Tomorrow's the past พรุ่งนี้ของผมคืออดีต <Chapter12> 24.10.18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Tomorrow's the past พรุ่งนี้ของผมคืออดีต <Chapter12> 24.10.18  (อ่าน 3673 ครั้ง)

ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1

                กว่าเราจะกลับมาถึงบ้านกันก็กลางดึก ผมเกลี้ยกล่อมให้เขากลับบ้านเขาส่วนผมจะนั่งแท็กซี่กลับมาเอง เขาไม่ยอม ผมก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้น เขาอยากจะมาส่งก็ตามใจ พอมาส่ง เขาก็มานั่งสัปหงกอยู่ที่โซฟา

                “ถ้าง่วงก็เข้าไปนอนในห้องไหม” ผมบอก อยากให้เขาได้หลับสบายๆ บนเตียงนุ่มๆ ดีกว่ามานั่งงีบที่โซฟาแข็งๆ นี่

                “เดินไปไม่ไหว ไม่มีแรง อุ้มไปที่เตียงหน่อย”

                “โตจะเป็นควาย ลุกไปนอนเองดีๆ”

                “ถ้าไม่อุ้มกูไป กูก็จะนอนตรงนี้แหละ” ผมก็บ้าจี้ช้อนร่างเขาขึ้นมาตามคำสั่ง คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกละครร่างบางตัวเบาหรือยังไง แม้ระยะห่างจากห้องนั่งเล่นไปห้องนอนจะไม่กี่เมตร แต่ด้วยน้ำหนักตัวที่ไม่เบาของเขาก็ทำเอาผมหอบเหมือนกัน น่าจะปล่อยให้หลุดมือกลางทาง จะได้รู้สึก

 

                ผมวางตัวแฮมลงที่เตียง แต่มือทั้งสองข้างที่คล้องคออยู่นั้นไม่ยอมปล่อย กลับลงแรงโน้มหน้าผมเข้าไปใกล้ จูบอีกแล้ว ในสองสามวันที่ผ่านมาผมจูบเขานับครั้งไม่ถ้วน

                “นอนกับกูนะ” แฮมพูด ความหมายของเขาไม่ใช่แค่นอนเฉยๆ หรอก และผมยอมรับว่าพอโดนเขาจู่โจมแบบนี้บ่อยๆ มันก็เสียอาการ ยิ่งบ่อยครั้งผมก็ยิ่งปฏิเสธได้ยาก

                “อื้ม”

                คำตอบตกลงของผมคงเหมือนกับการลั่นไกลปืนในสนามวิ่ง ผู้เข้าแข่งขันอย่างผมเริ่มต้นที่จุดสตาร์ทอย่างตั้งใจ พรมจูบไปทั่วเรือนร่างของเขา กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ไม่มีใครเหมือนนั้นปลุกสัญชาตญาณบางอย่างในตัวผมเต็มที่

                คงหยุดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ผมไม่อาจกลั้นอารมณ์ที่กำลังปะทุ จิตใจกระเจิดกระเจิงเกินกว่าจะหักห้าม เบื้องหน้าของผมมีเขาที่พร้อมรับมือกับทุกการกระทำที่จะเกิดขึ้น

                “มึง กูไม่มีถุงนะ”

                “ไม่เป็นไร”

 

                เราปล่อยให้ร่างกายดำเนินไปตามสัญชาตญาณ มีเสียงลมหายใจ เสียงของเนื้อหนังที่กระทบกันเป็นจังหวะ เคล้าด้วยเสียงทุ้มต่ำจากลำคอ หากเซ็กส์คือความบันเทิงที่ธรรมชาติสรรค์สร้าง พวกเราได้ปล่อยให้มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติแล้ว

 

                “แฮ่ก เหนื่อย” ผมพึมพำ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว

                “กูรักมึงนะ” เขาบอกพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม

 

                ผมไม่ได้บอกรักเขากลับ ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้รู้สึก แต่เพราะผมอยากให้คำนี้มันพิเศษ และตอนนี้ผมยังไม่รู้สึกถึงมันมากพอ ผมขอเวลาอีกสักนิดเมื่อพร้อม เขาจะได้ฟังมัน

 

 

                “จะสายแล้วมึง” เขาเขย่าตัวผมจนตื่น

                “สายไรวะ ต้องไปไหน”

                “วันนี้ทำงาน มึงรีบไปอาบน้ำแต่งตัว” เขาเร่งผม ขณะที่เขาแต่งตัวเสร็จหมดแล้ว ทำไมไม่ปลุกผมเร็วกว่านี้ก็ไม่รู้

 

                ผมใส่เชิ้ตน้ำเงิน กางเกงสแลครัดรูป รองเท้าหนังสีดำขัดจนเงา แต่งตามเซ้นส์ล้วนๆ คิดว่าลุคนี้น่าจะเหมาะกับการไปทำงาน

                “อะ จะทำไร นู้น รถมึง ขับไปเอง” ผมกำลังจะเปิดประตูแต่โดนเขาห้ามไว้ซะก่อน ทำไมวะ ไปทำงานแทนที่จะไปด้วยกัน ประหยัดน้ำมัน

                “ทำไมอะ”

                “ไม่ได้ ต้องแยกกันไป ที่ทำงานไม่มีใครรู้ว่าเราคบกัน”

                “ทำไมต้องปิดอะ”

                “กฎบริษัท มึงอยากตกงานหรือไงล่ะ” ผมเคยได้ยินมาบ้างเรื่องกฎบริษัทห้ามพนักงานในบางตำแหน่งคบกันเป็นแฟน เสี่ยงต่อการรวมหัวกันทุจริต พอจะฟังขึ้น ผมคิดว่าตัวเองจะเป็นคนนิสัยแย่แบบเมื่อก่อนซะอีก

 

                เราแยกกันเดินทางจนมาถึงที่ทำงาน ผมจำไม่ได้หรอกว่าผมต้องไปทางไหน ยังไง แฮมก็ไม่ได้สนใจผมเลยว่าผมจะต้องเผชิญการทำงานวันแรกยังไงเมื่อไม่เคยมาที่นี่เลย

                “หวัดดีพี่โมทย์” น้องผู้ชายผมหยิกถือแก้วกาแฟเดินเข้ามาทักทาย ผมตาไวมองเห็นป้ายห้อยคอเลยพอจะรู้ชื่อ

                “หวัดดีบี้”

                “หน้าตาสดใสเชียวเช้านี้ อารมณ์ดีอะไรมาครับ”

                “หรอ ก็ปกติหนิ”

                “ปกติที่ผมเห็นพี่ไม่เดินยิ้มมาคนเดียวแบบนี้แน่นอนครับ ฮั่นแน่ เมื่อคืนไปเที่ยวกับสาวที่ไหนมาหรือเปล่า”

                “เฮ้ย ไม่มี นอนอยู่บ้าน”

 

                ผมคุยกับเขาเพลิน รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ที่โต๊ะทำงาน เหมือนเป็นความเคยชินของร่างกาย ทุกย่างก้าวที่ไม่มีความลังเล นิ้วมือที่กดลิพท์ ทิศทางที่หันตัวและมุ่งหน้าไปสู่ ล้วนแล้วแต่เป็นอัตโนมัติ ผมนั่งลงโต๊ะทำงานหน้าห้องที่กั้นกระจกใสไว้ เขานั่งหน้าตาเคร่งเครียดอยู่ในนั้น ดูเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้ เขาจริงจังกับงานมากจนผมชักเป็นห่วง ถ้าเริ่มต้นวันเครียดๆ แบบนี้คงต้องเครียดไปตลอดทั้งวันแน่ๆ

                ผมชงกาแฟไปให้เขา ถ้าจำไม่ผิดเขาชอบรสนี้ กาแฟสอง น้ำตาลหนึ่ง ครีมหนึ่ง

                “เอากาแฟมาให้ ดูเอกสารอะไรอยู่หรอ เห็นเครียดๆ”

                “ไม่ได้เครียด ช่วงนี้ติดนิสัยชอบขมวดคิ้วเวลาใช้ความคิดน่ะ กำลังดูแผนงานของฝ่ายการตลาด”

                “ไหนขอดูบ้าง”

 

                ผมอ่านแผนงานนั้นแล้วรู้สึกคุ้นตา เหมือนเคยเห็นมาก่อน ความทรงจำเริ่มจะผุดมาแล้วสินะ

                “ไตรมาสนี้ต้องทำให้ได้ตามเป้า กูคิดไม่ออกเลยว่ะว่าจะเอาไงต่อ”

                “ไม่เห็นจะยาก แทนที่จะใช้แมททีเรียลจากเจ้าเดิม ลองจัดประมูลหาเจ้าที่ถูกกว่าแล้วคุณภาพพอกัน กูว่าอย่างน้อยทุนก็ลดลงไปได้สิบยี่สิบเปอร์เซ็นเลยนะ” ผมพูดไปตามเซ้นส์ ความรู้พื้นฐาน ถ้าต้องการให้มีกำไรมากขึ้น การลดต้นทุนก็เป็นกลไกหนึ่ง

                “กูจะเก็บไปคิดดูแล้วกัน เก่งเหมือนเดิมนะมึงอะ”

                “จริงๆ กูว่าเรื่องแค่นี้ไม่เกินความสามารถมึงหรอก มึงก็น่าจะคิดได้เหมือนกัน”

 

                ผมกลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน มองเห็นเขายิ้มแย้มก็สบายใจ ผมสำรวจเอกสารที่มีบนโต๊ะ ข้าวของล้วนจัดไว้เป็นระบบระเบียบ ไฟล์งานในคอมพิวเตอร์จัดโฟลเดอร์แยกกันไว้เป็นอย่างดี

                “ใช้ได้เหมือนกันนะเราอะ” ผมชมตัวเองผ่านกระจกตั้งโต๊ะใบเล็ก เปลี่ยนไปในทางที่ดีแบบนี้ก็เบาใจ

 


                วันแรกของการกลับมาทำงาน ก็ไม่ได้แย่ ผมทำงานที่คงค้างไว้ในส่วนที่พอจะทำได้ ดีที่โมทย์คนก่อนทำงานเป็นระเบียบเสร็จลุล่วงไปหลายอย่าง ที่เหลือก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถผมเท่าไหร่ บรรยากาศในที่ทำงานอบอุ่นดี อยู่กันแบบพี่น้อง คนที่ชื่อบี้ก็คงจะสนิทกับผมพอสมควร เวลาว่างระหว่างวันเราคุยกันหลายเรื่องเลยล่ะ มื้อกลางวันก็ไปกินด้วยกัน พร้อมกับน้องผู้หญิงในออฟฟิศอีกสองคน ชื่อหน่อย กับเกด
 

                “นี่พี่กลับบ้านเลยปะครับ หรือว่าไปไหนต่อ” บี้ถาม

                “ก็คงจะกลับบ้านเลยครับ” ผมตอบตามจริง ไม่รู้ว่าเลิกงานแล้วควรไปไหนต่อ นอกจากกลับบ้าน

                “ผมไปก่อนนะพี่”

 

                ผมมองไปยังแฮมที่นั่งในห้องกระจก เขามองผมอยู่ พร้อมกับกวักมือให้เข้าไปหา ผมปิดคอมพิวเตอร์เก็บของเตรียมตัวกลับบ้านเสร็จจึงเข้าไป

                “มีอะไรครับ” ผมถามกวนๆ ในมาดของลูกน้องเวลาคุยกับเจ้านาย แต่ดูเขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะคุยเล่นกับผม

                “ไม่มีไร กูก็แค่อยากกลับบ้านกับมึงอะ” เป็นลูกอ้อนงอแงที่ขัดกับบุคลิกเขามาก นึกว่าจะมีอะไรที่จริงจังซะอีก

                “ก็เอาดิ กูไม่ได้ห้ามสักหน่อย”

                “แต่วันนี้แม่ให้รีบกลับบ้านอะดิ”

                “หรือว่าให้กูไปค้างบ้านมึงดีล่ะ”

                “ไม่เอาอะ ห้องกูไม่เก็บเสียง”

                “ทะลึ่งละมึงอะ งั้นกูกลับละ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”

                “อื้ม” ผมส่งยิ้มแทนการบอกลา เขาเองก็ส่งรอยยิ้มคืนกลับให้ภายใต้แววตากังวลอะไรสักอย่าง ผมไม่อาจรู้ หากเขาอยากจะบอกก็คงบอกกับผมเอง

 

               

                ผมขับรถกลับบ้านตามเส้นทางเดิมที่มาทำงาน หากแต่ความรู้สึกภายในบอกให้ผมเลี้ยวไปในอีกเส้นทาง ผมไม่คุ้นแม้แต่น้อย เลยปล่อยให้ตัวเองขับไปในเส้นทางตามที่เสียงเรียกร้องภายในต้องการ จนมาถึงจุดหมาย เป็นร้านกาแฟในซอยลึก ไม่มีลูกค้าในร้าน มีเพียงพนักงานคนหนึ่งนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ ดูจากสง่าราศีแล้วคงเป็นเจ้าของร้าน

                “สวัสดีครับคุณ” เขาเอ่ยทักผมทันทีที่รับรู้ว่าผมเดินเข้ามาในร้าน

                “สวัสดีครับ”

                “ที่คุณมาที่นี่เพราะจำได้แล้ว หรือยังจำไม่ได้ครับ” เขาถามคำถามแปลกๆ

                “ผมเคยมาที่นี่มาก่อนหรอครับ เรื่องที่คุณถามหมายถึงอะไร”

                “อืม ตอนนี้คุณคือใครครับ”

                “เอ่อ ผมคือโมทย์ครับ ว่าแต่คุณคือใคร” เขายิ้ม เหมือนได้รับคำตอบบางอย่างที่ต้องการ

                “ตอนนี้คุณยังจะไม่รู้จักผมหรอก แต่ในอนาคตคุณจะช่วยชีวิตผมไว้”

                “ผมเนี่ยนะ”

                ผมไม่เข้าใจในเรื่องที่เขาพูด แต่ก็อยากจะรู้เรื่องราว เขาพูดถึงเรื่องอนาคต เรื่องประหลาดที่ผมสนใจไม่น้อย

                “คุณบอกให้ผมย้อนเวลากลับมาแก้ไขอดีต และตอนนี้ผมจะช่วยเหลือเป็นการตอบแทนคุณ”

                “หมายถึงว่าคุณย้อนเวลามาจากอนาคตหรอ แล้วตอนนั้นผมเป็นยังไง ทำไมต้องให้คุณช่วย”

                “เชิญนั่งก่อนเถอะครับ รับเครื่องดื่มอะไร เห็นทีว่าเราจะได้คุยกันยาว” เขาบอก

                “ผมขอเป็นอเมริกาโน่ก็แล้วกันครับ”

 

                ผมนั่งลงที่เก้าอี้มุมด้านในของร้าน บรรยากาศเงียบเชียบ ไม่มีวี่แววแม้แต่ผู้คนจะผ่านไปมา ถ้าหากจะบอกว่าร้านนี้เหมือนเปิดไว้รอรับแขกคนสำคัญโดยเฉพาะก็ว่าได้

                “ผมย้อนมาจากปีสองพันยี่สิบเก้า ผมกำลังจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย แต่ได้คุณช่วยไว้ก่อน”

                “ผมจะเชื่อคุณได้ยังไงว่าเป็นเรื่องจริง” แม้ว่าจะพบเจอเรื่องประหลาดมากับตัวเอง แต่ก็ใช่ว่าผมจะเป็นคนเชื่อคนง่าย ต้องมีอะไรพิสูจน์ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่เชื่อง่ายๆ

                “คุณกำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้าถ้าผมจำไม่ผิด คุณบอกกับผมว่าการสวมแหวนแต่งเป็นการปิดประตูมิติ คุณเลยไม่มีโอกาสได้ย้อนเวลากลับมาอีกแล้ว”

                “แล้วทำไมผมต้องย้อนเวลาอีก ในเมื่อชีวิตผมตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว อนาคตมันก็ควรจะดีกว่านี้ไม่ใช่หรอ” ถ้ามันเป็นไปตามที่ผมคาดการณ์นะ อย่างน้อยก็คงไม่แย่ถึงขั้นต้องย้อนเวลากลับมาอีก 

                “จริงอยู่ที่ชีวิตคุณดีขึ้น แต่ในอนาคตมีเหตุการณ์ที่คุณอยากเปลี่ยนแปลงแต่ก็ย้อนเวลากลับมาไม่ได้แล้ว”

                “คุณหมายถึงเรื่องอะไร” ผมใจคอไม่ดีเลย

                “คุณจะสูญเสียเขาไป เขาไม่ได้มีชีวิตอยู่กับคุณนานที่ต้องการ”

                “ฮะ เขาที่คุณพูดหมายถึงใคร”

                “คงใช่ ถ้าเขาเป็นคนรักของคุณ”

                “เขาเป็นอะไร ทำไมเขาถึงไม่อยู่กับผม”

                “เขาป่วยเป็นมะเร็ง กว่าจะรู้ตัวก็ระยะสุดท้าย คุณควรจะย้อนกลับไปอดีตอีกครั้งนะ ผมไม่รู้ว่ามันจะแก้ไขได้ไหม แต่อย่างน้อยก็ให้คุณได้อยู่กับเขานานกว่าเดิม”

 

                ผมอึ้ง แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า แต่จากเรื่องที่เขาเล่าเพื่อพิสูจน์หลายอย่างเช่นเรื่องรถเมล์คันนั้น เรื่องการเดินทางข้ามผ่านเวลาในแบบเดียวกับที่ผมเจอมากับตัว ก็พอจะทำให้เรื่องที่เขาเตือนมาฟังดูมีน้ำหนัก ผมไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไรให้ไม่สูญเสียแฮมไปในอนาคต มีตัวแปรไหนบ้างที่ผมจะยับยั้งให้อนาคตเปลี่ยนใหม่ โดยที่ไม่สูญเสียเขาไป

 

                ผมคิดหนัก ไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่บางทีความแปลกประหลาดที่เรามักจะคาดไม่ถึงกลับกลายเป็นเรื่องจริงที่เราหนีไม่พ้น ผมจะเอายังไงต่อไปดี ให้เขาจะยังอยู่กับผมตลอดไป

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
พาไปหาหมอ!!

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ต้องย้อนกลับไปพาไปหาหมอก่อนค่อยจีบใหม่ ซับซ้อนไปอีก  :ling2:

ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1


ผมนอนไม่ได้ทั้งคืน ในหัววนเวียนอยู่กับเรื่องแฮม นั่นเป็นเหตุให้ผมมารับแฮมที่บ้านตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อพาเขาไปโรงพยาบาล  หว่านล้อมอยู่นานเขาถึงได้ยอมขึ้นรถ

                “นี่กูต้องไปตรวจร่างกายตามที่มึงบอกจริงดิ” แฮมถาม

                “เรื่องนี้กูตลกไม่ออกจริงว่ะ” ผมบอก

               

แม้ว่าเขาจะยิ้มแย้ม แสร้งทำทุกอย่างให้ดูเป็นปกติ แต่ไม่อาจปิดบังความกังวลที่เขามีได้เลย ผมไม่ได้เก่งที่ดูคนออก แต่เป็นเขาต่างหากที่ซ่อนไว้ไม่มิด

 

 

                ผมนั่งกุมมือเขาอยู่หน้าห้องตรวจ รอฟังผลตรวจ ต่อให้เป็นโรงพยาบาลเอกชนเราก็ไม่อาจเร่งให้เร็วตามที่ต้องการ

                “มึงจำช่อดอกไม้เล็กๆ ที่ให้กูได้ปะ” ผมหาเรื่องคุยคลายความกังวลของเขาลง

                “จำได้สิ”

                “กูยังเก็บไว้อยู่นะเว้ย วันก่อนกูเจอที่บ้าน อยู่ในขวดโหลแก้วอย่างดี”

                “กูรู้ ก็กูเป็นคนหาขวดโหลนั้นให้มึงเอง”

                “แล้วทำไมตอนนั้นมึงถึงไม่บอกชอบกูไปด้วยเลยล่ะ”

                “ถ้ากูกล้าขนาดนั้น กูคงบอกชอบมึงตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว”

                “กูไม่รู้นะเว้ย ว่าโมทย์คนที่เป็นแฟนกับมึงมันคิดอะไรอยู่ แต่กูรู้อย่างหนึ่ง หัวใจดวงนี้ที่กูกับมันใช้ร่วมกัน มันมีแต่มึงนะเว้ย ไม่ว่าจะยังไง กูจะดูแลมึงให้ถึงที่สุด”

                เขาเงียบ แก้มเปลี่ยนเป็นสีแดง น้ำตาคลอเริ่มไหล ผมรู้ว่าเขากลั้นมันเอาไว้ที่สุดแล้ว ผมจูบหน้าผากปลอบเขาที่ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว ผมกระชับตัวของเขาเข้ามาในอ้อมกอด 

 

                “ผลตรวจจะทราบได้อีกหนึ่งอาทิตย์นะครับ เบื้องต้นไม่พบเนื้องอกน่าสงสัย ตามอาการจะใกล้เคียงกับมะเร็งเม็ดเลือดขาว  ต้องรอผลตรวจเลือดที่ได้หมอถึงจะฟันธง” สิ่งที่หมอบอกไม่ได้ทำให้เราเบาใจ แฮมบีบมือผมแน่น

                “แล้วมีทางรักษาให้หายขาดไหมครับ” ผมถาม 

                “ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ถ้าหนักเกินจะรักษาให้หายขาด ต้องรักษาตามอาการครับ”

                “ขอบคุณครับหมอ”

 

                ผมพยุงเขาที่แทบจะยืนไม่อยู่ ยากเหลือเกินที่จะฉุดเขาขึ้นมาจากห้วงอารมณ์ที่เขาได้ดำดิ่งลงไป แม้ว่าผลตรวจจะยังไม่แน่ชัด แต่คำที่ผมยืนกรานให้เขามาตรวจนั้นได้สร้างแผลให้กับเขา ถ้าหากผมไม่บอกว่าเขาเป็นมะเร็งตั้งแต่แรก เขาคงไม่ต้องเจ็บปวดแบบนี้ แต่ก็ดีกว่าถ้าหากไม่รีบบอก ผมทนไม่ได้หากต้องเสียเขาไป

 

                “เราเลิกกันไหม” แฮมพูดระหว่างที่ผมกำลังขับรถ ผมเหยียบเบรกเต็มเท้า

                “พูดอะไรออกมา” หัวใจของผมบีบคั้น เจ็บปวดกับประโยคที่เขาโพล่งออกมา

                “กูอยู่กับมึงได้อีกไม่นานหรอกโมทย์”

                “มึงต้องหายสิ มึงต้องสู้กับมันสิ”

                “กูไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้น มึงก็รู้”

                “กูไม่รู้ ยังไงกูก็ไม่มีวันทิ้งมึง” ผมยืนกรานอย่างนั้น “ถ้ามึงอยากร้องไห้ก็ร้องวันนี้ซะให้พอ พรุ่งนี้มึงต้องเข้มแข็ง จนกว่าผลตรวจจะออก กูจะอยู่ข้างๆ มึง”

 

                ผมนึกถึงคำที่ชายร้านกาแฟคนนั้นบอก ผมต้องย้อนเวลากลับไปแก้ไข มันอาจจะเป็นหนึ่งหนทางที่เปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ แต่การที่ผมได้เห็นเขายิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ โดยมีผมอยู่ข้างๆ ผมทิ้งเขาไปไม่ได้จริงๆ แต่ถ้าหากมันจำเป็นผมก็คงต้องกลับไป และถ้าเป็นไปได้ ผมอยากพาเขาไปด้วยกัน

 

                “หิวไม่หิวก็ต้องกิน จะได้แข็งแรง” ผมตักผักจ่อปากให้เขา

                “แข็งแรงตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วไหม”

                “ไม่เอา ไม่พูดงี้ดิ คนเป็นมะเร็งรักษาหายกันเยอะแยะ”

                “แต่ที่ไม่หายก็อีกเยอะ”

               

                “มึง มึงกลับไปกับกูไหม”

                “กลับไปไหน บ้านหรอ”

                “ไม่ใช่ กลับไปอดีตด้วยกัน”

 

                เขานิ่ง ใช้ความคิด ผมรู้จักแฮมดี เขาไม่ใช่คนที่ยึดติดอยู่กับอดีต เขามองแต่อนาคตข้างหน้า คงยากถ้าจะให้เขากลับไปด้วยกัน

                “ทุกอย่างมันดีสำหรับกูแล้วว่ะ กูไม่อยากแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไร ต่อให้กูจะตายด้วยโรคนี้มันก็คงเป็นเหตุเป็นผลมาจากอดีตที่สมควรแล้ว”

                “กูยอมไม่ได้หรอก กูไม่อยากเสียมึงไป”

                “มึงจำที่กูเคยบอกมึงได้ไหม วันหนึ่งถ้ากูไม่อยู่ มึงต้องอยู่คนเดียวให้ได้”

                “กูก็อยากให้มึงรู้ ว่ากูอยู่คนเดียวไม่ได้หรอกถ้าไม่มีมึง”

 

                ความรักเป็นเรื่องประหลาด มหัศจรรย์ หนักแน่น และทำให้ผมเห็นแก่ตัว ผมคงไม่สามารถยอมรับและให้มันเป็นไปตามที่เขาต้องการได้ และโมทย์อีกคนในอนาคตที่กำลังเจ็บปวดเพราะเรื่องนี้ก็คงเห็นด้วยกับการตัดสินใจของผมเช่นกัน

 

                ผมจะกลับไปในอดีตอีกครั้ง





                ในย่างก้าวของการขึ้นรถเมล์ครั้งนี้เต็มไปด้วยความลังเล การที่ผมกลับไปเพื่อเปลี่ยนแปลงอดีตอีกครั้ง จะเป็นการทิ้งแฮมคนปัจจุบันไปหรือเปล่า หรือเราจะแค่จากกันไปชั่วคราวเพื่อมาเจอกันอีกครั้งในวันที่ดีกว่า

 

                “มีข้อห้ามหรือเงื่อนไขอะไรที่คุณรู้แต่ไม่บอกผมบ้างครับ” ผมเอ่ยถามพี่กระเป๋ารถเมล์คนประจำ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยบอกข้อมูลที่ควรรู้ให้ผมได้ทราบเลย

                “ผมบอกได้เลยว่าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายในการย้อนเวลาของคุณ คุณจะต้องอยู่ในอดีตจนกว่าไทม์ไลน์จะกลับมาชนปัจจุบันอีกครั้ง”

                “หมายถึงถ้าในอดีตเกิดอะไรขึ้นกับผม ผมก็อาจจะเป็นอะไรไปได้จริงใช่ไหม” เขาพยักหน้า ผมอารมณ์เสียใส่เขาไปนิดหน่อย กับเงื่อนไขที่เขาไม่เคยบอกให้รู้เลย แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อผมขึ้นรถมาแล้ว

 

 

                ผมรู้สึกหนักๆ ที่หัว มึนๆ ปวดไปทั่วตัว ภาพแรกที่เห็นหลังจากค่อยๆ ลืมตาคือแสงไฟจ้า เมื่อหายใจเข้าได้กลิ่นสะอาดๆ ที่นี่คือโรงพยาบาลสินะ ขวามือของเตียงที่ผมนอนมีโซฟา แฮมนั่งสัปหงกอยู่ตรงนั้น มองกวาดสายตามองไปทั่วห้องไม่เจอใคร นาฬิกาบนผนังบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงเช้า

                ผมจำเหตุการณ์ก่อนหน้าได้ไม่ชัดนัก ไม่รู้ว่าตัวเองมานอนอยู่ที่โรงพยาบาลได้ยังไง

                “แฮม ตื่น” ผมปลุกเขาสุดเสียงด้วยแรงที่พอมี ไม่ได้ดังมาก แต่ก็พอให้เขาได้ยิน

                “มึงฟื้นแล้วหรอ”

                “กูมาอยู่ที่นี่ได้ไง เกิดอะไรขึ้น”

                “มึงโดนรถชน กูตามพยาบาลก่อนนะ” อ่อ จริงสินะ วันนั้นผมกำลังกลับรถ แต่พุ่งตัวผิดจังหวะเลยโดนชนเข้าเต็มแรง ไม่แข้งขาหักก็บุญแล้ว

 

                พยาบาลเข้ามาตรวจเช็คร่างกายผมหลายอย่าง ถามไถ่อาการ ผมปวดหัวเล็กน้อย เขารับทราบ อีกเดี๋ยวจะจัดยามาให้

 

                “กูคิดถึงมึงนะ”

                “สมองกระทบกระเทือนตรงไหนหรือเปล่า ให้กูตามพยาบาลมาเช็คมึงอีกรอบดีไหม”

                “จะบอกไงดี กูฝันถึงมึง ฝันดีมากเลยด้วย”

 

                แฮมในตอนนี้คงไม่เชื่อหรอก ถ้าหากผมบอกไปว่าผมเห็นอนาคตของเราสองคนกำลังรักกันอยู่ และมันคงไม่สนุกถ้าหากบู่มบ่าม ไม่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ

                ผมคิดว่าผมจะเริ่มจีบแฮมจริงจัง ให้แฮมคนนี้กลายเป็นคนที่มีความสุขในวันข้างหน้า

 

                “พรุ่งนี้มึงกลับหอได้แล้วนะ โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก กูตกใจแทบตายนึกว่ามึงจะตายคาที่ซะแล้ว”

                “เอ้า ไอ่นี่ แช่งกูหรอวะ” จะบอกว่าโชคดีได้ไหมที่ผมใส่หมวกกันน็อคอย่างดี และขอบคุณที่กระเด็นเข้าไปในพุ่มหญ้าข้างทาง จะมีก็แต่แผลจากหญ้าบาด รอยฟกช้ำนี่แหละที่ดูจะเป็นปัญหากับผมที่สุด

                “รู้ว่าขับรถไม่เก่งก็ไม่ควรวิ่งบนถนนใหญ่”

                “รู้ว่ากูขับรถไม่เก่งก็หัดพากูไปกินข้าวดิ ไม่ใช่ห่วงแต่งาน เครียดมากเดี๋ยววันหนึ่งจะเป็นมะเร็งนะมึงอะ”

                “ไม่ต้องมาย้อนกูเลย วันหลังถ้าหิวมากกูพาไปก็ได้ กูรู้สึกผิดแล้ว”

                “นี่กูนอนที่นี่มากี่คืนแล้วอะ”

                “สองคืนแล้ว” อะไรนะ สองคืนเลยหรอ

                “กูหลับไปนานขนาดนั้นเลยหรอวะ”

                “นานสิ หมอให้น้ำเกลือไปหลายถุงแล้วเนี่ย พ่อแม่มึงรู้แล้วด้วย”

 

                ผมรีบโทรกลับไปหาพ่อกับแม่ให้หายเป็นห่วง นี่ไม่รู้ว่าวางแผนลางานจะมาดูแลผมแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ การที่ผมเลือกมาเรียนไกลก็เพราะอยากดูแลตัวเอง ไม่ต้องการให้พ่อแม่เป็นห่วง

 

                “ฮาโหล แม่ นี่โมทย์เอง”

                (โมทย์หรอลูก เป็นไง อาการดีขึ้นบ้างหรือยัง พ่อกับแม่กำลังจะบินไปเย็นนี้)

                “ไม่ต้องแล้วครับ โมทย์ไม่เป็นอะไร พรุ่งนี้หมอให้กลับได้แล้ว”

                (แต่พ่อกับแม่จองตั๋วไว้แล้วน่ะสิ ยังไงก็ต้องไปดูอาการ)

                “เสียเวลาทำงานแย่เลยอะ”

                (ไม่เป็นไร ก็ถือว่าได้เจอกันนานๆ ที เราไม่กลับบ้านเลยพ่อแม่ก็คิดถึง เออ นี่ เดี๋ยวน้องก็ไปด้วยนะ) หื้ม อะไรนะ อย่างไอ่หมอกนี่นะ จะมาเยี่ยมผมด้วย แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน ผมไม่ได้เจอมันนานแล้ว มาเจอมันวัยมัธยมจะได้สั่งสอนมันสักหน่อย ว่าอนาคตข้างหน้าอย่าได้ดีเกินหน้าเกินตาผมนัก

                “มากันทั้งบ้านแบบนี้จะอยู่เที่ยวกันกี่วันหรอครับ”

                (ก็สองสามวัน เออ แล้วพาหนูแฮมเขามาเจอแม่ด้วยล่ะ เขาเป็นธุระดูแลแกตั้งแต่เกิดเรื่อง ไม่รู้ว่าตอนนี้ได้พักบ้างหรือยัง)

                “อ่อ เขาอยู่ข้างๆ ผมนี่แหละแม่ เดี๋ยวผมบอกให้นะ รักแม่นะครับ”

               

                “เมื่อกี้พูดเรื่องกูปะ ที่บอกว่าอยู่ข้างๆ” แฮมถาม

                “ใช่ แม่ให้พามึงไปเจอ เขามาเย็นนี้ มึงได้นอนบ้างหรือยัง” ผมถามเขา ขอบตาของเขาคล้ำจนเห็นได้ชัด คงจะเฝ้าไข้ผมทั้งวันทั้งคืนสินะ

                “ช่างเรื่องนั้นเถอะ ไว้มึงหายดีกูค่อยทวงบุญคุณ โอเคนะ”

                ผมรู้ ที่เขาดูแลผมเป็นอย่างดีนั่นเพราะอะไร ไม่ต้องรอให้เขาทวงบุญคุณหรอก ผมยินดีชดใช้ให้เขาตลอดชีวิต นับตั้งแต่นี้ไป




ออฟไลน์ geurechi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
             
                “ทำไมไม่เข้าที่พักกันก่อน” พ่อแม่และน้องชายของผม พอลงจากเครื่องเหยียบพื้นเชียงรายก็รีบดิ่งมาเยี่ยมผมที่โรงพยาบาล

                “มาดูให้เห็นกับตาว่าลูกไม่เป็นอะไรแล้ว” แม่บอก คงคลายความกังวลแล้วเมื่อเห็นว่าผมไม่เป็นอะไรมาก

                “ขอบใจแฮมมากเลยนะลูก พรุ่งนี้เย็นไปทานข้าวกัน” พ่อเอ่ยปากชวนแฮมไปทานข้าวด้วย พ่อผมเป็นคนเดาใจยาก ในสายตาผมเขาค่อนข้างจะดุ แต่พอกับเพื่อนของผมล่ะ เขาใจดีเชียว

                “ครับ” แฮมตอบ

                “แล้วนั่นมาเยี่ยมหรือแค่เปลี่ยนสถานที่อ่านการ์ตูน” ผมแซวหมอกที่ก้มหน้าก้มตาอ่านแต่หนังสือการ์ตูนตั้งแต่เข้ามาในห้อง ผมรู้แหละว่าลึกๆ มันก็เป็นห่วงผม ถึงเราจะไม่ค่อยถูกกันบ้างตามประสาพี่น้อง “แล้วพักกันที่ไหนครับ” ผมถามพ่อกับแม่

                “พักรีสอร์ตในมหาลัยลูกนั่นแหละ พรุ่งนี้หมอเขาให้ออกจากโรงพยาบาลตอนไหนล่ะ แม่กับพ่อจะได้มารับ”

                “ก็สายๆ น่ะครับแม่ ยังไงผมโทรหาก็แล้วกัน”

                “ฝากดูแลโมทย์ด้วยนะแฮม เดี๋ยวแม่กับพ่อเข้าที่พักกันก่อน เจอกันพรุ่งนี้จ้ะ” แม่ฝากผมไว้กับแฮม

                “ยินดีครับ” แฮมตอบ

 

                แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ครอบครัวผมได้เจอกับแฮม ถือว่าผ่าน พ่อแม่ผมเอ็นดูเขาแน่ เท่ากับว่าผมไม่มีปัญหาครอบครัวมาเป็นอุปสรรคในความรักของเรา

               

“ทำไมน้องมึงน่ารักกว่ามึงเยอะเลย” แฮมพูดแบบนี้สงสัยอยากมีเรื่อง

                “แต่ไอ่หมอกมันเตี้ยกว่ากูเยอะเลยนะ ยังไงกูก็เท่กว่า มึงแค่ไม่กล้าชมกู กูรู้”

                “หลงตัวเองชิบหาย กูทำสรุปแอคเค้าไว้ให้ละ”

                “ขอบใจมึงมากเลย แล้วคนที่เขาขับรถชนกูเขาจะเอาเรื่องไหมที่กูไปตัดหน้ารถเขาอะ”

                “ไม่หรอก มึงเป็นฝ่ายเจ็บ เขาจะขอดูแลค่ารักษาให้ด้วยซ้ำ แต่กูให้เบอร์เขากับพ่อแม่มึงไปละ เขาคงจะจัดการกันไปแล้วมั้ง”

                “อ๋อ อืม ขอบใจมึงมากนะ คืนนี้มึงกลับไปนอนหอก็ได้ นอนขดตัวอยู่บนโซฟาแคบๆ ไม่สบายหรอก” ผมเผลอยิ้มเพราะในหัวมันคิดเรื่องสกปรก ถ้าไม่มีสายน้ำเกลือติดแขนผมอยู่ ผมคงอุ้มมันมานอนข้างๆ ผม บนเตียงแล้วล่ะ

                “มึงยิ้มอะไร เป็นบ้าปะ”

                “ป่าว อยู่ๆ มันก็อยากยิ้มน่ะ”

                “เห็นมึงเป็นแบบนี้แล้วกูยิ่งกลับไม่ได้ อยากให้หมอเขาเช็คสมองมึงอีกรอบว่าปกติดีหรือเปล่า”

                “ปกติดีก็แล้วกัน”

 

               

 

                ผมได้ออกจากโรงพยาบาลก็เกือบใกล้เที่ยง แทนที่พ่อแม่จะมารับ เปล่าเลย นู้นครับ ทริปการเที่ยวของพวกเขาเริ่มกันตั้งแต่เก้าโมงเช้า ทำเอาผมสงสัยว่านี่มาเยี่ยมผมหรือเป็นการพักผ่อนวันหยุดกันแน่ แต่ก็ช่างเรื่องนั้นเถอะ อีกประเดี๋ยวพวกเขาก็จะมารับผมกับแฮมออกไปทานข้าว อันที่จริงผมชวนเป้กับกานต์ด้วยแล้ว แต่มีนัดกันแล้วไปด้วยไม่ได้ ก็เสียดายเหมือนกัน ผมอยากให้แม่ผมรู้จักกับเพื่อนของผมทุกคน

                “แต่งตัวซะดูดีเชียว นี่มึงจะแย่งพ่อแม่ไปจากกูใช่ไหม” ผมแซวแฮม จำได้ที่เขาเคยบอกตอนผมไปเจอกับพ่อแม่เขา ผมทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนจะไปแย่งพ่อแม่เขา ผมว่าเป็นเรื่องตลกดี

                “ป่าว แต่งตัวไปอ่อยน้องมึง” ผมรู้ว่าเขาพูดเล่น

                “เชี้ย กูจะแจ้งความ มันยังไม่สิบแปดเลย”

                “อีกไม่กี่ปี กูรอได้”

                “ยังไม่หยุดอีก”

 

                เธอจะได้รู้ว่ามีผู้ใด อยู่ในตัวฉันให้เธอค้นเจอ มองดูให้ซึ้งถึงความหมายมากมาย เพื่อให้เธอรู้และตัดสินใจ

 

                เสียงริงโทนสมัยไหนเนี่ย ผมเกือบจะลืมไปแล้วว่าเคยชอบเพลงนี้

                “ครับแม่”

                (แม่อยู่ลานจอดรถหน้าหอแล้วนะลูก แต่งตัวกันเสร็จหรือยังเอ่ย)

                “เรียบร้อยครับแม่”

                (เจอกันจ้ะ)

 

                “แม่กูรอข้างล่างแล้วว่ะ ไปกันเถอะ” ผมบอกแฮมให้รับรู้ วันนี้มันแต่งตัวดีจนผมเริ่มจะอายเหมือนกัน นี่ประเทศเชียงรายนะเว้ย มึงแค่ออกไปกินข้าวข้างนอกไม่ต้องแต่งตัวเหมือนเดินเที่ยวสยามก็ได้

 

                “หวัดดีครับ” แฮมไหว้พ่อกับแม่ของผม เป็นภาพที่น่ามอง ผมเผลอคิดไปไกลถึงอนาคตแล้ว อยากแต่งงานกับมันเร็วๆ แล้วเนี่ย

                “หวัดดีจ้ะ หมอก ไหว้พี่เขาหรือยัง”

                “หวัดดีครับ” หมอกวางการ์ตูนในมือลงและไหว้ทักทายแฮม เหมือนทุกคนจะมีมารยาทกันหมดยกเว้นผมสินะ

                “นี่จะไปกินข้าวกันที่ไหนครับ” ผมถาม

                “ร้านอาหารเหนือในเมือง แม่เขาหารีวิวในพันทิพย์มา” หมอกตอบ

                “ร้านภูแลหรือลับแลอะไรสักอย่างแม่จำไม่ได้ แต่พ่อเขารู้ทาง ครั้งที่แล้วที่มาส่งลูกเข้าหอพ่อเขาไปชิมมาแล้ว อร่อยดี”

                “อ๋อ คงเป็นร้านภูแล ผมเคยไปทานมา อร่อยใช้ได้เลยครับ” แฮมพูด เขาค่อนข้างจะเข้ากับผู้ใหญ่ได้ดีจริงๆ ผิดกับผมที่เคอะเขินเวลาต้องร่วมบทสนทนากับผู้ใหญ่ ยิ่งกับคนที่ไม่ใช่พ่อแม่ผมแล้วยิ่งไม่ถนัด

                “อยู่กับโมทย์เป็นไงบ้างแฮม เขาทำห้องสกปรกไหม” พ่อถามแฮม

                “ก็ไม่ค่อยนะครับ จะมีก็แต่ชอบนอนกรนแล้วไม่ยอมรับ” แฮมขุดเรื่องที่เราเคยเถียงกันไว้เมื่อนานมาแล้ว ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้กรน

                “กูไม่ได้กรนจริงๆ กูก็ได้ยิน เป็นเสียงไม่ไอ่เป้ก็ไอ่กานต์”

                “มึงนั่นแหละ” แฮมยังไม่หยุด

                “พี่นั่นแหละกรน ผมทนฟังมาตั้งแต่เด็กละ” เอ้า ไอ่หมอกแทนที่จะเข้าข้างพี่

                “พอกันละจ้ะเด็กๆ จะถึงแล้ว” แม่เบรกไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นผมคงโดนใส่ร้ายไม่หยุดแน่

 
                พ่อขับรถมาส่งพวกเราถึงหน้าหอ ก่อนจะตรงดิ่งไปยังรีสอร์ตที่ตั้งอยู่ด้านหลังมหาวิทยาลัย เป็นเวลาใกล้สี่ทุ่ม หอในเกือบจะปิด

                ห้องมืด รูมเมทอีกสองคนยังไม่กลับ ถึงจะกลับก็คงไม่ทัน เว้นเสียแต่จะปีนเข้าหอ

                “มึงโทรหาพวกนั้นซิ ไปไหนกันทำไมยังไมกลับ” ที่จริงผมก็แค่อยากให้พวกนั้นรีบกลับ กลัวการได้อยู่สองต่อสองกับแฮมแล้วผมจะเผลอทำอะไรไม่ดีกับเขา

                “ไม่รับวะ คงไม่กลับละมั้ง เห็นเช็คอินอยู่ร้านเหล้ากันทั้งคู่เลย”

                “อ๋อ พอไม่มีเสียงคุยโทรศัพท์ของไอ่กานต์ห้องเงียบลงเยอะเลย”

                “จริงด้วย เปิดเพลงไหม”

                “ไม่ต้อง”

 

                ผมถือวิสาสะหยิบกีตาร์ของเป้ออกมาเล่น เป็นเพลงที่ผมหัดเล่นเมื่อไม่นานมานี่ แต่ตอนนี้ที่ผมอยู่คงยังไม่มีเพลงนี้หรอก ขอโทษเจ้าของลิขสิทธิ์ ขอโทษพี่ซินด้วยนะครับ   

               

            “ขอ วอนให้ลมจงอย่าพัด ให้รักแท้ต้องจากไป วอนสายลดได้ไหม

            ให้เธอ ไม่ต้องจากกันไป ไม่มีวันที่ต้องเสียใจ เท่านั้นได้หรือเปล่า” ผมร้องไม่ค่อยเพราะเท่าไหร่ แต่อารมณ์เพลงให้คะแนนตัวเองเต็มสิบ ถ้าแฮมสังเกตสักนิด เพลงนี้ผมตั้งใจร้องให้เขานะ

 

            “เพราะดี แต่ไม่คุ้นแฮะ เพลงใหม่หรอ”

                “เพลงใหม่มาก ชอบไหม”

                “ชอบ”

                “กูหรอ”

                “สัส” เขาเก๊กหน้าโกรธ ทำเป็นจริงจัง แต่ผมแอบเห็นนะว่าเขานะแอบยิ้ม

                “กูเห็นนะว่ามึงแอบยิ้ม”

                “อะ กูให้เพลงนี้อีกเพลง”

 

                ผมนึกออกอีกเพลงที่ผมพอจะจำคอร์ดได้ เป็นเพลงที่เล่นยากหน่อย แต่ผมชอบเกากีตาร์เพลงนี้มาก

 

                “...ก็เธอทำให้ได้รู้ รู้ถึงคำว่ารักที่ต่างไป รู้.. รู้ถึงคำว่ารักที่มีความหมาย เธอทำให้รู้ว่าฉันยังมีหัวใจ...” ผมดำน้ำไปหลายท่อน จำได้ดีก็แค่ท่อนฮุคนี่แหละ “เป็นไงเพลงนี้ ชอบปะ”

 

                “ไม่รู้โว้ย”

 

                จะจีบเพื่อนตัวเองนี่มันยากเหมือนกัน แม้ว่าผมจะรู้ว่าแฮมชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แต่พอจะทำอะไรให้มันพิเศษสักอย่างมันกลับกลายเป็นแค่เรื่องทั่วไป ถ้าก่อนหน้านี้ผมไม่เคยร้องเพลงรักแบบนี้ให้เขาฟัง เขาคงจะดูออกว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว

 

                “อยากฟังเพลงไหนอีกปะ”

                “พอเหอะ กูจะอ่านหนังสือละ”

                “อื้ม พรุ่งนี้เย็นไปส่งพ่อแม่กับน้องกูขึ้นเครื่องด้วยกันนะ”

                “ได้ กูคิดถึงบ้านเลยว่ะ อยากกลับบ้านอะ”

                “อาทิตย์หน้าไหมล่ะ กูไปเป็นเพื่อน กูอยากเจอที่บ้านมึงเหมือนกัน”

                “ไปทำไม ไม่ต้องไปหรอก”

                “เดี๋ยวก็ต้องได้ไป สักวัน”

 

                ผมหยิบสรุปที่แฮมทำไว้ให้ช่วงที่ผมขาดเรียนไปสองวัน ที่จริงไม่ต้องอ่านก็ได้ เนื้อหาหลังมิดเทอมมีแต่เรื่องง่ายๆ อีกอย่างผมทำงานเข้าใจวิชาพวกนี้จนเรียกได้ว่าลึกซึ้งแล้วล่ะ มานอนพักสายตาดีกว่า

 

                “นอนเร็วจัง” แฮมถาม

                “ยังหรอก กูแค่พักสายตาสักหน่อยน่ะ”

                “กูมีเรื่องจะบอก” ใจผมเต้นตุบๆ ลุ้นว่าแฮมจะพูดอะไร เขาจะสารภาพรักผมหรือเปล่านะ เขาอาจจะกล้าพอแล้วก็ได้

                “อื้ม ว่ามาสิ”

                “คือว่า เอ่อ คืนนี้พระจันทร์สวยดีเนอะ”

 

                โถ่ แฮม สรุปกูต้องเป็นฝ่ายจีบมึงแน่นอนใช่ปะ ในชีวิตนี้ผมไม่เคยจีบใครเลยนะ ที่ผ่านมาก็แค่จ้องตากัน มีอะไรกัน แล้วค่อยตกลงกันว่าจะไปต่อกันไหม แต่สำหรับแฮมมันจะธรรมดาอย่างนั้นไม่ได้หรอก

 

                “มึงลองขอพรพระจันทร์ดูนะ บางทีเรื่องที่มึงขออาจจะกลายเป็นจริงก็ได้” ผมเคยได้ยินผ่านๆ น่ะ

                “มันเป็นไปไม่ได้หรอก”

                “งั้นกูขอให้มึงเองละกัน”

 

                ผมพนมมือขึ้นมา ไหว้ไปทางพระจันทร์ “ขอให้สิ่งที่แฮมปรารถนาเป็นจริงด้วยเถิดครับ สาธุ”

                “ไอ่บ้า” แฮมหัวเราะใส่ คงคิดว่าผมเพ้อเจ้อ

                “ได้ยินแว่วๆ เขาบอกว่าพรุ่งนี้พรมึงจะเป็นจริงด้วยว่ะ”

                “มึงนอนไปเลย”

                “อื้ม นอนละ จะหลับฝันดีฝันถึงมึงอีก”

 

 

               

                “มา กูถือให้” ผมหอบกระเป๋าเป้ของเขาขึ้นบ่า เขาผอมบางแต่ชอบขนหนังสือเรียน หนังสืออ่านนอกเวลาอะไรก็ไม่รู้มาเยอะจนหนักไปหมด วันนี้มีเรียนเช้าบ่าย ครอบครัวผมไปเที่ยวกันแต่เช้า อดสงสัยไม่ได้ว่าเอาเรื่องผมเข้าโรงพยาบาลเป็นข้ออ้างในการเที่ยวแน่นอนเลย

                “มึงนี่แปลกตั้งแต่เช้าเลยนะ ทำดีกับกูผิดปกติ”

                “ต้องมีเหตุผลในการทำดีกับมึงด้วยหรอ เออ จริงๆ ก็มีแหละ” มันไม่ง่ายจริงๆ ด้วยแฮะ การที่จะบอกชอบ บอกรักใครสักคน

                “แต่ก็ดีแล้ว อยู่ดีๆ ก็มีคนมาเป็นเบ้ให้” ยินดีเป็นให้ตลอดชีวิตแหละครับ ขอแค่ให้คุณได้อยู่กับผมไปนานๆ ก็พอ

               

                ผมวางกระเป๋าของเขาลงบนโต๊ะฝั่งของเขาก่อนจะวางสัมภาระอันน้อยนิดของผมลงบนโต๊ะฝั่งของผม โดนไม่ทันได้เห็นว่ามีสายตาจับจ้องการกระทำนั้นตั้งแต่ต้น

                “ฮั่นแน่ สองคนนี้ยังไง มีถือของให้กันด้วย” เก้าแซว ทำดีมาก แซวซะจนแก้มของแฮมเริ่มเปลี่ยนสี ถึงแม้จะพยายามเก็บอาการ แต่ผมรู้นะว่าเขินอยู่

                “ไม่มีอะไรหรอก แค่เพื่อนสนิท...คิดไม่ซื่อน่ะ” ดูเหมือนผมจะพูดดังเล่นเอาเพื่อนรอบข้างที่ได้ยินโห่แซวกันยกใหญ่ ส่วนแฮมที่เขินจนหน้าแดงฟุบหน้าซ่อนไม่ให้ผมเห็นรอยยิ้มไปแล้วล่ะ เห็นแบบนี้แล้วนึกไม่ออกเลยว่าผมอีกคนเปลี่ยนให้แฮมกลายเป็นคนกร้านแบบนั้นได้ยังไงกัน         

 

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
ขอให้รอบนี้ทุกอย่างดีขึ้น

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ขอให้ได้อยู่ด้วยกันตลอดไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด