3
ตอนแรกรู้สึกแปลกใจเพราะทำใจไว้แล้วว่าคนตัวหอมคงไม่รับคำขอส่งเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊คแต่จู่ๆ แจ้งเตือนการรับแอดพร้อมกับข้อความเด้งขึ้นมา
สตางค์คนเกรียน
มึงทำไมถึงมายุ่งเพื่อนกูจัง
แล้วทำไมถึงได้เอาของมาเปย์มันแบบนี้
Ça sent bon
ผมแค่อยากเป็นเพื่อนกับสตางค์
สตางค์คนเกรียน
แต่กูไม่อยากให้เพื่อนกูสนิทกับคนโรคจิตที่จู่ๆ ก็เปย์
โทรศัพท์เครื่องเป็นหมื่นให้เพื่อนกูแถมยังรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมันอีก
Ça sent bon
ผมไม่ได้หวังร้ายอะไรกับสตางค์เลยนะครับ
ผมอยากเป็นเพื่อนเขาจริงๆ และที่ให้ก็เพราะอยากให้จริงๆ
เงียบไปนานจนผมใจตุ้มๆ ต่อมๆ เพื่อนของสตางค์เป็นคนฉลาดอย่างที่สัมผัสได้แต่จำหน้าไม่ได้ รอไม่นานข้อความตอบกลับมาทำเอาผมยิ้มกว้าง สถานที่และเวลานัดจากนั้นก็ออฟไลน์ไปไม่อยากเชื่อทำยังไงดีผมจะได้เจอกันอีกครั้งในเวลาที่เร็วแบบนี้ถึงแม้จะเป็นการนัดจากเพื่อนสนิทที่ดูท่าทางจะไม่ชอบเขาเอามากๆ อ่าจะแต่งตัวแบบไหนดีทำไมตื่นเต้นแบบนี้นะ
ก๊อกๆ
“เติ้ล นี่แม่นะลูก” เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรู้เมื่อจะเข้าห้องคือต้องเคาะประตูและต้องรอให้ทางเขาเป็นฝ่ายเปิดห้องเพราะนี่ถือเป็นโลกส่วนตัวของผมและผมก็ไม่อยากให้กลิ่นอะไรมาเจือปนในห้อง เพราะไม่อยากให้ใครเข้าห้องเลยเลือกที่จะออกจากห้องก็เจอคุณแม่ยืนรออยู่แล้ว กลิ่นหอมเศร้าจางๆ ที่หนักอึ้งกดให้ความรู้สึกผิดของผมมากขึ้นทุกครั้งที่เจอหน้า การมีลูกที่ผิดปกติไม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้ในสังคมแถมยังโดนสายตารังเกียจสงสัยจากญาติที่คอยค่อนแคะว่าผมเป็นคนโรคจิต ป่วยทางประสาท
“มีอะไรหรือครับ”
“แม่จะต้องเดินทางไปที่สาขาต่างจังหวัดกับคุณพ่อ ลูกอยู่บ้านได้นะคะ”
“ได้ครับ พรุ่งนี้ผมมีนัดช่วงสายอาจจะไม่ได้ไปส่งนะครับ” พอคิดถึงนัดพรุ่งนี้แล้วก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ และมันคงเป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนเป็นแม่แปลกใจ
“นัดกับใครเหรอคะ” ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้ลูกชายคนเดียวของเธอออกนอกบ้านสองวันติดซึ่งเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มาก จนเธออยากจะรู้ว่าอะไรเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกชายเธอกระตือรือร้นแบบนี้
“เอ่อ...คนที่น่าสนใจคนหนึ่งครับ”
“งั้นแม่ก็ต้องขอบคุณคนนั้นสินะที่ทำให้ลูกชายของแม่มีความสุขแบบนี้” ไม่รู้หรอกว่าอะไรคือท่าทางมีความสุขของผมที่แสดงออกไปแต่กลิ่นของแม่ไม่มีความเศร้าอยู่แล้วมีเพียงความรู้สึกดีใจที่ต่อให้ไม่กลิ่นก็ยังรู้สึกได้ ผมเพียงพยักหน้า
“ก็งั้นมั้งครับ”
