●ReWrite● (เรื่องสั้น) ใกล้❤ใจ -END-
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ●ReWrite● (เรื่องสั้น) ใกล้❤ใจ -END-  (อ่าน 8866 ครั้ง)

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลงหรืออื่น ๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเว็บบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใด ๆ ไปโพสที่อื่น ๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรืออีเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเมนท์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่าง ๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเว็บ  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใด ๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเว็บอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดี ๆ ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านจริง ๆ นั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดี ๆ ให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่าง ๆ มาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดี ๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดี ๆ ไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้น ๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใด ๆ บนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใด ๆ ก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใด ๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม





:L2: :L2: :L2:




。◕‿◕。ใกล้ใจ 。◕‿◕。

●บทนำ●



แสงแดดยามบ่ายคล้อยที่สาดส่องเข้ามายังห้องสมุดในมหาวิทยาลัยทำให้ผมถอนสายตาไปจากร่างตรงหน้านี้ไม่ได้เลย โดยที่คนถูกมองไม่เคยรู้ตัว ว่าไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน สายตาของผมก็จะมองหาเขาอยู่ตลอด ก็รู้ว่ามันไม่ควร แต่ผมก็ไม่เคยห้ามตัวเองได้เสียที

ร่างที่นั่งพิงกรอบหน้าต่างยังไม่รับรู้ถึงการถูกมอง ยังพลิกหน้ากระดาษในมือเพื่ออ่านหนังสือต่อไป ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหาท่าที่สบาย ใบหน้าเรียวก้มต่ำ สายตาภายใต้กรอบขนตายาวจ้องมองหนังสือในมือไม่วาง จมูกโด่งเล็กน้อยรับกับใบหน้าแสนน่ารักนั่น ริมฝีปากอิ่มเริ่มคลี่ยิ้มราวมีเรื่องถูกอกถูกใจ ทุกกิริยาท่าทางถูกบันทึกลงบนหน่วยความจำของผมจนหมดสิ้น และเพราะริมฝีปากอมชมพูนั่นยังติดจะยิ้มน้อย ๆ ไม่คลาย มันช่างดึงดูดสายตาผม ทำให้เผลอไผลจนอยากจะ…

ป้าบ!!!

“เชี่ย ใครวะ!!?”

ผมลุกพรวดมองหาคนประทุษร้ายหัวตนเองทันที เสียงดังจนคนในห้องสมุดหันมามองและถูกปรามโดยบรรณารักษ์ ผมเลยได้แต่ก้มหัวขอโทษที่ส่งเสียงดัง ก่อนหันมาจัดการกับไอ้คนต้นเหตุ แต่มือผมยังไปไม่ถึง มันก็เผ่นผล็อยไปยืนทำหน้ากวนอวัยวะเบื้องล่างอยู่ข้าง ๆ คนน่ารักของผม ซึ่งตอนนี้ละสายตาจากหนังสือมามองผมกับไอ้ตัวป่วนนี่แล้ว

“ไอ้เทป!!” ผมเค้นเสียงลอดไรฟัน

ไอ้ตัวป่วนเทปมันก็ยังลอยหน้าลอยตาไม่สำนึก จนคนน่ารักของผมปรายตามอง มันถึงรีบนั่งแหมะลงข้าง ๆ ออดอ้อนอย่างน่าอ้วก ไม่ได้สนใจเลยว่าคนจะมองมันยังไงที่มาออดอ้อนออเซาะผู้ชายด้วยกัน

ใช่ คนน่ารักของผมเป็นผู้ชาย ถึงจะหน้าตาน่ารัก แต่ก็เป็นผู้ชาย ถ้าถามว่าผมเป็นเกย์ไหม ก็คงใช่ เพราะผมชอบเขา

“เทป! ถอยไปห่าง ๆ ได้ไหม ที่ตั้งกว้าง มาเบียดอยู่ได้”

เสียงนั้นต่อว่าไอ้ตัวป่วนไม่จริงจังนัก เทปมันเลยได้แต่ยิ้มแล้วทำเฉยเสีย ไม่สนใจว่าคนตัวเล็กกว่าจะทำหน้างอใส่ เพราะมันชอบแกล้ง นิ้วของมันเลยจิ้มแก้มใสเล่น แม้จะถูกปัดทิ้งเหมือนรำคาญ มันก็ยังคงยิ้มอยู่

ภาพที่เห็นยิ่งทำให้ภายในใจผมห่อเหี่ยว ทั้งที่ผมทำได้แค่เฝ้ามอง แต่เพื่อนสนิทอย่างเทปกลับทำได้มากกว่านั้น ทำไมที่ตรงนั้นถึงไม่ใช่ของผม ผมกำลังอิจฉาเพื่อน ผมรู้ดี

“เฮ้ย! เชี่ยอาร์ต เป็นอะไรวะ หน้าหงอยเหมือนหมาเลยมึง”

ไอ้เทปมันช่างสังเกต ผมไม่น่าลืม “หมาบ้านมึงหล่อขนาดนี้เลยเหรอวะ?”

“โห่ ไอ้เชี่ย!” เทปมันว่าขำ ๆ คนน่ารักของผมก็อมยิ้มตามไปด้วย อา… ผมชอบรอยยิ้มเขาจัง

หลังจากนั้นเราก็ได้หนังสือติดมือมาคนละ2-3เล่ม ออกจากห้องสมุดมา เทปกับคนน่ารักของผมก็จะตรงกลับบ้านเลยเพราะแม่มันรอกินข้าวเย็น ผมเลยได้แต่บอกลามันตรงนั้น ผมพามันเบี่ยงออกนอกประเด็นได้แค่ตอนนี้เท่านั้นล่ะ เพราะหลังจากนี้ หากผมยังเหม่อให้มันจับได้ เทปมันไม่ปล่อยผ่านเลยไปเฉย ๆ แน่

เทปมันเป็นคนที่แคร์เพื่อนมาก เห็นมันทำเล่น ๆ เหมือนไร้สาระ แต่หากใครได้เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของมันละก็ มันจะดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี และยังขี้หวงมาก นิสัยเราคล้ายกันเลยเป็นเพื่อนกันมายาวนานขนาดนี้ ระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่คบกันมา ทำให้ผมกับมันไม่เคยมีเรื่องปิดบังกัน หรือถ้ามี อีกคนก็จะดูออก แต่จะไม่พูดมันออกมาจนกว่าฝ่ายนั้นจะยอมเปิดปากเอง หากมันรู้ว่าผมคิดไม่ซื่อกับแฟนมัน มันคงรู้สึกแย่มาก อย่างที่บอกว่ามันแคร์เพื่อน แต่กับแฟน… คงยิ่งกว่าแคร์

“เฮ้อ…” ผมถอนหายใจให้กับความงี่เง่าของตัวเอง ‘แฟนเพื่อน’ ฟังแล้วเจ็บชะมัด

ส่ายหน้ากับความคิดของตัวเองแล้วผมก็จะเดินย้อนไปทางตรงข้ามกับสองคนนั้น แต่ไอ้เด็กที่ยืนมองผมตาแป๋วอยู่นี่ มันใครกันวะ?

เด็กผู้ชายตัวสูง ผิวออกขาวเหลือง ใส่ชุดนักเรียนม.ปลายของโรงเรียนชื่อดังฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยของผม ดูจากหน้าตา ผิวพรรณ และการแต่งกาย คงเป็นพวกคุณหนูบ้านรวย ยิ่งหน้าตาหยิ่ง ๆ ด้วยนี่ ใช่เลย ว่าแต่… คุณหนูคนนี้มีธุระอะไรกับผมวะครับ?

“เอ่อ… มีอะไรรึเปล่าครับ?” หลังจากปล่อยให้ดวงตาคู่สวยจ้องจนพอใจ ผมจึงถามฝ่าความเงียบขึ้นมา มองหน้าเฉย ๆ มันอึดอัดนะครับน้อง

น้องหน้าหยิ่งถอนหายใจราวเหนื่อยหน่ายอะไรสักอย่าง ก่อนริมฝีปากสวยจะเอ่ยกับผม เอ่อ... นี่ผมเอาแต่จ้องปากน้องเขาตั้งแต่ตอนไหนกันวะ? ผมไม่ใช่โรคจิตใช่ไหม? ใครช่วยยืนยันกับผมหน่อย

“พี่เป็นบ้าปะ ทำหน้าตาพิลึก”

อ้าวเฮ้ย เปิดปากพูดก็เป็นมงคลกับชีวิตซะแล้วไอ้เด็กนี่ แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบโต้ เจ้าเด็กนั่นก็เดินส่ายหัวจากไป พร้อมทิ้งคำพูดทำร้ายจิตใจผมเอาไว้กับสายลมที่พัดผ่าน

“ประสาท”

มึงเป็นใคร! ไอ้เด็กเว้นนนนน ได้ข่าวเราไม่รู้จักกันเลยนะโว้ย กล้ามากที่มาด่าคนอย่างไอ้อาร์ตคนนี้ เดี๋ยวพ่อดักตีหัวหน้าโรงเรียนเลยแม่ง!

ผมได้แต่หงุดหงิดเพราะมันเดินไปไกลแล้ว ตกลงมันมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าวะ หรือแค่มาด่าว่าผมประสาท งงกับเด็กนั่นจริง ๆ ผมว่าผมไม่เคยรู้จักมันมาก่อนนะ แล้วมันมาจ้องผมทำไม แถมด่าว่าผมประสาทอีก ให้ตายเหอะ


……


ภายในห้องนอนกว้าง ณ ตึกสูงเสียดฟ้า เครื่องปรับอากาศที่ถูกตั้งอุณหภูมิต่ำจนบรรยากาศเย็นเยือก แต่คงสู้อุณหภูมิร้อนแรงของร่างเปล่าเปลือยสองร่างที่กอดก่ายนัวเนียร่วมรักกันอย่างเผ็ดร้อนขณะนี้ไม่ได้ ทั้งคู่ไม่มีใครมีสติพอจะสนใจสิ่งรอบข้าง ต่างปรนเปรอกันและกันอย่างถึงพริกถึงขิง เสียงครวญครางและเสียงเนื้อกระทบกันยังดังอย่างต่อเนื่อง ระรัวเร็วในบางจังหวะ และเนิบช้าเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย ราวยืดเวลาความสุขสมให้นานออกไปอีก

ร่างที่ใช้ผนังห้องนอนด้านนอกพยุงกายได้แต่กัดปากแน่น สะกดกั้นความรวดร้าวในอก มือกำเข้าหากันเกร็งจนข้อขาว สั่น… เหมือนหัวใจเขาตอนนี้

ก็รู้อยู่ว่ามาแล้วอาจต้องเจออะไรแบบนี้ แต่ก็อดไม่ได้ อยากเห็นหน้าแม้สักนิด แค่ได้รอยยิ้มกลับมาสักหน่อยก็ยังดี เขามันดื้อด้าน

ร่างนั้นค่อยพยุงกายที่อ่อนล้าผละห่างจากห้องนั้นแล้วจากไปเงียบ ๆ มีเพียงเสียงประตูปิดแผ่วเบา และมันคงไม่ทำให้บุคคลในห้องรู้สึกตัวได้

เสียงประตูห้องข้าง ๆ ถูกปิดทำให้มือที่กำลังไขกุญแจจะเข้าห้องตนเองหยุดชะงัก ภาพที่ปรากฏแก่สายตามันช่างคุ้นชิน เห็นจนชิน แต่ก็อดสงสารไม่ได้เหมือนทุกที แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป

ช่วงขาเรียวก้าวเดินไปยังห้องติดกันที่มีชายคนหนึ่งยืนน้ำตาไหลรินอยู่หน้าประตูห้อง หยุดยืนไม่ห่างนัก ก่อนผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กจะยื่นส่งให้ ใครคนนั้นชะงักเล็กน้อย แต่ยังจ้องประตูนิ่งอยู่เช่นเดิม จนคนยืนข้าง ๆ ต้องเอ่ยขึ้น

“เช็ดน้ำตาเหอะ ผู้ชายร้องไห้มันดูทุเรศนะ ว่ามะ?”

น้ำเสียงห้าวออกทุ้มเล็ก ๆ ไม่คุ้นหู แต่เจ้าของเสียงกลับคุ้นตา เด็กวัยรุ่นตัวสูงแต่ออกบางกว่าผู้ชายวัยเดียวกัน ไอ้ผิวขาว ๆ กับหน้าตาหยิ่ง ๆ นั่นเขาจำได้ดี ไอ้เด็กเวรนั่น!!




★TBC★




ตามน้องข้าวตังมาติด ๆ ค่ะ

ลังเลอยู่ว่าจะเอาไว้ในโหมดเรื่องสั้นเหมือนเดิมหรือเรื่องยาวดี เพราะมันก้ำกึ่งอยู่เหมือนกัน

ทยอยอัปเรื่อย ๆ เหมือนเดิมค่ะ

วันใหม่
:L2:

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-12-2018 17:34:22 โดย wanmai »

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

1

โลกกลมหรือพรหมลิขิต



หน้ามหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ใครคนหนึ่งกำลังรีบรุดเข้าไปภายใน ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาอยู่ตลอดราวกับว่าเวลามันจะหยุดลงได้ไม่นาทีใดก็นาทีหนึ่ง จนเมื่อเห็นคณะที่ตนเรียนอยู่ไม่ไกล ปากหยักลึกจึงยิ้มออก วิ่งมาถึงหน้าตึกกลับต้องชะลอฝีเท้า เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงเชิงบันได

“วิว…” เสียงทุ้มเอ่ยกับตนเองแผ่วเบา รอยยิ้มยินดีปิดไม่มิด ก่อนที่มันจะจืดเจื่อนลง เมื่ออีกคนแทรกเข้ามาอยู่ในระดับสายตา

“ช้าว่ะ” เทป หนุ่มผิวขาว หน้าตี๋ ดีกรีเดือนคณะ ทักเพื่อนตัวหนา ผิวเข้ม หน้าตาบ่งบอกว่าเป็นไทยแท้สำเนาถูกต้อง นามนายอาร์ต

“โทษที ตื่นสาย” ตอบเพื่อนไปแบบนั้น ขณะสายตาชำเลืองมองคนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างเพื่อนตน ก่อนเอ่ยปากทักเสียงอ่อนโยนเกินวิสัย “วิวมีเรียนเช้าเหรอ?”

ทั้งที่อยากกดมันเอาไว้ แต่พออยู่ใกล้มันก็พาลหาย อยากทำดีด้วย อยากให้เขามองเห็นแต่ส่วนดี ๆ เพื่อรอยยิ้มและความไว้วางใจที่จะได้รับ มันจะยังพอต่อช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ไปได้อีกสักนิด ความสุขที่แลกมาด้วยบาดแผลในหัวใจ

“อืม แต่เป็นตอน 10 โมงนะ ก็เทปแหละ ปลุกวิวแต่เช้าทำไมก็ไม่รู้” วิว หนุ่มน้อยหน้ามน ต่อว่าหนุ่มตี๋ที่ยืนยิ้มเฉย ไม่อนาทรร้อนใจกับคำต่อว่านั้น ทั้งบ่นว่าอย่างหมั่นไส้ “ว่าแล้วยังยิ้ม คนอะไร”

“ก็… คนที่วิวรักไง”

คนหน้าตี๋หยอดแฟนตัวเอง ซึ่งก็ได้ผล เมื่อแก้มใสขึ้นสีทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ เทปหัวเราะ มือใหญ่ขยี้ผมคนหน้าแดงอย่างมันเขี้ยว โดยที่ไม่ทันระวังว่ากิริยาหยอกล้อนั้นจะไปสร้างความหงุดหงิดใจให้ใครอีกคน

“เทป!” เสียงเรียกชื่อแสนห้วนหยุดการหยอกล้อของคู่รักตรงหน้า ทำให้คนเรียกต้องปรับอารมณ์ตนเองก่อนบอกกับเพื่อน “ไปเรียนเหอะ เดี๋ยวอาจารย์จะเข้าสอนก่อน”

“อ้อ เออ ไปดิ” รับคำเพื่อนก่อนหันไปพูดกับคนรัก “วิวไปนั่งรอโจ๊กที่ม้านั่งที่เดิมนะ ห้ามเดินไปคณะเอง รอไอ้โจ๊กมันก่อน เข้าใจไหมครับ?”

“รู้แล้ว สั่งเหมือนวิวเป็นเด็กไปได้” คนโดนสั่งกอดอกหน้ามุ่ย อาตี๋เลยหยิกแก้มไปที

“อ้อ! อีกอย่าง…” ก้มลงกระซิบจงใจให้ได้ยินกันเพียงสองคน “อย่าให้ใครจีบนะ เทปหวง”

ว่าแล้วก็หัวเราะอารมณ์ดี ก้าวยาว ๆ ไปกอดคอเพื่อนเพื่อเข้าตึกเรียน ปล่อยให้อีกคนกัดปากกลั้นยิ้มอยู่คนเดียว

หลังจากหมดคาบเรียนของวัน สองหนุ่มเพื่อนซี้เทปอาร์ตก็กอดคอกันลงจากตึก นั่งรถรางไปอีกคณะที่ไกลกันพอควรเพื่อนั่งรอวิวที่ยังเรียนไม่เสร็จ เมื่อวิวลงมากับโจ๊ก เพื่อนในกลุ่มอีกคน จึงชักชวนกันไปหาอะไรกินนอกมหา’ลัย ก่อนไปทำธุระของแต่ละคน

ภายในร้านอาหารคนค่อนข้างแน่น ทั้งนักศึกษาและวัยทำงาน เมื่อกลุ่มของอาร์ตมาถึง พนักงานร้านจึงเดินนำไปที่โต๊ะที่ยังว่างอยู่ เมื่อได้ที่นั่งก็สั่งอาหารไปคนละอย่างพร้อมน้ำเปล่าและขนมกินเล่นอีกเล็กน้อยเป็นการปิดท้าย ระหว่างนั่งรอก็คุยเล่นกันไปพลาง หนุ่มผิวเข้มก็สอดส่ายสายตาไปเรื่อย ไม่อยากมองคนคนเดียวจนเป็นจุดสังเกต เห็นสาว ๆ ส่งสายตาหวาน ๆ มาให้ก็ยิ้มตอบรับไมตรีนั้นไม่มีปิดบัง จนเพื่อนตี๋ต้องสะกิด

“เฮ้ย! เจ้าชู้ไปเรื่อยนะมึงน่ะ ระวังผัวเขาจะมาดักตีหัวมึงสักวัน”

“หึ ๆ”

คนเจ้าชู้แค่หัวเราะในลำคอตอบรับคำเตือนกึ่งแซวนั้น เบนสายตาจากสาวสวยกลับมามองคนน่ารักอีกทีก็เห็นกำลังป้องปากคุยโทรศัพท์อยู่ สักพักก็วางแล้วหันมาบอกเทปที่นั่งข้าง ๆ

“ฟิวบอกว่าครูปล่อยครึ่งวันเลยจะมาหาวิว วิวเลยบอกให้มากินข้าวด้วยกันที่นี่”

“อืม ให้เทปออกไปยืนรอน้องที่หน้าร้านไหม?” เทปเอ่ยถามคนข้างกายที่พยักหน้าเห็นด้วย จึงลุกเดินออกไปรอน้องที่หน้าร้าน

อาร์ตฟังบทสนทนาที่เขาไม่มีส่วนร่วมนั้นคิ้วขมวด ฟิวนี่คือใครกัน ตั้งแต่รู้จักวิวมา เขาไม่เห็นเคยรู้ว่าวิวมีน้องที่ไหน

ไม่นานอาร์ตก็ได้รู้ว่า ‘น้องฟิว’ คือใคร เมื่อเสียงห้าวติดจะหวานดังขึ้นด้านหลัง มันคุ้น แต่เขาไม่อยากคิดว่าใช่ โลกมันคงไม่กลมขนาดนั้นหรอกมั้ง?

“สวัสดีครับ พี่วิว พี่โจ๊ก แล้วก็…”

“……” ไอ้เด็กตาใสที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี่มัน…

“สวัสดีครับ… พี่อาร์ต”

เด็กตาใสยกมือไหว้รอบโต๊ะและมาหยุดลงตรงหนุ่มผิวเข้มที่นั่งหน้าเหวอค้างมองตนเองอยู่ รอยยิ้มมุมปากเอกลักษณ์ประจำตัวจึงปรากฏขึ้นให้คนมองอารมณ์ขุ่นทันตา จากสีหน้าอึ้ง ๆ ออกเหวอหน่อย ๆ เลยเปลี่ยนเป็นจ้องมองตาขวางแทน ส่วนคนกวนอารมณ์ก็เพียงแค่ยักไหล่ตอบกลับไปเท่านั้น

‘โลกมันกลมเกินไปแล้ว อะไรมันจะประจวบเหมาะขนาดนี้ แสดงว่าเจ้าเด็กนั่นมันต้องรู้จักเขามาก่อนน่ะสิ แถมมันยังเป็นคนที่เห็นสภาพดูไม่ได้ของเขาวันนั้นด้วย ถ้ามันเอาไปบอกวิว…’

คิดเพียงเท่านั้นก็เหมือนหัวใจจะเต้นแผ่วช้าลงไปอีก ทุกวันนี้เขาแค่ได้มองอยู่ห่าง ๆ แต่ถ้าหากคนนั้นรู้ความรู้สึกของเขา ระยะห่างคงต้องยืดออกไปอีกแสนไกล

‘ไม่ได้! ต้องหาวิธีปิดปากเด็กนั่นก่อน ยังไงก็ต้องหาทาง’

คนผิวเข้มแถมหน้ายังเข้มคิดวกวนวุ่นวายหาทางสกัดดาวรุ่งเด็กหยิ่งจนคิ้วแทบจะผูกโบ จนเสียงเด็กนั่นเอ่ยบอกกับพี่ชายว่าขอไปเข้าห้องน้ำดังเข้ามาในโสตประสาทถึงได้กระเด้งตัวขึ้นยืนฉับพลัน เพื่อนในโต๊ะหันมามองหน้า คนหน้าเข้มถึงได้ชะงัก ท่าทางเก้อกระดากก่อนบอกออกไปว่าปวดฉี่ แล้วรีบรุดไปทางห้องน้ำหลังร้านทันที ปล่อยให้เพื่อนมองตามงง ๆ

“มันปวดมากขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” โจ๊กถามงง ๆ

วิวส่ายหน้ายิ้ม ๆ ส่วนเพื่อนซี้อย่างตี๋เทปถึงกับหลุดขำ

‘ดูออกง่ายเกินละมึง’

ภายในห้องน้ำหลังร้านอาหาร ฟิวที่ทำธุระส่วนตัวเสร็จกำลังยืนล้างมืออยู่หน้าอ่าง โดยมีอีกคนยืนกอดอกหน้าตาถมึงทึงอยู่ด้านหลัง คนที่มาเข้าห้องน้ำเหมือนกันเห็นคนหน้ายักษ์ยืนอยู่ยังต้องเดินเลี่ยงตัวลีบออกไปอย่างรวดเร็ว

‘คนอะไรวะ ตัวก็ใหญ่ หน้าก็เข้ม แล้วยังจะมาทำหน้าบึ้งอีก ถ้าปวดมากน่าจะบอกก่อน เขาจะได้ไม่มาเข้า’ นั่นคือเสียงกรีดร้องภายในใจของคนที่รีบร้อนออกจากห้องน้ำไปเท่านั้น

ส่วนผู้ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในห้องน้ำตอนนี้ก็ยังคงอ้อยอิ่งอยู่กับการล้างมือ ไม่ได้สนใจยักษ์ด้านหลังที่แทบเขมือบหัวตัวเองอยู่แล้ว จนยักษ์หน้าเข้มอดรนทนไม่ไหว ต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

“นายเป็นน้องของวิวจริง ๆ เหรือ ไอ้หนู?” สิ่งที่ถามออกไปนั้นเพราะอยากรู้จริง ๆ เพราะสองคนนี้ไม่มีอะไรคล้ายกันเลย และที่สำคัญ เขาไม่เคยเห็นเด็กนี่สักครั้ง

ไอ้หนูคนที่ว่าปิดน้ำที่ใช้ล้างมือ สะบัดมือเบา ๆ ไล่น้ำก่อนเงยหน้าขึ้นมองคนถามผ่านกระจกเงาบานใหญ่

“แล้วพี่คิดว่าไง?” ยอกย้อน คือสิ่งที่อาร์ตคิด

“ฉันกำลังถามนายอยู่ ไอ้หนู”

กัดฟันทนกับการยอกย้อนอ้อนบาทานั่น แต่ดูเหมือนเด็กยอกย้อนจะไม่ได้สนใจท่าทางกัดฟันของคนถาม ยังเดินไปที่เครื่องเป่าลมข้าง ๆ คนหน้ายักษ์ ยื่นมือเข้าอัง ก่อนถามคนถามกลับอีกรอบ

“พี่ว่าผมกับพี่วิวหน้าตาคล้ายกันไหม?”

“ไม่” เผลอตอบไปทั้งยังงงกับตัวเองว่าตกลงใครซักใครกันแน่

“ก็ว่างั้น” ฟิวละมือจากเครื่องเป่า เดินอ้อมคนที่ยืนเป็นเสาหลักจะออกไปด้านนอก

“เดี๋ยว!” มือหนาคว้าต้นแขนหมับ ก่อนถามเจ้าเด็กกวนโอ๊ยที่ทำหน้านิ่งแกมระอา จะระอาอะไรเขานักหนากัน เจ้าเด็กนี่! “ไอ้ ‘ก็ว่างั้น’ ของนายมันคืออะไร ตอบดี ๆ แบบไม่กวนได้ไหม ฉันยังมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับนายนะ ไม่ได้มีเวลามาฟังนายยอกย้อนอยู่แบบนี้ทั้งวัน”

ฟิวขมวดคิ้ว เอียงคอมองหน้าคนพูดที่ทำหน้าตาจริงจังแล้วถอนใจ

“ผมกับพี่วิวเป็นแค่พี่น้องร่วมโลก ไม่เกี่ยวพันกันทางสายเลือด ชัดพอยังครับ?” คางเชิดน้อย ๆ ทั้งยังเลิกคิ้วกวนอารมณ์อีก

“ชัดมาก” อาร์ตกัดฟันตอบ ทั้งที่อยากกัดหัวไอ้เด็กตรงหน้านี่มากกว่า

“งั้นผมไปได้ยัง?” เอ่ยถาม สายตามองมือที่จับต้นแขนตัวเองอยู่ มือใหญ่ชะมัด หรือแขนเราเล็กวะ?

อาร์ตเหลือบตาไปมองตามสายตาของอีกคน แต่ยังตีมึนไม่ยอมปล่อย “ยัง ฉันยังมีเรื่องต้องตกลงกับนายอีก”

“ในห้องน้ำนี่เหรอ?” ฟิวเบ้ปาก เพราะสถานที่มันไม่น่าอภิรมย์สำหรับการเจรจาเอาเสียเลย “เอาไว้ก่อนได้ไหม ตอนนี้ผมหิวมาก ขอไปกินข้าวก่อน ผมไม่ได้มีเวลามาฟังพี่พูดหน้าห้องน้ำทั้งวันนะ”

นั่น ยอกย้อนอีกแล้ว มันจะไม่อะไรเลยถ้าหน้าตามันจะไม่นิ่งขนาดนี้

‘ปีนเกลียว อย่างนี้เขาเรียกปีนเกลียวใช่ไหม หลายทีแล้ว เจอกันทุกครั้งโดนตลอด ยอมเข้าไปได้ยังไงวะ ไอ้อาร์ต’

“มันคงไม่เสียเวลากินข้าวของนายสักเท่าไรหรอก แค่แป๊บเดียว”

“……” ฟิวหรี่ตาทำท่าคิด ก่อนพยักหน้าให้อีกฝ่ายพูดธุระมา

“เรื่องที่นายรับรู้มา…” อาร์ตเริ่มเกริ่น ดูปฏิกิริยาเด็กฟิวก็เห็นพยักหน้าว่ารู้เรื่อง ให้พูดต่อ “ฉันอยากให้นายช่วยอย่าใส่ใจมัน... ขำอะไร?”

ถามน้ำเสียงหงุดหงิด ก็เจ้าเด็กฟิวนี่จู่ ๆ ก็ขำขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขากำลังพูดเรื่องเครียดอยู่นะเว้ย ไม่ได้เล่นมุกตลก

“ถามว่าขำอะไร มีอะไรน่าขำนักหนาเหรอกับเรื่องนี้น่ะ หา!!”

ชักจะเริ่มโมโหเลยเผลอตะคอกไอ้เด็กฟิวไป อีกฝ่ายก็เบะปากก่อนจะบอกอย่างอารมณ์เริ่มขึ้นเหมือนกัน

“ถ้ากลัวว่าผมจะเอาเรื่อง ‘คุณ’ ไปบอกใครต่อล่ะก็ ไม่ต้องกังวลไปหรอก ผมไม่คิดจะพูด เพราะมันน่าสมเพชจนเกินไป”

“ไอ้…” อยากจะด่าไอ้เด็กปากดี แต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ไอ้… ค้างอยู่อย่างนั้น

“ผมไปได้หรือยัง?”

ไอ้เด็กปากดีตาใสที่ตอนนี้ตาเริ่มขุ่น เอ่ยถามคนหน้าเข้มที่ยืนลูบหน้าตัวเองสงบสติอารมณ์ แต่มือยังไม่ปล่อยอีกคนไปไหน คนเดินมาเข้าห้องน้ำก็หันมามองแปลก ๆ

“ฉันเชื่อนายได้ใช่ไหม?” ถามราวไม่มีทางเลือก

ฟิวหน้ามุ่ย ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นที่คนคนนี้เข้าใจอะไรยาก “โอ๊ย! เซ้าซี้! ถ้ากลัวความลับจะรั่วไหลมากนัก จะตามเฝ้าทุกฝีก้าวเลยไหม คนบ้าอะไร ก็บอกอยู่ว่ามันไม่ใช่เรื่อง แล้วยังจะมาเซ้าซี้เอาความอะไรอีก!?”

เรียกได้ว่าเหวี่ยงเต็มพิกัด ตาขวาง ๆ มองหน้าคนเข้าใจยากนิ่ง บ่งบอกว่าชักจะเริ่มเคืองละ ใกล้โกรธเต็มทีถ้ายังจะเซ้าซี้เอาความอีก

อาร์ตปล่อยแขนคนเหวี่ยงให้เดินออกไปก่อน แล้วตัวเองค่อยก้าวตามไปช้า ๆ ก็ไม่รู้จะเดินตามทำไม ขาก็ยาวกว่า ก้าวไม่กี่ทีก็ถึงโต๊ะแล้ว เมื่อกลับมาถึงโต๊ะ อาหารก็มาเสิร์ฟเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยังโดนโจ๊กแซวว่านึกว่าตกส้วมตายกันหมดแล้ว ไปนานเกิน ฟิวก็ได้แต่หัวเราะ พอจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

ทั้งสองคนนั่งลงประจำที่ของตนเอง ในโต๊ะก็กินไปคุยกันไปบ้างเพื่อสร้างอรรถรส ไอ้คู่รักมันก็ยังคงหวานกันไม่สร่างซา ตักโน่นให้กันนิด ตักนี่ให้กันหน่อย แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้สร้างความอึดอัดให้คนผิวเข้มเท่าที่ควร เนื่องจากจุดสนใจไปอยู่ที่อีกคนเสียแล้ว คนถูกจับตามองก็ส่งสายตาจิกกัดข้ามโต๊ะมาให้ ทั้งแยกเขี้ยวใส่อีก

น่ากลัวตายล่ะ เด็กน้อย


......


“น้องครับ คิดเงินด้วย”

หนังสือสำหรับอ่านฆ่าเวลา 4 เล่มถูกวางลงบนเคาน์เตอร์จ่ายเงิน คนตัวหนา ผิวเข้ม ใบหน้าคมดังพระเอกหนังไทยยืนล้วงกระเป๋าสบาย ๆ อยู่หน้าเคาน์เตอร์ในร้านหนังสือ สายตาคมมองเด็กหลังเคาน์เตอร์ที่กำลังจัดการคิดเงินและยื่นส่งให้พนักงานร้านอีกคนห่อปก ริมฝีปากของคนมองกระตุกยิ้มนิด ๆ

‘โลกกลมจริง ๆ สินะ’ อาร์ตเปรยกับตนเองในใจ

วันนี้ทั้งวันเขาไปขลุกอยู่ที่หอเพื่อนเพื่อทำโครงงานกลุ่ม กว่าจะสรุปเนื้อหาอะไรเสร็จแทบหมดแรง ออกจากหอเพื่อนมาเลยแวะกินข้าวที่ร้านหน้าหอ ก่อนตรงมาที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อหาอุปกรณ์ทำงานเดี่ยวอีก ไม่นึกว่าพอเข้าร้านหนังสือแล้วจะได้เจอใครบางคน

“ทั้งหมด 4 เล่มนะครับ รวมxxxxบาท มีบัตรสมาชิก…” เสียงเจื้อยแจ้วนั้นหยุดชะงักเมื่อเงยมองลูกค้าที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า

“สวัสดีครับ น้องฟิว” หนุ่มผิวเข้มทักพนักงานร้านตัวขาวยิ้ม ๆ ซึ่งคนถูกทักก็ปรับสีหน้าฉับพลันให้เป็นงานเป็นการขึ้นมาทันที

“ครับ ไม่ทราบว่ามีบัตรสมาชิกไหมครับ?”

ย้อนถามประเด็นเดิมที่ค้างไว้เมื่อครู่ คุณลูกค้ายื่นบัตรให้ พนักงานร้านดีเด่นของเราจึงรับไปจัดการ แจงราคาส่วนลดและสิทธิประโยชน์ที่คุณลูกค้าควรได้สักเล็กน้อย ก่อนรับธนบัตรสีเทามานับและจัดการทอนเงินให้คุณลูกค้าพร้อมใบเสร็จ

“ตรวจสอบความถูกต้องด้วยนะครับ”

อาร์ตรับเงินทอนมานับ ไม่ได้มองคนตรงหน้า แต่ปากก็เอ่ยถามออกไป “เลิกงานกี่โมง?”

คนถูกถามกลับนิ่งไม่ตอบ จนอาร์ตเก็บตังค์เข้ากระเป๋าและจะเอ่ยถามอีกครั้ง

“น้องฟิว…”

“ลูกค้าท่านต่อไป เชิญเลยครับ”

เสียงห้าวเอ่ยขัด พร้อมทำท่าเชื้อเชิญลูกค้าอีกท่านด้านหลัง อาร์ตถึงได้ถอยออกมาจากจุดจ่ายเงิน มองดูท่าทางคงจะไม่ยอมบอก เลยสะกิดถามพนักงานอีกคนที่อยู่แถวนั้น

“น้องครับ ขอรบกวนนิดนึง”

พนักงานร้านหนังสือที่ยืนจัดของอยู่ละมือมาบริการลูกค้าอย่างรวดเร็ว “หาหนังสือเล่มไหนอยู่คะ?”

“อ๋อ เปล่าหรอกครับ พอดีมีเรื่องรบกวนสอบถามสักหน่อย ที่นี่เลิกงานกี่โมงเหรอครับ?”

“ทางเราจะปิดร้านตอน 3 ทุ่มนะคะ เปิดให้บริการช่วงเช้าเวลา 9 โมงค่ะ หาหนังสือเล่มไหนอยู่สอบถามได้นะคะ ถ้าร้านเราไม่มี ยังไงสามารถสั่งซื้อได้ค่ะ เมื่อสินค้ามาส่ง จะมารับที่ร้านก็ได้ หรือถ้าไม่สะดวก ทางร้านเราจัดส่งไปให้ที่บ้านได้ค่ะ” พนักงานตอบขยายความให้คุณลูกค้า

อาร์ตยิ้มแหยเพราะไม่ได้อยากรู้อะไรขนาดนั้น แค่อยากรู้ว่าเจ้าเด็กฟิวเลิกงานตอนไหนก็เท่านั้น แต่จะเจาะจงถามก็คงเป็นที่น่าสงสัย จึงบอกขอบคุณไป แล้วเดินมาเลียบ ๆ เคียง ๆ แถวเคาน์เตอร์อีกรอบ

“น้องฟิว”

“หกโมงเย็น”

“หา?” อาร์ตทำหน้างง เมื่อจู่ ๆ อีกคนก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีรูปประโยค

“ผมเลิกงานหกโมง สิทธิพิเศษสำหรับอภิสิทธิ์ชนไง” ว่าแล้วยิ้มมุมปาก ก่อนหันไปทำงานของตนเองต่อ

อีกคนที่เพิ่งเข้าใจความหมายนั้นถึงค่อยเปิดยิ้ม ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วพยักหน้ากับตัวเอง ตอนนี้ก็บ่ายสี่โมงแล้ว พอรอได้

“จะรอนะ” เอ่ยลอย ๆ แล้วออกจากร้านไป

ฟิวมองตามแล้วขมวดคิ้ว “อะไรหนักหนา…”



18 นาฬิกาหลังเคารพธงชาติ หนุ่มผิวเข้มก็มายืนประจำการอยู่หน้าร้าน มองคนเดินผ่านไปผ่านมารอพนักงานร้านหนังสือเลิกงาน สักพักคนที่เขารอก็เดินออกมาพร้อมกระเป๋าเป้ อาร์ตเดินตามน้องฟิวที่เดินลิ่วออกไปนอกห้างฯ ไม่พูดไม่จา คนเดินตามก็เดินตามเงียบ ๆ พอกัน คนที่เดินนำหน้าโคลงศีรษะไปมาแล้วหยุดเท้า ก่อนจะหันมามองอีกคนช้า ๆ

“พี่เดินตามผมทำไม ไม่มีอะไรทำเหรอ?” ถามหน้านิ่ง คนเดินตามเลยยิ้มตอบ

“ไม่มีอะ ว่าง” ยักคิ้วกวน ๆ ส่งไปให้

“อ้อ เพิ่งรู้ว่านักศึกษาปี 4 มีเวลาว่างมาทำอะไรไร้สาระมากขนาดนี้ ประเทศชาติคงมีบุคคลากรดีเด่นเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน”

‘โดนย้อนอีกแล้ว ชีวิตนี้เขาจะไม่มีทางชนะเด็กนี่เลยหรือไงนะ?’ อาร์ตเร่งฝีเท้าขึ้นมาเดินเคียงข้าง ฟิวแค่ปรายตามองและเดินต่อไป

“ใครจะไปขยันเหมือนน้องฟิวล่ะครับ ไม่ทราบว่าจะหาเงินไปถมที่หรืออย่างไร หรือว่ามันเป็นงานอดิเรกของพวกเศรษฐี?” อาร์ตเอ่ยกวนอารมณ์ เห็นหน้านิ่ง ๆ แบบนั้นแล้วมันคันในหัวใจยิบ ๆ อยากจะทำให้หลุดฟอร์มบ้าง

“หึ” ฟิวแค่ทำเสียงหึในลำคอ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธใด ๆ จนคนที่ต้องการกวนอารมณ์คนอื่นกลับอารมณ์บูดเสียเอง

“มีใครเคยบอกไหมว่าหน้าน้องมันกวนอวัยวะเบื้องล่างมาก” พูดอย่างใส่อารมณ์ให้รู้ว่ามันมากจริง ๆ

ฟิวหยุดเดิน สีหน้ายังคงนิ่งอยู่ “มี… ก็พี่ไง” ยกยิ้มมุมปากส่งให้อีกครั้งก่อนเดินต่อ

“ยิ้มนี่ขอซื้อได้ไหม กวนว่ะ”

“หึ ๆ”

เดินกันไปสักพัก ผ่านร้านรวงต่าง ๆ ที่เริ่มจะเปิดไฟกันแล้ว แต่เด็กที่เดินข้าง ๆ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดิน อาร์ตจึงต้องเอ่ยปากถาม

“น้องฟิวจะไปไหน ไม่กลับบ้านเหรอ?”

“พี่รู้เหรอว่าบ้านผมอยู่ไหน?” ทำไมชอบตอบคำถามด้วยการถามกลับนักนะ เด็กคนนี้

“ไม่รู้”

“แล้วเดินตามผมมาไม่กลัวว่าผมจะพาพี่ไปขายหรือไง อาจจะเป็นงานอดิเรกอีกอย่างของพวกเศรษฐีก็ได้นะ”

“เหรอ งานอดิเรกแปลกดีนะ” อาร์ตว่าขำ ๆ

จะว่าไปเด็กนี่ก็ไม่ได้เลวร้ายซะทีเดียวหรอกมั้ง ออกจะกวนโมโหหน่อย ชอบทำหน้านิ่งเหมือนจะหยิ่งยโส แต่จริง ๆ แค่กวนมากกว่า ดูไม่สนใจโลกและทำตัวแปลกแยกดี

“นี่น้องฟิว น้องฟิวรู้จักวิวมานานแค่ไหนแล้ว?” อาร์ตเปิดประเด็นชวนคุย

เด็กหน้านิ่งปรายตามอง ก่อนจะพูดนิ่ง ๆ แต่กวนอารมณ์ตามสไตล์ “จะเจาะข้อมูลพี่วิวผ่านผมหรือไง คนเรานี่มันยังไงกันนะ รู้ทั้งรู้ว่ามันเจ็บ แต่ก็ยังจะดันทุรัง ทำตัวเองให้ไร้ค่า มองตัวเองว่าไม่ดีพอถึงเป็นคนที่ไม่ถูกเลือก ทั้งที่ตัวเองก็มีสิทธิ์ในการเลือกเท่าเทียมกับคนอื่น อยู่ที่ว่าจะกล้าเป็นฝ่ายเลือกหรือเปล่าก็เท่านั้น”

สะอึก ใช่ บอกได้คำเดียวเลยว่าสะอึก นี่มันเป็นคำพูดเด็กม.ปลายจริง ๆ ใช่ไหม ทำไมเขาฟังแล้วเหมือนกำลังถูกกระทบกระเทียบ อาร์ตแทบจะตีสีหน้าไม่ถูก

“ถ้าเราจะเป็นฝ่ายเลือก แล้วคนคนนั้นจะยอมเป็นฝ่ายที่ถูกเลือกหรือไง?” เหมือนเขากำลังถามคำถามโง่ ๆ ออกไป และยังถามคนที่เด็กกว่าตัวเองเสียด้วยสิ

“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะยอมเป็นฝ่ายที่ถูกเลือกหรือเปล่า แต่มันอยู่ที่เราได้เลือกแล้วต่างหาก”

นั่น มีคำตอบให้เสียด้วย แบบนี้มันน่าสนใจเกินไปนะ น้องฟิว

“มองอะไร?” ฟิวถาม สีหน้าระแวงคนมอง

“เปล่า แค่คิดว่าน้องฟิวเป็นเด็กน่าสนใจดี” คนมองตอบยิ้ม ๆ เด็กน่าสนใจยิ้มมุมปากแบบที่อาร์ตอยากขอซื้อ เพราะมันกวนอารมณ์เขาเหลือเกินแล้ว

“จะจีบผมก็ได้นะ เพราะเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้มีมากกว่าพี่วิว 0.001”

“ถ้าจีบจริงจะว่าไง?” อาร์ตรับมุก

“กล้าปะล่ะ?” ไม่ได้ท้าทายแค่น้ำเสียง แต่สีหน้ากวน ๆ นั่นก็ใช่ “ฆ่าเวลาไง น่าสนใจดีออก”

ยังคงท้าทายไม่เลิก ก็เพราะรู้ว่าอีกคนไม่คิดจะเอาด้วยหรอกเรื่องแบบนี้น่ะ...

“อย่าเสียใจทีหลังล่ะ ไอ้หนู”


……
ต่อด้านล่างค่ะ  :heaven

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
Re: ●ReWrite● 。.‿.。ใกล้ใจ 。.‿.。 // 08.Sep.2018
«ตอบ #2 เมื่อ08-09-2018 19:34:41 »


“อาร์ต… ไอ้อาร์ต!!!”

“เฮ้ย! อะไรวะ!?”

อาร์ตสะดุ้งสุดตัวกับเสียงเรียกชื่อเขาที่ดังจนแก้วหูแทบสะเทือน ก็คนเรียกดันมาตะโกนใกล้ ๆ หู ส่วนคนถูกเรียกก็เอาแต่เหม่อไม่มีสติรับรู้ จนได้ยินเสียงดังนั่นล่ะจึงเหมือนสติจะกลับเข้าร่าง

“เป็นบ้าอะไรวะ นั่งมองหน้าเมียกูมาแต่เช้าแล้ว จะมองให้สึกเลยรึไง สึด!”

เมื่อได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้นจึงหันไปมองคนที่ถูกจ้องมาแต่เช้า ซึ่งฝ่ายนั้นก็ส่งยิ้มเจื่อน ๆ มาให้

“มีอะไรหรือเปล่าอาร์ต หรือว่าหน้าวิวมีอะไรติดอยู่เหรอ?”

จับแก้มตัวเองซ้ายขวาเผื่อว่ามันมีอะไรผิดปรกติที่ตรงไหน หันไปขอความเห็นจากคนรัก อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าว่าไม่มีอะไร ดังนั้น สายตาคาดคั้นจึงถูกส่งกลับมาที่คนต้นเหตุ

“เอ่อ… ขอโทษที พอดีอาร์ตเหม่อไปหน่อย”

“มีอะไรหรือเปล่าวะ?” เทปถามเพื่อนสีหน้าเป็นกังวล พลอยทำให้หนุ่มน้อยอีกคนเป็นกังวลไปด้วย

อาร์ตเห็นท่าทางเป็นห่วงของเพื่อนแล้วยิ่งรู้สึกว่าตนเองไม่น่าให้อภัย ทั้งที่เรื่องที่เขากังวลมันคือผลประโยชน์ของตนเองล้วน ๆ แต่เพื่อนกลับมีความห่วงใยส่งมาให้อย่างจริงใจ น่าละอายใจจริง ๆ

“ไม่มีอะไรหรอก ไร้สาระน่ะ” บอกปัดเพื่อนไป

ดูเหมือนตี๋เทปจะไม่เชื่อสักเท่าไร แต่ไม่ได้เซ้าซี้เอาความ ถ้าเพื่อนไม่อยากเล่า ต่อให้ง้างปากให้ตายก็ไม่ยอมเล่าหรอก เทปถอนใจแล้วตบบ่าเพื่อน บอกเสียงหนักแน่น

“ถ้ามีอะไรก็บอกนะเว้ย อย่าลืมว่ากูเป็นเพื่อนมึง”

สายตาที่มองมานั้นยืนยันในคำพูดของตนเองจนอาร์ตต้องพยักหน้ารับ หันไปมองคนน่ารักก็เห็นส่งยิ้มเป็นกำลังใจมาให้ เห็นอย่างนั้นแล้วออกจะรู้สึกหน่วง ๆ ในอก เขาคือคนน่าสงสารอย่างที่เด็กฟิวว่าจริง ๆ หรือไง


‘อย่าเสียใจทีหลังล่ะ ไอ้หนู’

หลังจากคำพูดนั้น ไอ้หนูที่ท้าทายเขาแต่แรกก็หัวเราะ ขนาดหัวเราะยังกวนอารมณ์เลย ให้ตาย

‘พี่นี่ตลกนะ ทั้งที่รับคำผมได้ง่าย ๆ แท้ ๆ แค่เปิดใจให้คนอื่น ทำไมถึงทำไม่ได้กันวะ?’

‘………’

‘บางทีพี่คงเป็นพวกยึดมั่นถือมั่นมากจนเกินไป คงคิดอยู่ตลอดว่า ‘ถ้าไม่ใช่คนนี้ ก็รักใครไม่ได้อีกแล้ว’ ทั้งที่มีความรักดี ๆ อยู่รอบตัว กลับไปตามไขว่คว้าแต่สิ่งที่มีเจ้าของ มันทั้งเสียใจ ทั้งเสียเวลา และสิ่งที่ได้มามันไม่มีทางคุ้มกับสิ่งที่จะเสียไป’

‘ทำเป็นพูดดี ใครไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ไม่มีทางรู้หรอกว่ามันยากแค่ไหนกับคำว่าตัดใจ!’


พอคำพูดนั้นหลุดออกไป เขาถึงมานึกเสียใจ เพราะเจ้าหนูนั่นเงียบไปเลย ไอ้ท่าทางกวน ๆ และท้าทายเขาเหมือนเมื่อครู่ก็หายไป เหลือเพียงใบหน้านิ่ง ๆ เดาอารมณ์ไม่ออก

‘นั่นสินะ ต่างคนก็ต่างใจ ขอโทษด้วยที่ผมพูดอะไรไร้สาระ’


และเพราะประโยคสุดท้ายก่อนแยกจาก มันถึงได้ทำให้เขาเก็บมาเป็นกังวลอยู่แบบนี้


……


ณ ร้านหนังสือภายในห้างสรรพสินค้า เด็กวัยรุ่นตัวสูงโปร่งยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนเองดังเช่นทุกวัน ผิวขาว ๆ กับผมสีน้ำตาลซอยสั้นตามสมัยนิยมและใบหน้าที่ติดจะนิ่งอยู่ตลอดเวลามักดึงดูดสายตาเพศตรงข้ามได้อยู่เสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งเพศเดียวกัน อาจจะเพราะท่าทางเข้าหายากจนดูเหมือนเป็นเรื่องท้าทายไปก็เป็นได้

งานพิเศษในร้านหนังสือแห่งนี้ฟิวได้มาเพราะรู้จักกับเจ้าของร้าน จะว่าเป็นเด็กเส้นก็คงได้ เพราะได้รับสิทธิพิเศษให้กลับก่อนเวลาเลิกงานได้ และยังได้ทำงานเพียงวันเสาร์และวันอาทิตย์เท่านั้น ส่วนเรื่องค่าแรง เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากนัก ไม่ใช่ว่าเพราะรวยอยู่แล้วหรืออย่างไร แต่เพราะงานที่ทำไม่ได้ทำเต็มเวลาเช่นคนอื่น ค่าแรงย่อมน้อยกว่าเป็นธรรมดา และที่สำคัญ งานนี้มันก็ลดความฟุ้งซ่านในใจเขาได้มากเลยทีเดียว

จนเมื่อเวลาเลิกงานมาถึง ฟิวเอ่ยลาเพื่อนพนักงานในร้านก่อนเดินออกมาหน้าร้านดังเช่นปรกติ แต่สิ่งที่ไม่ปรกติก็คงจะเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้…

อาร์ตที่รอฟิวเลิกงานอยู่นาน เมื่อเห็นว่าคนที่รอออกมาจากร้านหนังสือที่เจ้าตัวทำงานอยู่จึงพุ่งตัวมาดักหน้า แต่ดูท่าฟิวจะไม่แปลกใจสักเท่าไรที่เห็นว่าเขามาอยู่ตรงนี้ แค่หยุดมองเงียบ ๆ เมื่อไม่เห็นว่าคนตรงหน้าจะว่าอะไรนอกเสียจากทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ฟิวจึงเบือนหน้าไปมองทางอื่น

จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดรอดออกมาจากปากของคนที่มายืนดักทาง ฟิวจึงจะเดินเลี่ยงออกมา แต่มือใหญ่กลับเอื้อมคว้าข้อมือเขาเอาไว้ ซึ่งเขาก็สะบัดออกเร็วพอกัน แล้วหันกลับมามองตาขวาง

“ขอโทษ…” อาร์ตบอกเสียงเบา ลดมือที่ยกค้างอยู่ลง เผลอกำมือแน่น เมื่อรู้สึกแปลก ๆ บอกไม่ถูก

“พี่มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า?”

อาร์ตยังคงเงียบเหมือนยังปรับอารมณ์ไม่ได้ และที่มากกว่านั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาที่นี่ทำไม ต้องการจะพูดอะไรกับเด็กฟิว ควรขอโทษหรืออะไร ถ้าจะขอโทษ เขาก็ยังไม่รู้ว่าต้องขอโทษเรื่องอะไร เขาทำผิดตรงไหน แล้วฟิวโกรธเขาหรือเปล่าถึงมีท่าทีอย่างวันนั้น เขาไม่รู้อะไรเลย รู้เพียงแต่ในหัวมันวกวนอยู่แต่เรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ สลัดออกจากหัวไม่ได้ถึงต้องมาหาต้นเหตุ แต่เมื่อมาแล้วก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรอยู่ดี อาการพวกนี้มันถึงจะหายไป

“ถ้าพี่ไม่มีอะไร งั้นผมขอตัว”

“เดี๋ยวฟิว!”

อาร์ตรีบรั้งอีกคนไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะผละห่าง ฟิวยอมหยุดนิ่งรอฟังประโยคถัดไป

“ขอเวลาพี่สักเดี๋ยวได้ไหม?” น้ำเสียงติดจะอ้อนวอนเสียด้วยซ้ำเมื่อเอ่ยขอ กลัว… ว่าคนตรงหน้าจะเดินหนีไม่ยอมฟัง แต่ความกลัวนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อฟิวพยักหน้ารับ

หน้าศูนย์การค้าในยามเย็นย่ำ ผู้คนต่างทยอยกลับจากการทำภารกิจของตน รถราติดขัดแน่นขนัด เสียงบีบแตรรถดังยาวเมื่อไม่ได้อย่างใจ ถึงต่อให้รีบสักเท่าไรก็ไปไม่ได้มากกว่านั้นแล้ว ทั้งที่รู้ แต่ก็ยังอยากระบายอารมณ์ที่มันกรุ่นร้อนแข่งกับสภาพอากาศ

ม้านั่งด้านหน้าตัวตึกศูนย์การค้าที่มีไว้บริการลูกค้า ตอนนี้ถูกจับจองโดยเด็กวัยรุ่นหน้านิ่ง มองบรรยากาศวุ่นวายบนท้องถนน ก่อนแก้วน้ำเย็น ๆ ที่มีไอเกาะจะยื่นมาในระดับสายตา ฟิวหันไปมองที่มาของแก้ว ก่อนจะรับมาถือไว้

“ขอบคุณครับ”

เมื่อเด็กหน้านิ่งรับแก้วไปถือ อาร์ตจึงนั่งลงข้างกัน ยกกาแฟในมือขึ้นจิบ ปล่อยให้บรรยากาศรอบตัวผ่านไปอย่างช้า ๆ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไร แต่ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว แก้วน้ำที่อาร์ตถือมาให้ ฟิวก็ยังไม่ได้แตะมันแม้แต่น้อย เขาอยากให้คนที่นั่งคิ้วขมวดอยู่ข้างกายเอ่ยปากบอกธุระมาเสียทีจะดีกว่า อยากกลับห้องจะแย่

“น้องฟิว”

“หือ?” ฟิวขานรับอย่างตั้งตัวไม่ทัน เมื่ออยู่ ๆ คนที่เขาอยากให้พูดก็พูดขึ้นมาทันทีราวรับรู้ว่าเขาคิดอะไร

“ขอโทษนะ…” อาร์ตเอ่ยคำอย่างยากเย็น ไม่แน่ใจในคำพูดตัวเองด้วยซ้ำ

“ขอโทษผมเรื่องอะไร?” ฟิวเอียงคอมอง เลิกคิ้วถาม ท่าทางไม่เข้าใจจริง ๆ

คนที่ขอโทษไปเมื่อครู่ก็ให้คำตอบไม่ได้เช่นกัน นั่นสิ ขอโทษเรื่องอะไรหว่า?

“อืม… ก็… ไม่รู้สิ”

“อ้าว?” งงแตกยิ่งกว่าเดิม

“มันรู้สึกไม่สบายใจแบบแปลก ๆ น่ะ ไม่รู้อะไรเหมือนกัน” อาร์ตพึมพำเหมือนพูดกับตัวเองเสียมากกว่า

“เพราะผมเหรอ?” ฟิวอดเอ่ยถามไปแบบนั้นไม่ได้ ก็พูดเหมือนต้นเหตุมันมาจากเขาเลยนี่ “ผมทำอะไรให้พี่ไม่สบายใจเหรอ?”

“ก็ไม่เชิง คือ… มันรู้สึกแปลก ๆ”

ตัวของอาร์ตเองก็ยังอธิบายความรู้สึกตัวเองไม่ถูก ฟิวยิ่งแล้วใหญ่ จะรู้เรื่องกันไหมนี่

“แปลกยังไง?”

“อืม… ช่างมันเถอะ ที่สำคัญ เราโกรธพี่หรือเปล่าที่พูดกับเราไปวันนั้น?”

วันนั้นที่ว่ามันก็ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว ถ้าฟิวจะโกรธจริง ป่านนี้ก็คงหายไปจนหมดแล้วมั้ง

“ผมจะโกรธพี่เรื่องอะไรล่ะ พี่เองมากกว่าที่ต้องโกรธผมที่จุ้นไม่เข้าเรื่อง” ฟิวบอกเสียงเบา เอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วนั่งเงียบกันอยู่แบบนั้น

“พี่ไม่ได้โกรธหรอก ขอโทษด้วยที่เสียงดังใส่ ก็อย่างที่น้องฟิวบอก เราเพิ่งรู้จักกันด้วยซ้ำ แต่พี่กลับตะคอกน้องฟิวไปแบบนั้น ถ้าฟิวจะโกรธก็ไม่แปลก…”

“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธ!”

คนตัวบางกว่าย้ำให้เข้าใจเสียใหม่ คนนั่งข้างยิ้มขำ

“ครับ ไม่ได้โกรธ น้องฟิวไม่ได้โกรธพี่ และพี่ก็ไม่ได้โกรธน้องฟิว ใช่ไหม?”

“…….” คนถูกถามมองหน้าเฉย ไม่ตอบคำ คนถามจึงสรุปเอาเอง

“ถ้าเราไม่ได้โกรธกัน งั้นน้องฟิวจะว่าอะไรไหม ถ้าพี่อยากจะเป็นหนึ่งในคนที่น้องฟิวให้ความสนิทสนม…” ถามออกไปแล้วก็อยากกัดลิ้นตัวเองตาย ทำไมคำถามมันแปลก ๆ แบบนี้วะ “เอ่อ… พี่หมายถึง เราจะเป็นเพื่อนกันได้ไหม แบบ… พี่น้องกัน…”

ก็ไม่รู้จะย้ำคำให้มากมายอีกทำไม ฟิวก็ยังคงเป็นฟิว มองนิ่งจนคนถามใจแป้ว ก่อนจะเปิดยิ้ม เรียกได้ว่าเป็นยิ้มจริง ๆ ครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เด็กคนนี้มีให้เขา เพราะถ้าไม่ทำหน้านิ่งก็ยิ้มมุมปากกวน ๆ ให้เท่านั้น

“พี่อยากเป็นเพื่อนกับผมเหรอ ไม่กลัวว่าผมจะไปจุ้นเรื่องของพี่อีกหรือไง?”

