนเขาเดือดร้อนไปด้วย
“แต่นั่นก็ทำให้คุณสามีคนใหม่ยอมบอกรักนายนะ ฉันถือว่าฉันทำความชอบหรอก” วิลเลียมบอก อันที่จริงเช้าวันที่สองที่เกิดเรื่อง กิลเบิร์ตก็มาชี้หน้าด่าเขาแล้ว แต่พอซักไปซักมากลับได้ความว่าคุณสามีนั้นหึงหวงจัด และจบลงที่การบอกรักในค่ำคืนที่สุดจะเร่าร้อน “ถ้าไม่หึงเลยสักนิด ฉันก็คิดจะพานายกลับไปด้วยกันทันทีนั่นแหละ”
“!”
“ผู้ชายที่ไม่หือไม่อือกับคนที่มาก้อร่อก้อติกภรรยาตัวเอง แล้วยังไม่ปกป้องภรรยาตัวเองหากถูกใส่ร้าย ผู้ชายพรรค์นั้นสมควรถูกเขี่ยทิ้งได้แล้ว” เขาเอ่ยต่อ คำพูดนั่นชัดเจนว่าที่จริงแล้วหมายความว่าอย่างไร
ต่อให้เป็นคนที่หัวช้าเรื่องรักๆใคร่ๆแบบบิลลี่ยังเข้าใจได้ว่าเจตนาที่แท้จริงของวิลเลียมคืออะไร ตั้งแต่ที่วิลเลียมได้ยินข่าวเรื่องการหย่าของกิลเบิร์ตกับเฟรเดอริค และการที่เฟรเดอริคไม่ปกป้องภรรยาของตนเองที่ถูกว่าร้ายต่างๆนาๆ วิลเลียมก็นึกแช่งชักหักกระดูกคนที่ทำให้เพื่อนของเขาต้องสิ้นเนื้อประดาตัวขนาดนั้นอยู่แล้ว แต่พอกิลเบิร์ตติดต่อไปว่าเขาโชคดีมีคนเก็บได้แล้วรับเป็นภรรยา จนตอนนี้เป็นชายาของกษัตริย์แห่งอาทีเรีย เขาก็นึกสงสัย ผู้ชายคนใหม่ของกิลเบิร์ตจะเป็นแบบไอ้งั่งเฟรเดอริคหรือเปล่า กิลเบิร์ตจะตาถั่วเสียตัวให้ผู้ชายแล้งน้ำใจอีกหรือไม่ เพื่อนของเขาจะถูกหลอกจนสิ้นไร้ไม้ตอกอีกงั้นหรือ!
พอยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ดังนั้นพอได้โอกาสมาอาทีเรีย เขาจึงเจตนายั่วให้ลุดวิกมีปฏิกิริยา
หรือหากหึงแล้วทำตัวไร้สาระเป็นไอ้งั่ง เขาก็จะลักพาตัวกิลเบิร์ตกลับไปไกเซอร์!
“นายนี่ คิดมากจริงๆ” กิลเบิร์ตบอกพลางตบบ่าเพื่อนตัวเอง ถึงตอนนี้เขาเข้าใจความปรารถนาดีของวิลเลียมแล้ว คนๆนี้ก็ยังเหมือนเดิม คิดเพื่อคนอื่น ทำเพื่อคนอื่น ไม่สิ คำว่าคนอื่นที่ว่านั่นมีความหมายเฉพาะเจาะจงเฉพาะคนที่หมอนี่รักเท่านั้น เคราะห์ดีที่เขากับบิลลี่ได้รับความรักเหลือเฟือจากเจ้าคนใจร้ายคนนี้ “ตอนนี้ฉันสบายดีมากนะ ฉัน เอ่อ...คิดว่าทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม” อย่างน้อยลุดวิก...คงไม่เบื่อเขาเร็วเกินไปใช่ไหม
“มันไม่ควรจะเหมือนเดิม” วิลเลียมเอ่ยพลางยืดแขนรั้งเพื่อนเข้ามากอดใกล้ๆพลางลูบที่ด้านหลังของศีรษะ ท่าทีรักใคร่เอ็นดูจนบิลลี่นั้นรู้สึกว่าเพื่อนสองคนนี่ออกจะแสดงความรักกันมากเกินไปหน่อย เกิดใครเห็นเข้าเดี๋ยวก็ซวยหรอกหนา!
