[เรื่องสั้น] Cosplayer ชุดสาวน้อยเวทมนตร์ P.14 จบ[3/08]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] Cosplayer ชุดสาวน้อยเวทมนตร์ P.14 จบ[3/08]  (อ่าน 98085 ครั้ง)

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
«ตอบ #240 เมื่อ23-01-2019 21:59:51 »

เคย์ตอนนี้ดูหื่นมาก จะขย้ำจินอย่างเดียวเลย 5555

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
«ตอบ #241 เมื่อ26-01-2019 01:13:34 »

เคย์นี่มันเจ้าหมาหลงเจ้าของจริงๆ :laugh:

ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
«ตอบ #242 เมื่อ30-01-2019 00:20:16 »

เคย์คนหื่นกับจินคนซึน ชอบพาร์ทชาวเผือกมากๆเลย
เหมือนรอเม้า แต่พอเค้ารักกันเราก็แยกย้าย 55555

 :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ MeiHT

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
«ตอบ #243 เมื่อ31-01-2019 14:41:53 »

บทที่ 6 : ความรู้สึกที่เพิ่มพูน
K part
 
           ผมหลับเป็นตาย

            ขนาดตัวผมที่ตื่นเช้ามาตลอด วันนี้ยังแทบยกตัวจากเตียงนอนไม่ขึ้น ผมจ้องเพดานอย่างว่างเปล่า ร่างกายไร้เรี่ยวแรงเหมือนไม่มีกล้ามเนื้อ ผมกดโทรศัพท์ดูและพบว่าตอนนี้เกือบจะเที่ยงแล้ว ก่อนจะตะแคงตัวไปมองคนตัวเล็กที่ยังนอนหลับอยู่เตียงข้างๆ ลมหายใจเข้าออกที่สงบของอีกฝ่ายทำเอาผมมองเพลินจนไม่ยอมลุกไปทำกิจวัตรยามตื่นนอน

            ผมอมยิ้มน้อยๆเมื่ออีกฝ่ายกำลังซุกหน้ากับผ้าห่มจนเหมือนดักแด้ตัวกลมๆ และคงจะมองได้อีกเป็นชั่วโมงถ้าไม่ใช่เพราะนาฬิกาปลุกของผมส่งเสียงกรีดร้อง

            ผมลนลานลงจากเตียงไปเลื่อนปิดนาฬิกาไม่รักดีของตัวเอง แต่ช้าไปเพราะเมื่อหันกลับมาอีกที คนที่เคยหลับใหลเมื่อครู่ดันตื่นมาจ้องผมด้วยแววตาหรี่ดุร้ายคล้ายแมว

            “หนวกหู” เสียงนั่นดุร้ายพอๆกับสายตาที่มองมาอย่างคาดโทษ

คำพูดรับรุ่งอรุณนี่มันชื่นใจจริงๆ อ่าส์
       
     “…ขอโทษครับ” ผมวางนาฬิกาลงอย่างเบามือ เมื่อคนงัวเงียกลับไปนอนต่อ ผมจึงได้ฤกษ์เริ่มต้นเช้าที่จริงๆก็บ่ายแล้วเสียที

            หลังจากออกมาจากห้องน้ำแล้ว ผมก็ต้องพันผ้าเช็ดตัวเดินออกมาเพราะลืมเอาเสื้อผ้าเข้าไปเปลี่ยนในนั้น

ในขณะที่ลูบหัวตัวเองให้สติกลับเข้าที่ ผมก็สบสายตาเข้ากับคนที่ตื่นตาแป๋วมานั่งไถทวิตแล้วเรียบร้อย หน้าที่เคยฉายแววหงุดหงิดตอนนี้ค่อยๆแดงขึ้นเหมือนกับมะเขือเทศ แถมยังทำหน้าเหรอหราเหมือนไม่รู้จะละสายตาหรือไม่อีกต่างหาก

            …น่ารัก

            และคงเป็นเพราะผมยิ้มขำออกไป คนดุร้ายเหมือนแมวตัวเล็กถึงขู่ฟ่อ

            “เดินเป็นชีเปลือยอยู่ได้! ไม่มีเสื้อใส่หรือไง!”

            ผมแกล้งทำเป็นรีบเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า และตอนที่ผมคิดว่ามีคนกำลังมองตามผมอยู่ ผมก็สะบัดผ้าเช็ดตัวซึ่งเคยพันอยู่รอบเอวออกทันที และเพียงเท่านั้นผมก็ได้ยินเสียงโครม!ดังขึ้น แล้วพอหันหน้ากลับไปอีกรอบ คนที่เคยนอนอยู่บนเตียงก็ได้หายเข้าห้องน้ำไปแล้วเรียบร้อย

            ผมอดแกล้งเขาไม่ได้เลยจริงๆ เฮ้อ นิสัยไม่ดีเลยตัวเรา

            รอเพียงครู่เดียวจินก็ออกมาจากห้องน้ำ และไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่แต่คนตัวเล็กก็ได้เอาคืนผมเต็มๆเมื่อเขาออกมาในสภาพเดียวกับผม ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กนั่นแทบปิดอะไรไม่มิดเสียด้วยซ้ำ แถมยังเผยขาขาวๆน่าลูบที่ติดอยู่ในหัวผมมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วอีกต่างหาก

            คิดแล้วภาพเมื่อวานก็ย้อนกลับมา จินในชุดนักศึกษาหญิงนั่นดีมากจริงๆ ผมจะหาทางตะล่อมให้เขาใส่อีกรอบได้ยังไงกันนะ แค่กๆ

            แฟนของผมเปิดตู้เสื้อผ้า ก้มลงหยิบกางเกงชั้นในของตัวเอง ในตอนที่เขาโน้มตัวลง ผมก็ได้เห็นบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าเช็ดตัวผืนจิ๋วนั่น

            โอ้ว ขาวมาก กลมมาก
   
         ผมรู้สึกถึงซัมติงที่กำลังคึกคักตื่นตัวในกางเกง แวบหนึ่งผมรู้สึกหน้ามืดอยากพุ่งตัวเข้าไปขย้ำอีกฝ่ายให้จมเตียง
 
           ยุบหนอ พองหนอ ยุบหนอ ข้างล่างเนี่ยพองแล้วหนอ

            ในที่สุดจินก็หาสิ่งที่ตัวเองต้องการเจอ เขายืดตัวตรงหาเสื้อต่อ ซึ่งนั่นทำให้ผมได้พิจารณาเอวคอดซึ่งผมแทบจะสามารถจับรอบเอวได้ด้วยมือทั้งสองข้าง

            หืม ผมรู้ได้ยังไงเหรอ ก็ผมเคยจับมาก่อนไง :)

            และคงเพราะสายตาผมไล่โลมเลียมากเกินไปจนคนตรงหน้าสัมผัสได้ เขาจึงเอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่จากในตู้เสื้อผ้ามาพันตั้งแต่ช่วงหน้าอกลงไป

            แต่มันกลับอีโรติคมากกว่าเดิมในความคิดผมซะงั้น

            ผมพยายามข่มความรู้สึกที่อยากเดินเข้าไปกระชากผ้าที่อยู่บนตัวเขาออก จินคงจะแขยงผมพอสมควรเพราะผมเห็นเขาเบ้ปากใส่ผม พึมพำคำว่าโรคจิตแล้วหยิบเสื้อผ้าเข้าไปใส่ในห้องน้ำ คนตัวเล็กกลับออกมาในชุดเรียบร้อยพอสมควรจนผมอดถอนหายใจไม่ได้ ซึ่งลงท้ายที่เขาปาผ้าเช็ดตัวซึ่งเคยพันอยู่บนตัวใส่หน้าผมอย่างรุนแรงจนผมถึงขั้นล้มลงไปนอนแผ่บนเตียง

            ฟืด!
 
           กลิ่นของจิน

            ผมสูดหายใจลึกๆเอากลิ่นหอมๆซึ่งติดอยู่บนผ้าขนหนูเข้ามาเต็มปอด แต่ครั้นจะเก็บไว้นอนกอดคืนหนึ่ง เขาก็เอื้อมมาหยิบคืนไปเสียแล้ว
 
           “วันนี้ออกไปซื้อของที่ซุปเปอร์กัน” เขาหันมาบอกผมตอนกำลังเตรียมกระเป๋าตัง

            ผมแทบจะกระดิกหางใส่เหมือนหมาที่เจ้าของจะพาไปเดินเล่น

            “เราจะไปเดตกันเหรอ”

            “ไม่ใช่! เห็นมั้ยเนี่ยว่าสบู่มันหมดแล้ว” เขาหันหน้ากลับมาแยกเขี้ยวใส่ เหมือนแมวที่ขู่ฟ่อจนผมอดเอ็นดูไม่ได้ อยากจะเข้าไปหอมหัวสักร้อยทีแล้วอุ้มกลับมาฟัดบนเตียง ไม่ต้องออกไปไหนอีกแล้ว

            แต่ทำยังไงได้ เจ้านายสั่งยังไงก็ต้องทำอย่างนั้น

            ผมเตรียมกระเป๋าตังกับกุญแจใส่กระเป๋า จากนั้นจินจึงหันมาเช็คเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้อง แล้วพวกเราจึงออกไปข้างนอกด้วยกัน โชคดีที่จินมีรถอยู่แล้ว เราจึงขับรถไปห้างที่ใกล้ที่สุดซึ่งถึงแม้ว่าจะใกล้แล้วก็ยังโคตรไกลอยู่ดี

ความประเทศรังสิตนี้…

            ผมเข็นรถตามหลังเจ้านายของตัวเองไม่ห่าง ตอนแรกๆพวกผมใช้ของส่วนตัวแยกกัน แต่หลังจากที่สบู่ผมหมด ผมก็เนียนไปใช้ของแฟนตัวเองต่อ แล้วจากนั้นผมก็ไม่เคยซื้อของใช้ส่วนตัวอีกเลย และแน่นอนว่าคนตัวเล็กข้างหน้านั่นบ่นเป็นหมีกินผึ้งเลยทีเดียว แต่หลังจากนั้นเขาไม่สามารถบังคับผมให้กลับไปซื้อเองได้ จึงลงท้ายด้วยการลงเงินส่วนกลางไปซื้อของด้วยกัน

            ซึ่งก็ดีกับใจผมมากทีเดียว

            “จิน เราซื้อขนมกันมั้ย” ผมส่งเสียงทักคนชอบไดเอ็ตที่เอาแต่เดินดูของใช้เพียงอย่างเดียว ผมหมายถึง คนเราเกิดมาก็ต้องกินข้าวให้อิ่มอร่อยสิ เหมือนที่มีคนบอกว่าเราไม่ควรกินเนื้อเพื่อชีวิตที่ยืนยาว แต่ชีวิตที่ยืนยาวจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่ได้กินเนื้อ!

            อีกอย่าง เขาผอมเกินไปหน่อย ถ้าเกิดเรามีอะไรกันอีกรอบผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะยั้งมือได้มั้ย ผมอาจจะทำให้เขาเจ็บก็ได้ แต่ล่าสุดหลังจากผมป้อนขนมเขาบ่อยๆดูเหมือนว่าก้นเขาจะกลมขึ้นมาหน่อย แบบนี้เวลาตบแรงๆมันจะเด้งได้มั้ยนะ

            ผมเท้าคางกับรถเข็นพลางจับจ้องคนตัวเล็กที่เดินอยู่ข้างหน้าพร้อมบ่นเรื่องโทษของขนมกรุบกรอบไปด้วย

            อืม ดูเหมือนว่าผมจะใช้เวลา24ชั่วโมงสังเกตร่างกายแฟนตัวเองไปซะแล้ว

            เฮ้อ แต่ต้องโทษที่เขาเซ็กซี่เกินไป ผมหยุดมองเขาไม่ได้เลยจริงๆ

            “ฟังอยู่มั้ยเนี่ย” เสียงคาดโทษมาพร้อมกล่องซีเรียลที่เคาะหัวผม จินโยนกล่องที่เพิ่งใช้ประทุษร้ายผมลงในรถเข็น

            “เออ ว่าใหม่อีกทีสิ”

            “กูบอกว่าถ้าอยากซื้อก็ไปซื้อ แต่เวลากินอย่ากินตอนดึกแล้วก็แบ่งกิน โซเดียมมันเยอะ”

            “อือ” ผมรับคำไปส่งๆเพราะยังไงตอนกลางคืนก็ต้องหาอะไรกินอยู่แล้ว อย่างวันก่อนผมก็พึ่งกินเครปเย็นซึ่งอยู่ในตู้เย็นเมื่อวันก่อน และผมดันจำไม่ได้ด้วยว่าซื้อไปเมื่อไรเพราะก่อนหน้านั้นผมไปค้างที่ห้องคนอื่นเสียนาน แต่ลงท้ายผมก็กินมันไปและพบว่ามันไม่เสีย แสดงว่ามันพึ่งถูกซื้อมาหลังผมจะไปค้างห้องคนอื่นสินะ

            แฟนผมจำของที่ผมชอบได้ด้วย ดีใจชะมัด       

            หลังจากนั้นพวกเราก็เดินวนอีกสักสองรอบ และผมก็แอบหยิบเอาขนมกรุบกรอบรถเข็นเสียเยอะ คนตัวเล็กหัวเสียมากที่ผมหยิบของมาเต็มไปหมดแต่ผมลูบไหล่เขาแล้วบอกว่าผมจะเป็นคนกินให้หมดเอง เพราะงั้นซื้อไปเหอะ

            ซึ่งแน่นอนว่าผมโกหก

            ผมจะขุนเขาให้อ้วนเลยคอยดูสิ

            หลังจากจ่ายเงินเสร็จแล้วแน่นอนว่าผมต้องเป็นคนรับผิดชอบถือของทั้งหมด จะให้แฟนตัวเองถือได้ยังไงกัน ผมต้องโชว์ความแมนของตัวเองให้เห็นเสียบ้าง

            “ไหนๆก็มาถึงห้างทั้งที กินของหวานกันมั้ย” ผมก้มหน้าลงถามคนข้างตัวซึ่งเดินฉับๆเหมือนอยากกลับห้องไวๆ

            “กูเหนื่อย” เขาประท้วงเสียงแข็ง สีหน้าเหมือนอยากกลับห้องมากจริงๆ

            แต่เราเพิ่งได้ออกมาเองนะ นี่มันเดตแรกของเราเลยนะ!!

            ผมหน้าบูด ใช้มาตรการดื้อเงียบใส่ซึ่งก็ได้ผลเพราะในที่สุดเขาก็หันมามองผมด้วยสีหน้าจนใจแล้วบอกว่า

            “เออ อยากแดกอะไรก็นำไปเลยไอ้คนเผด็จการ!”
 

            ผมไม่เข้าใจสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้หญิง

            นั่งตัวสั่นเป็นลูกแกะท่ามกลางฝูงหมาป่า ผมได้แต่มองไปทางคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามแบบขอความช่วยเหลือ คิดไม่ถึงว่าจะโดนอีกฝ่ายมองด้วยสายตาเหมือนมองเด็ก 5 ขวบ

            “ยังไม่ชินอีกเหรอ” จินถามกลั้วหัวเราะ

            “ไม่ชินหรอก” ผมอุบอิบบอกแล้วสังเกตรอบข้างด้วยหางตา เมื่อสักครู่ที่เข้ามานั่งกับคนตัวเล็ก ผมรู้สึกเหมือนมีคนมองอยู่ และก็เป็นอย่างที่คิด สาวๆในร้านต่างมองผมแล้วหันไปซุบซิบด้วยกันเองแถมยังหัวเราะเบาๆอีกต่างหาก

            ผมรู้สึกเหมือนตัวประหลาด

            แต่ยังดีที่หลังจากการฝึกฝนมาหลายปี ผมสามารถนั่งอยู่ท่ามกลางสายตาของคนอื่นโดยไม่มีความเคอะเขินได้แล้ว ดังนั้นผมจึงสามารถนั่งตัวยืดหลังตรงได้ แม้จะต้องเก็กหน้าจนเกร็งเมื่อสาวที่อยู่ตรงหางตาแอบยกมือถือขึ้นถ่ายผมโดยการทำเหมือนกับว่ายกขึ้นมาส่องหน้า

            มันไม่ค่อยเนียนเลยครับเธอ

            ผมแอบขยับเก้าอี้เล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองหันหลังให้หลายสายตาในร้านคาเฟ่ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าคนตัวเล็กกำลังจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว
 
           ผมเอียงคอเป็นเชิงถาม บางทีผมก็ไม่เข้าใจอารมณ์ของเขาเสียเลย ดูเหมือนว่าเขาจะหงุดหงิด แต่หงุดหงิดอะไรกันล่ะ สงสัยวันนี้ผมต้องกลับไปเล่นเกมจีบสาวซึนเดเระที่พึ่งซื้อมาใหม่ซะแล้ว (อย่าบอกจินนะ แต่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยชอบสาวซึนเลย เพราะฉะนั้นเกมจีบสาวผมจึงมีแต่คุณหนูพูดน้อยขี้อ้อน)
 
           “เก็กหน้าได้ทุเรศมาก รีบกินเข้าไปซะ”

            แล้วเขาก็ตักแพนเค้กก่อนใหญ่ยัดใส่ปากผม ซึ่งผมก็อ้าปากรับแต่โดยดี
 
           แฟนป้อนขนม ดีใจจัง นี่มันเหมือนโชโจมังงะเลยไม่ใช่เหรอ อร่อยชะมัด! แพนเค้กบันไซ!!!