“งั้นแม่ลงไปเตรียมทำข้าวเย็นก่อน” ผมพยักหน้าพร้อมกับบอกว่าจะลงไปทานข้าวเย็นด้วยแล้วก็กลับเข้าห้อง จัดการทำงานที่จะต้องส่งคืนคุณพ่อ และอ่านหนังสือเพื่อที่จะไปสอบวัดผล ในห้องกว้างที่กินพื้นที่เกือบชั้นหนึ่งของบ้านแต่เป็นเพียงฉากกั้นระหว่างห้องนอนกับพื้นที่ใช้สอย เตียงนอนกว้างอยู่หลังฉากกั้นแยกพื้นที่ ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ครอบคลุมด้วยชั้นหนังสือและโต๊ะทำงาน เคยคิดที่จะเลี้ยงสัตว์แต่ว่า..การผูกพันบางครั้งก็เป็นเรื่องยากลำบาก
มื้อเย็นเป็นมื้อที่ทั้งพ่อและแม่ดูจะตื่นเต้นกับข่าวที่ผมจะออกไปข้างนอกพรุ่งนี้เหลือเกิน ทำให้กลิ่นดูผ่อนคลายและมีความสุข นี่เป็นผลของการที่ผมได้เจอกับสตางค์ด้วยหรือเปล่า
“พรุ่งนี้พ่อจะเดินทางตอนเช้า ส่วนงานพ่อจะให้เลขาอีกคนมาส่งไว้ที่บ้านนะ”
“ครับ” รับคำเพราะยังไงก็ดีกว่าอยู่ว่างๆ ได้ทำงานก็คงจะช่วยฆ่าเวลาได้ดี หลังมื้อเย็นขึ้นห้องมาก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ แต่ผมกลับนอนไม่หลับ เพราะอะไรกันหรือเพราะตื่นเต้นเหรอ?? ในชีวิตผมมีเรื่องให้ตื่นเต้นเกิดขึ้นแล้วสินะ นอนพลิกตัวไปมากว่าจะหลับได้ครั้งสุดท้ายที่เห็นนาฬิกา เข็มสั้นก็ชี้ที่เลขสองแล้ว
.
“แม่ว่าลูกไปเปลี่ยนเสื้อข้างในดีกว่านะคะ” ผมที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวก่อนเวลานัดตั้งสองชั่วโมงยังไม่ทันที่จะออกจากบ้านก็โดนติงเรื่องเสื้อผ้าเสียแล้ว
“เอ่อ..ทำไมเหรอครับ”
“สีดำลูกใส่แล้วก็เข้าอยู่หรอกนะ แต่ว่าลูกลองใส่สีอื่นน่าจะดีกว่านี้” ก้มมองชุดสีดำที่ตัวเองใส่ดูผมก็ดูไม่มั่นใจขึ้นมาเสียก่อน อ่า ลองเชื่อคุณแม่สักครั้งล่ะกัน
“ครับเดี๋ยวผมจะไปเปลี่ยน”
“งั้นแม่ไปก่อนนะคะ ทานข้าวให้ตรงเวลานะคะ” เพราะลูกชายที่ขังตัวเองอยู่ในห้องบางครั้งก็แทบลืมวันเวลาอยู่บ่อยๆ
“ครับ” กอดลากับคุณแม่ พอลับตาผมก็หมุนตัวเข้าห้องก้าวเท้ายาวๆ ไปที่ตู้เสื้อผ้าที่พอเปิดออกมามันก็ล้วนแต่มีสีดำอ่า...เสื้อเชิ้ตที่คุณแม่ซื้อให้ตอนต้นปีอยู่ไหนนะ หลังจากที่ค้นจนแทบที่จะลื้อตู้ก็เจอกับถุงเสื้ออยู่ตรงซอกตู้ เขารีบเปลี่ยนจากเสื้อยืดทีดำเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวที่พึ่งเคยใส่เป็นครั้งแรก มันดูเป็นอะไรที่ไม่คุ้นชินเอาเสียเลย แต่มัวคิดไปก็คงจะไม่ทันการณ์เพราะแค่หาเสื้อก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว
“ไปที่ร้าน xxx ครับ” บอกกับคนขับรถเสร็จก็เกี่ยวแมสมาปิดจมูกไว้ รถคันหรูขับออกจากบ้านหรู เป็นครั้งแรกที่ออกจากบ้านติดต่อกัน เป็นครั้งแรกที่อยากจะรู้จักใครขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่อยากอยู่ใกล้ชิดอยากมีส่วนร่วมในชีวิตของคนอื่น และอยากได้ใครบางคนมาอยู่ในชีวิต
.
.
“กูไม่อยากปายยยยยยยยยย” ยิ่งใกล้ถึงเวลานัดยิ่งไม่อยากไป ได้แต่ร้องโหยหวนเกาะหัวเตียงแน่นแม้จะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว
“มึงต้องไป กูนับหนึ่งถึงสาม ถ้ายังไม่ปล่อยกูจะนัดมันมาที่นี่”
พรึบ
ปล่อยจ้า ปล่อยแล้วครับพ่อ พอไอ้อิฐทำเสียงเข้มแถมยังขู่สิ่งที่ผมกลัว รีบปล่อยแล้วนั่งสงบเสงี่ยมให้ไอ้อิฐว่าผมอีกสองสามคำ
“ลุก!!”
“กูไม่ไปได้ไหม” นั่งคุกเข่าบนเตียงช้อนตามองไอ้อิฐส่งสายตาที่คิดว่าอ้อนที่สุดให้มันหวังว่าจะได้ผล
“ไป เลิกทำหน้าหมาเมายาได้แล้ว” โถไอ้สันขวาน มาว่ากูที่อุตส่าห์ลงแรงอ้อนซะเสียหมาเลย นี่ผมอ้อนไม่ขึ้นจริงๆ เหรอ เมื่อเพื่อนซี้ทำหน้าจริงจังผมเลยเลิกอิดออดคว้ากระเป๋าสะพายข้างเดินคอตกตามไอ้คนวางแผนไปขึ้นรถของมัน
ถ้าจะถามว่าทำไมผมถึงเชื่อฟังมันขนาดนี้ เพราะตอนที่ผมตัวคนเดียวเสียครอบครัวทั้งหมดไป เสียซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นของตัวเองก็มีมันอยู่ข้างๆ หลายครั้งที่ผมเป๋ออกนอกทางก็จะถูกไอ้อิฐตบสติให้ผมกลับเข้าที่เข้าทางเพราะฉะนั้นการที่มันทำแบบนี้ผมก็เชื่อมัน มันฉลาดกว่าผมครับ!!
ขับรถมาถึงร้านขนมที่อิฐมันนัดไว้ ผมได้แต่เกาะเสื้อเดินตามหลังไอ้อิฐเข้าร้านแทบจะสิงร่างมันไปอยู่แล้ว อิฐกวาดสายตามองรอบๆ ร้านเพื่อหาร่างสูงในชุดดำอึมครึมแต่ก็ไม่เจอจนสายตาไปหยุดกับร่างสูงที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวนั่งหันหลังให้ทางเข้าที่ดูคุ้นตา น่าจะใช่ พอเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นครึ่งหน้านั่นใส่แมสอยู่
“นาย”
“มาแล้วเหรอครับ” น้ำเสียงดีใจอย่างไม่ปิดบังนั่นทำให้อิฐมองสำรวจไอ้โรคจิตอย่างเต็มตา ท่าทางไม่ได้มีอะไรอย่างที่กลัว ท่าทางเป็นพวกปิดตัวเอง หันไปจูงไอ้เพื่อนซี้ที่หดหัวเข้าไปในกระดองเรียบร้อยลงไปนั่งตรงข้าม
“อ่า โทรศัพท์นี่ฉันคืนนะ” ผมไม่พูดพร่ำทำเพลงส่งโทรศัพท์เครื่องหรูที่ถอดซิมออกแล้ววางบนโต๊ะโดยไม่สนใจสายตาคมที่มองมาเลยสักนิด
“ผมตั้งใจจะให้คุณอยู่แล้ว”
“แต่เราไม่รู้จักกัน” ไม่รู้จักกันแต่ก็มาให้ของแบบนี้มันก็ออกจะแปลกๆ แต่ที่แปลกคือตัวเขาเองที่ไปรับเอาของมาใช้เฉยเลย
“ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมรับ”
“เดี๋ยวพวกมึงสองคนเลิกคุยกันเรื่องนี้ก่อนไอ้ตางค์ไปสั่งขนมไป” ผมที่กำลังจะหันไปว่าไอ้อิฐแต่พอเห็นสายตาของมันแล้วผมก็ยอมที่จะลุกไปสั่งน้ำและขนมสั่งเผือไอ้อิฐด้วย ผมได้แต่เหลือบมองเป็นพักๆ เมื่อเห็นไอ้อิฐกับไอ้โรคจิตนั่นคุยกันเรื่อยๆ และเมื่อผมถือเอาน้ำที่สั่งกลับมาที่โต๊ะ ไอ้อิฐก็ดูจะสนิทสนมกับไอ้โรคจิตตรงหน้าไปเสียแล้ว
“เรื่องโทรศัพท์มึงก็รับไว้เถอะตางค์”
“เดี๋ยวสิอะไรกันจู่ก็ให้กูรับ” ผมหันไปประท้วงทั้งๆ ที่ตอนแรกมันหัวเด็ดตีนขาดก็ให้เอามาคืน ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปในเวลาสั้นๆ เล่า
“สตางค์ ผมอยากให้คุณจริงๆ ผมไม่ได้ต้องการอะไรเลยนะครับ” ไอ้สายตาหมาโดนทิ้งนี่คืออะไรกัน ผมหลบสายตาลูกหมาของไอ้โรคจิต
“แล้วทำไมถึงได้มาตามติดกันแบบนี้เล่า”
“ผมอยู่ใกล้คุณแล้วสบายใจ” น้ำเสียงอ่อนลงของคนตรงหน้าทำให้ผมไม่กล้าที่จะพูดหาเรื่องอะไรอีก
“เอาล่ะถือว่ารู้จักกันแล้วนะ ถ้าจะมาเจอก็นัดมันเองล่ะกันถ้ามันอยากเจอก็คงจะมาเจอเอง” เดี๋ยวๆ ผมรีบหันไปมองเพื่อนสนิทที่มันตกปากรับคำโดยไม่ถามความคิดเห็นเขาเลยสักนิด
“มึงไปบอกมันอย่างนั้นได้ยังไง”
“ก็ไม่ได้มีอะไรซักหน่อยถ้ามึงไม่อยากเจอมึงก็ไม่ต้องไปคำชวนของมันก็สิ้นเรื่อง” เออวะ ผมพยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่ทันสังเกตตัวเองนั้นถูกเก็บภาพความน่ารักไว้ตลอด
“ตกลงชื่ออะไรนะ” สตางค์หันไปถามหลังจากที่ตกลงกับอิฐได้
“ไตเติ้ลครับ สตางค์ไม่ได้ทำงานเหรอครับวันนี้” ไอ้หมอนี่จะรู้ดีเกินไปแล้วนะ
“วันนี้ร้านเจ้ไม่เปิด ไม่รู้ว่าหายไปไหนโทรไปก็ไม่รับ” ผมเผลอบ่นออกมาเพราะเจ้านายร้านอาหารหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ตอนแรกที่ว่าปิดสามวันแต่พอผ่านมาสามวันแล้วก็ไม่เห็นจะกลับมาดูท่าผมจะต้องหาที่ทำงานใหม่เสียแล้ว
“งั้นสตางค์ก็ว่างสินะครับ”
“อือ” ผมตอบพร้อมกับจ้วงเค้กมื้อนี้ไอ้อิฐเลี้ยงเพราะฉะนั้นต้องกินเยอะๆ
“งั้นทำงานกับผมไหมครับ”
“ทำงานอะไรกันดูไม่น่าไว้ใจ”
“ผมจะให้เงินเดือนเท่ากับเงินเดือนพนักงานที่บริษัท แต่ทำงานช่วงเวลาที่สตางค์ว่าง” ผมนี่ตาโตกับข้อเสนอถึงไม่รู้ว่าไอ้เงินเดือนพนักงานบริษัทของมันเท่าไหร่แต่งานที่มันได้เป็นเงินเดือนก็ดีกว่า ตานี่เปล่งประกายในหัวคำนวณเงินอย่างรวดเร็ว
“เงินเดือนเท่าไหร่” ผมไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะครับ เงินซื้อผมไม่ด้ายยยยยย
“พนักงานผมเหรอ.........ก็ราวๆ หมื่นต้นๆ นะครับ” ผมนี่ตาโตกับเงินเดือนและที่สำคัญคือทำตอนที่ผมว่างนั่นหมายความว่าผมมีงานประจำโดยไม่เสียเวลาเรียน
“เดี๋ยวนะ มึงบอกว่าพนักงานบริษัทมึงนี่ทำงานแล้วเหรอวะ” อิฐที่นั่งฟังมานานขัดขึ้นเพราะสะดุดกับคำว่าพนักงานของมัน
“ก็ทำงานแล้วครับแต่ก็ยังเรียนด้วย ส่วนบริษัทก็เป็นบริษัทคุณพ่อ”
“กู..เราทำอะไรไม่เป็นเลยนะ” พอจะพูดคำหยาบก็รู้สึกเกรงใจ คำพูดของมันโคตรดีไม่มีคำหยาบเลยสักนิดถ้าพูดหยาบผมนี่ดูเลวไปเลย แต่ผมจะทำงานบริษัทได้เหรอเคยทำแต่งานใช้แรงไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า
“ไม่เป็นไรเลยครับแค่สตางค์อยู่ใกล้ผมก็พอแล้ว”
ผมขอถอนความคิดดีๆ ก่อนหน้านี้ มันโรคจิตชัดๆ
**************************************
น้องสตางค์คนจนคนเดิมมาแล้วค่ะ
ถถถถนึกว่าจะหลุดพ้นจากคำว่าโรคจิตแล้วซะอีก
อ่านแล้วเป็นไงบอกเราด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