ฟิวถามอย่างที่ใจคิด ขนาดว่าเขากับคนตัวโตหน้าเข้มยังไม่ได้สนิทกันถึงขั้นจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องส่วนตัวกันได้ด้วยซ้ำ แต่เขาก็ก้าวข้ามมันมาแล้ว หากทำความรู้จักสนิทสนมกันขึ้นมาจริง ๆ แล้วเขาทำแบบนั้นอีกจะทำอย่างไร ไม่มั่นใจหรอกว่าจะนิ่งเฉยอยู่ได้ถ้าเป็นเรื่องของคนคนนี้

“จะจุ้นก็ได้ แค่อย่า…” อาร์ตพูดค้างอยู่แค่นั้นทำให้ฟิวเลิกคิ้วมองอย่างใคร่รู้

“อย่า?”

“อย่าเกลียดพี่ก็พอ”

“………”

วันนี้อาร์ตมาแปลกจริง ๆ เพราะแต่ละอย่างที่พูดออกมาเหมือนไม่แน่ใจ จนบางทีฟิวก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอาร์ตกำลังคิดอะไรอยู่

“แล้วตกลงเราเป็นเพื่อนกันยัง?”

“อาฮะ!” ฟิวทำเสียงตอบรับ ก่อนลุกขึ้นปัด ๆ กางเกงตัวเองเล็กน้อย อาร์ตเงยมองตาม “พี่มีอะไรอีกปะ ถ้าไม่มีแล้ว ผมจะกลับละ เดี๋ยวมืดกว่านี้จะหารถกลับยาก”

ได้ยินดังนั้นอาร์ตจึงลุกขึ้นบ้าง เอาแก้วน้ำทั้งของตัวเองและฟิวไปทิ้งก่อนจะเดินกลับมาหาฟิวที่ยังยืนอยู่ที่เดิม

“ถ้างั้นฟิวก็กลับเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว ขอบใจมากที่ยอมอยู่ฟังเรื่องไม่เป็นเรื่อง”

“หึ งั้นผมไปนะ”

“เออ”

เจ้าเด็กตัวสูงวิ่งออกไปได้เพียงนิดเดียว คนตัวโตหน้าเข้มก็วิ่งตามไปแล้วเรียกไว้

“ฟิว!”

“...?” เจ้าของชื่อหยุดวิ่ง หันมามองคนเรียก

อาร์ตเดินเข้าไปหาและยื่นของบางอย่างในมือไปให้อีกฝ่าย ฟิวรับมาถือ มองหน้าคนยื่นให้งง ๆ

“?”

“ขอเบอร์หน่อย”




★TBC★



 :pig4:

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
 :mc4: :mc4: :mc4:    คุ้นๆเหมือนเราเคยอ่านนะ

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

2

ตัวป่วนกวนหัวใจ



ณ ตึกสูงระฟ้า สถานที่พักอาศัยสำหรับคนมีอันจะกิน ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางสมราคา สองเพื่อนซี้เทปอาร์ตครองจอยส์เกมคนละอัน ต่อสู้กันบู้มันสนั่นจอ ไม่ได้เหลือมาดรุ่นพี่ปี 4 ที่น้อง ๆ เกรงขามกันเลย เล่นจนเหนื่อย แหกปากจนหน่าย ถึงได้โยนจอยส์ทิ้งแล้วเปลี่ยนมานอนเลื้อยบนโซฟาแทน

“พักนี้รู้สึกว่ามึงจะสนิทกับฟิวมากเป็นพิเศษนะ” ตี๋เทปเปิดประเด็นคาใจ

หลังจากที่เฝ้าสังเกตการณ์เพื่อนซี้มานานก็ได้ข้อสรุปว่าพักหลังมานี้เพื่อนซี้มักหายตัวบ่อย โทรหาทีไรมักได้ความว่าไปเฝ้าเด็กเสียทุกที จนสายลับข้างกายอย่าง วิว สุดที่รักของเทปต้องออกสืบราชการลับ และผลก็ออกมาว่าเด็กที่อาร์ตเพื่อนซี้ไปตามเฝ้าคือ น้องฟิว หนุ่ม ม.ปลายวัยขบเผาะ ช่างร้ายกาจนักนะเจ้าหนุ่มหน้าคมคนผิวเข้ม!

“อะไรวะ ก็สนิทเป็นปรกติ”

“ปรกติบ้านมึงดิ ตามเฝ้าทุกวันขนาดนั้น มันน่าสงสัยนะมึง”

ตี๋เทปหรี่ตาจับผิด ตอนนี้อยู่ในมหกรรมจับผิดเต็มที่เพราะสุดที่รักของเขาอยู่ในครัว พอดีเป็นแม่ศรีเรือนน่ะนะ ต้องเข้าใจ สามีอย่างเราก็รอกินอย่างเดียว สบายแฮ

“ว่าไงวะ?”

“ว่าไงอะไร?” เพื่อนซี้ยังตีมึนไม่ยอมเข้าประเด็นที่ตั้งดักไว้

“ไอ้เชี่ย นี่มึงจะไม่บอกกูจริง ๆ ใช่ไหม!?”

เทปแทบลุกไปขย้ำคอเพื่อน จะอมพะนำอะไรหนักหนาไม่รู้ มีเยอะเข้าไปสิความลับน่ะ สักวันมันคงจุกอกตาย

“อาร์ต กูถามมึงจริง ๆ” เทปขยับนั่งตัวตรงหันหน้าเข้าหาเพื่อน สีหน้าจริงจัง “มึงชอบน้องมันเหรอ กูว่าถ้ามึงเล่น ๆ ก็ถอยออกมาเถอะว่ะ สงสารน้องมัน”

คำพูดของเทปทำให้อาร์ตนิ่งไป เพราะรู้ว่าเพื่อนจริงจังจึงไม่กล้าที่จะเลี่ยงอีก

“มึงเห็นกูเป็นคนไม่จริงจังหรือไงวะ?”

“โคตรของโคตรเลยมึงน่ะ!” เทปผลักหัวเพื่อน ส่งสายตาเหยียดหยามไปให้เต็มที่

“สัด กูเป็นคนดีเหอะ ไม่ได้คิดจะไปหลอกลวงน้องมันสักนิด”

“งั้นแสดงว่ามึงเอาจริง?” เทปยังซักต่อ วันนี้ไม่ขาวคงไม่ใช่ตี๋เทป

“ถ้าเขาให้กูเอาอะนะ”

“ห่า จริงจังหน่อยดิวะ” เทปสบถ แทบจะยกเท้านาบหน้าเพื่อน ยังมีอารมณ์มาเล่นมุกอีก

“ดูมึงเป็นห่วงน้องฟิวเหลือเกินนะ คิดอะไรกับเด็กมันหรือเปล่ามึงอะ?”

“ไอ้เพื่อนเวร หางานให้กูแล้วไหมมึง!” เทปมองเพื่อนตาเหลือก เพื่อนเราจะเผาเรือนเสียแล้วไหม

สรุปแล้วจำเลยก็ยังปากแข็งบ่ายเบี่ยงไปได้เรื่อย ๆ ไม่ยอมเปิดปากบอกอะไรใด ๆ จนเพื่อนซี้อย่างตี๋เทปอ่อนใจ

“อาร์ต เรื่องบางเรื่องเก็บเอาไว้มันก็รังแต่จะทำร้ายตัวเองให้เจ็บอยู่อย่างไม่จบสิ้น ถ้าหากมีทางไหนที่มันจะหยุดความเจ็บปวดนั้นได้ กูก็อยากให้มึงทำ” เทปมองหน้าเพื่อน สายตาจริงจังดังคำพูด

“มึงพูดเรื่องอะไรวะ?”

อาร์ตพูดกลั้วหัวเราะให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องตลก ทั้งที่ไม่มีอะไรตลกเลยแม้แต่น้อย สองเพื่อนซี้นิ่งเงียบอยู่ในภวังค์ของตนเอง ก่อนที่เทปจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

“ช่างมันเถอะ ถือว่ากูไม่ได้พูดละกัน”

เทปพูดแค่นั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมบรรยากาศโดยรอบอีกครั้ง อาร์ตขยับตัวลุกขึ้นก่อนบอก

“กูกลับล่ะ”

เพื่อนตี๋ไม่เอ่ยตอบอะไรกลับมานอกจากความเงียบ ตัวอาร์ตเองก็อึดอัดไม่แพ้กัน เรื่องที่คุยกันเมื่อครู่ ประเด็นหลักมันอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฟิวไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ อาร์ตเดินถอยแล้วผละจากมาเงียบ ๆ

เทปเห็นเพื่อนเดินออกจากห้องไปแล้วลมหายใจที่สะกดกั้นไว้ก็ปล่อยพรูยาว การที่เรารู้อะไรแล้วทำเป็นเหมือนไม่รู้ไม่เห็น มันช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก เขาไม่น่าพูดกับอาร์ตไปแบบนั้น หรือมันถึงเวลาต้องยอมรับความจริงกันเสียทีแล้วหรืออย่างไร

“อ้าว อาร์ตไปไหนแล้วล่ะ?”

วิวที่ง่วนอยู่ในครัวเดินออกมาด้านนอกเมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย แต่เมื่อออกมากลับเห็นคนรักนั่งอยู่คนเดียว ไร้ซึ่งเงาเพื่อนซี้ให้เห็น

“มันกลับไปแล้ว” บอกด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปรกติจนจับสังเกตได้

เทปยื่นมือไปหาคนรัก อีกคนก็รู้ใจ ยื่นมือมาจับก่อนเดินมานั่งลงบนตักของอีกคน วงแขนกว้างของเทปโอบรัดร่างนั้นไว้

วิวลูบแก้มคนหน้าเครียดเบา ๆ “ทะเลาะกันเหรอ?”

เทปส่ายหน้า วางคางเกยบนไหล่เล็ก แล้วเอ่ยถามกลับ “ถ้าวิวรู้ว่าเพื่อนสนิทวิวเขาชอบแฟนวิว วิวจะทำยังไง?”

“คำตอบมันไม่ได้อยู่ที่วิวหรือเพื่อนสนิทวิวสักหน่อยนะ เทป” ตอบคำถามคนรักเสียงอ่อน รับรู้ในน้ำเสียงว่าคนนี้กำลังกังวลกับเรื่องบางอย่าง มือเรียวลูบแผ่นหลังที่เกร็งเครียดนั้น ก่อนต่อประโยค “จะทำอะไรก็ช่วยถามความรู้สึกของคนอยู่ตรงกลางบ้างนะ”

คำตอบที่ได้รับทำให้วงแขนนั้นกอดรัดคนในอ้อมกอดแน่นขึ้น

“รักวิวจัง”

ได้ยินคำบอกรัก คนในอ้อมกอดก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนกระซิบตอบ

“วิวก็รักเทปครับ”

บรรยากาศของคู่รักช่างหวานชื่น เต็มไปด้วยความเข้าใจ แต่ขณะเดียวกันนั้น บรรยากาศของห้องข้าง ๆ ก็กำลังกรุ่นไปด้วยความโกรธจากเจ้าของห้อง ใบหน้าที่เคยนิ่งอยู่เสมอ ตอนนี้ยิ่งกว่านิ่ง มีเพียงสายตาเท่านั้นที่บ่งบอกว่าไฟกำลังกรุ่นและพร้อมปะทุในไม่ช้า

“พี่ว่าอะไรนะ?” ฟิว เจ้าของห้องดังกล่าวเอ่ยถาม พยายามอย่างยิ่งที่จะสะกดอารมณ์ของตนเอง

“พี่ชอบฟิว เราคบกันได้ไหม?”

หนุ่มผิวเข้มยังคงไม่รับรู้ถึงอารมณ์ของอีกคน รู้แต่เพียงตอนนี้เขาต้องแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้ เทปพูดเหมือนรู้ความรู้สึกลึก ๆ ในใจเขา ในเมื่อเทปยังระแคะระคาย ต่อไปวิวต้องรู้แน่

แต่ก่อนที่มันจะเกิดอะไรขึ้น เขาต้องทำอะไรสักอย่าง สมองเขามันตื้อไปหมด แทบคิดหาทางออกไม่เจอ ในเวลาเช่นนั้นไม่รู้ทำไมหน้าของฟิวถึงลอยมา นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้อาร์ตต้องมาอยู่ที่นี่แทนที่จะกลับหอของตนเอง มาเพื่อขอคบกับเด็กคนนี้ ทางออกสุดท้ายของเขา

“พี่บอกว่าชอบผม” ฟิวเอ่ยทวนคำน้ำเสียงเย็นเยียบ

อาร์ตตรงเข้าไปจับมือเรียวมากุม ก่อนบอก “ใช่ พี่ชอบฟิว”

ฟิวดึงมืออก ถอนหายใจหนัก ๆ ระงับอารมณ์ “คนเรา… เพื่อปกป้องตัวเองแล้ว ต่อให้ต้องทำร้ายใครก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันผิด ผมเคยคิดว่าพี่จะไม่เป็นแบบนั้น แต่มันก็ไม่ใช่…”

ฟิวพูดเนิบช้าราวพูดเรื่องลมฟ้า แต่คนฟังกลับรู้สึกจุกไปทั้งใจ ร่างกายแทบหมดแรงไปเสียเดี๋ยวนั้น เขาพลาดแล้ว เขาทำพลาดแล้ว…

“ช่วยออกไปจากห้องผมด้วย”

น้ำเสียงเย็นชาบาดลึกจนอาร์ตนิ่งงัน “ฟิว พี่…”

เจ้าของชื่อไม่คิดที่จะอยู่รอฟัง เดินเข้าห้องนอนแล้วปิดประตูกั้นคำแก้ตัวทุกอย่างที่อีกคนจะสรรหามากล่าวอ้าง มันก็แค่คำแก้ตัว ในเมื่อความจริงคือเขาคิดจะทำอย่างที่ฟิวเข้าใจจริง ๆ

…เพียงแค่อยากปกป้องตนเอง กลับทำร้ายคนอื่นอย่างไม่รู้สึกผิด…

ตัวเขามันเหมาะสมแล้วกับคำนี้ ความไว้วางใจที่มีมาทั้งหมดมันพังทลายลงเพราะความสิ้นคิดของเขาคนเดียว

อาร์ตเดินเข้าไปหน้าประตูห้องที่ฟิวอยู่ข้างใน ยกมือทาบกับบานประตู เอ่ยประโยคที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนข้างในจะอยากได้ยินมันไหม

“ฟิว พี่ขอโทษ…”


......


หลังจากวันที่โดนฟิวโกรธ อาร์ตก็ออกอาการหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา ทำอะไรมันก็ไม่ได้อย่างใจ มันค้างคาใจจนแทบบ้า อยากพูดกับเจ้าตัวตรง ๆ มากกว่าคุยโทรศัพท์จนต้องไปดักเจอเหมือนพวกโรคจิต จะบ้าตาย

“อาร์ตเป็นอะไรหรือเปล่า พักนี้ดูหงุดหงิดง่ายจัง” วิวตั้งข้อสังเกต

ตี๋เทปมองเพื่อน ไม่ได้แสดงความเห็นนอกจากซ้ำเติม

“ไม่ไปเฝ้าน้องฟิวของมึงล่ะ?”

“เอ่อ… อาร์ต แบบว่า… วิวก็ไม่ได้จะว่าอาร์ตไม่ดีหรืออะไรนะ แต่ถ้าอาร์ตไม่ได้จริงจังกับฟิว ถอยห่างน้องบ้างก็ดีนะ วิวกลัวน้องเสียใจ สงสารน้อง…”

วิวพูดเสียงอ่อยกลัวว่าอาร์ตจะโกรธเหมือนกันที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง แต่วิวก็ยังเป็นห่วงน้องมากกว่าอยู่ดี ก็อาร์ตน่ะ เจ้าชู้จะตาย พอ ๆ กับเทปตอนก่อนหน้าจะคบกับเขานั่นล่ะ

“ไม่ได้ว่าเลย วิว เขาเรียกว่าด่าเลยล่ะ” อาร์ตว่าแกมประชดหนุ่มตัวเล็ก คนถูกประชดเลยได้แต่ยิ้มแหย

ทำไมใคร ๆ ถึงเห็นเขาเป็นคนแบบนั้นไปกันหมด กลัวว่าเขาจะไม่จริงจังบ้างล่ะ กลัวทิ้งน้องบ้างล่ะ เขานี่ที่โดนทิ้ง ถึงได้หงุดหงิดอยู่อย่างนี้ไง!

อาร์ตลุกจากโต๊ะที่นั่งพิมพ์รายงาน ดูนาฬิกาก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว ปรกติฟิวต้องถึงห้องก่อนสองทุ่มถ้าเป็นวันที่ต้องทำงานที่ร้านหนังสือ แต่วันธรรมดาจะกลับเร็วกว่านั้น ซึ่งวันธรรมดาที่ว่าก็คือวันนี้ แต่ยังไร้วี่แววของเด็กห้องข้าง ๆ ให้วิวโทรถามถึงได้ความว่าไปทำรายงานเลยจะค้างที่บ้านเพื่อน โดนหลบหน้าอยู่หรือไงวะ?

ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด อยากเลิกคิดกลับยิ่งคิด อะไรหนักหนาไม่รู้ คนที่ชอบอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่จิตใจก็ยังพะว้าพะวงเรื่องอะไรก็ไม่รู้ จะว่าไป เรื่องที่เทปพูดเหมือนรู้อะไรบางอย่างคราวที่แล้วมันก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น เทปก็ยังคงเป็นเทปปรกติ คงมีแต่เขาที่คิดมากไปเอง คิดไปไกลจนทำอะไรแบบนั้นลงไป…

‘โว้ย! เลิกคิดสักทีเถอะ ไอ้อาร์ต แค่เด็กผู้ชายคนเดียว จะอะไรนักหนาวะ!’


……


วันเสาร์ ณ ร้านหนังสือ

ภายนอกร้าน ผู้ชายตัวโตหน้าตาคมเข้มถึงขั้นหล่อเดินวนเวียนอยู่หน้าร้านหลายรอบ แต่ทุกรอบก็ไม่เห็นสิ่งที่ตามหา หัวคิ้วเริ่มขมวดมุ่น จึงตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านเพื่อสอบถามพนักงาน

“ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าน้องฟิวไม่มาทำงานหรือครับวันนี้?”

อาร์ตเดินเข้าไปถามพนักงานหน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงิน ที่ประจำของฟิว แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นเจ้าตัวยืนประจำการอยู่เลย

พนักงานสาวหันมายิ้มให้คุณลูกค้าก่อนตอบคำถาม “น้องฟิวหยุดค่ะ เห็นว่ามีงานโรงเรียนเลยไม่ว่างเท่าไรน่ะค่ะ ไม่ทราบมีธุระสำคัญหรือเปล่าคะ ทางเราจะได้ช่วยแจ้งให้ หรือว่าสั่งหนังสือกับน้องเขาไว้คะ?”

“อ่า… เปล่าครับ พอดีไม่เห็นน้องเขา เลยถามดู”

พนักงานสาวพยักหน้ารับรู้ยิ้ม ๆ วันนี้ทั้งวันไม่ได้มีแต่หนุ่มคนนี้หรอกที่มาถามหาน้องฟิว น้องฟิวนี่เป็นตัวเรียกลูกค้าหรือไงนะ พนักงานร้านคนเดิมขำกับความคิดของตัวเอง

เมื่อได้คำตอบเช่นนั้น อาร์ตจึงต้องเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ ออกไปเรียกแท็กซี่หน้าห้างฯให้ไปส่งที่หน้าโรงเรียนฟิว แต่เมื่อมาถึงก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดี ได้แต่เดินเตร่อยู่แถวนั้น รอ และรอต่อไป

รออยู่นานกว่าเด็กนักเรียนที่มาทำกิจกรรมกับทางโรงเรียนจะทยอยออกมา สายตาคมพยายามมองหาคนที่ทำให้ตัวเองว้าวุ่นมาทั้งวัน แต่กลุ่มเด็กวัยรุ่นตัวโตกลุ่มหนึ่งกลับเดินเข้ามาคั่นในระดับสายตา ทำให้ยากต่อการมองหาเข้าไปอีก เลยตัดสินใจจะโทรหา แต่ยังไม่ทันจะยกโทรศัพท์เพื่อโทรออก เด็กตัวสูงผมสีน้ำตาลก็เดินเด่นมาแต่ไกลกับกลุ่มเพื่อน เลือกคบเพื่อนที่หน้าหรือไงวะ พิมพ์เดียวกันเลย

อาร์ตขยับตัวจะก้าวเข้าไปหา แต่ยังช้ากว่ากลุ่มเด็กตัวโตที่เขาเห็นเมื่อครู่ เมื่อกลุ่มเด็กวัยรุ่นกลุ่มนั้นพุ่งตรงเข้าใส่กลุ่มของฟิวโดยที่ยังไม่มีใครทันตั้งตัว ความชุลมุนขนาดย่อมจึงเกิดขึ้น

ด้วยความตกใจอาร์ตจึงรีบเข้าไปกันตัวไอ้หนูของเขาออกมา แต่เพราะมันชุลมุนกันจนเกินไป ไม่รู้หมัดใครเท้าใครบ้างเลยได้รอยแผลฟกช้ำมาหลายรอย ทั้งจากฟิวเองด้วยที่เหวี่ยงหมัดใส่เขาเพราะไม่รู้ เห็นน้องชะงักเหมือนกันที่เห็นว่าคนที่เข้ามาเจ๋อคือใคร จะเข้ามาให้เจ็บตัวทำไมไม่รู้

อาร์ตทั้งดึงทั้งลากไอ้เด็กซ่าที่รั้นไม่ยอม จะเข้าไปร่วมวงกับเขาให้ได้ ทุลักทุเลพอดูเมื่อต้องดึงคนนี้แล้วต้องคอยกันหมัดกันลูกถีบจากเด็กอีกคน อย่าให้ต้องใช้กำลังนะเฮ้ย!

ลากเจ้าเด็กซ่าออกมาได้ทันก่อนที่อาจารย์กับรปภ.ซึ่งไม่เคยจะมาทันสถานการณ์สักทีจะออกมาระงับเหตุ เด็กทั้งสองกลุ่มเลยแตกฮือไปคนละทาง และตามบทสรุปที่ได้จากเหตุการณ์นี้คือ เวย์ เพื่อนในกลุ่มของฟิวไปยุ่งกับคนมีเจ้าของ เจ้าของเขาเลยมาประกาศศักดาว่าข้าใหญ่ ฟิวแทบมอบลูกถีบให้เพื่อนที่ทำอะไรไม่คิด

หลังจากตรวจสภาพของแต่ละคนที่มีแผลฟกช้ำกันคนละเล็กละน้อยก็ล่ำลาก่อนแยกย้ายกันไป ฟิวหันมามองอาร์ตที่ยืนเป็นตึกอยู่ไม่ห่าง เดินผ่านไปราวมองไม่เห็น ทำให้คนที่ยิ้มรอเก้อไป รอยยิ้มนั้นค่อยเจื่อนลงเมื่อมันไม่ได้รับความสนใจ

อาร์ตเดินตามฟิวไปเงียบ ๆ อยากจะง้อ แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่อยากฟัง แต่ก็ไม่อยากจะถอยในตอนนี้ อย่างน้อยน้องก็ไม่ได้ไล่ให้ไปไกล ๆ ถึงจะยังไม่พูดด้วยก็ตาม

ฟิวเดินไปรอรถที่ป้ายรถเมล์ เท่าที่อาร์ตได้อยู่ใกล้ชิดน้องก็พอจะจับสังเกตได้ว่าฟิวไม่ชอบนั่งแท็กซี่ และไม่ได้มีรถรับส่งเหมือนลูกคุณหนูทั่วไป ถ้าไปไหนใกล้ ๆ น้องก็จะเดินเอา แต่ถ้าไกลหน่อยก็รถเมล์หรือไม่ก็วินมอเตอร์ไซค์

เมื่อต่อรถมาจนถึงป้ายใกล้ทางเข้าคอนโดฯ ฟิวก็ลงจากรถโดยมีคนตัวสูงใหญ่ติดสอยห้อยตามมาด้วย แวะเข้าร้านขายยาใกล้ ๆ ที่พัก อาร์ตก็ยืนรออยู่หน้าร้าน จนฟิวทำธุระเสร็จเดินออกมาก็ยังคงเห็นอีกคนยืนรอไม่ไปไหน ฟิวแค่ปรายตามองก่อนเดินตรงไปยังที่พักของตนเอง กดลิฟท์ขึ้นชั้นบน คนตัวโตก็ยังตามติด ก็เขาไม่ได้ไล่นี่นะ

ลิฟท์โดยสารมาหยุดลงชั้นที่ฟิวอยู่ เด็กหนุ่มผิวขาวก้าวฉับไปยังห้องของตนเอง เปิดประตูเข้าไปด้านในก่อนชะงักเล็กน้อยจึงหันมาบอกกับคนที่ยืนมองหน้าละห้อย

“เข้ามาสิ”

สีหน้าอาร์ตดูอึ้งเหมือนไม่แน่ใจ ก่อนจะเปิดยิ้มกว้างเมื่อคนที่เดินเข้าไปข้างในไม่ได้ปิดประตูใส่หน้าอย่างที่เขากลัว ไอ้หนุ่มผิวเข้มจึงรีบกุลีกุจอเข้าไปด้านใน ทั้งยังปิดล็อคให้เสร็จสรรพ ด้วยกลัวว่าเจ้าของห้องจะเปลี่ยนใจ

เมื่อเข้ามาได้ก็ยืนเคว้งทำอะไรไม่ถูก จะนั่งก็ไม่กล้า เพราะเจ้าของเขายังไม่อนุญาต ได้แต่ยืนมองเจ้าของห้องเดินเข้าเดินออกห้องนอนกับห้องนั่งเล่น จนฟิวเดินออกมารอบสุดท้ายถึงได้เรียกให้คนที่ยืนเป็นหุ่นมานั่งที่โซฟาหน้าทีวี

“นั่งสิครับ”

นั่นล่ะอาร์ตถึงได้กล้านั่ง คนที่มีความผิดติดตัวจะเป็นอย่างเขาไหมวะ

ฟิววางอุปกรณ์ทำแผลลงบนโต๊ะกระจก ก่อนจะหยิบ ๆ จับ ๆ นั่นนี่ดูคล่องแคล่ว อาร์ตเองก็มองเพลิน รู้สึกตัวอีกทีสำลีชุบแอลกอฮอล์ก็มาจ่ออยู่ตรงหน้า รวมทั้งหน้าตาดุ ๆ ของคนถือ

“เหม่ออะไร ผมจะเช็ดแผลให้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”

ปากก็ว่าไป มือก็ทำงานไป คนถูกว่าก็มองการทำแผลของคนปากร้ายใจดีไปเงียบ ๆ สะดุ้งบ้างเมื่อโดนแอลกอฮอล์เช็ดรอบแผล แต่คนทำก็พยายามเบามืออย่างที่สุด

ทำแผลไปเงียบ ๆ คนมองก็มองเงียบ ๆ แม้บรรยากาศรอบกายจะเงียบ แต่อาร์ตก็ชอบแบบนี้มากกว่าการที่ฟิวจะมองผ่านไปเหมือนเขาไม่มีตัวตน แค่ได้อยู่ใกล้ ๆ ต่อให้ไม่พูดอะไรกับเขาสักคำก็ไม่เป็นไร แค่อย่ามองเมินเหมือนเขาเป็นเพียงอากาศธาตุก็พอแล้ว อาร์ตเพิ่งสำนึกรู้เอาตอนนี้ว่า ปฏิกิริยาทุกอย่างที่ฟิวมีต่อเขามันสำคัญสำหรับเขามากแค่ไหน

“ขอโทษนะ”

คำขอโทษนั้นทำให้มือที่ทายาให้ชะงัก แต่ก็แค่นิดเดียวมือเรียวก็ขยับต่อ แต่กลับพูดประโยคลอย ๆ ตอบกลับมา

“คำพูดพวกนี้ พูดบ่อย ๆ มันก็ดูไม่จริงใจ” หลังจากประโยคนั้นคนฟังก็หน้าจ๋อยกว่าเดิม ฟิวเลยต้องต่อประโยค “ผมแค่บอกให้ฟังเฉย ๆ”

“อืม”

เมื่อทำแผลเสร็จ พยาบาลจำเป็นก็เก็บอุปกรณ์ทั้งหลายลงกล่องยาเพื่อจะเอาไปเก็บ อาร์ตมองความเอาใจใส่นั้นอย่างรู้สึกผิดมากขึ้น ทั้งที่น้องโกรธอยู่ แต่กลับยังมีแก่ใจช่วยเขาอยู่อีก

“ฟิว ขอโทษนะ” อาร์ตยังย้ำคำที่เขาอยากพูดที่สุด เมื่อฟิวเดินกลับมา

“พี่พูดหลายรอบแล้ว”

“แต่มันก็ยังไม่พอกับความผิดอยู่ดี” อาร์ตว่า

“รู้ว่าผิดก็อย่าทำอีก ก็แค่นั้น” ยักไหล่ราวกับว่ามันเป็นแค่เรื่องง่าย ๆ

ฟิวกลับมานั่งบนโซฟาที่เดิม คนที่นั่งอยู่ก่อนมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกคนนิ่ง ซึ่งคนถูกมองก็ไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากเปิดทีวีดู ไม่มีการสนทนาหลังจากนั้น นอกจากเสียงรายการในทีวีกับสายตาจับจ้องจากคนตัวโตที่ไม่ยอมถอนไปจากใบหน้าของอีกคน

“หิวไหม?”

“ห… หา?”

จู่ ๆ คนที่ดูรายการทีวีอยู่ก็ถามขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ได้หันมามองหน้า มือเรียวกดปิดทีวี ก่อนหันหน้ามาถามอีกครั้ง

“พี่หิวปะ ห้องผมไม่มีอะไรเลยนอกจากขนม ลงไปกินข้าวข้างล่างละกันนะ” ฟิวขยับลุกขึ้น แต่อีกคนยังนั่งมองเฉยจึงหันมาเร่ง “อ้าว จะไปไหม?”

“เอ่อ… ฟิวยกโทษให้พี่แล้วเหรอ?” อาร์ตเอ่ยถามไม่แน่ใจ

อีกคนก็พยักหน้ารับง่าย ๆ “อือ”

“จริงเหรอ ยกโทษให้พี่แล้วจริง ๆ นะ!?” น้ำเสียงยินดีขึ้นมาทันใด แทบอยากกระโดดกอดเด็กหน้านิ่งเหลือเกินแล้ว

“จะไปหรือยัง ถามมากจัง” โดนว่าเข้าให้

แต่ตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ไม่ทำให้คนถูกว่าอารมณ์เสียได้แล้วล่ะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้น้องยกโทษให้เขา หากเป็นเพราะรอยฟกช้ำพวกนี้ เขาก็อยากขอบคุณมัน

“ไปสิ ไป ๆ”

รุนหลังเด็กหน้านิ่งให้เดินนำ ส่วนตัวเองก็เดินตามยิ้มไม่หุบ อาจจะดูว่ามากไป แต่ถ้าเทียบกับการที่ถูกน้องเมินมาทั้งอาทิตย์นี่มันก็น่ายินดีจริง ๆ นั่นล่ะ

ขณะที่เดินลงมาด้านล่าง วิวกับเทปก็เดินผ่านไปพอดี สายตาไม่รักดีก็ยังคงมองตามเช่นเดิม จนคนทั้งคู่เดินลับสายตาจึงหันกลับมามองเด็กที่เดินมาด้วยกันก็เห็นว่าเดินไปเลือกดูของกระจุกกระจิกที่เขาวางขายหน้าร้าน อาร์ตจึงเดินเข้าไปหา

“ยิ่งมองก็ยิ่งจำ ยิ่งจำก็ยิ่งเจ็บ”

เสียงทุ้มห้าวดังมาให้ได้ยิน ทั้งที่เจ้าของเสียงยังยืนเลือกของอยู่ อาร์ตยังยิ้มทั้งที่ถูกว่ากระทบ

“น้องฟิวนี่รู้ไปหมดทุกอย่างเลยนะ อ่านใจคนได้หรือเปล่าเนี่ย?” อาร์ตถามกลั้วหัวเราะ แต่อยากได้คำตอบจริง ๆ

ฟิวหยิบของในกระบะขึ้นมาชิ้นหนึ่ง จับพลิกไปมา ปากก็ตอบคำถามไปด้วย “ผมไม่ใช่ผู้วิเศษนะจะได้อ่านใจใครได้ แต่คนบางคนก็ดูออกง่ายจนเกินไป ต่อให้ไม่ทันสังเกตก็ยังรู้เลย”

“หืม นี่พี่ดูออกง่ายขนาดนั้นเลย?” อาร์ตถามอย่างไม่อยากเชื่อว่าตนเองจะดูออกง่ายขนาดนั้น

แทนคำตอบ เด็กหน้านิ่งก็ยื่นของในมือมาให้ อาร์ตรับมาพลิกดูอย่างถ้วนถี่แล้วเห็นว่ามันคือ… กระจก

“เอาไว้ส่องดูหน้าตัวเอง จะได้รู้” พูดจบแล้วยักคิ้วให้สองจึ้ก

คนที่ยื่นกระจกให้บอกสรรพคุณเสร็จก็เดินอารมณ์ดีไปยังร้านอาหารที่อยู่ถัดไปอีกเล็กน้อย ปล่อยให้คนถือกระจกยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกับความกวนของอีกฝ่าย

ถามว่าแรงไหม? บอกได้เลยว่ามาก!!


......
ต่อด้านล่างค่ะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

เช้าวันอาทิตย์ ณ ที่พักใจกลางกรุง หนุ่มหน้าเข้มกำลังยืนเอ๋ออยู่หน้าประตูห้องที่เปิดกว้าง หันไปมองเลขชั้นหน้าลิฟท์ว่าตัวเองขึ้นผิดชั้นหรือมาผิดห้องหรือเปล่า แต่ไม่ว่าอย่างไร ผลก็สรุปออกมาว่านี่คือห้องของฟิว แล้วเด็กสกินเฮดคนนี้ใครกันครับ?

“มาหาใคร?”

เด็กสกินเฮดถามเสียงห้วน รอยยิ้มมีไมตรีจิตที่ถูกส่งไปให้เลยถูกเรียกกลับมาฉับไว

“ใครมาวะ!?”

เสียงไม่คุ้นหูอีกเสียงดังแทรกขึ้นมา ก่อนเด็กผู้ชายตัวขาวจะโผล่หน้าออกมามอง ตาโต ๆ นั่นมองหน้าอาร์ตที่ยืนงง ก่อนริมฝีปากบางจะเปิดยิ้ม

“มาหาฟิวเหรอครับ?” เด็กตัวขาวเอ่ยถาม ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนของฟิวที่อาร์ตเจอวันที่มีเรื่องกันนั่น

“ครับ ฟิวอยู่ไหม?” เหมือนคำถามของเขาจะแปลก ๆ มาห้องฟิว แต่กลับต้องถามว่าเจ้าของห้องเขาอยู่ไหม

เจ้าเด็กตัวขาวหัวเราะขำ ส่วนเด็กสกินเฮดยังหน้านิ่งอยู่เช่นเดิม ที่เพิ่มขึ้นคือแววตาไม่เป็นมิตร

‘อะไรหว่า?’

อาร์ตไม่เข้าใจกับอารมณ์เด็กตรงหน้าเท่าไร รู้ว่าไม่พอใจ แต่ไม่พอใจเรื่องอะไรนี่สุดจะคาดเดาได้ จนเมื่อเจ้าของห้องโผล่มานั่นล่ะถึงพอคาดเดาได้ราง ๆ

“เฮ้ย! ไอ้เวย์ ไอ้ตัง อย่าอู้! ให้ไปเปิดประตูนี่นานเป็นชาติเลยนะมึง”

ฟิวเดินมาตามเพื่อนที่ตัวเองใช้ให้มาเปิดประตู ไม่รู้คิดถูกหรือคิดผิดที่ใช้ไอ้เพื่อนสกินเฮดหน้าไม่รับแขกมาเปิด คนเขาเห็นหน้ามันคงคิดว่ามันมาทวงหนี้เจ้าของห้อง

“อ้าว พี่อาร์ตเองเหรอ ทำไมไม่เข้าไปข้างในอะครับ?”

หันมาเห็นคนหน้าประตูที่ส่งยิ้มมาให้จึงเอ่ยทัก คนถูกทักปรายตามองเด็กสกินเฮดเล็กน้อย บอกให้รู้ว่าสาเหตุที่ไม่เข้าไปข้างในมันอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ฟ้องนะเว้ย แค่บอกให้รู้…

ฟิวหันไปมองเพื่อนที่ทำหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องแล้วนิ่วหน้า มึงใช่ไหม!

“เข้ามาข้างในก่อนสิครับ” ฟิวเอ่ยบอกแล้วรุนหลังเพื่อนสกินเฮดเข้าไปในห้อง

เมื่ออาร์ตเดินตามเข้าไปถึงได้เห็นว่าภายในห้องยังมีเด็กวัยรุ่นอีก 3 ไม่รวมเด็กตัวขาวที่เจอหน้าประตู แต่ละคนกำลังฝึกซ้อมออกท่าทางเข้าจังหวะกับเพลงที่เปิดอยู่ พอเห็นว่ามีคนมาจึงหยุดแล้วหันไปมอง ฟิวจึงเป็นคนแนะนำทั้งสองฝ่าย

“พวกมึง นี่พี่อาร์ต เพื่อนพี่วิวกับพี่เทป”

ฟิวแนะนำอาร์ตกับเพื่อน ๆ และแน่นอนว่าเพื่อนในกลุ่มต้องรู้จักวิวกับเทปแน่ ถ้าใครเคยมาที่ห้องฟิว

“สวัสดีครับ~”

เด็ก ๆ ยกมือไหว้พรึ่บ บอกสวัสดีเสียงทะเล้น อาร์ตรับไหว้แล้วยิ้มตอบ จากนั้นฟิวจึงไล่แนะนำเรียงตัว ทำให้รู้ว่าเด็กสกินเฮดชื่อ เวย์ และเป็นคนเดียวกับที่ไปยุ่งกับคนมีเจ้าของจนเกิดเรื่อง หน้าตาก็เอาเรื่องดีทีเดียว

หลังจากแนะนำตัวพูดคุยกันพอหอมปากหอมคอแต่ดูเหมือนจะสนิทกันอย่างรวดเร็ว เมื่อกลุ่มเพื่อนฟิวเข้ากับคนง่ายกันเสียเหลือเกิน จะเว้นก็แต่เด็กสกินเฮดที่ดูท่าไม่อยากจะสนิทกับอาร์ต และอาร์ตเองก็ไม่คิดอยากจะสนิทด้วย

อาร์ตนั่งดูพวกเด็ก ๆ ซ้อมเต้นกัน เห็นบอกว่าเป็นกิจกรรมของโรงเรียน ส่วนที่ซ้อมก็ย้ายไปตามบ้านของทุกคนในกลุ่ม จะได้ไม่ต้องรบกวนบ้านใครคนใดคนหนึ่งนาน ๆ

ดูฟิวจะแตกต่างจากเวลาที่อยู่กับเขา แสดงอารมณ์มากขึ้น หัวเราะง่ายขึ้น โหวกเหวกโวยวาย อาร์ตก็นั่งดูไปเพลิน ๆ จนฟิวกับเพื่อนเต้นเสตปสุดท้าย จะไม่อะไรเลยถ้าท่าจบมันจะไม่กวนขนาดนี้ ไอ้ยิ้มกวน ๆ แล้วเชิดหน้าขึ้นเอียงได้องศาพอดิบพอดี ยิ่งคนทำเป็นไอ้หนูฟิว มันยิ่งคูนความกวนเข้าไปสิบเท่า

“วู้ววว~”

เสียงโห่ฮาของคนเต้นเมื่อการซ้อมครั้งสุดท้ายจบลง และเสียงปรบมือเปาะแปะจากตัง หรือข้าวตัง เด็กตัวขาวตาโตที่อาร์ตเจอหน้าประตูนั่น เป็นหนึ่งเดียวในกลุ่มที่ไม่ได้ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้นอกจากมาให้กำลังใจ ด้วยเหตุผลที่เพื่อน ๆ ให้กับเจ้าตัวว่าจะไปฉุดเรทติ้งของกลุ่มเพราะหน้าหวาน ๆ ของข้าวตัง นั่น ไม่สมเหตุสมผล แต่ข้าวตังก็ไม่ได้แย้ง ก็นั่งดูเฉย ๆ สบายจะตาย

ซ้อมเสร็จก็พากันนั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนที่จะไปหาอะไรกินกัน แต่ก่อนหน้านั้นหนุ่มข้างห้องทั้งสองนายก็โผล่มาร่วมแจม โดยเป็นคนออกค่าอาหารทั้งหมด เด็ก ๆ ก็ไม่ได้ขัดศรัทธาแต่อย่างใด นั่งรออาหารที่สั่งกันโดยที่ไม่ได้เกรงใจเจ้าของกระเป๋า สักพักอาหารก็มาส่ง เด็กน้อยทั้งหลายพุ่งตรงเข้าใส่อาหารตรงหน้าทันที ของฟรีใครจะไม่ชอบ

“ตามมาเฝ้าถึงห้องแล้วเหรอวะ?”

ตี๋เทปเอ่ยแซวเพื่อน คนถูกแซวแค่หัวเราะในลำคอตอบกลับมา ไม่ได้ขยายความต่อ สองหนุ่มเพื่อนซี้นั่งจิบเบียร์ตอนบ่ายดูเด็ก ๆ มีความสุขกับการกินอาหารโดยที่มีวิวเข้าไปร่วมวงด้วยอีกคน และดูเหมือนจะเป็นขวัญใจของน้อง ๆ เสียด้วย เห็นวิวหัวเราะพูดคุยหยอกล้อกับน้องแล้วอาร์ตก็มองเพลิน ถ้าสายตาไม่ไปสะดุดกับการป้อนอาหารของ ‘เพื่อน’ คู่นั้นเสียก่อน

บนระเบียงห้องของฟิวถูกเปลี่ยนเป็นห้องกินข้าวขนาดย่อม โดยนำโต๊ะสองตัวมาต่อกันแล้วปูผ้าก่อนจะลำเลียงอาหารที่ซื้อมามาวาง คราวนี้ก็ต่างคนต่างจัดการกับของที่ชอบ หามุมเหมาะ ๆ เอาเองเพราะเก้าอี้ไม่พอ ฟิวเลยตัดปัญหาด้วยการยืนกินมันซะ ข้าง ๆ กันก็เป็นเพื่อนเวย์ สกินเฮด ที่ไม่เคยห่างกันเลยสักนิด

และสิ่งที่ทำให้อาร์ตสะดุดก็คือฉากป้อนไก่ทอดที่ฟิวมัวแต่เติมน้ำอัดลมให้เพื่อน เวย์ก็หวังดี เห็นเพื่อนยังไม่ได้กินอะไรเลยจิ้มชิ้นไก่ทอดนั่นให้ฟิว ซึ่งเจ้าตัวก็อ้าปากงับไม่อิดออด มันไม่ได้โรแมนติกอะไรสักเท่าไรกับการป้อนในครั้งนี้ แต่สายตาหาเรื่องมันก็สรุปไปแล้วว่ามันหวานเกินเพื่อน แล้วก็มาหงุดหงิดเสียเอง

ตี๋เทปพาดแขนล็อคคอเพื่อนที่มองเด็กไม่วางตา สีหน้าไม่สบอารมณ์

“มีคู่แข่งซะแล้วว่ะ เพื่อน” รู้สึกคนพูดจะสะใจในน้ำเสียงเล็กน้อยถึงปานกลาง

อาร์ตลุกจากโซฟาที่ตนนั่ง เปิดประตูกระจกออกไปด้านนอก เดินเข้าไปแทรกระหว่างคู่เพื่อนสนิทที่ตัวติดกันตลอดเวลา จนเวย์ต้องขยับถอยอย่างช่วยไม่ได้ มองหน้าอาร์ตเขม็ง แต่คนต้นเหตุไม่คิดจะสนใจนอกจากขยับเข้าใกล้เด็กของตัวเองมากขึ้น

“ขอน้ำพี่แก้วหนึ่งสิ”

ได้ยินเสียงทุ้มดังใกล้ ๆ ฟิวจึงหันไปมอง “ออกมาแล้วเหรอ นึกว่าจะกินเบียร์แทนข้าวแล้ว”

คำพูดนั้นทำให้อาร์ตยิ้มและคิดเข้าข้างตัวเองสุด ๆ “เป็นห่วงพี่เหรอ?”

“ผมควรห่วงเหรอ ถ้าเจ้าตัวเขาไม่ห่วงตัวเอง ผมจะยังมีสิทธิ์ไปห่วงเขาเหรอ?”

‘โอ๊ะ! ท่าทางอารมณ์ไม่ดีแฮะ โกรธอะไรเราหรือเปล่านี่?’

“น้องฟิว…”

“อะ น้ำ”

ก่อนที่จะทันได้พูดอะไร แก้วน้ำก็ถูกยื่นมาให้เสียก่อน ก่อนที่คนยื่นให้จะถือจานข้าวตัวเองไปนั่งรวมกับคนอื่นที่เอาเสื่อมาปูที่พื้นแล้วนั่ง ชิลได้อีก

อาร์ตมองตามฟิวไปด้วยความรู้สึกแปลก ๆ กลัวจะถูกโกรธอีก เพิ่งจะง้อได้ไม่นานเองนะ แถมได้มาแบบฟลุค ๆ ด้วยสิ อาร์ตจึงต้องเริ่มเทศกาลกินไปมองไป แต่มองไปมองมาก็ได้สายตาทิ่มแทงจากเด็กสกินเฮดมาแทน ทำไมคนอยากให้มองไม่หันมามองบ้างว้า

จนเมื่อทุกคนกินเสร็จก็ช่วยกันเก็บล้างเรียบร้อย คุยกันเรื่องการซ้อมครั้งถัดไปและเรื่องสัพเพเหระก่อนจะแยกย้ายกันกลับ คงเหลือก็แต่หนุ่มผิวเข้มตัวโตที่ยึดฐานที่มั่นไม่ยอมไปไหน

ฟิวกลับเข้ามาในห้อง เก็บของในครัวอีกรอบ อาร์ตตามเข้าไปช่วย แต่ดูเหมือนจะเข้ามาป่วนเสียมากกว่า

“เอ๊ พี่อาร์ต ขวางทางจริง”

ฟิวว่าคนที่เข้ามายืนเกะกะในห้องครัวที่ใช่ว่าจะใหญ่โตอะไรนัก แต่อาร์ตไม่ได้ใส่ใจ คนตัวโตเดินเข้าไปใกล้ ใกล้จนชิด ฟิวเอนตัวไปด้านหลังเมื่อไม่มีที่ให้ถอยไปไหนได้แล้ว แขนแข็งแรงของอาร์ตคร่อมโต๊ะกักคนหน้าบึ้งเอาไว้

“เป็นอะไร?” เอ่ยถามเมื่อน้องไม่ยอมมองหน้า แบบนี้ท่าจะไม่ดีแล้ว

“เป็นอะไรล่ะ?” ฟิวย้อน

“ก็ที่เป็นอยู่นี่ยังจะบอกไม่ได้เป็นอะไรหรือไง โกรธอะไรพี่ ฮึ?”

“โกรธอะไรล่ะ?”

“อย่าตอบคำถามด้วยการถามพี่กลับ” อาร์ตว่าเสียงเข้ม นี่ไม่ใช่เวลากวน เขาต้องการรู้แบบจริงจัง

“เอ๊ะ!” ฟิวชักสีหน้าใส่ที่ถูกดุ มีสิทธิ์อะไรวะ

“ไม่เอ๊ะล่ะ โกรธเรื่องอะไร ไม่พอใจอะไรก็พูด ไม่งั้นพี่ไม่รู้หรอกว่าเราคิดอะไรอยู่”

“ไม่รู้ก็ไม่ต้องรู้สิ!”

“ฟิว!”

“อย่ามาเสียงดังใส่!”

อาร์ตเริ่มเสียงดังเมื่อไม่ได้อย่างใจ อีกคนก็ไม่ยอมกัน เมื่อเห็นท่าว่าจะไปกันใหญ่เลยต้องใจเย็นลง จะคุยกับเด็กคนนี้ใช้อารมณ์ไม่ได้ ถ้าแรงไป รับรองว่าเจ้าตัวต้องแรงกลับแน่

“เป็นอะไรครับ ฟิว โกรธอะไรบอกพี่หน่อย”

“…….” ฟิวเบือนหน้าหนี ยังไม่ยอมพูด

“ว่าไงครับ?”

“……”

“ฟิว…”

“ก็พี่อะ!”

“พี่ทำไมครับ?” รอฟังอย่างใจเย็น ทั้งที่ในใจมันร้อนไปหมดแล้วตอนนี้ แต่บังคับให้พูดไม่ได้ เดี๋ยวโกรธอีก

“พี่มาที่นี่ทำไม?” พอถามแบบนั้นออกไป เห็นคนตัวโตหน้าเสียเลยต้องแก้รูปประโยคใหม่ “ผมหมายถึงมาที่ห้องผมทำไม หรือมาหาใครแล้วเขาไม่อยู่ถึงได้แวะมาเพื่อฆ่าเวลา?”

ประโยคหลังพูดเสียงเบาเหมือนไม่อยากให้ได้ยิน แต่คนที่ตั้งใจฟังก็ได้ยินเต็มสองหู

“พี่ไม่ได้มาหาใครที่นี่ ไม่ได้มาหาฟิวเพื่อฆ่าเวลาเพราะใครไม่อยู่ด้วย” อาร์ตแก้ความเข้าใจนั้นเสียใหม่

“แล้วมาหาผมทำไม?” เด็กขี้สงสัยยังซักเอาความ หรือแค่กวนก็ไม่รู้

“แค่อยากมา ไม่ได้เหรอ?”

“พี่ว่างนักหรือไง ใกล้จบแล้วมันน่าจะยุ่งมากไม่ใช่เหรอ มาหาผมก็ใช่ว่าผมจะช่วยอะไรพี่ได้สักหน่อย”

ฟิวว่าเสียงนิ่ง ลูกอ้อนไม่ได้ผล รับมือยากนะเด็กคนนี้ เมื่อครู่อาร์ตเพิ่งคิดว่าเหวี่ยง ๆ แบบนี้น่ารักดี แต่ดูท่าคนเหวี่ยงจะรู้ตัว กลับมาเป็นน้องฟิวหน้านิ่งอีกละ

“ก็ไม่ว่างเท่าไรอะนะ แต่อยากมา”

“มาเพื่อมองของที่ไม่ใช่ของของตัวเองน่ะนะ ถามจริง มีความสุขไหมกับการทำอะไรซ้ำซาก ทำ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่มีประโยชน์ ทำ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีวันได้มา ทำ ทั้งที่รู้ว่ามีแต่คำว่าเจ็บเท่านั้นคือสิ่งตอบแทน”

“ก็ไม่ได้อยากจะ ‘ทำ’ แต่เพราะหัวใจมันไม่มีหลักยึด ไหวเอนไปได้ตามสิ่งกระตุ้นรอบกาย แม้จะรู้ดีถึงผลที่จะตามมาก็ยังหาจุดจบให้มันไม่ได้ เว้นแต่… น้องฟิวจะกรุณาคนตาบอดคนนี้” ถึงรู้ว่าไม่ได้ผลก็อยากจะหยอด

“ผมไม่ใช่หมอ คงช่วยพี่ไม่ได้ เสียใจด้วย”

“โหย พูดอย่างนี้จะให้พี่ไปต่อทางไหนวะ?”

อาร์ตโวยขำ ๆ ฟิวเลยอมยิ้มตาม

“อยากก้าวไปข้างหน้านะ ไม่รู้ว่าคนแถวนี้จะยอมช่วยไหม?” หยอดอีกสักทีเผื่อได้ผล

“ช่วยแล้วได้อะไรอะ?”

“ก็…” ลากเสียงยาวให้อีกคนรอฟัง “ได้ทั้งตัว ทั้งหัวใจเลย”

น้องเงียบเหมือนจะซึ้ง แต่ไม่ เพราะคำพูดที่ตามมานี่ล่ะ

“ไม่เห็นจะคุ้มเลย โอ๊ย! เจ็บนะ!!”

ขอเขกกบาลสักทีเถอะ กวนจริง ๆ !!


……


กริ๊งงงงงงงงงงงงง

ในช่วงเช้าเช่นนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ใคร ๆ อยากจะนอนหลับซุกตัวใต้ผ้าห่มในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศไว้กินไฟเล่น หากแต่คงไม่ใช่หนุ่มผิวเข้มที่ยืนกดออดหน้าประตูห้องคนอื่นอยู่ตอนนี้ รออยู่สักพัก บานประตูนั้นก็เปิดออกพร้อมกับคนหน้านิ่งที่ตอนนี้ควรเรียกว่ามึนมากกว่า สภาพเหมือนเพิ่งตื่นนอนในชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงขายาวผ้านิ่ม หัวหูยุ่งเหยิง ตาปรือแทบจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่

“ตื่นหรือยังเราน่ะ” คนผิวเข้มว่าขำ ๆ

“ยัง…” อีกฝ่ายก็ยังอุตส่าห์ตอบกลับมา ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ตา ยังงัวเงียไม่หาย

อาร์ตรีบจับมือนั้นไว้ทันท่วงที “ไม่เอาฟิว อย่าขยี้ตา”

คนงัวเงียเลิกขยี้ตา แต่เปลี่ยนมาเปิดปากหาวหวอดแทน

“ง่วงมากเหรอ?” คนมองอดเอ่ยถามไม่ได้ อีกฝ่ายก็พยักหน้าหงึกหงักบ่งบอกว่าง่วงมาก “งั้นวันนี้หยุดงานไหม?”

“……..” ส่ายหน้าดิก

“ถ้าอย่างนั้นคงต้องรีบแล้วล่ะ จะ 9 โมงแล้วนะ ฟิว ไหวไหมเนี่ย?”

“อืม ๆ ผมไปอาบน้ำแป๊บ ขอบคุณที่มาปลุก” ว่าแล้วก็จะลากสังขารเข้าห้อง อาร์ตต้องรีบยื้อประตูไว้ก่อนที่อีกคนจะงับปิด

“เฮ้! จะทิ้งพี่ไว้หน้าห้องนี่หรือไง!?”

“รีบเข้ามาสิ มัวแต่มองห้องข้าง ๆ อยู่ได้”

“อุ้ย! เห็นด้วย”

“แค่ง่วงนะ ตาไม่ได้บอด” คนตาดีตะโกนมาจากในห้อง อาร์ตได้แต่หัวเราะกับตัวเอง เฮ้อ! รู้ไปหมดทุกอย่างสิน่า

“จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม ถ้าไม่เข้ามาก็ปิดประตูให้ด้วย” สั่งสำทับมาอีกทีเมื่อคนหน้าประตูยังไม่ยอมเดินเข้ามาเสียที

“ครับ ๆ เข้าไปแล้วครับผม” อาร์ตรับคำกวน ๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านใน แต่สายตาเจ้ากรรมก็ยังไม่วายเหลือบมองห้องข้าง ๆ

เมื่อไรจะหยุดเพ้อฝันเสียทีก็ไม่รู้ ของที่มันไม่ใช่ของเรา ต่อให้ดิ้นรนให้ตายมันก็ไม่ใช่ คนที่อยู่ใกล้กายตอนนี้ต่างหากที่ควรใส่ใจ คิดจะก้าวไปข้างหน้าแล้วก็ไม่ควรเดินถอยกลับมาอีกเลย

“ถ้าอยากไปห้องนั้นมากกว่าก็ก้าวออกไปได้เลย”

เสียงนั้นยังคงลอยมาดังรู้ความนึกคิดของอีกคนเป็นอย่างดี อาร์ตยิ้มกับตัวเอง ช่วงขายาวค่อยก้าวพ้นประตูห้อง ก่อนประตูบานนั้นจะปิดลงช้า ๆ เหมือนกับหัวใจของเขาที่มันได้เลือกแล้วว่าจะก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน





★TBC★




เรื่องนี้เคยลงในเล้าเมื่อ 6 ปีที่แล้วค่ะ เป็นเรื่องที่ 2 ที่ใหม่แต่งต่อจากเรื่องสั้นของน้องมิน เป็นช่วงใส ๆ แบ๊ว ๆ ตามประสา สำนวนก็จะประมาณนี้ค่ะ ใครเคยตามใหม่สมัยก่อนน่าจะทันได้อ่านเรื่องนี้อยู่

ขอบคุณที่จำได้นะคะ บวกค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
เอาใจช่วยคนน้องให้เป็นที่หนึ่งในใจของคนพี่ให้ได้นะจ๊ะ

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
3

ไม่อยากใช้มันร่วมกับใคร



ณ บ้านหลังใหญ่ที่แทบเรียกได้ว่าคฤหาสน์ ด้วยบริเวณที่กว้างขวาง ถูกจัดสรรปันส่วนให้ลงตัวตามประโยชน์ใช้สอยที่บางทีมันก็มากเกินความจำเป็น

เด็กวัยรุ่นผมสีน้ำตาล ตัวสูง ผิวขาว ก้าวเดินไปตามทางเท้าที่ถูกปูด้วยอิฐแผ่นหนา เรียงต่อกันมุ่งตรงไปยังตัวเรือนหลังเล็กที่ดูร่มรื่นสบายตา แตกต่างจากบ้านหลังใหญ่โตด้านหน้าที่มีแค่ความหรูหราแต่ไร้ซึ่งความสงบและเย็นใจ ร่างนั้นเดินเลาะไปตามทางเรื่อย ๆ จนเข้าเขตตัวเรือนเล็กที่มีชานยื่นออกมาด้านหน้า กั้นเป็นระเบียงด้วยไม้ระแนง ปลูกดอกกุหลาบไม้เลื้อยพันรอบ ๆ ซึ่งตอนนี้ก็แข่งกันออกดอกชูช่อสวยงาม

ตัวชานบ้านที่ยื่นออกมานั้นถูกใช้เป็นที่นั่งพักผ่อน มีเก้าอี้หวายตัวยาวและโต๊ะไม้เคลือบมันวาวตั้งอยู่ชิดขอบระเบียง ซึ่งเก้าอี้หวายตัวดังกล่าวก็ถูกจับจองโดยหญิงชราท่าทางใจดีที่กำลังสอนเด็กรับใช้ในบ้านทำงานฝีมือ ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้หญิงชราคนดังกล่าวมากขึ้น เด็กรับใช้เงยหน้ามาเห็นก็ถูกใครคนนั้นแตะปากเป็นสัญญาณไม่ให้ส่งเสียง แม่สาวใช้เลยได้แต่ก้มหน้าซ่อนยิ้ม
เด็กตัวสูงค่อยย่องเข้าไปด้านหลัง ก่อนแขนเรียวจะโอบกอดร่างท้วมของหญิงชราผู้นั้นไว้

“ฟิวกลับมาแล้วครับ ย่า”

ร่างท้วมที่ถูกสวมกอดสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกสวมกอดอย่างไม่ตั้งตัว แต่เมื่อรู้ว่าใครจึงหันมาลูบหัวคนที่สวมกอดตนเองนั้น ฟิวขยับลงไปกราบที่ตักคุณย่า

“ทำย่าตกอกตกใจหมด เจ้าหลานคนนี้” ต่อว่าไม่จริงจังนัก

ฟิวหอมแก้มยุ้ยซ้ายขวาเอาใจ คนเป็นย่าก็หัวเราะกับท่าทางขี้ประจบของหลานชาย

“พอ ๆ แก้มย่าช้ำไปหมดแล้ว”

“ก็แก้มย่าหอมนี่นา ฟิวก็เลยอยากหอม” ว่าพลางสาธิตให้ดูว่าตนเองพูดจริง

“ยังไงแก้มเหี่ยว ๆ นี่มันคงหอมสู้แก้มสาว ๆ ไม่ได้ร้อก ไม่อย่างนั้นฟิวคงกลับมาอยู่บ้านแล้วล่ะ” ท่านว่างอน ๆ

คนเป็นหลานเลยรีบนั่งลงที่พื้นกอดเอวหนา หัวทุยก็ถูไถต้นแขนอวบอ้อน ๆ “โถ ใครกันนะทำให้คุณย่าคนดีของฟิวไม่พอใจ เดี๋ยวฟิวจะจัดการมันเดี๋ยวนี้เลย!”