สุดท้ายบิลลี่เป็นฝ่ายจับแยกสองคนนั่นออกจากกัน ปากพร่ำพูดเหตุผลร้อยแปดพันเก้า แน่ล่ะท่าทีของสองคนนี่ทำให้เขานึกถึงตอนที่กิลเบิร์ตเลียหน้าเขาจนได้เรื่อง!
“เดี๋ยวสามีหมอนี่กลับมาก็โวยอีกหรอก นายนี่ทำอะไรประเจิดประเจ้อ!” บิลลี่โวยใส่วิลเลียมที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ส่วนวิลเลียมแสยะยิ้มปรายตามองบิลลี่ราวกับจะบอกเป็นนัยๆว่าฉันรู้หรอกนะว่านายปิดอะไรไว้เป็นความลับ
“เจ้าหนุ่มเวอร์จิ้นคิดมากไปแล้ว ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่านายอยู่รอดปลอดภัยมาป่านนี้โดยยังบริสุทธิ์ผุดผ่องได้ยังไง ว่าไง ตำแหน่งข้างๆฉันยังว่างนะ” ขยิบตาเจ้าเล่ห์แล้วคลอเคลียที่ต้นคออีกฝ่ายจนบิลลี่หูแดงหน้าแดงไปหมด
“ตำแหน่งบ้าอะไรเล่า! ฉันรู้นะว่าคนอย่างนายไม่จริงใจกับใครหรอก! ไม่ใช่เพราะแบบนี้เรอะคนในฮาเร็มของนายถึงได้คบชู้น่ะ แล้วนี่ตั้งแต่พ่อนายตาย นายหาคนเข้าฮาเร็มมาอีกกี่คนกัน เจ้าคนหลายใจ!” ด่าไปเป็นชุดหวังจะให้เจ้าคนบ้านี่คิดอะไรได้บ้าง แต่วิลเลียมกลับเอียงคอแสยะยิ้มตอบเรียบๆ
“ไม่มี”
“หะ!!” ดูเหมือนไม่ใช่แค่บิลลี่ แม้แต่กิลเบิร์ตที่พยายามเป็นผู้ฟังที่ดียังตกใจ คนชื่อเสียงเลวร้ายขนาดนี้กล้าบอกว่าไม่ได้รับคนเข้าฮาเร็ม อีแบบนี้คิดได้อย่างเดียวว่า...
ฟันแล้วทิ้งงั้นเรอะ!!
“นายนี่มัน เกินเยียวยา” กิลเบิร์ตอดพูดขึ้นมาไม่ได้ เขารู้สึกว่าหากเทียบมาตรฐานสุดโต่งแบบนี้ กับแค่นอนกับผู้ชายคนใหม่หลังหย่าสามวันเช่นเขาไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย “คนที่นายทิ้งไม่ช้ำใจแย่เรอะ”
“ทุกคนก็แค่คิดว่าฉันมีเสน่ห์ไงล่ะ ไม่ก็เงินทองที่ล่อหูล่อตา มันก็เท่านั้นแหละ” วิลเลียมตอบพลางแค่นยิ้ม คำพูดนั่นทำเอาทั้งบิลลี่กับกิลเบิร์ตชะงักไปเล็กน้อย ความหมายของการพูดเช่นนี้ก็คือแม้จะมีความสัมพันธ์กับใครสักกี่คนวิลเลียมก็ไม่รู้สึกว่านี่เป็นความสัมพันธ์ที่ดีพอและควรหยุด ทั้งที่มีคนมากมายรายล้อม แต่ที่จริงแล้วทุกสิ่งล้วนว่างเปล่า “เอาเถอะ แค่ไม่ต้องนอนคนเดียวก็พอแล้ว”
แค่ไม่ต้องนอนคนเดียว...
“แล้วสัปดาห์นี้นายนอนคนเดียวได้ยังไง?” กิลเบิร์ตถามต่อ เขาย่อมรู้ว่าวิลเลียมมีโรคประจำตัวที่ไม่เคยหายขาด เขาเป็นโรคนอนไม่หลับ และอาการนี้จะหายไปเมื่อมีคนนอนข้างๆเขา ในสายตาของวิลเลียมคนในฮาเร็มพวกนั้นจึงเป็นของที่แค่ใช้เพื่อให้นอนหลับ เขาไม่เคยคิดจะมีสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่ของตนเอง แต่แม้เป็นคนของเขาเองที่หามาเอง เขาก็ไม่มีความคิดที่จะหยุดอยู่นาน
ในโลกของคนๆนี้ ทุกสิ่งล้วนกลวงเปล่า
“ว่าไง นายนอนยังไง” บิลลี่ช่วยถามย้ำ เขาย่อมกลัวว่าคำตอบจะกลายเป็นว่าหมอนี่ไม่ได้นอนมาเจ็ดวันแล้ว ดูใต้ตาที่ดำคล้ำนิดๆนั่นสิ!
ทว่า
“กินยานอนหลับสิ เรื่องง่ายๆ” แค่นยิ้มอีกรอบพลางหัวเราะอย่างเย็นชาใส่ตัวเอง
สำหรับเขาหากไม่มีคนนอนด้วยย่อมนอนไม่หลับ แต่ถ้านอนไม่หลับแล้วควรทำยังไง?
ก็กินยานอนหลับเสียสิ!
ในตอนนั้นเองที่มีเสียงคนเคาะประตูห้อง ที่แท้เป็นฟินน์ที่ถือกล่องเครื่องเพชรเข้ามาให้เลือกตามคำสั่ง เขายิ้มแย้มให้กับกิลเบิร์ตกับบิลลี่ แต่พอมองไปยังวิลเลียมสีหน้ากลับขมึงทึงราวกับโกรธเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อน ช่วยไม่ได้ก็สำหรับเขาแล้ว หมอนี่คือมนุษย์ต่างดาวชั่วร้ายที่เกือบทำให้ชีวิตครอบครัวของผู้มีพระคุณแตกแยก เจ้าคนที่เขาแช่งชักหักกระดูกอาฆาตไว้ตั้งแต่คืนแรกที่หมอนี่มาปรากฏตัว ทั้งหลายวันมานี้ได้ข่าวว่าหมอนี่เที่ยวยิ้มยั่วยวนคนไปทั่ว ทั้งยังเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดข่าวลือเสียหายกับกิลเบิร์ต เขาจึงยิ่งเกลียดมากขึ้น!
ดวงตาประสานดวงตา ฉันใดฉันนั้น วิลเลียมก็รู้สึกว่าเจ้าหนูตรงหน้านี่กำลังมองเขาด้วยสายตาหยามเหยียมไม่เป็นมิตร ดูท่าทางแก่แดดเกินวัย หลายวันที่ผ่านมาหากเดินสวนกันหรือหากไม่มีกิลเบิร์ตกับบิลลี่นั่งอยู่ด้วย เจ้าหนูนี่ก็จะสะบัดหน้าไม่สนใจ ส่งสายตาชิงชัง เด็กเปรตแบบนี้...ไม่น่ารักสักนิด
สมควรเอาไปโยนให้จระเข้ในบ่อที่บ้านกิน!
“คุณกิลเบิร์ตผมเอาของมาให้แล้วครับ” ฟินน์ปรี่ไปหาผู้ปกครองโดยเมินใส่วิลเลียมโดยสิ้นเชิง ในขณะที่กิลเบิร์ตรู้สึกเหมือนความกดอากาศเพิ่มขึ้นเท่าตัวในพริบตา เขากำลังสงสัยว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่บิลลี่กลับใช้นิ้วจิ้มๆสะกิดเขาด้วยท่าทางหนาวจัดเช่นกัน
“ขอบคุณนะฟินน์ ช่วยหยิบแจกันตรงนั้นให้วิลเลียมหน่อยสิ” กิลเบิร์ตตอบพลางนึกอยากทดสอบสมมติฐาน พอสั่งแบบนั้นฟินน์ก็เหมือนเลี่ยงไม่ได้ จำยอมต้องเอาแจกันลายดอกไม้ยื่นส่งให้กับแขก แต่ครั้นจะส่งให้แบบปกติ เขากลับหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างเอาเรื่อง แต่ไม่ยอมพูดสักคำ
ส่วนวิลเลียมมองหน้าเจ้าหนูตรงหน้าแล้วก็นึกรำคาญใจ ใช่แล้ว เด็กแบบนี้สมควรจะโดนสั่งสอนเสียบ้าง
และวินาทีนั้นเองที่วิลเลียมแกล้งรับแจกันพลาด แจกันลายดอกราคามหาศาลพลันร่วงตกจากมือ ฟินน์ปากอ้าตาค้างทำอะไรไม่ถูก แต่บิลลี่กลับไวที่สุดพุ่งเข้าไปรับไว้ได้อย่างฉิวเฉียด แต่ก็ทำเอาฟินน์ทรุดลงกับพื้น ใครที่มีตาย่อมเห็นได้ว่าวิลเลียมเจตนาแกล้ง!
“ซุ่มซ่ามจริงนะเจ้าหนู แบบนี้คงทำงานพลาดบ่อยล่ะสิ นี่กิลเบิร์ตเลี้ยงเด็กแบบนี้ไว้ไม่เปลืองข้าวสุกแย่หรือไง” วิลเลียมได้ทีแสยะยิ้มชี้นิ้วพิพากษ์วิจารณ์ ส่วนฟินน์กลับหน้าแดงก่ำ เขาย่อมรู้ดีว่าคนๆนี้เจตนากลั่นแกล้งเขา
“คุณ คุณเจตนา...” ฟินน์เงยหน้าถาม แต่วิลเลียมกลับยิ้มแสยะแสร้งเพิกเฉยโดยสิ้นเชิง
“แค่งานง่ายๆยังทำไม่ได้ ไร้ประโยชน์จริงๆเลยนะ”
ฟินน์กัดฟันกรอด วินาทีนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาอยากชกหน้าใครบางคนมากถึงขนาดนี้ มากยิ่งกว่าพ่อแม่ ยิ่งกว่าพวกตระกูลเกอเจ้น หรือโจรสลัดเฮงซวย ก็คือเจ้าคนนิสัยไม่ดีคนนี้!
“คนสารเลว!”
หะ!!!!
ทันทีที่คำหยาบหลุดจากปากฟินน์ กิลเบิร์ตกับบิลลี่สะดุ้งเฮือก เจ้าเด็กน้อยใสซื่อของพวกเขาถึงกับหลุดสบถคำด่าว่าหยาบคายแบบนี้ออกมาเลยรึ!
“คนแบบคุณมันแย่ที่สุด! ทำให้สามีภรรยาทะเลาะกัน! เห็นคนเป็นข้าทาส! นิสัยเจ้าชู้เสื่อมทรามผิดศีลธรรม! คนอย่างคุณมันไม่สมควรเป็นเพื่อนของคุณกิลเบิร์ต!!!” ฟินน์โพล่งด่าอย่างจัดเต็มหน้าตาแดงก่ำก่อนจะรีบหันหลังวิ่งออกไปจากห้องท่ามกลางสายตาของผู้ปกครองและสหาย
แน่ล่ะว่ากิลเบิร์ตย่อมพยายามต้องแก้ตัวให้ลูกชายคนนี้ แต่นึกไม่ถึงว่าวิลเลียมกลับส่งสายตาดุร้ายไล่หลังฟินน์ ท่าทีไม่เป็นมิตรเช่นกัน
“เด็กคนนี้ไม่น่ารักเลย” วิลเลียมว่า แต่กิลเบิร์ตกลับต้องทอดถอนใจ
“ไม่ใช่เด็ก เขาอายุยี่สิบแล้วแต่มีปัญหาทำให้โตได้แค่นั้น นายก็อย่าทำร้ายเขาเลยน่ะ ฟินน์มีปัญหาชีวิตมากพอแล้ว” อันที่จริงก็คือแค่พัฒนาการของตัวเองยังไปไม่รอดเลย ตอนนี้มาเจอผู้ใหญ่นิสัยเสียแบบนี้อีกช่างน่าสงสาร
“มีคุณพ่อสปอยขนาดนี้ โตไปเสียนิสัยหมด เด็กแบบนี้สมควรเฆี่ยนให้หนังลาย” อีกฝ่ายเถียงอย่างเย็นชาไร้ความเมตตาการุณอย่างที่สุด
“วิลเลียม!”
“ช่วยไม่ได้ ฉันไม่ชอบเด็กพรรค์นั้น” นั่นก็คือคำตอบ
สรุป นายไม่ชอบฉัน ฉันก็เกลียดนาย ก็ถือว่าลงตัวดี กิลเบิร์ตได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ทอดถอนใจและสาบานว่าจะเอาสองคนนี่อยู่ให้ห่างกันมากที่สุด
ขอแค่ไม่ต้องเจอหน้ากัน ก็น่าจะพอล่ะมั้ง?
ในคืนนั้นเองกิลเบิร์ตรับฟังรายงานจากทหารรักษาการณ์ในเมืองหลวง จวบจนแน่ใจว่าสถานการณ์ทุกอย่างน่าจะปกติดี เขาจึงคิดที่จะเข้านอน ทว่า ณ เวลาเที่ยงคืนตรง เสียงสัญญาณเตือนภัยกลับดังขึ้นทั่วพระราชวัง!
จบตอน