ตอนที่27
เจ้ามันตี้สมควรได้รับรางวัลโนเบล สาขาสัตว์เลี้ยงดีเด่น
ใช้ศาสตร์มืดพาเข้าห้วงฝันอเวจี กางอาคม ร่ายเวทรักษา เช็ดตัว เปลี่ยนผ้าปูที่นอน ใด ๆทั้งหมดล้วนจัดการได้อย่างไร้ที่ติ
“จะกลับห้องไหม”เจ้ามันตี้ถามผมหลังจากมันเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและเตรียมชุดใหม่ให้ผมกับท่านเอเทมเปลี่ยนเสร็จเรียบร้อย มันคงเห็นผมเกาะท่านเอเทมหนึบจึงถามไปอย่างนั้นเอง เจ้าก้อนฟู ๆสะบัดหางออกไปก่อนที่ผมจะตอบอะไร ดังนั้นภายในห้องจึงเหลือแค่ผมกับท่านเอเทมเท่านั้น
เนื่องจากได้รับเวทรักษาจากผมและสัตว์เลี้ยงของผมไปเล็กน้อย บัดนี้ท่านเอเทมจึงกระปรี้กระเปร่าลุกขึ้นมานั่งหน้านิ่งทอดสายตามองผมที่นอนแหงแก๋เป็นผักต้มอยู่ข้าง ๆ
“นอนสิท่าน”ผมเอามือตบ ๆบนที่นอนเพราะไม่อยากโดนเขามองนานนัก
“นอนมาสามวันแล้ว”
ผมเม้มปากเป็นเส้นตรงเมื่อได้ยินเขาตอบเช่นนั้น ความจริงผมอยากถามเรื่องเมื่อครู่ว่าเขาทำอะไรผิดถึงต้องมาขอโทษผมแต่เพราะเมื่อกี๊เจ้ามันตี้เข้ามาขัดจังหวะก่อนบทสนทนาของพวกเราจึงชะงักไป
“ในฝันนั่นเจ้าเห็นอะไรบ้าง”ท่านเอเทมถาม นี่ไม่ใช่การถามไถ่ตามมารยาทแต่เป็นการสอบปากคำชนิดหนึ่ง
“ก็ ทั่ว ๆไป เพราะข้าต้องอยู่ในโลกนี้ลำพัง ในฝันคนรอบตัวผมเลยหายไปหมด วิ่งไปวิ่งมาบนเรืออยู่คนเดียว”ผมเลือกที่จะเล่าแค่ตอนต้นของฝัน ผมไม่กล้าพูดถึงเรื่องซอมบี้ฝูงนั้นเพราะคิดว่ามันเป็นความฝันส่วนของดาร์กลอร์ด
“มีคนใช้เวทสิงร่างลูคัส ข้าเดาว่าเป็นคนของลัทธิหนึ่งเหมันต์”
!!?
“เจ้าเคยได้ยินหรือ”เสียงทุ้มถามเพราะเห็นผมทำสีหน้าตกใจ
“เอ้อ...”ผมเอ่ยอ้อมแอ้ม สมองพยามใคร่ครวญหาข้อแก้ตัว ทว่าในระยะเวลาสั้น ๆมิหนำซ้ำยังโดนสายตาคมกริบจับจ้องอยู่ทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าสมควรสารภาพเรื่องที่โดนทาบทามเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มได้หรือไม่
กระทั่งผมกำลังจะจนมุมท่านเอเทมกลับเอ่ยขึ้นมาแทน”ลัทธินี้เป็นหนึ่งในลัทธินอกรีต งานหลักคือฝึกวิชาต้องห้าม งานรองคือรับจ้างทำงานผิดกฎหมาย แต่เดิมเป็นแค่กลุ่มคนกลุ่มเล็ก ๆ แต่เพราะเกิดเรื่องของดาร์กลอร์ดทำให้มีมีคนหันเข้าหาศาสตร์มืดมากขึ้น จากลัทธิเล็ก ๆบัดนี้ขยายรากฐานใหญ่โต”
“แม้แต่ท่านก็ปราบปรามไม่ได้หรือ”
“พวกมันอยู่ในที่ลับ ข้าอยู่ในที่แจ้ง ทางการเคลื่อนไหวไปทางซ้ายพวกมันวิ่งหนีไปทางขวา จับได้แค่พวกปลายแถวสุดท้ายลัทธิยิ่งเพิ่มพูนขุนกำลัง”
“อา...นั่นร้ายกาจมากทีเดียว”ผมไม่รู้จะกล่าวอะไรได้อีก เมื่อทราบว่าเจ้าลัทธินี้เกี่ยวพันกับศาสตร์มืด หากบอกออกไปตรง ๆว่าพวกมันปลอมตัวเป็นท่านลูคัสเพราะอยากมาหยั่งเชิงผมว่าผมครอบครองพลังอันมหาศาลของดาร์กลอร์ดอยู่หรือไม่ และพวกมันยังเชื้อเชิญผมเข้าร่วมแกงค์อีก
แบบนี้ก็ไม่ต้องไปทำมันแล้ว ภารกิจทางเหนืออะไร กลับไปรับโทษประหารเลยดีหว่า
เอ๊ะ หรือว่าจะอาศัยจังหวะที่ท่านเอเทมอ่อนแอชิ่งหนีดี
อ่อนแองั้นเหรอ เหอ ๆ เท่าที่ดูด้วยสายตาแม้ท่านเอเทมจะบาดเจ็บภายในหนักกว่าแต่อย่างไรฝ่ายที่อ่อนแอกว่าก็ยังเป็นผมอยู่ดี
ผมนอนเปื่อยเป็นผักต้ม หนังตาจะปิดแหล่มิปิดแหล่ในขณะที่เขานั่งหน้าเครียดซักถามนู่นนี่ไม่เลิกรา
“ก่อนหน้านี้ มันติคอร์ให้ข้าทำข้อแลกเปลี่ยน เพื่อส่งข้าเข้าไปในห้วงฝันแลกกับไม่เปิดโปงตัวจริงของมัน”
“ครับ...”ผมตอบเสียงจ๋อย ไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว
“ข้าเองก็มีข้อแลกเปลี่ยน อยากให้เจ้าช่วยตกลง”
“เห...”ผมเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตาสีฟ้าของท่านเอเทมยังคงไม่ละไปจากผมทว่าแววตาคู่นั้นกลับฉายแววลำบากใจ
“หลังสิ้นสุดภารกิจที่ชายแดน ข้าจะปล่อยเจ้าไป”
!!?
“ข้อแม้ก็คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามยุ่งเกี่ยวกับศาสตร์มืดเด็ดขาด”
“...”
“การันต์ เจ้าทำได้ไหม”
“...”
เราสองคนจ้องตากันอยู่เนิ่นนาน
“ได้”สุดท้ายผมก็ควานหาสติพบ”ข้าสัญญา จะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
หลังจากตกลงสัญญาใจกันเรียบร้อยผมกับท่านเอเทมก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก ผมไม่กล้าถามว่าทำไมเขาถึงใจดีกับผมขนาดนี้และเขาเองก็ไม่ซักไซร้เอาความเรื่องดาร์กลอร์ดกับผมอีก พวกเราเริ่มง่วงจึงปิดไฟนอน
ในขณะที่ผมกำลังจะหลับไปเพราะร่างกายอ่อนล้าเกินทน คนที่นอนอยู่ข้าง ๆก็หันมาสวมกอดผมเอาไว้ เป็นเพียงอ้อมกอดหลวม ๆแต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยอย่างน่าประหลาด
“ท่านเอเทม...”
“หืม?”
“อยากอยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้จัง”ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาหาผมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทั้ง ๆที่ผมควรจะดีใจตอนที่อีกฝ่ายบอกให้ผมหนีไปโดยมีแค่สัญญาใจว่าห้ามใช้ศาสตร์ต้องห้าม แต่ผมกลับรู้สึกเหงาจนน้ำตาแทบไหล
“เจ้าต้องเข็มแข็งนะ”เหมือนเขากำลังสอนผมอย่างทุกครั้ง เวลาที่ผมใช้เวทไม่ได้แล้วเริ่มงอแงเขามักจะพร่ำบอกให้ผมเข้มแข็ง พยามพูดให้ผมยืนหยัดด้วยตัวเอง แต่ผมรู้ดีว่ามันยากเกินไป หากเป็นที่กรุงเทพล่ะก็ผมใช้ชีวิตอยู่คนเดียวได้สบายมากนะ หรือแม้แต่ที่อัสโตเรียผมก็อยู่ได้เพราะผมอยู่มาให้เห็นแล้วตั้งครึ่งปี
แต่ผมอยู่โดยที่ต้องวิ่งหนีการตามจับหัวซุกหัวซุน ย้ายแหล่งกบดานไปเรื่อย ๆ มีคนจ้องจะเอาชีวิตตลอดเวลา เพื่อนสักคนก็มีไม่ได้ตลอดชีวิตไม่ได้หรอก
“ฮึก...”น้ำตาของผมหยดแหมะ ๆ มันคงไหลไปโดนหลังมือของคนที่กอดผมเอาไว้ด้วยดังนั้นท่านเอเทมจึงกอดผมแน่นขึ้น
“การันต์ ข้าขอโทษ”
“ท่านขอโทษเรื่องอะไร ตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว”
“...”อัศวินดำเลือกที่จะเงียบและกอดผมให้แน่นขึ้น เขาฝังใบหน้าลงมาตรงซอกคอของผมชวนให้รู้สึกจั๊กจี๋และสยิวพิลึก แต่ไม่นานผมก็ผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น
ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าพระอาทิตย์สาดแสงแรงกล้าทะลุม่านเข้ามาแล้ว และคนที่เข้านอนข้างกันเมื่อคืนก็ไม่อยู่แล้ว เหลือแค่เจ้ามันตี้ที่ยืนเลียขนตัวเองอยู่ข้างเตียง
“ตื่นได้สักที อย่ามัวโอ้เอ้ พวกเราใกล้ถึงแล้ว ข้าจะมาบอกเจ้าว่าข้าจะขอลงไปสำรวจพื้นที่ข้างล่างนั่นก่อน เตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เจ้าอัศวินดำนั่นคิดจะจับเจ้าเมื่อไหร่ข้าจะได้พาเจ้าหนีไปโรมานอสซาร์ทัน”
“อื้ม ได้ ๆ”ผมพูดเสียงหงอย คำว่าหนีสำหรับผมฟังแล้วชวนสะเทือนใจมากกว่าคำว่าตายเสียอีก
บางทีผมก็คิดนะว่าพอตายเรื่องทุกอย่างก็จบ ตรงข้ามกับการอยู่อย่างทรมานเหมือนตายทั้งเป็น
โชคดีที่เจ้ามันตี้ไม่ได้ติดใจสงสัยสีหน้าอันหดหู่ของผม มันแค่พยักหน้าก่อนกระโดดออกจากหน้าต่างห้องนอนของท่านเอเทมไปทั้งอย่างนี้
ผมเองก็เดินกลับห้องตัวเองเพื่อไปเปลี่ยนชุด เมื่อคืนได้สติแบบปุบปับหลังจากเกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนั้นผมจึงไม่ทันสังเกตุว่าอากาศรอบตัวหนาวเย็นจนขนลุกซู่ ผมเดินกอดอกงอตัวกลับมาที่ห้องของตัวเองก็พบว่าลันเทียกำลังนั่งหลับคอพับคออ่อนอยู่ข้างเตียงของผม
“ลันเทีย เจ้ามานอนทำอะไรตรงนี้”
“อ๊ะ ท่านกลับมาแล้ว!? ไปไหนมาน่ะ ทำไมถึงชอบทำให้เป็นห่วงนัก”ร่างบางรีบถลาเข้ามาพลิกซ้ายพลิกขวาผมอย่างเป็นห่วงทันที หารู้ไม่ว่าการกระทำที่แสดงออกถึงความห่วงใยนี้ทำให้อกซ้ายของผมรู้สึกเจ็บขึ้นมาเบา ๆ
ผมไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงแค่ยิ้มให้ ลันเทียเองก็รู้งาน เจ้าตัวหันไปหยิบเสื้อผ้ากันหนาวยื่นส่งให้ผมก่อนขอตัวออกจากห้องไป ผมเปลี่ยนจากชุดนอนเป็นชุดเครื่องแบบอัศวินฤดูหนาวและพันผ้าพันคอทับอีกทบหนึ่ง
เรื่องนี้ต้องเท้าความไปยังถิ่นกำเนิดเดิมของผม สยามเมืองยิ้มนั้นเป็นประเทศที่ไม่มีฤดูหนาว ตัวผมเองก็ไม่เคยเห็นหิมะด้วยตาตัวเองมาก่อนดังนั้นเมื่อผมเปิดประตูออกไปยังดาดฟ้าเรือ ลมหนาวโชยมาปะทะใบหน้าก่อนพายุหิมะจะถาโถมเข้าใส่จนหน้าสั่น ผมต่อสู้กับความหนาวไม่ได้อีกต่อไปจึงปิดประตูกลับเข้าไปด้านในเพื่อตั้งหลัง
แต่พอผมปิดประตูเดินถอยหลังได้ไม่กี่ก้าวก็ถอยจนหลังไปชนเข้ากับแผงอกของท่านเอเทมเข้า
ผมหันไปมองเขาก่อนรีบขยับตัวออกห่าง”ที่ ๆข้าจากมาเป็นเมืองร้อนน่ะ”
“ท่านใส่เสื้อบางขนาดนี้ไม่หนาวแย่หรือ”ผมชวนคุย เห็นเขายังใส่เครื่องแบบเหมือนตอนอยู่ในเมืองหลวงผมเห็นแล้วรู้สึกหนาวแทน
“ที่ ๆข้าจากมาหนาวกว่านี้”เสียงทุ้มกล่าวเรียบ ๆ ตัวเขาเป็นชาวโรมานอสซาร์ในอดีตไม่ว่าจะความเย็นหรือพายุหิมะล้วนเผชิญจนชินชา
ตามปกติเมื่อบทสนทนาสิ้นสุดเขาจะไม่เสียเวลายืนมองหน้าผม แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเพราะอะไรท่านเอเทมถึงใจเย็นยืนทอดหุ่ยสนทนาพาทีกับผมต่ออีกสองสามประโยค”แต่ความจริงฤดูนี้ไม่ควรมีหิมะตก”
“อ้าว...แล้วทำไมตอนนี้มันถึงตกล่ะ”
“หลายปีที่ผ่านมาอุณหภูมิของโรมานอสซาร์ลดต่ำลง ฤดูหนาวยาวนานขึ้น คาดว่าชายแดนแห่งนี้ได้รับผลกระทบเช่นกัน”ท่านเอเทมอธิบายให้ผมฟัง คราวนี้เรื่อเหาะกำลังจะแล่นลงจอดแล้วดังนั้นผมกับเขาจึงต้องเดินออกไปตรวจดูความเรียบร้อยของผู้บังคับบัญชาที่ดาดฟ้าเรือ
“ท่านลูคัสเป็นอย่างไรบ้าง”ผมเอ่ยถามขณะเขยิบตัวหลบลมหลังคนตัวใหญ่กว่าแบบเนียน ๆ
ท่านเอเทมส่ายหน้าแทนคำตอบ
“แล้วเขาจะฟื้นขึ้นมาไหม”
“เรื่องนี้คงต้องรอกลับเมืองหลวง”
“ถ้าเราจับคนของลัทธิหนึ่งเหมันต์ได้ล่ะ”ผมเสนอความคิดเห็น ไม่ว่าอย่างไรท่านลูคัสก็ดีกับผมมาตลอด การที่เขาโดนคนของลัทธินอกรีตเข้าสิงควบคุมร่างกายดัดแปลงความทรงจำของผู้อื่นที่มีต่อเขาในครั้งนี้เป็นความผิดของผมเต็ม ๆ
“ข้าอยากช่วยเขา”
“พวกเราแล่นเรือมาอย่างอึกทึกเช่นนี้ เกรงว่าพวกลัทธิคงไม่นอนรอให้เจ้าจับเฉย ๆ”
“ขอเวลาสืบ!”
“เต็มที่เลย ยังไงก็ภารกิจสุดท้ายแล้ว”
“...อ่า อืม”คำว่าสุดท้ายฟังแล้วแสลงหูชอบกล
บอกตรง ๆว่าหลังจากรู้จักท่านเอเทมกับลันเทียมากว่าหกเดือนผมผูกพันกับคนทั้งคู่มาก พวกเขาเสมือนครอบครัวของผมในโลกแห่งนี้ หากผมต้องหนีไปกับเจ้ามันตี้ก็แปลว่าผมต้องเริ่มนับศูนย์ใหม่และอาจจะมีแค่ค่าศูนย์ที่รอคอยผมอยู่
ผมส่งสายตาหงอยเหงาไปให้คู่สนทนา ทว่าเขาเพียงชำเลืองมองเพียงชั่วขณะก็เดินไปสั่งการกับผู้ใต้บังคับบัญชาให้ลดระดับความสูงของเรือลง ทิ้งให้ผมยืนกอดเสาคลายหนาวอยู่ที่เดิม
-----------------------------------
สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าค่ะ ขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆ นะคะ รักๆๆๆๆ
#พิชิตใจท่านเอเทม