“เชอะ! ไม่ต้องมาทำกลบเกลื่อน” สะบัดหน้าค้อนหลานชาย ไม่เคยโกรธจริงจังหรอกกับหลานคนนี้

มือเหี่ยวย่นลูบศีรษะทุยเบา ๆ ฟิวเงยหน้ามองคนเป็นย่า เขาอบอุ่นทุกครั้งที่กลับมาที่นี่ ที่ของเขา ที่ซึ่งเป็นของเขาแค่คนเดียว

ฟิวจะกลับบ้านเวลาใกล้สอบ และทุกทีย่าก็จะพาไปทำบุญด้วยทุกครั้งที่กลับมา ฟิวจึงมีกิจกรรมในวันหยุดแตกต่างจากเด็กทั่วไปคือ ไปวัด

“เมื่อไรฟิวจะกลับมาอยู่บ้านเราเสียทีล่ะ ลูก ไอ้คอนดงคอนโดอะไรนั่นมันดีนักหรือไง หืม?”

กลับมาทีไรย่าก็มักถามเขาเช่นนี้เสมอ ใช่ว่าเขาไม่อยากกลับมา แต่บ้านหลังนั้นมันไม่ใช่ที่สำหรับเขา

“ก็… มันอยู่ใกล้โรงเรียนน่ะครับ ย่า แล้วมันก็เป็นส่วนตัวดีด้วย ฟิวไม่ชอบความวุ่นวาย ย่าก็รู้”

ฟิวตอบเลี่ยงไป ไม่อยากให้ย่าไม่สบายใจเพราะเขา การทำให้คนที่รักเราร้องไห้มันเป็นบาป ซึ่งเขาจำมันไม่เคยลืม

“ถ้ามันวุ่นวายนักก็มาอยู่กับย่า” คุณย่าเอ่ยหนักแน่น

ฟิวยิ้มบาง “ขอบคุณครับ ย่า ฟิวรักย่านะ”

ศีรษะซุกซบอกอุ่น ย่ารักและหวังดีกับเขาเสมอ ทุกครั้งที่เขาเป็นทุกข์ ย่าคือคนแรกที่เป็นทุกข์เป็นร้อนตามเขา ถ้าเป็นไปได้ ฟิวก็ไม่อยากจะสร้างปัญหา ไม่อยากเอาเรื่องร้อนใจมาทำให้ผู้เป็นที่รักต้องอยู่ไม่สุขตามไปด้วย



“กลับมาได้แล้วเหรอ?”

ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าบ้าน น้ำเสียงประชดประชันเย้ยหยันก็ดังมาให้ได้ยิน ฟิวมีสีหน้าเบื่อหน่าย เบื่อทุกครั้งนั่นล่ะที่ได้ยินเสียงนี้

เจ้าของเสียงเป็นเด็กหนุ่มที่ตัวโตกว่าฟิว คุณลักษณะแห่งความเป็นชายมีเพียบพร้อม แต่มันก็แค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก ข้างในนั้นใครจะรู้

“พ่ออยู่ไหม?” ฟิวเอ่ยถามคนที่กำลังเดินเข้ามาหา ด้วยความต่างทางร่างกายทำให้ฟิวยิ่งดูตัวเล็กลงไปอีก

“คุณลุงไม่อยู่ อยู่แต่แม่ฉัน ฉันว่านายคงไม่อยากเจอเท่าไร” คนพูดยิ้มเหยียด

ฟิวเลยยิ้มแบบนั้นบ้างก่อนตอบกลับ “รู้ดีนี่ แต่ฉันว่านายน่าจะรู้ดียิ่งกว่านี้ว่าไม่ควรเอาหน้าตาเห่ย ๆ ของนายมาเสนอให้ฉันเห็น เวลาฉันกลับมาบ้าน”

“ไอ้ฟิว!!” คนที่ถูกว่าหน้าเห่ยเสียงดัง

“จุ๊ ๆ ไม่เอาน่า พี่ชาย ขึ้นไอ้ขึ้นอีอย่างนี้ไม่ดีเลยนะ เดี๋ยวภาพลักษณ์ความเป็นผู้ดีมันจะกระเด็นหายไปหมด”

ฟิวว่ายียวน คนถูกว่าได้แต่หน้าดำหน้าแดงเพราะยากที่จะตอบโต้ แต่ฟิวไม่ได้สนใจ จะหน้าเขียวหรือหน้าเหลืองก็ช่าง เขาก้าวออกมาจากบ้านโดยไม่คิดจะเข้าไปหาคนที่อยู่ด้านใน เขามาหาพ่อ ในเมื่อคนที่เขามาหาไม่อยู่ แล้วจะต้องเข้าไปอีกทำไมกัน

ไม่ใช่ว่าโกรธเกลียดผู้หญิงคนนั้น เพราะเธอก็เป็นคนดี แต่ลูกชายเธอนี่สิที่เหลือรับประทานจริง ๆ ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่คนอื่น แต่กลับทำตัวราวเจ้าของบ้าน คาดหวังอะไรอยู่ใครจะไม่รู้ แต่คิดหรือว่าจะเป็นอย่างที่หวัง ฟิวก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าระหว่างลูกในไส้อย่างเขา กับลูกนอกไส้อย่างหมอนั่น พ่อจะเลือกใคร

ก็ไม่ได้อะไรมากมาย ก็แค่พ่อแม่แยกทางกันและมีครอบครัวใหม่เป็นของตัวเอง ฟิวแค่รู้สึกว่าบางทีเขาก็เหมือนเป็นส่วนเกิน ความรักของพ่อแม่ที่มีให้ไม่ได้ลดน้อยลง เพียงแต่เขารู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิม ก็เท่านั้น

ผู้ชายคนเมื่อครู่ก็แค่ลูกติดภรรยาใหม่พ่อ ฟิวไม่ได้รังเกียจเขาเพราะต่างคนต่างอยู่อยู่แล้ว ส่วนคนนั้นจะคิดยังไงไม่ได้อยู่ในความสนใจ การออกไปอยู่ข้างนอกไม่ใช่การเรียกร้องความสนใจ แค่ต้องการหาพื้นที่สำหรับตัวเอง ที่ที่มีแต่เขาเท่านั้นที่เป็นเจ้าของ แต่ก็ยังหาไม่เจอ ที่ที่เขาเคยคิดว่าเป็นของตัวเองกลับมีอีกคนมาร่วมใช้ และในที่สุดมันก็หลุดมือเขาไป ความรักครั้งแรกที่แสนเจ็บปวด

ตกเย็นฟิวก็ไปกินข้าวบ้านใหญ่ เจอหน้ากันพ่อก็บอกให้กลับมาอยู่บ้าน ก็พูดแต่เรื่องเดิม ๆ ฟิวก็แค่ฟังไม่ได้ตอบโต้อะไร ส่วนไอ้คนที่ทำตัวกร่างเมื่อกลางวัน ตอนนี้กลับทำตัวสงบเสงี่ยมเป็นพี่ชายที่แสนดีจนเขาแทบอาเจียน คิดว่าพ่อเขาโง่หรือไงจะดูคนไม่ออก ถึงฟิวกับพ่อจะดูเหมือนไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกมากนัก แต่จริง ๆ แล้วแค่แสดงออกไม่เก่งทั้งคู่ก็เท่านั้น

หลังข้าวเย็นที่สุดแสนจะกร่อย ฟิวก็ขอกลับมานอนที่บ้านย่า อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ออกมาจากห้องน้ำถึงเห็นว่าโทรศัพท์มีสายที่ไม่ได้รับ ว่าจะกดดูกลับมีสายเรียกเข้ามาพอดี ฟิวมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอแล้วยิ้ม

“ครับ”

“ฟิว อยู่ไหนน่ะ!?” พอกดรับปุ๊บ คนปลายสายก็สวนมาทันที

“ผมอยู่บ้าน” ฟิวบอกไปง่าย ๆ เดินไปนั่งบนเตียงใช้ผ้าเช็ดผมไปพลาง

“กลับบ้านเหรอ…”

เสียงคนถามแปลก ๆ แต่ฟิวก็แค่คิดว่ารู้สึกไปเอง สัญญาณอาจไม่ดีก็ได้

“ครับ” ตอบไปแค่นั้นความเงียบก็ปกคลุมคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ทันที

“………”

“พี่อาร์ต…”

“พี่ไม่เห็นรู้” คนปลายสายพูดขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ฟิวคงไม่ได้คิดไปเองแล้วล่ะ

“แค่กลับบ้านเอง” บอกเสียงเบา เพราะไม่แน่ใจในอารมณ์ของอีกคนตอนนี้

“นั่นสินะ แค่กลับบ้าน ไม่เห็นจำเป็นจะต้องบอกให้ใครที่ไหนรู้” นั่นไง ชัดเลย

“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น ก็ปรกติไม่มีใครต้องบอกนี่ ผมขอโทษละกันถ้าทำให้พี่รู้สึกไม่ดี” ฟิวบอกไปแบบนั้นทั้งที่กำลังยิ้ม เขาไม่เห็นหรอกเนอะ

ได้ยินเสียงคนทางนั้นถอนใจก่อนจะพูดประโยคต่อมา “พี่เป็นห่วงน่ะ เห็นไม่กลับห้อง”

“พี่ไปหาผมที่ห้องเหรอ?”

“อืม...” ตอบไม่เต็มเสียงนัก แต่แค่นั้นมันก็ทำให้คนทางนี้ยิ้มได้

“มีอะไรหรือเปล่า?”

“หา? อะไรล่ะ?”

“ก็พี่มาหาผม มีธุระสำคัญหรือเปล่า?” ฟิวทวนคำถามอีกรอบ

“เปล่า แค่…”

“หือ?”

“เออ! ช่างเถอะ เอาเป็นว่าถ้าจะไปไหนบอกพี่ด้วย จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” อาร์ตเปลี่ยนเรื่องฉับพลัน ทำให้ฟิวลงไปนอนกลิ้งบนที่นอนกลั้นขำ

“ครับ คราวหน้าคราวหลังไปไหนมาไหนจะบอกพี่คนแรกเลยครับผม!”

“อย่ามาทะเล้น” อาร์ตว่า “เออ แล้วนี่จะกลับมาวันไหน?”

“อืม… เดือนหน้า”

“หา!?” คนปลายสายเสียงดังจนฟิวต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างหู

“จะหาทำไมเล่า ผมล้อเล่นหรอก” ว่าแล้วหัวเราะ

“ฟิว!”

“โอ๋ ๆ อย่าเพิ่งเสียงเข้มน่า หน้าตาก็เข้มอยู่แล้วนะครับ พี่”

อาร์ตฟังเสียงแจ๋ว ๆ นั้นนิ่ง อารมณ์ดีหรือไงนะ ปกติมีที่ไหนกันแบบนี้

“ตกลงจะกลับวันไหน?”

“วันจันทร์ อีกสองวันเอง ไม่ต้องคิดถึงผมมากนะ เดี๋ยวก็ได้เจอแล้ว”

อาร์ตหัวเราะหึตอบกลับมา หลังจากนั้นก็คุยกันเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งวางสายไป

‘คิดเหรอว่าผมจะกลับภายในวันสองวันนี้จริง ๆ มันง่ายไปน่ะสิ คิดถึงผมให้มาก ๆ เข้านะ พี่อาร์ต’

ฟิวยิ้มมุมปาก เขาเป็นพวกหวงของ ของทุกอย่างที่เป็นของเขา ต้องมีแค่เขาเท่านั้นที่ได้ครอบครองมัน ที่ของเขาก็ต้องเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น


......


หลังจากโทรหาฟิวและได้คำตอบว่าน้องกลับบ้าน ทำให้อาร์ตรู้สึกว่าตนเองไม่สำคัญพอที่น้องจะบอกกล่าวเลยหรือว่าจะไปไหนมาไหน แต่เมื่อได้คิดทวนในเรื่องที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฟิวก็ยังไม่ได้ชัดเจนว่า ณ ขณะนี้แล้วทั้งคู่เป็นอะไรที่มากกว่าพี่น้องที่อาร์ตเคยขอจากฟิว ดังนั้น มันจะมีความจำเป็นอะไรที่น้องจะต้องบอกเขา ที่เคยหยอดไป น้องก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาชัดเจน อาร์ตเองก็ไม่ได้จะเอาคำตอบกับตรงนั้น เพราะการได้อยู่ข้างกันดังเช่นที่ผ่านมามันก็ทำให้เลือน ๆ กับเรื่องนี้ไปได้ ในเมื่อมันมีความสุขดีอยู่แล้ว เขาก็ไม่ได้หาคำตอบให้ความสัมพันธ์นี้ จนวันนี้ที่น้องไม่ได้อยู่ใกล้ถึงเพิ่งตะหนักถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างกัน

“เป็นอะไรอีกวะมึงหนิ เลือดจะมาลมจะไปหรือไง ดีได้ไม่นาน หงุดหงิดอะไรอีก?”

ตี๋เทปที่ตอนนี้แทบจะเอาหัวมุดเข้าไปในกองหนังสือเงยหน้ามาถามเพื่อนที่ปล่อยบรรยากาศมาคุอวลในอากาศ เห็นแล้วอึดอัดแทน ช่วงใกล้สอบแบบนี้เขาและวิวต้องห่างกันสักนิด ถ้าอยู่ด้วยกันมีหวังเทปไม่เป็นอันทำอะไร เลยย้ายเคหาสถานมาที่ห้องไอ้หนุ่มหน้าเข้มแทนห้องของตนเอง แต่มาที่นี่แทนที่จะมีสมาธิกับการอ่านหนังสือมากขึ้น ดันต้องมาอึดอัดกับบรรยากาศอึมครึมที่เพื่อนสร้างขึ้นอีก ไอ้เทปอยากจะบ้า

“มึงเป็นอะไรของมึ๊ง หา!”

“เรื่องของกู” ผลของคำตอบห้วน ๆ นั่นเลยได้ลูกถีบตี๋เทปมาเป็นรางวัล

“เชี่ยเทป! มึงเล่นงี้เหรอ!?”

“เออ! ถ้ามึงยังไม่ทำหน้าให้มันดีกว่านี้นะ กูจะแถมให้มึงอีกข้างเลย สาด!”

“………”

“เป็นอะไรไหนว่ามาซิ… อ้อ ๆ ๆ ๆ ไม่ต้องละ กูพอรู้ละ” อาร์ตยังไม่ทันจะได้อ้าปากบอกอะไร ตี๋เทปก็เหมือนจะรู้สาเหตุที่เพื่อนเป็นได้แล้ว “น้องฟิวทิ้งมึงแล้วใช่มะ?” หนุ่มตี๋ว่า ท่าทางรู้ดี

“ไอ้เหี้ย! ความคิดมึงนี่นะ”

“ไม่งั้นจะเป็นอะไรไปได้วะ กูว่าน้องมันต้องเบื่อมึงแล้วแน่ ๆ ดูมึงดิ หล่อก็ไม่หล่อ สู้กูก็ไม่ได้ ขาว ตี๋ สเป็คสาวเลยนะเว้ย!” เกทับเพื่อนเต็มที่

“เออ ไอ้ตี๋ ไอ้โอโม่ กูไม่ขาวบ้างนี่ว่ากูจัง มึงมันพวกหาได้โดยทั่วไป เดินตามท้องตลาดก็เจอ กูมันลิมิเต็ดเว้ย หล่อแบบไทย ๆ ไร้ศัลยกรรม แล้วฟิวมันก็เป็นผู้ชายเว้ย ไอ้ห่าน!”

คนนี้ก็ไม่ยอมกัน สมแล้วที่เป็นเพื่อนกันได้ หลงตัวเองไม่ต่างกันสักคน เกทับกันเองแล้วก็พากันหัวเราะ เป็นคู่เพื่อนซี้ที่ไร้สาระมาก ๆ ก่อนที่ตี๋เทปจะเปลี่ยนมาถามเพื่อนอย่างจริงจังอีกที

“แล้วตกลงมึงเป็นอะไรวะ เอาให้ชัด”

อาร์ตถอนหายใจ เอนตัวไปพิงเตียงด้านหลัง ก่อนตอบเพื่อนเสียงเนือย “น้องมันกลับบ้าน กูโทรถามมันบอกจะกลับวันจันทร์ นี่มันวันศุกร์แล้วนะเฮ้ย มันยังไม่กลับอีก”

“ฟิวมันยุ่งอยู่หรือเปล่า ช่วงนี้ ม.ปลายสอบแล้วนี่ ดูอย่างมึงกับกูดิ แทบจะกินหนังสือแทนข้าวอยู่ละ”

เทปพยายามไกล่เกลี่ย ไม่เคยเห็นเพื่อนนอยด์ขนาดนี้ ทุกทีก็มีแต่คบไปเรื่อย ไม่ใช่ก็เลิก นี่คงต่างจากทุกที แค่น้องเขากลับบ้าน ไอ้เพื่อนตัวดีดันนอยด์เสียขนาดนี้

“มันก็บอกว่ายุ่งเหมือนกันถึงยังกลับไม่ได้ แต่มันไม่น่าบอกว่าจะกลับวันจันทร์นี่หว่า ปล่อยให้กูรอ แม่ง”

“อ้าว ไอ้เหี้ย ที่มึงสร้างบรรยากาศอึมครึมอยู่นี่เพราะงอนน้องมันเหรอวะ โห่ โตเป็นควายละ ไอ้ห่า!” เทปแทบลงไปนอนกลิ้ง ขณะที่ไอ้คนงอนยิ่งหน้าบูดเข้าไปอีก

“ถ้ามึงยังไม่หยุดหัวเราะนะ เทป มึงได้ลงไปนอนตายบนพื้นนั่นจริง ๆ แน่”

“โห่ มีขู่ว่ะ แต่กูขำจริง ๆ นะ ขออีกทีได้ปะวะ?” เทปยังไม่เลิกล้อ ยิ่งเห็นเพื่อนหงุดหงิดยิ่งมีความสุข ก๊าก “เออ ๆ ไม่หัวเราะแล้ว อย่าซีเรียสไปน่ามึง เรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้”

เอานิ้วโป้งแตะปลายนิ้วก้อยให้รู้ว่ามันเล็กจริง ๆ นะเออ ตบบ่าเพื่อนปุ ๆ ดันให้เข้าไปเครียดกับกองหนังสือด้วยกันอีกรอบ


.....
ต่อด้านล่างค่ะ  :katai5:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5

หลังจากมุดอยู่ในกองหนังสือกันจนพอใจ สองเพื่อนซี้จึงได้ฤกษ์ออกจากห้องไปหาซื้อของกินก่อนมุ่งตรงกลับห้องของเทปต่อไป พอมาถึงห้องของตี๋เทปเพื่อนซี้ สายตาของหนุ่มผิวเข้มก็อดไม่ได้ที่จะมองห้องข้าง ๆ ถึงรู้ว่าเจ้าของห้องเขาไม่อยู่ก็ตาม มันกลายเป็นความเคยชินไปแล้วหรือไงที่จะต้องมองหาเจ้าของห้องนั้นทุกครั้งที่มาที่นี่ ทั้งที่เขายึดมั่นต่อวิวมาตั้งหลายปี ไม่ว่าคบกับใคร ควงกับใคร บทสรุปที่ได้ก็ไม่ต่างกัน ไม่มีใครแทนที่วิวในใจเขาได้ แต่กับอีกคนที่แค่เจอกันไม่กี่ครั้ง กลับมีความสำคัญมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

เทปที่จัดการรูดการ์ดเปิดประตูอยู่หันไปมองเพื่อนแล้วส่ายหน้า เป็นเอามากนะ

“เอาน่ามึง เดี๋ยวน้องมันก็กลับมาแล้ว ถ้ามึงคิดถึงมันมาก ไปหามันที่บ้านก็ได้นี่หว่า ไม่ก็ดักรอหน้าโรงเรียน เออ! ใกล้มหา’ลัยเราแค่นิดเดียวเองนี่หว่า ทำไมมึงไม่ไปวะ?”

เหมือนตี๋เทปเพิ่งนึกได้ว่าโรงเรียนของฟิวอยู่ฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยของตนเอง อาร์ตเดินเข้าไปในห้องพร้อมข้าวของในมือ เมื่อเพื่อนเปิดประตูให้แล้ว

“จะไปทำไมวะ ถ้าน้องมันไม่อยากเจอ กูจะเสนอหน้าไปหามันทำไม?”

“โอ๊ย ไอ้พระเอก ไว้รอให้น้องมันทิ้งมึงจริง ๆ กูจะรอเก็บซากมึงเองละกัน”

“กูจะโดนทิ้งได้ไง ยังไม่ได้คบกันด้วยซ้ำ” อาร์ตว่า น้ำเสียงหงุดหงิดขึ้นไปอีกเมื่อพูดเรื่องนี้

“อ้าว กูก็นึกว่าคบกันแล้ว เห็นมึงออกอาการซะขนาดนั้น นี่ตกลงยังอีกเหรอวะ?”

“ยัง”

“มึงมัวรออะไรอยู่…”

ก่อนที่เทปจะได้ถามอะไรต่อจากนั้น คนที่อยู่ในหัวข้อสนทนาก็เดินออกมาจากในครัวห้องเขา เมื่อเจอหน้ากันจัง ๆ แบบนี้ อาร์ตก็ถึงกับเงียบ ไม่นึกว่าจะมาเจอที่นี่นี่หว่า

“อ้าว ฟิว กลับมาแล้วเหรอ?” เป็นเทปที่เอ่ยทักขึ้นมาก่อน

ฟิวหันไปยิ้มให้พี่ข้างห้อง ขณะที่อีกคนไม่ยอมเอ่ยทัก ไม่ปริปากใด ๆ ถือถุงเครื่องดื่มเข้าไปหาวิวที่อยู่ในครัว แต่หูก็ยังได้ยินเสียงพูดคุยของคนนั้นแว่วเข้ามา

“ครับ พรุ่งนี้สอบวันสุดท้ายแล้ว เลยกลับมาห้องก่อน ไม่อยากไปสายน่ะครับ”

‘อ้อ! กลับมาเพราะกลัวไปโรงเรียนสาย หวังอะไรอยู่วะ อาร์ต เขาไม่ได้กลับมาหามึงสักหน่อย’

หลังอาหารเย็นมื้อนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยเฮฮา โดยมีวิวกับฟิวผูกขาดการพูดคุยทั้งหมด มีเทปร่วมวงสนทนาด้วยเป็นบางครั้ง จะมีก็แต่คนคนเดียวที่ไม่มีอารมณ์ร่วมกับใครเขา

อาร์ตยังนิ่งเงียบบอกให้ใครบางคนรู้ว่าไม่พอใจ แต่ดูเหมือนคนคนนั้นก็ไม่สนใจเขาเหมือนกันนี่สิ จะให้เข้าไปคุยก่อนเดี๋ยวได้เขาหาว่าอ่อนเอาสิ

“พี่เทป พี่วิว เดี๋ยวผมกลับห้องแล้วนะ”

“จะกลับแล้วเหรอ?” วิวถามเมื่อน้องลุกขึ้น

“ครับ จะทบทวนหนังสือที่อ่านมาหน่อยน่ะครับ”

“พรุ่งนี้สอบวันสุดท้ายสินะ ขอให้โชคดี” เทปว่า ฟิวบอกขอบคุณก่อนออกจากห้องไป

พอน้องพ้นประตูไปตี๋เทปก็พูดขึ้นมาลอย ๆ แต่กระทบใครบางคนเต็ม ๆ

“วิว รู้สึกว่าเราจะลืมอะไรไปหรือเปล่านะ?”

“ลืมอะไร?” วิวก็พาซื่อ คิดว่าอาตี๋ถามจริงจัง

“ก็ใครบางคนแถวนี้แหละที่ถูกลืม ก๊าก~”

ฟุ่บ!!

หมอนอิงใบเล็กถูกเขวี้ยงใส่เป้าหมายไม่มีพลาด

“ไอ้อาร์ต! ไอ้พวกไม่ยอมรับความจริง รับไม่ได้อะดิว่าตัวเองถูกลืม!”

ก่อนที่หมอนอีกใบจะถูกเขวี้ยงมาอีก วิวจึงต้องยกมือปราม ก่อนหันไปดุคนชอบแกล้ง “เทปนี่ก็แกล้งเพื่อนจัง”

เทปเบ้ปากไม่ใส่ใจ เก็บหมอนขึ้นมาวางไว้ที่เดิมแล้วกดเปิดทีวีดู ปล่อยให้สุดที่รักทำการพูดคุยกับเพื่อนซี้ของตนเองไป

วิวขยับมานั่งข้าง ๆ คนหน้าบึ้ง อาร์ตหันมามอง วิวก็ยังเป็นวิว เขายังมองว่าวิวน่ารัก ยังเห็นว่าเทปน่าอิจฉา คนคนนี้ยังน่าหมายปองไม่เปลี่ยน แต่ที่เปลี่ยนไปตอนนี้คงเป็นความรู้สึกของเขาที่มันไม่ได้ดิ้นรนจนทุรนทุรายเหมือนทุกครั้งที่คอยเฝ้ามองคนคนนี้ เพราะอะไรนั้น อาร์ตรู้ดีที่สุด ความอยากได้อยากครอบครองมันไม่ได้มีอยู่ หลงเหลือเพียงความสุขที่ได้เฝ้ามอง เฝ้ามองคนที่เคยเป็นที่รัก

“อาร์ตโกรธอะไรฟิวเหรอ ไม่เห็นพูดกับน้องมันเลย?”

“แทนที่วิวจะถามว่าอาร์ตโกรธอะไรน้อง ทำไมไม่ดูบ้างว่าน้องพูดกับอาร์ตสักคำหรือเปล่า ฟิวทำเหมือนอาร์ตไม่มีตัวตนด้วยซ้ำ” หนุ่มอาร์ตร่ายยาว เหมือนมีคนให้ฟ้องแล้ว เลยจัดไปไม่มียั้ง

“ที่ไหนกัน อาร์ตนั่นแหละที่ไม่ยอมมองน้อง ฟิวมันคุยกับวิวแต่สายตาน้องมันคอยมองอาร์ตตลอดแหละ”

“ไม่จริง ทำไมอาร์ตไม่เห็น?” อาร์ตยังเอ่ยแย้ง เถียงข้าง ๆ คู ๆ ไปอย่างนั้น

“มึงจะไปเห็นได้ไง มัวแต่งอนไม่เข้าเรื่อง มึงโตกว่าน้องมันอีกนะ เหี้ยอาร์ต ทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไปได้ กูว่านะ ต่อไปฟิวพูดอะไรมึงคงเชื่อมันหมด”

เสียงจิกกัดของเทปยังลอยมา แต่คราวนี้ไม่มีเสียงดุจากวิวสุดที่รักของเทปเพราะกำลังพยักหน้าเห็นด้วย แต่ไอ้ประโยคสุดท้ายนี่มันฟังทะแม่ง ๆ อยู่ไหม?

“คุยกันให้รู้เรื่องดีกว่านะ ถ้าอาร์ตไม่ได้โกรธน้องก็อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เลย”

“......” อาร์ตมองหน้าวิวสลับกับเพื่อนซี้ตี๋เทปที่พยักหน้ายืนยันว่าให้เชื่อที่รักของกูเหอะ

สุดท้ายอาร์ตก็ต้องมายืนอยู่หน้าประตูห้องเจ้าปัญหาจนได้ ตัดสินใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกดกริ่งหน้าประตูนั่น รออยู่ชั่ววินาทีประตูก็เปิดออก เหมือนคนด้านในไม่ได้ไปไหนไกลจากบานประตูนั้นสักนิด

เจ้าของห้องโผล่หน้าออกมายิ้มกวน “นึกว่าจะไม่มาซะละ”

“?” อาร์ตสะดุดกับคำพูดนั้น

‘นี่ฟิวมันกะไว้อยู่แล้วใช่ไหมว่าเขาต้องมาหามันก่อน ร้ายมากนะเจ้าเด็กนี่ มีวิธีไหนจะปราบมันอยู่หมัดบ้างไหม?’ อาร์ตได้แต่เข่นเขี้ยวในใจแต่ทำอะไรไม่ได้ หลงเดินเข้ามาในพื้นที่ของฟิวแล้ว จะหาทางออกมันคงจะไม่ทันเสียแล้ว

อาร์ตเดินตามเจ้าของห้องเข้ามาด้านใน เห็นบนโต๊ะหน้าทีวีมีหนังสือที่อ่านค้างไว้วางอยู่ก็ช่วยลดความขุ่นมัวไปได้บ้าง เมื่อเห็นว่าฟิวยุ่งจริง ๆ ไม่ได้แกล้ง

“ไม่เห็นบอกพี่เลยว่าจะกลับวันนี้” เอาแล้วไง เปิดประเด็นแล้ว

“นั่งก่อนไหม พี่?” ฟิวเชื้อเชิญคนหน้าดุให้นั่งก่อน

อาร์ตยอมเดินมานั่งที่โซฟาตามคำเชิญ สายตายังจับจ้องรอคำตอบ “ว่าไง?”

“ก็… อยากเซอร์ไพร์สพี่ไง เป็นไงอะ เซอร์ไพร์สปะ?” ฟิวก็ยังคงเอาตัวรอดได้เรื่อย ๆ ใครที่ไหนจะตามทัน ตีหน้าซื่อเข้าไว้ เราไม่ผิด

“เซอร์ไพร์สมาก คงสนุกมากใช่ไหมที่ปั่นหัวพี่ได้?” อาร์ตว่าอย่างหัวเสีย

“ผมยังไม่ทันจะทำอะไรเลยนะ พี่จะมาหาเรื่องกันหรือไง กับอีเรื่องแค่นี้พี่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยเหรอ?” ฟิวว่ากลับไม่ลดละ เราไม่ผิด ท่องเอาไว้

“เรื่องแค่นี้เหรอ ฟิว สำหรับฟิวมันอาจจะเป็นเรื่องแค่นี้ แต่สำหรับพี่ พี่รู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญสำหรับฟิวเลยสักนิด”

ฟิวเม้มปาก สายตาตัดพ้อที่ส่งมาทำให้อยากเลิกเล่นอะไรบ้า ๆ นี่แล้ว แต่สุดท้ายก็ยังอยากได้มากกว่านั้นอยู่ดี คำถามต่อไปถึงได้ตามมา

“เรายังเป็นพี่น้องกันอยู่ไหม?”

“ทำไม ไม่อยากเป็นแล้วหรือไง!?” อาร์ตว่า น้ำเสียงหาเรื่อง หาเรื่องกับเด็กนี่นะอาร์ต

“เปล่า ผมแค่สงสัยว่าพี่น้องกันเขาเป็นแบบนี้เหรอ ไม่เห็นพี่เทปกับพี่วิวจะเป็นแบบนี้เลย”

ฟิวขยายความให้ฟัง อาร์ตถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าแสดงอาการมากไป คนตัวโตมองเจ้าเด็กฟิวนิ่ง ซึ่งอีกฝ่ายก็มองตอบไม่หลบไปไหน

“รำคาญหรือเปล่าที่พี่เป็นแบบนี้?” อาร์ตถามน้ำเสียงจริงจัง

“ก็เปล่า”

“พี่อาจจะทำอะไรที่ดูมากไป อยากมีสิทธิ์ที่จะเป็นห่วง อยากมีสิทธิ์ที่จะหวง ถ้าเป็นพี่น้องแล้วทำแบบนั้นไม่ได้ พี่ก็ไม่อยากเป็นมันแล้ว”

พออาร์ตพูดแบบนั้นออกมาเจ้าหนูก็หัวเราะหึ ๆ น่าหมั่นไส้ในสายตาคนมอง

“หัวเราะอะไร?”

“ก็พี่พูดเหมือนขอเป็นแฟนเลย” ตอบคำถามแล้วขำต่อ จนมาสะดุดกึกกับประโยคต่อมาของคนพี่

“แล้วเป็นได้ไหมล่ะ?”

“ล้อเล่นใช่มะ?”

“คิดว่าไงล่ะ?” ยืมคำพูดติดปากฟิวมาใช้ พูดแล้วรู้สึกว่ามันกวนจริง ๆ แฮะ

“พี่อยากเป็นแฟนผมเหรอ?” ฟิวถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น มันง่ายไปนะ

“ไม่รู้ว่าฟิวจะให้คำจำกัดความมันว่าอะไร แต่พี่ก็จะเป็นอันนั้นล่ะ” อาร์ตตอบกลับกวน ๆ อย่างที่ฟิวเคยทำบ้าง

ฟิวยังหน้านิ่งอยู่คงเดิม จะเงียบให้ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ทำไมวะ หรือมันคือเทคนิคหนึ่งของความกวน หรือไม่ก็กำลังหาคำปฏิเสธเหมาะ ๆ คงไม่ใช่อันหลังใช่ไหม?

“ล่อลวงเยาวชนเลยนะ” มาอีกแล้ว คำพูดแปลก ๆ นี่

“อือฮึ” ยอมรับทุกข้อกล่าวหาแล้วล่ะตอนนี้

“สรุปว่าพี่อยากเป็นมากกว่าที่เป็นอยู่ งั้น… ผมขอถามพี่คำ” ฟิวละคำถามไว้ มองหน้าอีกคนนิ่ง ก่อนที่จะเอ่ยคำถามนั้นออกมา “พี่ให้ใจผมมาหรือยัง?”

จบคำถามนั้น อาร์ตนิ่งไปทันที ไม่ใช่ว่าคำถามมันเข้าใจยาก เพียงแต่เขายังไม่แน่ใจสักเท่าไรกับคำตอบที่มี จะว่าให้ไปแล้วมันก็ใช่ แต่ยังไม่ทั้งหมด อันนั้นเขารู้ดี ถ้าน้องจะให้โอกาสเขาบ้าง สักวันมันจะเป็นของน้องแค่คนเดียว แต่มันก็ดูจะเห็นแก่ตัวมากเกินไปที่ให้น้องรอ

“คิดนานจัง” ฟิวท้วงเมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาทันทีเหมือนเมื่อครู่

“ฟิว”

“ครับ” น้องฟิวขานรับ ท่าทางลุ้นไปด้วย ก็อีกคนจะทำท่าเหมือนจะพูดแต่ไม่พูดสักทีอย่างนั้นทำไมเล่า

อาร์ตมองหน้าฟิวที่จ้องเขาอยู่ก่อนแล้วอย่างตัดสินใจ หากพูดคำนี้ออกไป มันคือข้อสรุปความสัมพันธ์ที่คลุมเครือระหว่างเขากับฟิวและจะย้อนกลับไม่ได้จริง ๆ แล้ว

“ถึงตอนนี้มันจะไม่ได้เป็นของฟิวทั้งหมด แต่ต่อไป มันจะมีแค่ฟิวเท่านั้นที่เป็นเจ้าของ”

พูดออกไปแล้วอาร์ตก็แทบกลั้นใจรอคำตอบรับ อย่าเงียบนานได้ไหมล่ะ อาร์ตจ้องมองอย่างรอคำตอบ แต่พอโดนจ้องกลับก็ชักใจฝ่อ หันหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว

“พี่อาร์ต” ฟิวที่เงียบอยู่นานเอ่ยเรียก

“อือ” อาร์ตขานรับแต่ยังไม่มองหน้า จนได้ยินเสียงถอนหายใจดังมา จิตใจยิ่งห่อเหี่ยว หรือน้องจะไม่เชื่อเราวะ

“พี่อาร์ต มองทางไหนวะ หันมามองหน้าผมดิ” ฟิวพยายามยื่นหน้าเข้าไปใกล้ แต่อีกคนก็ยังคงเบี่ยงหน้าหนี เล่นอะไรเนี่ย มือเรียวจึงจับล็อคใบหน้านั้นให้หันมามองตนเองจนได้ “พี่จะหันไปไหน ที่พูดน่ะ จริงจังกับผมไหม!?”

“จริงจังสิ!” อีกคนสวนมาอย่างรวดเร็ว ยอมไม่ได้หรอกที่จะมาบอกว่าเขาไม่จริงจัง ก็เพราะจริงจังไงถึงกลัวคำตอบมันจะไม่เป็นอย่างที่หวังอยู่นี่

“ถ้าจริงจังก็มองหน้าผม”

ฟิวพูดเสียงนิ่ง ออกจะข่มขู่กลาย ๆ อาร์ตถึงยอมมองหน้าเขา คนหนึ่งเปิดยิ้มพอใจ แต่อีกคนเหงื่อแตกซิก

“ดีมาก มองหน้าผมแล้วฟังผมให้ดีนะ”

“อ… อืม” โอย รีบพูดเสียทีเถอะ พี่ใจไม่ดีว้อยยย

“ผมชอบพี่ เพราะงั้นเรา…”

“.........” อาร์ตนิ่งอึ้งตะลึงตาค้างไปแล้ว หูเขาฝาดใช่ไหม? อะไร? ยังไงนะ?

เมื่อเห็นว่าอีกคนเงียบไป หน้าที่ยิ้มอยู่เลยเริ่มมุ่ย “อะไรวะ ไม่ตั้งใจฟังเลย ไปดีกว่า”

“เฮ้ย!!”

น้องทำท่าจะลุกไป คนที่เพิ่งได้สติรีบคว้าตัวไว้ฉับไว

“เดี๋ยวสิ มาพูดให้อยากแล้วจากไปอย่างนี้เหรอ ตัวแสบ”

รั้งตัวเด็กแสบไว้ได้ทันเลยกอดไว้ไม่ยอมปล่อยเลยทีนี้ น้องไม่ขัดขืนด้วย หวานหมูเลยสิ

“ไหนลองบอกพี่อีกทีซิ”

อาร์ตกอดรวบเด็กตัวสูงจากด้านหลัง ศีรษะน้องยังไม่ถึงคางเขาด้วยซ้ำ ทั้งที่ดู ๆ แล้วน้องก็ตัวสูงอยู่ หรือเขาจะตัวใหญ่จนเกินไป?

“ว่าไง ตัวแสบ เมื่อกี้พูดจริงหรือเปล่า ไม่ใช่หลอกพี่เล่นนะ?” อาร์ตกระซิบถามคนในอ้อมกอด ออกจะแปลกใจอยู่สักหน่อยที่น้องยอมยืนให้กอดนิ่ง ๆ

“ใครเขาหลอก ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ ก็แค่นั้น จะยึกยักทำไม” คนตัวบางกว่าว่า ท่าทางก็ยังนิ่งอยู่ แต่มีบางอย่างที่ไม่ปรกติ ก็ใบหูแดง ๆ นั่นไง ดูท่าอาร์ตจะยังไม่ทันสังเกตเห็นมันด้วย

“ฟิว ชอบพี่จริง ๆ เหรอ ตั้งแต่เมื่อไร?” อาร์ตถามอย่างอดแปลกใจไม่ได้

เขามีอะไรให้น้องน่าประทับใจหรือ ทุกทีเห็นน้องว่าเขาอยู่ตลอดไอ้เรื่องอยากได้ของของคนอื่นน่ะ แล้วน้องจะชอบเขาตอนไหนกันวะ?

“ถ้าพี่ให้ใจผมมาทั้งหมดเมื่อไร ผมจะบอกพี่อีกทีละกัน” แหนะ มีข้อต่อรองอีก

ฟิวเอี้ยวหน้ามามองคนที่อยู่ด้านหลัง ยิ้มกวน ๆ ตามสไตล์จนอาร์ตอดไม่ได้ บีบจมูกคนกวนไปที

“หายใจไม่ออก”

“หึ ๆ”

หนุ่มผิวเข้มหัวเราะขำกับท่าทางเหมือนหายใจไม่ออกเกินจริงของเด็กกวน อยู่กับฟิวนี่ไม่มีเบื่อหรอก เปลี่ยนอารมณ์ตามไม่ทันเสียมากกว่า บางทีก็ทำตัวเป็นเด็กเหวี่ยงวีนไปเรื่อย บางเวลาก็กวนจนไม่รู้จะจัดการอย่างไร หรือบางครั้งก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เข้าใจโลก เข้าใจเขาไปเสียทุกอย่าง เป็นเด็กน่าสนใจที่ไม่ควรปล่อยหลุดมือไปจริง ๆ

“ตกลงเราเป็นแฟนกันแล้วนะ ไอ้หนู เปลี่ยนใจทีหลังไม่ได้แล้วนะ”

“บอกตัวเองเหอะ” ฟิวทำปากยื่น บอกให้รู้ว่าคำพูดนั้นอาร์ตควรเก็บไว้บอกตัวอาร์ตเองจะดีกว่า เพราะเขาไม่เปลี่ยนใจอะไรง่าย ๆ อยู่แล้ว ถ้ารักแล้วก็รักเลยจริง ๆ

หลังจากตกลงคบหา ช่วงต่อจากนั้นฟิวเรียกมันว่าช่วงดูใจ น้องบอกว่าส่วนมาก 3 เดือนแรกมักจะเป็นช่วงโปรโมชั่น มันยังเอามาวัดอะไรไม่ได้ ถ้าผ่านช่วงเวลานี้ไปแล้ว ทั้งอาร์ตและฟิวยังไม่มีใครเปลี่ยนใจไปจากเดิมค่อยพิจารณาเรื่องคบกันจริงจังอีกที

“เหมือนเราจะแต่งงานกันเลยนะ มีช่วงคบหาดูใจแล้วค่อยแต่ง อะไรแบบนั้น” อาร์ตพูดไว้เมื่อรู้ข้อกำหนดของน้อง

“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ถึงจะบอกว่าเป็นช่วงดูใจ ยังไงมันก็คือการคบกันอยู่ดี เพราะพี่และผมไม่มีสิทธิ์มองใครเผื่อไว้ทั้งนั้น”

“อ้าว แล้วจะเรียกช่วงดูใจให้มันยุ่งยากไปทำไมวะ?” อาร์ตก็ยังอยากแย้งน้องไปซะทุกเรื่อง ก็ดูน้องคิดแต่ละอย่างสิ

“ก็อยากเรียกอะ มีอะไรไหม?” ลอยหน้าลอยตาตอบ

“กวนใช่ไหมเนี่ย?”

อาร์ตว่าเซ็ง ๆ คนน้องก็ยักคิ้วตอบกลับมา ผลสรุปของเรื่องนี้จึงถือว่า ฟิวว่ายังไง พี่อาร์ตก็ว่าตามกัน ก็ไม่ค่อยจะตามใจกันสักเท่าไรเลยอะนะ




★TBC★




ขอบคุณนะคะ บวกค่า  :L2:



ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ Ch. 2-3-4-5-6 // 09.Sep.2018
«ตอบ #9 เมื่อ09-09-2018 18:53:45 »


4

คนในอดีต


การดูใจของทั้งคู่ก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ แต่ดู ๆ แล้วมันก็ไม่ได้ต่างจากช่วงเป็นพี่น้องกันสักเท่าไร จะต่างก็ตรงที่ใส่ใจความรู้สึกกันมากขึ้น เวลาฟิวจะกลับบ้านหรือจะไปไหนก็จะบอกอาร์ตก่อน ไม่ใช่ว่าต้องรายงานทุกย่างก้าว แต่เพื่อความสบายใจทั้งสองฝ่าย และคนเป็นพี่จะได้ไม่ห่วงเมื่อตามไม่เจอตัว

เรื่องสาว ๆ หนุ่ม ๆ ทั้งหลายของอาร์ตก็ลดน้อยถอยลงไป ไม่ใช่แค่ถูกตาก็ไปกับเขาอย่างแต่ก่อน เพราะตอนนี้มีตัวจริง ถึงใครจะไม่รู้ แต่คนทำก็รู้ตัวเองดี ขนาดเพื่อนซี้ตี๋เทปยังต้องทัก

“ทำตัวดีขึ้นนะเราน่ะ”

“อะไรของมึงวะ?” อาร์ตถามกลั้วหัวเราะเมื่อเพื่อนทำเสียงแปลก ๆ

ช่วงทำโปรเจคจบแบบนี้นี่ทำให้เพื่อนตี๋แทบเป็นบ้า เครียดก็เครียด อยากหาที่ระบายออกก็ไม่มี ถ้าต้องแก้อีกนี่ตี๋เทปว่าจะไปผูกคอตายใต้ต้นถั่วงอกแล้วล่ะ ถามว่ามันจะตายไหม คำตอบคือไม่ ก็เขายังไม่อยากตายนี่!

“คนนี้จริงจังใช่ไหมวะ?”

“เออ” อาร์ตยิ้มรับ

“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ เพื่อน!” ตี๋เทปออกอาการดีใจดั่งเป็นเรื่องของตนเอง กอดคอเพื่อนซี้เขย่า ๆ

“โอ๊ย เชี่ยเทป มึงจะอะไรนักหนาวะเนี่ย?”

“อ้าว ก็มันน่ายินดีไม่น้อยนาที่เพื่อนซี้เราจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที เห็นมัวแต่ยึกยัก ๆ น่าหมั่นไส้อยู่ตั้งนานสองนาน กูว่าแล้วว่ายังไงมึงก็ไม่พ้นเงื้อมมือฟิว!”

เทปออกท่าเงื้อมมือประกอบ อาร์ตก็ได้แต่ส่ายหน้าขำเพื่อน ท่าทางมันใกล้บ้าจริง ๆ แล้วนะน่ะ

สองหนุ่มเพื่อนซี้เดินออกจากมหาวิทยาลัยด้วยความรู้สึกว่าตัวมันเบา ๆ เพราะงานที่ได้ทุ่มเททำมาถึงมืออาจารย์เป็นที่เรียบร้อย ต่อไปก็คงต้องรอฟังผลว่าผ่านหรือไม่ ถ้าผ่านก็ถือว่าลอยตัวเพราะเรื่องสอบอาร์ตก็แน่ใจว่าตนเองทำได้ดีในระดับหนึ่ง เมื่อผลออกมาก็คงรอวันจบการศึกษาเท่านั้น ต่อไปมีงานการมั่นคงก็คงดูแลน้องได้ดีกว่าที่เป็นอยู่

อืม จะว่าไปก็ไม่ได้เจอน้องหลายวันแล้วนะ โทรคุยกันก็วันละนิดเพราะไม่มีเวลา บางทีเร่งงานจนดึกดื่น โทรไปน้องก็หลับ ช่วงนี้น้องปิดเทอมแล้วเลยกลับไปอยู่บ้าน เห็นบอกว่าอาทิตย์หน้าต้องขึ้นเหนือไปหาแม่ ภารกิจเยอะจริง ๆ

ว่าแต่ นี่เขากับน้องต้องห่างกันอีกแล้วใช่ไหม ทำไมอะไร ๆ มันก็ไม่เป็นใจเลยวะ อาร์ตได้แต่โอดครวญ แต่การที่มีใครสักคนอยู่เคียงข้างนี่มันดีจริง ๆ นะ ไม่ว่าจะเวลาสุขก็มีคนคอยแบ่งปัน เวลาทุกข์ก็มีคนคอยรับฟัง คอยแบ่งเบา ไม่ต้องดิ้นรนอยากได้อยากเป็นในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ อยู่กับปัจจุบันและทำมันให้ดีที่สุด ถ้าวันนั้นฟิวไม่ก้าวเข้ามาหาเขา อาร์ตยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องเดินวนอยู่ในความอิจฉา ความทุกข์กับคำว่า ‘ทำไม’ ไปอีกนานแค่ไหน และหากวันนั้นคนที่เดินเข้ามาไม่ใช่ฟิว อาร์ตมั่นใจว่าเขาคงไม่คิดที่จะให้ใจ นั่นเพราะรู้สึกว่าฟิวมีบางอย่างที่พิเศษตั้งแต่ในวันแรกที่เจอกัน

คนเราเวลาเจอคนที่ใช่ จะรู้สึกแบบเขาไหม?

และตั้งแต่เริ่มคบกันมา ฟิวรู้ว่าเวลาไหนควรงอแง เวลาไหนควรนิ่งเงียบ รู้ว่าบางครั้งเขาก็ต้องการกำลังใจโดยไม่ต้องเอ่ยบอก คนที่เข้าใจเราที่บางครั้งเรายังไม่เข้าใจตนเองดีพอด้วยซ้ำ คนแบบนี้จะหาได้จากที่ไหนอีก เดินตามท้องตลาดจะมีขายไหม ก็ไม่ บางทีอาร์ตก็ชอบคิดอะไรไร้สาระ ความรักมันเข้าตา มองอะไรก็ดีไปหมดนั่นล่ะ

“พี่อาร์ต ทำไมซื้อไอติมรสนี้มาวะ ช็อคชิพผมอยู่ไหน?”

เสียงโวยดังมาจากในครัว ช่วงนี้อาร์ตไม่ค่อยมีเวลาเพราะเริ่มเข้าทำงานในบริษัทอย่างจริงจังแล้ว ช่วงที่จะได้เจอน้องก็เป็นเวลาค่ำ ๆ หลังจากเสร็จงาน ไม่ก็วันหยุด แต่วันหยุดส่วนมากฟิวจะกลับบ้าน ย่าของฟิวก็จะพาไปทำบุญที่นั่นที่นี่บ้าง น้องก็จะมาเล่าให้ฟัง เป็นความสัมพันธ์ที่เรียบเรื่อยกว่าที่คิด แต่ก็มีความสุขดี

ตอนนี้น้องก็ขึ้นม.6แล้ว เวลามันช่างผ่านไปเร็วจริง ระยะเวลา 3 เดือนที่ฟิวกำหนดก็ผ่านมันมาแล้ว น้องก็คงมั่นใจในตัวเขาระดับหนึ่ง ตอนนี้เลยมีพัฒนาการขึ้นมาเล็กน้อย

“โวยวายอะไรวะ ฟิว?”

“ก็พี่… ทำไมไม่ใส่เสื้อ!”

อาร์ตที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ใส่เพียงกางเกงขายาวตัวเดียวเดินออกมาจากในห้องนอน ทำให้คำต่อว่าเรื่องเมื่อครู่ถูกกลืนกลับ เปลี่ยนเป็นโวยเรื่องที่อีกคนเปลือยแผงอกโชว์แทน

อาร์ตก้มลงมองตัวเองแล้วยักไหล่ “ก็เพิ่งอาบน้ำเสร็จ”

“แค่ใส่เสื้อนี่มันยากนักหรือไง ข้ออ้างเยอะจริง ๆ ไม่รู้จะโชว์อะไรนักหนา จะไปประกวดชายงามหรือไง?” บ่นว่าอุบอิบ ถือกล่องไอติมเจ้าปัญหากลับไปในครัว

อาร์ตเดินตามคนขี้บ่นเข้ามาขณะที่เจ้าตัวกำลังเก็บของเข้าตู้เย็นกุกกัก ขยับไปยืนซ้อนหลัง ก้มหน้าลงไปหอมต้นคอคนช่างบ่นหนัก ๆ จนเจ้าตัวเขาสะดุ้ง

“พี่อาร์ต เล่นอะไรวะ!?”

ฟิวหันมาต่อว่าเสียงหลง แต่พอหันมาแล้วถึงได้รู้สึกว่าคิดผิดที่ทำแบบนั้น ก็ใบหน้าคมเข้มของอีกคนอยู่ใกล้แทบหายใจรดต้นคอแล้ว ฟิวผงะถอยเล็กน้อย ไม่ว่ายังไงก็ยังไม่ชินกับความใกล้ชิดแบบนี้เสียทีสิ ให้ตายเหอะ

อาร์ตยิ้มกับปฏิกิริยาน้อง สงสัยต้องทำบ่อย ๆ จะได้ชิน คนตัวโตโน้มใบหน้าลงไปใกล้ อีกคนก็ไม่ได้ขยับห่างมากกว่าที่เป็นอยู่ รอยยิ้มเล็ก ๆ จึงผุดขึ้นมาที่มุมปาก สายตาคมจับจ้องเรียวปากอิ่มอมชมพูน่าหลงใหล เคลื่อนเข้าไปใกล้ทีละนิด ช้า ๆ ดูปฏิกิริยา
ฟิวเกร็งตัวขึ้นมาทันที ลมหายใจสะดุดเอาเสียดื้อ ๆ ที่ริมฝีปากของคนเป็นพี่แตะเฉียดผ่านไปหยุดตรงมุมปากแทนเป้าหมายเดิมเมื่อตนเองเบือนหน้าหลบฉับพลันก่อนที่มันจะประกบลงมา ใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำ ทำไมถึงตื่นเต้นขนาดนี้วะ บ้าเอ๊ย!

อาร์ตที่จูบพลาดเป้าหมายก็ยิ้มขำกับปฏิกิริยาน้อง ริมฝีปากที่พลาดมาตรงมุมปากน้องก็ไม่ได้ผละไปไหน ซ้ำยังกดจูบให้น้องสะดุ้งเล่น ก่อนลากไล้มายังแก้ม เลื่อนขึ้นสูงอีกนิด งับหูบางหยอกเย้าแล้วกระซิบแกล้งคนที่ยืนเกร็งอยู่ในตอนนี้

“หูแดงว่ะ”

คนที่ถูกบอกว่าหูแดงรีบตะปบปิดใบหูทั้งสองข้างทันที อาร์ตเลิกคิ้วมอง ก่อนที่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จะจุดบนริมฝีปากหยัก

“จริงเหรอ เขินแล้วหูแดงเหรอ?”

อาร์ตล้อ คนถูกล้อถลึงตาใส่ มือยังปิดหูทั้งสองข้างอยู่ อาร์ตเลยรั้งเอวน้องมาชิดร่างกายตัวเองมากขึ้น ก่อนก้มลงยิ้มใส่ตาคนตาดุ

“น่ารัก”

ฟิวอ้าปากค้าง ไม่นึกว่าจะถูกผู้ชายด้วยกันชมว่าน่ารัก ปรกติต้องโกรธแล้วที่ถูกชมแบบนั้น แต่ตอนนี้มันไม่ปรกติเท่าไร... มั้งนะ...
อาร์ตมองท่าทางคิ้วขมวดราวคิดหนักของน้องแล้วขำ จะเคร่งเครียดอะไรหนักหนาครับ ที่รัก เรื่องความใกล้ชิดนี่ทำอย่างไรน้องก็ไม่คุ้นชินเสียที นี่ยังไปไม่ถึงไหนเลยนะ ถ้ามากกว่านี้จะเป็นยังไงบ้างนะ ชักอยากรู้

อาร์ตเชยคางเรียวให้เงยหน้าขึ้นมารับจูบ บดแนบริมฝีปากลงไปเคล้าคลอ หนักบ้างเบาบ้าง ปลายลิ้นเลาะเล็มหลอกล่อให้อีกคนเปิดรับ สอดแทรกควานลึกกับลิ้นเล็กภายใน ดูดชิมความหวานจากคนในอ้อมแขน ขยับร่างกายช่วงล่างเสียดสีเนิบช้าแต่ร้อนแรง

“อึ่ก... พี่อาร์ต…”

ร่างกายฟิวตอบรับกับสัมผัสนั้น แต่มือเรียวกลับดันไหล่หนาออกห่าง อาร์ตที่เริ่มมัวเมากับรสจูบไม่ยอมปล่อยน้องไปไหนง่าย ๆ ยังดมดอมเชยชิมด้วยติดอกติดใจในรสสัมผัส

“อีกนิดนะ ฟิว”

“ไม่ พี่…”

คำปฏิเสธถูกกลืนหายเมื่อคนตัวโตมอบสัมผัสเคลิ้มหวานให้อีกครั้ง หนักหน่วงร้อนแรงมากขึ้น มากขึ้น แต่กลับรู้สึกว่ามันยังไม่พอ ต้องการมากกว่านี้อีกเรื่อย ๆ มือใหญ่ลูบไล้เนื้อตัวอีกคนผ่านเนื้อผ้า ฟอนเฟ้นตามอารมณ์ที่เริ่มกรุ่นร้อน

“ไม่เอา! พอแล้ว!”

ฟิวเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากร้อนที่ยังรุกไล่ มือข้างหนึ่งก็ตะปบมือซนของอีกคนที่ล้วงเข้ามาในเสื้อแล้ว หอบหายใจหนัก ๆ พยายามปรับอารมณ์

“พี่อาร์ต หื่นเกินไปแล้วนะ!” ต่อว่าคนหื่นที่มือยังลูบไล้ร่างกายส่วนล่างของตนเองอยู่ จับมือนั้นก็ยังเหลือมือนี้ มีกี่มือกันแน่วะเนี่ย

“ก็อยากอะ” คนนี้ก็ไม่มีจะอายกัน พูดกันโต้ง ๆ แบบนี้เลย

“พี่อาร์ต! หยุดลูบสักทีได้ไหม!?”

“อยากลูบที่ไหนล่ะ อยากทำอย่างอื่นมากกว่า” คนมือปลาหมึกว่า สีหน้ากรุ้มกริ่ม นิ้วของน้องเลยชี้ตรงเป๊งไปด้านหลัง

“ห้องน้ำ รีบไปให้ไว” ว่าพลางดันคนหื่นออกห่างตัว ก่อนวิ่งฉิวออกไปจากจุดเกิดเหตุ อยู่นานไม่ได้หรอก เดี๋ยวได้เสียเอกราชกันพอดี

“ใจร้าย~”

เสียงออด ๆ ยังดังไล่หลัง แต่อย่าได้สนใจ เอาตัวรอดก่อนละกัน

อาร์ตมองตามน้องแล้วยิ้มกับตัวเองเมื่อได้เห็นมุมที่ต่างจากทุกทีที่เคยได้เห็น แต่ว่า… ก้มลงมองสภาพตัวเองแล้วถอนใจเฮือกใหญ่

‘ห้องน้ำจ๋า พี่อาร์ตมาแล้ว~’



……


ยามเช้าในเมืองหลวงเป็นช่วงเวลาเร่งรีบอีกช่วงหนึ่งของคนทำงาน ตึกสูงที่ถูกสร้างในรูปแบบนำสมัยตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางย่านธุรกิจที่เรียงรายไปด้วยตึกน้อยใหญ่อีกมากมาย พนักงานภายในตึกแห่งนี้ต่างทำงานกันอย่างขะมักเขม้นให้สมกับเงินเดือนและสวัสดิการต่าง ๆ ที่ได้รับ หนึ่งในนั้นรวมถึงอาร์ตเองด้วย

เขาเคยมาฝึกงานที่นี่ ได้เห็นถึงการทำงานที่เป็นจริงเป็นจังของคนที่นี่แล้วก็ทำให้อยากกลับมาร่วมงานอีก และวันนี้เขาก็ได้เป็นหนึ่งในพนักงานของบริษัทแห่งนี้อย่างที่ต้องการ อาร์ตจบบริหารทรัพยากรมนุษย์มา มันไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่เขาอยากเรียนรู้เรื่องการใช้คนให้ถูกกับงาน เผื่อในอนาคตข้างหน้าที่อยากทำกิจการเล็ก ๆ เป็นของตนเองบ้าง ประสบการณ์จากตรงนี้คงช่วยเขาได้ในระดับหนึ่ง

คิดถึงเรื่องอนาคต แน่นอนว่าต้องมีคนสำคัญอยู่ในนั้นด้วยเสมอ และหนึ่งในนั้นก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากน้องฟิวในดวงใจ อาร์ตยิ้มกับความคิดเพ้อ ๆ ของตนเอง ท่าทางเขาจะเป็นเอามากจริง ๆ ทำงานอยู่นะ ยังเอามาโยงกันได้อีก

“พี่อาร์ตคะ เอกสารได้แล้วค่ะ”

เสียงหวาน ๆ ที่โผล่มาพร้อมหน้าสวย ๆ ของหญิงสาวคนหนึ่ง ทำให้อาร์ตละมือจากงานที่ทำอยู่มามองต้นเสียง

พลอย สาวน้อยนักศึกษาฝึกงาน อีกหนึ่งความชุ่มชื่นกระชุ่มกระชวยของแผนกเขา เธอเป็นเด็กนิสัยน่ารักเหมือนหน้าตาเธอนั่นล่ะ ใครใช้อะไรก็ไม่เคยเกี่ยง เห็นแบบนี้แล้วอาร์ตก็นึกถึงตอนที่เข้ามาฝึกงานที่นี่ใหม่ ๆ โดนมากกว่านี้อีก นี่ถือว่าน้องเขาเป็นผู้หญิงหรอก พี่ ๆ ในแผนกเลยให้ความเอ็นดูมากหน่อย

“ขอบคุณครับ”

อาร์ตเอ่ยขอบคุณก่อนรับสำเนาเอกสารมาจากมือน้องเขา แค่ถ่ายเอกสาร เขาเองก็ทำได้ แต่เมื่อน้องเขาอาสาจะทำให้ อาร์ตก็ไม่อยากขัด รับเอกสารจากน้องพลอยมาแล้วอาร์ตก็นั่งทำงานของตนเองต่อ

นั่งทำงานนาน ๆ ก็ชักจะรู้สึกล้า ได้กลิ่นกาแฟหอม ๆ ลอยมาแล้วก็นึกอยากได้สักแก้ว ไม่นึกว่าแค่คิดก็ได้ดังใจ แก้วกาแฟหอมกรุ่นเลื่อนมาตรงหน้า อาร์ตมองตามมือเรียวสวยที่ยังแตะอยู่ที่หูแก้วขึ้นไปจึงเห็นว่าเป็นน้องพลอยคนสวยนี่เอง

“กาแฟค่ะ สู้ ๆ นะคะ” พลอยยิ้มเก๋ส่งให้กำลังใจ

อาร์ตยิ้มรับน้ำใจนั้นอย่างขอบคุณ น้องพลอยจึงเดินออกไปเสิร์ฟกาแฟให้พี่ ๆ คนอื่นต่อไป อาร์ตมองตามร่างเพรียวนั้นแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู ในเวลาแบบนี้เขาก็ยังอดนึกถึงฟิวไม่ได้ ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบแล้วคิ้วเข้มก็เลิกสูง

‘หืม แม้แต่รสชาติก็คล้ายกัน หรือกาแฟที่ไหนก็รสชาติเหมือนกันหว่า?’

ส่ายหัวกับความคิดของตัวเอง ฟิวไม่ดื่มกาแฟ แต่ชงกาแฟให้เขาได้ น้องบอกว่ามีคนเคยให้สูตรมา พอดื่มกาแฟของน้องพลอยแล้วมันคล้ายของที่ฟิวชงให้ เขาเลยอดนึกอะไรประหลาด ๆ ไม่ได้ อาร์ตคงไม่คิดหรอกว่า วันหนึ่งน้องพลอยคนนี้จะมีบทบาทในความรักระหว่างเขากับฟิว

ช่วงพักกลางวัน พี่ในแผนกก็พากันทยอยลงไปกินข้าวข้างล่าง คงเหลือก็แต่อาร์ตที่ยังเก็บงานอยู่ จนเมื่อเก็บทุกอย่างเรียบร้อยจึงลุกจากโต๊ะเพื่อลงไปกินข้าวกลางวันเช่นคนอื่น และก็เพิ่งเห็นว่าน้องพลอย นักศึกษาฝึกงานของแผนกยังอยู่บนนี้ด้วย รู้สึกว่าตอนที่เขาทำงานอยู่ พี่พลโต๊ะข้าง ๆ บอกว่าจะชวนน้องพลอยไปกินข้าว แล้วนี่น้องเขาไม่ได้ไปด้วยหรอกหรือ

“น้องพลอยยังไม่ไปทานข้าวอีกเหรอครับ?” อาร์ตเอ่ยถามตามมารยาทอันดี

น้องเขายิ้มก่อนตอบกลับมา “พลอยก็ว่าจะไปพอดีเลยค่ะ แต่เดินไปคนเดียวไม่มีเพื่อน เห็นพี่อาร์ตยังอยู่เลยรอไปพร้อมพี่น่ะค่ะ”

“อ้อ ครับ”

อาร์ตตอบรับเก้อ ๆ รู้สึกแปลก ๆ กับคำตอบน้องพลอย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรไปมากกว่านั้นจึงชวนเธอลงไปกินข้าวด้วยกัน แต่ระหว่างที่เดินมารอลิฟท์ โทรศัพท์ของอาร์ตก็มีสายเรียกเข้า หยิบออกมาดูเห็นชื่อที่โทรมาแล้วยิ้มที่เจ้าของเบอร์เหมือนจะรู้ว่าเขาคิดถึง

“ว่าไงครับนักเรียน ม.ปลาย?” อาร์ตกดรับก่อนเอ่ยทักไป ได้ยินเสียงน้องหัวเราะหึ ๆ มาตามสายก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงหน้ากวน ๆ นั่น

“พี่กินข้าวหรือยังครับ?”

“กำลังจะไป แล้วฟิวล่ะ กินรึยัง?” อาร์ตถามน้องกลับบ้าง

การใส่ใจที่ดูเล็กน้อยมากสำหรับคนอื่น แต่อาร์ตกลับมีความสุขทุกครั้งที่น้องทำมันให้เขา และสิ่งเดียวที่อาร์ตจะตอบแทนน้องได้ก็คงมีแค่หัวใจทั้งดวงของเขา ซึ่งมันไม่น่าจะมีราคาค่างวดอะไร แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่น้องต้องการจากเขา คนที่ไม่มีอะไรเทียมเท่าน้องเลย

“กำลังกินอยู่เลยเนี่ย” ฟิวตอบกลับมา

อาร์ตถึงเพิ่งสังเกตว่ามีเสียงจอแจรอบกายน้อง ได้ยินเสียงเพื่อน ๆ น้องแซวแว่วเข้ามาด้วยว่าเอาแต่คุยกับสาว ข้าวปลาจะกินไหม หรือมันอิ่มอกอิ่มใจจนกินข้าวไม่ลง พร้อมเสียงแหวะดังอย่างพร้อมเพรียง อาร์ตหัวเราะขำกับเพื่อนซี้กลุ่มนี้จริง ๆ ไม่ต่างอะไรกับเขาและตี๋เทปเลย

“กินอะไรล่ะวันนี้ อย่าบอกนะว่าไก่ทอดอีกแล้ว?” อาร์ตดักคอเหมือนรู้ทัน ก็จะไม่รู้ได้ไง เมนูโปรดน้องมันเลยล่ะ

“รู้ได้ไง แต่มันอร่อยจริง ๆ นะ ผมว่าป้าที่โรงอาหารต้องใส่ยาเสน่ห์แน่ ๆ” น่าน ลามไปหาป้าที่โรงอาหารของโรงเรียนละ เอากับเขาสิ

“เพ้อ” อาร์ตว่ายิ้ม ๆ รู้สึกว่าตัวเองจะลืมอะไรไปบางอย่าง แต่ตอนนี้ยังไม่มีเวลานึกใส่ใจ

“เปล่าเพ้อนะ ก็…”

‘ฟิวอ้าปาก’

“อื้ออออ”

น้องยังพูดไม่จบก็มีเสียงแทรกเข้ามา ดูเหมือนจะป้อนอะไรให้กันด้วย อาร์ตชะงักฟังเสียง เพราะดูท่าน้องจะเอาโทรศัพท์ออกห่างปาก แต่เสียงก็ยังดังเข้ามาให้ได้ยิน

“เชี่ยเวย์! กูกินเองได้ไม่ต้องมาป้อน เห็นไหมกูคุยโทรศัพท์อยู่เนี่ย!”

เสียงฟิวโวยวายก่อนเสียงหัวเราะของเพื่อน ๆ ฟิวจะดังขึ้นประกอบบทสนทนา

“พูดแล้วยังทำหน้ามึน กวนตีนนะมึงน่ะ”

ได้ยินเสียงฟิวแว่วมาแค่นั้น ก่อนเสียงจอแจจะค่อย ๆ หายไป น้องคงเดินออกมาจากจุดนั้นแล้ว

“พี่อาร์ต”

“ครับ”

“ขอโทษนะ พอดีเพื่อนมันกวนนิดหน่อย”

น้ำเสียงน้องติดจะออดอ่อย อาร์ตถึงได้คลายอาการหงุดหงิดเมื่อครู่ลง ดูท่าเจ้าเด็กเวย์นั่นจะคิดอะไรกับเด็กของเขาจริง ๆ เสียแล้ว แล้วเจ้าตัวจะรู้ไหมว่าถูกหมายตา

“ไม่เป็นไรหรอก แล้วนี่เดินออกมาคุยข้างนอกหรือไง?”

“ครับ ก็พวกนั้นมันกวน” บอกเหมือนฟ้อง

อาร์ตหัวเราะเบา ๆ พอนึกหน้าคนพูดออก “ไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวจะหมดเวลาพักก่อนนะ”

“อื้อ พี่ก็รีบไปหาอะไรกินซะนะ เดี๋ยวปวดท้อง” ฟิวกำชับมาน้ำเสียงรื่นเริง

อาร์ตยิ้มรับกับคำพูดนั้น พร้อมตอบรับแข็งขัน “ครับผม!”

ได้ยินเสียงน้องหัวเราะก่อนวางสายไป อาร์ตมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกตัดไปแล้ว รอยยิ้มบนริมฝีปากยังไม่หายไปไหน เรื่องเล็กแค่นี้ก็ทำเขายิ้มได้ไม่หุบเชียว แต่พอเงยหน้ามาเห็นน้องพลอยยืนทำหน้าเจื่อนอยู่ถึงเพิ่งรู้ว่าเมื่อครู่ตนเองลืมอะไร

“พลอยจะบอกว่าลิฟท์มานานแล้วค่ะ และมันก็ผ่านไปแล้ว”

น้องเขายิ้มแหยส่งมาให้ อาร์ตเลยทำหน้าไม่ถูก อยากจะถามอยู่เหมือนกันว่าทำไมน้องไม่ไปก่อน แต่มันก็ดูจะเป็นการเสียมารยาทมากจนเกินไป เลยได้แต่เงียบไว้และรอลิฟท์เที่ยวถัดไปเท่านั้น



หลังจากที่ฟิววางสายจากอาร์ตก็ตรงดิ่งกลับเข้าไปในโรงอาหาร พอถึงโต๊ะที่แก๊งตัวเองจับจองนั่งอยู่ก็โวยวายทันที

“ไอ้เวย์! ไก่ทอดกู!!” ฟิวแทบถลาเข้าไปแย่งออกมาจากปากเพื่อนสกินเฮด กล้าดียังไงมากินของโปรดเขาวะ!

“คายออกมาเลย!” กำคอเพื่อนเขย่า ๆ เพื่อนคนอื่น ๆ ก็พากันหัวเราะ เลยโดนหางตาคมกริบเชือดเฉือนส่งมาให้โดยทั่วถึงกัน “เส้นตื้นนักเหรอ พวกมึงอะ!”

“ก๊ากกก~” แทนที่จะสลด เหล่าผองเพื่อนกลับหัวเราะเสียงดังกว่าเดิมอีก เมื่อทำอะไรกับพวกนั้นไม่ได้ ฟิวเลยเปลี่ยนเป้าหมายมาที่หนุ่มสกินเฮดแทน

“กูนึกว่ามึงไม่กินแล้ว เห็นคุยโทรศัพท์อยู่ได้” เวย์ สกินเฮดว่าเสียงนิ่ง ติดจะหงุดหงิดอยู่หน่อย ๆ ให้พอจับอารมณ์ได้

“เวย์!” ฟิวลงเสียงหนักให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังล้ำเส้นแล้ว

“.......” เวย์มองหน้าเพื่อนแววตาตัดพ้อ

ฟิวถอนหายใจที่ถูกสายตาแบบนั้นมองจ้อง “จะเอายังไง กูไม่มีสิทธิ์ที่จะมีใครเลยใช่ไหมชีวิตนี้ กูให้มึงเลือกแล้วนะ เวย์ มึงต้องการแบบนี้เอง…”

“แล้วทำไมไม่เป็นกู!?” เวย์แทรกขึ้นมาก่อนที่ฟิวจะพูดจบ

เพื่อนเห็นท่าไม่ดีเลยต้องคอยดึงฟิวไว้ เพราะคนที่น่าเป็นห่วงคือเวย์ที่ไม่กล้าทำอะไรฟิว แต่ฟิวไม่ใช่

“เฮ้ย! กูมากินข้าว ไม่ได้อยากกินมาม่า อย่ามาทำดราม่าอะไรกันแถวนี้ ผัดกะเพรากูกร่อยหมด แม่งเอ๊ย!”

ข้าวตัง เพื่อนตัวขาวหน้าหวานแทรกบทสนทนาขึ้นมา พร้อมทำหน้าตาขึงขังจริงจัง มองฟิวที มองเวย์ที ก่อนชี้นิ้วสั่งเวย์ให้ไปซื้อน้ำมาให้

“ให้ไว”

เมื่อเห็นว่าเจ้าเด็กสกินเฮดยึกยักชักช้าจึงกดเสียงย้ำอีกที เวย์จิ๊ปากไม่พอใจแต่ก็ยอมเดินไปซื้อน้ำมาตามคำบัญชา คนบัญชาส่ายหัวเซ็ง ๆ หันกลับมามองฟิวแล้วกระดิกนิ้วเป็นเชิงให้นั่งลงบัดเดี๋ยวนี้ คนที่นั่งลงกลับไม่ได้มีแค่ฟิว แต่เป็นทั้งกลุ่มที่รีบนั่งที่ของตัวเองอย่างเร็วไว องค์ลงแล้วเว้ย!

เจ้าของคำสั่งเมื่อเห็นทุกอย่างเข้าที่ดีแล้วก็กินข้าวต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเวย์เดินกลับมาพร้อมแก้วน้ำปั่น คนที่นั่งกินข้าวอยู่คนเดียวก็ยื่นมือไปรับ บอกขอบคุณพร้อมยิ้มหวาน

ฟิวกลั้นหัวเราะกับท่าทีที่เปลี่ยนฉับพลันของเพื่อนหน้าหวาน ส่วนคนอื่นกลับคิดในใจเหมือนกันราวกับนัดกันมา นี่มันคือไอ้ข้าวตังหน้าหวานนั่นจริง ๆ ใช่ไหม?


..….
ต่อด้านล่างค่ะ  :ruready

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ Ch. 2-3-4-5-6 // 09.Sep.2018
« ตอบ #9 เมื่อ: 09-09-2018 18:53:45 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ Ch. 2-3-4-5-6 // 09.Sep.2018
«ตอบ #10 เมื่อ09-09-2018 18:54:49 »


“หึ ๆ ๆ”

“เป็นอะไร ฟิว นั่งหัวเราะหึ ๆ พี่กลัวนะ” อาร์ตออกอาการกลัวเกินจริง

“อะไรเล่า” ฟิวทำหน้ากึ่งบึ้งกึ่งขำท่าทางของอีกคน

อาร์ตถือแก้วนมเดินมาวางบนโต๊ะกระจกด้านหน้าน้อง น้องเอ่ยขอบคุณก่อนยกไปดื่ม เวลาหัวค่ำน้องมักจะแวะมาเล่นที่ห้องอาร์ตบ่อย ๆ ห้องอาร์ตที่ว่าก็ห้องของเทปนั่นล่ะ ตามความเป็นจริงอาร์ตกับเทปเป็นเจ้าของห้องร่วมกัน เพราะตอนจะเข้ามหา’ลัยใหม่ ๆ คุณนายแม่ของตี๋เทปก็อยากให้ลูกมีความเป็นส่วนตัวเลยไม่ได้ให้เข้าไปอยู่หอใน แต่ซื้อคอนโดมิเนียมหรูให้ลูกชายอยู่แทน และคุณนายแม่ของเพื่อนซี้ตี๋เทปก็ได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษาคุณนายแม่ของอาร์ตที่เป็นเพื่อนสนิทของตนเองอีกที เพื่อออกเงินคนละครึ่งให้อาร์ตกับเทปอยู่ด้วยกัน

เรื่องหัวธุรกิจนี่ไม่มีใครเกินคุณนายท่านหรอก โน้มน้าวจนแม่อาร์ตเห็นด้วย เซ็นเช็คปึ้งนึงมาให้จ่ายค่าห้องในบัดดล เพราะฉะนั้น ทั้งเขาและเทปจึงมีสิทธิ์ในห้องดังกล่าวเท่าเทียม ต่อเมื่อมีวิวเข้ามาและอาร์ตเริ่มรู้ใจตนเองถึงได้ถอยห่างจากคนทั้งคู่ จะแวะมาก็เพียงบางครั้ง และบางครั้งก็มาไม่ค่อยจะถูกเวลาสักเท่าไรด้วย

จนตอนนี้ทั้งเขาและเทปต่างก็เรียนจบและเริ่มทำงานด้วยกันแล้วทั้งคู่ บ้านเทปทำร้านอาหาร ถือว่ามีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง อาร์ตยังเคยบอกให้เทปไปเป็นเชฟ แต่เทปก็ไม่เอา ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้ชายอย่างเขาไม่จำเป็นต้องทำอาหาร เพราะมีคนทำให้กินอยู่แล้ว ประมาณนั้น

“แล้วมีอะไร อยู่ดี ๆ ก็หัวเราะ” อาร์ตเดินมานั่งลงข้าง ๆ น้องที่ดูทีวีไปด้วย ดื่มนมที่เขาชงมาให้ด้วย มันน่ารักก็ตรงนี้แหละ

“ก็… พี่จำข้าวตังเพื่อนผมได้ปะ?”

“อือ คนที่ตัวขาว ๆ หน้าหวาน ๆ หน่อย ใช่ไหม?”

“ใช่ เมื่อกลางวันนะ มันทำให้เพื่อนทั้งกลุ่มอึ้งไปเป็นแถบ ๆ แหนะ ปรกติมันจะง้องแง้งบ้าบอไปตามเรื่อง ไม่ค่อยมีใครรู้หรอกว่าเวลามันโกรธเป็นยังไง”

ฟิวเล่าให้พี่ฟังน้ำเสียงรื่นเริง อาร์ตก็ฟังน้องไปเงียบ ๆ ชอบเหมือนกันเวลาที่น้องแสดงสีหน้าแบบต่าง ๆ ให้เห็น ไม่ได้ทำหน้านิ่งกับยิ้มกวนเป็นเท่านั้น ถือว่าเขาใกล้ชิดน้องขึ้นอีกระดับหนึ่งได้ไหมนะ

“แล้วไปทำอะไรให้น้องข้าวเขาโกรธเอาล่ะ?” เขาก็ไม่อยากให้น้องกับเพื่อนทะเลาะกันนะ

“เปล่า ๆ ไอ้ตังมันไม่ได้โกรธผม อ้อ พี่ต้องเรียกมันว่าตังนะ เพราะชื่อข้าวอะ ไอ้เวย์มันสงวนลิขสิทธิ์เรียกได้คนเดียวของมันแล้ว” ฟิวบอกแล้วยกแก้วนมที่เหลือนิดหน่อยนั่นขึ้นดื่มจนหมด ก่อนคืนแก้วให้คนที่ยกมาให้

“มีอย่างงี้ด้วยเหรอ?” สงวนลิขสิทธิ์เรียกได้คนเดียวนี่มันแปลก ๆ อยู่นะ หรือเขาเข้าใจผิดว่าเด็กเวย์ สกินเฮด คิดไม่ซื่อกับฟิว? “แล้วน้องข้าวตังเขาโกรธอะไรล่ะ?”

“เรื่องมันไร้สาระมากอะ บางทีนะ ผมมักจะหาทางออกให้คนอื่นได้ แต่พอเป็นเรื่องของตัวเองนี่มันแก้ไขลำบากจริง ๆ นะ หรือผมจะใจดีเกินถึงไม่ทำอะไรให้เด็ดขาดลงไป ปล่อยมันไว้แบบนี้ก็มีแต่จะเป็นแผลเรื้อรังเปล่า ๆ” ฟิวพูดเหมือนบ่นกับตัวเองมากกว่าจะเป็นการตอบคำถามพี่ สีหน้ารื่นเริงเมื่อครู่เริ่มมุ่ยละ

“อะไร ๆ คิ้วขมวดแล้ว ไอ้หนู เปลี่ยนอารมณ์ปุบปับแบบนี้ พี่ตามไม่ทันนะ” อาร์ตว่าล้อ ๆ นิ้วชี้จิ้มกลางหว่างคิ้วที่เริ่มขมวด
ฟิวหัวเราะแหะ ๆ ที่ตัวเองพูดไม่รู้เรื่องแล้วยังมาเครียดเสียเองอีกด้วย

“เรื่องเพื่อนหรือเปล่า?” อาร์ตลองเดาเรื่องที่ทำให้น้องหน้านิ่วคิ้วขมวด

“ประมาณนั้น”

“เวย์?” อย่าหาว่าเขาละลาบละล้วงเลย ก็มันคาใจนี่หว่า

ฟิวมองหน้าอีกคนอึ้ง ๆ แต่ก็ปรับสีหน้ามาเป็นปรกติเมื่อตอบออกไป “อื้อ”

‘ซื้อหวยทำไมไม่ถูกอย่างนี้วะ!’

“เวย์มันเคยบอกว่าชอบผม แต่ว่าผมไม่ได้คิดกับมันแบบนั้น เหมือนเราจะคุยกันรู้เรื่องแล้ว แต่ที่จริงผมกับมันคุยกันคนละภาษาต่างหาก ทำตัวน่าหงุดหงิด”

‘อืม เจ้าเด็กสกินเฮดนี่ร้ายไม่หยอกแฮะ มีบอกชอบกันแล้วด้วย ถึงคนของเราจะไม่เล่นด้วย แต่ก็ไม่น่าไว้ใจ’

“พี่อาร์ต ทำไมเงียบไปล่ะ โกรธหรือเปล่า?” ฟิวเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอยู่ ๆ อาร์ตก็นิ่งไป คงไม่ได้โกรธเรื่องเวย์หรอกนะ ก็เขาบอกแล้วนี่ว่าไม่ได้คิดอะไรกับทางนั้น

“เปล่า ไม่ได้โกรธหรอก ฟิวบอกแล้วนี่ว่าไม่ได้คิดอะไร ดีซะอีกที่ฟิวบอกให้พี่รู้ ไม่มีเรื่องปิดบัง พี่รู้สึกว่าได้เป็นคนที่พิเศษ”

“ขนาดนั้นเลย?” ฟิวทำหน้าเบ้เหมือนไม่อยากเชื่อกับท่าทางเพ้อ ๆ ของพี่ อารมณ์เริ่มดีขึ้นมา

อาร์ตโยกหัวน้องเบา ๆ น้องสบายใจขึ้นก็ดีแล้ว แต่เขานี่สิที่ยังต้องหาทางจัดการเจ้าเด็กสกินเฮดนั่นต่อไป


…..


“นั่งมองโทรศัพท์ทำไมวะ?”

ข้าวตังโผล่หน้าเข้ามาถามฟิวที่ปรกติตอนพักกลางวันแบบนี้มักจะโทรหาใครสักคน เตือนให้กินข้าว พูดคุยโน่นนี่ หรือบางทีฝ่ายนั้นก็โทรมา แต่ตอนนี้เพื่อนฟิวกลับนั่งมองโทรศัพท์ ไม่ได้โทรออกเหมือนทุกที ข้าวตังมองอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร จนผ่านไปไม่กี่วิ เสียงโทรศัพท์ของฟิวก็ดังขึ้น

“ครับ…” ฟิวรับโทรศัพท์แล้วลุกเดินออกไปหาที่คุย

เวย์ที่รับหน้าที่ไปซื้อข้าวกลางวันกลับมาไม่เห็นก็ถามหาทันที “ฟิวไปไหนวะ ข้าว?”

ข้าวตังมองหน้าเวย์ด้วยหางตา ก่อนจะตอบคำถาม “ไม่รู้ ไม่ได้ตัวติดกันหนิ”

“ตอบดี ๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องพูดแบบนั้น” เวย์ว่ากลับ ไม่ค่อยพอใจกับท่าทางแบบนั้นของไอ้เพื่อนหน้าหวาน

ข้าวตังไม่ต่อความหรือไม่อยากคุยด้วยก็ไม่รู้ได้ เอื้อมจะไปเอาจานข้าวที่เวย์ถือมา แต่อีกคนกลับยกหนี เด็กหน้าหวานเลยชักสีหน้าใส่ไอ้หนุ่มสกินเฮด

ก่อนที่ทั้งคู่จะได้วางมวยกันฟิวก็เดินกลับมาพร้อมหน้ายุ่ง ๆ คิ้วผูกเป็นโบ เดินมานั่งลงข้างข้าวตังก่อนฟุ่บหน้าลงกับโต๊ะเหมือนจะหมดแรง

“เป็นอะไรอะ?” เพื่อนหน้าหวานยังคงสอบถามด้วยความห่วงใย

“เซ็ง มีวิธีไหนจะจัดการกับมือที่สามที่เราไม่เห็นตัวบ้างมะ?”

“หา?” ข้าวตังทำหน้างงกับคำถามแปลก ๆ มือที่สามที่ไม่เห็นตัวคืออะไร?

พักนี้พอเขาโทรหาอาร์ตหรืออาร์ตโทรมาทีไรมักได้ยินเสียงผู้หญิงแทรกมาด้วยตลอด ตอนแรกก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร แต่พอมันมีมาทุกครั้งเลยลองเลียบ ๆ เคียง ๆ ดูถึงได้รู้ว่าเสียงที่มักแทรกเข้ามาเรียกอาร์ตเวลาที่กันนั้นคือนักศึกษาสาวที่มาฝึกงานในแผนกเดียวกันกับอาร์ต ชื่อน้องพลอย ฟังจากน้ำเสียงอาร์ตที่เอ่ยถึงเธอคนนั้นก็ไม่มีอะไรที่พิเศษ แต่ฟิวก็รำคาญ อยากจัดการให้มันจบ ๆ ไป ก็บอกแล้วว่าเขาหวงของ


...….


วันเสาร์ ณ โรงหนัง

“พี่อาร์ต ๆ ผมอยากดูเรื่องนี้”

เด็กตัวสูงผมสีน้ำตาลยืนเด่นอยู่หน้าโปสเตอร์หนังเขย่าขวัญเรื่องดัง ชี้นิ้วบอกหนุ่มผิวเข้มที่ยืนอยู่ไม่ไกล ทำให้คนผิวเข้มต้องเดินเข้าไปดูหนังเรื่องที่อีกคนว่าอยากดู หันมามองหน้าคนที่ชี้บอกหลังจากดูรายละเอียดหน้าหนังแล้วว่ามันเป็น... หนังผี

“แน่ใจนะว่าอยากดูเรื่องนี้จริง ๆ?” อาร์ตถามฟิวที่เริ่มออกอาการลังเล แต่สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไร

วันหยุดนี้อาร์ตและฟิวมีนัดมาเดินดูของ จะซื้อของใช้จำเป็นเข้าห้อง พอมาแล้วเลยแวะมาดูหนังกันสักหน่อย ไหน ๆ ก็มีเวลาได้อยู่ด้วยกันแล้ว

“ไม่ต้องมามองหน้าเลย จะดูก็ดู ไม่ดูก็เอาเรื่องอื่น”

อาร์ตดักคอคนที่ทำสีหน้าลังเล มองโปสเตอร์หนังแล้วก็มองหน้าพี่ ไอ้อยากดูมันก็อยากดูนะ แต่มันเป็นหนังผีอะ ทำไงดีล่ะ

คนเป็นพี่พยายามเก็กหน้านิ่งทั้งที่อยากจะหัวเราะ ตัวเองกลัวผีแต่อยากดูหนังผี ไอ้หนูฟิวเอ๊ย แล้วคอยดูเถอะ ถ้าอาร์ตบอกให้ดูเรื่องอื่น ฟิวก็จะยกเหตุผลร้อยแปดมาบอกว่าเรื่องผี ๆ พวกนั้นมันดียังไง น่าสนุกแค่ไหน แต่พอบอกให้ดูเรื่องที่ว่า น้องก็จะบอกว่ากลัวผี เออ ให้มันได้อย่างนี้

“แต่เรื่องนี้มันน่าสนุกอะ” นั่นไง ผิดจากที่ว่ามาที่ไหน

“แต่พี่ไม่อยากดู แล้วพี่ก็ไม่ให้ฟิวดูด้วย” อาร์ตพูดหน้าตาเฉย

“พี่อาร์ต!”

“ถ้าจะเข้าไปปิดตาดู พี่ว่ารอให้มันออกเป็นดีวีดีค่อยซื้อมาดูที่ห้องก็ไม่ต่างกันหรอก ดูกี่รอบก็ได้ พี่ไม่กลัวเปลืองไฟ”

“……” ฟิวหน้างอที่ไม่ได้อย่างใจ ก็อยากดูเรื่องนี้นี่

“หน้ามุ่ย ไม่พอใจ งั้นฟิวดูเรื่องนี้คนเดียวละกัน ส่วนพี่จะดูอีกเรื่อง รออยู่ตรงนี้นะ พี่จะไปซื้อตั๋ว”

บอกน้องเสร็จก็จะเดินไปต่อคิวซื้อตั๋วจริง ๆ ได้แกล้งน้องนี่ก็สนุกดีนะ เห็นน้องทำตาโตเพราะตกใจคิดว่าเขาจะทำจริง ๆ แล้วตลกดี ยังวางฟอร์มไม่ยอมห้ามเขาด้วย ดูซิ จะทนได้นานแค่ไหน

อาร์ตเดินไปที่เคาน์เตอร์แล้ว ฟิวมองซ้ายมองขวา ก่อนตัดสินใจวิ่งตามคนเป็นพี่ไป

“พี่อาร์ต เดี๋ยวก่อนนนน”

แต่ก่อนที่จะถึงตัวคนเป็นพี่ ขาเรียวยาวก็ชะงักกึกก้าวไม่ออกเอาดื้อ ๆ ผู้หญิงคนที่เดินเข้ามาหาอาร์ตนั่น…

อาร์ตที่เดินหนีน้องมาจุดซื้อตั๋วหัวเราะกับตัวเองในใจเมื่อเห็นด้วยหางตาว่าน้องวิ่งตามมา นึกว่าจะแน่ ขณะที่กำลังรอน้องมาถึงตัวกลับมีคนคุ้นหน้าเดินเข้ามาทักเสียก่อน

“บังเอิญจังเลยค่ะพี่อาร์ตที่ได้เจอพี่ที่นี่ มาดูหนังเหรอคะ?”

น้องพลอยเดินสวย ๆ เข้ามาทักเขา อาร์ตเลยได้แต่ยิ้มตอบไป น้องคิดอะไรทำไมเขาจะไม่รู้ เพียงแต่เขาก็มีข้อจำกัดของเขา ถ้าไม่ทำตัวน่ารำคาญก็ยังพอคุยกันได้ แล้วน้องพลอยก็ไม่ได้ทำให้อาร์ตรำคาญใจอะไร แต่อาร์ตคงไม่รู้ว่าคนที่รำคาญใจน่ะมี และยังเป็นคนสำคัญเสียด้วย

เหมือนว่าน้องพลอยจะชวนคุยต่อ แต่แล้วกลับชะงักไป ก่อนที่จะก้าวถอยหลังเหมือนไม่รู้ตัวและ... ออกวิ่ง

และช่วงเวลาเดียวกันนั้นกลับมีบางอย่างผ่านหน้าเขาไป ภาพที่อาร์ตเห็นคือเด็กของเขารั้งแขนน้องพลอยเอาไว้ ขณะที่น้องพลอยทำหน้าราวจะร้องไห้ เขาไม่เห็นว่าฟิวมีสีหน้าอย่างไร แต่บรรยากาศนี้คืออะไร นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?

หลังจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ฟิวก็พาน้องพลอยไปหาที่นั่งเพื่อพูดคุย ส่วนอาร์ตก็ได้แต่เดินเตร่อยู่แถวนั้น ปล่อยให้คนทั้งสองได้คุยกันตามลำพัง แต่สายตาคมก็ไม่ได้ละไปจากจุดที่ฟิวอยู่ แม้จะไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ แต่อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าน้องยังอยู่ในสายตา ไม่ได้หนีหายไปไหน ความกังวลมันเกิดขึ้นเอง ตอนที่ฟิววิ่งผ่านหน้าเขาแล้วคว้าข้อมือน้องพลอยไว้ อาร์ตก็รู้สึกกลัวขึ้นมา กลัวบางอย่างที่เขาไม่อยากจะนึกถึงมัน

คนที่นั่งข้างกันบนม้านั่งตัวยาวยังไม่มีใครปริปากพูดอะไรก่อน เหมือนจะให้ความเงียบรอบกายโอบล้อมอยู่แบบนั้น จนเวลาผ่านไปเท่าไรไม่รู้ ฟิวถึงได้เอ่ยถาม

“พลอย สบายดีไหม?”

“อ… อือ ฟิวล่ะ?”

“ก็ดี”

ดูจะเป็นบทสนทนาที่เรียบเรื่อยจนเกินไปสำหรับคนรู้จัก แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะพยายามระวังคำพูดไม่ให้ไปกระทบต่อจิตใจอีกฝ่ายเสียมากกว่า

“แล้วตอนนี้พลอยทำอะไรอยู่ เรื่องร้านกาแฟไปถึงไหนแล้ว?”

ฟิวก็ชวนคุยไปเรื่อย ๆ พลอยก็ตอบกลับมาบ้างเท่าที่จำเป็น ด้วยรู้ดีว่าเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่นี้ไม่ได้เป็นจุดประสงค์หลักของฟิว

“เห็นว่าพลอยไปฝึกงานที่บริษัทเดียวกับพี่อาร์ตเหรอ เป็นไงบ้าง?”

“ก็สนุกดี พี่ ๆ เขาก็ใจดีกันทุกคน”

“โดยเฉพาะพี่อาร์ตหรือเปล่า?”

“เอ๊ะ?” คำถามของฟิวทำให้พลอยงง เหมือนฟิวจะรู้

“พลอยชอบพี่อาร์ตใช่ไหม?” ฟิวปล่อยหมัดตรงไม่ให้คู่ต่อสู้ได้ตั้งตัว

น้องพลอยได้แต่อ้ำอึ้งเพราะไปไม่เป็น “เอ่อ…”

“ฟิวจะไม่พูดถึงเรื่องอดีตนะ พลอย อะไรที่มันผ่านมาแล้ว ฟิวจะไม่เอ่ยถึงมัน แต่ที่ฟิวกำลังจะพูดคือเรื่องในปัจจุบัน ณ ตอนนี้… การที่พลอยจะรักจะชอบใคร ฟิวรู้ว่าฟิวไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ ถ้าพลอยจะชอบพี่อาร์ต ฟิวก็ห้ามพลอยไม่ได้”

ยิ่งฟิวพูด พลอยก็ยิ่งไม่เข้าใจ จนประโยคต่อมาที่ฟิวบอก พลอยถึงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างแท้จริง

“แต่ฟิวก็อยากบอกให้พลอยได้รู้ไว้…” ฟิวเว้นจังหวะการพูดให้อีกฝ่ายสนใจและรู้ว่ามันสำคัญ “ว่าคนนั้นน่ะ… ของฟิว”

น้องพลอยนิ่งอึ้งไปทันทีที่ได้ยินแบบนั้น พี่อาร์ตเป็นของฟิว เป็นของฟิวอย่างนั้นหรือ หมายความว่า…

“นี่ฟิวเป็น…” พลอยเหมือนยังอึ้งกับสิ่งที่ได้รับรู้ไม่หาย

ฟิวยิ้มมุมปากก่อนบอก “ก็อย่างที่พลอยคิด”

ความเงียบเข้ามาเยือนคนทั้งคู่อีกครั้ง เมื่อความเข้าใจของพลอยตรงกับสิ่งที่ฟิวอยากจะบอก เมื่อนึกย้อนถึงสิ่งที่ผ่านมา พลอยก็คิดว่าตัวเธอเองคงมีส่วนทำให้ฟิวเป็นแบบนี้ แต่เหมือนฟิวจะรู้ความคิดเธอ ถึงได้พูดขึ้นก่อนที่พลอยจะได้เอ่ยปากบอกอะไร

“พลอยไม่ต้องกังวลหรอกว่าที่ฟิวเป็นแบบนี้เพราะพลอย ถึงพลอยจะมีส่วน แต่การตัดสินใจทุกอย่างมันอยู่ที่ฟิว ถ้าฟิวไม่ชอบพี่เขา ฟิวไม่มีทางคบกับเขาแน่”

“ฟิวแน่ใจแล้วเหรอ?”

คำถามนั้นทำให้ฟิวชะงัก “หมายความว่าไง?”

“พลอยไม่มีสิทธิ์อะไรก็จริง แต่พลอยเป็นห่วงฟิวนะ คิดให้ดีกว่านี้ไม่ดีกว่าเหรอ บางทีฟิวอาจจะแค่เหงาหรือต้องการคนปลอบใจ และในช่วงเวลานั้น พี่อาร์ตก็เดินเข้ามาในชีวิตฟิว”

ฟิวนิ่งฟังที่พลอยพูด สิ่งที่พลอยบอก ทำไมเขาจะไม่คิด เขาคิดอยู่ตลอดล่ะว่ามันใช่แน่หรือกับคนคนนี้ การที่จะรักกับคนเพศเดียวกันมันเป็นเรื่องยาก แต่การใช้ชีวิตในสังคมที่ยังไม่เปิดกว้างแบบนี้ ยากยิ่งกว่า ฟิวเข้าใจข้อนี้ดี ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับกับเรื่องแบบนี้ แต่เขาจะต้องกลัวอะไรล่ะ ในเมื่อรัก มันก็คือรัก ไม่ว่าจะเพศไหน คำจำกัดความของความรักก็ไม่ได้ต่างกันสักนิดเดียว

“มันไม่ใช่ว่าใครก็ได้นะ แต่เพราะเป็นเขา เป็นพี่อาร์ต คนที่จะไม่มีวันทรยศหักหลังความรู้สึก ‘รัก’ ของฟิวอย่างแน่นอนต่างหาก”

ทั้งที่เหมือนว่าฟิวจะไม่ได้ด่าเธอ แต่พลอยก็ยังรู้สึกเหมือนโดนตบหน้ากับคำว่า ทรยศหักหลังความรู้สึกรัก มันฟังดูรุนแรงไปนะกับคำว่าทรยศหรือหักหลังนั่น แต่มันก็คือความจริงที่เธอได้ทำมันลงไปแล้ว วันนี้ไม่มีฟิวที่รักและเห็นว่าเธอคือที่หนึ่งเสมออีกต่อไปแล้ว เพราะต่อไปคนที่จะได้สิทธิ์นั้นคือคนที่กำลังมองมาทางนี้อยู่ตลอดเวลานั่นต่างหาก

ผู้ชายตัวสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้ม แต่อบอุ่นและพึ่งพาได้ คนที่เธอคิดว่าจะให้ใจ แต่ก็ได้แค่คิด เมื่อเขา… มีเจ้าของแล้ว

พลอยลุกจากไปแล้ว แต่ฟิวก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมกับความรู้สึกหนักอึ้งในอก การได้เจอกับพลอยในครั้งนี้ไม่ได้มีผลกับฟิวเท่าที่คิด แต่คนที่มีผลต่อจิตใจคือคนที่กำลังเดินเข้ามาหาเขานั่นต่างหากล่ะ

ฟิวลุกขึ้นเมื่ออาร์ตเดินมาถึง สีหน้าอาร์ตดูเคร่งเครียด แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ปริปากถามอะไร ฟิวเอื้อมมือไปจับมือใหญ่นั้น บีบเบา ๆ จนอีกคนค่อยคลายอาการเกร็งเครียดลงเมื่อถูกสัมผัส

“กลับห้องเรากันนะ พี่ แล้วผมจะบอกทุกอย่างที่พี่อยากรู้”




.....
ต่อด้านล่างค่ะ  :L1:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ Ch. 2-3-4-5-6 // 09.Sep.2018
«ตอบ #11 เมื่อ09-09-2018 19:03:13 »


5

รักสองเรา


หลังจากกลับมาที่ห้อง โดยก่อนหน้านั้นอาร์ตกับฟิวก็พากันซื้อของเข้าห้องตามโปรแกรมเดิม แต่มันช่างเป็นการเดินด้วยกันที่เงียบที่สุดก็ว่าได้ ใครอยากได้อะไรก็หยิบ เสร็จแล้วถึงไปจ่ายเงิน ตอนนั้นฟิวเองก็เพิ่งเห็นว่าไอศกรีมรสโปรดของตนเองวางแน่นิ่งอยู่ในรสเข็นด้วยทั้งที่ไม่ได้เป็นคนหยิบมา เรื่องเล็ก ๆ แต่ก็ทำให้ฟิวคลายใจได้ว่าพื้นอารมณ์คนเป็นพี่ตอนนี้ไม่ได้โกรธ แต่จะอะไรยังไงนั้นก็ต้องดูกันอีกที

เมื่อกลับมาถึงห้อง เอาของไปเก็บห้องใครห้องมันแล้วฟิวก็จัดการอาบน้ำ ถือเป็นการยืดเวลาให้อีกคนปรับอารมณ์ด้วย พอจัดการตนเองเสร็จแล้วถึงเดินมาที่ห้องข้าง ๆ เปิดประตูเข้าไปด้านในก็ไม่เห็นมีใครอยู่ จึงโผล่ไปดูที่ระเบียง

อาร์ตนอนหลับตานิ่งอยู่ที่ม้านั่งตัวยาวที่ปูฟูกไว้สำหรับนั่งเล่น ฟิวเดินเข้าไปหาคนที่นอนอยู่ช้า ๆ รู้ว่าพี่ไม่ได้หลับหรอก นั่งยองลงข้าง ๆ ก่อนจะแตะต้นแขนเขย่าเบา ๆ

“พี่”

“อือ” อาร์ตครางรับแต่ยังไม่ลืมตา

“พี่ลืมตามาคุยกับผมก่อนสิ” ฟิวเอาคางเกยหน้าท้องของคนที่นอนอยู่ อ้อน เขาเรียกมันว่าอย่างนั้น

อาร์ตลืมตาขึ้นมามองเห็นตาแป๋ว ๆ นั่นจ้องเขาอยู่ก่อนแล้วจึงขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ดึงน้องมานั่งข้างแล้ววาดแขนไปด้านหลังเหมือนกำลังโอบไว้กลาย ๆ

“พลอยเขาคืออดีต ถ้าพี่กังวลใจเรื่องนี้ก็ขอให้พี่รู้ไว้ว่าผมจะไม่เอาอดีตมาปนกับปัจจุบันแน่นอน” ฟิวพูดขึ้นมาก่อน เมื่อไม่เห็นทีท่าว่าอีกคนจะยอมเปิดปากถามอะไร

อาร์ตถอนหายใจเมื่อได้ยินน้องพูดแบบนั้น ฟิวเองก็คงกังวลใจไม่แพ้กัน เขาในฐานะที่โตกว่า แทนที่จะเป็นหลักให้น้องกลับทำน้องรวนไปด้วย

“ทุกคนต่างก็ต้องมีอดีตด้วยกันทั้งนั้น พี่เองก็ใช่ แต่อดีตของพี่ ฟิวก็รู้เห็นทุกอย่าง ส่วนตัวพี่เอง... พี่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฟิวเลย”

อาร์ตว่าเสียงหงอย ฟิวเลยขยับเข้าไปใกล้พี่อีกนิด อยากปลอบนะ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร มันไม่เหมือนโอ๋เด็กนี่นา นี่มันเด็กโข่งชัด ๆ

“เรื่องบางเรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว ผมไม่อยากจะรื้อฟื้นมันอีก แต่ถ้ามันจะทำให้พี่สบายใจขึ้น ผมก็จะเล่าให้ฟัง แต่พอฟังจบแล้วพี่ต้องสัญญาว่าจะปล่อยมันให้ผ่านเลยไป อย่าเก็บมาคิดต่อยอดเด็ดขาดนะ”

เมื่ออาร์ตพยักหน้ารับ ฟิวจึงเริ่มเล่าอดีตให้ปัจจุบันของตนเองฟัง ช่วงเวลาแห่งความรักที่แสนหวานระหว่างฟิวกับพลอยถูกถ่ายทอดให้คนฟังรู้ทุกอย่าง การพบเจอกันครั้งแรก การที่ฟิวตามจีบพลอยซึ่งเป็นรุ่นพี่ กว่าที่พลอยจะใจอ่อนยอมตกลงเป็นแฟนกัน มีฝัน มีอนาคตร่วมกัน ทุกสิ่งทุกอย่างมันดูดีดูสวยงามไปหมด

พลอยอยากเปิดร้านกาแฟเล็ก ๆ อยากเห็นคนมีความสุขเวลาดื่มกาแฟของเธอ เธอมักจะสรรหาสูตรต่าง ๆ มาให้ฟิวชิม แต่ฟิวไม่ใช่คอกาแฟ ดื่มกาแฟก็ไม่รู้รสนอกจากขม เลยได้แต่ให้กำลังใจ อยู่กับเธอนาน ๆ เข้าเลยชงกาแฟเป็นไปด้วยอีกคน

แต่เหมือนว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็ว หรือว่าความลับมันไม่มีในโลกก็ไม่รู้ เมื่อทุกสิ่งที่ดูสวยงาม ทุกอย่างที่ฟิวคิดว่ามันคือของตัวเองมาโดยตลอดมันกลับไม่ใช่ พื้นที่ของเขามันไม่ใช่ของเขาแค่คนเดียว และคนที่เข้ามาร่วมใช้ก็คือ เอก เพื่อนสนิทของเขาเอง มันจะไม่เจ็บเท่านี้ถ้าคนที่แอบคบกับพลอยลับหลังเขาจะไม่ใช่คนที่เขาไว้ใจ คำว่าเพื่อนของเขากับเอกคงสะกดต่างกัน

“พี่รู้ไหม เหตุผลที่เพื่อนผมให้ตอนที่ผมรู้ว่ามันแอบคบกับแฟนผมคืออะไร?”

ฟิวเอ่ยถามอาร์ตเสียบเรียบแต่แฝงแววเจ็บปวดและเย้ยหยัน มือข้างที่โอบไหล่ฟิวไว้จึงลูบแขนปลอบ ๆ

“มันบอกว่ามันรักของมันมาก่อน ผมนั่นแหละที่เข้ามาแทรก พอมันคบกันก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ กลัวผมรู้อีก พวกมันลำบากกันมาก ๆ อะ แล้วกูไปบังคับให้พวกมึงคบกันหรือไงวะ ไอ้เหี้ย!”

ยิ่งพูดยิ่งเหมือนฟิวจะระงับอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ อาร์ตรั้งตัวน้องเข้ามากอดหลวม ๆ ลูบหลังให้ใจเย็นลง บางทีเขาควรปล่อยให้อดีตมันเป็นอดีตแบบนั้นน่ะดีแล้ว ยิ่งไปสะกิดแบบนี้ยิ่งกลัว

ฟิวที่ยอมอยู่นิ่งให้พี่กอดปลอบท่าทางจะใจเย็นลงแล้ว เลยพูดประโยคต่อมาได้ “ผมทำให้ย่าร้องไห้ด้วย ช่วงนั้นผมทำตัวไม่ดีเลย อารมณ์ร้อน ไม่มีเหตุผล ทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรดี โทษมันไปหมด เกเรก็เท่านั้น ย่าบอกย่าเตือนอะไรก็ไม่ฟัง จนย่าร้องไห้ มันเป็นความทรงจำที่แย่มาก แต่ย่าบอกว่าเพราะผมยังเด็ก แต่ผมว่ามันไม่เกี่ยวว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ เพราะที่สำคัญคือผมทำให้ผู้มีพระคุณเสียน้ำตา มันเป็นบาปหนา ที่เห็นย่าพาผมไปทำบุญที่นั่นที่นี่บ่อย ๆ ก็เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ด้วย บุญล้างบาปไม่ได้ แต่ผลแห่งบุญคงจะทำให้สิ่งร้ายแรงที่จะเข้ามาในชีวิตทุเลาเบาบางลงได้ ย่าบอกแบบนั้น”

“ดีแล้ว ฟิว ถึงยังไงวันนี้ฟิวก็ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เรื่องที่ผ่านมาไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ปล่อยมันผ่านไปเถอะ อดีตคือสิ่งที่เรากลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่ปัจจุบันอยู่ในมือเรา เราสามารถทำให้มันดีได้ และพี่เองก็จะทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด”

ฟิวยิ้มรับคำพูดที่เหมือนคำสัญญานั้น “ที่จริงมันก็ไม่ได้เลวร้ายไปซะทั้งหมดหรอก อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมได้มาเจอกับผู้ชายคนหนึ่ง”

ฟิวเงยหน้ามองอาร์ต ยิ้มให้ทั้งปากทั้งตา

“ใคร?” มาซะห้วนเชียว

“ตอนที่เจอเขาครั้งแรก ผมไม่ได้สนใจเขาหรอก แต่พอเห็นบ่อย ๆ เข้าก็ชักจะหมั่นไส้ละ เห็นควงคนนั้นคนนี้อยู่ตลอด คบใครก็ไม่เห็นนานสักคน มองไปมองมาก็ยิ่งน่าหมั่นไส้ คิดว่าตัวเองหล่อนักหรือไงก็ไม่รู้ แต่พอเจอเขาบ่อยเข้าถึงได้รู้ว่าเขาแอบชอบแฟนเพื่อนสนิทอยู่”

‘เอ๊ะ?’

“ดู ๆ ไปก็น่าสงสารนะ แต่บางทีผมก็รู้สึกว่าทำไมเขาโง่จัง ต่อให้เขารักคนนั้นแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็ไม่มีทางได้มาหรอก เห็นทุกครั้งก็ทำหน้าเศร้าเหมือนแมวที่บ้านป่วยใกล้ตาย ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี” ฟังไปฟังมาเหมือนจะเป็นเรื่องตัวเองนะ

“หลอกด่าพี่หรือเปล่าวะ?” อาร์ตหรี่ตาจับผิด

อีกคนทำหน้าเหลอหลาเหมือนไม่รู้เรื่อง “เปล่านะ กำลังพูดถึงผู้ชายคนนั้นอยู่ต่างหาก”

“อ้อเหรอ” อาร์ตลากเสียงยาว น้องก็พยักหน้าหงึกยืนยัน อาร์ตเลยบอกให้เล่าต่อ

“ผมบังเอิญเจอเขาบ่อยมาก ไม่รู้ว่ากรุงเทพฯมันแคบหรือยังไง เจอบ่อยชนิดที่ว่าอยากเดินเข้าไปถามคนนั้นเลยว่าไม่มีที่ให้ไปแล้วใช่ไหม ถึงได้มาให้เห็นอยู่เรื่อย”

“พาลว่ะ”

“ก็มันจริงนี่ เจอบ่อยจนจำได้อะ คิดดู”

“แอบมองเขาอะดิ ถึงได้เห็นเขาบ่อย ๆ” ชักจะสนุกแฮะ พอรู้ว่าน้องพูดถึงตัวเองแล้วมันก็รู้สึกดีสุด ๆ

“ไม่ได้แอบเลยเหอะ มองตรง ๆ เลย แต่เขาก็ไม่เห็นจะสนใจ”

“จริงอะ?” อาร์ตถามน้ำเสียงลิงโลดใจ

“โกหก”

“ฮื้มมมม” อาร์ตทำเสียงขัดใจที่น้องไม่ตามน้ำ เอาแน่กับฟิวไม่ได้จริง ๆ

“แล้วพี่อาร์ตจะสนใจทำไม ไม่ใช่เรื่องตัวเองสักหน่อย”

“ก็อยากพูดทำไมล่ะ พอเขาสนใจแล้วมาทำเฉไฉนะ” อาร์ตบีบจมูกโด่ง ๆ นั่นอย่างมันเขี้ยว

“ฮื้ออ พี่อาร์ต”

“แล้วตอนนี้ผู้ชายคนนั้นเขาเป็นไงมั่ง เลิกโง่ยัง?”

“ไม่รู้สิ แต่ตอนนี้เขามีแฟนใหม่อีกแล้วอะ ก็ไม่รู้ว่าแฟนคนปัจจุบันจะคบกันได้นานแค่ไหน”

“แล้วไม่คิดว่าเขาจะจริงจังกับคนนี้เหรอ บางทีเขาอาจจะหยุดอยู่ที่คนนี้ก็ได้นะ” อาร์ตแสดงความคิดเห็นเสมือนว่าเป็นคนนอก แต่อยากบอกน้องแบบนั้นจริง ๆ

“จริงเหรอ?”

“อื้อ” อาร์ตพยักหน้าให้ความมั่นใจ

“พี่อาร์ต”

“หือ?”

“พี่ว่าผู้ชายคนนั้นจะรักแฟนเขาไหม?” ถามไปแล้วก็จ้องมองอย่างรอคำตอบ

อาร์ตมองหน้าซื่อ ๆ ตาใส ๆ นั่นอย่างไม่เชื่อว่าจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ แกล้งทำน่ะสิ

“รัก”

“มากไหม?”

แทนคำตอบอาร์ตจึงก้มลงไปปิดเสียงที่ถามไม่หยุดนั่นด้วยริมฝีปากของตนเอง ปล่อยไว้แบบนี้ได้กลายเป็นลูกไล่ไอ้หนูฟิวไปตลอดแน่ อาร์ตเอนตัวน้องให้ลงราบตามความยาวของม้านั่ง ขยับกายนิดหน่อยหาท่าเหมาะ ๆ รั้งสะโพกน้องให้เข้ามาเกยบนหน้าขา ขยับแทรกเข้าไปชิด ขณะที่ปากยังทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม

“พี่อาร์ต”

“อือ…”

“รักมากไหม?” คนนี้ก็ยังจะเอาคำตอบให้ได้

อาร์ตเงยหน้าจากการชิมร่างขาว ๆ นั้นแล้วเลื่อนไปจูบริมฝีปากน้องหนัก ๆ ก่อนขยับไปกระซิบข้างหูบางเสียงพร่า

“ที่สุด รักฟิวที่สุด”

ยิ่งได้บอกออกไปแบบนั้นอารมณ์คนพูดก็ยิ่งคุโชน ลูบไล้ เล้าโลม บดเบียดกับคนใต้ร่างแทบจะเป็นเนื้อเดียว เมื่อเกินทานทนได้ อาร์ตจึงต้องเอ่ยขอ

“ฟิว ขอนะ ได้ไหม… ให้พี่ได้ไหมครับ?”

ฟิวมองตาอาร์ต นิ่งไปนานกับคำขอนั้น ก่อนใบหน้าเรียวจะพยักช้า ๆ ตอบรับคำขอ อาร์ตยิ้ม ก้มลงไปจูบปากอิ่มอย่างขอบคุณ รั้งขาเรียวให้เกี่ยวเอวตนเองไว้ ยกแขนทั้งสองข้างของน้องให้โอบรอบคอตนเองก่อนจะอุ้มน้องขึ้นมาทั้งตัว

“พี่อาร์ต เดี๋ยวตก!”

ฟิวกอดคอคนที่อุ้มตนเองแน่น ขาเรียวก็เกี่ยวเอวคนเป็นพี่ไว้เพราะกลัวตก อาร์ตขยับตัวฟิวให้เข้าที่เข้าทาง ยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บปากนุ่มเร็ว ๆ หนึ่งที ยิ้มพรายใส่คนที่มองตาแป๋ว

“พร้อมจะเข้าหอหรือยังจ๊ะ ที่รัก?”

“บ้า”

ฟิวทุบอกคนทำทะลึ่ง แต่คนที่กำลังจะได้หยิบชิ้นปลามันไม่มีโวย นอกจากหัวเราะอารมณ์ดี พาสุดที่รักเดินฉิวเข้าห้องหอรอรักไป คืนนี้ยังอีกยาวไกลนัก ที่รักจ๋า

อาร์ตอุ้มน้องเข้ามาในห้องนอน วางลงบนเตียงอย่างเบามือ ริมฝีปากได้รูปยังตามประกบติดไม่เว้นที่ว่าง ร่างสูงใหญ่ค่อยตามทาบทับ ลิ้นร้อนถูกส่งเข้าไปทักทายและได้รับการตอบสนองเป็นที่พึงใจ อาร์ตดันขาเรียวให้งอเข่าขึ้น ก่อนจะแทรกกายเข้าไปตรงกลาง บดเบียดหนัก ๆ ตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตนเอง ทั้งยังไม่ผละห่างจากริมฝีปากอิ่มนั้นจนคนใต้ร่างร้องประท้วงในลำคอถึงได้ยอมผละห่างให้น้องได้สูดอากาศเข้าปอดบ้าง

อาร์ตยันกายขึ้นมองน้อง ร่างกายขาวเนียนบิดกายน้อย ๆ นี้กำลังจะเป็นของเขา และจะมีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ครอบครอง ดวงตาคมกวาดมองทั่วร่าง สบกับดวงตากลมที่ตอนนี้หรี่ปรือเพราะแรงอารมณ์ แต่ก็ยังมีแววหวั่นให้คนมองจับกระแสนั้นได้ คนตัวโตก้มลงไปจุมพิตหน้าผากนูนเกลี้ยงแผ่วเบาซ้ำ ๆ กระซิบบอก

“เชื่อใจพี่นะ ฟิว”

แขนเรียวยกขึ้นโอบกอดเป็นการตอบรับ อาร์ตจูบแก้มคนน่ารักที่เชื่อใจเขา ค่อยรั้งขอบกางเกงนอนลงช้า ๆ ...


……


รุ่งเช้าของวันใหม่ ฟิวนอนหลับอยู่บนเตียงกว้าง ผิวขาวที่โผล่พ้นผ้าห่มหนานั้นปรากฏร่องรอยจากการกระทำของอีกคนไว้ประปราย เริ่มขยับตัวซุกร่างเข้าหาความอบอุ่นเมื่ออุณหภูมิรอบกายลดต่ำลง เนื่องจากเครื่องปรับอากาศที่ยังคงทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้จะรู้สึกเจ็บหน่วงไปทั้งตัว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เพียงแต่นิ่วหน้าแล้วหลับต่อไปเท่านั้น แขนเรียวพาดผ่านสิ่งที่ตนเองคิดว่าเป็นหมอนข้าง ใบหน้าซุกซบ ก่อนจะสวมกอดเอาไว้อย่างนั้น

อาร์ตมองการกระทำของน้องยิ้ม ๆ ตอนนี้เขามีความสุขจนแทบล้นอกเลยก็ว่าได้ มันอิ่มเอมบอกไม่ถูก ยิ่งตื่นมาเห็นคนในอ้อมแขนแล้วยิ่งสุขขึ้นอีกเท่าตัว เขาท่าจะหลงไอ้หนูนี่มากเกินไปแล้ว

หนุ่มผิวเข้มกระชับร่างขาว ๆ ที่ช่างตัดกับสีผิวของตนเองเหลือเกินในอ้อมกอดให้แน่นขึ้น หวงแหน คำนี้มันผุดขึ้นมาในหัว ใช่ เขาหวง อาร์ตก้มมองคนที่ยังนอนหลับไม่รู้เรื่อง กดจมูกที่กลุ่มผมสีน้ำตาลนุ่มลื่นนั้นแล้วบอกย้ำกับตนเองในใจ

‘ฟิวเป็นของพี่แล้วนะ ของพี่แค่คนเดียว’



ห้องกินข้าวภายในคอนโดมิเนียมหรู บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารบำรุงและผลหมากรากไม้นานาชนิด ฟิวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ บนหน้าผากมีเจลลดไข้แปะอยู่ และข้างกันคืออาร์ตที่จ้องมองทุกกิริยาเวลาฟิวขยับตัว มือเรียวตักอาหารเข้าปากสีหน้าเนือย ๆ กรอกตามองเพดานห้องไปมา ก่อนปากจะเริ่มพูดเมื่อกลืนอาหารที่กินเข้าไปเมื่อครู่แล้ว

“ผมว่ามันมากเกินไปแล้วนะ พี่อาร์ต”

“หือ?” อาร์ตที่เอาแต่มองน้องเพลิน ดูจะไม่ได้ให้ความสนใจคำพูดน้องสักเท่าไร

“พี่อาร์ต! มองอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวทิ่มตาบอด” ทำท่าว่าจะทิ่มจริง ๆ ถ้ายังเอาแต่มองไม่เลิก

“หึ ๆ เขินเหรอ?”

“ยังมีหน้ามาพูด แล้วไอ้เบาะเนี่ย พี่จะขนมาทำไมเยอะแยะ หา!”

ฟิวชี้เบาะรองนั่งที่ยังอยู่ในถุงของร้านค้าส่วนหนึ่ง อีกส่วนเขาก็นั่งมันอยู่นี่ไง จะซื้อมาขายต่อหรือไงไม่รู้ เห็นวิ่งหน้าตั้งออกไปตั้งแต่ไก่โห่ พอกลับมาอีกที ทั้งของกิน ทั้งยา ทั้งอะไรไม่รู้มากมายหลายสิ่งอย่าง เวียนหัวกับเขาจริง ๆ

“ก็กลัวฟิวเจ็บ รองอีกซักอันไหม พี่ว่าไม่น่าจะพอนะ”

“ไม่ต้องเลย หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ!” ฟิวรีบบอกเมื่ออาร์ตทำท่าจะไปหยิบมาให้อย่างที่พูดจริง ๆ เป็นอะไรหนักหนาวะครับ “เลิกทำเหมือนผมป่วยใกล้ตายเสียทีเหอะ แค่เป็นไข้ จะอะไรหนักหนา”

“ก็พี่เป็นห่วงนี่ครับ” อาร์ตพูดน้ำเสียงออดอ้อน

“ถ้าเป็นห่วง งั้นคราวหลังก็อย่าทำอีกละกัน”

“หา!?”

ฟิวพูดหน้าเฉย แต่คนฟังนี่ออกอาการตกใจจนน่าหมั่นไส้ขึ้นมาตงิด ๆ

“โหย ไม่เอาสิ พี่สัญญา ครั้งต่อไปมันจะดีขึ้น จะไม่ให้เจ็บเลยแม้แต่นี้ดเดียว!” สีหน้ายืนยันให้ความมั่นใจน้องเต็มที่

ฟิวเบ้ปากไม่เชื่อ “อย่าพูดเลย หื่น ๆ แบบพี่ไว้ใจไม่ได้หรอก”

“ฟิววว”

“บ้าบอน่า พี่อาร์ต ไม่มีอะไรกันมันไม่ถึงกับตายหรอก มากินข้าวได้แล้ว ซื้อมาเยอะจนแทบเลี้ยงได้ทั้งหมู่บ้านแล้วมั้งน่ะ”

ฟิวก็บ่นไปเรื่อย แต่คนเป็นพี่นี่สิ ทำหน้าเหมือนใกล้จะตายจริง ๆ แล้ว ฟิวทนได้ แต่พี่ทนไม่ได้โว้ย

“เพื่อนอาร์ตอยู่ไหมวะครับ?”

เสียงเรียกที่ดังมาจากหน้าห้องทำให้อาร์ตต้องละสายตาจากน้องที่ทำเป็นสนใจอาหารตรงหน้า ไม่รู้ไม่ชี้กับสีหน้าเว้าวอนของเขาเลย ไม่นานเจ้าของเสียงเรียกนั้นก็เข้ามาถึงที่อาร์ตอยู่ ตี๋เทปกับวิวสุดที่รัก

เพื่อนซี้ตี๋เทปไม่ได้นัดไว้ แต่เผอิญว่างเลยแวะมาหา ตั้งแต่เข้าทำงานกันจริงจังก็ไม่ค่อยได้ไปเฮฮากันอย่างแต่ก่อน หน้าที่รับผิดชอบก็ต้องมาก่อนอย่างอื่นอยู่แล้ว ตี๋เทปเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ อาร์ต รับไหว้น้องฟิวแล้ววางของที่หอบหิ้วมาด้วยก่อนเอ่ยปากทัก

“ทำไมของกินมันเยอะแยะแบบนี้ล่ะ ของที่กูเอามาจะไม่เป็นหมันเหรอเนี่ย?”

พูดเหมือนกลัวว่าของที่ตัวเองนำมาจะไม่ได้รับความสนใจ แต่มือก็หยิบผลไม้ในจานที่วางอยู่เข้าปากไปแล้ว

เพียะ!!

“ของน้อง” อาร์ตตีมือตี๋เทปที่มาแย่งของน้องฟิวกิน ก็ไม่รู้จะหวงทำไม ทำอย่างกับว่าฟิวจะกินคนเดียวหมดอย่างนั้นล่ะ

“อะไรว้า แค่นี้ทำหวง โด่ ไม่กินก็ได้ ของที่กูเอามานี่ชั้นเหลา ไม่ง้อมึงหรอก” ทำเป็นเกทับเพื่อนก่อนหันมาชวนฟิวให้กินอาหารที่ตนเองเอามาด้วย “ฟิวอย่าไปกินเลยของกิ๊กก๊อกพรรค์นี้ ต้องของพี่นี่ เด็ดสุด”

อาร์ตผลักหัวเพื่อนที่ทำตัวเป็นพีอาร์โฆษณาสินค้าชวนเชื่อเสียเหลือเกิน “พูดมากน่ามึง กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าอาหารเหลาของมึงมันจะอร่อยแค่ไหน ใช่ว่าดีแต่ปากหรอกนะ”

“ถ้าอยากรู้ก็รีบไปจัดใส่จานมาให้ไวเลยครับเพื่อน”

อาตี๋ลุกขึ้นลากเพื่อนเข้าห้องครัวไปด้วยกัน ปล่อยให้หนุ่มน่ารักทั้งสองคนคุยกันไปพลาง ๆ เมื่อเข้ามาหลบมุมในครัวเป็นที่เรียบร้อย จะหลบทำไมไม่รู้ครัวก็ไม่ได้มิดชิดออกจะเปิดโล่งด้วยซ้ำ แต่ตี๋เทปก็ยังจะหลบ ก่อนกระซิบถามเพื่อน

“ทำอะไรน้องมันวะ ถึงกับไข้ขึ้นเลยนะมึง”

“ไอ้ห่า ถามนี่เกรงใจกูบ้าง” อาร์ตทำเป็นอายที่ถูกถามโต้ง ๆ แบบนี้ อาตี๋เลยทำหน้าเซ็งใส่

“โอ๋ย ทำมาเป็นดัดจริตเขินอาย เดี๋ยวพ่อเขวี้ยงด้วยหูฉลาม”

“มีหูฉลามด้วยเหรอวะ?” อันนี้ก็ตีมึนให้เพื่อนหมั่นไส้เล่น

“ไม่มี อย่างมึงน่ะ แค่หูหมูก็หรูแล้ว”

“แสด”

“อย่ามานอกเรื่อง ตอบคำถามกูก่อน ไอ้เข้ม”

“รู้แล้วยังจะถามอีกนะมึง”

“นี่มึงทำไปแล้วเหรอ ไอ้ไวไฟ!” ตี๋เทปทำหน้ารับไม่ได้กับการกระทำของเพื่อน

อาร์ตยังสงสัย มันบ้าบอขนาดนี้ลูกน้องยังเชื่อใจมันได้อีกหรือ ก็ว่าไปนั่น เวลาทำงานกับเวลาปรกติเทปแตกต่างโดยสิ้นเชิงอยู่แล้ว ก็ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กนี่นะ

“พูดไม่ดูตัวเองเลยนะมึงน่ะ” หนุ่มเข้มตอกกลับเพื่อนที่ไม่ได้ต่างกันเลยไม่ว่าเรื่องอะไร สองซี้เลยหัวเราะขำกันเอง

“อาร์ต ตอนนี้มึงมีความสุขไหมวะ?”

“สุด ๆ ว่ะ” คนตอบเปิดยิ้มกว้างให้รู้ว่า ณ ตอนนี้เขามีความสุขกับปัจจุบันของเขาจริง ๆ

“หึ ๆ ดีแล้ว กูเบื่อจะเห็นมึงทำหน้าเศร้าแล้ว”

อาร์ตเงียบกับคำพูดนั้นของเพื่อน รอยยิ้มที่มีเมื่อครู่ค่อยหายไป มีเพียงความนิ่งเงียบที่ทั้งคู่ใช้สื่อสารกัน

“มึงรู้ใช่ไหม เทป ความรู้สึกกู… ตลอดมา” หลังจากนิ่งไปพัก อาร์ตถึงถามเพื่อนขึ้นมาได้ กลัวคำตอบแต่ก็อยากรู้ไปพร้อมกัน

“เออ มึงดูออกง่ายจะตายละสัส ขนาดที่รักกูยังรู้เลยมั้งน่ะ” เทปให้ความกระจ่างแก่เพื่อน

เรื่องที่ว่าวิวจะรู้หรือไม่นั้นเขาแค่คาดเดา วิวไม่ได้บอกอะไร แต่บางคำพูดหรือการกระทำบางอย่างก็พอจะตีความได้ว่าวิวก็คงพอรู้ถึงความรู้สึกของเพื่อนเขาอยู่บ้าง เพียงแต่เลือกที่จะเงียบและปล่อยให้มันเป็นไปเท่านั้น

“มิน่า…” อาร์ตเปรยขึ้นมายิ้ม ๆ

“มิน่าอะไรวะ?”

“ก็ฟิวมันเคยบอกว่ากูดูออกง่าย ขนาดไม่ได้ตั้งใจมองยังรู้” อาร์ตพูดไปแล้วก็ยิ้ม ยังจำได้วันที่น้องให้กระจกมาส่องดูหน้า กวนดีจริง ๆ

“ก็ไม่ขนาดนั้น เพียงแต่มึงสำคัญไง กูเลยใส่ใจความรู้สึกมึงเป็นพิเศษ สำนึกในบุญคุณกูซะ”

เทปยักคิ้วกวน ๆ ให้เพื่อน ก่อนทั้งคู่จะหัวเราะให้กันด้วยความโล่งใจ ทุกอย่างที่ดูอึมครึมที่ผ่านมา วันนี้มันเปลี่ยนไปเพียงเพราะคนคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในชีวิตของพวกเขาจริง ๆ

“อะแฮ่ม วันนี้จะได้กินไหมครับสองหนุ่ม ปล่อยให้น้องหิ้วท้องรอนี่มันน่าไหม ฮึ”

ไม่รู้ว่าวิวเข้ามาตอนไหน แต่สองหนุ่มถึงกับสะดุ้ง ก็คุยกันเรื่องของคนที่ยืนกอดอกเอียงคอมองพวกเขาอยู่นี่นะ

“จะเสร็จแล้วครับ ที่รัก เนี่ย เทปเร่งมืออยู่”

“แค่เทใส่จานนี่มันยากมากเลยเหรอ เทป?” วิวแอบกัดคนรักเบา ๆ ตี๋เทปเลยได้แต่ยิ้มแหย ตอบโต้ไม่ได้

“ให้ไวนะครับ” วิวกำชับอีกรอบก่อนเดินออกไปข้างนอก

“คร้าบ”

พอวิวเดินออกไป สองเพื่อนซี้ก็โทษกันเอง แต่มือก็ไม่ได้หยุดทำงาน เดี๋ยวจะโดนสุดที่รักของเทปดุเอาอีก มื้อกลางวันมื้อนี้กับข้าวของตี๋เทปเลยได้เป็นพระเอก ส่วนของอาร์ตก็กลายสภาพห่อฟิล์มแน่นิ่งอยู่ในตู้เย็นแทน

หลังจากกินข้าว พูดคุยกัน พอหายคิดถึง ตี๋เทปกับหวานใจเลยขอตัวกลับ อาร์ตเดินไปส่งทั้งคู่ที่หน้าประตู ก่อนกลับเข้ามาเก็บของที่เพื่อนซี้เอามาฝากเข้าที่

“พี่อาร์ต”

“ครับ”

เสียงแหบ ๆ เรียกอาร์ตจากข้างนอก อาร์ตขานรับแต่ก็ไม่เห็นน้องจะว่าอะไรต่อจึงเดินออกมาหาเจ้าตัวยุ่งที่นั่งหน้าม่อยอยู่บนโซฟา จะพาไปนอนพักข้างในก็ไม่ยอม นี่ดีหน่อยที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เขาถึงอยู่ดูแลน้องได้ ดูท่าพอไม่สบายแล้วจะอ้อนมากกว่าปรกติ เป็นทีแรกนี่ไม่ออกอาการหรอก สักพักนั่นล่ะถึงจะออกฤทธิ์

“ว่าไงครับ เรียกพี่ทำไม เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า?”

คนป่วยส่ายหน้า มือใหญ่อังข้างแก้มและซอกคอ เจลลดไข้เปลี่ยนแผ่นใหม่ไปแล้วก็ดูไข้จะลดลง ตัวยังรุม ๆ นิดหน่อย แต่ก็ถือว่าดีขึ้น

“ถ้างั้นจะเอาอะไรล่ะครับ หืม?”

“ก็เมื่อกี้ผมเห็นพี่เทปซื้อไอติมมาด้วย…”

‘อ้อ! รู้ละ ของโปรดคุณชายเขาเลยนี่’

“ฟิวไม่สบายอยู่นะ ยังจะกินอีกเหรอ?”

“ไม่ได้เหรอ?”

เจ้าหนูทำเสียงอ้อน ยิ่งไม่สบายแบบนี้ หน้าขาว ๆ เลยออกชมพูไปเพราะพิษไข้ด้วย จนคนมองอยากจับฟัดอีกสักที แต่คงไม่ดีเท่าไร เดี๋ยวได้ไข้กลับกันพอดี

“ก็ไม่ได้น่ะสิ ไม่ต้องมาอ้อนเลย”

“พี่อาร์ต นิดเดียวก็ได้ นะ”

อาร์ตส่ายหน้าลูกเดียวเลยตอนนี้ จะลุกหนีแล้ว เดี๋ยวแพ้ลูกอ้อนคนป่วย ไม่สบายแล้วยังจะกินไอติมอีก คนเรา

“ไม่ได้ครับ เอาไว้หายแล้วค่อยกินนะ” อาร์ตพยายามต่อรองทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ผลนี่ล่ะ

“อยากกิน”

อาร์ตชะงักกับตาแป๋ว ๆ ที่มองมาเหมือนร้องขอ สีหน้าอ้อน ๆ นั่นอีก พอรู้ว่าใช้ไม้นี้ได้ผลก็ชักจะเอาใหญ่แล้วเจ้าหนูนี่ และแน่นอนว่าเขาไม่เคยปฏิเสธได้สักที

“เฮ้อ นิดเดียวนะ”

“อื้อ!” ฟิวพยักหน้ารัว ๆ อมยิ้มตาพราวที่ได้ยินคำอนุญาต ซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้ใต้ใบหน้าแสนซื่อนั่นอย่างมิดชิด

อาร์ตเดินเข้าไปจัดการตักไอศกรีมมาให้น้องอย่างที่น้องต้องการ นำมาวางตรงหน้าคนที่นั่งรอ ฟิวบอกขอบคุณก่อนยกถ้วยไอศกรีมมาตักเข้าปาก เพียงแค่คำแรกที่ได้ลองลิ้ม หนุ่มน้อยก็ทำท่าว่ามีความสุขเหลือแสน

“อร่อยมาก” พอกลืนลงไปแล้วก็เม้มปากหลับตาแล้วอมยิ้มบ่งบอกว่ามันอร่อยจริง ๆ

อาร์ตนั่งดูน้องกินแล้วก็ขำกับท่าทางนั้น ทำไมนับวันเขาจะมองน้องน่ารักขึ้นทุกวันวะ

“เว่อร์”

แกล้งว่าไปอย่างนั้นทำให้น้องหันขวับมามอง ก่อนยืนยันในสิ่งที่ตนเองพูดเมื่อครู่

“อร่อยจริง ๆ นะ พี่ลองชิม…!”

ฟิวตั้งท่าจะตักไอศกรีมให้พี่ชิม จะได้รู้ว่ามันอร่อยอย่างที่พูด แต่ก็ต้องชะงักทั้งการกระทำและคำพูดเมื่อคนเป็นพี่มีวิธีชิมของตนเอง ใบหน้าคมเข้มเคลื่อนเข้าใกล้แบบไม่ทันตั้งตัว ปลายลิ้นอุ่นชื้นตวัดเลียขอบปากอิ่มที่เผยอค้างเร็วไวจนน้องนิ่งอึ้งกับการกระทำนั้น ไม่ได้ขยับห่างไปไหน

อาร์ตที่ยังไม่ได้ผละห่างยิ้มเจ้าชู้ใส่ตาน้อง ก่อนยื่นริมฝีปากเข้าไปกดย้ำซ้ำอีกที

จุ๊บ!

“เชื่อแล้วว่าอร่อย หวานมาก ๆ เลยด้วย”

ทิ้งท้ายให้น้องได้อายอีก เลยได้กำปั้นเน้น ๆ ทุบลงบนอกหนา แต่คนโดนทุบกลับยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าใบหูของคนทุบแดงก่ำออกอย่างนั้น อาร์ตขยี้หัวคนขี้เขินอย่างเอ็นดู ก่อนลุกเดินเข้าห้องครัวเพื่อเก็บของต่อ ปล่อยให้น้องนั่งกินของโปรดตามสบายพัก

ฟิวมองตามพี่ที่ลุกออกไปแล้ว มองถ้วยไอติมในมือ ลิ้นเล็ก ๆ แลบเลียริมฝีปากของตนเอง ก่อนจะยิ้มเขินอยู่คนเดียว


....
ต่อด้านล่างค่ะ  :-[

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ Ch. 2-3-4-5-6 // 09.Sep.2018
«ตอบ #12 เมื่อ09-09-2018 19:04:03 »


“พี่อาร์ต เสร็จรึยัง ผมจะไปแล้วนะ”

“ครับ ๆ เสร็จแล้ว”

เสียงฟิวดังแจ๋ว ๆ เร่งอาร์ตมาตั้งแต่เช้า เนื่องมาจากว่าสัปดาห์ที่แล้วฟิวไม่สบายเลยไม่ได้กลับบ้านไปหาย่าอย่างที่เคย เลยโทรไปอ้อนว่าตัวเองไม่สบายอย่างโน้นอย่างนี้ ด้วยความที่คุณย่ารู้นิสัยหลานดีว่าเวลาไม่สบายนี่จะชอบอ้อนชอบให้มีคนคอยอยู่ใกล้ ๆ เลยเป็นกังวลว่าจะไม่มีใครดูแลหลานรัก ฟิวเลยบอกไปว่ามีพี่ที่สนิทกันอยู่ห้องข้าง ๆ มาช่วยดูแล คุณย่าเลยอยากเจอตัวจะได้ขอบคุณเขาที่ช่วยดูแลเจ้าตัวป่วนให้ วันนี้อาร์ตเลยได้ฤกษ์เปิดตัว ได้เจอคุณย่าน้องฟิวที่รักเป็นครั้งแรก หลังจากได้ยินพูดถึงอยู่บ่อย ๆ

งานร้านหนังสือที่ฟิวไปทำ ตอนนี้น้องก็ไม่ได้ไปทำแล้ว ถือว่าเป็นอภิสิทธิ์ชนอย่างที่น้องว่าจริง ๆ เจ้าของร้านเป็นคนรู้จัก พอน้องบอกอยากลองทำดูก็ได้ดังใจ ขึ้น ม.ปลายปีสุดท้ายการเรียนก็ดูจะหนักขึ้นไปด้วย และฟิวก็ไม่ได้เรียนพิเศษเหมือนเด็กคนอื่น ๆ เขาทำกัน เคยถามแล้วน้องก็บอกมาว่าเรียนในห้องก็หนักอยู่แล้ว มีเวลาเสาร์อาทิตย์ก็ยังจะต้องไปเรียนอีก มันก็เกินไปหน่อย เพราะฟิวถือว่ามีวันหยุดเสาร์อาทิตย์เพื่อให้ได้ทำอย่างอื่นนอกจากเรียนและทำรายงาน เป็นเวลาที่น้องเอาไว้พักสมอง ทำอะไรที่อยากทำ เพราะอีกหน่อยเรียนจบไป เวลาเที่ยวเล่นก็คงหายากหรือแทบหาไม่ได้ สังเกตได้จากพ่อน้องเอง

“องุ่นนนน” ฟิวพุ่งตรงเข้าใส่องุ่นในกระเช้าที่พี่วางไว้บนโต๊ะ “พี่อาร์ต ซื้อมาเหรอ?”

“เปล่า พี่ให้ที่บ้านส่งมาให้ เพิ่งมาถึงเมื่อเย็นวานนี้เอง เก็บไว้ในตู้เย็นให้ฟิวแล้ว ส่วนอันนี้…” อาร์ตยกหนีสายตาวิบวับนั้นมาถือไว้ “ให้คุณย่า… นะครับ”

ทั้งคู่เดินออกมาจากห้องเมื่ออาร์ตจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย จะไปเจอครอบครัวน้องครั้งแรกก็ต้องมีตื่นเต้นกันบ้าง ระหว่างที่รอลิฟท์ น้องก็ชวนคุยไปเรื่อย

“บ้านพี่อาร์ตปลูกองุ่นด้วยเหรอ เพิ่งรู้”

ข้อมูลนี้ฟิวเพิ่งรู้จริง ๆ เท่าที่รู้ดูเหมือนพี่เคยบอกว่าที่บ้านทำสวนผลไม้ แล้วไอ้สวนผลไม้มันกลายเป็นไร่องุ่นไปแล้วหรือ?

“ก็ไอ้ที่กินอยู่ทุกทีก็มาจากบ้านพี่นั่นแหละ”

“จริงอ่า แล้วปลูกเยอะไหม เป็นไร่ใหญ่ ๆ เหมือนในทีวีปะ?” คนน้องเอ่ยถามอย่างอยากรู้

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ที่จริงพ่อพี่ทำสวนผลไม้น่ะ แล้วบังเอิ๊ญลูกเต้าของท่านดันนิยมของนอก พ่อพี่เลยเอาที่ที่มีอยู่มาปลูกผลไม้เมืองนอกประชดมันซะเลย เลยกลายเป็นอีกหนึ่งผลผลิตไปซะอย่างนั้น ทำทั้งไร่ทำทั้งสวนเลยทีนี้”

ฟิวหัวเราะแล้วบอกว่าพ่อพี่โคตรเท่ เลยทำให้อาร์ตหัวเราะตามไปด้วย ครอบครัวอาร์ตเป็นครอบครัวใหญ่พอดู คนต่างจังหวัดมีลูกเยอะ ดังนั้นพ่อแม่ก็ต้องสร้างงานสร้างเงินกันตัวเป็นเกลียวเพื่อให้ครอบครัวอยู่รอด คุณนายแม่ของเขาก็มีตลาดและพวกตึกแถวให้เช่า ส่วนพ่อเป็นชาวสวนมาตั้งแต่รุ่นปู่ ท่านก็ขยับขยายมาเรื่อยจนมั่นคงในปัจจุบัน มีเงินส่งเสียลูกทุกคนจนจบเท่าที่ลูกอยากเรียน แต่หลังจากนั้น ลูกทุกคนก็ต้องยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่มีมาเบียดเบียนเงินจากกระเป๋าพ่อแม่ให้ระคายกันอีก



เมื่อได้เห็นบ้านฟิวทำให้อาร์ตเริ่มเหงื่อตก บ้านของเขาอาจจะใหญ่เพราะคนอยู่กันเยอะ แต่ถ้าเทียบกับที่นี่แล้วยังคงห่างชั้นอยู่มากเลยทีเดียว ต้องหาเงินอีกกี่สิบปีถึงจะเลี้ยงลูกชายบ้านนี้ได้สมฐานะกันวะ

“พี่อาร์ต เข้าไปข้างในนู่นกัน หลังนี้ของพ่อ”

‘หา! ยังมีอีกเหรอ!?’

เมื่อเดินตามฟิวมาเรื่อย อาร์ตถึงได้รู้สึกคลายกดดันลงไป ด้วยบรรยากาศด้วยล่ะมั้งที่ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยน บ้านหลังที่ฟิวพาเขามาดูอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

“ย่าครับ ฟิวมาแล้ววว”

ฟิวส่งเสียงดังตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว พาพี่ไปไหว้ย่าที่กำลังคุมเด็กจัดของจะไปถวายเพลพระ ย่าของฟิวหันมารับไหว้อาร์ต ก่อนจะลูบหัวเขาเบา ๆ ทำให้อาร์ตรู้สึกอบอุ่นเหมือนท่านรับเขาเป็นลูกเป็นหลานด้วยอีกคน

หลังจากจัดเตรียมของอะไรเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาเคลื่อนขบวนไปยังวัดใกล้บ้าน อาร์ตกับคุณย่ายังไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก เนื่องจากมาถึงก็ต้องช่วยขนของไปขึ้นรถเลย ก่อนมุ่งตรงสู่จุดหมาย

ตั้งแต่มาอยู่เมืองกรุง อาร์ตไม่ได้เข้าวัดบ่อยเท่าอยู่ที่บ้าน ส่วนมากถ้าตื่นทันก็จะมีใส่บาตรตอนเช้าบ้าง แต่ก็ไม่ได้บ่อยอะไร พอวันนี้ได้มาทำบุญร่วมกับฟิวและย่า มันก็ทำให้อาร์ตรู้สึกดีไม่น้อย

เมื่อเสร็จพิธีทางศาสนา พระท่านให้ศีลให้พรกันเรียบร้อย คณะบุญของคุณย่าฟิวจึงออกมานั่งด้านนอก ปล่อยให้พระท่านฉันเพลไป มีอาร์ตที่คอยช่วยพยุงคุณย่าเวลาเดินเหินอยู่ตลอด และดูจะเป็นที่ถูกใจท่านเสียด้วยที่อาร์ตรู้จักเอาใจคนแก่

อาร์ตประคองย่ามานั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ที่ทางวัดจัดไว้ให้นั่งพักผ่อนได้ เขากับคุณย่าถึงได้พูดคุยถามไถ่กันอย่างจริงจัง ส่วนฟิวก็เดินเล่นอยู่แถวนั้น มีไปเล่นกับลูกชาวบ้านที่เขามาทำบุญด้วย ซนจริง ๆ

ได้สนทนากับคุณย่าของฟิวแล้วก็ทำให้ได้รู้จักฟิวในมุมต่าง ๆ ที่ยังไม่เคยเห็น แต่อีกไม่นานก็คงจะได้เห็น ถือเป็นการเตรียมรับมือเอาไว้ก่อนแล้วกัน

“ฟิวน่ะยังเป็นเด็กมากเลยนะ อาร์ต บางทีเขาอาจจะทำตัวเหมือนเข้าใจอะไรไปเสียทุกอย่าง แต่จริง ๆ แล้วเด็กคนนี้ก็ยังคงเป็นเด็กอยู่มาก ถ้าอาร์ตเห็นเวลาฟิวไม่สบายก็คงจะรู้ ชอบอ้อน ชอบให้เอาใจ”

“หึ ๆ” อาร์ตหัวเราะในลำคอเมื่อนึกไปถึงสิ่งที่ย่าของฟิวพูด มันเป็นแบบนั้นเลยล่ะครับ

“เจอมาแล้วล่ะสิ” คุณย่าเอ่ยถามยิ้ม ๆ คงเอ็นดูหลานชายด้วย

“ครับ” อาร์ตตอบรับยิ้ม ๆ เช่นกัน

“ย่าดูแล้วเห็นว่าอาร์ตท่าจะสนิทกับน้องพอดู ในฐานะที่อาร์ตโตกว่าทั้งคุณวุฒิทั้งวัยวุฒิ ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ย่าก็หวังพึ่งให้อาร์ตช่วยดูแลน้องหน่อยนะลูก น้องอยู่ไกลหูไกลตา เกิดอะไรขึ้นมาบ้างย่าก็ไม่อาจรู้ได้ อาร์ตอยู่ใกล้น้อง เห็นอะไรไม่ดีก็ตักก็เตือนน้องบ้างนะ”

คุณย่าเอ่ยเนิบช้า แต่มีแววจริงจังในน้ำเสียง ท่านคงจะรักฟิวมาก และท่านคงไว้ใจเขาในระดับหนึ่งถึงได้พูดกับเขาแบบนี้ อาร์ตหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น

“ครับย่า ผมจะดูแลน้องอย่างดี”

“ขอบใจมากลูก”

อาร์ตรับปากหนักแน่น เขาก็รู้สึกดีที่ท่านไว้วางใจให้เขาดูแลฟิว แม้ท่านจะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับน้อง อาร์ตก็ได้แต่หวังว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ท่านจะเข้าใจพวกเขาสองคน

หลังจากทำบุญกันเสร็จ ขบวนบุญของคุณย่าจึงเคลื่อนออกจากวัด แวะร้านอาหารทานกลางวันกันก่อนตรงกลับบ้าน หลานชายคนใหม่ก็ยังคงดูแลคุณย่าอย่างดี ทำคะแนนได้ไปอักโข

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ฟิวกับอาร์ตก็ช่วยพยุงคุณย่าไปพักผ่อนในเรือนของท่าน อยู่พูดคุยกับท่านสักพักก่อนที่ทั้งคู่จะลากลับ เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์ และพรุ่งนี้ฟิวมีเรียน

กลับมาถึงคอนโดฯ ฟิวก็เข้าห้องตัวเองไปอาบน้ำอาบท่า ก่อนมาโผล่ที่ห้องพี่เป็นกิจวัตร อาร์ตเองก็เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ฟิวจึงนั่งรอข้างนอก หาแผ่นหนังมาเปิดดูราวกับห้องตัวเอง รู้ไปหมดทุกซอกทุกมุมนั่นล่ะ

อาร์ตเดินออกมาอีกครั้งเมื่อแต่งตัวเรียบร้อย ทุกวันนี้นี่จะใส่กางเกงตัวเดียวเดินไปเดินมาไม่ได้แล้ว น้องไม่ชอบ บอกว่าอุจาดตา แต่จริง ๆ แค่อิจฉาที่ไม่มีแบบพี่เท่านั้นเอง

อาร์ตเดินมานั่งข้างน้องพร้อมจานองุ่น พอคนเป็นน้องเห็นก็ยิ้มชอบใจใหญ่ที่พี่รู้ใจว่าอยากกิน เรื่องกินนี่ขอให้บอก ฟิวจัดหนักเสมอ แต่ก็ไม่เคยอ้วนกับใครเขา ดูของชอบแต่ละอย่าง ทั้งไก่ทอด ทั้งไอศกรีม มีทั้งมัน มีทั้งหวาน ไม่รู้กินแล้วเอาไปเก็บไว้ที่ไหน ฟิวหยิบองุ่นใส่ปาก ยื่นให้พี่บ้าง ถึงพี่จะชอบงับนิ้วก็เถอะ ให้อภัย เพราะเป็นเจ้าขององุ่นนี่นา

“บ้านฟิวนี่ใหญ่มากเลยนะ พี่ต้องเก็บเงินอีกกี่ปีเนี่ยถึงจะสร้างบ้านแบบนั้นให้ฟิวอยู่ได้” อาร์ตเปรยขึ้นมาเมื่อนึกถึงความใหญ่โตโอ่อ่าที่ได้พบวันนี้

“แล้วพี่จะสร้างบ้านหลังใหญ่ขนาดนั้นไปทำไม จะให้เช่าเหรอ?”

อาร์ตหัวเราะความคิดน้อง คิดได้นะ “ก็อยากให้ฟิวได้อยู่ที่ดี ๆ”

“นี่ก็ดีแล้ว ไม่เห็นต้องวุ่นวาย” เจ้าหนูว่า ยักไหล่เห็นเป็นเรื่องธรรมดา

“จริง ๆ อยากได้รถสักคันด้วยนะ” อาร์ตก็ยังจะกวนน้องไปได้เรื่อย ๆ

แต่เรื่องรถนี่เขาคิดจริง ๆ นะ น้องไม่ค่อยชอบนั่งแท็กซี่เพราะเมา ถ้าเป็นรถของที่บ้านน้องเองจะต้องติดน้ำหอมปรับอากาศกลิ่นมะนาวเลม่อนอะไรเทือกนั้นจะช่วยได้เยอะ มันดูแปลกไปสักหน่อยกับนิสัยแบบนี้ แต่นี่ล่ะฟิวตัวจริง

เพราะฉะนั้น น้องถึงได้อาศัยรถเมล์ตลอด แต่ถ้าไปไหนไกล ๆ มันก็ไม่สะดวกเท่าไร อยากให้น้องได้อยู่อย่างสะดวกสบายให้สมฐานะน้องบ้าง

“เอาไปทำไมอีกล่ะ อยากหาตุ๊กตาหน้ารถสวย ๆ มานั่งหรือไง?” นั่น มีประชด

“เปลี่ยนเป็นหล่อ ๆ แทนได้ไหม?” คนนี้หยอดได้ก็หยอดมันตลอด

“ก็แล้วแต่ รถพี่นี่ ไม่ใช่รถผม”

“อยากให้ฟิวนั่ง จะได้ไปไหนมาไหนสะดวก ไม่ใช่ไปยืนเบียดคนบนรถเมล์แบบทุกวันนี้” คนเป็นพี่ให้เหตุผลประกอบ

“อย่าห่วงไปเลย ผมสบายมาก”

“ไม่ได้สิ แฟนทั้งคน” อาร์ตพูดสวนทันทีท่าทางจริงจัง ทำเอาคนฟังถึงกับยิ้ม

“พูดแบบนี้เอาใจไปเลยไป”

ฟิวยิ้มกวน กวนทั้งรอยยิ้มทั้งคำพูดนั่นล่ะ คนเป็นพี่เลยอดไม่ได้ต้องจับมาฟัดแก้มให้หนำใจ ฟิวได้แต่ดิ้นหนีแต่ก็หนีไปไหนไม่ได้เมื่อถูกจับล็อคหอมซ้ายหอมขวา หัวเราะจนเหนื่อยและดูท่าว่าเขาจะเสียเปรียบอีกแล้ว เมื่อดิ้นไปดิ้นมาก็มากองอยู่ที่พื้นโซฟาโดยมีคนเป็นพี่คร่อมอยู่ด้านบนอีกที

ฟิวปรับลมหายใจให้เป็นปรกติหลังจากหอบเพราะหัวเราะจนหายใจแทบไม่ทัน สายตายังมองจ้องคนที่คร่อมร่างกายตนเองไว้นิ่ง นิ้วเรียวเกลี่ยข้างแก้มพี่เล่น เลยถูกคนเป็นพี่จับมาจูบคืน

“เรื่องรถน่ะ ตอนนี้ยังไม่มี วันข้างหน้าเดี๋ยวก็มี เก็บเงินไปเรื่อย ๆ ก่อน พอถึงเวลาค่อยซื้อก็ได้ ผมไม่รีบ เพราะยังไงเราก็ยังจะอยู่ด้วยกันไปอีกนาน จริงไหม?”

อาร์ตยิ้มกับคำพูดนั้น ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่กลับทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาก เราจะอยู่ด้วยกันไปอีกนาน นั่นสินะ อีกนานเลยล่ะ

“แต่วันนี้วันอาทิตย์… งดนะครับ” น้องบอกยิ้ม ๆ

อาร์ตทำหน้าเหมือนจะขาดใจ ซบบนลาดไหล่น้องครางฮืออย่างขัดใจเป็นที่สุด ฟิวเลยได้แต่หัวเราะกับท่าทางนั้นของพี่

มันจะไม่ดีก็เพราะแบบนี้ล่ะว้อยยยยยยยย



.....
ต่อด้านล่างค่ะ  :m4:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ Ch. 2-3-4-5-6 // 09.Sep.2018
«ตอบ #13 เมื่อ09-09-2018 19:12:17 »

6

ตัวร้ายที่รักเธอ


หลังจากที่อาร์ตได้เข้าไปพบคุณย่าของฟิว ความสัมพันธ์ก็ดูจะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ อาร์ตกับน้องก็ยังคงใช้ชีวิตกันปรกติโดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ แม้มีความสุข แต่ก็ดูน่าหวั่นใจไปพร้อมกัน

จบเรื่องน้องพลอยไป อาร์ตก็ไม่ได้ติดใจอะไร อดีตก็คืออดีต ที่ทำงานน้องพลอยก็ไม่ค่อยเข้ามายุ่งกับเขาเท่าไร ก็ไม่รู้ว่าฟิวไปพูดอะไรกับเธอ แต่ก็ดีแล้ว เพราะอาร์ตเองก็ไม่อยากให้มันเกิดปัญหา

เรื่องครอบครัวอาร์ตไม่น่าหนักใจเท่าครอบครัวน้อง ด้วยเพราะที่บ้านอาร์ตรู้แล้วว่าอาร์ตเป็นไบเซ็กช่วล เนื่องมาจากที่คุณนายแม่ชอบจับคู่เขากับลูกสาวเพื่อนอยู่ตลอด จนบางทีเขาก็รำคาญ เลยมีอยู่ครั้งที่เขาบอกลูกสาวเพื่อนแม่ว่าเขาเป็นเกย์ พอวันรุ่งขึ้นชาวบ้านร้านตลาดก็เลื่องลือระบือไกลว่าด้วยเรื่องลูกชายคุณนายเจ้าของตลาดเป็นเกย์ พอคุณนายแม่รู้เรื่องเข้าก็แทบลมใส่ ไม่พูดกับเขาไปหลายวัน แต่ก็นั่นล่ะ แม่ลูกมันตัดกันไม่ขาดหรอก ถึงจะไม่ได้ดั่งใจไปเสียทุกอย่าง แต่ก็ไม่เคยทำให้เดือดเนื้อร้อนใจ คุณนายแม่ก็เลยพอทำใจได้บ้าง ส่วนคนเป็นพ่อก็ยังเงียบเสมอต้นเสมอปลาย ไม่รู้ว่าคิดอะไร แต่ก็ไม่ได้แสดงออกว่าโกรธเกลียดลูกคนนี้

“พี่อาร์ต อาทิตย์นี้ว่างไหม ย่าชวนทานข้าว”

ฟิวโทรมาถามหลังจากกลับไปนอนบ้านกับย่าเมื่อเย็นวันศุกร์ ปล่อยคนเป็นพี่ให้นอนคนเดียว

“สำหรับย่า พี่ว่างเสมอ”

“ไม่ค่อยจะเอาใจกันเลยนะ” ฟิวค่อนแคะ

“แน่นอน” อาร์ตหัวเราะอารมณ์ดี ก็เขาฝากตัวเป็นหลานคนโปรดแล้วนี่ ก็ต้องมีกันบ้าง จะฝากตัวเป็นหลานเขย เราก็ต้องรู้จักเข้าหาผู้ใหญ่ แต่มันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปล่ะนะ เรื่องจะไปเจอพ่อของน้องนี่ขอคิดดูก่อนแล้วกัน ยังมิกล้า

ความสัมพันธ์ของอาร์ตกับฟิวไม่ใช่ความลับ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยจนเกินพอดี ไม่นานต่อมาเพื่อนของฟิวก็ได้รู้ถึงเรื่องดังกล่าว แต่ทุกคนก็ไม่มีใครแสดงอาการอะไรมากไปกว่าตกใจในตอนแรก และเห็นเป็นเรื่องปรกติธรรมดาในภายหลัง เพราะนั่นคือเรื่องส่วนตัวของเพื่อน พวกเขาไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินว่ามันดีหรือไม่ดี ต่อให้เพื่อนมีคนรักเป็นชายหรือหญิง นั่นก็ยังเป็นเพื่อนที่คบกันมานานอยู่ดี

แต่คนที่แปลกไปก็ใช่จะไม่มี เด็กหนุ่มสกินเฮดที่เฝ้าปักใจอยู่กับฟิวไม่สร่างซา ถึงแม้ว่าเจ้าตัวเขาจะปฏิเสธชัดเจนแล้วก็ตาม แต่ฟิวก็ไม่ได้ไล่เพื่อนไปไหน เพราะเวย์เคยบอกว่ายิ่งห่างยิ่งคิด ยิ่งตัดใจไม่ขาด ขออยู่ข้าง ๆ แล้วเวย์จะค่อย ๆ ตัดใจได้เอง แต่ดูเหมือนยิ่งใกล้ ยิ่งตัดใจไม่ได้มากกว่า

ความอึมครึมมันครอบคลุมบรรยากาศระหว่างฟิวและเวย์มาตั้งแต่ที่เด็กสกินเฮดรู้ว่าฟิวคบหากับอาร์ตแล้ว ตัวฟิวเองก็ไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร ปล่อยไปเพื่อนก็ย่ำแย่อยู่แบบนี้ แม้จะพูดคุยกันหวังจะให้เข้าใจในทางเดียวกันแต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อคนที่ไม่อยากเข้าใจ ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ฟิวเลยเหนื่อยที่จะพูด ได้แต่ปล่อยมันไป หากมันจะเกิดอะไรขึ้นก็ถือว่าเพื่อนของเขาคนนี้ได้เลือกแล้ว


……


“พี่อาร์ต เดี๋ยวศุกร์นี้ผมจะไปงานวันเกิดไอ้เวย์นะ จะค้างที่บ้านมันเลย”

ฟิวพูดขึ้นตอนมาหาพี่ที่ห้องเป็นปรกติ วันธรรมดาฟิวมักหอบงานมาทำด้วย ที่ประจำของเขาคือพื้นข้างโซฟา ใช้ผ้านวมมาปูแล้วนอนทำการบ้าน มันติดเป็นนิสัยแก้ไม่หาย อาร์ตเคยบอกให้นั่งทำดี ๆ ก็นั่งได้ไม่นาน สุดท้ายก็เลื้อยลงไปนอนข้างล่างอยู่ดี และอาร์ตก็จะคอยทำงานของตนเองอยู่ใกล้ ๆ เผื่อน้องมีตรงไหนไม่เข้าใจเขาจะได้ช่วยสอน

“ทำไมต้องเป็นวันศุกร์?” คนเป็นพี่ถามเสียงเริ่มขุ่น มันขุ่นตั้งแต่ได้ยินชื่อเด็กสกินเฮดนั่นแล้ว

“เอ้า! ก็มันเกิดวันนั้นจะให้จัดวันไหนเล่า พี่นี่ก็แปลกคนจริง เอ้อ”

ฟิวส่ายหน้าเห็นว่าพี่ถามแปลก แต่เพิ่งจะรู้ว่าคำถามแปลก ๆ นั้นมันมาเพราะอะไรก็ตอนที่พี่พูดประโยคต่อมานี่ล่ะ

“แล้วเวลาของพี่ล่ะ?” อาร์ตถามเสียงออด ขยับลงมานอนข้าง ๆ โอบแขนรอบเอวบางแล้วมองหน้าน้องอ้อน ๆ

“เพลา ๆ บ้างเหอะ พี่ อะไรจะหื่นตลอดเวลาขนาดนั้น”

“ตลอดที่ไหน ได้ทำแค่นิดเดียวเอง เขาว่าคนน่ารักมักใจร้าย ท่าจะจริง” คนตัวโตทำเป็นตัดพ้อ

“ทนมาได้ทั้งอาทิตย์ อีกวันเดียวจะเป็นไรไป พี่อาร์ตทำได้อยู่แล้ว เนอะ” ฟิวตะแคงข้างมาหาพี่ ตาแป๋ว ๆ นั่นมองอ้อนกลับบ้าง ไอ้ที่อาร์ตทำเมื่อครู่นี่เทียบไม่ติดเลยทีเดียว

“หลอกเด็กหรือไง?” อาร์ตว่า แกล้งทำงอน ถ้าฟิวใช้ไม้นี้ เขาหาทางไปไม่เป็นหรอกนอกจากยอมเท่านั้น ใครจะอยากขัดใจเด็กตาแป๋วนี่กันล่ะ

“เปล่า เด็กโข่งแบบนี้หลอกยากจะตาย” ก็รู้ว่าพี่ไม่งอนจริงหรอก เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง “นะ วันเดียวนะครับ”

แขนเรียวโอบเอวพี่คืนบ้าง ขยับเข้าไปกระแซะหน่อย เดี๋ยวก็ได้ผล

“ใจร้าย” ก้มลงหอมแก้มคนใจร้ายหนัก ๆ ตอดนิดตอดหน่อยพอมีกำลังใจ

“ร้ายแล้วรักไหม?”

“ฟิวววว เล่นไม้นี้แล้วจะให้พี่ทำไงวะ?”

เจอคำถามแบบนั้นเข้าไป อาร์ตก็หมดสิทธิ์อุทธรณ์ใด ๆ แล้ว ฟิวยิ้มแป้นเมื่อได้ดังใจ ขยับออกห่างคนเป็นพี่ไปทำการบ้านของตนเองต่อ อาร์ตหอมแก้มน้องอีกทีจึงค่อยลุกไปทำงานของตนเองบ้าง สู้ไม่ได้สักทีหรอกกับลูกอ้อนที่มีมาหลอกล่ออยู่อย่างไม่ซ้ำกันสักครั้ง แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะอาร์ตเองด้วยที่ต่อให้ไม่อ้อนก็ยอมกันทุกอย่างอยู่แล้ว

แต่ถ้าหากอาร์ตจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เขาคงไม่ปล่อยให้น้องไปอย่างแน่นนอน


......


คืนวันศุกร์ ณ บ้านเวย์

บรรยากาศภายในงานดูจะวุ่นวายไปสักหน่อย เมื่อเหล่าผองเพื่อนที่ทั้งสนิทและเพื่อนร่วมห้องเจ้าของงานมาพบกัน เสียงพูดคุยหยอกล้อไม่มีเกรงใจเจ้าของงานเขาหรอก อีกทั้งยังจะขึ้นไปโชว์ลูกคอบนเวทีเป็นเดอะดาวดวงใหม่กันอย่างสนุก อาหารเครื่องดื่มทุกอย่างเพียบพร้อมตามใจอยาก ของมึนเมาก็มีบ้าง แต่มีเพียงเจ้าของงานกับเหล่าเพื่อนซี้เท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์นั้น

เจ้าของวันเกิดอย่างเวย์ก็ยังทำหน้านิ่งอยู่ไม่เปลี่ยน ไม่รู้ดีใจหรือเสียใจกันแน่ที่ได้จัดงานวันเกิด ถูกบังคับมาหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้ โต๊ะที่ฟิวกับเพื่อนนั่งเป็นโต๊ะใหญ่สุดในงานเลยก็ว่าได้ อันนี้ก็อภิสิทธิ์เฉพาะเพื่อนซี้เจ้าของงานอีกแล้ว

“เฮ้ย ใครเอาโค้กแก้วนี้มาให้กูวะ?” ฟิวที่ดื่มโคล่าเคล้าเสียงเพลงแปร่งหูจากเพื่อนในห้องเรียนถามขึ้นมา เมื่อรู้สึกถึงความประหลาดในรสชาติ

“อะไรวะ?” ข้าวตังที่นั่งข้าง ๆ ชะโงกหน้ามาถาม

“ทำไมรสชาติมันแปลก ๆ”

“ไหน”

ข้าวตังเอาแก้วโค้กในมือฟิวมาดม ๆ ก่อนยกขึ้นจรดริมฝีปาก แต่ยังไม่ทันจะได้ลิ้มรส แก้วดังกล่าวก็ถูกมือดีแย่งไปเสียก่อน ข้าวตังมองหน้ามือดีอย่างหาเรื่อง

“อะไรของมึงวะ เวย์?”

“นี่ของฟิว แก้วอื่นก็มี มึงจะแย่งเพื่อนทำไม ข้าว?”

“กูจะกินแก้วนี้ ใครจะทำไม?” ลอยหน้าลอยตาไม่ยอมเหมือนกัน

“เฮ้ย!” เวย์ร้องอย่างตกใจที่เพื่อนหน้าหวานแย่งแก้วในมือเขาคืน ก่อนยกแก้วโค้กเจ้าปัญหาขึ้นกระดกจนหมดรวดเดียวแล้ววางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ

“มึงจะตกใจทำไม หรือมึงใส่อะไรเอาไว้ในแก้ว?” ข้าวตังหรี่ตามองจับผิดเพื่อน แต่ไอ้คนหน้านิ่งมันก็ยังคงนิ่งไม่ให้จับพิรุธได้

“ถ้ากูใส่อะไรไว้ มึงก็คงโดนไปคนแรกล่ะ ข้าว จะกินอะไรไม่ดูตาม้าตาเรือ”

ข้าวตังเบ้ปากไล่หลังไอ้หนุ่มสกินเฮดที่ลุกออกไปจากโต๊ะ ก่อนชวนฟิวไปเอาน้ำแก้วใหม่ด้วยกัน เด็กตัวขาวสะบัดหัวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกมึน ๆ เหมือนจะวูบ ๆ นิด ๆ

“เป็นอะไรวะ ตัง?” ฟิวถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นเพื่อนสะบัดหัวไปมา

“เปล่า ๆ แค่มึน ๆ นิดนึง” คนที่บอกว่ามึน ๆ สะบัดหัวเล็กน้อย ก่อนยิ้มให้เพื่อนบ่งบอกว่าไม่เป็นไร

“มึงกินเหล้าเปล่าเนี่ย?”

ฟิวมองเพื่อนอย่างสำรวจ แต่จะว่าไปเขาก็ไม่เห็นข้าวตังจะได้แตะแอลกอฮอล์เลยสักหยดตั้งแต่เข้างานมา แล้วจะไปเมาตอนไหนกัน

“บ้าเหรอ กินได้ที่ไหน ไอ้เวรมันคอยดักทางกูอยู่นะ คุมอย่างกับพ่อ”

“เหรอ กูนึกว่ามึงคุมมัน นี่มันคุมมึงเหรอวะเนี่ย?” ฟิวเอ่ยล้อ

“เหอะ ๆ มุกเหรอวะ?” ข้าวตังหัวเราะเหอะ ๆ อย่างไม่เห็นขัน ก่อนจะชวนเพื่อนกินแหลกกันสองคน

เวลาผ่านล่วงเลยไปจนงานเลิก เพื่อนคนอื่นในห้องทยอยกลับกันไปแล้ว จะเหลือก็แต่เพื่อนซี้ในกลุ่มที่จะนอนค้างบ้านเวย์ที่ยังปักหลักกันอยู่ สาวใช้บ้านเวย์ก็ต่างช่วยกันเก็บของบางส่วนไปเช็ดล้าง ขณะที่คุณหนูกับเพื่อนก็ยังไม่ไปหลับไปนอนกัน

“ตัง ไปนอนปะ กูง่วงละ ปล่อยพวกขี้เมาไว้นี่แหละ” ฟิวเดินมาตามเพื่อน เพราะตอนนี้เขาง่วงมากแล้ว ปรกตินอนไม่เกินสี่ห้าทุ่ม แต่นี่เกือบตีหนึ่งแล้ว ตาเขาแทบจะปิด

“เฮ้ย! เดี๋ยวดิ มือกำลังขึ้น กูขออีกตาเดี๋ยวตามไป” ไอ้เด็กหน้าหวานว่า ท่าทางเมามันเต็มที่

งานวันเกิดตอนนี้มันกลายเป็นวงไพ่ในหมู่เพื่อนไปแล้ว ฟิวส่ายหน้ากับความเละเทะของเพื่อนพ้อง เมามายไม่ได้สติกันทั้งนั้น จะมีก็แต่เขากับเพื่อนอีกคนที่ทำหน้าที่ดูแลไอ้พวกขี้เมาทั้งหลายที่ไม่ได้แตะน้ำเมาพวกนั้น แม้แต่ข้าวตังซึ่งไม่รู้ว่าแอบไปกระดกตอนไหนก็ยังมึน ๆ ให้เห็น ยิ่งเจ้าของวันเกิดยิ่งแล้วใหญ่ น้ำเมานี่มันเปลี่ยนคนได้จริง ๆ

ฟิวเดินออกมาจากตรงนั้น ขึ้นไปอาบน้ำนอนบนห้องรับรองแขกที่เวย์จัดไว้ให้เหล่าผองเพื่อนได้นอนพักกันในคืนนี้ กะว่าจะนอนเล่นรอข้าวตังกับเพื่อนคนอื่นที่นอนห้องเดียวกัน แต่ไป ๆ มา ๆ เจ้าหนูฟิวกลับหลับไปจริง ๆ เสียได้ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีอะไรมาวุ่นวายกับร่างกาย ฟิวออกจะรำคาญจึงปัดป่ายออก แต่ก็ดูจะไม่เป็นผล

“พี่อาร์ต ไม่เล่นสิ ผมจะนอน”

เมื่อพูดไปแบบนั้นก็ดูเหมือนว่าตัวที่มาวุ่นวายกับร่างกายตนเองจะหยุดไป แต่เพียงไม่นานมันก็กลับมาอีกครั้ง และมากกว่าเดิม ฟิวจึงต้องลืมตาขึ้นมาดูว่าไอ้สิ่งที่กวนเขาอยู่ตอนนี้คืออะไร

“เฮ้ย!!” ฟิวร้องเสียงดังเมื่อประจักษ์แก่สายตาว่าสิ่งกวนใจนั้นคือเพื่อนของเขาเอง… ไอ้เวย์

เด็กสกินเฮดที่ดูจะเมาได้ที่กำลังคร่อมร่างของเขาอยู่ และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น เมื่อหลักฐานมันคาตาขนาดนี้

“ไอ้เวย์!”

“ฟิว เวย์รักฟิวนะ…” เวย์พูดราวเพ้อก่อนโน้มกายลงไปหา

ฟิวออกอาการตกใจ ไม่คิดว่าเพื่อนจะทำแบบนี้ “เชี่ยเวย์ อย่านะเว้ย ไอ้เวย์! อื้อออ…”

ดูเหมือนเวย์จะไม่ฟังเสียง ก้มลงปิดปากที่ห้ามปรามตนเองแนบแน่น กดจูบบดขยี้ตามอารมณ์ ไม่ได้สนใจว่าคนใต้ร่างจะรู้สึกอย่างไร ฟิวพยายามดิ้นหนีให้พ้นจากการคุกคามนั้น แต่แขนทั้งสองข้างกลับถูกกดแน่นกับที่นอน

น่ารังเกียจ เขาไม่ชอบแบบนี้ ไม่เอา!!!

“ไอ้เวย์ ไอ้… ฮึ่ก…!”

ไม่ว่าคำต่อว่าหรืออะไรก็ไม่สามารถหลุดรอดออกมาได้ เวย์ที่อารมณ์เริ่มกรุ่นร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งมัวเมากับการกระทำของตนเองไม่ลืมหูลืมตา มือที่ล็อคข้อมือของฟิวผละออกมาดึงรั้งเสื้อของฟิวให้พ้นร่างราวกระชากเมื่อไม่ทันใจ กดจูบฝากรอยรักแสดงความเป็นเจ้าของ

เมื่อมือเป็นอิสระฟิวก็ป่ายปัดไปที่หัวเตียง หาอะไรที่พอเป็นอาวุธได้ ก่อนคว้าได้โทรศัพท์ที่วางอยู่บนนั้น ฟิวจับมันเงื้อสุดแขนแล้วฟาดกบาลเพื่อนหน้ามืดไปเต็มแรง งอขาใช้เท้ายันท้องเพื่อนให้ออกพ้นตัว รีบถอยกรูดออกมาจากใต้ร่างของคนที่ยังคงกุมหัวที่เลือดไหลซึมลงมาตามรอยแผล

ฟิวถลาลงจากเตียงแล้วจะวิ่งออกไปด้านนอก แต่เพียงแค่มือหมุนลูกบิดได้ แขนอีกข้างก็ถูกกระชากกลับ แต่ฟิวกลับเร็วยิ่งกว่า เมื่อถูกดึงกลับ กำปั้นเน้น ๆ จึงเหวี่ยงไปซัดหน้าเพื่อนเต็มหมัด แล้วยังแถมลูกถีบให้อีกที

“มึงยังไม่หยุดใช่ไหม ห๊ะ!!”

เวย์ที่เซไปตามแรงปะทะหันกลับมามอง ใบหน้าที่มีเลือดไหลลงมาเป็นทางข้างแก้มนั่นยิ่งดูน่ากลัวในสายตาฟิว ไม่ใช่เวย์ที่เขารู้จัก เป็นใครก็ไม่รู้ ไม่ใช่เพื่อนเขาแน่ ๆ

“มึงเป็นเหี้ยอะไร!!?” ฟิวตะคอกถามอย่างเหลืออด สภาพเขาตอนนี้คงดูไม่ได้ แต่จิตใจเขามันกำลังย่ำแย่ยิ่งกว่า

“ก็กูมันเหี้ยไง แต่ไอ้คนเหี้ย ๆ คนนี้แหละที่รักมึง มึงได้ยินไหม!”

“มึงกล้าเรียกมันว่ารักเหรอ เวย์ มึงเรียกสิ่งที่มึงทำว่ารักเหรอ มึงคิดว่าถ้าได้กูแล้วกูจะยอมมึงทุกอย่างหรือไง กูไม่มีศักดิ์ศรีเลยใช่ไหม ที่มีอะไรกับใครแล้วจะต้องยอมคนนั้นอยู่ตลอดอะห๊ะ!!”

“แต่มึงก็ยอมไอ้เหี้ยนั่น!” เวย์ตะคอกกลับเสียงดัง ท่าทางคับแค้นใจเมื่อนึกไปว่าคนคนนั้นได้ทั้งตัวทั้งใจฟิวไปแล้ว

“อย่าเอาตัวมึงไปเทียบกับเขา!”

“……….”

“กูเห็นมึงเป็นเพื่อน กูรักมึง ไว้ใจมึง แต่มึงกลับเห็นกูเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ที่เอาไว้ระบายความใคร่ ถ้ามึงไม่อยากเป็นเพื่อนกับกูแล้วมึงบอกกูดี ๆ ก็ได้ กูพร้อมจะทำให้มึงเสมอ แต่การที่มึงทำกับกูแบบนี้ แม้แต่คำว่าคนรู้จัก กูก็จะไม่มีวันให้มึง!!”

ฟิวต่อว่าอย่างเสียความรู้สึกจริง ๆ ที่เพื่อนมองเขาเป็นแบบนั้น เขาออกจากห้องด้วยความหัวเสีย ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นเพื่อนหน้าหวานยืนพิงผนังห้องด้านนอกนิ่งอยู่ ทั้งมองมาที่เขาด้วยสายตาเจ็บปวด ฟิวเอื้อมมือไปบีบไหล่เพื่อนเบา ๆ ก่อนเดินออกจากจุดนั้นไป

ข้าวตังเดินไปที่ประตูห้องนอนที่เปิดค้าง มองคนหมดสภาพภายในห้องด้วยสีหน้าและแววตาเรียบเฉย ก่อนที่จะก้าวจากไปอีกคน ไร้ซึ่งความเห็นใจ ไม่มีแม้แต่คำปลอบโยน

ฟิวเดินออกมาหน้าบ้าน ฝ่าเข้าไปกลางวงเพื่อนอย่างหัวเสีย เพื่อนที่กรึ่มกันเต็มที่เงยหน้ามามอง งง ๆ เขาตรงเข้าไปหาเพื่อนคนหนึ่งที่ไม่เมา เพราะเพียงแค่มานั่งคุมเพื่อนอีกทีเท่านั้น

“ไปส่งกูหน่อย”

เพื่อนคนดังกล่าวไม่ได้เอ่ยถามให้มากความ เนื่องจากสีหน้าของฟิวก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าเกิดปัญหา จึงลุกตามฟิวที่เดินไปที่รถโดยไม่รอเจ้าของอย่างเขาเลยแม้แต่น้อย



ภายในห้องนอนยังคงอยู่ในสภาพเดิมก่อนฟิวเดินออกไป เจ้าของห้องไม่คิดจะจัดการอะไรกับมันทั้งสิ้น ยังคงยืนคอตกอยู่ ณ ที่เดิม ก่อนจะค่อย ๆ เดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงแสนยับย่นนั่น

เวย์ล้มตัวลงนอนพร้อมหัวใจที่ปวดร้าว เขารู้ดีว่าระหว่างเขากับฟิวมันไม่มีคำว่าเป็นไปได้ แต่เขาก็ยังหวัง หวังว่าสักวันมันจะเป็นไปได้ และก็ได้แต่หวังอยู่อย่างนั้นเรื่อยมา แต่วันนี้ความหวังนั้นมันไม่มีอีกแล้ว แม้แต่คำว่าเพื่อน ยังเป็นเรื่องยากที่เขาจะได้รับจากฟิว

เวย์ปล่อยให้เลือดไหลซึมไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่คิดจะทำอะไรกับมัน ให้มันไหลออกไป เผื่อว่าบางทีความปวดร้าวที่ฝังลึกในใจเขามันจะไหลรินออกไปตามกระแสเลือดเหล่านั้นด้วย

เนิ่นนานเท่าใดไม่รู้ที่เวย์ยังนอนนิ่งมองจ้องเพดานห้องแต่เพียงสายตา ส่วนความรู้สึกนั้นมันด้านชาจนแทบไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว เลือดที่ไหลซึมจากบาดแผลเมื่อครู่จับตัวเป็นก้อนแข็ง แต่เด็กหนุ่มก็หาได้สนใจไม่ จนเมื่อเงาร่างหนึ่งทอดมาให้เห็นในระดับสายตา ก่อนเตียงนอนจะยวบตัวลงเมื่อเจ้าของเงานั้นนั่งลงขอบเตียงข้างกายเขา

เวย์เริ่มรับรู้การมีอยู่ของคนข้างกายเมื่อเวลาผ่านไปชั่วครู่ ดวงตาที่เหม่อลอยกะพริบปริบ ก่อนจะเบือนจากเพดานห้องมามองคนข้างกายช้า ๆ

“ข้าว…”

แค่เพียงได้เห็นว่าคนที่นั่งอยู่คือใคร ความรู้สึกที่ถูกกักเก็บไว้ก็ไหลบ่า ขยับกายลุกขึ้นนั่งก่อนรวบตัวคนตัวบางที่ยังนั่งนิ่งอยู่นั้นเข้ามากอด ซบใบหน้าลงกับไหล่เล็ก เอ่ยบอกกับคนตัวเล็กกว่าน้ำเสียงรวดร้าว

“กูเจ็บ… มันเจ็บเหมือนจะตายแล้ว ข้าว”



......
ต่อด้านล่างค่ะ  :o12:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ Ch. 2-3-4-5-6 // 09.Sep.2018
«ตอบ #14 เมื่อ09-09-2018 19:13:29 »


รถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาจอดหน้าคอนโดมิเนียมของฟิวในเวลาเกือบหนึ่งนาฬิกาของวันใหม่ ทั้งตัวฟิวเองและเพื่อนที่มาส่งยังไม่มีใครปริปากพูดอะไร ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันใหม่เกินไปที่จะพูดถึงอย่างไม่รู้สึกอะไรได้

ฟิวบอกขอบคุณเพื่อนก่อนเปิดประตูลงจากรถไป เพื่อนได้แต่มองตามอย่างเป็นห่วงแต่ก็ยังไม่กล้าซักไซ้อะไร เมื่อเห็นว่าฟิวเดินเข้าไปในตัวตึกแล้วจึงเคลื่อนรถถอยออกมา

เสียงกริ่งหน้าห้องดังทำให้อาร์ตรู้สึกตัวตื่น มองดูนาฬิกาหัวเตียงก็เห็นว่าตีหนึ่งแล้ว เขาเพิ่งจะได้นอนเมื่อสักครู่นี่เอง แต่ตอนนี้ต้องมาตื่นเพราะใครไม่รู้มากดกริ่งหน้าห้องเขา ไม่เกรงใจชาวบ้านชาวช่องจะหลับจะนอนบ้างเลย

อาร์ตขยับตัวลุกขึ้นอย่างงัวเงีย แต่ไอ้เสียงรบกวนนั่นก็ยังจะเร่งเขาอยู่ได้ กำลังเดินไปแล้วโว้ย!

“ครับ ๆ มาแล้ว”

แกร๊ก

“โอ๊ะ!!”

เพียงแค่ประตูเปิดออกเท่านั้น คนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็โถมกายเข้ากอดเขาเต็มแรง โดยไม่ทันตั้งตัวทำเอาอาร์ตเกือบเซ อาร์ตมองคนที่กอดรัดตัวเองแน่นด้วยความมึนงง

“ฟิว?”

อาร์ตยืนมึนอยู่หน้าประตูห้องเพราะไม่คิดว่าคนที่มาหาเวลานี้จะเป็นฟิว ก็น้องบอกว่าจะค้างที่บ้านเด็กสกินเฮดนั่น ก่อนนอนน้องยังส่งข้อความมาบอกเขาอยู่เลย แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น?

“ฟิว เป็นอะไรครับ เกิดอะไรขึ้น?”

อาร์ตดันตัวน้องออกเบา ๆ แต่น้องไม่ยอมปล่อย ชักจะยังไงแล้วนะ

“ฟิว ปล่อยพี่ก่อนนะ เดี๋ยวเข้าไปคุยในห้อง นะครับ”

“......” แขนเล็กค่อยคลายออก อาร์ตจึงค่อยรั้งตัวน้องเข้าไปในห้องด้วยกัน

พอเข้ามาด้านใน ฟิวก็ไม่ได้บอกอะไรนอกจากขอไปอาบน้ำ อาร์ตเห็นว่ามันดึกแล้วแต่ก็ไม่อยากขัดใจน้อง เพราะดูท่าสถานการณ์จะไม่ปรกติ จะไปเอาเสื้อผ้าที่ห้องน้องให้ แต่เจ้าตัวเขาไม่ยอมให้ไป อาร์ตจึงให้ใช้ของตัวเองไปก่อน

ฟิวเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว อาร์ตก็ได้แค่นั่งรอ รอน้องออกมาบอกถึงสาเหตุอะไรก็ตามที่ทำให้น้องเป็นแบบนี้ อาร์ตนั่งรออยู่นานกว่าฟิวจะออกจากห้องน้ำมาทั้งหัวที่เปียกซก เห็นดังนั้นอาร์ตจึงไปค้นผ้าขนหนูอีกผืนมาให้น้องเช็ดผม แต่แล้วก็แทบโยนผ้าทิ้งเมื่อเห็นน้องถนัดตา

ร่องรอยที่โผล่พ้นเสื้อตัวใหญ่ของเขาออกมานี่มันคืออะไร เร็วเท่าความคิด มือหนารีบรั้งชายเสื้อยืดตัวโคร่งขึ้นจนถึงหน้าอกน้อง โดยที่น้องก็รั้งไว้ไม่ทัน

สายตาคมกวาดไล่ไปทั่วร่างกายขาว ๆ นั้น จุดแดงช้ำเด่นชัดจนไม่ต้องคาดเดาให้มากความ อาร์ตกัดกรามกรอด ความโกรธพุ่งทะยานจนแทบคลั่ง มองสบแววตาหวาดหวั่นของน้องแล้วจะผลุนผลันออกจากห้องไปจัดการไอ้ตัวต้นเหตุให้หายแค้น แต่มือเรียวกลับดึงรั้งเขาไว้ตั้งแต่ยังไม่ก้าวเดิน

“พี่อาร์ต อย่าไปนะ!”

“ฟิว ปล่อย!”

“ไม่ พี่อาร์ต ผมไม่ให้ไป!”

“ปล่อย! ปล่อยเซ่!!”

อารมณ์อาร์ตแทบทะลุถึงจุดเดือดไปแล้วในตอนนี้ ยิ่งน้องห้าม เขาก็ยิ่งโกรธ แต่ยังมีสติพอจะไม่ทำน้องเจ็บ ฟิวที่แทบจะดึงพี่ไม่อยู่เลยต้องเปลี่ยนมากอดไว้ให้แน่นที่สุดแทน พี่กำลังโกรธ เขารู้ แต่เขาไม่อยากให้พี่ไปตอนนี้ ในเวลาที่อารมณ์รุนแรงแบบนี้

“ไม่ พี่อาร์ต หยุด ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น อยู่ที่นี่ อยู่กับผม…” แขนเรียวรัดคนเป็นพี่ไว้แน่น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ยอมให้ไป

อาร์ตยืนนิ่ง ใบหน้ายังคงเคียดขึ้ง พยายามอย่างยิ่งที่จะระงับความโกรธที่มันเดือดปุดจนพุ่งพล่านไปทั้งใจ หายใจแรงจนอกแกร่งสะท้อนไหว มือที่ตั้งท่าจะแกะแขนเล็กออกกลับชะงักเกร็งอยู่แค่นั้น อยากแกะแขนนี้ออกแล้วพุ่งไปเอาเรื่องกับใครก็ตามที่มันทำกับดวงใจเขาแบบนี้ แต่ก็ไม่อยากจะทิ้งน้องไว้ลำพังในสถานการณ์เช่นนี้ อาร์ตจึงต้องระงับอารมณ์ให้ได้ แม้จะใช้เวลาไปนิด แต่แขนของน้องก็ยังกอดเขาไว้ไม่ยอมปล่อย

ทั้งคู่ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นจนอาร์ตเริ่มปรับอารมณ์ได้บ้างจึงปลดแขนน้องออก หันกลับไปหาน้องที่มองมาที่เขาอย่างเจ็บปวดไม่แพ้กัน มือหนากอบกุมสองแก้ม เกลี่ยไล้แผ่วเบา

“พี่ขอโทษนะที่ดูแลฟิวไม่ดี ทั้งที่รับปากกับคุณย่าของฟิวเป็นมั่นเป็นเหมาะแท้ ๆ” อาร์ตบอกอย่างรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งที่บอกว่าจะดูแลน้อง แต่พอเวลาที่น้องมีปัญหา เขากลับช่วยอะไรไม่ได้ ดีแต่ปากจริง ๆ

“มันไม่ใช่ความผิดพี่อาร์ตนะ พี่ไม่รู้สักหน่อยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครรู้ แม้แต่ผมเอง…” ปลายประโยคยิ่งแผ่วเมื่อเอ่ยถึง

อาร์ตรั้งตัวน้องเข้ามากอด เขาทำอะไรไม่ได้เลย ช่วยอะไรน้องไม่ได้นอกจากเป็นที่พักพิงให้น้องในตอนนี้ แต่ดูเหมือนน้องต่างหากที่เป็นที่พักพิงของเขา

“มันผ่านไปแล้วนะ พี่อาร์ต มันไม่มีอะไรทั้งนั้น พี่ไม่ต้องรู้สึกผิดกับเรื่องนี้ พี่ดูแลผมดีที่สุดแล้ว ผมมีความสุขที่ได้อยู่ข้าง ๆ พี่ คิดแค่นี้พอ สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ผมจะจัดการมันเอง พี่แค่คอยอยู่ข้างผม อย่าทิ้งผมไปไหน เท่านั้นพอ”

“ต่อให้ฟิวอยากจะทิ้ง พี่ก็ไม่ยอมให้ฟิวไปหรอก”

“ผมจะถือว่านั่นคือคำสัญญา”

อาร์ตคลายอ้อมแขน ดันตัวน้องออกเพื่อมองให้ชัด มองแววตาใส ๆ ที่มีแต่เพียงภาพเขาสะท้อนอยู่ภายในนั้น โน้มใบหน้าเข้าหา ฟิวเอียงหน้ารับจูบจากพี่ หลับตาลงช้า ๆ ซึมซับกับช่วงเวลาแสนหวานนี้ ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองของมัน…



ภายใต้ความสลัวรางของแสงไฟภายในห้องนอน อาร์ตยังคงนอนลืมตานิ่ง ในอ้อมแขนคือสุดที่รักของเขา ยิ่งน้องอยู่ภายใต้อ้อมแขนเขาแบบนี้ยิ่งดูตัวเล็กลงไปถนัดตา ความสุขที่ได้รับในชั่วระยะเวลาที่ผ่านมาไม่อาจทดแทนความกังวลใจที่เขามีอยู่ได้ ภายในสมองเขายังครุ่นคิดวกวนวุ่นวายจนแทบจะกลายเป็นฟุ้งซ่าน ต่อเมื่อร่างที่ซุกซบอยู่ในอ้อมกอดขยับตัว แขนนั้นรัดเขาแน่นขึ้น ก่อนจะได้ยินเสียงอู้อี้แทบฟังไม่ได้ศัพท์จากคนที่นอนหลับสบายไปแล้ว

“พี่ดูแลผมดีที่สุดแล้ว ผม…”

ฟิวละเมอออกมาเพียงแค่นั้นแล้วก็นิ่งไป ทำให้คนที่ตั้งใจรอฟังถึงกับหัวเราะ

“หึ ๆ แม้แต่ตอนละเมอยังทำให้พี่หลงเราได้อีกนะ พี่คงไปไหนไม่รอดแล้วล่ะ ไอ้หนู”

อาร์ตยิ้มให้คนที่หลับตานิ่งไปแล้ว กดจูบหน้าผากเนียนแล้วบอกน้ำเสียงอ่อนโยน

“ขอบคุณที่รักพี่นะ ฟิว”

เมื่อร่างกายผ่อนคลายความเครียดเกร็ง ปลดภาระทางความคิด ปล่อยวางมันลง อาร์ตก็เข้าสู่ห้วงนิทราตามอีกคนด้วยใจที่ปลอดโปร่งขึ้นมาก

ทุกสิ่งที่ผ่านมาก็ปล่อยให้มันเป็นเพียงฝุ่นผงที่โดนกระแสลมพัดพา ลมมันอาจจะแรงจนทำให้ฝุ่นนั้นมันเข้าตาจนระคายเคืองน้ำตาแทบไหล แต่เมื่อชั่วยามที่กะพริบตา ฝุ่นผงเหล่านั้นก็จะมลายหาย ไม่ได้มีค่าสำคัญมากพอให้จดจำเป็นที่ระคายใจอีก


……


ภายในสนามฟุตบอลของโรงเรียนในช่วงบ่าย กลุ่มของฟิวกับเพื่อนรุ่นน้องยึดครองสนามไว้เตะบอล เสียงโหวกเหวกดังมาไม่ขาดระยะ ปรกติข้างกายฟิวมักจะมีเพื่อนสกินเฮดคอยตามเหมือนเงาเมื่อลงสนาม แต่ ณ เวลานี้กลับไม่มีอยู่ หลังเหตุการณ์วันเกิดที่ผ่านมา ไม่มีใครซักไซ้ฟิวว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อถามแล้วเพื่อนไม่อยากพูดก็ปล่อยให้เคลียร์กันเอง ทำได้แค่เพียงเป็นห่วงอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น

หลังจากเตะบอลจนเหนื่อย ฟิวก็ขอเวลานอกวิ่งออกมาจากสนาม เดินขึ้นมาบนอัฒจันทร์ที่มีข้าวตังนั่งเล่นเกมอยู่อย่างไม่สนใจใคร ห่างไปเป็นโยชน์นั่นก็คือเพื่อนสกินเฮดที่คอยชะเง้อชะแง้แลมายังเด็กตัวขาวหน้าหวานอยู่ตลอด ฟิวนั่งลงข้าง ๆ ข้าวตังก่อนพูดกับเพื่อนที่เก็บมือถือเข้ากระเป๋าเมื่อเห็นเขาเดินมาหา

“มึงไม่จำเป็นต้องโกรธมันเหมือนกูก็ได้นะ ตัง”

ฟิวบอกเพื่อนหน้าหวานเมื่อเห็นท่าทางปั้นปึ่งที่มีต่อเด็กหนุ่มสกินเฮด ด้วยคิดว่าเพื่อนจะโกรธเวย์ตามเขาไปด้วยอีกคน แต่จะว่าไป หลังจากเหตุการณ์นั้นมันก็ผ่านสักพักแล้วด้วยซ้ำ แล้วทำไมเพื่อนหน้าหวานของเขาถึงเพิ่งมาโกรธเวย์ สกินเฮด กันล่ะ รึไม่ใช่?

“ใครว่าที่กูโกรธมันเพราะมึง ฟิว ที่กูโกรธเพราะมันทำตัวมันเองต่างหาก พูดแล้วของขึ้น แม่ง!”

อ้าว นี่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเขาไม่รู้หรือนี่?

“เฮ่ย ๆ นี่ทะเลาะกันเหรอวะ?”

ที่ฟิวต้องถามเช่นนี้เป็นเพราะชั่วนาตาปีสองคนนี้ไม่เคยทะเลาะกันจริงจังสักครั้ง จะมีก็แต่งอนกันบ้างตามประสา ประสาข้าวตังเขาน่ะนะ

“อย่าพูดถึงมันเลย เซ็ง” ข้าวตังว่า ทำสีหน้าว่าเซ็งสุดชีวิต

ฟิวจึงหันสายตาไปมองทางด้านหนุ่มสกินเฮดบ้าง เห็นฝ่ายนั้นมองมาทางนี้ตลอดนี่ชักไม่แน่ใจแล้วว่าตกลงใครคือคนที่อยู่ในความสนใจของเวย์ในตอนนี้

“เขาไม่สนใจก็ยังจะมองอยู่ได้ น่ารำคาญว่ะ!”

จู่ ๆ ข้าวตังก็ตะโกนข้ามไปหาคนที่มองมาทางที่พวกตนนั่งอยู่แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยจนฟิวยังตกใจ พอตะโกนเสร็จก็สะบัดก้นจากไปไม่เหลียวหลัง

ข้าวตังลุกออกไปจากที่นั่งโดยมีสายตาคนน่ารำคาญมองตามไป แต่ก็ไม่ได้ขยับตาม กลับลุกเดินมาหาฟิว ฟิวเองก็ไม่ได้ขยับลุกหนี มันคงถึงเวลาพูดกันอย่างจริงจังแล้ว เพราะทั้งตัวฟิวและเวย์ต่างก็ไม่ได้มีความสุขกับสถานการณ์เช่นนี้แม้แต่นิดเดียว

“นั่งดิ”

ฟิวบอกคนที่มาหยุดยืนนิ่งข้าง ๆ แต่ยังไม่ยอมขยับนั่งลง จนได้รับคำบอกกล่าวจากเขานั่นล่ะ เวย์ถึงได้ค่อยกล้าที่จะนั่ง

“มึงทะเลาะกับไอ้ตังมันเหรอ?” ถามตรงประเด็นไม่มีอ้อมค้อมให้มากความ

“เอ่อ…” เวย์อ้ำอึ้งกับคำถาม และท่าทางลำบากใจที่จะเอ่ยถึง

“หาเรื่องใส่ตัวตลอดนะมึงน่ะ ทั้งที่ถ้าไม่มีมันอยู่ข้าง ๆ มึงก็แย่ ยังจะหาเรื่องให้มันโกรธอีก”

“พูดเหมือนกูขาดมันไม่ได้อย่างนั้นแหละ” เด็กสกินเฮดบ่นอุบอิบ

“เหอะ ไอ้พวกหลอกตัวเอง”

ฟิวทำหน้าหน่ายใส่เพื่อน พวกเขาคุยกันเหมือนไม่เคยโกรธกันมาก่อน แต่นั่นก็เพียงแค่ภายนอก ในใจจะมีใครรู้เห็นนอกจากตัวของพวกเขาเอง

“ฟิว กูขอโทษ” เวย์เอ่ยปากหลังจากเงียบไปเพราะคำพูดของฟิวเมื่อครู่

“มันยังน้อยไปนะกับความรู้สึกที่กูเสียไป” ฟิวพูดโดยไม่ได้มองหน้าคู่สนทนา น้ำเสียงเอื่อย ๆ เหมือนพูดเรื่องลมฟ้าธรรมดาทั่วไป

“กูรู้ แต่ถ้ามันมีอะไรที่ทำให้ดีขึ้นกว่านี้ได้ กูก็จะทำมัน มึงอยากเตะ อยากต่อย อยากกระทืบกูให้ตายคาตีนก็ยังได้”

“มันไม่พอหรอก เวย์ ถ้ามึงทำกับกูแบบนี้แล้วจบลงแค่กูได้ต่อยมึงสักหมัดมันก็คงจะดี แต่มันไม่ใช่”

“.........”

“ตอนนี้มึงรู้สึกผิดใช่ไหม?”

เวย์เงียบไปกับคำถาม เพราะเขากำลังรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ เวลามันย้อนกลับไม่ได้ สิ่งที่ได้ทำลงไปแล้วก็ต้องยอมรับในผลของการกระทำโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

“มากหรือเปล่ากับความรู้สึกที่มึงมี?” ฟิวยังคงถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงธรรมดา “ความจริงกูอยากให้มึงทรมานกว่านี้มาก ๆ ด้วยซ้ำ จมอยู่กับความรู้สึกนั้นอย่างหาทางออกไม่เจอ แต่กูก็ทำไม่ได้ เพราะมึงคือเพื่อน เราผ่านทั้งเรื่องดีไม่ดีมาด้วยกันตั้งมาก กูอยากเห็นมึงมีความสุขมากกว่าที่จะให้มึงทุกข์ ไม่รู้มึงจะเคยคิดแบบกูไหม”

“ขอโทษ” คำนี้ยังคงเป็นคำที่ดีที่สุดที่เวย์อยากจะพูดมันออกไปในเวลานี้

“ถึงตอนนี้การจะให้อภัยมึงมันเป็นเรื่องลำบาก แต่ก็ใช่ว่าวันข้างหน้ากูจะให้อภัยมึงไม่ได้”

“………”

“กูมันพวกใจอ่อนก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามึงจะทำอะไรไม่คิดแบบนี้ได้อีกหรอกนะ เพราะคำว่า ‘อภัย’ มันไม่ได้มีขาย ถ้ามึงอยากได้ก็แสดงความจริงใจมา”

เป็นครั้งแรกตั้งแต่คุยกันมาที่ฟิวหันไปมองหน้าคู่สนทนาตรง ๆ สีหน้าเวย์ดูจะดีขึ้นเมื่อได้ฟังคำนั้นจากฟิว อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสที่จะได้รับการให้อภัยกับสิ่งที่พลั้งพลาดไปแล้วนั้น แม้ไม่รู้อีกนานแค่ไหน แต่สักวันหนึ่งวันนั้นก็ต้องมาถึง

“อ้อ เรื่องไอ้ตังก็ไปจัดการให้เรียบร้อยซะ มึงควรรู้ตัวได้แล้วนะเวย์ว่าใครที่สำคัญกับมึง ถ้าแม้แต่หัวใจตัวเองมึงยังไม่รู้ กูก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วว่ะ” ฟิวบอกเพื่อนก่อนลุกเดินจากไป

เวย์มองตามคนที่เขาเคยให้ความสำคัญเสมอมาแล้วยิ้มบาง แม้ความรู้สึกตอนนี้มันยังไม่ถึงกับสุข แต่มันก็ไม่หนักเท่าเดิม คงถึงเวลาที่เขาจะต้องก้าวเดินบ้างแล้ว

“ขอบใจนะ ฟิว กูจะรอ รอวันที่เราจะได้เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”

คนทุกคนต้องเรียนรู้และเติบโตขึ้น ความผิดพลาดบางอย่างก็เป็นบทเรียนที่ดีที่จะคอยเตือนเราถึงผลของการกระทำที่จะตามมา ให้มีสติรู้คิดและไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ สิ่งที่พลาดพลั้งไปแล้วก็จะได้ไม่ทำซ้ำอีก เพราะการให้อภัยมันใช้ได้กับคนที่รู้สำนึกเท่านั้น





★TBC★




 :กอด1:

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ Ch. 2-3-4-5-6 // 09.Sep.2018
«ตอบ #15 เมื่อ09-09-2018 22:23:11 »

ดีใจที่ได้กลับมาอ่านอีกครั้ง  :pig4:  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ -END- // 10.Sep.2018
«ตอบ #16 เมื่อ10-09-2018 09:54:52 »

7

บทพิสูจน์


ฟิวกลับมาจากโรงเรียนแล้วเอาของไปเก็บในห้อง จัดการทำธุระปะปังของตนเองให้เสร็จ รอเวลาที่พี่จะกลับจากที่ทำงาน เมื่อเห็นว่าได้เวลาจึงออกจากห้องตนเองไปห้องข้าง ๆ กันเช่นทุกที

ฟิวเดินเข้ามาในห้องพี่ที่ประตูไม่ได้ล็อคดังเช่นทุกครั้งที่พี่รู้ว่าเขาจะมา พอเปิดประตูเข้ามาภายในห้องกลับเงียบสนิท เหลียวซ้ายแลขวาเหมือนไม่มีคนอยู่ เดินเข้ามาอีกนิด ไฟที่สว่างโร่เมื่อครู่ก็ดับพรึ่บอย่างพร้อมเพรียง

“ว้ากกก!!!”

ฟิวร้องลั่นอย่างตกใจ ภายในห้องมืดจนมองไม่เห็นอะไรเมื่อสายตายังไม่ชินกับความมืด แล้วคนกลัวผีอย่างเขาจะกล้าเดินเข้าไปอีกไหม ได้แต่ละล้าละลังอยู่ที่เดิมที่ยืนอยู่เมื่อครู่ จะกลับไปเอาไฟฉายมาก็ไม่กล้าหันหลังให้ห้องนี้ กลัวมีอะไรมาจับหลังอีก เลยได้แต่ร้องเรียกคนด้านในให้มารับ

“พี่ อยู่ไหนอะ เปิดไฟให้หน่อยสิ”

ไม่มีการตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ทุกอย่างยังคงเงียบสนิทคงเดิม ได้ยินเพียงเสียงการทำงานของเครื่องปรับอากาศที่แสนเบา

“พี่อาร์ต เล่นอะไรวะ ถ้าไม่ออกมา ผมจะกลับห้องแล้วนะ” พอขู่ไปแบบนั้นไฟในห้องจึงได้สว่างขึ้น รู้แบบนี้ขู่ไปนานละ เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง

เมื่อเดินเข้าไปภายในห้องก็ต้องแปลกใจที่เห็นว่ามันถูกตกแต่งเหมือนจะมีวันพิเศษอะไรสักอย่าง นี่เขาลืมอะไรไปหรือเปล่าหว่า?

ขณะที่ฟิวกำลังยืนงงอยู่นั้น เจ้าของห้องก็เดินออกมาจากในครัวพร้อมกับเค้กปอนด์ใหญ่ในมือ และเสียงเพลงประจำวันสำคัญก็ถูกร้องโดยคนที่ถือมันอยู่

“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู…” อาร์ตก้าวเดินมาหาน้องช้า ๆ พร้อมทั้งร้องเพลงอวยพรวันเกิดนั้นไปด้วย “แฮปปี้เบิร์ดเดย์… แฮปปี้เบิร์ดเดย์…” ก้าวมาหยุดตรงหน้าน้องที่ตอนนี้มองเขานิ่งไปแล้ว ก่อนร้องท่อนสุดท้าย “แฮปปี้เบิร์ดเดย์… ทู… ยู…”

ฟิวหลับตาอธิษฐานก่อนเป่าเทียนบนเค้กให้ดับ อาร์ตโน้มใบหน้าเข้าใกล้น้อง กดจูบหน้าผากเนียนก่อนกระซิบบอก

“สุขสันต์วันเกิด ที่รัก”

ฟิวหัวเราะขำกับคำเรียกขานของพี่ เลยโดนฟัดแก้มไปหลายที บรรยากาศรอบกายของทั้งคู่อบอวลไปด้วยความสุข อยากจะให้มันเป็นแบบนี้ไปในทุก ๆ วันที่มีกันอยู่ ต่อให้วันข้างหน้าจะมีอุปสรรคหนักหนาขอแค่ยังมีเรา เพียงเท่านั้นก็ไม่หวั่นกับอะไรอีกต่อไป


……


‘พี่ไปสัมมนาต่างจังหวัด ไม่อยู่ 5 วันนะ’

นั่นเป็นคำบอกเล่าของอาร์ตก่อนไปดำเนินงานที่ได้รับมอบหมายในต่างจังหวัด ระหว่างที่พี่ไม่อยู่ฟิวเลยกลับมาอยู่บ้าน พอเคยชินกับการมีคนอยู่ด้วยแล้วก็ชักติดนิสัยอยู่คนเดียวไม่ได้ ทั้งที่ก่อนหน้าจะมีกัน ฟิวก็อยู่มาได้สบาย ๆ ความเคยชินมันทำให้เขาเสียนิสัยจริง ๆ

กลับมาอยู่บ้านเวลาจะไปเรียนก็ต้องนั่งรถที่บ้านไป ฟิวว่ามันดูจะมากเกินไปนิด แต่ไม่ได้ผิดวิสัยเด็กโรงเรียนเขาสักเท่าไร พอมี ก็อยากให้ผู้คนได้เห็นว่าตนเองมีเป็นเรื่องธรรมดา แต่ฟิวอยากอยู่แบบธรรมดาสามัญมากกว่า ทำไมนะ คนเราถึงไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตนเองมี คนมีมากก็อยากใช้ชีวิตในทางตรงกันข้ามกับความเป็นจริงบ้าง คนไม่มีก็ขวนขวายหามาจนแทบไม่มีเวลาให้ความสุขกับชีวิต เพราะต้องดิ้นรนอยากได้อยากดี สัจธรรมของมนุษย์เดินดิน

“ฟิวจะกลับมาอยู่บ้านเราเลยไหม?”

คำถามประจำของคุณย่า ก็เข้าใจว่าท่านแก่แล้วก็คงอยากให้ลูกหลานมาอยู่ใกล้ ๆ แต่เขายังไม่มีความอดทนสูงพอที่จะไม่มีเรื่องกับลูกติดภรรยาใหม่พ่อได้ มันน่าหมั่นไส้จริง ๆ แค่นึกถึงก็คลื่นเหียนแล้ว

“ยังหรอกครับ ย่า ขอเวลาฟิวอีกนิดนะ แล้วฟิวจะกลับมาอยู่กับย่า ไม่ทิ้งย่าไปไหนอีกเลย” ฟิวออดอ้อนเอาใจ ไหลลื่นไปได้เรื่อย ๆ

“เมื่อไรล่ะ นี่มันบ้านฟิวนะ ทำไมฟิวต้องออกไประหกระเหินข้างนอกด้วยล่ะลูก?”

คุณย่าลูบหัวหลานชายอย่างเอื้อเอ็นดู ใช่ว่าท่านจะมีลูกหลานอยู่แค่คนเดียวนี้หรอก แต่ท่านก็ไม่เคยรักใครเกินกว่าหลานชายคนนี้สักที จะว่าท่านลำเอียงก็ช่าง ก็ท่านรักของท่านนี่นะ

“ไม่ถึงกับระหกระเหินหรอกครับ ย่า ฟิวยังอยู่สบายดี ยังมาหาย่าได้ทุกอาทิตย์” ฟิวว่าแล้วยิ้มซื่อ

“เฮ้อ เรานี่นะ” ท่านถอนใจอย่างยอมแพ้ ก่อนจะเอ่ยถามถึงหลานชายคนโปรดอีกคน “แล้วนี่พี่อาร์ตเขาเป็นยังไงบ้างล่ะ เราไปกวนเขารึเปล่า หือ ตัวป่วน?”

“ฟิวไม่ป่วนนะ ย่า แล้วฟิวก็ไม่ได้กวนพี่เขาด้วย เขาไม่เห็นเคยว่าฟิว”

“โธ่ แล้วใครจะกล้าว่ากันล่ะ ตาฟิว พี่เขาคงจะเกรงใจย่าแหละที่ไปฝากฝังเขาไว้” คุณย่าแกล้งว่าล้อ ๆ

ฟิวกลับส่ายหัวไปมาว่ามันไม่จริง “ไม่จริง เดี๋ยวฟิวจะโทรถามพี่อาร์ต”

“จะโทรไปกวนพี่เขาทำไมกันล่ะนั่น พี่เขาไปทำงานไม่ใช่รึ?”

“ไม่ได้โทรไปกวนเวลางานครับ ฟิวจะโทรไปทวงของฝาก” หนุ่มน้อยว่าหน้าทะเล้น

“นั่นไง พูดไม่ทันขาดคำ” คุณย่าว่า ทำสีหน้าอ่อนใจใส่

ฟิวหัวเราะ เข้าไปกอดเอวย่าอ้อน ๆ “ฟิวล้อเล่นครับ ใครจะไปทำแบบนั้นกันล่ะ เนอะ ฟิวเป็นเด็กดีจะตาย”

คุณย่าหัวเราะชอบใจคนยกยอตัวเอง ส่วนคุณหลานก็ยิ้มเอาใจกันสุดฤทธิ์



ช่วงเย็น สองย่าหลานก็กินข้าวด้วยกัน คุณย่าเป็นคนลงมือทำกับข้าวเองโดยมีฟิวคอยป่วนอยู่ในครัวด้วย ท่านจึงยกหน้าที่สำคัญให้ได้ทำ นั่นคือล้างผัก หลังจากกินข้าวเสร็จฟิวก็แยกมาทำงานของตนเองที่ทำค้างไว้ พอเสร็จแล้วก็มานั่งจ้องโทรศัพท์เพราะไม่กล้าโทรไปก่อน กลัวพี่จะยุ่งอยู่ จึงนอนเล่นเกมบนเตียงรออีกสักพัก ผ่านไปชั่วครู่โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

ฟิวรีบคว้ามากดรับสาย “ครับผม”

“คิดถึงฟิวจัง” พอน้องกดรับ อาร์ตก็ไม่พูดพร่ำอารัมภบท ออดอ้อนไปตามสายในทันที

“อีกไม่กี่วันเองเนอะ” คนเป็นน้องก็ปลอบกัน ไม่รู้ใครเป็นพี่เป็นน้องแล้วตอนนี้

“อือ นี่แค่ 5 วันพี่ยังแย่เลยนะ ถ้านานกว่านี้พี่คงเป็นบ้า”

“เว่อร์” ฟิวว่าแล้วหัวเราะ ที่จริงก็เขินเหมือนกันนะ เวลาพี่จะหวานนี่ก็ไม่เกรงใจคนฟังเขาเลย

“อยากกลับไปนอนกอดฟิวจัง”

“ก็มาสิ”

“หือ อย่าท้านะ เดี๋ยวไปจริง ๆ นี่มีหนาว”

อาร์ตทำเป็นข่มขู่ แต่น้องกลับหัวเราะขำ ไม่ได้กลัวคำขู่หรอก

“กล้ามาเหรอ เดี๋ยวได้ตกงาน แล้วแบบนี้จะเอาอะไรมาเลี้ยงผมล่ะ?”

“ไม่มีอะไรกินก็กินเกลือ”

“พี่กินคนเดียวเหอะ เกลืออะ ผมแถมแกลบให้พี่อีกกระสอบเลยด้วย”

ได้ยินแบบนั้นอาร์ตก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ฟิวก็ได้แต่บ่นงุ้งงิ้งว่ามันไม่เห็นน่าขำตรงไหน ไม่ขำเลย คิดได้นะแถมแกลบมาให้กินกับเกลือนี่

“เออ พี่อาร์ตไปตรังใช่ปะ ซื้อหมูย่างมาฝากด้วยดิ เอาเค้กด้วยนะ”

คนน้องทำเหมือนเพิ่งนึกได้ แต่ที่จริงคือจุดประสงค์หลักเลยต่างหาก เรื่องกินขอให้บอก ฟิวไม่เคยพลาด

“เดี๋ยวก็อ้วนหรอก”

“ก็อยากกินอะ อย่าลืมซื้อมานะ ผมรออยู่”

“มัดมือชกกันซะงั้น”

นอกจากเรื่องของฝาก ฟิวกับพี่ก็คุยกันเรื่อยเปื่อย จนเมื่อเวลาล่วงเลยไปจนดึกดื่น อาร์ตจึงบอกให้น้องไปนอน

“ฝันดีนะ”

“ครับ ฝันดีเหมือนกัน สู้ ๆ นะ ผมรอกินหมูย่างอยู่”

อาร์ตหัวเราะ “นี่ห่วงหมูย่างเหรอเนี่ย?”

“ห่วงทั้งหมูทั้งคนแหละ ไปนอนเถอะครับ พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีก”

“ครับ ฝันดีอีกรอบครับ จุ๊บ~”

อาร์ตส่งจูบมาตามสาย หวังให้น้องอายเล่น แต่กลับต้องเป็นฝ่ายอึ้งไปเสียเองเมื่อได้ยินเสียงตอบกลับจากปลายสาย

จุ๊บ!

ตื้ด… ตื้ด…

ถึงจะเบาและเร็วจนแทบฟังไม่ทันก่อนสายถูกตัด แต่อาร์ตยังได้ยินชัดเจน ขณะที่คนทำใจกล้าส่งจูบให้พี่ลงไปนอนกลิ้งบนที่นอนแล้วในตอนนี้ เขินกับการกระทำของตัวเอง

ฟิวดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนมิดหัวด้วยความเขิน เขินทั้งที่ไม่มีใครรู้เห็นนี่ล่ะ หูแดงแก้มแดงไปหมด ถ้าอาร์ตอยู่คงได้ฟัดแก้มไปหลายรอบ

ฝ่ายคนเป็นพี่มองโทรศัพท์อึ้ง ๆ รอยยิ้มยังค้างบนริมฝีปาก ไม่คิดว่าน้องจะกล้าส่งจูบคืนมา ไม่รู้ว่าคืนนี้จะฝันดีหรือฝันร้ายกันแน่นะแบบนี้

‘อ๊ากกก อยากกลับไปกอดแฟนแล้วว้อยยย’

ถึงจะอยากทำอย่างนั้น แต่เรื่องปากท้องก็ต้องมาก่อน ขืนกลับไปตอนนี้จะพาน้องอดตายเพราะถูกไล่ออกเอา อาร์ตทอดถอนใจแต่ก็ยังมีรอยยิ้ม แค่สิ่งเล็กน้อยที่ได้รับก็เป็นกำลังใจให้เขาได้มากโข มองหน้าจอโทรศัพท์ที่มีรูปน้องแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นให้กล้องแล้วขำเมื่อนึกถึงตอนถ่ายรูปนี้ น้องไม่ยอมให้ถ่าย ขอยังไงก็ไม่ยอม เขินกล้อง เขาว่าอย่างนั้น แต่คนเป็นพี่ก็ยังจะถ่ายให้ได้ ว่าจะแอบถ่ายอยู่ แต่น้องหันมาเห็นพอดีเลยแลบลิ้นใส่ จึงเป็นที่มาของภาพหน้าจอนี้ ไม่ได้จะโชว์ใคร แต่เก็บไว้ดูเองเป็นกำลังใจเวลาทำงาน

อาร์ตก้มลงจูบหน้าจอเหมือนจะส่งไปถึงคนที่เป็นเจ้าของภาพ ยิ้มกับตนเองก่อนล้มตัวลงนอนเพื่อตื่นมารับมือกับการทำงานที่แสนวุ่นวายในวันรุ่งขึ้นต่อไป


......


เช้าวันรุ่งขึ้นฟิวยังคงอยู่ที่บ้านย่า ไม่ได้เข้าไปบ้านใหญ่เพราะคุณพ่อยังไม่กลับจากดูงานที่ต่างจังหวัด พักนี้มีแต่คนออกต่างจังหวัดแฮะ น่าเบื่อจัง วันหยุดทั้งที

“ฟิว ไปหาพ่อบ้างหรือยัง?”

“พ่อกลับมาแล้วเหรอครับ?”

“เห็นว่ามาถึงเมื่อคืนตอนดึก ๆ นะ เข้าไปหาพ่อเขาหน่อย กลับบ้านมานี่ไม่เคยได้อยู่ด้วยกันนานสักทีพ่อลูกคู่นี้” คุณย่าบ่นว่าไม่จริงจังนัก

“ย่าครับ ปิดเทอมนี้ย่าขึ้นเหนือกับฟิวไหม ฟิวไม่อยากไปคนเดียวแล้ว”

เป็นประจำทุกปีที่ฟิวต้องขึ้นเหนือไปเยี่ยมผู้เป็นแม่ช่วงปิดภาคเรียน เขาถึงรู้สึกว่ามันไม่มีที่สำหรับเขา เพราะทางนี้พ่อก็มีครอบครัวใหม่ ทางโน้นแม่เองก็มีเช่นกัน แต่เขาก็ยังต้องแบ่งเวลาไป ๆ มา ๆ ทั้งสองทาง บางทีก็เหนื่อยที่มันเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ไม่อยากเจอแม่ แต่มันรู้สึกแปลกแยกที่ต้องอยู่ร่วมกับครอบครัวแม่ที่โน่น เฮ้อ มันผิดที่เขาเองที่คิดเล็กคิดน้อย

“ก็ดีนะ ย่าก็ไม่ได้เจอแม่เรานานแล้วเหมือนกัน” คุณย่าว่า ท่าทางเห็นดีด้วย

ปล่อยหลานไปคนเดียวท่านก็ห่วง คนแก่เดินทางไกล ๆ ก็เหนื่อยจึงไม่ได้ไปด้วย แม่เขาก็คงอยากเจอ อยากมีเวลาอยู่กับลูกเขาบ้าง ก็ไม่อยากขวางคอ แต่ปีนี้คงต้องไปเป็นเพื่อน ลองหลานเอ่ยปากแบบนี้คงอยากให้ไปด้วยจริง ๆ

หลังจากพูดคุยสัพเพเหระกับคุณย่าอยู่สักพัก ฟิวจึงขอตัวมาที่ตึกใหญ่ พักนี้ท่าทางพ่อของเขาจะยุ่งเรื่องโรงแรมที่เพิ่งเปิดใหม่ รู้สึกจะมีปัญหามีนอกมีในไม่โปร่งใสอะไรสักอย่าง ฟิวก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไร ดูเหมือนเขาจะไร้ประโยชน์จังแฮะ

แต่ไอ้คนที่เขาไม่อยากเจอก็ดันเป็นคนแรกที่เขาต้องเจอเป็นประจำ เมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรมกันสักทีกับพี่ชายต่างสายเลือดคนนี้ ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ชอบตอแยเขาจัง

“ได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้เปลี่ยนรสนิยมมาคบเพศเดียวกันแล้วเหรอ ฟิว?”

เสียงลอยลมน่ารำคาญหูทำให้ฟิวต้องแสดงสีหน้าให้รู้ว่าเบื่อหน่ายอีกรอบ เผื่อจะยังไม่รู้ตัว

“จมูกไวจังนะ น่าเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน” แค่คำพูดคงยังไม่พอ ฟิวเลยเพิ่มสายตาเหยียด ๆ ให้เป็นของแถม

“ไอ้…”

ก่อนจะมีคำผรุสวาทใด ๆ หลุดออกมา ฟิวก็ยกนิ้วชี้หน้าแล้วกระดิกนิ้วส่ายไปมากวน ๆ ขยับเข้าไปจับ ๆ ปัด ๆ เสื้อพี่ชายต่างสายเลือดเหมือนหวังดีจะปัดฝุ่นให้

“อย่าคิดจะเอาเรื่องนี้มาสร้างปัญหาให้ครอบครัวฉันนะ อิ๊ก อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”

ฟิวพูดลอย ๆ เหมือนไม่ได้ข่มขู่อะไร ส่วนคนฟังก็ปัดมือฟิวออกห่างตัว ก่อนยิ้มเย้ย

“นายจะทำอะไรได้ ฟิว ถ้าฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณลุง มันจะเป็นยังไงนะ ท่าทางท่านคงผิดหวังที่ลูกชายทำขายหน้า”

“ก็ลองดูสิ นายจะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง”

ฟิวพูดทิ้งไว้แค่นั้นแล้วเดินจากมา ไม่เห็นจำเป็นต้องมีคำว่า ‘ถ้า’ เพราะยังไงคนช่างฟ้องก็ต้องไปฟ้องพ่อเขาอยู่ดี แล้วคิดว่าเขาจะกลัวหรือ ฟ้องได้ฟ้องไปสิ



“ทำไมยังไม่เรียบร้อยอีก… จะให้หาคนจากไหนไป มันไว้ใจได้หรือไง!... ฉันไม่เสี่ยงกับเรื่องแบบนี้แน่ พัทธ… เอาเป็นว่าฉันจะจัดการเอง คอยดูสถานการณ์ไว้แล้วกัน… อืม ขอบใจมาก”

ก่อนที่ฟิวจะได้ยกมือเคาะประตูห้องทำงานของพ่อก็ได้ยินเสียงตวาดดังลอดออกมา ฟิวจึงเปลี่ยนใจเปิดประตูเข้าไปโดยไม่ได้เคาะ

“อ้าว เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรน่ะเรา?”

คุณพ่อวางโทรศัพท์แล้วหันมาเห็นฟิวยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานจึงเอ่ยทัก ก่อนนั่งลงเปิดแฟ้มเอกสารทำงานที่แสนยุ่งต่อไป ฟิวจึงขยับมานั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของพ่อ

“งานมีปัญหาเหรอครับ พ่อ?”

“อืม มันก็มีมาเรื่อย ๆ นั่นล่ะ”

ตอบคำถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองคนถามแม้แต่น้อย จนได้ยินประโยคต่อมาของลูกชายถึงได้หยุดมือ และเงยหน้าขึ้นมอง

“ผมพอจะช่วยอะไรพ่อได้บ้าง?”

“นึกยังไงถึงอยากช่วยงานพ่อขึ้นมา ฮึ?”

“อะไรล่ะ ผมอยากช่วยงานพ่อแล้วมันไม่ดีหรือไง?” ฟิวทำหน้าเก้อ ๆ เมื่อพ่อถามเหมือนล้อ

“หึ ๆ”

คุณพ่อท่านหัวเราะกับสีหน้าท่าทางประหลาดของลูกชายซึ่งไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก หรือพูดให้ถูกคือไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกันมากพอจะได้เห็นบ่อย ๆ

“ตอนนี้แกแค่เรียนให้จบเร็ว ๆ พอ”

“พูดเหมือนบอกวันนี้ พรุ่งนี้ผมก็จบงั้นแหละ ยังไม่จบ ม.ปลายเลยนะ พ่อ อย่างน้อยก็อีกสี่ปีกว่า ๆ”

“งั้นก็จบให้ได้ภายในสี่ปีกว่า ๆ นี้ละกัน”

“ดูถูกนะเนี่ย”

ฟิวว่าเสียงทะเล้น คุณพ่อแค่ยิ้มมุมปากนิด ๆ แล้วเปิดแฟ้มทำงานต่อไปเรื่อย ๆ แต่หูก็ยังสนใจฟังที่ลูกพูด นาน ๆ ฟิวจะมาหาที

“พ่อ... เหนื่อยไหม?”

ท่านชะงักกับคำถาม แต่ยังทำเหมือนไม่ได้ให้ความสนใจมัน “ห่วงด้วยเหรอ?”

“เอ๊า มีพ่อกับเขาแค่คนเดียวนะครับ”

“หึ”

“ถ้าผมช่วยอะไรได้บ้าง ผมก็อยากช่วยนะ ผมว่าผมเอาแต่ใจมามากพอแล้ว”

ฟิวว่าอย่างนั้น ท่านจึงเหลือบสายตาขึ้นมองสีหน้าคนพูด ก่อนบอก

“ไม่ต้องรีบหรอก เดี๋ยวแกจบหกแล้วค่อยว่ากัน อย่าบ่นว่าเหนื่อยล่ะ ฉันไม่ให้แกได้พักสบาย ๆ แน่”

“นี่ลูกเอง”

“ก็เพราะเป็นลูกน่ะสิ สร้างทุกอย่างมาก็เพื่อลูกนี่ล่ะ ถ้ามันเอาใจใส่ก็ดี ของของมันเอง ไม่มาดูมาทำเอาก็ว่าอะไรมันไม่ได้หรอกไอ้ลูกคนนี้เนี่ย เฮ้อ” คุณพ่อแสร้งถอนหายใจให้อีก

“ถามว่าเจ็บไหม บอกเลยว่ามาก” ฟิวลากเสียงมากเสียยาว ให้รู้ว่ามันมากจริง ๆ พ่อลูกเลยขำกันเอง

ฟิวลุกเดินไปที่ชั้นหนังสือ เปิดหาเรื่องที่สนใจมาอ่าน ปล่อยให้คุณพ่อคนเก่งทำงานของท่านไป แม้ภายในห้องไม่มีคำพพูดอะไรต่อมาอีก แต่มันกลับมีความรู้สึกอุ่น ๆ ในอกแบบแปลก ๆ อย่างไรไม่รู้ จนฟิวอดยิ้มกับตนเองไม่ได้

“แล้วนี่แกจะกลับมาอยู่บ้านแล้วเหรอ เห็นอรเขาบอกแกนอนบ้านย่ามาหลายคืนแล้ว”

อร คือชื่อภรรยาพ่อ เธอก็เป็นคนดีนะ ดูแลบ้าน ดูแลพ่อเขาเป็นอย่างดี ไม่มีความทะยานอยาก พอใจในสิ่งที่ตนเองมีและได้รับ ฟิวไม่ได้เกลียดเธอ พออยู่ด้วยกันได้ไม่มีปัญหา จะมีปัญหาก็แต่กับลูกของเธอนั่นล่ะ

“ยังครับ ผมยังอยากมีอิสระอีกสักนิด ก่อนรับภาระมาไว้บนบ่านับพัน” ว่าแล้วก็ไหวไหล่เบา ๆ

คุณพ่อส่ายหัวกับข้ออ้างของลูกชาย ฟิวอยู่เป็นเพื่อนพ่อสักพัก ระหว่างนั้นภรรยาพ่อก็คุมเด็กเอาน้ำมาเสิร์ฟ ฟิวหันไปยิ้มและยกมือไหว้เธอ ก็บอกแล้วว่าเขาไม่ได้เกลียดภรรยาใหม่พ่อ

เมื่อเห็นว่าใกล้เที่ยงแล้วฟิวจึงขอกลับไปหาย่า คุณพ่อชวนกินข้าวด้วย แต่ฟิวก็ปฏิเสธไปเพราะจะกินเป็นเพื่อนย่า คนติดย่าก็อย่างนี้ล่ะ คุณพ่อถึงได้บอกว่าจะไปกินข้าวด้วย ให้รอสักเดี๋ยวจะสั่งเด็กทำอาหารไปสมทบ ก่อนออกจากห้องไป ฟิวยังหันมาพูดกับพ่ออีกรอบ

“พักบ้างนะ พ่อ”

ลูกชายเดินออกไปจากห้องแล้วผู้เป็นพ่อก็ตั้งท่าจะทำงานต่อ แต่กลับหยุดชะงักเมื่อนึกถึงคำพูดของลูกเมื่อครู่ ริมฝีปากหยักเปิดยิ้ม ก่อนปิดแฟ้มงานในมือลง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว รู้สึกดีที่ลูกเป็นห่วงเป็นใย แต่ท่านก็รู้สึกผ่อนคลายได้ไม่นานเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนเด็กหนุ่มอีกคนจะเดินเข้ามา

“ว่ายังไง อิ๊ก?”

“ผมมีเรื่องอยากเรียนให้คุณลุงทราบ”

คิ้วของคุณพ่อฟิวเลิกสูง ก่อนเปลี่ยนเป็นขมวดเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

“เรื่องของน้องฟิว”


…..


“คุณอารยะคะ คุณศุภชาติเชิญพบที่ห้องทำงานค่ะ”

อาร์ตขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าระดับบริหารเรียกพบ เขาเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดได้ไม่นาน พอกลับมาถึงก็แวะเอาของฝากไปฝากคุณย่าน้องฟิวก่อนรับน้องกลับห้องด้วยกัน ขากลับเจอคุณพ่อน้องก็ได้สวัสดีทักทายท่านไป อาร์ตอาจจะคิดไปเองว่าท่านมองแปลก ๆ เลยไม่ได้ใส่ใจนักด้วยเพราะคิดว่าประหม่าไปเอง แต่ดูท่าว่าอาร์ตจะคิดน้อยไปก็วันนี้นี่เอง เขาก็มาทำงานเป็นปรกติทั่วไป แล้วนี่มีเรื่องอะไร พนักงานธรรมดาอย่างเขาถึงถูกเรียก

“ครับ”

อาร์ตตอบรับคำบอกกล่าวนั้น ก่อนเก็บของที่ทำค้างไว้เข้าที่และลุกเดินออกจากแผนกไปพบคุณศุภชาติดังเช่นคำสั่งที่ได้รับ เมื่อมาถึงหน้าห้อง คุณเลขาฯก็ทำหน้าที่เรียนให้บุคคลด้านในทราบการมาถึงของเขา ก่อนจะเชิญเข้าไปเมื่อได้รับคำอนุญาต

เมื่ออาร์ตเข้ามาด้านใน คุณศุภชาติได้แนะนำให้เขารู้จักชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานท่านหนึ่ง ชายคนนั้นลุกจากโซฟารับแขกก่อนจะหันมาทางที่เขากับเจ้านายยืนอยู่ เมื่อแน่ชัดในสายตา อาร์ตถึงกับนิ่งอึ้ง

คุณพ่อน้องฟิว!


....
ต่อด้านล่างค่ะ  o22

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ -END- // 10.Sep.2018
«ตอบ #17 เมื่อ10-09-2018 09:56:06 »


หลังจากที่คุณศุภชาติแนะนำให้อาร์ตได้รู้จักกับคุณชยรพ คุณพ่อของน้องฟิว บอกว่าท่านมีเรื่องจะคุยกับเขาแล้วคุณศุภชาติก็ตบไหล่เขาปุ ๆ ก่อนเดินออกจากห้องไป อาร์ตแทบจะก้าวถอยหลังแล้ววิ่งตามนายของตนเองไปจริง ๆ ในตอนนั้น แต่ใจไม่ด้านพอ เลยต้องมานั่งนิ่งเป็นหุ่นอยู่ต่อหน้าคุณพ่อของน้องฟิวเช่นตอนนี้

คุณชยรพท่านเป็นเจ้าของโรงแรมและที่พักหลายแห่งในประเทศไทย มีชื่อมีเสียงในวงการธุรกิจพอตัว หนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายฉบับเคยสัมภาษณ์ท่านมานักต่อนัก แต่ตอนนี้มันใช่เวลาแจกแจงเรื่องงานของท่านรึ เมื่ออาร์ตกำลังตกอยู่ในสถานะเช่นนี้ ดังเช่นกำลังเผชิญหน้ากับพ่อเสือก็ไม่ปาน ริอาจอยากได้ลูกเสือมาครอบครอง ก็ต้องผ่านด่านพ่อเสือไปให้ได้เสียก่อน แต่จะผ่านอย่างไรได้ ใช้เล่ห์เพทุบายใดจึงจะผ่านไปโดยไม่เจ็บตัว หรือจะยอมให้เสือขย้ำเล่นจนสาแก่ใจ เช่นนั้นอาจหลงเหลือเศษซากไว้ให้ลูกเสือได้ดูใจแทนก็เป็นได้ อาร์ตก็ได้แต่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ใจเขาไม่นิ่งเอาเสียเลยในตอนนี้

ภายในห้องทำงานที่อาร์ตเดินเข้ามาเมื่อครู่ยังคงเงียบสนิท มีเพียงเสียงเปิดกระดาษเอกสารอะไรสักอย่างในมือพ่อน้องฟิวที่ดังแทรกความเงียบมาเป็นระยะ อาร์ตนั่งเกร็งตัวตรงหลังตรงโดยอัตโนมัติ เมื่อคุณพ่อน้องละสายตาจากกระดาษในมือท่านมามอง

“ผมดูประวัติการทำงานของคุณแล้ว คุณเป็นคนมีความสามารถนะ อารยะ น่าจะได้ทำงานที่ดีกว่านี้”

“ครับ” อาร์ตตอบคำทั้งยัง งง เขาต้องเรียกสติกลับมาโดยไว ไม่อย่างนั้นคงแสดงความโง่ให้พ่อน้องเห็นเป็นแน่

“ทั้งฐานะทางครอบครัว ทั้งการศึกษาก็สมบูรณ์พร้อม”

“……” เอ่อ… เอ๊ะ อันนี้ชักแปลก ๆ แล้วแฮะ

“คุณสนใจจะร่วมงานกับผมไหม?”

“เดี๋ยวนะครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจ หากท่านจะกรุณาขยายความให้ผมสักหน่อย...”

พ่อน้องฟิวมองหน้าอาร์ตนิ่ง จนคนถูกมองแทบจะกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ แต่หยุดตัวเองไว้ทัน ต้องท่องไว้ว่าอย่าประหม่า ท่านแค่พูดคุยธรรมดา ทำตัวทำใจให้สบาย แต่มันก็ทำไม่ได้ ก็ดูสายตาท่านสิ กดดันกันเสียขนาดนี้ ในอนาคตน้องฟิวจะเป็นแบบนี้ไหมวะ

“ผมต้องการให้คุณมาทำงานกับผม คนดีมีความสามารถแบบคุณนี่ล่ะที่ทางเราต้องการ ผมคุยกับเจ้านายคุณแล้ว เขาก็แล้วแต่คุณนะ คุณจะว่ายังไง?”

อาร์ตนิ่งไปเมื่อได้คำตอบ ผลงานที่ผ่านมาของเขามันดีมากจนเข้าตาคุณพ่อของน้องเลยหรือ แต่ที่บอกว่าคุยกับเจ้านายเขาแล้ว นั่นแสดงว่าทั้งคู่คงสนิทกันพอดูถึงได้พูดคุยเรื่องนี้กันได้

“ทำไมถึงเป็นผมล่ะครับ ผมว่าผลงานผมมันก็ไม่ได้เด่นจนคนภายนอกจะมองเห็น”

“คุณคิดว่าเพราะอะไรล่ะ?”

ท่านย้อนมาทำให้อาร์ตชะงัก พ่อลูกกันชัวร์เลยคู่นี้ ตอบคำถามโดยการถามกลับนี่

“ผมไม่อยากจะคาดเดาไปเอง ช่วยบอกเหตุผลที่แท้จริงของท่านทีเถอะครับ”

จบคำพูดนั้นของอาร์ต แฟ้มเอกสารในมือคุณพ่อก็ถูกโยนลงบนโต๊ะ ควรต้องเรียกว่าโยน เพราะมันกระทบกับโต๊ะเสียงดังเกินกว่าจะรียกว่าวางได้

“เรื่องลูกชายฉัน”

อาร์ตลอบกลืนน้ำลายเมื่อท่านเข้าประเด็นเรื่องดังกล่าว แสดงว่าท่านรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับน้องแล้วจริง ๆ

“ตอนนี้เธอเรียกความสัมพันธ์ที่มีต่อลูกฉันว่าอะไร อารยะ?”

แม้แต่คำสรรพนามยังเปลี่ยน ท่านกำลังอยู่ในอารมณ์ไหนกันนี่

“ผมกับฟิว เรากำลังคบหาดูใจกันในฐานะ… คนรักครับ”

“ดีนะ ลูกเต้ามีคนรัก แต่ไม่เห็นพ่อแม่จะรู้เรื่อง”

ท่านยังคงพูดน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่อาร์ตถึงกับจุก ด่าผมเลยเถอะครับ คุณพ่อ!

“ผมต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านต้องระคายใจ”

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่มันรู้สึกแย่ไปสักหน่อยที่ได้ยินเรื่องนี้จากปากคนอื่น”

อาร์ตนิ่งเงียบกับสิ่งที่ได้ยิน มันคงแย่มากจริง ๆ อย่างที่ท่านว่า

“เธอคิดว่าความสัมพันธ์นี้มันจะมีไปยาวนานแค่ไหน คิดถึงอนาคตข้างหน้ากันหรือเปล่า หรือแค่คบกันเล่น ๆ ตามประสาวัยรุ่น?”

“ผมจริงจังกับน้องครับ ในอนาคตข้างหน้าผมก็ยังอยากมีน้องอยู่เคียงข้าง ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน”

อาร์ตยืนยันหนักแน่นในคำพูด ในอนาคต ไม่ว่าเขาจะคิดจะทำอะไรมันมักจะมีฟิวอยู่ในนั้นด้วยเสมอ ความคิดที่จะแยกจากกันมันไม่เคยมีในสมองเขาด้วยซ้ำ คิดแต่เพียงว่าเราจะยังมีกันในทุก ๆ วันเท่านั้น

“ดี พูดได้ดี แต่จะดีแต่ปากหรือเปล่า อันนี้ฉันก็ไม่รู้”

“ท่านคงต้องให้เวลาผมพิสูจน์ ก่อนที่จะตัดสินว่าผมจะดีแต่ปากหรือไม่”

พอได้พูดดังใจคิด อาร์ตก็ลดความประหม่าไปมากกว่าครึ่ง แม้จะยังเกรง ๆ คุณพ่อท่านอยู่ไม่เปลี่ยน แต่ถ้าเราจริงใจเสียอย่าง มันคงไม่มีอะไรเลวร้าย

“หึ ถ้าอย่างนั้นเธอคงไม่มีปัญหาแล้วสินะ ที่จะไปทำงานกับฉัน?”

“ผมไม่ได้เรียนการโรงแรม”

“แต่เธอเรียนบริหารทรัพยากรมนุษย์ ฉันว่าเธอควรจะใช้ประโยชน์ในสิ่งที่เธอเรียนมาได้ดีกว่านี้นะ เรื่องอื่นฉันจัดหาผู้ช่วยให้เธอได้ ถ้าเธอตกลง ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา เว้นเสียแต่ว่าเธอไม่ต้องการมัน”

ท่านพูดเหมือนเปิดโอกาสให้ได้ตัดสินใจเต็มที่ แต่คำตอบมันก็คงจะมีแค่เพียงคำเดียวเท่านั้น

“ทำไมท่านถึงคิดว่าผมจะทำงานนี้?” อาร์ตลองถามหยั่งเชิงดูบ้าง ทั้งที่ใจสั่นกับสิ่งที่ถามไปจริง ๆ

คุณพ่อน้องฟิวเลิกคิ้วสูง ก่อนเอ่ยถามกลับมา “หรือเธอจะไม่ทำล่ะ ฉันไม่ได้บังคับ แล้วแต่ความสมัครใจล้วน ๆ”

ไม่บังคับมันก็เหมือนบังคับนั่นล่ะ เหมือนพ่อของน้องจะมีทางให้เขาเลือก แต่ที่จริงมันไม่มีเลยต่างหาก อาร์ตมั่นใจว่าตนเองจะดูแลน้องได้แม้ไม่ต้องพึ่งบารมีพ่อแม่ตนเองหรือพ่อแม่น้อง แต่ใครว่าครอบครัวไม่สำคัญกันล่ะ การได้รับการยอมรับในสิ่งที่ตนเองเป็น ใครก็ต้องการกันทั้งนั้น หากเขาดันทุรังจะคบกับฟิวโดยที่ครอบครัวน้องไม่เห็นควร ไม่มีทางที่น้องจะมีความสุขไปได้แน่ ดังนั้น ข้อเสนอของคุณพ่อฟิวจึงเป็นสิ่งที่เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าต้องการมัน แต่การที่ต้องห่างจากน้องแบบนี้มันเป็นการทรมานกันชัด ๆ

“จะคิดทบทวนดูก่อนก็ได้ เพราะบางทีการยอมรับจากฉันอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเธอ แต่สำหรับลูกชายฉัน มันคงเป็นสิ่งสำคัญน่าดูนะ ว่าไหม?”

หลังจากนิ่งไปชั่วอึดใจ อาร์ตจึงเอ่ยถามหาความมั่นใจจากคุณพ่อน้อง

“แล้วผมจะต้องพิสูจน์ตัวเองนานแค่ไหน?”

“นั่นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเธอ ฟิวยังเด็กเกินไปที่จะทำงานคนเดียวได้ เขาจำเป็นที่จะต้องมีคนคอยผลักดันเขาอยู่ข้างหลังให้เขาได้เดินต่ออย่างมั่นคง ฉันไม่ต้องการให้คนเหลาะแหละพึ่งพาไม่ได้มายุ่งกับชีวิตลูกฉัน ถ้าเธอเป็นแบบนั้นก็จงถอยห่างไปซะ ถ้าเธอไม่มั่นคงแข็งแกร่งจนเป็นหลักให้ฟิวได้ ฉันก็คงให้เธอคบกับลูกชายฉันต่อไปไม่ได้เหมือนกัน”

“ผมจะไม่มีทางปล่อยมือจากฟิว”

อาร์ตบอกไปแบบนั้น เห็นคุณพ่อน้องยิ้มเย็นชั่วพริบตา รู้สึกหนาวยะเยือกบอกไม่ถูก แต่อาร์ตก็ยังยืนยันในคำพูดของตนเอง เมื่อเชื่อว่าน้องต้องเข้าใจเขาแน่ ถึงเขาจะไม่อยากห่างน้องไปไหน แต่เพื่อการยอมรับจากคนคนนี้ จากบุพการีของน้อง เขาก็ต้องยอม

“ผมจะทำงานนี้”

คุณพ่อยกยิ้มมุมปาก เมื่อได้ฟังคำยืนยัน

“อ้อ ฉันคงลืมบอกเธอไปอย่าง ทำให้เธอด่วนตัดสินใจไป เรื่องที่เราคุยกันในวันนี้ห้ามบอกฟิวเป็นอันขาด ถ้าลูกชายฉันรู้ ทุกอย่างถือเป็นโมฆะ”

หือ นี่ยังมีข้อแม้อีกนะ แต่อาร์ตจะทำอะไรได้นอกจากรับปากท่านไป

“ครับ”

สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับอาร์ตในตอนนี้ก็คือการที่จะบอกกับน้องยังไงนี่ล่ะ เหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่จะยกมาอ้าง เขามีอยู่ แต่เขาไม่อยากจะหลอกน้อง ถ้าน้องมารู้ทีหลัง น้องจะโกรธเขามากไหม จะเสียใจไหมที่เขามีความลับต่อกัน แม้ว่าความลับนั้นเขาจะทำเพื่อ ‘เรา’ ก็ตาม


……


ผ่านไปหลายวันอาร์ตก็ยังไม่กล้าที่จะเอ่ยปากบอกน้องอยู่ดี และไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน พอคิดว่าเขากำลังจะโกหกน้อง มันก็พูดไม่ออกเสียดื้อ ๆ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ควรบอก เพราะเวลามันก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว

“ฟิว”

อาร์ตเอ่ยเรียกน้องที่นั่งขัดสมาธิเลือกแผ่นหนังในตู้กระจกเล็ก ๆ ข้างชุดโฮมเธียร์เตอร์อย่างจดจ่อ พลิกไปพลิกมาหลายเรื่องเพราะตัดใจเลือกไม่ได้สักทีว่าจะดูเรื่องไหนก่อนดี

“หือ?” ฟิวขานรับแต่ยังไม่ได้หันมาหาพี่ที่นั่งมองเขาอยู่บนโซฟา

“ถ้าพี่ต้องย้ายไปทำงานที่ต่างจังหวัด ฟิวว่า…”

“พี่จะย้ายไปทำงานที่ต่างจังหวัดเหรอ!?” คนน้องถามหน้าตื่น ลุกขึ้นมาจากหน้าตู้ซีดีถลามานั่งใกล้พี่ในทันใด

“คือ... ก็แบบเจ้านายพี่เขาจะเลื่อนขั้นให้น่ะ แต่ว่ามันต้องไปอยู่ต่างจังหวัดสักระยะ พี่ว่ามันก็น่าสนใจอยู่ เงินมันก็เยอะ สวัสดิการมันก็… ดี… น่ะ...” ประโยคหลังเริ่มแผ่วลงเรื่อย ๆ เมื่อถูกน้องจ้องไม่วางตา

ฟิวจากที่หน้าตาตื่นเมื่อครู่ก็เริ่มสลดและค่อยหันหลังให้พี่ พูดเสียงออดอ่อยจนคนฟังใจหาย “ต้องไปนานแค่ไหน?”

“ก็ยังไม่รู้ แต่คงไม่นานหรอก ถ้าผลงานพี่เป็นที่น่าพอใจ…”

แต่ก่อนที่อาร์ตจะพูดจบประโยค ฟิวก็แทรกขึ้นมา

“พี่กำลังโกหก”

อาร์ตชะงักไปนิดกับคำกล่าวหาที่ไม่ได้เกินจริงเลย แต่ก็ไม่สามารถยอมรับออกมาได้ว่าที่น้องพูดเป็นความจริง

“โกหกเรื่องอะไร พี่เปล่า”

“ถ้าอย่างนั้นผมต้องรอพี่นานแค่ไหน ทำไมพี่ถึงบอกไม่ได้?” ฟิวเริ่มถามคำถามวนมาที่เดิม ไม่มีเจตนาจะกวน แต่แค่อยากรู้ว่าตัวเองต้องถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวแบบนี้นานเท่าไรกัน

“พี่กำหนดระยะเวลาตายตัวไม่ได้นี่ ฟิว”

“ต้องรอโดยที่ไม่รู้ว่าจะจบลงตอนไหนเนี่ยนะ ตลกน่า แบบนี้มันก็เท่ากับเลิกกันนั่นแหละ”

“ฟิว!”

อาร์ตเรียกน้องอย่างตกใจที่น้องพูดคำนั้นออกมา เขากลัวที่สุดก็แบบนี้ กลัวน้องจะเลิกกับเขาเพราะความไกลห่าง ฟิวหันกลับมาหาพี่ ถามน้ำเสียงเรียบแต่บาดใจคนฟังจนเจ็บแปลบ

“พี่อยากเลิกกับผมใช่ไหม?”

“ไม่ ไม่นะ ฟิว พี่ไม่ได้อยากเลิกกับฟิว ไม่เคยคิด ไม่มีทางจะคิดแบบนั้นเลย” อาร์ตละล่ำละลักบอก กลัวน้องจะเข้าใจเจตนาเขาผิด

“แล้วอะไรล่ะ ทำไมต้องทิ้งผม?”

“พี่ไม่ได้ทิ้งฟิวนะ แต่พี่ไปเพื่อสร้างอนาคตของเราให้มั่นคง” อาร์ตพยายามจะอธิบาย แต่ดูเหมือนอารมณ์ฟิวจะหลุดไปแล้ว

“ไม่ต้องมีผมก็ได้ใช่ไหม ถ้าพี่ไปแล้วผมจะมีใครก็ได้ใช่ไหม พี่ไม่แคร์อะไรเลยใช่ไหม!?”

“ไม่ใช่! เพราะพี่แคร์ไง พี่ถึงต้องทำแบบนี้ ฟิวเข้าใจพี่บ้างสิ!”

“ก็ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอะ!!”

ฟิวเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเอาแต่ใจ ก็ไม่อยากให้ไปนี่ ถึงรู้ว่ามันงี่เง่ามากก็เถอะ แต่มีแค่เขาหรือไงที่ไม่อยากห่างพี่ อยู่ไกลกันโดยไม่มีระยะเวลากำหนดที่ชัดเจนแบบนี้ เขาควรต้องรอหรือ?

อาร์ตมองหน้าน้องอย่างเจ็บปวดไม่แพ้กัน ใช่ว่าอยากจากไปไหน แต่มันคือสิ่งที่จะพิสูจน์ความจริงใจของเขาให้พ่อน้องได้เห็น ให้ท่านยอมรับ ให้เราได้อยู่ด้วยกันโดยไม่มีอะไรมาขัดขวางความสัมพันธ์ในครั้งนี้ได้อีกต่อไป

“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็คงต้องแล้วแต่ฟิว พี่อยากเห็นแก่ตัวรั้งฟิวไว้ให้เป็นของพี่แค่คนเดียว พี่คิดว่าพี่รักและพร้อมจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน แต่ถ้ามันทำให้ฟิวทนไม่ไหว พี่ก็ตามใจฟิว แล้วแต่ฟิวจะกรุณา”

“พี่อาร์ต” ฟิวโถมกายเข้ากอดพี่ ไม่อยากเป็นคนอ่อนแอแบบนี้ “ผมไม่อยากให้พี่ไป”

น้องพูดเสียงอู้อี้กับอกเขา อาร์ตลูบหลังปลอบเบา ๆ ปลอบทั้งน้องปลอบทั้งตัวเอง

“พี่ก็ไม่อยากห่างฟิว ไม่อยากเลย” กระชับอ้อมกอดแน่นเข้า จดจำทุกความรู้สึกไว้เมื่อไกลห่างกัน

“ผมจะรอพี่นะ ไม่ว่านานแค่ไหน ขอเพียงพี่อย่าเปลี่ยนใจไปจากผม ใจของผมก็จะยังเป็นของพี่ดังเดิม”

ฟิวดันตัวพี่ออก เงยหน้ามองตาสื่อความหมายดังคำที่เอื้อนเอ่ย อาร์ตค่อยโน้มใบหน้าลงแตะจูบไล้ช้า ๆ ฟิวเผยอปากให้พี่กวาดไล้เข้ามาเชยชิมความหวานภายใน ตระกองกอดแนบชิดไม่ห่างกาย จุมพิตลึกซึ้งหวานล้ำนานเนิ่น จูบย้ำซ้ำ ๆ ก่อนที่จะผละห่าง

“แต่อย่าให้ผมต้องรอนานจนเกินไปนะ เดี๋ยวจะมีแฟนใหม่ให้ดู”

ฟิวเกลี่ยนิ้วบนปากพี่ มองตามปลายนิ้วของตนเองที่เคลื่อนไหวไปตามขอบปากได้รูป ลิ้นเล็กก็แลบเลียริมฝีปาก กิริยายั่วเย้าให้อีกคนหลงเพริด

“อย่างนี้พี่ก็น่าสงสารแย่”

ปากหยักได้รูปสวยไล่งับนิ้วเรียวแสนซุกซน มือใหญ่กอบกุมมือน้องกดลงข้างตัว เอนกายน้องลงนอน ก่อนขยับขึ้นมาทาบทับ

“ใครกันแน่ที่น่าสงสาร ไม่ใช่คนที่ต้องเฝ้ารอโดยไม่รู้ว่าจุดจบมันอยู่ตรงไหนคนนี้เหรอ?” ฟิวต่อว่าน้ำเสียงไม่มั่นคง เมื่อพี่อยู่ใกล้ ใกล้... จนแทบใช้ลมหายใจร่วมกันได้

“ขอโทษนะ แต่ช่วยรอพี่หน่อย อย่าเพิ่งถอยห่างจากพี่ไป แค่ตัวเราที่ไกลห่าง แต่หัวใจของพี่ยังอยู่ตรงนี้…”

นิ้วเรียวยาวลากมาที่ทรวงอกด้านซ้าย ข้างที่มีก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจซ่อนอยู่ภายใน สบตาน้องในระยะประชิด แววตารักใคร่เสน่หา

“อยู่ใกล้ ๆ หัวใจฟิว ช่วยดูแลมันหน่อยนะ คนดี”

กดจูบอกบางภายใต้เนื้อผ้า ส่งความรู้สึกผ่านริมฝีปากร้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระซิบบอกคำหวานไม่รู้เบื่อ

“รักฟิวนะครับ รักมาก”

ถึงแม้จะอยู่ไกลก็ไกลเพียงร่างกาย แต่หัวใจของเรายังผูกพันกันไว้ไม่เสื่อมคลาย

อาร์ตที่มัวแต่ลุ่มหลงกับร่างขาวยวนตา จนไม่ทันได้สังเกตว่าดวงตาน้องฉายแววร้ายขึ้นมาชั่วเสี้ยววินาที ก่อนจะกลับมาสู่ห้วงเสน่หาที่พี่ปลุกขึ้นไปด้วยกัน






ขอบคุณคุณ O-RA DUNGPRANG นะคะ ยังไม่ครบ 24 ชม. เดี๋ยวมาบวกให้อีกทีค่ะ  :กอด1:


ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ -END- // 10.Sep.2018
«ตอบ #18 เมื่อ10-09-2018 10:04:18 »


8

ความคิดถึง


เรื่องที่พี่อ้างมา ฟิวไม่เชื่อหรอกว่ามันจะไม่มีเบื้องหลัง อาร์ตไม่เคยโกหก ถ้าเมื่อไรที่อาร์ตโกหกก็จะดูออกง่ายดายมาก เพราะอาร์ตถือว่าการโกหกมันคือความผิด เวลาโกหกจึงไม่เนียนเสียที

ฟิวนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยบนเตียงนอนพี่ ความสุขสมกำซาบใจยังไม่คลาย แต่ความกังวลใจมีมากกว่า ร่างสูงโปร่งนอนตะแคงข้างเข้าหาพี่ นิ้วมือเกลี่ยไล้ไปตามโครงหน้าที่นอนหลับสนิท

“ผมรักพี่นะ ไม่ว่าใครหรืออะไรก็จะไม่มีทางเปลี่ยนความรู้สึกนี้ได้ เว้นแต่ว่า…” นิ้วนั้นถอนกลับ ดวงตาที่มองพี่หลุบต่ำ เม้มริมฝีปากราวไม่อยากเอ่ยคำพูดต่อมา “เว้นแต่ว่า… พี่ไม่รักผมแล้วเท่านั้น”

ขยับกายเบียดซุกเข้าหาอกอุ่นที่อ้อมแขนเจ้าของก็ตอบรับราวอัตโนมัติ อาร์ตคว้าตัวน้องเข้าไปกอดและกดจูบหน้าผากตามความเคยชิน

ฟิวยิ้มเศร้ากับการกระทำนั้น ความเคยชินแบบนี้มันแย่ ถ้าต่อไปต้องห่างกัน เขาจะทำอย่างไร เมื่อไรเขาจะได้อ้อมกอดแสนอบอุ่นนี้กลับมา…


......


สัปดาห์ต่อมา หลังจากที่บอกเรื่องต้องไปทำงานต่างจังหวัดกับฟิวไป อาร์ตก็ออกเดินทางโดยมีคนของคุณชยรพ พ่อของฟิว มารับ ซึ่งดูท่าว่าฟิวจะไม่รู้จัก จะรู้จักได้ยังไงล่ะ ก็พ่อเขาเตรียมการมาอย่างดีอยู่แล้ว

เมื่ออาร์ตไม่ได้อยู่ที่ห้องแล้ว ฟิวก็ย้ายกลับมาอยู่บ้านเป็นการถาวร สิ่งที่สงสัยยังไม่ได้ทำอะไรกับมันจนกว่าจะมีหลักฐานมายืนยัน จะสู้กับพ่อเสือ ลูกเสือตัวน้อยอย่างฟิวต้องเตรียมการเสียก่อน เกิดพลาดพลั้งไป มันจะเป็นการปล่อยไก่โดยใช่เหตุ

และในวันหนึ่งที่ฟิวได้รู้ถึงสาเหตุที่อาร์ตถูกย้ายไปต่างถิ่นฐานจึงพุ่งตรงมาที่บ้านเพื่อพบพ่อเสือในทันที การหาสาเหตุไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถฟิว เมื่อคุณลุงศุภชาติเจ้าของบริษัทที่อาร์ตทำงานอยู่กับพ่อของเขาเป็นเพื่อนกัน ซึ่งถือได้ว่าสนิทกันเป็นอย่างมาก และฟิวเองก็เป็นที่เอ็นดู แต่จะล้วงความลับอย่างไรให้ไม่เป็นที่สงสัยของคุณลุง มันคงเป็นไปได้ยาก ถ้าลุงชาติรู้ พ่อก็ต้องรู้

ดังนั้น การที่ฟิวเข้าหาคุณศุภชาติจึงไม่ได้รอดพ้นหูตาของพ่อแต่อย่างใด เมื่อรู้เรื่อง ฟิวจึงตรงมาหาพ่อในทันที เพราะพ่อเองก็คงเตรียมรับมือเขาอยู่แล้วเหมือนกัน และการที่พ่อจะรู้เรื่องของเขากับพี่อาร์ตเช่นนี้ ต้นเหตุมาจากใครคงไม่ต้องคาดเดาให้ยาก มีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น

“ขี้ฟ้องนักใช่ไหม หึ แล้วจะรู้ ถ้าอยากจะร้าย อย่าร้ายแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้ ต้องเอาให้จอด!”

ฟิวเปลี่ยนเป้าหมายจากเดิมที่จะเดินไปยังห้องทำงานของพ่อไปหาอีกคน คนที่จะช่วยเขาจัดการกับเสี้ยนที่คอยตำมือตำเท้าเขาให้รำคาญอยู่ในตอนนี้ เดินผ่านเด็กในบ้านจึงเรียกถาม

“อาอรอยู่ไหน?”



พอจัดการเรื่องเสร็จ ฟิวจึงจะไปทำตามความตั้งใจเดิม แต่เมื่อเดินมาด้านในตัวบ้าน ตัวต้นเหตุก็ยังคงอยู่เสนอหน้าเหมือนดังเช่นทุกที ฟิวทอดถอนใจแต่ไม่ได้เดินหนี กลับเดินเข้าไปหาพี่ชายต่างสายเลือดที่มองมายังเขาด้วยสายตาเย้ยหยันเหมือนดังเช่นทุกทีที่เจอ บ้าบอคอแตก

“นายใช่ไหม อิ๊ก?”

“อะไร ฉันทำอะไรไม่ทราบ?”

อิ๊กเลิกคิ้วถาม เพราะฟิวไม่ได้เอ่ยนำว่าเรื่องอะไรที่เขาเป็นคนทำ ก็เขาทำเรื่องตั้งมากมายจะไปรู้ได้ยังไงว่าเรื่องไหน แต่เมื่อนึกถึงเรื่องล่าสุดที่เขาทำลงไปก็ยกยิ้ม หรือว่าจะเป็นเรื่องนี้

“อยากลองดีเหรอ อยากรู้นักใช่ไหมว่าพ่อฉันจะจัดการกับฉันยังไงถ้ารู้ว่าฉันชอบผู้ชายด้วยกัน ได้ งั้นมานี่!”

“เฮ้ย! อะไรวะ!?”

อิ๊กขัดขืนไม่ยอมเดินตาม ตัวเขาสูงใหญ่กว่าฟิว มันไม่น่าจะเป็นเรื่องยากหากจะสะบัดแขนออก หรือแม้แต่ผลักคนตัวบางให้ห่างกาย แต่อารมณ์ฟิวในตอนนี้กำลังขึ้น ต่อให้เอาช้างมาฉุดมันก็หยุดไม่อยู่แล้วเวลานี้

ฟิวพาอิ๊กมาที่ห้องทำงานของพ่อด้วยกัน เคาะประตูบอกก่อนจะเปิดเข้าไป คุณชยรพที่กำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะเงยหน้าขึ้นมองลูกชายและลูกเลี้ยงที่ฉุดกระชากลากถูกันมา ปิดแฟ้มงานในมือลงแล้วผลักไปไว้ที่มุมหนึ่งของโต๊ะ เตรียมรับมือพายุลูกใหญ่จากเจ้าลูกชาย

“มีอะไรกัน?” ท่านเอ่ยถามเสียงเคร่งขรึม

ฟิวสะบัดแขนอิ๊กทิ้งแรง ๆ ก่อนเดินเข้าไปหาพ่อ นั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน ก่อนถามพ่อเสียงเครียด

“พ่อรู้เรื่องนั้นแล้วใช่ไหม?”

“เรื่องอะไร?” คุณพ่อยังตีสีหน้าขรึมไม่รับรู้ต่ออารมณ์ของลูกชาย

ฟิวชี้มือไปยังอิ๊กที่ยืนอยู่ด้านหลัง แล้วบอก “มันบอกพ่อใช่ไหม?”

“ฟิว!”

ท่านปรามเมื่อลูกชายใช้คำสรรพนามไม่เหมาะสม ไม่ว่าอย่างไรอิ๊กก็เป็นผู้ใหญ่กว่า ถึงฟิวจะไม่ชอบใจยังไงก็ไม่ควรจิกเรียกคนอื่นเขาว่ามัน

“ก็มันจริงไหมล่ะ?” ฟิวตวัดสายตาไปมองไอ้ตัวต้นเหตุอีกครั้ง พวกยุ่งไม่เข้าเรื่อง

“อย่าพาลน่า” คุณพ่อเอ่ยปรามอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาลูกที่ใช้มองพี่ชายต่างสายเลือดขวางขุ่น

“พ่อให้พี่อาร์ตไปทำงานที่อื่น ทั้งที่พี่เขาไม่ได้ทำผิดอะไรแบบนี้ได้ยังไง?” ฟิวเปิดปากเข้าประเด็น

คุณพ่อนั่งเอนกายสบาย ๆ ไม่ได้เคร่งเครียดตามไปด้วย ส่วนอิ๊กที่กลายเป็นส่วนเกินแล้วก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม อยากรู้เหมือนกันว่าฟิวจะโดนจัดการอย่างไรต่อไป

“ก็แล้วทำไมพ่อจะทำไม่ได้ เจ้าหนุ่มนั่นมันอยากมายุ่งกับแกเอง ถือเป็นคราวซวยของมันแล้วกัน”

“พ่อ!!” ฟิวร้องเสียงดังเมื่อพ่อทำเหมือนไม่ใส่ใจ ราวกับว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

“พ่อยังอยากมีลูกชายอยู่นะ ไม่ใช่ตุ๊ดแต๋ว ทำไมต้องยอมไปเป็นเมียใครให้เสียศักดิ์ศรีของตัวเองด้วย?”

“ผมไม่ได้เป็นตุ๊ด!”

ฟิวแก้ความเข้าใจของพ่อเสียใหม่ แต่ท่านก็ยังคงไม่ได้มองมันดีไปกว่าที่เป็นอยู่

“แล้วไอ้ที่ยอมเป็นเมียเจ้านั่นมันคืออะไร ไหนแกอธิบายมาซิ ฟิว?”

“เรื่องนั้นผมไม่เถียง แต่เรื่องที่ว่าผมเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว พ่อเห็นว่าผมเป็นแบบนั้นหรือเปล่า ผมก็ยังเป็นผม ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว หรือพ่อว่าไม่จริง?” เจ้าหนูถามกลับบ้าง “ทำไมพ่อต้องตัดสินผมโดยที่ยังไม่เห็นความเป็นจริงด้วย แค่คำบอกเล่าจากปากคนนอก พ่อก็เชื่อแล้วหรือไง?”

ฟิวเน้นคำว่าคนนอกเต็มปากเต็มคำ ก่อนเบนสายตาไปมองคนนอกที่ขยับตัวเมื่อถูกปรายมอง พยายามเก็บสีหน้าไม่พอใจเอาไว้ข้างใน

“คนนอกที่แกว่า เขาก็ไม่ได้พูดผิดไปจากที่เป็นไม่ใช่เหรอ?”

“มันอาจไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูก นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของผมที่เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยว” ฟิวอธิบายขยายความ

“แม้แต่พ่อหรือไง?” คุณพ่อถามเสียงเรียบนิ่ง

ฟิวถอนใจ ทำไมรู้สึกว่าพ่อเขาจะเข้าข้างไอ้พี่ชายขี้ฟ้องนั่นจัง “ไม่ใช่สิ นี่พ่อจะไล่ต้อนผมไปทางไหนกันแน่?”

“ไม่ได้ไล่ไปไหนทั้งนั้นแหละ แกมากกว่าที่จะมาไล่ต้อนเอากับพ่อ เห็นว่าไอ้หนุ่มนั่นดีกว่าพ่อ เลยจะมาต่อว่าที่พ่อไล่มันไปทำงานที่อื่นอย่างนั้นสิ?”

“ก็มันไม่ถูก” ฟิวว่าเสียงเบา ก็พ่อมาพูดดักทางเขาทำไมกันล่ะ

“แล้วแบบไหนที่มันถูก?”

ฟิวขยับตัวอย่างอึดอัดที่ถูกซักไซ้ แต่นี่ก็นับเป็นโอกาสดีที่เขาจะเคลียร์เรื่องของตนเองกับพี่ เลยต้องพูดกับพ่ออย่างจริงจัง ให้พ่อได้เข้าใจ ได้รับรู้ในข้อมูลที่ถูกต้อง

“พ่อ ผมชอบพี่เขา ไม่ได้มองเรื่องที่ว่าเขาเป็นเพศไหน แต่เพราะเขาเป็นคนดีและรักผม ถ้าพ่อเห็นว่ามันไม่ถูกไม่ควรผมก็ต้องขอโทษ ผมรู้ว่าการที่คนเพศเดียวกันจะรักกัน ใครก็มองว่ามันประหลาดและไม่สมควร แต่ในเมื่อผมรักเขาไปแล้วผมก็อยากให้พ่อเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องยอมรับพวกผมในทุกเรื่อง แต่อย่าแยกเราจากกันเลยนะครับ ผมสัญญาว่าไม่ว่าเรื่องอะไร ผมก็จะไม่ทำให้พ่อผิดหวัง ผมขอแค่เรื่องนี้ พ่อให้ผมได้ไหม?”

คุณชยรพมองสีหน้าเว้าวอนร้องขอของลูกแล้วก็ใจอ่อน ที่จริงท่านไม่ได้จะขัดขวางอะไรอย่างที่ว่ามา เพียงแต่อยากรู้ว่าเจ้าลูกชายจริงจังกับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน การยอมรับไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไปหากเห็นว่ามันคือความสุขของลูกชายเพียงคนเดียวของท่าน อนาคตกำหนดไม่ได้ แต่วันนี้เรายังมีแรงที่จะทำมันให้ดีได้

แต่ก่อนที่ท่านจะได้ตอบรับอะไรกลับไป คุณย่าก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมคุณอร ภรรยาของท่านที่คอยพยุงคุณย่าอีกที

“ฟิว เกิดอะไรขึ้นลูก เห็นเด็กไปบอกย่าว่าฟิวกับอิ๊กมีเรื่องกัน” คุณย่าถามเสียงแตกตื่นตกใจดังว่า

ฟิวลุกไปหาท่าน ก่อนเอ่ยบอกให้ท่านคลายใจ “ไม่มีอะไรหรอกครับ ย่า ฟิวแค่มีเรื่องจะคุยกับพ่อเขานิดหน่อย แต่ย่ามาด้วยก็ดีครับ ฟิวไม่อยากมีเรื่องปิดบังย่าเหมือนกัน”

คุณย่ามองหน้าฟิวด้วยความงุนงง ฟิวพยุงท่านไปนั่งที่โซฟามุมหนึ่งภายในห้อง โดยมีคุณพ่อตามมานั่งลงอีกตัวข้างกัน

“มีเรื่องอะไรกันเหรอ ฟิว?” คุณย่าเอ่ยถาม

ฟิวหันไปมองหน้าพ่อที่เบือนหนีไป สูดลมหายใจลึกเรียกกำลังใจ เพราะไม่รู้ว่าย่าจะรับเรื่องที่ตนเองจะบอกได้มากน้อยแค่ไหน

“ฟิวมีแฟนแล้วครับ ย่า”

“หือ เรื่องนี้เองเหรอที่เป็นปัญหากัน ว่ายังไง ตาชนะ?” คุณย่าหันไปถามคุณพ่อน้องฟิว “แค่ลูกมีคนรักถึงกับต้องเป็นปัญหาอะไรมากมายรึ?”

“แม่ยังไม่รู้น่ะสิว่าคนรักของหลานชายแม่น่ะ มันเป็นผู้ชาย!” คุณพ่อว่า

คุณย่าถึงกับยกมือทาบอกด้วยตกใจกับสิ่งที่รับรู้ ก่อนเบือนสายตามายังหลานรักที่นั่งหน้าจ๋อยอยู่ด้านข้าง

“ไม่จริงใช่ไหม ฟิว…”

ฟิวหน้าเจื่อน ยิ่งมองย่าที่กำลังรอคำตอบจากตนเองด้วยแล้วยิ่งใจฝ่อ แต่สุดท้ายก็ต้องพยักหน้า พอคุณย่าเห็นคำตอบรับด้วยการพยักหน้าทั้งสีหน้าจืดเจื่อนของหลานรักแล้วก็ทำท่าว่าเลือดลมจะตีขึ้นกะทันหัน คุณอรที่นั่งใกล้ ๆ ต้องป่ายปัดพัดวีกันเป็นการใหญ่

“โอย ย่าจะเป็นลม”

“ย่า... ย่า!” ฟิวร้องเรียกย่าเสียงหลง เมื่อท่านทำท่าว่าจะเป็นลมเอาจริง ๆ ก็ถึงกับหน้าเสีย

“ใคร ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร คนรักของฟิวคือใครกันลูก?” คุณย่ายกมือลูบใบหน้าหลานชาย ถามน้ำเสียงอาทร

“…พี่อาร์ต” ผู้เป็นหลานตอบด้วยน้ำเสียงเบาราวกระซิบ กลัวว่าย่าจะโกรธพี่ไปด้วยอีกคน

“ตาอาร์ต... โอย” คุณย่าทำท่าว่าลมสว่านจะตีขึ้นอีกรอบ คุณอรภรรยาใหม่พ่อฟิวที่อยู่ใกล้ ๆ จึงต้องเข้ามาพัดวีให้อีกรอบ “นี่ย่าฝากปลาย่างไว้กับแมวใช่ไหม?”

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ย่า ที่จริง… ฟิวคบกับพี่เขาก่อนที่จะพามาเจอย่า…” บอกกับย่าไปแบบนั้นแล้วก็ต้องคอยพัดคอยนวดให้ นี่เขาทำให้ย่าเสียใจมากเลยใช่ไหม ไม่ควรเลยใช่ไหม

“แล้วนี่พี่เขาไปไหน ย่าอยากคุยกับเขาสักหน่อย ทำไมทำอะไรไม่นึกถึงใจย่าแบบนี้ เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว”

คุณย่าขยับลุกนั่ง พยายามผ่อนลมหายใจให้เป็นปรกติ เมื่อเห็นหลานชายทำหน้าเศร้าที่เห็นท่านเหมือนรับกับเรื่องนี้ไม่ได้

“พี่อาร์ตถูกพ่อย้ายไปทำงานที่ต่างจังหวัดแล้วครับ”

ฟิวเอ่ยบอกเสียงออด คุณย่าจึงหันไปทางคุณพ่อของฟิวที่แอบสะดุ้งเมื่อถูกพาดพิงถึง

“เราก็เป็นเด็กไปกับเขาด้วยรึ ตาชนะ?”

คุณพ่อเงียบไม่ตอบคำ บรรยากาศภายในห้องดูขมุกขมัว ดูเหมือนว่าอิ๊กจะหมดความสำคัญไปตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาแล้ว แต่ยังไม่สามารถออกไปไหนได้ จึงได้แต่ยืนเซ็งอยู่แถวนั้น

“เอา ๆ ไม่มีผู้ใหญ่กันเลยใช่ไหมเรื่องนี้ อย่างนั้นเล่ารายละเอียดทั้งหมดมา ย่าจะตัดสินเอง แล้วผลการตัดสินเป็นยังไงต้องยอมรับกันทุกคนนะ เข้าใจไหม?”

เมื่อย่าเปิดโอกาสให้เล่า ฟิวจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ย่าฟัง โดยเฉพาะเรื่องที่พี่อาร์ตของเขาโดนย้าย

“เราจะอธิบายกับเรื่องนี้ยังไง ชนะ?”

“คุณแม่จะให้ผมอธิบายอะไรครับ ผมแค่ยอมรับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น ก็เลยจะทำให้มันถูกต้อง” คุณพ่อตอบคำถามอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ

“โดยการทำร้ายจิตใจลูกน่ะรึ?”

“ทำร้ายจิตใจ ดีกว่าทำลายอนาคตมันทั้งชีวิตนะครับ แม่” ท่านยังคงยืนกรานถึงสิ่งที่ทำว่ามันถูกต้องเหมาะควรแล้วกระนั้น

“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ ชนะ ลูกน่ะ มันเลี้ยงได้แต่ตัว เรื่องอื่นให้มันคิดมันตัดสินใจเองเถอะ เราแค่คอยดูไม่ให้เขาออกนอกลู่ทาง ไม่ให้เดินหลงผิด หากว่าเขาหกล้มก็ค่อยเข้าไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้นใหม่ ให้เขาได้เรียนได้รู้ ได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง โดยมีเราคอยแนะอยู่ข้าง ๆ ก็พอ ใช่ว่าเราจะอยู่กับเขาไปได้ตลอดเสียเมื่อไร ตอนที่ยังอยู่ก็คอยมองความสุขความสำเร็จของเขาไม่ดีกว่ารึ หรืออยากเห็นว่าลูกเป็นทุกข์เราถึงจะสุขใจ?”

คุณย่าเอ่ยสอนเสียยืดยาว ทุกคนก็ได้แต่นิ่งฟัง แม้ในคำสอนนั้นมันจะเข้าข้างฟิวเต็มที่ แต่คุณพ่อท่านก็ไม่ได้เอ่ยแย้ง เพราะที่คุณย่าพูดมาก็ถูกทั้งนั้น ก่อนที่คุณย่าจะหันกลับมาหาหลานรัก แล้วเอ่ยสอน

“ฟิวเองก็ต้องรู้จักโตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว ต่อไปเราต้องเป็นหลักให้ครอบครัว ต้องหนักแน่นเข้มแข็ง คอยอยู่เคียงข้างพ่อเขา ช่วยงานท่าน อีกหน่อยฟิวก็ต้องดูแลงานทั้งหมดเอง ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบเพิ่มขึ้นอีก พ่อเขารักและหวังดีกับฟิว ก็อย่าได้ตีเจตนาของเขาผิดไปเสีย คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ห่วงลูกด้วยกันทั้งนั้นนั่นล่ะ รู้ไหม?”

“ครับ ย่า”

“ส่วนเรื่องตาอาร์ต เราจะว่ายังไง ชนะ?” คุณย่าทวงถามความให้อาร์ตด้วยอีกคน คนนี้ก็หลานรักคนใหม่เช่นกัน

“ไม่มีอะไรหรอกครับ อีกหน่อยเจ้าหนุ่มนั่นก็ได้กลับมา ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้านั่นแล้วล่ะว่าจะทำได้ดีแค่ไหน”

“ได้ยินแล้วนะฟิวว่าพ่อเขาว่ายังไง เราอยู่ทางนี้ก็ไม่ต้องกังวลไป ทำหน้าที่ของเราให้ดี ถ้าเรากับพี่เขารักกันอย่างที่พูดจริง ยังไงก็ต้องได้อยู่ด้วยกันแน่ ไม่ต้องห่วง ใช่ไหม ชนะ?”

พอคุณย่าวกกลับมาที่คุณพ่ออีกรอบ คุณพ่อก็ชะงักก่อนพยักหน้าส่ง ๆ ไป

เมื่อทุกอย่างดูท่าว่าจะลงตัวเรียบร้อย ดูเหมือนมันจะง่ายกว่าที่ฟิวคิด คงเป็นเพราะย่าที่รักและเข้าใจเขา ฟิวกราบขอบคุณย่า ก่อนจะพากันทยอยออกจากห้องไปเพราะคุณย่ามีเรื่องจะพูดคุยกับคุณพ่อต่อ

เมื่อออกมาด้านนอก ฟิวก้าวเข้าไปใกล้ ๆ อิ๊ก ทำเหมือนไม่ได้ตั้งใจแต่จงใจเข้าใกล้เห็น ๆ อิ๊กชะงักเล็กน้อยที่น้องต่างสายเลือดเดินเข้ามาใกล้ ก่อนคำพูดแสนกวนจะถูกเอ่ยออกมาจากปากฟิว

“ริจะเป็นตัวร้าย…” เว้นช่องคำพูดเล็กน้อย ช้อนสายตามองคนที่ตัวสูงกว่า ริมฝีปากอมยิ้มแกมเยาะ ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดจากนั้น “ไปฝึกมาใหม่จะดีกว่านะ”

พูดเท่านั้นแล้วก็หัวเราะคิกคักจากไป ทิ้งไว้เพียงความขุ่นข้องใจของคนด้านหลัง คุณอรที่เดินออกมาทีหลังเห็นลูกชายยืนทำหน้าเป็นยักษ์มองตามลูกเลี้ยงของเธอไปแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจที่คนเป็นลูกไม่ถูกกันกับลูกของสามี เธอเข้าไปดึงลูกออกมาจากจุดนั้น หากใครมาเห็นเข้าคงไม่เป็นการดี

เมื่อพาเจ้าลูกชายเข้ามาในห้องหับที่เป็นส่วนตัวพอจะว่ากล่าวตักเตือนกันได้ เธอจึงเอ่ยปากพูดกับลูกที่ยังทำหน้าบูดบึ้งไม่คลาย

“อย่าเป็นแบบนี้เลย อิ๊ก แม่ไม่ชอบเลย แม่อยากได้อิ๊กคนเดิมกลับมามากกว่านะ ทำไมยิ่งมีเยอะ อิ๊กยิ่งไม่รู้จักพอ ยังต้องการมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งที่มันไม่ใช่ของของเรา” เธอว่ากล่าวอย่างอัดอั้น

อิ๊กมองหน้าแม่ ก่อนเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นสีหน้าแม่เป็นแบบนั้น ท่านผิดหวังในตัวเขา “มันเป็นของเรา แม่ แม่มีสิทธิ์ที่จะได้ทุกอย่าง”

“พอได้แล้ว อิ๊ก ทุกอย่างมันคือของน้องฟิว เท่าที่เราได้มาทุกวันนี้มันก็ดีอยู่แล้ว ลูกยังต้องการอะไรอีก?”

“แค่เศษเงินนั่นน่ะเหรอ แม่!?”

“มันจะเป็นเศษเงินหรืออะไรแม่ไม่รู้ แต่ที่แม่รู้ คุณชนะเขาให้เราแม่ลูกมามากต่อมาก อิ๊กอยากได้อะไร ลุงเขาก็ให้อิ๊กไม่เคยขาด ทั้งที่เขาไม่จำเป็นต้องให้เรามากเท่านี้ก็ยังได้!”

คุณอรเริ่มเสียงดังมากขึ้น เมื่อลูกชายทำท่าว่าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอบอกกล่าว ยังดื้อแพ่งจะเอาให้ได้อยู่อย่างนั้น

“แม่อยากถามว่าอิ๊กยังจะต้องการอะไร เรามาแต่ตัวด้วยซ้ำนะ อิ๊ก เราอยู่สุขสบาย อิ๊กได้เรียนหนังสือเท่าที่อยากเรียน มีงานการดี ๆ ทำโดยไม่ต้องเที่ยวหาให้เหนื่อยยากด้วยซ้ำ แทนที่อิ๊กจะตอบแทนบุญคุณคุณลุงท่าน นี่อิ๊กกลับเอาแต่เรื่องร้อนใจมาให้ท่านแบบนี้มันจะดีเหรอ แม่อยากให้อิ๊กทบทวนให้ดีว่าที่อิ๊กทำอยู่มันสมควรไหม อิ๊กโตแล้ว คงรู้จักคิดได้ว่าอะไรควรไม่ควร”

“……...”

“เรื่องน้องฟิวก็อย่าไปหาเรื่องน้องเขานักเลย แม่ก็เห็นน้องเขาอยู่ของเขาดี ๆ” พอพูดถึงฟิว อิ๊กก็เริ่มหน้าบึ้งขึ้นมาอีก คู่นี้นี่อะไรกันหนักหนาไม่รู้ “ดีกันไว้เถอะลูก ยังไงเราก็อยู่บ้านเดียวกัน อย่าทะเลาะกันเลยนะ”

“…….” อิ๊กไม่ได้ตอบรับอะไร แต่ดูจะอ่อนลงอยู่เมื่อเห็นความทุกข์ใจของคนเป็นแม่

คุณอรลูบหลังลูกชายอย่างปลุกปลอบ เธอคาดหวังให้เรื่องมันจบแต่โดยดี นี่ถึงขนาดว่าฟิวมาหาเธอด้วยตัวเองแบบนี้ มันก็คงจะหนักหนาเอาการ เมื่อพูดคุยกับลูกแล้วก็ออกไปข้างนอก ปล่อยให้ลูกชายมีเวลาได้ไตร่ตรอง ได้หยุดคิดตามที่เธอได้บอกกล่าวไป

เมื่อได้อยู่คนเดียวอิ๊กก็ยังวนอยู่ที่เดิมอย่างหาทางออกไม่ได้ ทำไมแม่ถึงไม่เข้าใจเขา เขาแค่อยากให้แม่ได้อยู่สุขสบาย ไม่ต้องมาคอยรับของเหลือจากใครที่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับมาต้องผ่านไอ้เด็กฟิวนั่นก่อนเสมอถึงจะมาถึงมือเขาและแม่ ถ้าไม่มีมันสักคน แม่เขาก็จะเป็นที่หนึ่ง โดยไม่ต้องรอของเหลือจากใคร อิ๊กคงไม่ได้คิดว่านั่นมันคือสิทธิ์ที่ฟิวควรจะได้ ส่วนตัวเขาเองไม่ได้มีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัตินั้นแม้แต่ชิ้นเดียว

ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งเหนื่อย บางทีการหยุด อาจเป็นทางออกที่ดีสำหรับเขาในตอนนี้ก็เป็นได้


……
ต่อด้านล่างค่ะ  :heaven

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ -END- // 10.Sep.2018
«ตอบ #19 เมื่อ10-09-2018 10:05:00 »


หลังจากที่เรื่องราวของฟิวและอาร์ตรับรู้ถึงหูตาของครอบครัวฟิวแล้ว ฟิวจึงต้องทำตัวเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทของพ่อมากขึ้น คุณแม่ของฟิวที่รู้เรื่องนี้จากปากพ่อฟิวก็สายตรงมาถึงลูกชาย ร้องห่มร้องไห้ว่าเป็นเพราะตนเอง ฟิวถึงได้เป็นแบบนี้ ฟิวจึงต้องคอยปลอบใจและอธิบายอยู่นาน แม่ถึงใจเย็นลง ก่อนวางสายฟิวเลยต้องให้สัญญาว่าจะไปหาที่เหนือและจะเล่าให้ฟังทุกอย่างอีกที คุณแม่ถึงได้ยอมรับฟังแต่โดยดี

แม่ไม่เคยขัดใจฟิว เพราะท่านคิดตลอดว่าท่านไม่ได้ดูแลลูกเอง ท่านบกพร่องต่อหน้าที่ ดังนั้น ไม่ว่าอะไรที่ท่านจะให้ลูกได้ท่านก็ยอมทั้งนั้น หน้าที่ว่ากล่าวตักเตือนจึงอยู่ที่คุณย่า แต่ถ้าฟิวไปที่เหนือ หน้าที่นั้นก็จะตกเป็นของคุณยายคุณตาอีกที

ในขณะที่รอพี่กลับมา ฟิวก็พยายามทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ไม่ให้น้อยหน้าพี่ได้ ช่วงเวลาที่เลยผ่านทำให้ฟิวได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ผ่านช่วงมัธยมตอนปลาย สอบเข้ามหาวิทยาลัย เรียนรู้งานจากพ่อ ถึงมันจะดูวุ่นวายและหนักหนา แต่ฟิวก็ไม่ได้บ่น ก็ทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่เขาควรทำ

ช่วงเวลาที่เปลี่ยนผันนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างฟิวกับเวย์ก็เป็นไปในทางที่ดีขึ้น โดยมีข้าวตังที่คอยเป็นตัวกลาง และเวย์เองก็ได้เรียนรู้ที่จะทำอะไรให้ดีขึ้น คอยอยู่ข้างเพื่อน คอยช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ เวย์ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม ยังมีความรักและหวังดีให้กับฟิวเสมอ เพียงแต่ความรักนั้นมันเป็นเพียงความรู้สึกดี ๆ ในฐานะเพื่อนเท่านั้น เพราะหัวใจของเขามีคนจับจองเป็นเจ้าของแล้วโดยไม่แบ่งใคร

ทุกวัน ฟิวกับอาร์ตจะต้องโทรคุยถามไถ่ความเป็นอยู่กันเป็นประจำ แต่ก็ทำได้แค่โทรเท่านั้น ยังมีข้อตกลงที่ได้ให้กับพ่อเอาไว้อยู่ จนถึงตอนนี้อาร์ตยังไม่รู้ว่าที่ตนเองจากน้องมานั้นน้องรู้เรื่องแล้ว เพราะฟิวไม่ได้พูด และพ่อน้องก็ไม่ได้บอกอะไร ปล่อยให้มันดำเนินไปตามทางของมันอย่างนั้น

หลังจากกลับจากมหาวิทยาลัยมา ฟิวต้องส่งข้อความหาพี่ก่อนเสมอ เมื่อพี่ว่างพี่ก็จะเป็นฝ่ายโทรกลับมา พูดคุยกันเรื่องทั่วไป แต่จะไม่อ้อนพี่โดยเด็ดขาด ทั้งที่อยากอ้อน อยากให้กลับมาจะแย่

“ฟิวทำอะไรอยู่ เสียงดังจัง” อาร์ตเอ่ยถามเมื่อโทรหาน้องแล้วได้ยินเสียงดังรอบกาย

“ฟังเพลงอยู่ เนี่ยผมได้เพลงจากเพื่อนมา ฟังแล้วโดนมากเลย พี่อาร์ตลองฟังดูนะ”

ฟิวนำเสนอเพลงที่ว่าให้พี่ฟังทันที แต่พอฟังแล้วอาร์ตแทบอยากจะถอดปลั๊กเครื่องเล่นทิ้ง มันทำให้เขาอยากกลับไปหาน้องมากขึ้นไปอีกนะแบบนี้

ไม่ว่าเธอจะอยู่แสนไกล

ตรงไหนของโลกใบนี้

จะมีความรู้สึกดี ๆ ของฉันนั้นลอยไปหา

อาจจะมองไม่เห็นด้วยตา

แต่จะชัดเจนทุกเวลาข้างในหัวใจ...

ติดปีกให้ความคิดถึง…


“ฟิว… ฟิว”

“หือ?”

“ปิดเถอะ พี่จะตายแล้ว”

“พี่อาร์ต เป็นอะไร?” ฟิวถามน้ำเสียงุนงง

“เปล่า” บอกปัดไปแบบนั้นเพราะกลัวน้องจะหาว่าไร้สาระ ก็มันอินกับเนื้อเพลง

“พี่เหนื่อยเหรอครับ?” ฟิวถาม น้ำเสียงห่วงใย

“นิดหน่อย แค่ได้ยินเสียงฟิวก็ดีขึ้นมากแล้ว”

“สู้ ๆ นะ”

เสียงน้องให้กำลังใจมาตามสายทำให้อาร์ตพอยิ้มออก แม้มันจะไม่เต็มที่นัก แต่ก็มีแรงพอจะสู้ต่อไปในวันหน้า

“ครับ สู้ ๆ”

แค่ได้ยินเสียง มันก็ทำให้หายเหนื่อย นี่เป็นเรื่องจริงเลยสำหรับอาร์ต แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าได้อยู่ข้าง ๆ



การจากน้องมาเพื่อพิสูจน์ตัวเองของอาร์ตดำเนินไปโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดตรงไหน ตรงไหนคือความพอใจของคุณพ่อน้อง หรือเขาต้องทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ข้อกำหนดที่เพิ่มขึ้นมาคือ เจอกันไม่ได้ ในทีแรกอาร์ตก็ว่ามันดีแล้ว เพราะหากว่าได้เจอน้อง เขาคงจะไม่อยากกลับมาทำงานที่นี่อีกแน่ คงจะจากน้องมาอีกไม่ได้ แต่เมื่อนานวันเข้ากลับรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่ทำแบบนี้ ยิ่งไม่ได้เห็นหน้ายิ่งคิดถึง คิดถึงจนจะขาดใจแล้ว

ติดปีกให้ความคิดถึง

ไปหาคนที่ห่างไกล

ผูกโบให้ความห่วงใย

ส่งไปยังที่แห่งหนึ่ง

ยังมีถ้อยคำมากมายที่ใช้แทนความคิดถึง

แต่ก็คงไม่มีสักคำหนึ่ง…

จะเอ่ยแทนความลึกซึ้งข้างในหัวใจ**


อาร์ตถอนหายใจหนัก ๆ เมื่อได้ยินเพลงนี้ ก็ไม่รู้ว่าร้านอาหารพวกนี้จะเปิดอะไรหนักหนา คนยิ่งคิดถึงแฟนอยู่ ลงกับใครไม่ได้ก็โทษเพลงโทษร้านอาหารไปเรื่อย อาร์ตในตอนนี้คงใกล้จะบ้าเข้าไปทุกทีแล้ว ปัญหาในที่ทำงานก็มีมาไม่ได้เว้น แก้เรื่องนี้ก็มีเรื่องนั้นอีก นี่ก็ยังจะมีปัญหากับชาวบ้านร้านตลาดที่บ้านอยู่ใกล้ ๆ กับโรงแรม บอกว่าเสียผลประโยชน์ที่ควรได้ไปมากโข ทำไมเพิ่งมาเสียเอาตอนนี้ โรงแรมเราสร้างมาตั้งเป็นปี ๆ แล้วนี่นะ งานนี้มันยิบย่อยมาก แต่ก็ปล่อยผ่านไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นปัญหาลุกลามใหญ่โตจนแก้ได้ยาก และแน่นอนว่างานนี้อาร์ตก็ต้องลงพื้นที่เอง เหมือนไปหาเสียงเลือกตั้งอย่างไรอย่างนั้น

ทางชาวบ้านก็ได้ส่งตัวแทนมาเจรจา อาร์ตเองก็ต้องใจเย็น แม้จะหงุดหงิดไม่น้อยที่ทางนั้นเรียกร้องอะไรมากมาย ทั้งที่ทางโรงแรมไม่จำเป็นต้องให้อะไรกับใครเลยก็ได้ เพราะเราทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่เพราะอยากอยู่กันโดยสันติ และหาทางออกให้ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายจึงต้องมีการเจรจาเสนอทางออกที่ดีให้กับชาวบ้านร้านตลาดทั้งหลาย เขาว่าคุยกับชาวบ้านยังน่าจะเข้าใจอะไรง่ายกว่าเจ้าตัวแทนอะไรนี่อีก เฮ้อ เมื่อไรจะจบสิ้นกันเสียทีนะ

หลังจากเผชิญงานที่แสนเหนื่อยล้าทั้งกายใจมาทั้งวัน เมื่อกลับมาถึงห้องพัก อาร์ตแทบไม่อยากลุกขึ้นไปทำอะไรอีก มันหมดแรง มันอ่อนล้า อยากหาแรงใจจากคนที่รักก็อยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน จนบางครั้งก็เริ่มมีความคิดที่ว่าทำไปเพื่ออะไร ที่ต้องทนอยู่ตอนนี้เพื่อใครกัน เพื่อให้ได้อยู่กับคนที่รักอย่างนั้นหรือ แล้วไหนกันล่ะ คนที่เรารัก?

รอบกายช่างว่างเปล่า แค่ได้ยินเสียงมันไม่เพียงพอแล้วในตอนนี้

อยากเจอ…

อยากเจอ…

อยากเจอ!!

อาร์ตซุกหน้าลงกับหมอน ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแล้ว ถึงคิดไปก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นไปได้ อยากเจอแค่ไหนก็ทำไม่ได้

ติ๊ด ติ๊ด

เสียงข้อความเข้าดังจากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างกาย แต่อาร์ตก็ยังไม่ได้ใส่ใจมันในทันที เรียกได้ว่าไม่อยากใส่ใจอะไรเลยมากกว่า จนผ่านไปสักพัก อาร์ตถึงพลิกตัวกลับมานอนหงาย มือคว้าโทรศัพท์ที่นอนนิ่งอยู่ขึ้นมากดดูข้อความที่เข้ามาในเครื่องเมื่อครู่ ร่างสูงใหญ่ดีดผลุงขึ้นมาจากที่นอนราวติดสปริง มองหน้าจอนั้นด้วยหัวใจที่สั่นไหว เพียงแค่เห็นข้อความในโทรศัพท์ ใจที่อ่อนล้าเมื่อครู่ก็พลันเต้นรัวแรงขึ้นมาจนเจ็บแปลบไปทั้งอก

อาร์ตถลาออกจากห้อง วิ่งไปกดลิฟท์แต่ก็ดูท่าว่าจะช้าไม่ทันใจ ขายาว ๆ เลยเปลี่ยนทิศทางไปยังบันไดหนีไฟ แม้นี่จะไม่ใช่ชั้นหนึ่งหรือชั้นสอง แต่เป็นชั้นห้า เขาก็ยินดีจะวิ่งลงไป เพราะในตอนนี้ หัวใจของเขามันนำหน้าเขาไปไกลแล้ว มันลอยไปหาเจ้าของข้อความนั้น ข้อความสั้น ๆ แต่เล่นเอาสั่นไปทั้งหัวใจ

…คิดถึง…



ณ ท่าอากาศยานประจำจังหวัด

รถที่อาร์ตโดยสารมาหยุดลงหน้าทางเข้า ร่างสูงใหญ่ของอาร์ตรีบรุดลงจากรถแล้ววิ่งเข้าไปด้านใน ตรงไปยังเคาน์เตอร์สอบถามเรื่องซื้อตั๋วอย่างร้อนรน แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวังเมื่อเที่ยวบินเที่ยวล่าสุดเพิ่งออกไปไม่นานนี้ ต้องรอเที่ยวถัดไปอีกนานทีเดียว เมื่อได้คำตอบ อาร์ตแทบทรุด ที่เขาอุตส่าห์รีบรุดมานี่มันเพื่ออะไรกัน

อาร์ตเดินโผเผมาที่เก้าอี้นั่งในสนามบิน สภาพของเขาในตอนนี้มันดูไม่ได้เอาเสียเลย เสื้อเชิ้ตที่ชายหลุดลุ่ย เนคไทที่ถูกรั้งลงมาจนแทบหลุด ไหนจะผมเผ้ายุ่งเหยิงนี่อีก แต่มันก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขาเท่ากับความรู้สึกย่ำแย่ที่เกิดขึ้นมาในตอนนี้แม้แต่น้อย

เขากำลังทำอะไรอยู่ มันงี่เง่ามากเลยใช่ไหม ถ้าเกิดมีตั๋วเครื่องบินให้เขาจริง เขาจะบินไปหาน้องหรือ อาร์ตเสยผมยุ่ง ๆ ทั้งหงุดหงิด ทั้งทดท้อใจ ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ถูกแล้วจริง ๆ คำแค่คำเดียวที่เขาได้รับมา มันเป็นเพียงแค่ตัวหนังสือก็จริง แต่เมื่อนึกไปถึงว่าตอนที่น้องพิมพ์ข้อความนี้น้องกำลังรู้สึกอย่างไร จะว้าวุ่นทรมานใจจนแทบทนไม่ไหวเหมือนเขาไหม เพียงเท่านั้นก็อยากลืมสิ้นข้อตกลงทุกสิ่งอย่าง

อยากไปหาน้อง อยากกอด อยากบอกให้รู้ว่า...

“พี่ก็คิดถึงฟิว คิดถึงมาก...”






**เพลง : ติดปีกความคิดถึง ศิลปิน : เวสป้า อาร์สยาม

ดูจากเพลงก็รู้ว่านานมากแล้วจริง ๆ :D

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ -END- // 10.Sep.2018
« ตอบ #19 เมื่อ: 10-09-2018 10:05:00 »





ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ -END- // 10.Sep.2018
«ตอบ #20 เมื่อ10-09-2018 10:15:49 »


9


กันและกัน



“ฟิวววว รอด้วยดิ”

เสียงของข้าวตังดังยาวมาก่อนตัว ร้องเรียกฟิวที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามทางเดินของมหาวิทยาลัย ฟิวหยุดเท้าที่ก้าวเดินแล้วรอเพื่อน เวลาที่ผ่านเลยมา เพื่อนซี้คนนี้ก็ยังคงอยู่ข้างฟิวเสมอมา

“ข้าว อย่าวิ่ง!” มือของอีกคนที่อยู่ใกล้คว้าแขนข้าวตังไว้ทันท่วงที ก่อนที่เจ้าหนุ่มหน้าหวานจะทันออกวิ่งไปหาเพื่อนอีกคน

“มึงนี่ทำเหมือนกูเป็นเด็กตลอด เดี๋ยวเหอะ!” ข้าวตังหันไปต่อว่าหนุ่มสกินเฮดที่ตอนนี้ไม่ได้ไว้ทรงนั้นแล้วเพราะแฟนไม่ชอบ แต่ก็ยังแอบไถข้างอยู่ดี

ข้าวตังยกไม้ยกมือทำเป็นไม่พอใจ เวย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรกับท่าทางนั้น เลื่อนมือที่จับแขนข้าวตังลงมาจับมือแล้วรั้งให้เดินไปด้วยกัน อีกคนก็ไม่ได้ขัดขืน ยอมเดินตามแต่โดยดี ทั้งสองคนเดินมาสมทบกับฟิวที่ยังรออยู่จุดเดิม ก่อนออกก้าวเดินไปด้วยกัน

“พี่เขาโทรมาบ้างปะ ฟิว?” ข้าวตังเอ่ยถาม

“ก็เพิ่งได้คุยกันไปเมื่อคืน”

ฟิวตอบคำถามเพื่อนแล้วนิ่งไป นี่มันนานแค่ไหนแล้วนะที่เขากับพี่ไม่ได้เจอกัน มีเพียงส่งเสียงตามสายมาให้ได้ยิน และของขวัญในวันสำคัญที่ส่งมาให้ไม่ได้ขาด เห็นแค่สิ่งของ แต่ไม่ได้เห็นหน้า พี่จะยังจำกันได้หรือเปล่า ยังจำได้ไหมว่าคนคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร

“พี่เขาจะมางานรับปริญญามึงปะ?”

ข้าวตังยังถามเพื่อนต่อเพราะอยากรู้ ตัวข้าวตังที่เฝ้ามองมานานเนิ่นจนมีความรู้สึกร่วมในทุกสถานการณ์ตามฟิวไปด้วยแล้วในเวลานี้ หากเป็นไปได้เขาก็อยากให้เพื่อนกับคนรักของเพื่อนได้กลับมาพบเจอ ได้อยู่ข้างกันเสียที การรอคอยที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเช่นนี้มันทรมานเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดก็ว่าได้

“ยุ่งจังเลยเราน่ะ” เวย์โยกศีรษะทุยไปมาอย่างมันเขี้ยว ไม่ว่าผ่านไปกี่ปี ข้าวตังก็ยังคงเป็นแบบนี้ เด็กจริง ๆ

“ถามว่าเกี่ยวกับมึงไหม เวย์?” เจ้าหนุ่มหน้าหวานลอยหน้าลอยตาว่า

“พูดไม่เพราะ”

เวย์ว่าก่อนบีบจมูกเชิด ๆ นั่นไปที เจ้าตัวเขาก็เลยซัดหมัดใส่หน้าท้องแกร่งโดยไม่กลัวว่าคนโดนชกจะจุก เวย์จึงคว้าตัวบาง ๆ นั้นล็อคไว้ เจ้าตัวดีก็ทำได้แค่ดิ้นไปดิ้นมาเท่านั้น

“เฮ้ย! หวานกันเกรงใจกูบ้าง ยิ่งเปลี่ยวอยู่” ฟิวเอ่ยแซวคนที่มาทำน้ำตาลหกตรงหน้า ก็ไม่อะไร แค่แอบอิจฉาเล็ก ๆ แค่เล็กน้อย

“ตกลงว่าไงวะ?” ข้าวตังที่หลุดจากมือมารมาได้ หันมาเอาคำตอบจากเพื่อนอีกหน

“ไม่รู้ดิ ถ้าเคลียร์งานได้คงมามั้ง” ฟิวบอกเสียงหงอย หงอยทั้งน้ำเสียงทั้งสีหน้า

ข้าวตังหันไปมองหน้าเวย์ที่ซึ่งยักไหล่ให้อย่างไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี หนุ่มหน้าหวานจึงเอื้อมมือผลักศีรษะเพื่อนไปที

“อารมณ์หญิงว่ะ” พูดทั้งยังเบ้ปากให้ด้วย

ฟิวผลักคืนบ้าง พร้อมโวยเล็ก ๆ ว่าตนเองโตแล้ว จะเรียนจบในไม่กี่วันนี้เอง เพื่อนยังมาตบหัวเหมือนยังเป็นเด็กกันอยู่ได้ ข้าวตังเลยส่งเวย์ไปเป็นทัพหน้า ฟิวจึงหลุดหัวเราะออกมาที่ไอ้หน้าหวานใช้อีกคนมาเป็นกันชนเพื่อเอาตัวรอด ตลอดสิน่า

ฟิวปรับอารมณ์ตนเองให้ดีขึ้น ไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง เพราะเขาเป็นคนยอมรับเงื่อนไขนี้เอง พี่เองก็ทำเต็มที่แล้วที่จะให้เราได้อยู่ด้วยกัน ฟิวก็ไม่ควรจะมาน้อยใจอะไรไม่เข้าเรื่องแบบนี้ แต่ในวันที่สำคัญวันหนึ่งในชีวิต นอกจากคนในครอบครัวแล้ว หนึ่งคนสำคัญที่ฟิวอยากให้ร่วมยินดีเมื่อเขามีความสุขก็คือ พี่อาร์ต

‘พี่แค่คนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าเมื่อไรผมก็ยังรอพี่อยู่นะ รีบกลับมาหาผมเถอะ’


……


ในที่สุดวันที่ฟิวรอคอยก็มาถึง คนที่ตื่นเต้นที่สุดคือคุณย่าของฟิวที่นอนแทบไม่หลับ ตื่นขึ้นมาเตรียมตัวให้หลานสำหรับวันสำคัญในวันนี้ วันรับปริญญาบัตรของฟิว

“เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วใช่ไหมลูก ไม่ลืมอะไรนะ ฟิว?”

“ไม่ลืมหรอกครับ ย่า ก็ย่าจัดการให้ฟิวหมดทุกอย่างแล้วนี่นา”

ฟิวบอกอ้อน ๆ เข้าไปกอดเอวย่า คุณย่าก็ลูบผมหลานรักเบา ๆ เอ็นดูในความขี้อ้อนนี้ ตอนนี้อายุท่านก็มากขึ้น ไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวกเหมือนดังเช่นแต่ก่อน ในวันสำคัญของหลานรักท่านก็ได้แค่เฝ้ารออยู่ที่บ้าน รอดูความสำเร็จของลูกหลาน

ฟิวในตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีหน้าที่รับผิดชอบ และเขาก็ทำมันได้ดีจนคนเป็นย่าหมดห่วงหมดกังวลกับอนาคตข้างหน้าของหลานรัก ลูกหลานขึ้นฝั่งกันทุกคนท่านก็ยินดี ยิ่งเป็นฟิวด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าความยินดีนั้นมันจะเปี่ยมล้นเพียงใด

“เสร็จรึยัง ไอ้เสือ ลุงน้อมรออยู่แล้วนะ” คุณพ่อที่ก็ตื่นเต้นไม่แพ้คุณย่าแต่เก็บสีหน้าได้ดีกว่า เดินเข้ามาหาฟิวกับย่าที่ยังกอดกันกลมอยู่

“ครับ เสร็จแล้ว” ฟิวตอบรับคำพ่อ ก่อนหันมาไหว้ย่าเพื่อจะไปเตรียมความพร้อมที่มหาวิทยาลัย ก่อนรับปริญญาในช่วงสายของวันนี้

“ย่าครับ ฟิวไปแล้วนะ เดี๋ยวฟิวจะเอาใบปริญญามาฝากย่านะครับ ย่ารอฟิวอยู่ที่บ้านนะ”

“จ้ะ ไปเถอะลูกเดี๋ยวสายมันจะไม่ดี” ย่ารับไหว้ ลูบหัวฟิวแล้วยิ้มบาง

“ครับ”

ฟิวยิ้มตอบย่าก่อนจะผละมา แต่คุณย่ากลับเรียกเขาไว้

“ฟิว”

ฟิวหันกลับมาหาย่า ท่านเดินเข้ามากอดเอาไว้แล้วเอ่ยบอกทั้งน้ำตาคลอ

“ย่าภูมิใจในตัวฟิวมากนะ”

“ขอบคุณครับ ย่า ขอบคุณในทุก ๆ อย่างที่ย่าทำให้ฟิว ฟิวรักย่านะครับ”

ฟิวดันตัวย่าออกเบา ๆ ก้มลงกราบบนอก ท่านทำทุกอย่างเพื่อเขามาตลอด ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าเขาจะผิดหรือถูก คนที่คอยอยู่เคียงข้างเขาตลอดมาก็คือย่า คือผู้หญิงคนนี้ คนที่สำคัญที่สุดในชีวิต

มือเรียวเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้ รอยยิ้มแห่งความปลื้มปีติจากย่าส่งมาถึงหัวใจของเขา การก้าวเดินไปข้างหน้าแม้มันจะมีอุปสรรคมากมายรออยู่ แต่เขาก็ยังมีหลักที่แข็งแกร่ง มีครอบครัวที่รักและเป็นกำลังใจที่ดีให้เขาเสมอ

ฟิวเดินไปหาพ่อ ก่อนจะสวมกอดพ่อ ท่านชะงักกับการกระทำนั้นเล็กน้อย ต่อเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของลูก รอยยิ้มตื้นตันจึงปรากฏที่ริมฝีปาก

“ฟิวรักพ่อครับ”

ท่านตบหลังตบไหล่ลูกชายที่ทำท่าว่าจะขี้แยขึ้นมา

“ไปเถอะ ไปทำหน้าที่ของลูกให้ลุล่วง เดี๋ยวพ่อตามไป”

ฟิวผละจากอ้อมกอดพ่อแล้วหัวเราะ เมื่อครู่เขาเกือบร้องไห้แล้วจริง ๆ ยกมือไหว้พ่อกับย่าและอาอรอีกครั้ง ก่อนก้าวเดินไปขึ้นรถที่จอดรอเขาอยู่ รถคันหรูเคลื่อนออกไปจากบ้านพร้อมความรู้สึกยินดีของทุกคน



พิธีการต่าง ๆ ในช่วงเช้าผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ตอนนี้ฟิวกับเพื่อนก็ได้กลายเป็นบัณฑิตเต็มภาคภูมิแล้ว ในงานรับปริญญาของฟิวในครั้งนี้มีทั้งพ่อและแม่ครบ แม่ของเขาบินตรงมาจากทางเหนือเพื่อมางานนี้ วันสำคัญของลูกชาย

ครอบครัวใหม่แม่และครอบครัวใหม่ของพ่อ ตอนนี้ฟิวไม่ได้แบ่งแยกมันอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าครอบครัวของแม่หรือพ่อ ทั้งสองครอบครัวก็ถือเป็นครอบครัวของเขาด้วยกันทั้งคู่ เขามีน้องสาวและน้องชายฝาแฝดที่เกิดจากแม่เดียวกัน และเด็กทั้งสองคนก็น่ารัก ฟิวไม่ได้อิจฉาน้อง เพราะตอนนี้เขารู้และเข้าใจดีแล้วว่าทุกคนรักเขา เขาไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหาอะไรมาเติมเต็มชีวิตอีก เมื่อรอบกายเขามีแต่คนที่มีความรู้สึกดี ๆ ให้เขาเต็มไปหมด

“ฟิว”

เสียงเรียกที่ดังขึ้นทางด้านหลังทำให้ฟิวหันกลับไปมอง ผู้ชายตัวสูงใหญ่พร้อมช่อดอกไม้ในมือ อิ๊ก พี่ชายต่างสายเลือดของเขา

“ยินดีด้วยนะ… น้องชาย”

อิ๊กยื่นช่อดอกไม้นั้นให้ฟิว ฟิวรับมันมาอย่างยินดี ก่อนเอ่ยขอบคุณคนให้ทั้งรอยยิ้ม

“ขอบคุณ”

อิ๊กเปิดยิ้มเมื่อน้องรับช่อดอกไม้จากเขาไปถือไว้ และยิ่งยิ้มกว้างกว่าที่เป็นอยู่ เมื่อฟิวเอ่ยคำพูดต่อมา

“พี่ชาย”

ความสัมพันธ์ระหว่างฟิวกับอิ๊กเริ่มดีขึ้น เมื่อทุกคนโตเป็นผู้ใหญ่ เริ่มมีความรับผิดชอบมากมายเข้ามาในชีวิต เข้าใจในความเป็นไปของโลก ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างไปด้วยกัน มันก็ไม่ได้เลวร้ายนัก ตอนนี้ทั้งคู่คงเป็นพี่น้องกันอย่างสนิทใจมากกว่าแต่ก่อนมากมาย

ในเวลานี้ที่ทุกอย่างดีแสนดี แต่ก็ยังไม่ทั้งหมด คนที่เขาเฝ้ารอทำไมถึงยังไม่ปรากฏตัวอีก แม้ฟิวจะเฝ้ารออยู่นาน แต่พี่ก็ไม่มา งานมันสำคัญมากหรือไง แค่เจียดเวลาเพียงน้อยนิดมาให้เขาบ้างก็ไม่ได้เลยใช่ไหม ที่บอกว่าทำเพื่อเรา ที่จริงพี่ก็แค่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้นสินะ

“เฮ้ย ฟิว ทำหน้าดี ๆ หน่อย วันสำคัญนะเว้ย!”

หนุ่มหน้าหวานในชุดเรียบร้อย พาดชุดครุยไว้ที่แขนเดินเข้ามาหาเพื่อนที่ทำหน้าบึ้งเมื่อหาคนไม่เจอ

“โทษที กูไม่เป็นไรหรอก”

ข้าวตังตบไหล่เพื่อน ก่อนกอดคอพาไปถ่ายรูปกันต่อ เผื่อจะทำให้เพื่อนคลายเศร้าไปได้บ้าง

เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยฟิวจึงตรงกลับบ้านมาหาย่า คนที่รอเขา และเห็นว่าเขาสำคัญเสมอ กอดใบปริญญาที่เป็นก้าวแรกแห่งความสำเร็จและความภาคภูมิใจไว้ในอ้อมแขน ฟิวทุ่มเททุกอย่างเพื่อการยอมรับจากพ่อ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน และเรื่องความรักที่เขายังมั่นคงอยู่กับคนคนเดียวคนนั้นเสมอ แต่ไม่รู้ว่าคนที่เขาให้ใจจะเป็นเช่นเดียวกับเขาไหม ฟิวก็ยังคงคาดหวัง หวังว่าที่พี่ยังไม่มาเพราะพี่ต้องการจะทำให้เขาแปลกใจเล่น

‘มันเป็นแบบนั้นใช่ไหม แค่แกล้งกันเล่น เดี๋ยวผมกลับบ้านไป พี่ก็จะอยู่ที่นั่นใช่ไหม ผมรู้ทันหรอกน่า’

ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ฟิวคิดจะใช่ หรือแค่ปลอบใจตนเองเท่านั้น

ฟิวกลับมาถึงบ้านก็มุ่งตรงไปยังบ้านของคุณย่าในทันที เพียงแค่โผล่หน้าเข้าไปก็เห็นคุณย่ายืนรออยู่แล้ว ฟิวเดินเข้าไปกอดท่าน ก่อนจะพาท่านไปนั่งที่เก้าอี้ ส่วนตนเองนั่งลงที่พื้น ยื่นใบประกาศนียบัตรนั้นให้ย่าได้ชื่นชม ก้มลงกราบที่เท้าย่าอย่างขอบคุณเป็นที่สุดกับความสำเร็จนี้ เพราะมีย่าถึงมีฟิว

คุณย่าปลื้มใจจนน้ำตาไหลริน เพราะได้เห็นความสำเร็จอีกขั้นของหลานชาย ฟิวให้เด็กในบ้านเตรียมกล้องมาถ่ายรูปเขากับย่า ทั้งยังเรียกให้แม่บ้านเก่าแก่ที่แอบยืนปาดน้ำตาอยู่ใกล้ ๆ มาถ่ายรูปด้วย บรรยากาศกลับมาชื่นมื่นมีความสุขอีกครั้ง

ตกค่ำ ฟิวก็ยังคงขลุกอยู่ที่บ้านย่า เขาไม่ได้ไปเลี้ยงฉลองอะไรที่ไหน เพราะแค่ฉลองกันในบ้านก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้ก็รอพ่อเขากลับมาร่วมด้วย ท่านแยกไปตั้งแต่ออกจากมหาวิทยาลัยแล้ว ไปไหนฟิวก็ไม่ได้ถาม จนถึงตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมานาน แต่ยังไม่มีโทรศัพท์จากคนที่เฝ้ารอสักสาย ทางนี้ก็ไม่คิดจะโทรไป ทั้งที่บอกไปแล้วว่าวันนี้เป็นวันสำคัญอะไร ถ้าคนนั้นไม่อยากใส่ใจ ฟิวก็ไม่อยากเซ้าซี้ แต่ถ้ายังให้รอนานกว่านี้ ฟิวก็เริ่มจะโกรธแล้วเหมือนกัน ทำเหมือนว่าไม่มีความสำคัญเลยแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน

ฟิวลงมาที่สนามหญ้าที่ถูกใช้เป็นที่จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ เด็กรับใช้ในบ้านก็จัดการตั้งโต๊ะอะไรแล้วเรียบร้อย เมื่อไม่มีอะไรทำ ฟิวจึงเดินเตร่อยู่แถวนั้น สักพักอิ๊กที่เพิ่งกลับมาจากบริษัทก็เข้ามาคุยเป็นเพื่อน จนเริ่มมืด ไฟในบ้านก็เริ่มเปิดขึ้นมาเพื่อให้ความสว่าง ฟิวจึงเดินไปบ้านย่า ส่วนอิ๊กก็ขอตัวไปอาบน้ำเตรียมตัวลงมาร่วมฉลองด้วย

ฟิวพยุงย่าออกมาหาที่นั่งให้ แต่ก่อนที่ฟิวจะได้นั่งลงข้างท่าน รถของคุณพ่อเขาก็เคลื่อนเข้ามาจอดไม่ไกลกันนั้น คุณพ่อเปิดประตูลงมา ตามด้วยคุณอาอร และใครอีกคน…

พี่อาร์ต

ขาเรียวก้าวเร็วดังใจคิด ก่อนโถมกายเข้ากอดพี่ทั้งตัว แนบแน่นโดยไม่กลัวว่าพี่จะหายใจไม่ออก อาร์ตเองก็กอดน้องแน่นไม่แพ้กัน ความรู้สึกมันเต็มตื้นไปทั้งใจเมื่อได้เห็นหน้า

“คิดถึง”

เสียงทุ้มหวานของน้องเอ่ยบอก มันสั่นเครือจนอาร์ตรู้สึก

“พี่ก็คิดถึงฟิว อยากกลับมาหาทุกวัน” อาร์ตกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น ยืนยันในคำพูดของตนเองว่าคิดถึงน้องมากเพียงใด

“คิดถึงมาก ๆ”

“ครับ”

“พี่อย่าปล่อยผมไว้คนเดียว”

หยาดน้ำตาอุ่นชื้นที่หัวไหล่ทำให้ขอบตาคนเป็นพี่ร้อนผ่าว เสียงที่ตอบกลับไปจึงไม่มั่นคงนัก แต่ยังหนักแน่นในทุกคำที่บอก

“ไม่มีอีกแล้วครับ เราจะไม่ห่างกันอีกแล้วนะ พี่จะกอดฟิวไว้ กอดไว้แบบนี้…”

กระชับอ้อมกอดมากขึ้น กดจูบข้างขมับน้องเน้นย้ำให้มั่นใจ ทุกสิ่งที่ทุมเททำมามันไม่ได้สูญเปล่า ต่อแต่นี้ไป จะไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาและน้องต้องห่างไกลกันได้อีก การอยู่ห่างกันแบบนี้มันทรมานเกินทนแล้ว ไม่เอาอีกแล้วแบบนี้

“จะไม่ปล่อยมือไปไหนอีกแล้ว”

แขนเรียวกอดตอบ ก่อนคำพูดที่ถูกกักเก็บมาเนิ่นนานจะถูกเอ่ยบอก

“ผมรักพี่ครับ”


……


หลังจากฟิวและอาร์ตได้ผ่านบททดสอบที่แสนทรหดจากคุณพ่อ จนทั้งคู่ได้กลับมาอยู่ด้วยกันดังใจหมายไปแล้วนั้น คุณย่าก็พาทั้งคู่ไปทำบุญสะเดาะเคราะห์เข็ญ ถือว่าได้ร่วมฟันฝ่าเรื่องต่าง ๆ มาด้วยกันยาวนานแล้ว ให้ชีวิตในภายภาคหน้าอย่าได้มีอุปสรรคใดมากีดขวางหนทางเดินได้อีก

อาร์ตกับฟิวต่างขอบคุณในความเมตตาที่คุณย่าท่านมีให้มาเสมอ และยังรวมไปถึงคุณพ่อและคุณแม่ของฟิวเองด้วย แม้จะดูคล้ายว่าคุณพ่อท่านใจร้ายที่พรากทั้งคู่จากกันยาวนานถึงเพียงนั้น แต่หากไม่มีท่าน ความรักของฟิวก็คงจะไม่มั่นคงจนในวันนี้ บททดสอบที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ถือเป็นอีกเครื่องชี้วัดความจริงใจอย่างหนึ่งเท่านั้น

‘แบบนี้มันน่าเอาคืนเสียให้เข็ด!’

คำพูดคุณนายแม่ของอาร์ตเอ่ยอย่างหมายมาด เมื่อรู้ว่าลูกชายจะพาคนรักมาไหว้พ่อแม่ ก็เพราะเรื่องราวที่ได้รับรู้จากปากลูก ทำให้ท่านเกิดมีอคติกับเด็กฟิวนั่นไปเสียแล้ว

เมื่อฟิวมาถึงจึงได้รับการต้อนรับอย่างชาวไร่ชาวสวนเต็มรูปแบบ พ่ออาร์ตเป็นคนสอนงานให้ฟิวลุยไร่ด้วยตนเอง ฟิวที่อยากจะลองทำอะไรแปลกใหม่อยู่แล้วจึงไม่เกี่ยงกับงานนี้แม้แต่น้อย ต่อให้ร้อนจนเหงื่อไหลไคลย้อยหรือเหนื่อยแค่ไหน ฟิวกลับรู้สึกว่ามันท้าทายความสามารถของตนเอง จนคุณนายแม่ของอาร์ตเองที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหว แค่เพียงเห็นน้องตัวแดงแก้มแดงเพราะโดนแดด คุณนายแม่ก็รีบให้เข้ามาอยู่ในร่มในทันที และไม่ให้ออกแดดอีกเลย ดูแลประคบประหงมกันจนเกินหน้าเกินตาลูกแท้ ๆ อย่างอาร์ตเสียอีก

“น้องฟิวลองชิมดูนะลูก อร่อยมาก แม่รับประกัน”

คุณนายแม่นำเสนออาหารฝีมือตนเองให้ลูกชายคนใหม่ได้ลิ้มลอง ในอาหารมื้อค่ำที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าเช่นนี้ แก้มฟิวยังแดงจากแดดเมื่อกลางวันจนอาร์ตยังอดกังวลใจไม่ได้ที่พาน้องมาลำบาก แต่เห็นว่าแม่ของตนกับน้องเข้ากันได้ดีก็คลายใจในระดับหนึ่ง

“ขอบคุณครับ”

ฟิวบอกขอบคุณท่าน ก่อนลงมือชิมอาหารตรงหน้า สีหน้าคุณนายแม่ลุ้นกับอากัปกิริยาของ ‘น้องฟิว’ เหลือเกิน จนอาร์ตต้องแอบขำ

“อร่อยอย่างที่คุณแม่บอกเลยครับ มื้อนี้ท่าทางผมคงพุงกางแน่ มีแต่ของอร่อย ๆ ทั้งนั้นเลย”

ฟิวหยอดยาหอมคนทำ เล่นเอาคุณนายแม่ถึงกับปลื้มคารมหนุ่มเมืองกรุง

“ปากหวานจริงพ่อคนนี้ เอ้า กิน ๆ ดูซิว่าคำหวานของหนุ่มเมืองกรุงจะเป็นจริงดังปากว่าหรือเปล่า”

ว่าแล้วก็ตักอาหารใส่จานให้ได้ลองอีก ฟิวจึงเอาใจด้วยการตักแกงที่อยู่ใกล้มือตนเองใส่จานคุณนายแม่บ้าง จนกลายเป็นมหกรรมเอาใจกันเองของสองแม่ลูกคู่ใหม่ไปแล้ว

“คุณแม่ก็ทานเยอะ ๆ นะครับ”

“ขอบใจจ้ะ”

ฟิวยิ้มรับคำขอบใจนั้น ก่อนหันมาหาพี่ ตักกับข้าวใส่จานให้พี่ตามความเคยชิน อาร์ตยิ้มให้ความใส่ใจนั้น น้องก็ยิ้มตอบกลับมา ทำให้ทั้งโต๊ะชะงักไปนิด ก่อนเปิดยิ้มเอ็นดูน้องฟิวที่รักของอาร์ตที่ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา พอเห็นว่าทุกคนมองมาที่ตนเองอยู่ จึงส่งรอยยิ้มซื่อกลับไปให้ เพียงเท่านี้ก็พอแล้วสำหรับคนที่เฝ้าดู

หลังจากมื้อค่ำผ่านพ้นไป สองพ่อลูกจึงออกมาคุยกันที่นอกชานบ้าน ปล่อยให้คุณนายแม่ดูแลน้องฟิวไป ท่าทางจะถูกใจท่านมิใช่เบาเลยกับหนุ่มเมืองกรุงคนนี้

“เฮ้อ สุดท้ายแกก็มีเมียเป็นผู้ชายจนได้นะ อาร์ต” คุณพ่ออาร์ตที่เฝ้ามองมาตั้งแต่ลูกพาคนรักเข้าบ้าน เพิ่งจะได้พูดคุยกันจริงจังก็ตอนนี้

“ผมขอโทษนะ พ่อ ที่ทำให้พ่อผิดหวัง”

อาร์ตไหว้ขอโทษคนเป็นพ่อ เห็นท่านไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของเขากับน้องก็ใช่ว่าท่านไม่คิด เรื่องของลูกทุกเรื่องมีความสำคัญต่อพ่อแม่เสมอ

“เอาเถอะ ถ้าแฟนแกเป็นคนดีก็ดีแล้ว ได้เขามาแล้วก็ดูแลเขาให้ดี เจ้าหนุ่มนั่นก็ดูจะรักแกมากถึงได้ยอมแกขนาดนี้ อย่าเห็นว่าได้เขามาง่าย ๆ แล้วจะทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่ได้นะ”

คุณพ่อเอ่ยสอนแกมเย้า อาร์ตอมยิ้มเมื่อนึกถึงน้อง

“ไม่มีอยู่แล้ว พ่อ แล้วที่ได้มาก็ใช่ว่าจะง่าย ๆ ซะเมื่อไรกัน”

“หึ ๆ พ่อชักอยากเจอพ่อแฟนแกซะแล้ว เด็ดขาดไม่เบา”

ได้ยินพ่อพูดแบบนั้น อาร์ตถึงกับยิ้มแหย มันจะดีเรอะ!?

“เหอะ ๆ มันจะกลายเป็นแหล่งชุมนุมเสือไปน่ะสิ พ่อ ไม่ไหวมั้งแบบนี้”

“แกก็ว่าไปนั่น”

อาร์ตกับพ่อหัวเราะขำ ช่วงเวลาเรียบเรื่อยสบาย ๆ ที่พ่อลูกจะได้พูดคุยเปิดอกกันเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะมีมาง่าย ๆ พ่ออาร์ตเป็นคนนิ่งเงียบ รับฟังที่คนอื่นพูด แสดงความคิดเห็นบ้างบางเวลา แต่ไม่ใช่แนวที่จะมึงมาพาโวย ทุกสิ่งมีเหตุก็ต้องมีผล คือแนวคิดที่ท่านยึดถือมาตลอด เมื่อเจอปัญหาหรือเรื่องที่ต้องตัดสินใจจึงไม่เคยมีใครค้านความคิดของท่าน เพราะนั่นคือสิ่งที่ท่านไตร่ตรองแล้ว

“อาร์ตเอ้ย ลูกใคร ใครก็รักนะ ดูแลเขาให้ดี ให้สมกับที่พ่อแม่เขาไว้เนื้อเชื่อใจแก ยอมยกลูกชายเพียงคนเดียวให้แกมาดูแลต่อ ความไว้ใจนั้นแกก็อย่าทำลายมันเสีย แกเป็นผู้ใหญ่กว่าก็คอยบอกคอยสอนน้องมัน สิ่งดี ๆ ก็นำพาใส่ตัว อะไรที่ไม่ดีก็อย่าพากันไปข้องแวะ อย่าให้ใครเขาครหาเอาได้ว่าลูกชายบ้านนี้มันไม่มีน้ำยา ทำให้คนเขาได้เห็นว่าเราเป็นคนดี เป็นคนมีความสามารถ ลบคำสบประมาทของพวกไม่หวังดีให้หมดสิ้น”

“……….”

“ดูแลครอบครัวของแกให้ดี”

ท่านตบบ่าลูกชายอย่างให้กำลังใจ หนทางข้างหน้าใช่ว่าจะเรียบลื่นไม่มีขวากหนาม แต่ขอให้ทั้งคู่มั่นคงต่อกันไว้เถอะ ไม่ว่าอุปสรรคใดก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

“ขอบคุณครับ พ่อ”

อาร์ตกราบขอบคุณที่อกพ่อ ซาบซึ้งในทุกคำที่ท่านสอนสั่ง และจะทำมันให้ดี จะดูแลหัวใจเพียงดวงเดียวของตนเองให้ดีที่สุด


……
ต่อด้านล่างค่ะ  :L1:

ออฟไลน์ wanmai

  • ★รักใสปิ๊ง★(>_<)
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 936
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1195/-5
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ -END- // 10.Sep.2018
«ตอบ #21 เมื่อ10-09-2018 10:19:46 »


ในตอนเช้า คุณนายแม่ก็ปลุกอาร์ตกับฟิวมาทำบุญใส่บาตรด้วยกัน ก่อนที่ท่านจะผูกข้อไม้ข้อมือรับขวัญทั้งสองคน หลังจากนั้นอาร์ตก็พาน้องไปบ้านญาติผู้ใหญ่ ให้ท่านได้ผูกแขนให้ตนกับน้องด้วย ดูท่าน้องจะชอบใจใหญ่ เห็นลูบด้ายที่ข้อมือแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว มีเอามาอวดด้วยว่าของตนเองมีหลายเส้นกว่าของพี่

พอพาน้องตระเวนไหว้ปู่ย่าตายายเป็นที่เรียบร้อย อาร์ตจึงพาน้องไปเที่ยวชมตลาดของคุณนายแม่ หาซื้อของใช้ของกินกันแถวนั้น ขากลับเลยได้ข้าวของพะรุงพะรังกลับมา โดยที่น้องถือแค่ไอติมมะพร้าวของตัวเองเพียงอย่างเดียว

แม่ค้าในตลาดก็แอบมองแล้วซุบซิบกันเองบ้าง ก็แทบทุกคนในที่นี้ต่างก็รู้ว่าอาร์ตชอบผู้ชายด้วยกัน แล้วเห็นมาเดินกับเด็กหนุ่มแปลกหน้าเช่นนี้แล้วจะไม่ให้คิดอย่างไรไหว เสียงซุบซิบจึงมีมาให้ได้ยินไม่ขาด ดูเหมือนฟิวก็จะรู้ แต่ก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ เดินส่งยิ้มหวานให้ชาวบ้านเขาไปทั่ว จนได้ของกินฟรีมามากมาย

“อาร์ต นั่นใช่อาร์ตหรือเปล่า?”

เสียงทักดังมาจากด้านหลัง ทำให้ทั้งอาร์ตและฟิวหันกลับไปมอง สาวสวย ตาคม หุ่นอวบอึ๋ม เดินเข้ามาหาอาร์ต ทำให้ฟิวก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว

“กลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อไร วิไม่เห็นได้ข่าว” สาววิถามไถ่อย่างคนสนิทชิดเชื้อ

อาร์ตยิ้มให้เพื่อนเก่าแก่ หรือจะเรียกว่าคนรักเก่าดี เพราะช่วงเวลาหนึ่งทั้งคู่ก็เคยคบหาดูใจกันอยู่ แต่เพราะยังเด็กด้วยกันทั้งคู่ สุดท้ายจึงต่างเลิกราแล้วกลับมาสานสัมพันธ์ฉันเพื่อนกันเรื่อยมาจนปัจจุบัน

“เพิ่งมาถึงเมื่อวานนี่เอง แล้วนี่วิเป็นไงบ้าง ไม่เจอกันซะนาน สบายดีไหม?”

“ก็เรื่อย ๆ แหละ นี่วิก็เปิดร้านเสริมสวยอะไรไปตามเรื่อง ก็พออยู่ได้”

สองหนุ่มสาวพูดคุยกันอย่างออกรส ฟิวจึงถอยออกมานั่งรอที่ร้านค้าใกล้ ๆ ซึ่งป้าคนขายก็ยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง สอบถามราวเป็นลูกเป็นหลานตนเอง ฟิวก็ได้แต่ยิ้ม ตอบคำถามบ้างตามสมควร แต่สายตาก็ไม่ได้ละไปจากหนุ่มผิวเข้มที่กำลังสนทนากับสาวตรงหน้า

“อาร์ต ๆ หนุ่มน้อยคนนั้นใครกันน่ะ หน้าตาน่าเอ็นดูเชียว เธอก็รู้ว่าฉันรักเด็ก อยากเลี้ยงดูจริง ๆ เลยอ้า”

สาววิออกอาการเพ้อ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นจ้องเขม็งมายังตนกับเพื่อนอยู่นานแล้ว หน้าตาดี ดูมีอันจะกินขนาดนี้ แถมยังเดินไปไหนมาไหนกับอดีตคนรักของเธอเสียอีก ท่าทางจะเป็นคนพิเศษ พอเธอพูดอะไรนิดหน่อยเพื่อนสนิทชิดใกล้ก็ออกอาการคิ้วกระตุกเสียแล้ว งานนี้ท่าจะจริงดังเสียงเล่าลือว่าลูกชายเจ้าของตลาดพาแฟนมาเที่ยวบ้าน เพราะได้ยินมาแบบนั้น สาววิถึงได้ถ่อมาให้เห็นกับตาถึงที่นี่อย่างไรล่ะ อย่านึกว่ามันคือเรื่องบังเอิญ ความบังเอิญไม่มีในโลกสำหรับวิกานดา

“น้องเขาชื่อฟิว เห็นว่ามีแฟนแล้วนะ แฟนเขาขี้หึงซะด้วย” อาร์ตหันไปมองตามมือเพื่อนที่ชี้ไปยังที่รักของเขา ทั้งยังตอบคำถามเพื่อนพร้อมดักทางไว้อีกต่างหาก

“ต๊าย ของต้องห้าม ท้าทายไม่เบา”

“เฮ้ย ๆ เพลาหน่อยดีไหม น้องเขามีแฟนแล้วนะ”

อาร์ตรีบดักคอ แต่เพื่อนตัวดีทำหูทวนลม ตรงดิ่งไปหาฟิวที่นั่งรอพี่จนเซ็งแล้วในตอนนี้

“เดี๋ยว!”

อาร์ตรั้งแม่เพื่อนสาวไว้ก่อนถึงตัวฟิวที่ทำหน้าเอ๋อเมื่อเห็นว่าพี่สาวคนสวยตรงมาหาตนเอง

“ขอโทษที แต่คนนี้ให้ไม่ได้ หวง”

บอกพร้อมยักคิ้วให้อีกด้วย ต่อมกรี๊ดของสาววิเลยแตกกระจายเมื่อเพื่อนบอกออกมาโดยไม่สงวนท่าทีแม้แต่น้อย

“อาร์ตน่ะ ทำไมวิถึงไม่เจอก่อนเนี่ย น่ากินขนาดนี้ เจ้ชอบ”

วิเชยคางฟิว เล่นหูเล่นตาใส่อย่างยั่วเย้า ฟิวเลยได้โอกาสเอาคืน ยิ้มหวานให้คุณพี่สาวตามน้ำพี่เขาไป คราวนี้เลยกลายเป็นว่าคู่สนทนาของสาววิกลายเป็นหนุ่มเมืองกรุงอย่างฟิวแทน ปล่อยให้อาร์ตเป็นฝ่ายนั่งแห้งเหี่ยวไม่มีใครสนใจ



“ปล่อยให้เขายั่วอยู่ได้นะ”

พอกลับมาถึงบ้าน อาร์ตจึงสอบสวนน้องในทันที หวงนะนี่ ถึงจะรู้ว่าทั้งคู่ไม่ได้คิดอะไรเกินเลย แต่แฟนตัวเองไปพูดคุยสนิทชิดเชื้อกับคนอื่นแบบนี้ ไม่ให้หึงหวงอย่างไรไหว

“ก็ใครกันล่ะที่เริ่มก่อน?”

คนน้องว่าน้ำเสียงสะบัด เอาไอติมที่ตอนนี้คงละลายหมดแล้วยื่นให้พี่ไปใส่ตู้เย็น ส่วนตนเองเดินลิ่วขึ้นห้องเพื่อไปอาบน้ำ ออกไปเดินข้างนอกไม่นาน เหนียวตัวไปหมดแล้ว

อาร์ตที่เก็บของเสร็จแล้วเดินตามน้องขึ้นมาบนห้องด้วย น้องยังอยู่ในห้องน้ำ อาร์ตจึงนั่งรอ เมื่อน้องออกจากห้องน้ำมา อาร์ตจึงเดินตามน้องที่กำลังหาเสื้อผ้ามาสวมใส่ กอดรวบร่างกายขาวเนียนที่ยังเย็นชื้นด้วยไอน้ำ แถมยังหอมกรุ่นน่าสัมผัส

“ที่พูดเมื่อกี้ หึงเหรอ?”

“คงไม่หรอกมั้ง”

ฟิวทำเป็นไม่สนใจ มือยังค้นหาเสื้อผ้าตัวที่ถูกใจในตู้อยู่ จนเมื่อถูกริมฝีปากร้อนขบเม้มใบหูที่ไวต่อสัมผัส ฟิวถึงได้หยุดมือแล้วหดคอหนี

“ชอบนะแบบนี้ หึงพี่บ้างก็ดี จะได้รู้สึกว่าพี่เป็นที่รัก”

สบประสานนัยน์ตาโตที่มองตอบมา แขนเรียวโอบรั้งรอบคอพี่ให้โน้มลงมาหา กดจมูกหอมแก้มที่เริ่มสากด้วยไรเคราอย่างเอาใจ

“แค่นี้ยังรักไม่พออีกเหรอ?”

“ยัง ขอมากกว่านี้อีก มาก… ยิ่งกว่านี้”

พูดเพียงเท่านั้นร่างน้องก็ลอยหวือเพราะน้ำมือคนตัวสูงใหญ่ที่นำพาไปยังสมรภูมิรักที่ตั้งรอล่อสายตาอยู่กลางห้อง ชักนำสุดที่รักให้ร่วมดื่มด่ำกับรสสัมผัสที่หอมหวาน พร้อมอารมณ์รักที่พุ่งทะยานสูงจนแทบแตะปลายฝัน

บอกย้ำคำรักซ้ำ ๆ ทั้งการกระทำและคำพูด กระซิบคำหวานที่มีต่อกันเนิ่นนาน จวบจนเรี่ยวแรงสุดท้ายที่ถูกปลดปล่อย ก่อนก้าวเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสุขสมไร้ซึ่งสิ่งกังวลใจ และภยันตรายใดเมื่อได้อยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน


……


ฟิวพลิกตัวควานหาไออุ่นข้างกายอย่างงัวเงีย แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า ตาปรือปรอยเริ่มกะพริบ ขยับลุกโงนเงนทรงตัวไม่ค่อยอยู่ เหลียวมองรอบกายแต่ก็ไร้เงาคนเป็นพี่ มือเรียวขยับยกขึ้นจะขยี้ตาด้วยความเคยชิน แต่สัมผัสแปลกปลอมบนนิ้วทำให้เจ้าของมือหยุดชะงักงัน นิ่งไปชั่วอึดใจ

สัมผัสเย็นวาบของวัตถุบนนิ้วมือไม่ได้ทำให้ใจของเขาเย็นเยียบตามไปด้วย แต่มันกลับอบอุ่นไปทั้งหัวใจกับสิ่งที่พี่ทำให้ เล็กน้อย… แต่รู้สึกได้ถึงความรักมากมายที่พี่มอบให้ผ่านของสิ่งนี้

นิ้วเรียวลูบไล้ไปตามความเรียบลื่นของมัน ไม่ได้หรูหรา แต่สัมผัสได้ถึงความจริงใจ แหวนทองคำขาวแทนใจที่นิ้วนางข้างซ้าย ฟิวหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ แต่กลับรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นข้างแก้ม สายตาจับจ้องแหวนที่นิ้วมือไม่คลาย เพิ่งสัมผัสและรู้ซึ้งถึงคำว่า ยิ้มทั้งน้ำตา มันเป็นเช่นไร

แกร๊ก

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ?”

อาร์ตเปิดประตูเข้ามาเห็นว่าน้องกำลังนอนดูแหวนที่ตนเองสวมให้น้องตอนหลับอยู่ก็ชะงักไปนิด ก่อนเดินเข้าไปหา พอนั่งลงที่ปลายเตียง ฟิวรีบขยับมาหาพี่ทันที กอดเกี่ยวรอบคอพี่ไว้จากด้านหลัง เกยคางบนไหล่หนาอย่างออดอ้อน

อาร์ตกดจมูกหอมแก้มใสของคนช่างอ้อนอย่างรักใคร่เอ็นดู ไม่ว่านานเท่าไร ฟิวก็ยังคงเป็นฟิวอยู่เช่นเดิม ต่อให้จริงจังแค่ไหนกับบทบาทหน้าที่การงาน แต่เมื่ออยู่ด้วยกันเช่นตอนนี้ น้องก็ยังคงเป็นสุดที่รักของเขาดังเดิม

“พี่อาร์ต”

“หืม?”

“ผมรักพี่”

ฟิวบอกพี่โดยไม่มีเคอะเขิน มันกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับทั้งคู่ไปแล้วที่จะบอกรักกันบ่อย ๆ เพราะเวลาที่เสียไปมันทำให้พวกเขาตระหนักเป็นอย่างดีแล้วว่า คำว่ารักสำคัญแค่ไหน

“พี่ก็รักฟิว รักมาก”

อาร์ตปลดแขนน้องออก ก่อนจะเปลี่ยนให้น้องมานั่งพิงอกตัวเองแทน มือหนาลูบไล้ไปตามนิ้วเรียวที่สวมแหวนแทนใจของเขา กระซิบถามคนในอ้อมแขนเบา ๆ

“ชอบไหม?”

ฟิวพยักหน้าให้พี่แล้วยิ้มกว้าง บ่งบอกว่าชอบของสิ่งนี้เป็นอย่างมาก ยื่นมือไปจนสุดแขน เอนกายพิงอกพี่ เฝ้ามองดูของถูกใจ เอ่ยถามพี่น้ำเสียงมีความสุข หัวใจพอง ๆ ฟู ๆ จนล้นอกแล้วในตอนนี้

“ทำไมพี่ไม่ให้ตอนผมตื่น?”

เอียงคอมอง รอคำตอบจากพี่ ตาใส ๆ ที่จ้องมองมามันช่างดึงดูดเขาทุกทีไป ให้อยากแนบชิด ไม่อยากผละห่างไปไหน

“แบบนั้นก็ไม่เซอร์ไพรส์น่ะสิ”

อาร์ตหอมแก้มคนขี้สงสัยอีกฟอดใหญ่ น้องจึงหอมคืนบ้าง

“ขอบคุณนะครับ สำหรับทุกอย่างที่พี่ทำให้ผม”

อาร์ตกระชับอ้อมกอดแน่นเข้า ซบใบหน้าลงบนบ่าเล็ก กระซิบคำหวานบอกน้องให้รู้ถึงความในใจ

“ไม่ต้องขอบคุณพี่หรอก เพราะต่อแต่นี้ไป พี่จะทำให้ฟิวทุกวัน ทุกวัน จนมันกลายเป็นเรื่องปรกติธรรมดา สำหรับพี่ ความรักของพี่มันไม่ได้วิเศษวิโสมาจากไหน แต่ความรักที่แสนธรรมดานี้มันพร้อมจะเป็นของฟิว แค่เพียงคนเดียว… ตลอดไป”

“พี่อาร์ต”

ฟิวไล้มือข้างที่สวมแหวนบนเรียวปากพี่ อาร์ตจึงไล่ตามประทับรอยจุมพิตบนแหวนกลมเกลี้ยง สบตาหวานใสที่มองมาอย่างมีความหมาย เสียงทุ้มหวานเอ่ยถามดั่งต้องการความมั่นใจ

“เราจะมีกันและกันตลอดไปใช่ไหม?”

“ใช่ มี ‘เรา’ ตลอดไป”

น้ำเสียงหนักแน่นที่เอ่ยบอก นั่นคือคำมั่นที่อาร์ตให้กับน้อง และมันจะเป็นเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง






❤❤END❤❤




 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ -END- // 10.Sep.2018
«ตอบ #22 เมื่อ10-09-2018 13:05:22 »

 :pig4: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ -END- // 10.Sep.2018
«ตอบ #23 เมื่อ10-09-2018 13:14:02 »

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2384
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ -END- // 10.Sep.2018
«ตอบ #24 เมื่อ10-09-2018 13:26:22 »

เข้ามาอึ้งกับการลงเรื่องทีเดียวจบ  :z3: ยังไงเดี๋ยวจะตามมาอ่านนะคะคุณ wanmai

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ -END- // 10.Sep.2018
«ตอบ #25 เมื่อ10-09-2018 14:01:44 »

 :katai2-1::katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ ΩPRESTOΩ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 352
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-1
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ -END- // 10.Sep.2018
«ตอบ #26 เมื่อ10-09-2018 22:02:44 »

อ่านไปยิ้มไป
มีความสุขกับคู่รักเขาไปด้วย

ขอบคุณคุณวันใหม่
 :L2:

 

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ -END- // 10.Sep.2018
«ตอบ #27 เมื่อ11-09-2018 01:44:54 »

ดีใจกับอาร์ตและฟิวด้วยนะ อันที่จริงอาร์ตนอกจากรักน้องแล้วต้องขอบคุณน้องด้วยนะที่เข้าไปทักในวันนั้น ทำให้อาร์ตหลุดออกมาจากความรู้สึกเหล่านั้นได้  :กอด1: ที่สำคัญขอบคุณคุณนักเขียนที่นำกลับมาให้อ่านอีกครั้ง  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ KKKwanGGG

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ -END- // 10.Sep.2018
«ตอบ #28 เมื่อ11-09-2018 11:45:40 »

น่ารัก ..................... ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
Re: ●ReWrite● ใกล้❤ใจ -END- // 10.Sep.2018
«ตอบ #29 เมื่อ14-09-2018 08:00:26 »

 :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด