ตอนที่สิบเอ็ด
คนข้างๆ
ผมเคลิ้มหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ช่วงนี้เหนื่อยๆ มีเรื่องมีราวให้คิดจนปวดหัว ทำให้ขี้เซาเป็นพิเศษ ลืมตาขึ้นมาพบกับกูล นอนอยู่ตรงข้าม เงยหน้ามองขึ้นเจอใบหน้าค่อนข้างดี ใครหลายคนอาจจะชอบหน้าตาแบบนี้ ลับตาพริ้ม ดูท่าทางมีความสุขกับการนอนเสียจริง เวลาหลับน่ามองกว่าเวลาตื่นเป็นไหนๆ ผมจองมองกูลอยู่นาน ไม่กล้าขยับตัวไปไหนกลัวทำลายความสุขของคนนอน ผมที่ปลิวไปกับแรงพัดลม พลิ้วไหวไปมา เผยน่าผากเนียนมน จนอยากสัมผัส ผมเคลื่อนหน้าเข้าไปหา เฮ้ย!นี่ผมคิดบ้าอะไรอยู่ บ้าไปแล้วแน่ๆ ความคิดที่ผุดขึ้นมาในใจ นั้นทำให้เขินไปเอง ใจเต้นแรงได้ขนาดนี้เชียวหรอ หรือนี่คือข้อเสียของการจ้องมองระยะใกล้ และมากเกินไป ไม่ได้! เป็นแบบนี้ไม่ดีเลย ผมขมวดคิ้วอยู่นาน จัดการกับความรู้สึกแปรปรวนให้มันสงบลง
“morning kiss” ผมผละตัวออกตามสัญชาตญาณ กูล มัน เอ่อ.... มันจูบผม ผมได้สติ ถลึงตาโต ผลักอกมันให้ออกจากตัว กระเด้งตัวขึ้น
“คุณ!! นี่เมืองไทย ทำแบบนี้ทำไมวะ ผมไม่รู้ว่าเมืองนอกจะคิสกันแบบนี้เป็นเรื่องปกติหรือเปล่า กูล มัน จะคิสกับก่อแบบนี้หรือไม่ แต่เมืองไทยเขาไม่ทำแบบนี้กัน แบบนี้มันไม่ถูกต้อง คุณควรระวังและเรียนรู้นำไปปฏิบัติตาม อย่างน้อยที่นี่ก็บ้านเกิดของคุณ” ผมร่ายยาวด้วยความตกใจ
“เอ่อ... โถ่ เว้ย!! ทำไมโตมาแล้วโง่อย่างนี้วะ” กูล ฉุนเฉียว เดินตึงตังออกจากห้องไป ตื่นมาอารมณ์แปรปรวนเสียจริง หลับยังจะดีเสียกว่า
ผมเอามือทาบอก นึกถึงเรื่องเมื่อสักครู่ ออกไปก็ดีเหมือนกัน อาการผมไม่ดีเลย เกือบหัวใจวายไปแน่แล้ว ใจมันเต้นไม่เป็นระส่ำ หน้ามันมืดๆ คล้ายจะเป็นลม นับวันอาการยิ่งแย่ลงทุกวัน การอยู่ใกล้ใครมากๆทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด อาจเพราะผมไม่ค่อยสนิทหรือเข้าใกล้ใครแบบจริงๆจังๆ ช่วงนี้ทั้งพี่ปลื้ม ทั้งกูล มีผลต่อจิตใจของผมมากเกินไปแล้ว ปล่อยไว้แบบนี้คงแย่แน่ๆ ต้องหาเวลาว่างไปหาหมอบ้างแล้วละ
ผมมาถึงมหาวิทยาลัยพร้อมกูล เช่นเคย ผมมีเรียนสิบโมงเช้า ส่วนกูลมีเรียนบ่าย มันดื้อดึงจะมาพร้อมกันบอกว่าหิวข้าว เถียงกันอยู่นานกว่าจะลงจากรถ ในเรื่องเดิมๆ คือการรอผมกลับบ้าน อยู่ใต้ตึกเรียนวิชาสุดท้ายของผม ยอมรับเลยว่าค่อนข้างหัวเสียกับการกระทำเอาแต่ใจแบบนี้มาก
“จะรอที่เดิม ห้ามหนี”
“อื้อ!! ปลดล็อกประตูได้รึยัง” ถ้าผมไม่ตอบตกลงคงไม่ได้ไปเรียนแน่ๆ ใกล้เริ่มคลาสแล้วด้วย
Line Message :: P’Ploy11:02 จุน
ครับ พี่พลอย 11:03 read
11:03 ตอนนี้ว่างหรือเปล่า มาที่บ้านปลื้มตอนนี้ได้ไหม
เกิดอะไรขึ้นหรือครับ 11:04 read
11:05 ปลื้มไม่สบาย อาการไม่ค่อยจะดี พี่ต้องการความช่วยเหลือ
ครับผมจะรีบไป 11:06 read
ผมนึกถึงเรื่องเมื่อวาน เรื่องพี่ปลื้มกับก่อ มันต้องเป็นเรื่องเดียวกันแน่ๆ ที่ทำให้พี่ปลื้มอาการไม่ดีแบบนี้ ผมรีบขออนุญาตอาจารย์ไปเข้าห้องน้ำ ตั้งใจจะโดดคาบนี้ และคาบบ่ายทั้งหมด เป็นห่วงพี่ปลื้ม ผมรีบออกจากมหาวิทยาลัย เรียกแท็กซี่ มุ่งตรงไปตามโลเคชั่นที่พี่พลอยส่งมา เป็นโลเคชั่นบ้านพี่ปลื้ม ผมมาถึงบ้านพี่ปลื้ม โทรไลน์เข้าไปหาพี่พลอยให้ลงมาเปิดประตู
“สวัสดีครับ พี่พลอย พี่ปลื้มเป็นยังไงบ้างครับ”
“เข้ามาก่อนจุน พี่ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป ปลื้มโทรมาหาพี่ บอกให้พี่ช่วย น้ำเสียงดูไม่ดี พี่ตัดสายแล้วจึงรีบมาที่นี่ก่อน เมื่อพี่เห็นปลื้มในสภาพแบบนี้ พี่จึงทำอะไรไม่ถูก จึงต้องไลน์ไปหาเรา”
พี่พลอยเดินนำทางขึ้นมาห้องพี่ปลื้ม เล่าเหตุการณ์คร่าวๆ จนเปิดประตูมาเจอสภาพพี่ปลื้ม หน้าพี่ปลื้มซีดเซียวข้อมือด้านขวาโดนล็อกไว้ด้วยกุญแจมือ ร่องรอยช้ำเป็นจ้ำ ผมรู้แล้วครับว่าร่องรอยเยอะแยะพวกนี้คือรอยจูบแน่ๆ เอาจริงๆผมก็ยังแยกไม่ออกหรอกระหว่างรอยจูบกับรอยแมลงกัดต่อย แต่พี่พลอยเป็นคนย้ำว่ารอยบนตัวพี่ปลื้ม เกิดจากการร่วมรัก เอ่อ..... นั่นแหละ เวลาพูดคำพวกนี้มันเขินแปลกๆ มันใช่เวลาไหมนี่
ผมหากะละมังกับผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก ใส่น้ำอุณหภูมิห้อง เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้พี่ปลื้ม กุญแจมือก็ไขไม่ได้ ลำบากนิดหน่อยจำเป็นต้องตัดเสื้อทิ้งไป เพราะค่อนข้างชื้นเหงื่อ ขืนปล่อยใส่ไปอาจเป็นปอดบวมได้ ผมไล่เช็ดหน้าเช็ดตาพี่ปลื้ม ปากแห้งแตกเลือดกรัง ที่ริมฝีปากบวมช้ำ ผมเผลอน้ำตาไหลไปกับสภาพพี่ปลื้ม สงสารจับใจ ต้องเป็นไอ้เด็กก่อแน่ๆ พี่พลอยต้มข้าวต้ม เสร็จยกขึ้นมา ผมจึงพยายามปลุก พี่ปลื้มก็ไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมา คงเพลีย ผมกับพี่พลอยจึงตัดสินใจรอจนกว่าพี่ปลื้มจะตื่นขึ้นมาเอง
พวกเรารอกันนานจนหนึ่งทุ่มพี่พลอยขอตัวกลับไปก่อนกลัวที่บ้านเป็นห่วง พวกเราคุยกันไว้แล้วว่าผมจะเป็นคนเฝ้าไข้พี่ปลื้มคืนนี้ ถ้าพี่ปลื้มไม่ดีขึ้น พี่พลอยบอกให้โทรหาทันที ใจจริงผมอยากจะเอาตัวพี่ปลื้มไปโรงพยาบาลตั้งแต่แรก แต่ติดกุญแจมือ น่าจะของเจ้าเด็กบ้านั่น น่าโมโหชะมัด พี่ปลื้มตื่นขึ้นมาอีกที สองทุ่มผมจัดการให้ทานข้าวต้มที่เย็นชืดแล้ว ให้พี่ปลื้มทานได้ไม่กี่คำ ทานยา แล้วก็ล้มตัวนอนอีกครั้ง ไม่นานเสียงก๊อกแก๊ก ดังมาจากด้านล่างของบ้าน ผมลงบันไดไปดู
“ผมคิดไว้แล้วต้องเป็นฝีมือคุณ” ผมพูดเสียงเรียบ ก่อมีท่าทีตกใจ
“แล้วไง” สีหน้ายียวนเหมือนเพื่อนของเขาไม่มีผิด ผมกำมือแน่น อารมณ์เริ่มคุกรุ่น
“คุณรู้ไหมว่าการกระทำแบบนี้มันผิดกฎหมาย ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน *การละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนอื่นต่อให้คุณอยู่ที่ใดบนโลกใบนี้มันก็ไม่มีคำว่าถูกต้อง”
“แล้วเกี่ยวอะไรด้วย” พูดจบเด็กก่อ ก็เดินขึ้นไปข้างบนห้องพี่ปลื้ม ผมเดินตามขึ้นไป
“คุณคิดจะทำอะไร” เด็กก่อเดินตรงไปที่เตียงพี่ปลื้มที่นอนหลับอยู่ เขาลูบหัวพี่ปลื้มแล้วจึงไขกุญแจมือออก
“อย่ามายุ่งน่า” เขาพูดเสียงรำคาญ
“คุณทำแบบนี้กับพี่ปลื้มทำไม” ผมถามอย่างสงสัย และค่อนข้างแน่ใจว่าเขาจะไม่ทำร้ายพี่ปลื้มแน่ๆ เอ่อ....เพราะอะไรนะเหรอ ก็ภาพที่ผมเห็นตอนนี้ เจ้าเด็กบ้ามันขึ้นไปนอนข้างพี่ปลื้ม พรมจูบขมับไปมาไม่หยุด สายตาคู่นั้นเขามองแต่พี่ปลื้ม ไม่มีสายตาร้ายร้ายเฉกเช่นเมื่อเย็นวาน
“วันไหนยูมีความรัก ยูจะรู้เอง” ก่อพูดเสียงเบาลง
“เหอะ!แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจข้ออ้างพวกนี้ น่าตลกชะมัด พวกคนที่ใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา แล้วอ้างว่าเป็นเพราะรัก เพราะหึง เพราะหวง เป็นเรื่องของคนสองคน คนในครอบครัว คนอื่นห้ามยุ่ง ผมทนไม่ได้หรอกนะ นิสัยเด็กไร้การอบรม ถือตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล ถ้ามันเป็นความรักจริงๆ คุณคงไม่ทำร้ายคนที่คุณรักหรอก คนแบบนี้เขาเรียกว่า “เห็นแก่ตัว” ที่ผมพูดก็เพื่อให้คุณคิดว่ามันสมควรแล้วใช่ไหมที่กระทำสิ่งพวกนี้ขึ้น” ผมร่ายยาวน่าโมโหจริงๆ พวกตรรกะป่วยๆพวกนี้
“อืม.... ” เสียงพี่ปลื้มขยับรู้สึกตัว ก่อ ผุดตัวลุกขึ้นเผยยิ้ม รีบหาน้ำหาหลอดป้อนพี่ปลื้ม เขาเอามืออังหน้าผากเช็คอุณหภูมิ แล้วจึงรีบหาผ้ามาซับหน้าซับเหงื่อที่ปะทุ อย่างถะนุถนอม เห็นแบบนี้ผมค่อยเบาใจลงหน่อย แต่ยังไม่วางใจ
“ยูไม่ต้องกังวลหรอก สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรปลื้ม”
“ผมจะแน่ใจได้ยังไง”
“ยูดื้อ อย่างที่กูลบอกไว้จริงๆ”
“ก็เพราะพวกคุณมันเป็นแบบนี้ไงละ”
“I’m promises” ก่อพูดขึ้นเสียงหนักแน่น แววตาดูมุ่งมั่น ครั้งนี้ผมจะเชื่อสายตาคู่นี้
“ผมชอบพี่ปลื้มนะ แต่ในฐานะพี่ชาย ผมจะบอกคุณแค่นี้”
“ขอบใจ....” สีหน้าเด็กก่อดีขึ้น ความสดใสในแววตาของเขากำลังกลับมา ที่แท้เขาก็กังวลเรื่องนี้จนเป็นบ้า เด็กหนอเด็ก กลัวคนมาแย่งของเล่น
เราเงียบกันอยู่สักพัก สองทุ่มกว่าแล้วข้างนอกฝนก็ตกลงมาท่าทางจะหนักเสียด้วย สงสัยพายุจะเข้าอีกแล้วอากาศแปรปรวนเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝน ดีที่ยังแข็งแรงปรับสภาพได้ค่อนข้างดี อ่อนแอหน่อยคงเป็นหวัดไปนานแล้ว เอ๋! ผมรู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่าง นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก สงสัยคงลืมร่ม จริงด้วยอากาศแบบนี้คงลืมร่มไว้ในคลาสเรียนอีกแล้ว สับเพร่าจริงเลยเรา
“เฮ้! ยู ถึงกูลมันจะเป็นเด็กเอาแต่ใจ นิสัยบางอย่างมันจะเสียไปบ้าง เพราะอาจจะอยู่กับไอมากไป แต่มันเป็นคนซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเองมาก ยูลองเปิดใจ ลองมองการกระทำมันบ้าง มันโคตรจะชัดเจน” ผมไม่ได้จับใจความคำพูดของก่อสักเท่าไหร่ ผมนึกออกแล้ว ผมลืมมัน ลืมกูลไว้ที่มหาวิทยาลัย
“ร่ม เอ่อ... มีร่มสักคันไหม”
“ด้านล่าง หน้าประตูยูเอาไปก่อนได้เลย”
“อื้ม” ผมรีบวิ่งลงบันได โบกแท็กซี่กลับบ้าน ป่านนี้กูลมันคงกลับบ้านแล้วละ ผมต้องการกลับบ้านไปดูให้แน่ใจ มันคงไม่บ้าระห่ำนั่งรอผมที่มหาวิทยาลัยหรอกนะ แบบนั้นก็บ้าเกินไปแล้ว ผมมาถึงบ้านประมาณสามทุ่มครึ่ง บ้านปิดไฟไปแล้ว รีบไปดูที่โรงจอดรถ ยังไม่มีรถของกูลเข้ามาจอด ภาวนาให้มันไปไหนสักที่ ที่ไม่ใช่การนั่งรอผมที่มหาวิทยาลัย ผมเดินมาปากซอยโบกแท็กซี่เพื่อไปมหาวิทยาลัย ถึงมหาลัยสี่ทุ่มนิดๆ ฝนเจ้ากรรมก็ยังไม่หยุดขาดเม็ดเสียที
ใช่แน่แล้ว รถญี่ปุ่นคันดำจอดไว้อย่างโดดเดี่ยวกลางลานจอดรถ ไม่ได้ติดเครื่องยนต์ไว้แสดงว่าคงไม่ได้อยู่บนรถ บ้ามากจริงๆ โตแล้ว ทำไมต้องทำให้คนอื่นเป็นห่วงด้วยวะ ผมรีบสาวเท้าเข้าไปใต้ตึกคณะที่ผมมีคลาสเรียนคาบสุดท้ายของวัน สี่โมงเย็น มันรอผมตั้งแต่สี่โมงเย็นหรือมากกว่านั้น เพราะคาบสุดท้ายของมันคือบ่ายสามโมง ผมเดินมาถึงก็เห็นสุนัขหลายตัวจับจองโต๊ะเพื่อเป็นที่นอนที่หลบฝน และมีสุนัขเปียกปอนตัวหนึ่งในชุดนักศึกษาสีขาว ตัวโย่งๆนั่นฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เสื้อสีขาวเปียกจนแนบเนื้อ พื้นที่ไม่เปียกตั้งมากมายทำไมต้องทำให้ตัวเองเปียกขนาดนี้ ผมคงไม่รู้เหตุผลเลยถ้าเจ้าตัวดี ไม่เขียนข้อความติดเสาอาคารทุกเสา
“จุ้น ผมไปเข้าห้องน้ำ นั่งรอตรงนี้นะ ห้ามไปไหน”
ตึกเรียนที่นี่ถ้าปิดแล้วห้องน้ำอยู่ไกลออกไป นอกตัวอาคาร ส่วนไอโฟนของผมมันหมดแบตเตอรี่ไปนานแล้ว ทำให้กูลติดต่อผมไม่ได้ ผมเลื่อนสายตาไปมอง ก้มดูกระดาษที่กูลนอนทับอยู่
“จุ้น คุณอยู่ที่ไหน มืดแล้ว กลับบ้านกันนะ”
Guide Line Thanks.
๑ สิทธิมนุษยชน (Human Rights) หมายความถึง สิทธิความเป็นมนุษย์หรือสิทธิในความเป็นคน อันเป็นสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่เกิดมา สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิที่ไม่สามารถโอนให้แก่กันได้และไม่มี บุคคล องค์กร หรือแม้แต่รัฐ สามารถล่วงละเมิดความเป็นมนุษย์นี้ได้สิทธิในความเป็นมนุษย์นี้เป็นของคนทุกคน ไม่เลือกว่าจะมีเชื้อชาติแหล่งกําเนิดเพศอายุสีผิว ที่แตกต่างกัน หรือจะยากดีมีจน หรือเป็นคนพิการสิทธิมนุษยชนนั้น ไม่มีพรมแดน การกระทําใดที่มนุษย์กระทําต่อกันอย่างหยามเกียรติและละเมิดศักดิ์ศรีของความเป็นคน ไม่ว่าจะ เกิดแก่มนุษย์ที่ประเทศใด และไม่ว่าผู้กระทําการละเมิดจะเป็นบุคคล กลุ่มบุคคล หรือรัฐใดรัฐหนึ่งก็ตาม ถือเป็น การละเมิดสิทธิมนุษยชน