            ผมอ้าปากรับแพนเค้กเรื่อยๆโดยไม่ทันสังเกตว่าข้างหลังนั่นสาวน้อยซึ่งผมพยายามหลบแทบตายกำลังนอนกุมหัวใจกับฉากหวานแหววซึ่งไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น และสายตาดุร้ายรุนแรงจากจินซึ่งสาดไปหาคนที่ถ่ายรูปผม

            “มึงไปจ่ายตัง” เขาดันบิลมาทางผมหลังจากจานแพนเค้กนั่นว่างเปล่า ผมกรอกน้ำลงปากรวดเดียวแล้วเดินไปเคาท์เตอร์จ่ายตังอย่างว่าง่าย หลังจากรับเงินทอนเสร็จแล้วจึงเดินกลับไปหาจิน แต่ก็พบว่าเขากำลังคุยอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่

            ผมก้มลงแอบทันทีที่เห็นอย่างนั้น แล้วกระดึ๊บเข้าไปฟังสิ่งที่เขาพูดกัน

            “…เปล่าครับ ผมแค่คิดว่ามันไม่ถูกต้องที่แอบถ่ายคนอื่นทั้งๆที่เขาไม่ยินยอม กรุณาลบรูปด้วยครับ”

            “คุณจะซีเรียสอะไรนักหนา ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไงที่คนสนใจจนแอบถ่ายรูปเขาอะ”

            “แต่อย่างน้อยคุณก็ควรมาขออนุญาตก่อนมั้ยครับ คนที่เขาไม่โอเคกับการถูกถ่ายรูปมีเยอะแยะ เพื่อนผมเขารู้สึกไม่ดีเหมือนกันที่อยู่ๆก็มีคนมาถ่ายรูปโดยไม่รู้ว่าจะเอารูปไปใช้ทำอะไร”

            “เซนซิทีฟไปป่ะคะ”

             ผมลุกพรวดขึ้นไปหาจิน ตั้งใจจะจับพวกเขาแยกกันก่อนที่อารมณ์จะขึ้นทั้งคู่ เพราะต่างคนก็ต่างพูดด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นแล้วตอนนี้
 
           “ขอโทษแทนแฟนผมด้วยครับ สำหรับรูปนั่น…ผมรู้ตัวนะครับว่าถูกแอบถ่ายอยู่ ขอตัวนะครับ”

            แล้วจากนั้นผมก็อุ้มเขาด้วยมือเดียวหนีออกมาจากร้านทันทีโดยไม่ลืมจะหยิบถุงของที่ซื้อออกมาด้วย
 
           ผมปล่อยเขาลงหลังจากเราเดินออกมาจากร้านได้เป็นระยะทางไกลพอสมควร แน่นอนว่าจินจิกแขนผมเป็นรอยตอนโดนอุ้มออกมา แถมยังทำหน้ากระฟัดกระเฟียดใส่อีก

            “ไปหาเรื่องเขาทำไม” ผมดุ

            “กูไม่ได้หาเรื่อง มึงก็เห็นว่าเขาถ่ายรูปมึงทั้งๆที่มึงไม่ได้สบายใจจะโดนถ่ายรูป”

            ผมถอนหายใจให้กับคนช่างสังเกต

            เอาเข้าจริงพอเจอบ่อยๆก็เริ่มชินแล้ว ถ้าวันไหนไม่อยากโดนมองมากๆผมก็จะใส่หมวกออกมาจากบ้านเอง เห็นอย่างนี้ผมก็ค่อนข้างกลัวเวลาสายตาผู้คนจับจ้องมาที่ผมอยู่เหมือนกัน
 
          จะว่าผมเป็นพวกมองโลกในแง่ร้ายก็ได้แต่ทุกครั้งที่คนมองผมแล้วหันไปกระซิบกระซาบหัวเราะคิกคักใส่กัน มันเหมือนว่าพวกเขากำลังหัวเราะเยาะผมอยู่
   
        ที่พวกเขาพยายามป้องปากพูดเพราะพวกเขากำลังนินทาผมอยู่หรือเปล่านะ

            วันนี้ผมแต่งตัวไม่ดีเหรอ ผมลืมรูดซิบกางเกงหรือเปล่านะ ผมเผลอใส่เสื้อกลับด้านเหรอ ทำไมพวกคุณถึงหัวเราะล่ะ
 
           “เรื่องบางเรื่องเราไปบังคับใครไม่ได้หรอก ปล่อยไปดีกว่า” ว่าจบก็ลูบหัวเขาเบาๆ “ขอบคุณนะ”
 
          “แล้วก็…” จินอุบอิบพูดอะไรสักอย่างที่ผมไม่ได้ยิน

            “หะ อะไร พูดอีกทีหน่อย กูไม่ได้ยิน”
 
           “…บอกว่า เราไม่ใช่แฟนกัน! เข้าใจมั้ย!”

            ผมหัวเราะเมื่อคนตรงหน้ากลายร่างเป็นผลตำลึงสุก จินหันหลังออกเดินทันทีเมื่อเห็นผมขำขนาดนั้น ผมจึงวิ่งตามหลังเขาไปเหมือนหมาเชื่องๆที่กลัวโดนเจ้าของทิ้งเสียจับใจ
   
         นี่ถ้าวันนั้นผมไม่รีบจับรวบหัวรวบหางเขาไว้ ผมจะไปหาคนน่ารักที่ใส่ใจเรื่องผมมาจากที่ไหนอีกกัน
 
 
         

ออฟไลน์ MeiHT

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่5 P.8 UP
«ตอบ #244 เมื่อ31-01-2019 14:42:13 »

Jin part

            พวกเรามีนัดกินเหล้าตอนสามทุ่ม
   
        จริงๆก็ไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นเคย์คนเดียวต่างหาก เพราะรุ่นพี่ที่คณะสัญญาว่าจะพาไปฉลองกันหลังจบงานประกวดดาวเดือน และรูมเมทของผมที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็เข้ามากวนใจผมจนผมต้องตกลงไปด้วย

            ก่อนที่ผมจะตกลง ไอ้คนที่นอนแผ่เป็นปลาดาวอยู่ตรงนั้นทั้งเข้ามากอดแข้งกอดขา ไม่ก็
ซบไหล่ ไม่ก็เอาแต่กอดจนรำคาญ
 
          ผมทิ้งตัวนอนตามคนขี้เกียจไปอีกคน หยิบเอาหนังสือเล่มใหม่ที่พึ่งซื้อมาจากห้างมานอนอ่าน ปล่อยให้ความเย็นสบายของแอร์เข้าโอบล้อมตัวพวกเรา
   
        บรรยากาศสบายๆลอยวนอยู่ในห้อง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ความรู้สึกอึดอัดยามเคยรู้จักกันได้หายไปเรียบร้อยแล้ว คงเหลือแต่ความสบายใจเวลาได้อยู่ใกล้ๆกันอย่างนี้ บางทีผมก็มีความคิดว่าการอยู่อาศัยร่วมกับคนอื่นนี่เป็นเรื่องที่ไม่เลวเลย
   
         ผมจมไปกับเรื่องราวในหนังสือพอๆกับเขา คราวนี้ผมได้ตัวละครที่ชอบตัวใหม่อีกแล้ว และผมก็เพิ่งจะได้ชุดใหม่สำหรับงานอีเว้นท์คอสเพลย์ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า
   
         เสียอย่างเดียว…ผมยังไม่ได้บอกเคย์เรื่องงานคอสเพลย์ที่จะถึงเลย
 
           คือมันก็ไม่ใช่ความลับอะไรนักหรอกนะ แต่เมื่อผมมองชุดที่ตัวเองจะใส่แล้ว ผมก็มีความรู้สึกที่ไม่กล้าบอกอีกฝ่ายผุดขึ้นมาอย่างนั้น

            ทั้งๆที่เมื่อก่อนผมจะใส่อะไรยังไงก็ไม่ต้องกลัวใครว่า แค่เซฟตัวเองให้ดีก็พอแล้ว
 
           อ่า แล้วทำไมผมต้องมานั่งเกรงใจเขาด้วยนะ

            ผมปัดความคิดงุ่นง่านออกจากหัวด้วยการอ่านไลท์โนเวล แต่มันไม่ค่อยได้ผลนัก ผมจึงขุดตัวเองมาอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนต่อ หวังให้ความหัวร้อนยามบัญชีไม่ดุลช่วยบรรเทา
อาการคิดมากกับความรู้สึกที่ไม่อยากยอมรับ ซึ่งเมื่อเคย์เห็นอย่างนั้นก็มีอันเป็นต้องทำตามไปด้วย
 
          คนสองคนในห้องกำลังหยิบเอาชีทขึ้นมานั่งอ่านอย่างดุเดือด ทั้งปากกาไฮท์ไลท์กระดาษทดถูกเตรียมพร้อม

ผมหน้ามุ่ยเขียนบัญชีอย่างดุเดือด กระดาษใบแล้วใบเล่าถูกโยนทิ้งลงพื้นเมื่อพบว่าตัวเองเขียนผิด พอๆกับอีกฝ่ายที่ตอนนี้นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดพยายามท่องจำอย่างเอาเป็นเอาตาย
 
           ในตอนที่ผมหงุดหงิดมากๆจนกระแทกแป้นเครื่องคิดเลขแรงๆ มือใหญ่ๆร้อนๆนั่นจะวางทาบลงบนหัวผมแล้วลูบเบาๆ แล้วหลังจากนั้น ผมก็จะนั่งไล่ดูบัญชีใหม่อีกรอบเพื่อคิดว่าตัวเองลงตรงไหนผิดฝั่งไปบ้าง

            ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นธรรมชาติจนผมไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำจนกระทั่งกลับมานึกขึ้นได้อีกทีเมื่อบัญชีดุลแล้ว
 
           บ้าเอ๊ย แอร์ตัวนี้มันร้อนจริงๆ

            ทำหน้าผมร้อนตามไปด้วยเลยเนี่ย

            ผมมองอีกฝ่ายทางหางตาและได้พบว่าเขายังจมกับประมวลเล่มหนาปาหัวหมาแตกได้ มองไปรอบๆเตียงเราก็พบเศษซากกระดาษทดของผมซึ่งโยนไว้ส่งๆเต็มเตียง ถังขยะตรงมุมห้องมีซองขนมกรุบกรอบ และนอกระเบียงยังมีราวแขวนผ้าที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าซึ่งถูกซักแล้ว
 
          ในห้องเล็กๆนี้มีร่องรอยของการมีชีวิตอยู่อัดแน่นจนอบอุ่น แตกต่างจากคอนโดหรูใหญ่ใจกลางเมืองที่เคยใช้เป็นที่อาศัย
   
         “กินข้าวกัน หิวอ่ะ” เสียงดังมาจากคนที่วางหนังสือลงและบิดขี้เกียจเป็นสัญญาณว่าวันนี้จะไม่เปิดมันขึ้นมาอีกแล้ว ผมผุดลุกขึ้นแล้วดึงแขนไอ้กล้ามโตที่แกล้งร้องโอดโอยว่าลุกไม่ไหว ซึ่งกว่าจะรู้ตัวว่าหลงกลมันก็เป็นตอนที่เคย์ฉุดผมล้มลงมาบนตัวเขากลับมานอนกลิ้งเกลือกด้วยกันอีกรอบแถมยังกอดผมซะแน่นจนหน้าผมติดอยู่กับแผ่นอกเขา ไม่พอ ตอนที่ผมจะใช้ขายันตัวเขาออก ไอ้คนเจ้าเล่ห์ก็เอาขาก่ายผมล็อคไว้อย่างแน่นหนา
 
           “อา ชื่นใจ” เขาก้มลงมาหอมหัวผมฟอดใหญ่ซึ่งผมก็ตอบแทนกลับด้วยการกัดแผ่นอกกว้างๆผ่านเสื้อยืดสีขาวของเขาจนเห็นเป็นรอยฟันเลย
   
         “โอ๊ย เจ็บนมมม” เขาบ่นพร้อมกับจับตรงที่ผมกัดด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม

            ไอ้เวรนี่ จะเจ็บหรือจะหื่นก็ต้องเลือกเอาสักอย่างสิ

            ผมเบือนหน้าหนีจากภาพที่ดูทุเรศตาอย่างบอกไม่ถูก

            “เลิกเล่นได้แล้ว ไปกินข้าวกัน”
 
           “ยังสนุกอยู่เลย”

            “เดี๋ยวจะกัดมึงอีกรอบ กูจะกินข้าวแล้ว หิว!”

            “รสนิยมมึงคือชอบกัดเหรอ แต่กูบอบบางนะ ถ้าจะลงมือก็เบาๆหน่อย กูอ่อนแอ” ท่าไขว้มือประสานไว้ที่หน้าอกเหมือนสาวน้อยพยายามปกป้องตัวเองจากโรคจิตทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะถีบเขาตกเตียงจริงๆ ถึงแม้ว่าร่างยักษ์ๆนั่นจะไม่เคลื่อนที่เลยสักนิดตอนที่ผมใส่แรงจนสุดแล้วก็ตาม
 
           “…”
 
           “ถึงแม้กูจะไม่Mก็เถอะ แต่ถ้ามึงS กูจะเสียสละร่างกายนี้ให้มึงเอง” ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวยังอ้าแขนรับทำหน้าจนใจ

            “ไปตายซะ!”

            ซึ่งผมก็ตอบแทนมันด้วยการปาหมอนข้างอัดทันที
 

            พวกเราตกลงจะไปกินสเต็กที่ใต้หอแดง จึงเดินไปทางข้างหลังหอ เนื่องจากทางนี้มีรถวิ่งผ่านซ้ำยังมีรถจอดทำให้การเดินและการหลบเป็นไปอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย และทุกครั้งมือใหญ่ๆจากคนที่เดินอยู่ข้างหลังก็จะคอยกั้นผมให้หลบ
   
        สุดท้ายเคย์ก็เดินขึ้นมาขนาบข้างผมโดยให้ตัวเองติดฝั่งถนนแทน เงาของคนตัวสูงบังผมเสียมิด
   
         “อยากกินชานมอ่ะ” เขาบ่นเมื่อเราเดินผ่านร้านชานมเป็นร้านที่สาม แต่เนื่องจากผมพยายามให้เขาอดน้ำหวานเสียบ้างจึงส่ายหน้า

            “อดบ้างน้ำตาลอ่ะ ไม่งั้นที่ออกกำลังกายมันจะไม่ได้ผลนะ”

            “ทำไมของอร่อยมันต้องเป็นโทษต่อร่างกายด้วยนะ”

            “…ตอนตายก็ไปถามพระเจ้าเอาแล้วกัน”
 
           จู่ๆเขาก็ผินหน้ามามองผม แสงที่สาดส่องมาจากข้างหลังเขาทำให้กรอบหน้าเขาดำมืด แต่ดวงตากลับส่องประกายเหมือนนักล่า บวกกับตุ้มหูแวววาวสะท้อนแสงของเขาแล้วยิ่งทำให้หมอนี่เหมือนหลุดออกมาจากการ์ตูนสักเรื่อง
 
           ทันใดนั้นผมก็รู้สึกถึงความอุ่นร้อนที่มือ ก้มลงมองก็เห็นว่ามือใหญ่ๆของคนข้างๆกำลังกุมมือผมไว้จนแน่น
 
          “ข้ามนะ”

            สิ้นคำเขาร่างผมก็ถูกฉุดตามแรงดึง เขาให้ผมอยู่ทางด้านขวาของเขาพลางมองรถซึ่งจะมาจากทางด้านซ้าย และเมื่อไม่เห็นรถอีก เขาก็ดึงผมข้ามถนนไปอย่างรวดเร็ว

            ผมใจเต้นระส่ำกับการถูกดูแลเล็กๆน้อยๆ เหมือนตอนเด็กๆที่แม่ผมมักจะให้ผมจับมือข้ามถนนโดยให้ตัวเธอเองอยู่ด้านที่รถจะวิ่งมาด้วยเหตุผลที่ว่าหากรถยนต์จะชน ก็ต้องชนแม่ก่อน
   
         ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังเหมือนคนหื่นกามแท้ๆ
   
         หลังจากเราข้ามถนนมาได้แล้ว ผมก็รู้สึกว่ามือที่เคยกุมมือผมอยู่ได้ละออกไปแล้ว โดยไม่รู้ตัว ผมเผลอจับมือเขาเหมือนไม่อยากให้ปล่อย
   
         และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คนหน้าไม่อายหันมายิ้มกรุ่มกริ่มใส่ผม

            “ไม่อยากให้ปล่อยก็บอก”
 
          ผมสะดุ้ง บอกเสียงแข็ง
 
           “หา! คะ…ใครบอกไม่อยากให้ปล่อย มึงจะบ้าเหรอ สำคัญตัวผิดไปแล้ว อะ…อย่างกูเนี่ยนะจะอยากจับมือมึง”

            ผมลนลานจนพูดตะกุกตะกัก แทบไม่รู้ตัวว่าพ่นอะไรออกมาบ้าง พอเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่สูงกว่าก็พบว่าเขากำลังกลั้นหัวเราะจนตัวสั่น ผมจึงจัดการเหยียบเท้าไปทีนึงจนเคย์ร้องโอดโอย
   
         “อูย…เขินรุนแรงจัง”
   
         “หุบปากไปเลย!”
   
         ผมต่อยแขนเขาไปทีนึง แต่เขาดันรวบมือผมไปจูบเบาๆแถมยังยักคิ้วมาให้อีก โชคดีที่ไม่มีคนเดินผ่านมาไม่งั้นต้องได้ขึ้นข่าวหน้าหนึ่งในมอวันพรุ่งนี้แน่ๆ
   
          “มึงนี่มัน! ไอ้หน้าไม่อาย”
 
           “ครับๆ ผมเป็นคนหน้าไม่อายครับ”

             ผมละหน่ายใจจะคุยกับคนพรรค์นี้จริงๆ
           
 
          พวกเราเดินมาถึงร้านสเต็กในที่สุด หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกในร้านผมก็ยกเมนูขึ้นมาดูทันทีเพราะความหิวมันทำให้ผมตาลายไปหมด แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่รู้จะสั่งอะไรดี ต่างจากคนตรงข้ามที่เขียนรายการอาหารลงใบสั่งไปแล้วเรียบร้อย
 
          เขาเท้าคางมองผมแล้วเอ่ยเสนอว่า

            “พอร์คชอปมั้ย”

            “…เอางั้นก็ได้”
   
         “เครื่องเคียงเอาเป็นมันฝรั่งบดเหมือนเดิมนะ”
 
           “…อ่า”
   
         “น้ำเอาเป็นน้ำเปล่าไม่ใส่น้ำแข็งถูกแล้วใช่มั้ย”
 
           “อืม”
 
          “พี่ครับ รับใบหน่อย” เขาโบกใบสั่งอาหารในมือหย่อยๆและไม่นานพนักงานเสิร์ฟหญิงก็โฉบมารับด้วยความรวดเร็ว แอบเห็นว่าเจ้าหล่อนเหล่มองเขาอยู่แล้วด้วย

            เหลือบตาไปมองคนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะซึ่งโบกรายการอาหารไปสองสามรอบแล้วก็ยังไม่มีใครไปรับ

            โห…คนหน้าตาดีนี่มันอภิสิทธิ์เสียจริง

            ผมมองคนหน้ายิ้มซึ่งจำรายละเอียดเล็กๆน้อยๆได้แม้กระทั่งเครื่องเคียงของโปรดของผมที่สั่งทุกครั้งที่ไปร้านอาหารตะวันตก ในขณะที่ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาชอบกินเมนูอะไร จำได้แค่ว่าเขาชอบกินเครปเย็นมากๆก็แค่นั้น
 
           “ยื่นหน้าผากมาสิ” ผมสั่งและคนเด๋อก็ยื่นหน้าเข้ามาอย่างเชื่อฟัง

            เพี๊ยะ!

            “โอ๊ย” เคย์กุมหน้าผากซึ่งแดงจากการที่ผมดีดนิ้วไปอย่างแรง เขามองผมด้วยสายตาตัดพ้อเหมือนหมาเวลาโดนลงโทษแล้วไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด
 
          “…สมน้ำหน้า”

            “กูทำอะไรผิดอ่ะ” เขาเรียกร้องความเป็นธรรมแต่ผมบึนปากใส่แล้วจบบทสนทนาด้วยการหยิบโทรศัพท์ออกมาไถเล่น
 
          โทษฐานที่ทำให้ผมรู้สึกผิดที่ยังใส่ใจเขาไม่มากพอ
 
          ผมชะงักเมื่อเห็นแจ้งเตือนจำนวนมหาศาลที่แอพนกสีฟ้า ผมจึงกดเข้าไปดูก่อนจะพบรีทวีตและเมนชั่นจำนวนไม่น้อยเข้ามาพูดคุยกับผมเรื่องเกี่ยวกับที่ผมจะไปออกอีเว้นท์สองสัปดาห์ข้างหน้า
   
         แอคคอสเพลย์ผมลุกเป็นไฟเพราะผมเพิ่งทวิตชุดใหม่ที่ผมจะใส่ไป และแถมด้วยว่าจะไม่ลงรูปในแอค หากอยากเห็นจะต้องไปที่อีเว้นท์เอง ที่ผมทำแบบนี้ส่วนหนึ่งเพราะเป็นการโปรโมตให้กับออกาไนเซอร์ที่เพิ่งจัดงานนี้ขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีคนไม่พอใจ
   
         อย่างแอค @NOP_BAS ที่เป็นฟอลโลเวอร์มาตั้งแต่แอคยังมีคนตามไม่กี่ร้อยคนยังเข้ามาประท้วงเพราะตัวเองมีเรียนในวันนั้นพอดี

            @NOP_BAS mention to @JJ3K อย่างนี้ผมก็ต้องโดดเรียนน่ะสิ

            @JJ3K mention to @NOP_BAS ไว้โอกาสหน้าไงครับ มาเจอกัน

            @NOP_BAS mention to @JJ3K อยากเจอจะแย่อยู่แล้ว :(

            ผมยิ้มอย่างอ่อนใจ โคลงศีรษะไปทีหนึ่ง ฟอลโลเวอร์คนนี้บางทีก็รุกจนผมแอบเหนื่อย ผมเคยเข้าไปส่องก็เห็นว่าเขาชอบเล่นบาสกับอยู่มหาลัยเดียวกับผม ปีเดียวกันก็เท่านั้นเอง มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้พวกเราได้คุยกัน และในจำนวนแฟนคลับทั้งหมด เขาเป็นคนที่ผมคุยด้วยมากที่สุด
 
          แต่เหมือนกับว่าพระเจ้าไม่อยากให้ผมจ้องหน้าจอทำลายสายตาตัวเองมากนัก เพราะจู่ๆผมก็รู้สึกถึงรังสีการมองอันรุนแรงเข้มข้นมาจากคนตัวยักษ์ที่นั่งอยู่ข้างหน้า

            “อะไร” ผมถามคนที่หรี่ตามองอย่างหงุดหงิดมาได้สักพักแล้ว ใบหน้าคมนั้นดูดุร้ายขึ้นมาเมื่อปราศจากรอยยิ้ม
 
           “คุยกับใครอ่ะ ทำไมยิ้มขนาดนั้น”

            “กูคุยกับใครแล้วมันเกี่ยวกับมึงตรงไหน”

            “…”

            “…คุยกับฟอลโลเวอร์ในทวิตอยู่ พอใจยัง”

            เขายังคงหรี่ตาจ้องมองผมเหมือนว่ายังคงกรุ่นโกรธ

            “กูเห็นเกมนึงกำลังฮิต เรามาเล่นกันดีกว่า”
 
           “…เกมอะไร” คราวนี้ผมเป็นฝ่ายระแวงบ้าง

            “เราจะวางมือถือไว้ ใครเป็นฝ่ายหยิบก่อนต้องจ่ายค่าอาหาร”

            ผมถลึงตาใส่คนที่ไม่เคยหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นระหว่างรออาหาร เอาเข้าจริงผมเคยจะแกล้งเขาด้วยการเอาโทรศัพท์เขาไปซ่อนในห้อง คิดไม่ถึงว่าซ่อนไปครึ่งวันแล้วหมอนี่ก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าโทรศัพท์หาย
 
          “…เออ ก็ได้” ผมเบ้หน้าอย่างไม่พอใจแต่ก็ยอมวางโทรศัพท์ของตัวเองทับของเขา สีหน้าของเด็กเอาแต่ใจตรงหน้าถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย
 
          “เอาแต่ใจ” ผมว่าเขาไปทีหนึ่ง

            “อือ ทนหน่อยแล้วกัน พอดีเป็นคนขี้หึง” เคย์ตอบกลับมาด้วยสีหน้าระรื่น

            ผมหันไปมองคนรอบด้านทันทีว่าได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่หรือไม่ แต่เพราะคนในร้านทำตัวปกติมากผมจึงคิดว่าเขาไม่น่าเพ่งความสนใจฟังเรื่องของพวกเราหรือเปล่า

            ผมดีดนิ้วเขาไปทีนึงเป็นการเตือน และคนโดนประทุษร้ายก็ทำปากยื่นเหมือนกับจะงอน

            ทีกับเรื่องแบบนี้ไม่อายบ้างหรือไงไอ้บ้าเอ๊ย!!
 
 
           หลังจากกินสเต็กเสร็จและกลับมานอนผึ่งพุงที่หอ อีกแค่ครึ่งชั่วโมงพวกเราก็ต้องลุกมาเปลี่ยนเสื้อเตรียมตัวเข้าร้านเหล้า ตอนสามทุ่มครึ่งพวกเราก็ก้าวขาเข้าร้านน้ำเมา คนกลุ่มใหญ่ที่นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะโบกมือให้เคย์ยกใหญ่ นั่นคือตอนที่ผมรู้ว่ารุ่นพี่ที่นัดมามีแต่พวกผู้ชาย

ผมกล่าวทักทายคนไม่คุ้นหน้าซึ่งเป็นรุ่นพี่ของเคย์ทุกคนจนครบ แน่นอนว่าคนข้างตัวผมเข้าสู่โหมดคนสังคมทันทีที่อยู่กับกลุ่มคนเยอะๆจนผมต้องนั่งเหล่แล้วเหล่อีกว่าไอ้หมอนี่มันคนเดิมกับที่อยู่กับผมหรือเปล่าวะ
 
           “จินเป็นรูมเมทของไอ้นี่เหรอ” รุ่นพี่คนหนึ่งที่ผมจำชื่อไม่ได้แล้วยื่นหน้ามาถามผม

            “ใช่ครับ ผมไม่ได้ระบุคนที่เป็นรูมเมทไว้ก็เลยสุ่มได้เจ้านี่น่ะครับ” ผมยิ้มตอบเขา

            “หน้าตาน่ารักชิบหาย”

            รอยยิ้มผมแห้งลงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่ค่อยรื่นหู แต่จะโทษอะไรได้ พอแอลกอฮอลล์เริ่มไหลเข้าสู้เส้นเลือดของคนบนโต๊ะมันก็จะเริ่มมีบทสนทนาหยาบๆออกมาเป็นปกติ

            “มึงอยู่กับคนน่ารักแบบนี้ไม่หวั่นไหวอะไรบ้างเหรอวะ” คนที่นั่งอยู่ข้างเคย์ตบไหล่เขาแบบหยอกๆ

            “เป็นกูคงหัวใจจะวายวันละสองรอบ”

            “เป็นกูหน้ามืดเลยล่ะสัด”

            “หน้ามืดอะไรวะ”
 
           “ปล้ำแม่ง 55555555”

            “เชี่ย น้องเขาเป็นผู้ชายนะเว้ย มึงเปลี่ยนรสนิยมเหรอ”

            “น่ารักขนาดนี้กูเลิกสนเพศละ ไอ้เหี้ย ไม่ต้องมองด้านล่างไงมึง”

            “จินเขามีแฟนแล้วครับ” เคย์สอดปากบอกแบบพยายามสุภาพมากที่สุด ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่คนข้างตัวผมแผ่บรรยากาศไม่ค่อยน่าคบหาออกมาเสียแล้ว
 
          “โห กูก็ว่าแล้ว แม่งเอ๊ย”

            รูมเมทของผมที่เพิ่งโกหกไปมาดๆหัวเราะรวนคลอไปกับรุ่นพี่ แต่มือก็เทเหล้าใส่แก้วคนอื่นไม่หยุด จนผมอดคิดไม่ได้ว่าหน้ายิ้มๆของมันตอนนี้น่ากลัวเหลือเกิน

            “เอ้า กินหน่อยรุ่นน้อง”

            สุดท้ายพวกรุ่นพี่ก็เทเหล้าให้ผมกับเคย์คืนบ้าง ซึ่งผมที่ไม่ได้มีปัญหากับแอลกอฮอลล์อยู่แล้วก็กระดกมันไปอย่างรวดเร็วจนได้ยินเสียงโหวฮิ้วมาจากคนในโต๊ะ
   
         “คอแข็งเหรอเรา”

            “หว้า มอมยากซะแล้ว”

            “เคย์มันก็แดกเหล้าได้เยอะชิบหาย คอแข็งสุดๆ”

            “เออ ยืนหนึ่งเลยคนนี้ เคยกินเหล้าด้วยกันป่ะ ดูเลยนะ มันคอยเก็บศพพวกพี่นี่แหละ”

            ผมเหลือบมองเคย์ที่เขยิบตัวเข้ามาชิดผมอีกนิดเหมือนต้องการจะบังตัวผมไว้ ถึงแม้มันจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไรก็เถอะ

            ผมตบตักเขาเบาๆเหมือนบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่รูมเมทของผมก็ยังคงปั้นหน้าบูดหน้าบึ้งอยู่ดี แถมยังยกแก้วดื่มไม่หยุด

            เฮ้ อย่าเมานะ ผมก็เริ่มจะมึนแล้วเหมือนกัน

            นั่นเป็นตอนที่ผมได้สังเกตว่าข้างหน้าเขามีขวดเหล้าอยู่เยอะพอสมควร ที่ผมได้ยินมาว่าเขาดื่มเก่งน่าจะจริง

            แต่เดี๋ยวก่อนนะ…

            ผมแทบถลึงตามองคนหน้ายิ้มที่ค่อยๆหยิบขวดเหล้าที่รุ่นพี่กระดกมาไว้ข้างหน้าตัวเอง สุมไว้จนเหมือนเป็นของที่ตัวเองดื่ม

            “ผมไม่ได้คอแข็งขนาดนั้นหรอกครับ” เขาหัวเราะขณะเทน้ำเมาลงแก้วตัวเอง

            ผมสะบัดหัวไล่ความมึนหลังกินเหล้าหมดไปหลายแก้ว เปลี่ยนมามองคนข้างกายที่ยังคงมอมรุ่นพี่อย่างต่อเนื่องจนบางคนก็หายไปจากโต๊ะเรียบร้อย บ้างก็ฟุบหลับ เหลือเพียงพวกเราที่ยังมีสติดี

            “เอาล่ะ” เขาลุกขึ้นยืดแขน มองไปรอบๆแล้วจึงฉุดแขนผมให้ลุกขึ้น แต่เนื่องจากผมมึนหัวมากเลยทรงตัวไม่อยู่ เซเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเขาพอดี เวลาเมาผมควบคุมตัวเองอยู่นะ พูดรู้เรื่องด้วย แค่มึนหัวกับยืนไม่ตรงเท่านั้นแหละ
 
           “โอ๊ะ เขินนะตัวเอง”

            “…ยังจะมาพูดเล่นอีก”

            เคย์หัวเราะเบาๆ จากนั้นจึงประคองผมออกไปนอกร้าน
 
           “ไม่ต้องดูแลพวกรุ่นพี่เหรอ” ผมถามเขาเบาๆ

            “ไม่ต้องหรอก” ตอบกลับเสียงแข็ง สายตาเขาดูแข็งกร้าวไปชั่วขณะ

            “นี่คือไม่เมาหรือไม่ได้กินกันแน่” ผมเลิกคิ้วมองคนที่ปราศจากความมึนอย่างคนที่กินแอลกอฮอลล์ ซึ่งผมก็มึนเกินกว่าจะบอกว่าเขามีสีหน้าอย่างไร แต่ในที่สุดเคย์ก็บอกผมว่า
 
          “จริงๆคือกินนิดเดียว ก็ทำเหมือนเทไปบ่อยๆแล้วก็เอาขวดเหล้าขวดโซดามาสุมข้างหน้า
ตัวเอง” เขาเขี่ยแก้มผมไปมา “หน้าแดงใหญ่เลย”

            “…ก็ว่าอยู่…คนอย่างมึงคอไม่แข็งหรอก” ผมขำเพราะฤทธิ์น้ำเมาจนหัวเราะมากกว่าทุกที

            “ไม่น่าพามึงมาเลย” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆขณะช่วยประคองผมเดินกลับหอ

            “ก็สนุกดีออก” ผมปล่อยตัวเองพิงคนข้างกายเต็มที่เพราะแน่ใจว่าเขาจะสามารถพาผมกลับหอได้อย่างแน่นอน
 
          “…หึ” เขาพ่นลมหายใจพรูเหมือนคนหงุดหงิด
 
           “ทำไมกินเหล้าไม่ได้”
 
          “มันขม”

            ผมขำอีกรอบให้กับเหตุผลของเขา รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นบ้าจนเหมือนจะตายเพราะหัวเราะได้
 
           พวกเราเดินกลับหอด้วยความเร็วเหมือนหอยทากเพราะผมเอาแต่ถ่วงเขาแถมยังเดินเซ
ไปเซมาอีกต่างหาก

            “โอ๊ะ จิน แปบนึงนะ กูอยากกินชานมอ่ะ”

            เขาค่อยๆพาผมเดินไปหาชานมรถเข็นที่ยังไม่ปิดถึงจะดึกขนาดนี้แล้ว ผมนั่งคิดว่าทาร์เก็ตกรุ๊ปของชานมพวกนี้คือคนประเภทไหนกันวะ คนอะไรจะออกมากินชานมตอนตีหนึ่ง

            แต่ผมก็ได้คำตอบอย่างรวดเร็วเมื่อหัวไปมองคนข้างกายซึ่งตาวาว มีแต่คำว่าอยากกินออกมาจากตาเขาเต็มไปหมด

            อ้อ ทาร์เก็ตกรุ๊ปคือคนกินเหล้าที่อยากล้างปากด้วยของหวานนี่เอง
 
           ผมยังคงหัวเราะเหมือนคนเป็นบ้ากระทั่งตอนที่พวกเรามาถึงห้องกันเรียบร้อยแล้ว ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขึ้นลิฟต์เมื่อไรหรือเข้าห้องมาตอนไหน มันเหมือนกับว่าวาร์ปมาเลย
 
          เคย์อุ้มตัวผมนอนบนเตียง เมื่อหลังกระทบผ้าปูแล้วผมก็ปรือตามองเพื่อนร่วมห้องที่กำลังเดินหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้ผม
 
           “อีเว้นท์ทดสอบศีลธรรมหรือไงวะ” เขาบ่นกับตัวเองขณะเลิกเสื้อผมขึ้น ผมตัวสั่นน้อยๆเมื่อรู้สึกถึงความเย็นที่ไล่เลียไปตามผิว

            “ทนไว้นะตัวกู”

            ผมปิดตานอน ครางอืออาด้วยความรำคาญเมื่อเขายังพึมพำกับตัวเองไม่เลิก
 
           “รอบหน้าทบต้นทบดอกแน่ เฮ้อ น้องชายกูจะเหี่ยวหมดแล้ว”

            ผมปัดแขนขาอย่างรำคาญต้นเสียง ขดตัวเข้าหาหมอนข้างแล้วหลับไปอย่างเป็นสุข

=================================================
ข่าวร้ายค่ะ เราเคลียร์แคชคอมแล้วลืมพาสเข้าเล้าเป็ด โชคดีมากที่ล็อคอินในไอแพดไว้ แง
ปวดหัวเลย จำไม่ได้ด้วยว่าใช้อีเมลล์ไหนเข้าเล้าไว้อ่ะ เนี่ย กรรมของคนมีอีเมลเยอะ แง55555555
พูดคุยแสดงความเห็นได้ในแท๊ก #แต่งตัวให้น้องนะคะ
หรือมีชุดอะไรอยากส่งก็ส่งเข้ามาได้เลยยย

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่6 P.9 UP
«ตอบ #245 เมื่อ31-01-2019 19:45:52 »

 :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่6 P.9 UP
«ตอบ #246 เมื่อ31-01-2019 23:54:09 »

หมาเคย์ก็คือหมาเคย์จริง ๆ

ว่าแต่แอค @nop_bas คือไอ้โรคจิตใช่มั้ยน้าา // เตรียมลับมีด

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่6 P.9 UP
«ตอบ #247 เมื่อ01-02-2019 00:05:47 »

5555555 วงวารเคย์ว่ะ ทำตัวดีๆนะ น้องจินจะได้ใจอ่อน  :laugh:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่6 P.9 UP
«ตอบ #248 เมื่อ01-02-2019 22:46:19 »

ชีวิตเคย์นี่มันไม่ง่ายเลยยย  :hao7:

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่6 P.9 UP
«ตอบ #249 เมื่อ01-02-2019 23:35:05 »

เราว่าเคย์คงอยากซัดปากรุ่นพี่ตัวเองมากอ่ะ แต่ละคน แม่ง :m16: :m16:

แต่เจ้าหมาของเราก็ทำดีมาก ปกป้องจินด้วย  o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่6 P.9 UP
« ตอบ #249 เมื่อ: 01-02-2019 23:35:05 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TheWanFah

  • ความใกล้ชิด บางครั้ง ทำให้เราเผลอคิดไปเอง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่6 P.9 UP
«ตอบ #250 เมื่อ03-02-2019 16:54:27 »

เคย์ใส่ใจจินมากอะ

ออฟไลน์ Wwavez

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่6 P.9 UP
«ตอบ #251 เมื่อ06-02-2019 00:51:53 »

5555เจ้าหมาเค้าหวงจินไงลูก โมเมเป็นแฟนละด้วยน้องแบบปฏิเสธเต็มที่อะ สู้ๆนะเจ้าหมาน้องมันคนซึน :hao3:

ออฟไลน์ MeiHT

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่6 P.9 UP
«ตอบ #252 เมื่อ06-02-2019 21:02:11 »

บทที่ 7 : เรื่องในรถ
แฮงค์

มันไม่แฮงค์ถึงขนาดจะเดินเข้าห้องน้ำไปอ้วก แต่ก็ทำให้ผมมึนหัวมากอยู่ทีเดียว

ผมลุกขึ้นนั่ง นึกแปลกใจที่เห็นรูมเมทตัวเองกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้กำลังอ่านหนังสืออยู่ ผมรู้มาว่าคณะนิติไม่มีสอบมิดเทอม มีแต่สอบไฟนอล และแน่นอนว่าไม่มีใครอ่านสอบวิชาTUของมหาลัยหรอก ดังนั้นการที่เขาอ่านหนังสือก่อนผมจะสอบมิดเทอมนั้นสรุปได้คำเดียวว่าขยันมาก

…หรือไม่ก็ต้องใกล้บ้า

“ตื่นแล้วเหรอ” คนบนเก้าอี้หันหน้ามาหา ผมจึงได้เห็นซอมบี้ตัวหนึ่งที่ใต้ตาคล้ำระดับสุดท้ายเหมือนเอาถ่านมาทา

“อือ”

“มึนหัวหรือปล่า”

“นิดหน่อย ยังพอไหว” ผมเหลือบมองคนที่ปกติแล้วจะค่อนข้างเป๊ะ วันนี้กลับหน้าโทรมจนไม่เหลือเค้าเดือนคณะ ขนาดหนวดบนหน้ายังไม่โกนเลยวันนี้

“ดีแล้ว”

“ทำไมตามึงคล้ำขนาดนั้นวะ”

“หึ” เขายกยิ้มมุมปาก “เมื่อคืนรู้มั้ยว่ากูต้องพยายามอดทนจนสุดท้ายต้องนั่งอ่านหนังสือให้มันลงเนี่ย แต่ก็เอาเถอะ”

หะ พูดอะไรก็ให้มันเคลียร์ๆหน่อย อะไรลง ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ

เคย์ยกมือกดหัวตาเหมือนจะคลายความเมื่อยล้าจากการใช้สายตาอย่างหนัก ผมเห็นอย่างนั้นเลยไม่กล้าไปกวนใจเขามากนัก เวลาผู้ชายตัวโตหน้าคมคนนี้ไม่ยิ้มแล้วค่อนข้างจะน่ากลัวทีเดียว

“วันนี้มีเข้าคณะหรือเปล่า” ผมถามเขา

“มีๆ” คนตัวโตลุกจากเก้าอี้มานอนแผ่แขนขาบนเตียงจนลามมายังเตียงผม เมื่อก่อนผมก็บ่นอยู่หรอกนะ แต่ตอนนี้เริ่มชินเสียแล้ว ดีไม่ดีบางวันหมอนี่จะกลิ้งตัวมานอนที่เตียงผมแล้วดึงผมเข้าไปกอดอีก ไม่รู้คิดว่าเป็นหมอนข้างหรือยังไง

“เรียนบ่าย?”

“ใช่ แล้วมึงล่ะ”

“วันนี้กูไม่มีเรียน แต่มีต้องเข้าไปทำงานกับเพื่อนเหมือนกัน”

คิดถึงภาระของเด็กมหาลัยแล้วพวกผมก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน มันต่างจากสมัยเรียนมัธยมมากทีเดียว โดยเฉพาะงานโปรเจ็คที่ยากกว่าเดิมหลายเท่าและมีผลต่อเกรดมาก และผมก็ดันซวยที่ได้จับกลุ่มกับบางคนที่ไม่ยอมทำงานซะด้วยสิ

“งานอะไรอ่ะ TUเหรอ”

“ก็มีอยู่วิชาเดียวป่ะ”

“ก็จริง” เขาหัวเราะรวนเมื่อคิดถึงโปรเจ็คที่หนักยิ่งกว่าตัวในคณะซะอีก

“เฮ้อ งั้นเดี๋ยวเข้าไปพร้อมกันเลย กูจะเอารถเข้าไปด้วย” ผมลุกขึ้นไปเอาผ้าเช็ดตัวมาพาดบ่า “มึงจะอาบน้ำมั้ยหรือจะให้กูอาบก่อน”

คนบนเตียงโบกมือเป็นเชิงให้อาบเลย ผมจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันจะทำอะไรก็ได้ยินเสียงทุบประคูห้องน้ำดังโครมๆ

“จิน! เปิดก่อน! เอาเสื้อผ้าเข้าไปด้วย อย่าให้ความพยายามตอนกลางคืนกูเสียเปล่าเลย! ขอร้องล่ะนะ!”

ผมขมวดคิ้ว งงกับความพูดไม่รู้เรื่องของเขาตั้งแต่ตอนเช้า ในใจคิดถึงแผนจะพาเคย์ไปตรวจสมองที่โรงพยาบาลมหาลัยซะหน่อย เผื่อว่าเมื่อวานตอนที่พวกเราเมา เขาอาจจะเอาหัวตัวเองไปฟาดอะไรมา




ผมนั่งประจำที่ขับรถเหมือนอย่างเดิม ข้างกายคือตัวปัญหาที่ตอนนี้โกนไรหนวดเขียวครึ้มออกแล้ว แถมผมยังปาดเจลเป็นทรงธรรมชาติอย่างไม่เหลือเค้าซอมบี้ตอนเช้า

เขาคาดเข็มขัดแล้วพึมพำเรื่องที่จะไปถอยรถสักคันมาขับให้ผมนั่ง แต่ขอโทษเถอะ จะมีรถหลายๆคันไปทำไมไม่ทราบในเมื่อเราก็ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่แล้ว

“ให้ไปรับตอนเลิกมั้ย จะได้กลับเข้ามาด้วยกัน” ผมหันหน้าไปถามคนที่กำลังวุ่นวายกับการยัดของลงกระเป๋าอยู่

“…ปกติคำถามแบบนั้นควรเป็นฝั่งนี้ป่ะที่ถามนะ” เคย์พึมพำอย่างอดสู “ไม่เท่เลยสักนิด ทำไมต้องให้มึงมารับด้วยนะ”

“หา? มีปัญหาอะไรกับที่กูจะไปรับหรือไง”

“ก็ปกติกูควรเป็นคนไปรับมากกว่าอ่ะ แบบขับรถไปจอดหน้าคณะมึงแบบหล่อๆแล้วมึงก็ขึ้นมางี้ ละมึงก็จะบอกว่าขอบคุณที่มารับนะ แล้วในใจมึงก็จะคิดว่า เท่จังเลย แฟนเรานี่พึ่งพาได้จริงๆด้วย”

ดะ…เดี๋ยวนะ นี่ผมควรจะขัดมันตั้งแต่ตรงไหนก่อนดีวะเนี่ย

แต่แค่คิดภาพหมอนี่ขับรถผมก็คิดไม่ออกแล้ว ไม่ต้องไปถึงขั้นที่ผมคิดว่าเขาเท่หรอก

“ตอนจะกลับก็ไลน์มาบอกกูด้วยแล้วกัน ถ้ากลับใกล้ๆกันก็จะได้กลับด้วยกันไปเลย”

เคย์ทำหน้าเหมือนอยากประท้วงแต่โดนเย็บปิดปาก มันตลกมากเพราะผมรู้ว่าเขาอยากจะเป็นคนมารับผมเสียมากกว่า ในที่สุดเมื่อรถผมวนมาถึงคณะเคย์ เขาก็ต้องลงไปทั้งๆที่ยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่อย่างนั้น

และผมจะไม่บอกเขาหรอกว่าหลังจากขับรถออกมาแล้วผมก็หัวเราะกับเรื่องนั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย แถมผมยังรู้สึกว่าเขาน่ารักมาก

อ่า…นี่ผมรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายร่างยักษ์ที่ไม่มีส่วนไหนใกล้เคียงกับคำว่าน่ารักได้ยังไงนะ

ผมยังคงอารมณ์ดีถึงแม้ว่าจะหาที่จอดยากมากก็ตาม ความเป็นจริงแล้วผมยิ้มทั้งวันถึงแม้ว่าเพื่อนจะทำงานออกมาได้ห่วยแตกมากก็ตาม แต่ก็เพราะว่ามันแย่นี่แหละ พวกเราถึงต้องอยู่เลยเวลากันเพื่อทำงานต่อ

ผมเหลือบตามองหน้าจอโทรศัพท์ที่ไร้การแจ้งเตือนจากคนที่ผมรอคอย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะเขาอาจจะกลับหอไปก่อนหน้านี้แล้วตอนที่ผมไลน์ไปบอกเขาตอนสี่โมงว่าผมน่าจะกลับดึกกว่านั้น

“จิน แกแก้สไลด์นี้หน่อยได้มั้ยอ่ะ”

ผมเงยหน้ามองเพื่อนร่วมทีมที่กำลังขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งกับสไลด์ซึ่งดีไซน์ดูไม่ค่อยดีเท่าไร ตอนมัธยมพวกผมเรียนรู้มาว่าสไลด์ต้องใส่ข้อมูลกับทำเอฟเฟกเยอะๆ แต่พอเข้ามหาลัย ความเชื่อพวกนั้นก็สลายหายไปเหมือนฝุ่นผงในอากาศ แถมโดนอาจารย์ว่ามาอีกว่าสไลด์พวกนี้มันไม่โปรเอาซะเลย

“เดี๋ยวทำเสร็จแล้วเรามาลองซ้อมพูดกันสักรอบมั้ย” ผมเสนอ

“แต่มันดึกแล้วนะ…”

มาอีกแล้วประโยคนี้ ผมแทบกลอกตาในใจ ในเมื่อพวกเราต่างก็อยู่หอด้วยกันจะกลัวทำไมวะว่ากลับมืดค่ำเนี่ย หอก็อยู่หน้ามหาลัยเอง อีกอย่างหกโมงนี่มันดึกเหรอวะ ทีตอนไปกินเหล้ากลับตีสองตีสามยังไม่พูดเลยว่าดึกนะ

คิดแล้วแม่งขึ้น

“งั้นไปคิดมาก่อนมั้ยว่าเราจะพูดอะไรกัน แล้วค่อยมาซ้อม” เพื่อนที่เป็นคนกลางเข้ามาไกล่เกลี่ยเพราะสัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดของผม

ผมกัดฟันพยักหน้ากับข้อเสนอเป็นกลางนี้อย่างช่วยไม่ได้แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป ถึงแม้ว่าจะนั่งคิดกับตัวเองแล้วก็เถอะว่าชาติไหนงานมันจะเสร็จกันนะ จะทันเดดไลน์หรือเปล่า

ช่างเถอะ พอใกล้เดดไลน์เมื่อไรงานมันก็จะเสร็จของมันแบบงงๆเองนั่นแหละ

“ขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูดังขึ้น เรียกให้พวกผมเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆโต๊ะ ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นคนที่คิดว่าน่าจะกลับหอไปเรียบร้อยแล้วยืนตัวตรงอยู่ใกล้ๆ

“อ่า…คะ?” เพื่อนผู้หญิงในกลุ่มผมพูดตะกุกตะกักเมื่อเห็นหน้าเขา แถมยังเอาผมทัดหูอีกต่างหาก ผมได้ยินมาว่าพฤติกรรมแบบนี้หมายความว่าผู้หญิงคนนั้นสนใจในตัวอีกฝ่าย

เสน่ห์แรงจริงนะพ่อคุณ

ผมหันไปทำตาขวางใส่คนที่เสน่ห์หกเรี่ยราดลงพื้นไปหมดแล้วเพราะรอยยิ้มนุ่มดูใจดีประจำของเจ้าตัวขัดกับตุ้มหูเงินสี่รูที่ส่องประกายล้อกับแสงไฟ

“ผมขอมานั่งรอเพื่อนหน่อยนะครับ”

“เพื่อน? ได้ค่ะ เออ…ไม่ทราบว่าเพื่อนคนไหนเหรอคะ”

มือเรียวยาวของคนนั้นชี้มาทางผมที่นั่งหน้าบูดอยู่ข้างๆ

“ผมเป็นรูมเมทของจินครับ”

และนั่นเป็นการเปิดตัวที่ได้รับเสียงเกรียวกราวจากคนในคณะผมที่ยังนั่งอยู่ในคอมมอน




“เราเชียร์เคย์อยู่นะคะตอนประกวดดาวเดือน หล่อมากๆเลย ยิ่งใส่สูทยิ่งหล่อเข้าไปใหญ่เลยค่ะ”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ทีมแต่งหน้าเขาแต่งให้ดีมากกว่า”

“เสียดายตอนตอบคำถามนิดหน่อยเนอะ”

“ฮ่าๆ ผมตื่นเต้นนะครับ จริงๆหลังจากนั้นคิดคำตอบดีๆได้เพียบเลย”

“เคย์น่าจะได้เป็นเดือนมหาลัยนะ อยากเห็นตอนเดินพาเหรดงานกีฬาอ่ะ”

“ธารเขาเหมาะเป็นเดือนมากกว่าผมอีกครับ”

“โหย ถ่อมตัวมากจ้า”

“แต่กูเห็นด้วยนะ ธารเขาเหมาะกับการเป็นเดือนมหาลัยกว่าเยอะ” ผมสอดปากพูดท่ามกลางเสียงโห่ไล่ของเพื่อนๆที่นั่งอยู่ตรงนั้น

“จิน แกนี่เป็นอะไร อิจฉาเพื่อนเหรอหะที่หล่อนะ ไอ้คนหน้าตาน่ารัก”

“จะอิจฉาเพื่อ กูก็แค่จะบอกว่าเจ้าหน้าปลาจวดนี่เรอะจะเป็นเดือนมหาลัย”

“แรงมากแม่ ถ้าเคย์หน้าปลาจวดมึงต้องเรียกว่าไรจ้ะ”

ผมถลึงตาให้เพื่อนสนิทในคณะที่ตอนนี้กลับมารวมหัวกันแกล้งผมแล้ว

“เนี่ย คือถ้าจินมันเป็นรูมเมทที่น่ารำคาญก็ย้ายมานอนห้องเราได้เสมอเลยนะคะ”

“ทิ้งเบอร์ห้องไว้เลยครับ”

พูดจบก็ได้รับเสียงวี้ดว้ายจากสาวๆ ขี้เต๊าะไม่ต่างกันเลย ผมส่ายหน้าให้กับระดับการเล่นมุขที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อดยอมรับไม่ได้ว่าเป็นอีกมุมที่ไม่ค่อยเห็นเวลาเขาอยู่ตามลำพังกับผม

“แล้วเคย์จะไปลงกีฬาไหนมั้ยคะ จะได้ไปเชียร์”

“ผมว่าจะลงบาสน่ะครับ” เขาพาดแขนกับเก้าอี้ผมตอนพูดประโยคนั้น เผยแขนเฟิร์มๆที่พอดีด้วยกล้ามให้ผู้หญิงส่งสายตาแทะโลมเล่น

“ตอนแข่งต้องการคนไปเช็ดหน้าให้มั้ยคะ”

“ฮ่าๆ ผมว่าถ้ามีน้ำมาให้คงจะชื่นใจมากกว่าครับ”

“แหม พูดอย่างนี้แสดงว่ามีคนมาเช็ดเหงื่อให้แล้วแน่เลย ใครอ่า แฟนเหรอ หรือคนรู้ใจ”

“ฟะ---”

“กูทำงานเสร็จแล้ว เดี๋ยวแยกย้ายกันเลยนะ” ผมพูดขัดบทสนทนาขึ้นมาเมื่อมันไปในทางที่ผมไม่ต้องการเสียเท่าไร ไม่เข้าใจเหมือนกับว่าทำไมไม่อยากได้ยินว่าคนข้างๆมีใครในใจแล้วหรือยัง

“เอากระเป๋ามา เดี๋ยวกูถือให้” ไม่พูดเปล่า เคย์ฉวยเอาโน้ตบุ๊คผมเก็บลงกระเป๋าแถมยังเอาไปสะพายเสียเรียบร้อย ซึ่งเพื่อนผมต่างก็กุมหัวใจกับความสุภาพบุรุษในร่างแบดบอยกันใหญ่

“โอ๊ยยย จิน มึงต้องช่วยเป็นแม่สื่อให้กูแล้วนะ”

“อีจิน ถ้ามึงช่วยกู กูให้เลยหมื่นนึง”

“ฮ่าๆ ผมมีแฟนแล้วล่ะครับ รักมากๆด้วย”

สิ้นคำประกาศของเขาผมก็เอื้อมมือไปจับแขนเขาวิ่งออกมาทันทีก่อนที่เราจะต้องตอบคำถามจากกองทัพสาวๆซึ่งตาวาวพร้อมที่จะล้วงความลับเรื่องรักๆใคร่ๆของเดือนคณะสุดหล่อที่มีกระแสในโซเชี่ยลมีเดียมากมาย


“ที่บอกว่ามีแฟนนี่คืออะไร แอบย่องออกไปติดใครตอนไหนหะ อย่าทำตัวเหมือนหมาที่เห็นผู้หญิงก็กระดิกหางตามไปได้มั้ย” ผมสาดคำพูดรุนแรงกับแววตาดุร้ายไปให้เขาทันทีที่ขึ้นรถ

เรื่องแฟนอะไรนั่นผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย!

เขายิ้มขำรับที่ผมด่าไป เห็นแบบนั้นผมยิ่งอยากกระทืบเท้าใส่อีกสักที ผมโคตรโมโหจริงๆนะ! แทนที่จะสำนึกผิดกับที่ผมด่าไปซะบ้างกลับยิ้มหน้าตาเฉย คืออะไรหะ!

“หมามันไม่ได้กระดิกหางเวลาเห็นผู้หญิงสักหน่อย”

“พูดกันคนละเรื่องแล้วรู้มั้ยหะ! ตอบคำถามสิวะ”

“อุ๊ย ดุจัง”

“กวนประสาท”

“ปากดุๆนี่เนี่ย น่าบีบจัง”

ไม่ว่าเปล่า เขายังบีบแก้มผมจนผมพูดอะไรไม่ได้ด้วย ผมเอามือจับแขนเขาหวังดันออกไป แต่คิดไม่ถึงว่าคนหน้าไม่อายอย่างหมอนี่จะแรงเยอะสุดๆ

“อื้อ!”

“ฟังก่อนสิ อย่าเพิ่งหึงจนหน้ามืด”

“อูไอ่ไอ้อึง!” (กูไม่ได้หึง)

“ครับๆ เข้าใจแล้วครับ ไม่หึงเลย แค่โมโหลมเพชรหึงเฉยๆ”

“อ่างอันองไอ!” (ต่างกันตรงไหน)

“ฟังนะ ที่บอกว่ามีแฟนนั่นก็จริง แฟนกูก็มึงไงจิน”

พูดจบเขาก็คลายมือที่บีบแก้มผมออกแล้วไปล็อคหลังคอผมไม่ให้เคลื่อนไหว จากนั้นจึงก้มลงมาจูบปากผมทีนึงแล้วถอนออกอย่างรวดเร็วเหมือนการจุ๊บกันของเด็กประถม

เขาหัวเราะนิดๆ พึมพำประมาณว่า หว่า เดี๋ยวต้องโดนต่อยแน่เลย

แต่สำหรับผม…

มันไม่พอ

ผมเอื้อมมือไปกระชากคอเสื้อเขาลงมาให้ใบหน้าเขาอยู่ใกล้ผม จากนั้นจึงขยี้ริมฝีปากของตัวเองเข้ากับเขาอย่างรุนแรง ในจังหวะที่เขาเผลอเผยอปากผมก็แทรกลิ้นเข้าไปกระหวัดเกี่ยวอย่างไม่ชินนักตามประสามือใหม่

เคย์อึ้งได้ไม่นานก็ประคองหน้าผมแล้วจูบตอบกลับ เสียงจูบของพวกเราดังเสียจนผมกลัวว่าคนที่อยู่ข้างนอกรถจะได้ยิน มันฟังดูกระหายอย่างน่ากลัว เหมือนกับคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการ

การจูบของพวกเราหยุดลงหลังจากผ่านไปอย่างยาวนานในความคิด ผมหอบหายใจน้อยๆมองดูเขาที่แววตาเริ่มเปี่ยมอารมณ์มากขึ้นทุกที

“เรามีปัญหาซะแล้วล่ะ” เขาแค่นยิ้ม มือชี้ไปที่เป้ากางเกงของทั้งผมและเขา ผมหน้าร้อนเมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์และความร้อนที่พุ่งขึ้นสูงของตัวเอง พอๆกับเป้ากางเกงของอีกฝ่ายที่นูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่ยังคงชื้นเพราะกิจกรรมแลกจูบเมื่อสักครู่ เงยหน้าขึ้นสบสายตากับคนที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับ

พวกเราต่างก็รู้ดีว่าต้องทำอะไร

ผมชี้ไปทางหลังรถ และร่างกายของพวกเราก็ขยับตามสัญชาตญาณ ทั้งผมและเขาเปิดประตูรถ พุ่งตัวไปอยู่เบาะหลังในเวลาไม่กี่วินาที จนกระทั่งเสียงดังปึงของประตูรถที่ปิดสนิท และพวกเราที่ขังตัวเองไว้เรียบร้อยแล้วมองตากัน ผมกับเคย์ถึงได้หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

แต่แล้วเสียงหัวเราะก็ค่อยๆแผ่วไปเมื่อเรายังคงจ้องตากันอยู่อย่างนั้น ริมฝีปากของพวกเราค่อยๆขยับเข้าหากันเหมือนมีแม่เหล็กเป็นแรงดึงดูด

ผมนึกสงสัยว่าตัวผมที่สะท้อนในนัยน์ตาเขาจะเป็นอย่างไรกัน

ตอนแรกพวกเราจูบกันอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงเริ่มไล่ริมฝีปากไปตามอารมณ์ สุดท้ายก็เหลือเพียงสัญชาตญาณนำพาพวกเราทั้งคู่

เสียงปลดกางเกงดังขึ้นคลอกับเสียงจูบของพวกเรา ตัวผมกับเคย์อยู่ชิดกันมากจนสัมผัสได้ถึงไอความร้อนจากตัวอีกฝ่าย ขาพวกเราปัดป่ายไปมา แถมตัวของผมเกือบจะขึ้นไปอยู่บนตักของเขาแล้วเรียบร้อย

ทุกจุดที่เราสัมผัสกันเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน มันถูกจุดขึ้นอย่างรวดเร็วและทิ้งความร้อนไว้ตรงผิวกาย

ผมไล่มือไปตามขาของรูมเมทจนสุดท้ายไปหยุดตรงจุดที่ความปรารถนาอัดแน่น

เคย์ถอนริมฝีปาก แต่ยังคงคลอเคลียอยู่ข้างหูผมไม่เลิก ผมสัมผัสได้ถึงมือร้อนๆของเขาที่บัดนี้กำจัดเสื้อผ้าที่ขวางกั้นจุดหมายและบัดนี้ได้กอบกุมความอ่อนไหวของผมแล้ว

ผมขยี้มือหนักๆตรงส่วนปลายของเขา เรียกลมหายใจถี่กระชั้นให้เป่าที่ข้างลำคอของผม พอๆกับที่เขาเร่งมือตามแรงอารมณ์ของตัวเองทำเอาผมจิกมือเขากับต้นแขนเขาด้วยความสุขสม

“ฮา…อ่า” เสียงนุ่มๆที่ครางอยู่ข้างหูแน่นอนว่าโคตรทำให้ผมตื่นยิ่งกว่าเดิม และตอนนี้ผมเองก็คิดว่าตัวเองคงหน้าแดงตัวแดงเถือกจนทำเอาหมาบ้าเริ่มไล่กัดๆงับๆแถวคอผมไม่เลิก

“หยุด…เลย…อะ…เดี๋ยวเป็นรอย!..อือ” ผมเตือนเมื่อรู้สึกถึงฟันคมที่งับๆลงมา แต่คนที่แปลงร่างไปแล้วก็เหมือนจะกู่ตัวเองไม่กลับ เขาใช้มือข้างที่ว่างถลกเสื้อผมขึ้นและบีบขย้ำเอวผมไม่เลิก

“อย่าหยุดสิจิน อืม…ทำดีๆหน่อย”

กะผีนะสิ!

เขาดุเมื่อผมเสียวซ่านจนหยุดมือข้างที่รูดดึงท่อนเนื้อของเขา เคย์เอามือข้างที่คลำๆแถวเอวผมไปกุมมือผมให้สัมผัสกับท่อนลำนั้นให้มากขึ้นอีก

“อ่า…นุ่มชะมัด…อย่างนั้นแหละ จับมันสิ”

ผมหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินเรื่องสัปดนออกจากปากเขา เคย์สูดหายใจบังคับมือผมให้ไปตามที่ตัวเองต้องการ ผมรู้สึกได้ว่ามือเปียกชื้นแถมยังร้อนจากการสัมผัสสิ่งนั้น ไม่พอ มันยังใหญ่จนทำให้ผมนึกกลัว

“พร้อมกันนะ” เขากระซิบที่ข้างหู แล้วเร่งมือทั้งสองข้าง

จากนั้น ขาผมเหยียดเกร็งด้วยความสุขสม พอๆกับที่เขาดูดคอผมจนเจ็บแปลบ พวกเราปลดปล่อยออกมา มันเหมือนพลุที่ถูดจุดขึ้นและดับลงอย่างรวดเร็วเหลือไว้เพียงช่วงเวลาความสุข

“…เลอะหมด” ผมบ่นเมื่อมือของพวกเราต่างก็เลอะเศษซากของความสุขสม

เคย์ไม่ตอบอะไร เขาเอื้อมมือไปดึงทิชชู่ในกล่องที่อยู่หลังรถมาเช็ดมือ จากนั้นจึงเช็ดให้ผมทีละนิ้วๆจนสะอาด

“เรียบร้อย เราไม่มีน้ำในรถเพราะงั้นไว้ค่อยไปล้างมือที่ห้องแล้วกัน”

ผมพยักหน้า เมื่อหมดบทสนทนาแล้วถึงได้รู้ว่าท่าตอนนี้มันประดักประเดิดแค่ไหน ผมนั่งอยู่บนหน้าขาของเขา หันหน้าชนกัน ใกล้ชนิดที่ว่าเคย์สามารถเอื้อมมือมาโอบผมได้

“เออ…เดี๋ยวกูลงก่อน”

ผมพยายามขยับตัวและสาบานได้ว่าพยายามจะไม่ทำให้ประกายไฟนั่นถูกจุดติดขึ้นมาอีกรอบ แต่พวกเราต่างรู้ดีว่าการระวังมันไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อตัวเราเสียดสีกันขนาดนั้น

“อือ กูว่าเรารีบกลับห้องกันดีกว่า” เคย์ว่าขำๆ “กูอารมณ์ค้างอยู่เลย”

ผมเผลอไผลมองส่วนนั้นของเขาที่ไม่อาจเรียกได้ว่าสงบร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมเองก็ยังรู้สึกถึงประกายไฟล่องลอยวนไปวนมาในอากาศอยู่เลย พวกเราแต่งตัวกันเงียบๆในเบาะหลังรถที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเฉพาะของกิจกรรมเมื่อครู่

“เดี๋ยวกูขับเอง” เคย์ที่แต่งตัวสำเร็จก่อนอ้อมไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ทิ้งผมที่ยังใส่กางเกงครึ่งๆกลางๆไว้ข้างหลังรถ

“ขับเป็นเหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ

“นี่ปกติจินเห็นกูเป็นคนยังไงวะ…อยากรู้” เขาบ่นอย่างละเหี่ยใจ “คิดว่ากูคอไม่แข็ง ไม่เท่ ไม่อะไรเลย ชักจะน้อยใจแล้วนะ”

“คอแข็งก็ไม่ได้แปลว่าเท่สักหน่อย” ผมประท้วง

เคย์ยู่ปากเหมือนอยากจะเถียง แต่สุดท้ายเขาก็สตาร์ทรถขับออกจากที่จอดรถซึ่งมืดอย่างไม่มีแสงไฟชนิดที่ว่าน่ากลัวจะมีโจรออกมาปล้น

แต่คิดอีกที…

ถ้าโจรมาเห็นพวกเราตอนนั้น ฝั่งโจรนั่นแหละที่น่าจะรีบวิ่งหนีไปก่อน
 


ผมไม่คิดว่าครั้งที่สองของเราจะเป็นในรถ

อันที่จริงมันเรียกครั้งที่สองได้มั้ยนะ ในเมื่อเรายังไม่ได้…

ผมโบกมือในอากาศ ปัดความคิดไร้สาระออกจากหัว เคย์หายเข้าไปในห้องน้ำเป็นสิบนาทีแล้ว ผมไม่เคยเห็นเขาอาบน้ำนานขนาดนี้มาก่อน และเพราะเขาเปิดฝักบัวค้างไว้ทำให้ผมไม่รู้ว่าเขาทำกิจกรรมนอกเหนือจากการอาบน้ำในนั้นมั้ย

แล้วทำไมผมจะต้องโฟกัสตรงนั้นด้วยวะ

ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทั้งๆที่หัวยังเปียกชื้น

มันคือความเผลอไผล

มันคืออารมณ์ชั่ววูบ

อา…ผมคิดว่าผมสามารถสะกดจิตตัวเองได้ห่วยทีเดียว

เราต่างก็รู้ดีว่าทุกครั้งที่ผมกับเขาอยู่กันลำพังในห้องนี้ มันเหมือนกับว่ามีประกายบางอย่างที่พร้อมจะถูกจุดให้ระเบิดล่องลอยอยู่ในอากาศ และทุกครั้งผมระวังตัวไม่ให้ไปสัมผัสโดนประจุเหล่านั้น

แต่ตอนอยู่ในรถผมดันชนมันเข้าไปเต็มๆเลยนี่สิ

จะว่าเสียใจก็พูดได้ไม่เต็มปากในเมื่อรสชาติหวานของช่วงเวลานั้นยังติดอยู่ที่ปลายลิ้น

ผมเผลอใช้ปลายนิ้วลูบริมฝีปากของตัวเอง คิดกังวลว่ามันจะนุ่มมั้ยนะ หรือตอนเราจูบกันมันจะมีแค่ผมที่รู้สึกดีหรือเปล่า

ติ๊ง!

งับ!

ผมแทบจะร้องอ๊ากเมื่อเสียงไลน์ที่ดังขึ้นขัดความคิดจนเผลองับนิ้วของตัวเองเข้าไปจริงๆ พอเอาออกมาดูก็เห็นว่าผิวเป็นรอยแดงเพราะแรงกัด

ผมถอนหายใจ หยิบเอาโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะพบข้อความที่ทำให้ตัวแข็งเป็นหิน

Rain : วันงานจะเจอกันที่ไหน

เออว่ะ

อีกสามวันจะถึงวันอีเว้นท์คอสเพลย์แล้ว

เพราะมัวแต่วุ่นวายกับเรื่องน่าสับสนในหัวตัวเองแล้วก็งานที่มหาลัย ผมถึงกับลืมอีเว้นท์ที่รอมานานเลยหรือ ผมจับโทรศัพท์พิมพ์ตอบเขากลับไป

JIN : ไม่อยากเจอกับมึงหรอก

Rain : คิดว่ากูอยากเจอกับมึงนักเหรอ

JIN : 9โมงหน้างาน?

Rain : ได้ ตามนั้น

ผมวางโทรศัพท์ลงเมื่อจบบทสนทนาห้วนๆตามปกติเวลาเราคุยกัน นั่นคือเรน เพื่อนในวงการคอสเพลย์สายแทร็ปของผมเอง เป็นคนน่ารำคาญที่ย้อนกลับไปได้จะไม่ยอมรู้จักกับมันเด็ดขาด

ผมละสายตาไปมองประตูห้องน้ำที่ยังมีเสียงน้ำไหลอย่างต่อเนื่อง เมื่อแน่ใจว่าคนที่ยังคงอาบน้ำอยู่คงจะไม่ออกมาในเร็วๆนี้ผมจึงลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าซึ่งผมยังคงซ่อนเสื้อผ้าใหม่ๆไว้ในนั้น

กิโมโนลายซากุระสีชมพูอ่อนยังคงพับอยู่ในกล่องอย่างเรียบร้อย สายโอบิสีชมพูเข้มถูกวางไว้ข้างๆพร้อมกับวิธีการผูก ผมไล่นิ้วสัมผัสกับเนื้อผ้านุ่มลื่น สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของตัวเองไม่ต่างจากครั้งแรกที่หยิบเดรสจากตู้เสื้อผ้าของแม่มาลองใส่

ในที่สุดผมก็คลี่กิโมโนตัวนั้นออกมาทาบกับตัวเอง จ้องมองตัวเองในกระจกจนไม่รู้สึกตัวว่าตอนนี้เสียงน้ำหยุดไปแล้ว พร้อมๆกับที่เคย์เปิดประตูออกมาในชุดนอน

“ชุดใหม่เหรอ” เขาไม่ได้ผงะหรือส่งสายตาเคลือบแคลงมาที่ผมซึ่งกำลังทาบชุดของผู้หญิงกับตัว

“อือ”

“จะลองมั้ย”

“นิดหนึ่งก็ดี”

แต่คิดๆแล้วผมก็มองไปทางด้านหลังอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ ซึ่งเคย์ก็ทำหน้าซื่อมองผมด้วยตาใสๆ

“ครั้งที่แล้วกูแค่เข้าใจผิด ปกติกูควบคุมตัวเองเก่งจะตาย”

เหรออออ

ผมส่งสายตาค้อนให้กับคำตอบนั้น แต่ก็เอาเหอะ เห็นกันไปหมดแล้ว ใช่ว่าจะน่าอายซะหน่อย….แถมผมยังอยากแกล้งคนที่กล้าเคลมตัวเองว่าจะไม่ทำอะไรด้วย

“อยากเห็นกูใส่นักใช่ป่ะ” ผมหันกลับไปเห็นเขากลืนน้ำลายเอื๊อกจนลูกกระเดือกขยับอย่างชัดเจน “งั้นนั่งเฉยๆซะนะ”

เพราะผมจะค่อยๆใส่ทีละชิ้นต่อหน้าเขาเอง : )


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อดกลับมาทางสายกามไม่ได้จริงๆค่ะ :hao5: :hao5: :hao5:
คอสเพลย์จงเจริญ! คอสเพลย์จงเจริญ!
เรื่องดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้ว พร้อมกับมาม่าหรือยังคะ /สูดบะหมี่

@nofsnof
ดีใจจังค่ะที่ยังมีคนจำนพได้ กรี๊ดๆ รอดูว่าคุณเขาจะมีบทบาทอะไรอีกมั้ยกันนะคะ หลังจากพบจุดจบของเขาในเรื่องสั้นไปแล้ว ฮา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2019 23:31:27 โดย MeiHT »

ออฟไลน์ yunnutjae

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
จะมีมาม่าเรืองอะไรอีกกกกก  :z3:
รอเค้าสวีทกันอยู่นะะ ตัดภาพมาตอนปัจจุบันเลยได้ไหมอะ 555555555555555555555

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
«ตอบ #254 เมื่อ06-02-2019 23:16:49 »

แหม..มมมม นึกว่าจะต่อจากบนรถ   :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ Ashita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
«ตอบ #255 เมื่อ07-02-2019 13:51:20 »

อาจมีคนทนไม่ได้ในตอนหน้า  :hao6:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
«ตอบ #256 เมื่อ07-02-2019 20:09:03 »

น่าจะนั่งไม่ติดเตียง 5555555555

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
«ตอบ #257 เมื่อ07-02-2019 21:03:08 »

จะทนได้เหร้ออเคย์

ออฟไลน์ TheWanFah

  • ความใกล้ชิด บางครั้ง ทำให้เราเผลอคิดไปเอง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
«ตอบ #258 เมื่อ07-02-2019 21:20:42 »

เราชอบกามๆ แค่ก ๆ

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
«ตอบ #259 เมื่อ07-02-2019 23:00:53 »

เฮือกกกกกก ตอนหน้าเราจะเตรียมยาดมพร้อมทิชชู่ รอเลยค่าาาาา :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
« ตอบ #259 เมื่อ: 07-02-2019 23:00:53 »





ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
«ตอบ #260 เมื่อ08-02-2019 23:14:32 »

สายกามจงเจริญ​ !! แฮ่ รอดูโชว์จากจินนะ อิอิ :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ piiya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-2
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
«ตอบ #261 เมื่อ09-02-2019 07:39:09 »

 o13 จินร้ายกาจจจจจจจ

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
«ตอบ #262 เมื่อ10-02-2019 18:02:03 »

เคย์จะทนไหวมั้ยเนี่ยย

ออฟไลน์ MeiHT

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่7 P.9 UP!![06/2/19]
«ตอบ #263 เมื่อ12-02-2019 22:51:13 »

บทที่ 8 : Cosplay event ที่เศร้าที่สุด

   ผมปลดกระดุมทีละเม็ดๆแบบช้าๆ รับรู้ถึงสายตาร้อนแรงที่จ้องมองมาจากคนที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียง เมื่อปลดกระดุมจนครบผมก็ปล่อยให้ผ้าลื่นๆของชุดนอนเลื่อนลงจากไหล่ ร่วงสู่พื้น

   จากนั้นจึงเกี่ยวขอบกางเกง เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยแล้วรูดขากางเกงออกมาทีละข้าง จนกระทั่งเรียวขาผมเปลือยเปล่าจนได้รับสัมผัสเย็นเชียบจากแอร์

   “หือ เย็นจัง” ผมเอาแขนพาดช่วงหน้าอกตัวเองไว้ เอนหลังพิงโต๊ะเขียนหนังสือแล้วขยับรอยยิ้มยั่วนิดๆ

   หน้าเคย์แดงก่ำ เดาว่าอะไรๆที่ยังไม่สงบเต็มร้อยและอารมณ์ค้างมาตั้งแต่ในรถคงกำลังเริ่มกลับมาตั้งตรงอีกครั้ง แต่ผมทำเหมือนเขาไม่อยู่ในห้อง เดินไปหยิบกิโมโนในกล่องทั้งๆที่สวมแค่ชั้นใน
ตอนที่ก้มลงหยิบ แน่นอนว่าต้องอวดทรวดทรงอันนน่าภูมิใจของตัวเองกับคนที่จ้องผมตาไม่กระพริบอยู่แล้ว

    ผมค่อยๆใส่กิโมโน หมุนตัวเช็คโดยที่ยังไม่ได้คาดผ้าโอบิ ทำให้ชายกระโปรงกิโมโนที่สั้นอยู่แล้วไหวพริ้วจนแทบปิดก้นไม่อยู่ การใส่ที่ไม่เรียบร้อยทำให้ทุกครั้งที่ขยับร่างกายจะเผยเนื้อขาวเนียนออกมาวับๆแวมๆ

   จากนั้นผมจึงหยิบจอกสีแดงที่เป็นพร็อบของการคอสครั้งนี้ออกมา เปิดตู้เย็นเอาขวดสาเกที่ตั้งใจจะเอาขวดไปใช้ประกอบในวันงานเช่นกันมาเทใส่ในจอก

   ผมยกจอกขึ้นดื่ม ก่อนจะแกล้งทำมันหกไหลรินจนน้ำสาเกไหลเปื้อนออกมาจากมุมปาก หยาดน้ำหล่นร่วงไปถึงแผ่นอกขาวเนียน

   ผมไล่นิ้วตัวเองตามหยดน้ำ จากริมฝีปากชุ่มชิ้นไปถึงปลายคาง วนนิ้วตรงแผ่นอกตัวเองนิดหน่อย สุดท้ายก็เล่นกับตุ่มไตสีชมพูของตัวเอง สะกิดมันด้วยปลายนิ้วเย็นจนตั้งชัน

   ผมกัดริมฝีปากเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงความเสียวจากจุดอ่อนไหว

   แหมะ!

   ผมถลึงตาเมื่อเห็นคนที่นั่งตรงขอบเตียงมีเลือดไหลเต็มจมูกทั้งๆที่ตายังลอยเหม่อมองผมไม่เลิก

   “เลือด! บ้าเอ๊ย ทิชชู่ๆ” ผมคว้าทิชชู่มาปั้นเป็นก้อนยัดมือเขาเมื่อเห็นว่าเคย์ยังคงมองมาทางนี้ไม่เลิกแถมยังไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเลือดกำเดาไหลแล้วเรียบร้อย

   “….ขาวจัง”

   “ใช่เวลามั้ยเนี่ยไอ้บ้าเอ๊ย!” ผมเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากเจ้าหมาตัวโตจนมันนอนหงายเก๋ง “ไปจัดการตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้หมาหื่นกาม!!”

   หลังจากการนอนนิ่งๆนานราวสามนาทีคนตัวสูงก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการคราบเลือดให้เรียบร้อย ส่วนตัวผมเองที่หมดอารมณ์จะแกล้งแล้วก็สวมโอบิอย่างถูกต้องแล้วลองแต่งหน้าใส่วิกผมแล้วมานอนเกลือกกลิ้งบนเตียงพร้อมยกโทรศัพท์ที่ติดฟิล์มกระจกมาส่องหน้าตัวเองไม่เลิก

   หางตาผมสังเกตเห็นคนที่ใช้ห้องน้ำอย่างหนักหน่วงเดินออกมาแล้วจึงส่งเสียงทักเขา

   “ชุดสวยเนอะ”

   “อือ”

   ผมยังคงชื่นชมกับลวดลายและเมคอัพบนหน้าจนไม่สังเกตว่าเตียงยวบยาบลงมาเพราะร่างใหญ่ๆของเคย์ได้คลานเข่ามาทาบทับบดบังแสงไฟเรียบร้อยแล้ว เขาหยิบมือถือในมือผมเขวี้ยงลงไปแลนด์ดิ้งอย่างสวยงามบนผ้าห่มของเขา

   “เดี๋ยวก่อนสิ อ๊ะ!” ผมอุทานเมื่อคนข้างบนเลื่อนมือเข้ามาทางใต้กิโมโนแล้วจับหมับเข้าที่ต้นขาอย่างจาบจ้วง แขนของเคย์ที่สอดเข้ามาทำให้รอยแยกของกิโมโนฉีกมากขึ้นจนเห็นขาเรียวที่ยกชันขึ้นเพราะความตกใจ

   ผมหันไปสบตาเขา

   หมาป่า หมาป่าชัดๆ

   มือข้างหนึ่งของเคย์ถือจอกใส่สาเกไว้จนเต็ม ในจังหวะที่ผมอ้าปากห้าม เขาก็เทมันใส่ปากผม รสขมๆแล่นเข้ามาจนผมเกือบสำลัก

   “เสียดายนะถ้าจะเปิดแล้วไม่ได้กินน่ะ” เขาว่าด้วยรอยยิ้มเผยฟันเขี้ยวข้างเดียว ชายหนุ่มหันไปเทสาเกใส่จอกอีกรอบแล้วดันมันเข้าชิดริมฝีปากผมอีกครั้ง

   ดูท่าว่าถ้าวันนี้ผมไม่ได้ดื่มมัน เขาคงจะไม่ยอมเลิกแหงๆ ผมจึงอ้าปากรับครั้งแล้วครั้งเล่าจนหน้าแดงไปหมด น้ำร้อนๆไหลลงคอ แผดเผาไปถึงภายในจนร้อนรุ่ม

   มึนหัว…

   ผมเริ่มเห็นเคย์เป็นภาพเบลอๆ โลกเริ่มจะหมุนไปในทิศทางที่ไม่ต้องการ

   “กินอีกสิ” คำพูดเขาดังอยู่ข้างหู ผมส่ายหน้านิดๆเป็นเชิงว่าดื่มไม่ไหวแล้ว แต่เคย์ส่งนิ้วเข้ามาในปาก กดลิ้นของผมไว้จนผมประท้วงไม่ออก

    “อีกนิดหน่อยเองคนดี จะหมดแล้วเห็นมั้ย”

   ว่าพลางใช้นิ้วดันอ้าปากผมเล็กน้อยแล้วค่อยๆรินสาเกลงมาจนผมต้องกลืนมันลงไปอีกครั้งจนได้ ร่างกายผมสั่นไปหมด แถมยังน้ำตาคลอเพราะโดนบังคับไม่หยุดหย่อน

   อุณหภูมิในร่างกายผมพุ่งสูงพร้อมๆกับอารมณ์บางอย่างที่ผุดพรายขึ้นมาเพราะการโดนบังคับ

   …กลัวแต่ก็ไม่อยากให้เขาหยุด

   “โธ่ น่ารักจริงๆ ร้องไห้ไม่หยุดเลย” เขาพึมพำในขณะที่สติของผมแทบไม่เหลืออยู่ เคย์วางจอกสีแดงไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง มือข้างหนึ่งของเขาประคองหน้าผมที่เริ่มโงนเงนเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์

   “อือ…” ผมตัวร้อนไปหมดจนรู้สึกว่ามือของเขาเย็นมาก ผมจึงดันแก้มตัวเองให้ถูไปกับมือของเขา แถมยังใช้สองมือจับแขนเขาเหมือนไม่อยากให้หนีไปไหน

   “น่ารัก” เคย์ใช้นิ้วโป้งของมือข้างที่ประคองแก้มผมอยู่ดันริมฝีปากผมซึ่งเปียกแฉะเพราะสาเก แล้วจึงค่อยๆสอดนิ้วเข้าปากผมให้ผมดูดดุนมันจนได้ยินเสียงน่าอาย

   “เก่งมากเด็กดี” เขาชม สมาธิที่เหลืออยู่น้อยนิดของผมโฟกัสอยู่ที่การขบปลายนิ้วโป้งของเขาจนไม่ได้สังเกตการรุกรานจากข้างล่างเลยแม้แต่น้อย

   มือหยาบๆของเคย์บีบเค้นเนื้อที่ขาอ่อนของผมจนขึ้นเป็นรอยแดงตัดกับผิวขาวๆไปหมด เขาค่อยๆไล่มือขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงจุดอ่อนไหวซึ่งไร้ปราการป้องกัน กิโมโนของผมถูกร่นขึ้นมาจนกองที่เอวในขณะที่ส่วนบนหลุดลุ่ยซ้ำยังเปียกชื้นเพราะสาเกส่วนหนึ่งที่ผมไม่อาจดื่มได้

   เส้นผมสีน้ำตาลยาวถึงบั้นเอวของผมสะบัดไปมารับกับกิโมโนสีชมพู เคย์มองตัวผมพร้อมกับเลียริมฝีปากไปด้วย

   “จะทานแล้วนะครับ”

   “อือ!” ผมร้องเมื่อรู้สึกได้ถึงการรุกรานเบื้องล่าง เขาส่งนิ้วเข้ามาในร่างกายของผมอย่างจาบจ้วงจนผมตกใจ แต่ภายหลังเขาก็ค่อยๆขยับให้ร่างกายผมผ่อนคลาย

   “ชู่วๆ เด็กดี ไม่เป็นไรๆ” เสียงเขาที่ปลอบข้างหูกับการขยับมือที่ประคองหน้าผมไปมาทำให้ผมผ่อนคลายไม่น้อย นิ้วของเขาเพิ่มขึ้นจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม ขยับไปมาในช่องทางคับแคบเพื่อขยายมันเตรียมพร้อมรับสิ่งที่ใหญ่โตกว่านั้น

   ผมบิดตัวอย่างเสียวซ่านเมื่อเขาไปโดนจุดนั้นพอดี

   “ตรงนี้เหรอ?” เคย์ย้ำมันซ้ำๆสองสามครั้งทำเอาผมร้องครางออกมา

   “อือ…ตรงนั้น อ๊ะ”

   “ได้ครับ รู้สึกดีจนรัดนิ้วกูซะแน่นเชียว น่ารักจัง”

   นิ้วของเขาหมุนขยับในร่างกายผมอีกสักพักก็พร้อมแล้วสำหรับการเตรียมร่างกาย เจลเย็นๆถูกเทเตรียมพร้อมกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นต่อไป

   “ถ้าเจ็บ…บอกทันทีเลยนะ” เขากำชับในตอนที่หมุนนิ้วไปมาในร่างกายผมเป็นครั้งสุดท้ายจนโดนจุดนั้นอีกครั้ง บั้นท้ายผมยกขึ้นลอยจากเตียงด้วยความเสียวซ่าน ร่างกายบิดเร่าเรียกร้องคนตรงหน้า

   “หุบปาก…แล้วใส่เข้ามา…เร็วๆสิ” ผมพูดอย่างกระท่อนกระแท่นเหมือนคนที่ถูกโยนขึ้นไปบนฟ้าแล้วลอยคว้างอยู่อย่างนั้น

   เขายิ้มขำ

   “ครับๆ คนสวยนี่ชอบเอาแต่ใจจริงๆ”

   เขาค่อยๆดันตัวเข้ามาอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้ผมเจ็บ ดันเป็นผมซะมากกว่าที่อยากให้คนตรงหน้าใส่เข้ามารวดเดียวแล้วฉุดกระชากผมลงมาจากฟากฟ้าเสียที เขาแช่ค้างไว้สักพักแล้วดันตัวเข้ามาจนสุดจนผมเกร็งนิ้วเท้าด้วยความสุขสม

   ตัวตนของเขาคับแน่นเต็มช่องทาง เมื่อขยับทีก็โดยจุดนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผมแทบจะปลดปล่อย

   เคย์ก้มลงจูบผมในตอนที่เขาขยับตัวเข้าออก ใบหน้าเราคลอเคลียไม่หยุดในขณะที่ช่วงเอวนั้นกระเด้งกระดอนเพราะแรงที่สอดเข้ามา

   เขาสอดมือเข้ามาในสาปเสื้อกิโมโนเพื่อนวดหน้าอกผมโดยเฉพาะ หนำซ้ำยังขยี้จุดอ่อนไหวสองจุดจนผมต้องข่วนแผ่นอกเขาระบายความรู้สึก

   มือชายหนุ่มฟ้อนเฟ้นไม่หยุดเหมือนกับพยายามบีบคั้นเอาหยาดน้ำนมออกมาให้ได้ ผมสะบัดหน้าด้วยความเสียวซ่านเมื่อเคย์ดึงจุกสีเชอร์รี่แล้วขยี้มันต่ออย่างรุนแรงจนน่ากลัวว่าพรุ่งนี้จะต้องแดงช้ำ

   “คนดี….ชอบนะ ชอบมากๆ” เขาพึมพำพร้อมกับเร่งจังหวะเอวไปจนถึงปลายทาง หน้าหล่อๆบิดเบี้ยวเพราะแรงอารมณ์แต่ก็ยังปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่ายังคงดูดีมาก

   ผมชะงักไปในจังหวะที่เขาพูดถึงความรู้สึกของตัวเอง แทบสร่างเมาเพราะรู้สึกถึงผีเสื้อตัวนึงที่บินผ่านตาผมไปเกาะตรงข้างหมอน ผมเกือบจะแตะมันและเผลอก้าวล้ำเข้าหาสิ่งที่ผมหวาดกลัวมาตลอด แต่ผมห้ามตัวเองไว้ได้ทัน

   ผมจ้องมองผู้ชายที่เคลื่อนไหวบนร่างกายของผมด้วยสายตาเหม่อลอย

   “อือ” ผมไม่รู้จะตอบว่าอะไรเลยแค่ส่งเสียงในลำคอกลับไป ไม่ตอบรับและไม่ทั้งปฏิเสธ
ในชั่วแวบหนึ่งใบหน้าของเคย์ฉายแววอะไรสักอย่างขึ้นมา ผมไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรระหว่างความเศร้ากับความผิดหวัง

   แต่มันทิ้งรสขมปร่าไปในอารมณ์กระทั่งตอนที่ร่างกายพวกเราเหยียดเกร็งเพราะความสุขสม


   หลังจากวันนั้น ผมตื่นเช้ามาแล้วปวดหัวมากๆ แต่เพราะเคย์จัดการตัวผมให้เรียบร้อยตั้งแต่เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า เอากิโมโนไปซักมือ รีดมันจนเรียบ ผมจึงทำตัวสบายใจนอนเล่นได้ต่อไปอีกวันหนึ่ง

   ครั้งที่สองไม่เจ็บเท่าครั้งแรก แถมผมยังค่อนข้างเอนจอยอีกด้วย เสียอย่างเดียวคือหลังจากนั้นเราไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร เหมือนบรรยากาศแปลกๆมันจะกลับมาอีกแล้ว ผมจึงรีบออกจากห้องแต่เช้าในวันที่มีอีเว้นท์คอสเพลย์เพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัดโดยทิ้งไว้เพียงโน้ตที่บอกว่าผมจะไปงานอะไรและคงจะกลับค่ำเพียงเท่านั้น

   ห้องที่เคยอบอุ่นด้วยร่องรอยแห่งชีวิตกลับเย็นชืดเพราะไออุ่นของอีกฝ่ายหายไป

   ผมไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของเขา แต่ผมไม่ใช่คนขี้ตื้อที่จะเดินไปถามอีกฝ่ายว่าทำไมเรื่องราวมันถึงเป็นอย่างนี้

   หลังออกจากรถไฟฟ้าที่เย็นเฉียบเพราะเครื่องปรับอากาศ ผมหอบกระเป๋าที่แบกชุดมา พบกับเรนที่จุดนัดพบเวลาเก้าโมงเช้าพอดี ปะทะฝีปากกันนิดหน่อยแล้วจึงเข้าไปเปลี่ยนชุด

   ทั้งผมและเขาเข้าไปในงานตอน11โมง เรนหันหน้ากลับมามองผมที่อยู่ในชุดกิโมโนลายซากุระสีชมพูกระโปรงสั้นและวิกผมยาวสีน้ำตาลอ่อนเข้ากับชุด เขาอ้าปากพะงาบๆเหมือนจะถามอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ขมวดคิ้วมุ่นแล้วหุบปากไป

   ผมมองบรรยากาศรอบกาย มีคนจำนวนมากที่ชอบในสิ่งที่ผมชอบมารวมตัวอยู่ด้วยกัน พวกเราที่สังคมไม่เข้าใจแต่กลับได้
พบเจอเพื่อนมากมายในสถานที่นี้ บางคนแต่งตัวด้วยแฟชั่นแปลกๆ สไตล์โกธิค ร็อค โลลิต้าหรือหูแมวที่ปกติคงไม่มีวันได้เห็นตามถนนหนทางถูกงัดเอาออกมาใส่ในวันนี้ คนเดินถือเคียว ดาบ หรือแม้กระทั่งมีปีกติดหลัง มีมากมายเสียจนละลายตา กระทั่งผู้ชายตรงนั้นที่ใส่หูแมวยังเดินได้อย่างคนปกติไม่มีใครมอง

   สถานที่ที่คนประหลาดจะกลายเป็นคนปกติ

   ใจผมเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นเหมือนครั้งแรกที่ได้มางานอีเว้นท์แบบนี้

   “ลัคกี้ ได้เจอจริงๆด้วย เราเป็นแฟนคลับของพวกคุณนะคะ คุณคอสสวยมากๆเลย เหมือนเห็นตัวละครออกมาเดินจริงๆเลย” ผู้หญิงที่สังเกตเห็นเดินเข้ามาทักทายผมกับเรน

   พวกเราโค้งเป็นเชิงขอบคุณอย่างเดียว เนื่องจากมีกฎห้ามพูดอย่างเด็ดขาด

   “ขอถ่ายรูปด้วยได้มั้ยคะ”

   หลังจากการถ่ายรูปกับแฟนคลับบางส่วนก็มีเสียงเอะอะจากประตูทางเข้า ผมกับเรนหันไปมองก่อนจะพบว่ามีผู้ชายตัวสูงใหญ่คนหนึ่งถูกกักไว้ตรงนั้น เขาใส่แมสปิดปากสีขาว หมวกสีดำกับแว่นตากันแดดจนมองไม่เห็นหน้า เห็นเพียงเสื้อสกรีนลายสัญลักษณ์นักเล่นแร่แปรธาตุในเรื่องFMA

   …น่าสงสัยสุดๆ

   “นั่นอะไรอ่ะ” ผมชะโงกตัวเข้าไปกระซิบถามคนข้างๆ

   “จะไปรู้เรอะ ก็ยืนอยู่กับมึงตรงนี้เนี่ย คิดว่ากูสามารถถอดจิตไปตรัสรู้ได้หรือไง ว่าแต่แต่งตัวเหมือนโจรชะมัด แบบนั้นใครเขาจะให้เข้ามาล่ะ”

    “พูดมากชะมัด เพราะอย่างนี้ถึงไม่มีคนทนอยู่กับมึงได้ยังไงล่ะ ไอ้คนไม่มีเพื่อน” ผมแขวะ

   “อ้อออ พูดเหมือนมึงมีเพื่อนมากสิเนอะ อุ๊ย ลืมไปเลยว่านอกจากไม่มีเพื่อนแล้วยังจะฟอลโลเวอร์น้อยอีก ฮะๆๆ อุ๊บส์ แรงไปหรือเปล่านะ”

   “หา? ว่ายังไงนะไอ้หน้าโง่ คนอย่างแกที่เน้นคอนเทนต์วาบหวิวจนหมดความเป็นอาร์ตพูดได้หรือยังไงกันหะ แล้วไหนๆก็ไหนๆไม่บอกฟอลโลเวอร์แกไปเลยล่ะว่าเป็นสายแทร็ปน่ะ หา!”

   “โห ช่างกล้า พูดเหมือนตัวเองไม่เน้นเรื่องวาบหวิวเลยนะ คนอย่างแกพูดได้อย่างไม่อายปากเลยเหรอไง”

   “ก็ยังดีกว่าคนที่กล้าเคลมตัวเองว่ามีฟอลโลว์เยอะล่ะนะ”

   “ไอ้เตี้ยหมาตื่นอย่างแกก็ทำได้แค่เห่าจากข้างล่างเท่านั่นแหละ”

   “อ้ออ ตัวเองดีตายล่ะ หรือความสูงของแกมันจะทดแทนในส่วนของปัญญาไปหมดแล้วกัน”

   “หุบปากได้มั้ย ฟาร์มหมามันส่งกลิ่น”

   ผมกับเขาจ้องตากันอย่างมีน้ำโห ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็เอาแต่ทะเลาะกันจนน่างงว่าทำไมยังต้องมาอีเว้นท์กับเจ้าหมอนี่ทุกรอบกันนะ

   จนท้ายที่สุดพวกเราสะบัดหน้ากันไปคนละทาง แต่สุดท้ายก็ออกเดินงานไปต่อด้วยกันอยู่ดี

   “นี่ไอ้หมากระเป๋า” เสียงกวนประสาทจากคนข้างๆทักขึ้น

   “ใครหมากระเป๋าวะ เจ้าหน้าโง่”

   “มึงนั่นแหละ แล้วก็อย่ามาเรียกกูโง่”

   “โฮ่ คนที่แพ้การแข่งเคสกับกูทุกรอบมีสิทธิ์พูดด้วยเหรอ ไอ้-หน้า-โง่”

   “เจ้าหมากระเป๋าชิวาว่าขนเกรียนอย่างมึงมันน่ารำคาญจริงๆ ที่กูมาเสียเวลาเดินกับมึงนี่เพราะว่าสงสารคนที่ไม่มีเพื่อน
หรอกนะ”

   “จะพูดว่าตัวเองมีเพื่อนหรือไง”

   “…”

   “…”

   ผมกับเขาตัดสินใจหุบปากฉับเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

   “เออ ไม่ใช่สิ ไอ้หมากระเป๋า ที่จะพูดนี่คือสังเกตมั้ยว่าคนข้างหลังเดินตามเรามา”

   “หา? อย่ามาหลอกกันให้ยากเลย” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ตาผมก็แอบเหลือบมองไปข้างหลังก่อนจะเห็นบุคคลปริศนาที่ปิดหน้าจนมองไม่เห็นผิวเนื้อในชุดFMAเดินตามมาจริงๆด้วย

   “สตอกเกอร์มึงเหรอ ช่วงนี้มีคนมาคุยบ่อยนี่ เรียนอยู่มหาลัยเดียวกันด้วยป่ะ ที่มึงเล่าให้ฟัง” เรนขมวดคิ้วมุ่น ดึงแขนผมให้เดินไปข้างหน้าเขา

   “ของมึงหรือเปล่าเหอะ” ผมพยายามขืนตัวทว่าแรงเรนเยอะเกินกว่าผม ผมจึงจูงแขนเขาเดินหลบหลีกเข้าไปในกลุ่มคน

   “เขามองมึงอยู่เห็นๆ”

   “…เขาปิดตาขนาดนั้นมึงรู้ได้ยังไง ตรัสรู้เรอะ”

   “กูเป็นคนช่างสังเกต ไม่เหมือนคนที่ไม่เคยเห็นหัวคนอื่นอย่างมึง”

   “หา? เมื่อไรจะเลิกแขวะเรื่องนี้สักที มันน่ารำคาญ ไอ้คนยึดติดกับอดีตเอ๊ย”

   “ไปหลบอยู่มุมนั่นไป เดี๋ยวกูจัดการเอง” เรนจัดการดันผมเข้ามุมในพื้นที่ที่คนน้อยพอสมควร ผมฉุดแขนเขาไว้เมื่อคนตัวสูงเพรียวในชุดกิโมโนยูกิอนนะสีฟ้าทำท่าจะออกไปบวก

   “มันอันตรายนะ”

   “กูเตะได้ เทควันโดสายดำ”

   “หยุดเลย!” ผมดึงแขนเขาไว้ ใส่กระโปรงอย่างนี้แค่จะยกเท้าขึ้นยังทำไมได้เลย!

         เรายังทะเลาะกันไม่หยุดในตอนที่เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากข้างหน้า

   “…ขอโทษนะครับ”

   ปั่ก!

   เสียงเรนเสยขาเตะคนแปลกหน้าในชุดFMAดังขึ้น แต่เขาเอนตัวหลบไปทันควันจนขาเรียวของเรนทำได้เพียงเฉี่ยวเอาหมวกของคนคนนั้นหลุดไป ผมตบหน้าด้วยความหน่ายใจ โชคยังดีที่หมอนี่รอบคอบถึงขนาดใส่กางเกงเซฟตัวเองไว้แล้ว

   “สู้กันเหรอ”

   “คอสเพลย์เรอะ”

   “บทบาทสมมุติรึเปล่า”

   “ว้าว เตะสวยมาก!”

   เสียงปรบมือเกรียวกราวดังขึ้นจากทั่วสารทิศ ผมดึงแขนเรนจนเกือบกระชากเมื่อเห็นเรือนผมภายใต้หมวกสีดำนั่นเป็นสีน้ำตาลเข้มแบบคนย้อมผมตามแฟชั่นเป็นคนคุ้นเคย เขาเกี่ยวมาส์กปิดปากออกพร้อมยกมือเป็นเชิงยอมแพ้

   จะไม่คุ้นเคยได้อย่างไรในเมื่อผมนอนข้างๆเขาทุกวัน!

   “หยุด! นั่นคนรู้จักกูเอง”

   “หา? ตั้งแต่เมื่อไรกันที่มึงรู้จักคนน่ากลัวแบบนี้” เรนถอยมาอยู่ข้างๆผมเมื่อผมบอกเขาอย่างนั้น เขาพิจารณาเคย์ที่ถอดผ้าปิดปากและแว่นตาเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าคมๆกับคิ้วเฉียงขึ้นดูเป็นคนจริงจัง ริมฝีปากคล้ำเหมือนคนสูบบุหรี่กับตุ้มหูจิวเงินสี่อันที่ใบหูทำให้เรนมองด้วยสายตาเคลือบแคลงไม่เลิก

   “รูมเมทที่มหาลัยกู”

   “หะ? รูมเมท” เรนเหมือนจะช็อคเมื่อได้ยินว่าผมอยู่อาศัยร่วมห้องกับคนอื่น

   ชายหนุ่มตัวสูงผู้ตกเป็นหัวข้อสนทนาใส่ผ้าปิดปากกลับไปทันทีที่ผมสามารถระบุตัวเขาได้

   “มาทำอะไรที่นี่เนี่ย” ผมขมวดคิ้วมุ่นถามเขา ถึงแม้จะเดาได้ก็ตามว่าเขาคงตามมาจากโน้ตที่ผมเขียนทิ้งไว้ให้

   “กู…” เขากลอกตาลอกแลกกับการหาข้ออ้าง “เดินผ่านมาเฉยๆ”

   “เชื่อก็ควาย!” ผมพุ่งไปเขย่งตัวตะปบหน้าไอ้คนที่ทำตัวน่าสงสัยทันที

   “ก็ได้ๆ!” เคย์ยกแขนสองข้างเป็นการยอมแพ้ “กูแค่รู้สึก…หึงอ่ะ ที่มึงจะออกมาคอสให้ใครๆเห็น”

   “หา!?” ไม่ใช่เสียงผม นั่นคือเสียงเรนที่เบิกตากว้าง “นี่มึงมีแฟนแล้วเหรอ”

   “ไม่ใช่แฟน!” ผมตอบกลับไปทันควัน แต่หางตาสังเกตปฏิกิริยาที่ซึมไปของอีกฝ่ายจนเหมือนหมาหงอยๆที่หูลู่หางตก

   “อ่า…ครับ ไม่ใช่แฟนหรอกครับ ผมแค่ชอบเขาข้างเดียวน่ะ” เคย์อธิบายออกมาเสียงเรียบจนผมใจเสียกับความนิ่งของอีกฝ่าย

   “อ้อ” เรนส่งเสียงในลำคอแค่นั้นแล้วมองผมสลับกับคนตัวสูงไปมา บรรยากาศตอนนี้มันตึงเสียจนผมไม่ยอมแม้กระทั่งจะมองตาเขา

   ไม่กี่วันที่ผ่านมา เคย์เริ่มหลบผมอย่างเห็นได้ชัด เขาเริ่มกลับห้องดึกขึ้น บางวันก็ไม่กลับห้อง เพียงไลน์มาบอกว่าอยู่ที่ห้องใครก็เท่านั้น

   พวกเราไม่ค่อยได้กินข้าวเย็นด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน และถึงผมพอจะเดาสาเหตุได้ แต่ผมก็ทำเป็นปิดหูปิดตาไม่รู้เรื่องใดๆทั้งสิ้น

   ผมปล่อยให้ความสัมพันธ์ของพวกเรามีช่องห่างอย่างที่ไม่แน่ใจว่าต้องใช้เวลาเท่าไรถึงจะกลบมันได้เหมือนเดิม

   อึดอัด

   ผมเหลือบมองคนที่ปกติแล้วมักจะมองผมอย่างอบอุ่น คนที่ไม่ว่าเมื่อไรเขาก็มองผมเหมือนกับผมเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในโลก

        ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นไม่แม้แต่จะปรายตามาทางที่ผมยืนอยู่

   ผมรู้สึกเหมือนมีริบบิ้นกำลังรัดคอผมอยู่จนแน่นทั้งๆที่คำพูดมากมายอยากจะพรั่งพรูออกมาจากข้างใน มันจุกอยู่ที่ลำคอคล้ายจะสำรอก แต่ผมพูดไม่ได้ ส่งเสียงไม่ออก แต่ถ้าไม่พูด ผ้าเส้นเล็กที่คอผมก็จะรัดมันแน่นขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งผมขาดอากาศ

   ลำคอผมฝืดเคือง ในจังหวะที่ตั้งใจจะพูดอะไรสักอย่างเคย์ก็หัวเราะแผ่วเบาแล้วบอกว่า

   “เห็นถือกระเป๋ากันหนักๆ เดี๋ยวผมแบกให้เอง จะได้เดินกันสบายๆไง ดีมั้ยครับ”

   เงยหน้าขึ้นสบตาก็พบกับเคย์คนเก่าที่ยิ้มนุ่มๆเห็นเขี้ยวข้างเดียว

   แต่น่าแปลกที่ผมดันไม่รู้สึกคุ้นเคยกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เลย เหมือนกับอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้า

   เหมือนกับว่าเขาสร้างกำแพงอีกชั้นมากั้นผมกับเขาไว้อย่างสิ้นเชิง

   “อ่า งั้นฝากด้วยแล้วกันนะ” เรนเอากระเป๋าของผมกับเขายัดใส่มือคนตัวสูง แล้วจากนั้นพวกเราสามคนก็ออกเดินไปด้วยกัน ตลอดทางที่เดิน ผมกับเคย์ต่างก็เงียบใส่กันเหมือนเรากำลังทำสงครามประสาทกันอยู่

   “เป็นรูมเมทของไอ้นี่เหนื่อยมั้ย” เรนเป็นคนเริ่มบทสนทนาท่ามกลางความเงียบที่ทำลายเสียงอึกทึกรอบข้างไปเสียหมด

   “อ้อ ไม่เลยครับ จินน่ารักมากๆ”

   น่าแปลกที่หัวใจผมไม่พองโตหรือแม้กระทั่งรู้สึกกระตุกจนต้องปากเสียกลับไปใส่อย่างที่ทำไปปกติตอนที่เขาชมผมอย่างนั้น อาจจะเพราะตอนที่ผมมองไปทางเขา ดวงตาคมที่เคยระยิบระยับเหมือนดวงดาวยามมองผมตอนนี้มีแต่ความแห้งแล้ง

   มันดำสนิท เหมือนหลุมดำที่ดูดความรู้สึกให้หายไป

   ในตอนนั้นผมคิด

   มีอะไรผิดพลาดตรงไหนกันน่ะ

   ทำไมพวกเราถึงกลับมาอยู่ตรงจุดนี้กันได้

   “แล้วคุณชื่ออะไร” เรนที่ตอนนี้เดินช้าลงเพื่อขนาบข้างกับเคย์เอ่ยถามเจื้อยแจ้ว ผมนึกเคืองเล็กน้อยที่เขาไม่มีแม้แต่ท่าทีดุร้ายเหมือนตอนที่อยู่กับคนอื่น เหมือนกับพยายามจะตีสนิทกับรูมเมทผมให้ได้

   “เคย์ครับ” นี่ก็ตอบแบบเป็นมิตรเสียเหลือเกิน

   “เราชื่อเรน”

   “ใครไปสะกิดเอาต่อมสุภาพที่อันเล็กเสียจนเท่าติ่งเนื้อของมึงออกมากัน” นั่นคือเสียงผมที่โพล่งพูดออกไป

   คนขาเรียวในชุดกิโมโนสีฟ้าเลิกคิ้วแถมยิ้มมุมปากเหมือนจะเยาะเย้ย

   “โอ๊ะ มีใครไปเขย่ากรงหมาแกหรือไง เจ้าหมากระเป๋า เห่าน่ารำคาญเชียว”

   “หา!?”

   ผมจ้องตากับเขา สายฟ้าแล่นเปรี๊ยะๆระหว่างกัน

   “แล้วเคย์ชอบงานอีเว้นท์อะไรแบบนี้เหรอ” เรนเลิกสนใจผม เขากลับไปออเซาะถามคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ เรียวแขนขาวเนียนคล้องกับอีกฝ่ายอย่างไม่เคอะเขิน และเคย์ก็ไม่สนใจจะสะบัดออกเสียด้วยซ้ำ

   “เปล่าครับ ผมไม่เคยมาเลย ครั้งแรกครับ แต่สนุกดีนะ”

   “เป็นโอตาคุหรือเปล่า”

   “….เออ อาจจะไม่ถึงขนาดนั้นแต่ก็ชอบอนิเมนะครับ”

   ทันใดนั้นผมรู้สึกถึงความโกรธพุ่งขึ้นมาจากในร่าง แล่นขึ้นไปถึงหัวจนเสียงรอบข้างหายไป ตาผมโฟกัสมองแค่สองคนข้างหลังที่เป็นต้นเหตุ

   นั่นมันอะไร

   บอกเขาไปได้ยังไง

   บอกเรนไปได้ง่ายๆเลยเหรอว่าตัวเองเป็นโอตาคุน่ะ ปกติจะต้องบอกว่าไม่ใช่ ต้องปฏิเสธนี่

   นั่นมันสมควรจะเป็นเรื่องที่มีแค่ผมที่รู้ไม่ใช่เหรอ

   มีแค่ผม…

   ความร้อนจากหัวลงมากระจุกกันที่ตา กระบอกตาผมร้อนผ่าวเหมือนกับโดนหลอมละลายกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำที่ขังในดวงตาจนเกือบเอ่อ ทว่าคอนเทคเลนส์กลับดูดน้ำในตาหายไปจนหมด เหลือแค่เพียงจมูกที่เริ่มจะติดแดงๆแล้วเท่านั้น

   ผมเหลือบมองไปทางด้านหลัง แล้วก็ได้สบตากับเรนที่สังเกตอยู่ก่อนแล้ว ผมกลืนก้อนที่จุกจนทำให้หายใจไปไม่ออกลงไปในคอ รสสัมผัสมันสากเหมือนกระดาษทรายทั้งยังทิ้งรสขมปร่าไว้ที่ปลายลิ้น

   สายตาของเรนทำให้ผมประหม่า เขามองด้วยสายตาเฉียบแหลมเหมือนกับสามารถอ่านใจผมได้ ผมรีบหันกลับมาเพื่อหลบตาเขาแล้วตัดสินใจมองไปข้างหน้า

   มองไปข้างหน้าอย่างเดียวเหมือนที่ผ่านมา

   เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเห็นว่าข้างกายผมว่างเปล่าขนาดไหน


-------------------------------------------------------------------------------
ยิงคำว่ารักไปร้อยรอบแล้วอีกฝ่ายก็เอาแต่ปัดไม่หยุด เจ้าหมาก็เสียใจเป็นน่ะ อุแงงง
ดริฟท์หัวแตกกันทุกคนแน่เลย ฮือ คิดว่าจะเป็นตอนฟีลกู๊ดสินะคะ
ลงบอมบ์รัวๆ เจอกันใหม่ตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่8 P.9 UP!![12/2/19]
«ตอบ #264 เมื่อ13-02-2019 00:16:09 »

 :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่8 P.9 UP!![12/2/19]
«ตอบ #265 เมื่อ13-02-2019 22:55:29 »

งื้ออออ เจ้าเคย์เสียใจที่จินไม่ตอบรับความรู้สึก :mew6:

จินจะซึนต่อไปไม่ได้แล้วนะลูก  :katai1:

ออฟไลน์ Realtime

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่8 P.9 UP!![12/2/19]
«ตอบ #266 เมื่อ13-02-2019 23:16:46 »

จินต้องมีปมอะไรฝั่งใจตอนยังเด็กแน่ๆ​ ถึงไม่กล้าเปิดใจให้รักใครค่อยๆทำคะแนนไปนะเจ้าหมาเคย์พึ่งรู้จักแถมได้กันแบบปุ๊บปั๊บด้วยไม่ใช่ความไม่ตั้งใจ​ จินอาจจะมีอาการหวงบ้างหึงบ้างแต่ก็ไม่ได้อยู่ในสถานะเป็นแฟนกันนิเนาะใช้ความคุ้นชินที่เป็นรูมเมทร่วมห้องกันต่างคนก็ต่างมีมุมและบุคลิก​ที่คนอื่นไม่เคยเห็นแต่ทั้ง2คนกลับเปิดเผยให้เห็นกันและกันมันก็ต้องมีบ้างแหละที่ใจจะหวั่นไหว​ให้กับใครอีกคนสงสารเคย์อยู่นะที่แอบชอบจินฝ่ายเดียว​ แต่อยากให้เคย์ได้รับรู้และทำความเข้าใจในตัวจินกว่านี้อาจมีส่วนลึกข้างในที่เคย์ไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้​ อย่าพึ่งตัดใจยอมแพ้ไปซะก่อนละเจ้าหมาเคย์ จะกลายเป็นจินเองที่โดดเดียวและเสียใจ​ กว่าจะได้รักที่สมหวังมันต้องทุ่มกันหน่อยมาช้าแต่ก็คุ้มค่าที่ได้รอคอยนะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่8 P.9 UP!![12/2/19]
«ตอบ #267 เมื่อ14-02-2019 00:05:08 »

ปากแข็งอดกินนะลูก  :mew4:

ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่8 P.9 UP!![12/2/19]
«ตอบ #268 เมื่อ14-02-2019 00:12:31 »

จะบอกว่าจินน่าบีบมากได้มั้ยอ่ะ

เอ็นดูววว รู้สึกอะไรก็รีบๆบอกเค้าไปซะนะ

จะได้ไม่ต้องร้องไห้คนเดียว  :monkeysad: :sad11:

ออฟไลน์ TheWanFah

  • ความใกล้ชิด บางครั้ง ทำให้เราเผลอคิดไปเอง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
Re: [เรื่องสั้น] Cosplayer : บทที่8 P.9 UP!![12/2/19]
«ตอบ #269 เมื่อ15-02-2019 23:19:11 »

สงสารเจ้าหมา
จินอย่าใจร้ายนักเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด