Again and again #ปราบเม่น ✎ ตอน 11 (The end) ✎ update 23/05/2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Again and again #ปราบเม่น ✎ ตอน 11 (The end) ✎ update 23/05/2018  (อ่าน 21066 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

✎ Again and again ✎
-chomin-
Tag : #ปราบเม่น

ว่ากันว่า ‘การทำงาน’ หากต้องการความราบรื่น ก็ต้องรู้จักผูกมิตร
แต่บางทีก็ควรต้องกลับมานั่งคิด..
ว่าคนๆ นั้น จะเหมาะสมต่อการ ‘ผูกมิตร’ ด้วยหรือไม่


"ผมศึกษามาแล้วครับ เขาบอกว่าเม่นน่ะขี้หวง
หมายถึงหวงบ้านน่ะครับ แล้วก็รักความสงบ ชอบอยู่เพียงลำพัง"

อ่าจ้า มึงศึกษามาดีมากจ้า

แต่ได้ข่าวว่าสิ่งที่มึงศึกษา มันคือเม่นที่เป็นสัตว์
ไม่ใช่เม่นที่เป็นคนโว้ย!

--------------------------------------------------------

♥ ผลงานอื่นๆ ♥

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2021 12:27:08 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: Again and again ✎ ตอน 00 - 01 ✎ update 15/05/2018
«ตอบ #1 เมื่อ15-05-2018 08:48:15 »

✎ 00

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในช่วงเช้าวันจันทร์ ยังคงว้าวุ่นและเต็มไปด้วยชาวต่างชาติเหมือนอย่างเคย ส่งผลให้การรอคอยเป็นอะไรที่สุดแสนจะยาวนาน นานจนรากจะงอกใส่เก้าอี้ที่ผมกำลังนั่งปักหลักมาเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ส่วนมือก็คอยแต่จะไถหน้าจอโทรศัพท์เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของโลกโซเชียลอย่างใกล้ชิด แต่เนื่องจากตอนนี้มันเป็นเวลาทำงาน จึงทำให้โลกโซเชียลยังไม่ค่อยมีการอัพเดต ซึ่งไอ้ส่วนที่มีการอัพเดต ก็ดันเป็นเรื่องที่ผมไม่สนใจ
นับได้ว่าตอนนี้ เวลานี้เป็นอะไรที่น่าเบื่อโคตรๆ

ผมชื่อเม่น ทำงานอยู่ฝ่ายบุคคล รับผิดชอบในส่วนของใบอนุญาตทำงานและวีซ่าของชาวต่างชาติ จึงทำให้มีความจำเป็นต้องไปๆ มาๆ ระหว่าง ต.ม หรือด่านตรวจคนเข้าเมืองกับบริษัทที่ผมทำงานอยู่บ่อยๆ เพราะเดือนๆ นึง ผมจะต้องเตรียมเอกสารที่ใช้ในการยื่นเรื่องดังกล่าวให้กับพนักงานชาวต่างชาติเกือบๆ จะห้าสิบคน ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการเตรียมราวๆ เดือนนึง เนื่องจากผมต้องแบ่งเวลาว่าต้นเดือนคือช่วงเตรียมเวิร์คหรือใบอนุญาตทำงานนะ ส่วนปลายเดือนก็เป็นคิวของวีซ่านะ เรียกได้ว่าหัวหมุนแทบจะทั้งเดือนเลยน่ะแหละ ซึ่งระดับความพีคของความวุ่นวายยังไม่จบลงแค่นี้!
เพราะทุกความวุ่นวายที่เกิดขึ้น..

แม่งเกิดขึ้นเพราะ..

ไอ้ผู้กองอนิล

ไอ้ผู้กองจอมเผด็จการ!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2018 13:06:51 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: Again and again ✎ ตอน 00 - 01 ✎ update 15/05/2018
«ตอบ #2 เมื่อ15-05-2018 08:57:06 »

✎ 01

การดูแลพนักงานชาวต่างชาตินั้น นอกจากจะมีวีซ่าให้เราต้องคอยใส่ใจแล้ว ก็ยังมีกำหนดการแจ้งอยู่เกิน 90 วันให้ต้องคอยจดจำด้วย แต่อย่าลืมว่ากำหนดการต่อใบอนุญาตนั้นก็สำคัญ ดังนั้นการที่ผมจะจดจำกำหนดการต่างๆ ของพนักงานชาวต่างชาติในจำนวนเกือบห้าสิบชีวิตโดยไม่มีตกหล่น ผมก็ต้องคอยคีย์กำหนดการต่างๆ เหล่านั้นลงในตารางที่ทำขึ้นเอง โดยแยกเป็นเดือนๆ ไปเลย ว่าใครถึงกำหนดต้องต่ออายุในเดือนไหน วันอะไร ซึ่งผมต้องทำแยกออกเป็น 3 ฉบับ ก็คือ work , visa และ 90 days
ส่วนเช้าวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวัน ที่ผมจะต้องหอบเอกสารกองใหญ่มหึมา พร้อมด้วยพนักงานชาวต่างชาติจำนวน 5 ชีวิต เพื่อเดินทางไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่โคตรจะวุ่นวาย แต่เนื่องจากวันนี้ไม่ใช่วันจันทร์ ความวุ่นวายที่ว่านั้น ก็จะลดทอนลงมาหน่อย
แต่..
ที่จอดรถหายากมากโว้ย!

ผมตัดสินใจส่งพนักงานชาวต่างชาติทั้งห้าคนตรงหน้าประตูทางเข้า จากนั้นก็วานให้เขาช่วยหอบหิ้วถุงเอกสารของตัวเองลงจากรถคนละถุง ส่วนผมก็จะวนรถหาที่จอดต่อไป ซึ่งก็ต้องวนอ้อมไปยังเลียบชายทะเล โดยที่สายตาก็ต้องคอยสอดส่ายหาพื้นที่ว่างๆ ที่มันเพียงพอต่อความยาวของรถนิสสันมาร์ชคันเล็กๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มี ผมเลยต้องวนกลับไปยังจุดเริ่มต้น และตัดสินใจจอดมันข้างถนน แล้วค่อยเดินข้ามไปยังอีกฝั่งแทน
ซึ่งนี่ก็เป็นเพียงแค่น้ำจิ้มเล็กๆ พอขำๆ

ผมใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีในการข้ามถนน เพราะไม่รู้ว่ารถมันเป็นบ้าอะไร ยิ่งพอเห็นคนจะข้าม มันจะยิ่งเหยียบคันเร่งเข้าใส่ ครั้นเมื่อเดินตากแดดอันร้อนระอุซึ่งเป็นซิกเนเจอร์อันแสนลือชื่อของประเทศไทยไปจนถึงหน้าทางเข้า ต.ม ผมก็นำทัพเปิดประตูเข้าไปยังสถานที่ราชการอันแออัด เพราะพื้นที่ว่างสำหรับแทรกตัวเข้าไปข้างในยังแทบจะไม่มี ก็เคาน์เตอร์กดคิวเล่นอยู่ข้างหน้าเลยจ้า
“มายื่น visa Non-B ครับ” ผมหันไปชี้บอกพนักงานชาวต่างชาติที่มาด้วยกัน ให้เดินเข้าไปหาที่นั่งรอข้างใน ตรงบริเวณเคาน์เตอร์สี่ จากนั้นก็หันกลับมาแจ้งเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นเด็กฝึกงาน จนกระทั่งได้คิวที่ 405 ผมก็เดินตรงดิ่งไปยังพื้นที่นั่งรออันคุ้นเคย ซึ่งมันไร้พื้นที่ว่าง ผมจึงฝากบัตรคิวให้กับเอมิลี่เป็นคนถือ ส่วนผมก็ยืนจ้า โชว์แมนกันไป ไม่ใช่อะไร วันนี้มากับสาวๆ ทั้งนั้นเลยครับ
เรามันผู้ชายอกสามศอก ก็ต้องเสียสละนิดนึง
 
ช่วงนี้ผมต้องตามงานของคนเก่าให้ทัน เพราะว่าผมเพิ่งจะเข้ามาทำงานได้อาทิตย์เดียวเท่านั้น แต่งานก็ถือว่าหนักพอสมควร เพราะการจะทำเอกสารเหล่านี้ได้ จะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลต่างๆ ของบริษัทมากทีเดียว ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นก็ถือว่าเป็นข้อมูลในเชิงลึก เนื่องจากแต่ละบริษัทก็จะมีความแตกต่างกัน เช่น ที่เก่าของผมไม่ต้องทำหนังสือชี้แจงอะไรเลย เพราะเอกสารมันตรงเป๊ะๆ อยู่แล้ว แต่ที่ใหม่เนี่ย ผมต้องทำหนังสือชี้แจงอยู่หลายฉบับ เช่นว่า จำนวนคนในประกันสังคมกับภงด.1 ไม่ตรงกันเพราะอะไรประมาณนี้แหละ
ยุ่งยากมากมาย

“คุณเม่น จะมาไม่เห็นบอกกันเลยครับ” ไอ้ตัวยุ่งยากมันมาแล้วครับ
“เผอิญผมไม่อยากรบกวนผู้กองอนิลน่ะครับ เกรงว่าจะไม่ค่อยว่าง” ผมตอบอย่างสุภาพพร้อมกับฉีกยิ้ม ขณะที่ในใจนี่แบบเหม็นเบื่อมากเว่อร์ ก็ไอ้ผู้กองอะไรนี่ มันชอบโทรมาบอกให้ผมเอาเอกสารไปให้เพิ่ม ซึ่งครั้งแรกๆ ผมก็โอเค ถือว่าเราเพิ่งมาใหม่ คนก่อนอาจจะเตรียมไม่ครบอะไรงี้ แต่ประเด็นมันดันอยู่ตรงที่ ไอ้ผู้กองอนิลจอมเผด็จการคนนี้ชอบย้ำกับผมนักหนาว่า ต้องเดี๋ยวนี้นะครับคุณเม่น เดี๋ยวผมต้องเคลียร์ของบริษัทอื่นแล้ว ซึ่งผมก็โอเค ใจร่มๆ แต่มันชักจะไม่โอเคก็ตรงที่ ไอ้ผู้กองตัวโย่งนี่ ดันตรวจเอกสารทีละคนๆ แล้วค่อยโทรหาผมทีละครั้งที่เจอว่าเอกสารไม่ครบ!
ถามว่าเปลืองน้ำมัน เปลืองเวลาของผมมั้ย
ก็เออเปลือง! แต่ผมจะทำอะไรได้ครับ!

“สำหรับคุณเม่นผมว่างเสมอครับ..” ไอ้ผู้กองตัวโย่งมันก้มหน้าเข้ามาประชิดผมครับ! ผมนี่ถอยแทบไม่ทัน
“ขอบคุณครับ” ผมกัดฟันตอบจังๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็รับรู้นะ แต่ด้านไง มัวแต่ยืนยิ้มแป้นให้ผมอยู่ได้ ผมเลยสะกิดเอมิลี่พร้อมกับขยับปากแบบไม่มีเสียงว่าผมจะไปคาเฟ่ข้างๆ นี่ จากนั้นผมก็รีบเดินหนีไอ้ผู้ชายในเครื่องแบบคนนั้นทันที

กระทั่งเหตุการณ์สงบ หลังจากสั่งเครื่องดื่มเย็นๆ อย่างเลมอนทีแล้ว ผมก็มานั่งกดโทรศัพท์ดูโน่นนี่ระหว่างรอ และไม่ลืมที่จะเข้าสู่กรุ๊ปไลน์สำหรับพนักงานชาวต่างชาติ เพื่อสอบถามพวกเอมิลี่ว่าต้องการจะดื่มอะไรหรือเปล่า ผมจะได้ซื้อเข้าไปให้ แต่สาวๆ เขาพากันปฏิเสธ ผมก็เลยเดินกลับเข้ามาด้านในพร้อมกับเลมอนทีดับอารมณ์ร้อน ซึ่งระหว่างรอคิวยื่นเอกสาร ผมก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ เอวาลิน จากนั้นก็รับบัตรคิวที่ถูกส่งต่อๆ กันมาเก็บไว้เอง พร้อมกับมองไปยังเคาน์เตอร์สี่ที่มีพี่ตั้มนั่งประจำที่อยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และผมคงจะจ้องพี่แกมากเกินไป อีกฝ่ายถึงได้รู้สึกตัว ผมเลยถือโอกาสยกมือไหว้ทักทายแกซะ แล้วก็หันกลับมาจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือเครื่องเดิม
แต่ตลอดเวลาที่ผมกำลังนั่งเป็นเป้านิ่งอยู่ตรงนี้ ผมกลับรู้สึกได้ถึงสายตาของใครบางคน ที่เอาแต่จ้องมองมาทางผม ซึ่งผมก็เงยหน้าบึ้งๆ ของตัวเองไปยังโต๊ะทำงานของไอ้ผู้กองอนิล ที่มีแต่กองเอกสารจนรกรุงรัง กลับไม่พบใครสักคนที่กำลังใช้สายตาจ้องมองเหมือนอย่างที่ผมรู้สึก

ผมเป็นคนมีเพื่อนไม่มากเท่าไหร่ ด้วยความที่ผมเป็นพวกชอบอยู่บ้าน ไม่ชอบที่ๆ คนเยอะๆ เวลาเพื่อนชวนไปไหน ผมก็จะไม่ค่อยไปด้วย จนพวกมันขี้เกียจจะติดต่อผมกันแล้ว ซึ่งผมก็โอเคดี เพราะผมมีความสุขกับการใช้ชีวิตอยู่ในบ้านของตัวเอง แต่หลังจากวันที่ผมมายื่นเอกสารพร้อมกับพี่ตาที่เพิ่งจะลาออกไปเพียงครั้งเดียว
ชีวิตผมก็แทบจะหาความสงบสุขไม่เจอ

ติ้ง!

แต่แล้วเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้า ก็เรียกความสนใจจากผมได้เป็นอย่างดี ผมจึงก้มหน้ามองโทรศัพท์ในมือของตัวเองแน่นิ่ง และเมื่อสไลด์หน้าจอมือถือเข้าไปยังแอพพลิเคชันดังกล่าวได้ ข้อความของคนที่ดูเหมือนจะว่างงาน แต่อันที่จริงไม่ว่างก็ปรากฏขึ้น

Prab: คุณเม่นครับ คิ้วคุณจะผูกโบว์อยู่แล้ว ยิ้มสิครับ ชีวิตนี้คุณยิ้มเป็นมั้ย?
         *แนบรูปเม่นแคระนอนหงาย มีกระดาษที่วาดรูปเป็นรอยยิ้มกว้างวางลงตรงปากเม่นแคระ*

แม่งเง้ยยยย กูไม่น่าหลวมตัวให้เบอร์แม่งไปเล้ย!

“เชิญหมายเลข 405 ที่ช่องบริการ 4 ค่ะ” เสียงประกาศเรียกคิวดังขึ้นหลังจากนั้นเพียงไม่นาน ผมจึงยัดเครื่องมือสื่อสารคู่ใจลงในกระเป๋าเสื้อ และหันไปขอเอกสารจากเอวาลิน ก่อนจะพาตัวเองเดินเข้าไปยังเคาน์เตอร์หมายเลข 4 ที่มีพี่ตั้มนั่งส่งยิ้มรออยู่
“เอกสารครั้งนี้ ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นเลยพี่ ครบแน่นอน” ผมกล่าวอย่างมั่นใจ พร้อมกับยื่นเอกสารของเอวาลินจำนวนสองปึกโตๆ จากนั้นผมก็นั่งก้มหน้าค้นหาหนังสือเดินทางของพนักงานคนดังกล่าวที่ผมเป็นฝ่ายเก็บรวมกันไว้ในกระเป๋าผ้าขนาดเล็ก เพราะเมื่อเช้าก่อนจะเดินทางมาที่นี่ ผมได้ตรวจสำเนาหนังสือเดินทางของพนักงานว่าที่ทางบริษัทมีเก็บไว้นั้น มีครบทุกหน้าหรือเปล่า เพราะบางทีพนักงานก็มีการเดินทางกลับบ้านเกิด ดังนั้นผมจึงต้องสแกนสำเนาเก็บไว้ให้ครบ และต้องยื่นให้กับทางเจ้าหน้าที่ให้ครบเช่นกัน

“เอกสารของเรามันเยอะ ทีหลัง ภงด.1 เอาแค่ใบปะหน้ากับรายชื่อพนักงานตั้งแต่คนที่ 1-30 แล้วก็ตามด้วยทุกหน้าที่มีรายชื่อชาวต่างชาติและใบสุดท้ายก็พอ” พี่ตั้มอธิบายพลางดึงออกเป็นฟ่อนๆ เลยครับ ส่วนผมก็พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง แต่ในใจก็แอบนึกค้านเบาๆ ว่า พี่ครับ ไหนพี่บอกให้ผมถ่ายสำเนามาให้ครบทุกหน้าไง คราวก่อนผมมาพร้อมพี่ตา ผมจำได้นะเว้ย เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจังวุ้ย
“ประกันสังคมนี่ก็เหมือนกัน เอาแค่ใบเสร็จ ใบปะหน้า แล้วก็ใบปะหน้าของสาขาที่มีพนักงานชาวต่างชาติก็พอ”
จ้า กูแอบบันทึกเสียงไว้ดีมั้ย เผื่อรอบหน้าไม่พูดแบบนี้
ชีช้ำเว่อร์

“เฮ้ยไอ้ตั้ม มึงแค่ตรวจดูว่าเอกสารครบหรือเปล่าก็พอเว้ย เดี๋ยวที่เหลือกูดึงออกเอง” ไอ้ผู้กองหน้าหล่อแต่ผมก็ยังเหม็นขี้หน้ากล่าวอย่างคนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
“หูยยย ลูกพี่ช่างมีน้ำใจ” พี่ตั้มหยุดมือในการตรวจตราเอกสารทั้งสองกองใหญ่ เพื่อหันไปหยอกเย้าลูกพี่ของตัวเอง ส่วนผมก็หันไปเรียกเอมิลีให้มานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ ผมตรงหน้าเคาน์เตอร์ เพื่อเตรียมตัวถ่ายรูป

“แน่นอนสิวะ คนดีๆ แบบกูนี่หาไม่ได้ง่ายๆ นะเว้ย”
อ่าจ้า โปรโมทตัวเองไปอีก เชิญตามสบายเลยจ้า
แต่แบบ ผู้กองครับ มึงอายคนบ้างก็ได้จ้า

“อันนี้ใช่เบอร์โทรของน้องหรือเปล่า?” หลังจากตรวจเอกสารจนครบถ้วนแล้ว พี่ตั้มก็รวบเอกสารที่เคยกระจัดกระจายจนเต็มโต๊ะทำงานของพี่แกมารวมเป็นกองเดียว จากนั้นพี่แกก็ยื่นเอกสารปึกดังกล่าวให้ผมดูตรงช่องกรอกเบอร์โทรเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ครับ” ผมตอบพลางยกยิ้มเล็กน้อย เพื่อให้แลดูเป็นมิตร เข้ากับคนง่ายอะไรแบบนี้ ซึ่งอันตัวผมนั้น จริงๆ แล้ว เข้ากับคนอื่นในสถานการณ์ที่เป็นการเป็นงานแบบนี้ยากมาก เพราะผมถนัดแบบว่า เป๊ะๆ ไปเลย สบายใจกว่า

พอหลังจากเอวาลินถ่ายรูปเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงคิวของคนอื่นๆ ซึ่งใช้เวลาในการตรวจไม่นานนัก เพราะว่าเอกสารก็เหมือนๆ กันหมด เพียงแต่เราต้องเตรียมคนต่อคน ซึ่งต่างชาติคนนึงก็ใช้เอกสารทั้งหมดสองชุด และก็แยกย่อยออกเป็น ชุดนึงใช้เอกสารตัวจริงที่ต้องไปคัดสำเนา และอีกชุดก็ถ่ายเอาจ้า ถ่ายตะบี้ตะบันจนเครื่องเจ๊งไปแล้ว
ฮือ ทุกวันนี้ ผมถูกตราหน้าว่าเป็นไอ้ตัวพังเครื่องไปแล้วครับ

ผมใช้เวลาวุ่นๆ อยู่ใน ต.ม. จนถึงเที่ยง ก็พากันเดินตากแดดเมืองไทยอันร้อนระอุไปหาข้าวกินแถวๆ นั้น เพราะว่าผมขี้เกียจจะไปหิ้วท้องรอ หรือว่าไปตระเวนหาร้านกินข้าวอีกแล้ว อยากให้มันจบลงตั้งแต่ที่นี่เลย จะได้ไม่ต้องรีบร้อนอะไรมาก เพราะยังไงออฟฟิศก็อยู่ไม่ไกลนัก ใช้เวลาเดินทางแป๊บเดียวก็ถึง
“ข้าวไข่ยัดไส้กับน้ำเปล่าครับ” เมื่อเดินมาถึงร้านอาหารติดแอร์ได้ ผมก็เลือกนั่งมุมในสุดของร้าน พร้อมกับถือโอกาสสั่งเมนูที่ปกติแล้วหากินได้ยาก เพราะแถวออฟฟิศผมป้าแกชอบทำจานใหญ่ และบางทีก็ติสท์เว่อร์ ไม่ยอมทำขายซะงั้น ทั้งๆ ที่ร้านป้าก็เขียนเอาไว้ตัวโตๆ เลยนะว่า ‘ร้านอาหารตามสั่งป้ามล’
ยอมใจ อยากกินแค่ไหนก็ต้องอดทน!

เหยดแหม่ นั่งตากแอร์ไปได้ไม่ทันจะถึงครึ่งชั่วโมง ไอ้ผู้กองและพวกพ้องก็พากันเดินเข้ามายังร้านเดียวกัน มิหนำซ้ำไอ้หน้าหล่อสูงโย่งนั่นก็ยังจะหันมายักคิ้วให้ผมอีก
ใครอยากทักทายมึ๊ง!

ผมทำเป็นมองไม่เห็น โดยการเลี่ยงมาให้ความสนใจกับโทรศัพท์มือถือคู่ใจ และเริ่มท่องโลกโซเชียลเพียงลำพัง เพราะตอนนี้กูอยู่ในดงฟิลิปปินส์ว่ะเฮ้ย ฟังไม่ออกเลย เล่นเอาสมองผมเบลอไปหมดแล้ว
จนบางทีผมก็อยากจะบอกกับทุกคนว่า กูกราบล่ะ ช่วยคุยกันเป็นภาษาอังกฤษหรือไม่ก็ภาษาไทยได้ไหมพวก
จะร้อง เพราะสุดท้ายก็ทำได้แค่บ่นในใจ

เชี่ยแม่งไม่โอเคว่ะ คือแบบ ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้านิ่งขึ้นมาอีกครั้ง ทำเอาผมจะกินข้าวแต่ละคำก็ยังต้องเหนียมอายเพื่อรักษาภาพพจน์ ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าใครแม่งบ้าส่งกระแสจิตใส่ผมแบบนี้  กระทั่งผมเผลอเงยหน้าขึ้นไปมองยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งจากระยะห่างของโต๊ะผมกับโต๊ะของไอ้ผู้กองนั่นก็เรียกได้ว่า สุดๆ หมายถึงสุดทางเลยจ้า แต่ด้วยความที่โต๊ะตรงกลาง ดันไม่มีใครจับจองไง มันเลยเกิดช่องว่างให้ผมถูกคุกคามแบบนี้
แม่ง สรุปไอ้กระแสจิตสังหารก็มาจากไอ้ผู้กองอนิลจริงๆ
สัส! ยักคิ้วใส่กูด้วย เบื่อจริงๆ แม่งชอบอ้อนตีน!

อารมณ์เสียครับ โคตรของโคตรอ่ะ ตั้งแต่เมื่อวานยันวันนี้ ไอ้ผู้กองจอมเผด็จการแม่งจัดหนักกับมือถือผมฉิบหาย ฮัลโหล นี่มันเพิ่งจะหกโมงเองนะเว้ย มึงจะโทรมาตามเอาเอกสารอะไรจากกู๊! ที่สำคัญมึงควรจะบอกธุระให้หมดตั้งแต่เมื่อคืนมั้ย อะไรยังไง ดึงสติเถอะไอ้ผู้กอง
แต่สุดท้ายก็ได้แต่โวยวายในใจครับ จากนั้นก็โยนโทรศัพท์ไว้ในกองผ้าห่มที่ถูกเตะลงจากเตียงเพื่อการนี้ ส่วนผมก็นอนต่อสิ จะรออะไรล่ะ เข้างานแปดโมงครึ่ง ใช้เวลาเดินทางจากที่บ้านจนถึงออฟฟิศประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ผมก็เลยไม่ต้องรีบอะไรมากมาย
แต่แบบ โทรศัพท์แม่งก็สั่นสู้อ่ะ
รับสายก็ได้วะ!

“สวัสดีครับคุณอนิล” ผมรับสายด้วยท่าทางสะลืมสะลืออย่างคนไม่พร้อมจะตื่นนอน ถามว่าปลายสายมีความสลดมั้ย ก็ไม่!
(สวัสดีครับคุณเม่น) อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงระรื่นเชียว เล่นเอาตีนผมนี่กระดิกยิกๆ แล้วครับ

“คุณอนิลครับ ผมบอกกี่ครั้งกี่หนแล้วครับ ว่าผมเข้างานแปดโมงครึ่ง กรุณาจดจำและโทรมาอีกครั้งตอนแปดโมงครึ่งนะครับ” ผมกรอกเสียงเซ็งๆ พร้อมกับย้ำอย่างชัดถ้อยชัดคำในประโยคหลัง เพราะว่าไอ้ผู้กองนี่แม่ง สงสัยจะความจำสั้น บอกกี่ครั้งกี่หน แม่งก็หน้ามึนเว่อร์วัง โทรมาได้ทุกวัน
หาอะไรกินบำรุงสมองหน่อยมั้ย ?

“ฮ่าๆ โอเคครับ เดี๋ยวตอนแปดโมงครึ่งผมจะโทรมาใหม่นะครับ”

ผมล่ะเกลียดน้ำเสียงระรื่นของไอ้ผู้กองนี่จริงๆ ขนาดกูด่าแบบผู้ดีก็แล้ว แต่แม่งยังไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีก เอากับมันสิ คอยดูนะ แปดโมงครึ่งเมื่อไหร่ ผมจะลุกไปขี้จนถึงเก้าโมงเลย!
เอาดิ กูลงทุนยอมโดนหัวหน้าด่าว่า ‘มึงตกส้วมตายเหรอเม่น นี่ร่างเกิดใหม่ของมึงใช่มั้ย’
เออเนี่ย ลงทุนขนาดนี้ ช่วยอย่าโทรมาหากูอีกเลย กูเหม็นขี้หน้ามึงเว้ยไอ้ผู้กอง!

พอเอาเข้าจริง ไอ้ที่บ่นๆ ในใจเป็นไฟแลบเนี่ยก็ได้แค่บ่น แต่สิ่งที่ต้องทำจริงๆ คือ ไอ้เม้นต้องขับรถออกจากออฟฟิศในเวลาเก้าโมงตรง เพื่อไปตามล่าหาเอกสารอีกแล้วจ้า อะไรของมึ๊งงง ไอ้ผู้กองงง!
งานอย่างอื่น กูจะเสร็จมั้ยนั่น แม่งแค้นครับแค้น!

วันพุธกลางสัปดาห์ สถานที่แห่งนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม หมายถึงวุ่นวายเหมือนเดิม และผมก็เดินดุ่มๆ เข้าไปหาไอ้ผู้กองที่ตอนนี้กำลังยุ่งจนได้ที่ ผมก็เลยเดินไปหาที่นั่งรอ จนกระทั่งผู้นัดหมายว่างงาน ผมก็เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยใบหน้าบึ้งๆ ส่วนเจ้าตัวนั้นดูจะหน้าระรื่นเกิน เบอร์จนน่าหงุดหงิด

“ผมมั่นใจว่าผมถ่ายครบทุกหน้านะครับคุณอนิล คุณดึงเอกสารเกินหรือเปล่าครับ ?” ผมถามเข้าเรื่องอย่างตรงประเด็นด้วยสีหน้าและท่าทางซีเรียส ซึ่งถ้าหากคนที่ดิวงานกับผมเป็นคนอื่น ผมคงจะไม่กล้าดึงหน้าขนาดนี้หรอก แต่เพราะนี่คือไอ้ผู้กองอนิลไง ไอ้ผู้กองที่แม่งชอบโทรมาหาตอนเช้า และตอนก่อนนอนทุกวัน ผมถึงได้ใจกล้าขนาดนี้
“เฮ้ยคุณ ผมตรวจทานของคุณตั้งสามสี่รอบเลยนะ”

“เห้อ~ ไหนส่วนที่คุณดึงทิ้งครับ ?” ผมตัดสินใจถามอีกฝ่ายกลับไป พร้อมกับตั้งใจถอนหายใจแรงๆ ให้อีกฝ่ายได้ยิน
“อ่า ผมเจอแล้วครับ” อีกฝ่ายกล่าวเสียงอ่อย พร้อมกับเปิดเอกสารหน้าที่ขาดหายไปให้ผมดู ซึ่งไอ้ผู้กองมันคีบติดกับใบหน้าไว้ครับ และด้วยความที่กระดาษมันเรียบ ก็เลยทำให้กระดาษมันดูดติดกัน
ซึ่งอันที่จริง มันก็ไม่น่าจะดูดติดกันปานทากาวตาช้างมั้ยไอ้ผู้กอง ?

“ถ้างั้นผมขอตัวกลับไปทำงานต่อเลยนะครับ” ผมกล่าวเสียงเรียบพลางตั้งท่าจะตีจาก
“เดี๋ยวครับๆ คุณช่วยดึงให้ผมดีกว่า เผื่อว่าผมจะทำหายอีก คุณจะได้ไม่ต้องมาอีกรอบ” ทันทีที่อีกฝ่ายรั้งไว้ ผมก็หยุดคิดเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าตอบตกลงเพียงเพราะผมจะได้ไม่ต้องมาอีกรอบ ซึ่งไอ้คุณผู้กองอนิลก็ใช้ให้น้องฝึกงานยกเก้าอี้มาให้ จากนั้นร่างสูงในเครื่องแบบก็ยกกล่องลังที่บรรจุเอกสารของบริษัทผมไว้ พลางหยิบยื่นตัวอย่างที่คุณท่านตรวจทานเรียบร้อยแล้วมาให้ปึกหนึ่ง

“เดือนนี้คุณเม่นยังเหลือยื่นอีกหรือเปล่าครับ ?” หลังจากผมก้มหน้าก้มตาคัดเอกสารส่วนที่ไม่ใช้ออก อีกฝ่ายก็ตั้งคำถามขึ้น ขณะที่เจ้าตัวกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานด้วยเช่นกัน
“เหลืออีก 5 คนครับ แต่ยังเตรียมไม่ถึงไหน” ผมตอบเรียบๆ เหมือนไม่ได้มีอะไรแอบแฝง แต่จริงๆ กูแอบด่ามึงอยู่นะจ๊ะ เพราะถ้าไม่มาที่นี่วันนี้ ป่านนี้เอกสารที่เหลือคงถ่ายสำเนาครบแล้วจ้า แล้วคืนนี้ก็คงจะหอบกลับไปเซ็นรับรองที่บ้านได้อีกด้วย

“วีซ่าหมดเมื่อไหร่ครับ ?”
“1 มิถุนาครับ”

“ยังมีเวลาเหลือเฟือเลยครับคุณเม่น”
“ก็ใช่ครับ แต่งานผมไม่ได้มีแค่อย่างเดียวครับคุณอนิล” ผมสวนกลับทันควัน ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ ในลำคอ พลางโคลงหัวเล็กน้อย

“คืนนี้ผมไม่ว่างโทรหาคุณ ไม่ต้องคอยนะครับ”
“ใครคอยโทรศัพท์ของคุณไม่ทราบ เอ.. นี่คุณอนิลตื่นหรือยังครับ ฝันกลางวันในหน้าที่นี่แย่จริงๆ” ผมย้อนกลับอย่างไม่ยอมแพ้ มีอย่างที่ไหนมาหาว่าผมคอยโทรศัพท์ตัวเอง ขอโทษที ผมแทบไม่อยากจะรับซะมากกว่า

“ฮ่าๆ อะไรที่เคยทำเป็นประจำ พอไม่ทำก็จะ ‘คิดถึง’ นะครับ”
“อ๋อเหรอครับ” ผมเงยหน้าขึ้นไปยอกย้อนอีกหน จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาจัดเรียงเอกสารในมือของตัวเองต่อไป

“ผมรู้แล้วว่าทำไมคุณถึงชื่อเม่น” หลังจากความเงียบระหว่างเราเริ่มครอบงำ อีกฝ่ายก็เปิดประเด็นในหัวข้อสนทนาอันใหม่ล่าสุดอย่างน่าสนใจ
“ทำไมครับ ?” ผมย้อนถามอย่างสงสัย เพราะทุกวันนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าทำไมแม่ถึงตั้งให้

“คุณเคยเห็นเม่นแคระใช่ไหมครับ นั่นล่ะเหตุผล” ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ผมก็ถึงกับหยุดการกระทำทุกอย่างลง พลางใช้สมองประมวลผลประโยคเมื่อครู่อย่างครุ่นคิดว่า สรุปนั่นไอ้ผู้กองแม่งด่าผมหรือเปล่าวะ
“ถึงเม่นจะมีหนามแหลมๆ ไว้ป้องกันตัว แต่ว่าขนาดตัวที่เล็กๆ กะทัดรัดแบบนั้น มันก็น่ารักดีนะครับ” อีกฝ่ายอธิบายพลางยกยิ้มจนเต็มแก้ม แต่เดี๋ยวก่อน ผมก็ยังงงอยู่ดีว่าสรุปมันเป็นคำชมจริงดิ ไม่ใช่ว่าแม่งด่าผมว่าไอ้เตี้ยด้วยภาษาสุภาพหรอกนะ

“นั่นภาษาสุภาพของคำว่า ‘เตี้ย’ เหรอครับ ?” ผมย้อนถามเพื่อความแน่ใจ ไม่ใช่อะไร กูเตี้ยกูก็ยอมรับอ่ะ ก็แม่ให้มาแค่นี้
“คำชมสิครับ ผมกำลังชมว่าคุณ เอ้ย เม่นน่ะครับ น่ารักดี

เชี่ย!

มึงหมายถึงเม่นไหนวะไอ้ผู้กองงงงงงงงงงง!


----------------------------------

แวะมาเปิดเรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่คิดพล็อตได้แบบชั่ววูบมาก น่าจะมีแค่ 10 ตอน หรืออาจจะน้อยกว่านั้น
แนวเรื่องก็จะไม่ซับซ้อนอะไรค่ะ ตั้งใจเขียนให้เป็นแนวอ่านง่ายๆ แต่จะแฝงสาระบ้างเล็กน้อย
มาตามติดชีวิตน้องเม่นกันจ้า ไม่รู้ว่าจะประสาทแดกไปก่อนหรือเปล่า
เอาจริงเราเขียนแนวเฮฮาไม่ค่อยเก่ง เดี๋ยวแนวเรื่องมันคงกลับไปอบอุ่นเหมือนเดิมแน่ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2018 13:07:19 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: Again and again ✎ ตอน 00 - 02 ✎ update 15/05/2018
«ตอบ #3 เมื่อ15-05-2018 09:14:50 »

✎ 02

ตั้งแต่วันนั้น ยอมรับแบบแมนๆ ว่า ‘เป๋’ เลยว่ะ หมายถึงใจน่ะ คือแบบ ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้ผู้กองมันถึงได้โทรหาเช้าถึง และก่อนนอนก็ยังถึง ซึ่งบทสนทนาส่วนใหญ่จะไร้สาระโคตรๆ เพราะแม่งกวนตีน ชอบหาเรื่องชวนทะเลาะ แล้วสุดท้ายผมก็จะหงุดหงิดและด่าจนมันต้องร้องขอชีวิต แต่วินาทีนี้ ตอนนี้ เวลานี้ ผมควรจะเอายังไงกับไอ้โทรศัพท์มือถือคู่ใจ ที่มันกำลังสั่นครืดคราดอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดดีวะ
แม่งเหมือนเล่นเกมวัดใจ ระหว่างคนโทรกับคนรับ ใครจะแพ้บายก่อนกัน
สรุปก็คือกูเองจ้า รำคาญ แม่งสั่นอยู่ได้

“มีอะไรอีกครับคุณอนิล ทำเอกสารผมหายอีกแล้วเหรอ ?” ผมรับสายเสียงเข้ม พร้อมกับเหน็บเรื่องงานใส่อีกฝ่ายเหมือนทุกครั้ง
(ผมแค่จะโทรมาบอกว่า เม่นที่ผมพูดถึงวันนั้นน่ะครับ..) น้ำเสียงทุ้มกล่าวออกมายังไม่ทันจะครบประโยค ไอ้เจ้าของเสียงแม่งก็หยุดพูดไปซะงั้น
มึ๊งงงง มาพูดให้อยากรู้แล้วก็หยุดพูดเนี่ยนะ
กูลุ้นโว้ย!

(ผมหมายถึงเม่นแคระนะครับ คุณเม่นอย่าหลงตัวเอง)
อ่าจ้า ซัดกูจนหน้าชาเลยจ้า

“ก็ดีครับ ผมจะได้สบายใจ มีอะไรอีกไหมครับคุณอนิล ผมจะนอนแล้ว” ผมกล่าวด้วยความสบายใจมากขึ้น เพราะถ้ามีคนกวนประสาทอย่างไอ้ผู้กองอนิลมาจีบจริงๆ ผมว่าผมน่าจะประสาทแดกตายก่อนที่จะได้รักได้ชอบมันนี่แหละ
(ไม่มีแล้วครับ แต่เอ้อ.. อันที่จริงผมก็หมายถึงคุณนั่นแหละครับ คุณเม่น)

สัส!

แม่งโทรมาเพื่อกวนตีนผมแน่ๆ แล้วทำไมผมถึงต้องหน้าร้อนด้วยวะ ผมไม่ได้ชอบไอ้ผู้กองจอมเผด็จการนี่สักหน่อย แต่ใจมันก็เต้นเป็นจังหวะช่ะชะช่าเลยว่ะ ฮืออ ไม่นะ ไม่!
ผมต้องไปทำบุญวัดไหน ถึงจะสลัดไอ้ผู้กองนี่ออกจากวงเวียนชีวิตได้วะเนี่ย ใจบางชิบหาย!

ติ้ง!

Prab: นอนซะนะเด็กดี
         *แนบรูปเม่นแคระกำลังนอนพิงมือเจ้าของ*
เม่นเดย์: กวนประสาท!
Prab: นี่ผมเห็นใจคุณนะ ผมถึงได้แวะมาปลอบคุณเนี่ย
เม่นเดย์: เลิกแกล้งผมเถอะ ผมไม่ตลกด้วยนะเว้ย
Prab: งั้นผมจริงจังบ้างก็ได้ ว่าแต่จริงจังแค่ไหนถึงเรียกจริงจัง ?
เม่นเดย์: สัส!
Prab: พูดไม่เพราะเลยครับคุณเม่น
เม่นเดย์: ก็ผมตั้งใจนี่ครับคุณอนิล
Prab: ดึงหน้าบึ้งๆ ก็ไม่น่ารักเหมือนกันนะครับ
เม่นเดย์: กวนตีน ยุ่งไร!
Prab: ก็ชอบไงครับ เลยอยากยุ่ง ทำไมความจำสั้นจังครับ คุณเป็นปลาทองเหรอ ?
         สรุปคุณสปีชีส์ไหนกันแน่ครับ ปลาหรือเม่น สงสัยจัง?
เม่นเดย์: ปวดหัว!
Prab: โถ คนดี ปวดหัวก็ต้องบอกผมด้วย โอ๋ๆ นะครับ
เม่นเดย์: หมายถึงปวดหัวเพราะคุณกวนตีนเนี่ย ประสาทจะแดก!
Prab: ฮ่าๆ โอ๋ๆ นะครับ ผมก็แค่ชอบแกล้งคนที่ชอบเฉยๆ
เม่นเดย์: มึงมันไอ้ผู้กองบ้า! ไปนอนเลยไป วู้ว!
Prab: โอเคครับ เดี๋ยวตอนเช้าจะมอร์นิ่งคอลไปนะครับ
เม่นเดย์: ใครต้องการไม่ทราบครับคุณอนิล
Prab: ก็ผมไงครับ คือมันเป็นบริการพิเศษ
เม่นเดย์: ยังไงครับ ?
Prab: ก็แบบว่า ชอบใครก็อยากโทรปลุกคนนั้นน่ะครับ
         เรียนตรงๆ ว่าอยากได้ยินเสียง
เม่นเดย์: บ้าบอ
Prab: นอนได้แล้วครับ ผมยอมสงบศึกแล้ว

จนได้!

สุดท้ายผมก็แชทกับไอ้ผู้กองอนิลจนยาวเหยียด ซึ่งแม่งไม่ได้มีสาระอะไรเล้ย!

กระทั่งเวลาเช้ามาเยือน มอร์นิ่งคอลก็มาจริงๆ ครับ ทำเอาผมต้องไปทำงานเช้ากว่าปกติ เพราะถึงอยู่บ้านไปก็เปลืองไฟที่บ้านเปล่าๆ และด้วยความที่มีเวลาเหลือเฟือ ผมก็แวะร้านกาแฟที่อยู่แถวๆ ทางผ่านไปออฟฟิศ ซึ่งเปิดเร็วกว่าร้านกาแฟทั่วไปก็เลยนั่งรอเมนูที่สั่งด้วยการไถโซเชียลเพื่อฆ่าเวลา

ติ้ง!

มันมาอีกแล้ว ข้อความจากนรก!

Prab: ผมเสิร์จหาข้อมูลเกี่ยวกับเม่นครับ แล้วก็เจอบทความนี้ ‘12 เรื่องเกี่ยวกับเม่นแคระที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจเลี้ยง’
        แล้วก็ไปเจอคนตั้งกระทู้ในพันทิพครับ เขาบอกว่าเม่นจะมีกลิ่นตัวแบบว่า เหม็นน่ะครับ แต่คือผมสงสัย..

เอาอีกแล้วครับ ไอ้ผู้กองอนิลมันพิมพ์ข้อความมาแบบครึ่งๆ กลางๆ อีกแล้วแม่ง
แต่ไหนๆ ผมก็ว่างแล้ว ผมเล่นกับไอ้ผู้กองนี่ก็ได้

เม่นเดย์: สงสัยอะไรครับ ?
Prab: สงสัยว่าทำไมเม่นที่ผมอยากจะเลี้ยงถึงไม่มีกลิ่นน่ะครับ
เม่นเดย์: ไม่รู้สิครับ ผมไม่ใช่เม่น
 Prab: คุณไม่ใช่เม่น แล้วทำไมถึงชื่อเม่นล่ะครับ

ไอ้เชี่ย!

คำถามชวนปวดประสาท อารมณ์แบบ ‘ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน’

เม่นเดย์: ไปถามแม่ผมสิครับ
Prab: ก็ดีนะครับ นัดเวลามาเลยครับ ผมพร้อมเสมอ

สัส! กูยอมแพ้ ไม่คุยแม่งละ ปล่อยเบลอแม่ง

และแล้วก็ได้เวลาทำงาน ถึงเวลาเป็นงานเป็นการครับ ก่อนอื่นผมต้องเคลียร์เอกสารที่ถ่ายค้างเอาไว้ให้หมดก่อน จากนั้นก็มานั่งคัดเอกสารที่ไม่ได้ใช้ออก เพราะเดี๋ยวพี่ตั้มจะด่าเอา ถ้าเกิดไม่ทำตามคำแนะนำ ซึ่งพอเห็นจำนวนของกระดาษที่ต้องนำมาใช้รีไซเคิลเพื่อจดโน่นจดนี่แล้ว ก็รู้สึกว่า.. กูนี่เองที่ทำให้โลกร้อน
ปลงครับ ของแบบนี้มันแก้ที่เราคนเดียวไม่ได้

ตึง! ตึง! ตึง!

เสียงผมกำลังสแตมป์ตราบริษัทลงบนเอกสารของบริษัททุกใบเองครับ ไม่ใช่เสียงรัวกลองแต่อย่างใด คือแบบแรกๆ ก็จะสแตมป์ในจังหวะที่นุ่มนวลหน่อย แต่หลังๆ ก็จะแบบใส่อารมณ์นิดๆ ตามแต่ความเมื่อยของกระผมนั่นเอง

“ไอ้เม่นแกจะพังออฟฟิศเหรอวะ”
“บ้าแล้วพี่จินดา ผมตัวรึก็แค่นี้ จะไปพังออฟฟิศได้ยังไงเล่า คนมันเมื่อยน่ะเข้าใจมั้ย” ผมบ่นอุบพลางหยุดมือสแตมป์ตราชั่วคราว เพราะตอนนี้โคตรเมื่อยแขน อารมณ์แบบไปยกดัมเบลอ่ะ แต่ยกข้างเดียว
ผลปรากฏว่า แขนก็โตข้างเดียวจ้า
แต่บ่นไปก็ไม่มีใครเข้าใจ นอกจากผู้ประสบภัยวีซ่าเท่านั้นจ้า หัวอกเดียวกันก็งี้!

แต่เดี๋ยวก่อน หากคุณถ่ายสำเนาพร้อมสแตมป์ตราจนครบทุกหน้าแล้ว คุณอย่าลืมเซ็นเอกสารให้ครบทุกแผ่นด้วยจ้า เซ็นไปง่วงไปก็ต้องเซ็น เพราะพรุ่งนี้ต้องเตรียมไปยื่นแล้ว แต่อาจจะต้องไปยื่นตอนบ่าย เพราะว่าพนักงานจากเขตกรุงเทพจะเดินทางมาถึงในช่วงเวลานั้น ผมจึงมีเวลาเซ็นแบบหัวทิ่มหัวตำได้อีกเกือบๆ ครึ่งวัน และอีกเสี้ยวนึงของคืนนี้

ครืด ครืด

(โห ตกใจเลยครับ) น้ำเสียงกระดี๊กระด๊าของไอ้ผู้กองอนิลส่งกลับมาอีกแล้วครับ
“ยังไงครับ ?” ผมย้อนถาม พลางเอี้ยวตัวไปควานหาหูฟังจากโต๊ะข้างเตียง

(คุณเม่นรับสายผมเร็วมาก ตกใจครับ สงสัยจะทนคิดถึงผมไม่ไหว)
“ผมกำลังทำงานอยู่ครับ และสายของคุณก็ทำลายสมาธิของผมด้วยครับ”

เอาดิ กูพูดขนาดนี้แล้ว รีบวางสายไปซะ!

(ขยันจังเลยครับ)
“ก็แน่นอนสิครับ เอกสารวีซ่ากองเท่าบ้าน ถ้าผมไม่ขยันตอนนี้ จะให้ไปขยันตอนไหนครับ ?”

(ฮ่าๆ คุณเม่นหอบเอกสารกลับมาเซ็นที่บ้านใช่ไหมครับ ?)
“ครับ ผมมีคำถามครับ..” ผมกล่าวเปิดประเด็น พลางก้มหน้าก้มตาเซ็นลายเซ็นของตัวเองลงในเอกสารบริษัทตั้งแต่หนังสือรับรองยันบัญชีผู้ถือหุ้น แล้วจบลงที่บัญชีรายชื่อต่างชาติ ซึ่งเอกสารต่อคนก็เกือบๆ จะสี่สิบแผ่นเห็นจะได้
เดาล้วนๆ ครับ ใครแม่งจะมานั่งนับ

(ครับ ว่ามาเลยครับ)
“ทำไมคุณถึงชอบผมครับ ?”

(ไม่รู้สิครับ เพราะคุณน่ารักมั้ง)
“คุณชอบผู้ชาย ?”

(ก็ครับ โตมาก็ชอบเลย แต่เพิ่งลงทุนจีบคุณคนแรกเลยนะ ผมหมายถึงตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่น่ะ)
“อ้าว แล้วคุณอนิลเป็นคนที่ไหนครับ ?” ผมย้อนถามด้วยอารมณ์ประมาณว่าไหลไปตามบทสนทนา ขณะที่มือก็ยังเซ็นรัวๆ ไม่เปลี่ยน

(ผมเป็นคนทุกที่ครับ..)
“เลิกกวนตีนด้วยครับ ผมปวดหัวครับ และกำลังทำงานอยู่ครับ”

(ผมเป็นคนจันทบุรีครับ ที่บ้านมีสวนผลไม้เยอะด้วย)
“ขี้อวดเหรอครับ ?”

(เปล่าครับ ผมตั้งใจจะบอกทรัพย์สินส่วนตัวให้คุณพิจารณา)
อ่าจ้า สายเปย์!

“แล้วถ้าผมไม่ได้ชอบผู้ชายล่ะครับ ?” ผมก็ย้อนถามไปดิ โห่ มั่นหน้ามาจากไหนห๊ะ ไอ้ผู้กอง
(แหมคุณเม่น ผมก็เซนส์ดีอยู่นะครับ)

“ยังไงครับ ?”
(วันแรกที่เราเจอกัน คุณจ้องผม)

“หลังๆ คุณก็เลยเอาคืนด้วยการแอบจ้องผมบ้าง ?”
(เปล่าครับ ผมเอาคืนด้วยการขอเอกสาร เพราะผมจะได้เจอคุณบ่อยๆ ไง)

“โห พูดแบบนี้ของขึ้นเลยครับ งานผมกองเท่าภูเขา และมันก็ไม่เสร็จเพราะคุณเอาแต่เรียกให้ผมเอาเอกสารเข้าไปให้ ถามจริง เอกสารที่บริษัทของผมเตรียมไป มันไม่ครบจริงๆ เหรอครับ ?” ผมวางปากกาและตั้งใจฟังคำตอบจากอีกฝ่าย เพราะมันเป็นสิ่งที่ค้างคาใจผมมาก
(ไม่ครบจริงๆ ครับ แต่ถ้าทางบริษัทคุณยืนยันได้ว่าให้ผมมาแล้ว ผมก็โอเคนะ)
จ้า ก็เอกสารมันอยู่ที่มึ๊งงง แล้วกูจะเอาอะไรมายืนยันครับไอ้คุณผู้กอง

เนี่ย! ถ้าไม่ติดเรื่องงาน ไอ้ผู้กองอนิลมันก็ดูโอเคอยู่บ้าง ยิ่งรูปร่างหน้าตาของมันคือผ่านฉลุย แต่พอมานึกถึงเรื่องงานทีไร ผมนี่ประสาทจะแดก จนบางทีก็แทบอยากจะขอบวกกับแม่งตัวต่อตัวสักรอบ!
จากนั้นก็ตัดรายชื่อของมันออกจากการพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
เอาให้เหมือนกับตอนที่มันบอกให้ผมเอาเอกสารมาให้มันครั้งแล้วครั้งเล่านี่แหละ!

“เอาจริงป่ะ ตั้งแต่ผมเตรียมเอกสารมา เอกสารของผมไม่เคยหายเลยนะครับ ยื่นกี่ทีก็ผ่านฉลุย!” ไงล่ะ รู้สึกตัวบ้างหรือยังครับไอ้คุณผู้กอง หรือต้องการให้ผมตอกย้ำมากกว่านี้
(อันไหนที่พอช่วยถ่ายได้ ผมก็ถ่ายให้อยู่นะครับ แต่พวกเอกสารบริษัทมันต้องมีลายเซ็นคุณเม่นด้วยไงครับ ยังไงก็ต้องรบกวนคุณอยู่ดี โห่ นี่ผมใช้คำนอบน้อมกับคุณมากเลยนะ ปกติผมโหดนะครับ บอกเลย)

“ยังไงครับ ไหนพรรณนาความโหดของคุณให้ผมฟังหน่อย” ผมเริ่มก้มหน้าเซ็นลายเซ็นของตัวเองต่อไป แต่หมึกปากกาก็ดันทรยศ เลยต้องลุกจากเตียง เพื่อเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือ และเลือกปากกาลูกลื่นสีน้ำเงินของตัวเองมาใช้
(เอกสารไม่ครบ ผมตีกลับลูกเดียวครับ ทันกำหนดก็ทัน ไม่ทันก็เรื่องของคุณ) เจ้าหน้าที่แบบนี้มีอยู่จริงครับ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเราต้องเตรียมเอกสารเพื่อทำการยื่นล่วงหน้าหนึ่งเดือน เพื่อป้องกันการผิดพลาดในเรื่องนี้นั่นแล แต่เอาจริงๆ มันก็มีลิสต์รายการของมันอยู่นะครับ ว่าจะต้องยื่นเอกสารอะไรบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ที่มักจะเป็นปัญหาก็คือเอกสารมันเยอะเกินไป ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องคัดออกให้เหลือแค่ส่วนที่จำเป็น และบางครั้งความรีบร้อนก็ทำให้เอกสารปลิวหายไปรวมอยู่กับไอ้ส่วนที่ไม่ต้องการนั่นแล

(ล้อเล่นครับ อันที่จริง อะไรที่พอหยวนๆ ได้ ผมก็จะหยวนให้ทุกคนนั่นแหละครับ ผมแฟร์พอ)
โอ้โห โชว์พาวน์ โชว์แมน

“จ้า พ่อคนใจดี” เอาล่ะ ผมเผลอกัดฟันพูดประชดใส่ไอ้ผู้กองอนิลอีกแล้ว แบบว่าลืมตัว
(ฮ่าๆ ประชดเก่ง) เสียงหัวเราะทุ้มๆ ลอยมาตามสาย พร้อมกับถ้อยคำเหน็บแนมอย่างนุ่มนวลประหนึ่งบทสนทนาที่ใช้สอบถามว่า วันนี้คุณสบายดีมั้ย

หลังจากเถียงกันไปมาด้วยเรื่องไร้สาระ ที่ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองทานทนต่อการต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายได้ยังไง เพราะทุกการกระทำมันเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งก็คงต้องบอกว่ามันเป็นไปตั้งแต่ผมเอื้อมมือไปหยิบหูฟังมาใช้ในระหว่างพูดคุยกับไอ้ผู้กองอนิลแล้ว ทั้งๆ ที่อาทิตย์ที่แล้ว เรายังคุยกันเกี่ยวกับเรื่องงานอยู่เลย ซึ่งผมก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า พอตัดเรื่องงานออกไป ไอ้ผู้กองอะไรนี่ก็เป็นคนที่สร้างรอยยิ้มให้วันละหลายชั่วโมง สาเหตุก็เพราะความกวนประสาทอันคงเส้นคงวานั่นแหละ

(คุณเม่น) เสียงทุ้มกล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบที่จู่ๆ ก็ตรงเข้าครอบงำโดยไม่รู้ตัว
“ครับ ?” ผมส่งเสียงตอบรับกลับไปอย่างอัตโนมัติ พลางพลิกหน้ากระดาษในมือและเซ็นชื่อตัวเองกำกับเอาไว้ด้านในของตราบริษัทอย่างมันมือ เพราะก่อนหน้านี้ผมให้คุณอาทิตย์ ซีอีโอของบริษัทเซ็นมอบอำนาจให้ผมมีอำนาจลงนามเอกสารของบริษัทเรียบร้อยแล้ว

(พรุ่งนี้หลังจากยื่นเอกสารเสร็จ เราไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อดีไหมครับ?) สิ้นคำถามนั้น จังหวะการเซ็นชื่อของผมก็มีอันต้องสะดุดไป ซึ่งแม่งเซ็งชิบ เพราะมึงเลยยยย ไอ้ผู้กอง กูเซ็นชื่อพลาดเลยเนี่ย แถมเอกสารก็ต้องกลายไปเป็นรียูสอีก ก็กูเล่นขีดเส้นยาวปื้ดทั้งแผ่นขนาดนี้ แถมยังเดือดร้อนให้ตัวเองต้องลุกออกจากเตียงนอน เพื่อไปหยิบโพสต์อิทมาแปะเอาไว้ที่หน้านั้น เพราะในตอนเช้าผมจะต้องถ่ายสำเนาใบใหม่มาเสียบแทน
(เงียบเลยครับ แบบนี้ผมถือว่าคุณตกลงนะ)

“ผมยุ่งอยู่ครับ” ผมตอบไม่ตรงคำถาม
(อ้อครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะถือว่าคุณตกลงนะครับ)

“อ้าวเชี่ย! วางสายไปเฉย ไม่คิดจะปล่อยให้กูได้ปฏิเสธอะไรบ้างเลยเหรอวะไอ้คุณผู้กอง”


------------------------------------------------

แรกๆ ก็กวนๆ กันไปก่อนเนอะ
แต่ในความกวน มันก็ยังมีความเข้ากันได้อยู่นิดหน่อย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2018 13:09:33 โดย Chomin »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: Again and again ✎ ตอน 00 - 02 ✎ update 15/05/2018
«ตอบ #4 เมื่อ15-05-2018 19:15:46 »

เรื่องน่าติดตาม แปะไว้ก่อน  :katai2-1: เดี๋ยวมาอ่าน/เม้นนะก๊าบ  :katai4: :pig4:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: Again and again ✎ ตอน 03 ✎ update 16/05/2018
«ตอบ #5 เมื่อ16-05-2018 13:34:15 »

✎ 03

ช่วงเช้าผมลงจากรถนิสสันมาร์ชคู่ใจ พร้อมด้วยถุงเอกสารใบโตจนเต็มสองไม้สองมือ ซึ่งไม่สามารถขนย้ายได้แค่เพียงรอบเดียว ก็เลยต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างออฟฟิศกับลานจอดรถ ซึ่งห้องทำงานของผมก็อยู่ตั้งชั้นหก ดีที่ว่ามีลิฟต์คอยให้ใช้บริการ ไม่อย่างนั้นผมแย่แน่ แต่พอรอบสุดท้ายบังเอิญเจอน้องฝึกงานในแผนกที่ลานจอดรถเข้าพอดี ผมก็เลยให้น้องช่วยถือขึ้นไปให้ และผมก็แวะซื้อกาแฟที่คาเฟ่ใต้สำนักงาน ซึ่งราคาแพงหูฉีก แต่เพราะเย็นนี้ผมจะได้กินอาหารทะเลฟรีครับ ไอ้ผู้กองมันโทรมาย้ำอีกรอบเมื่อตอนเช้า ราวกับไม่แน่ใจว่าผมจะตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะเมื่อวานมันบอกว่าหลังจากที่วางสาย มันก็รอดูลาดเลาผ่านทางไลน์อยู่นาน แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่ส่งข้อความอะไรสักอย่างกลับไป ไอ้คุณผู้กองอนิลก็เลยนอนรออย่างมีความหวังจนเผลอหลับไป ตื่นเช้ามาไอ้ผู้กองที่นอนจนเต็มอิ่มมันก็กระหน่ำโทรหาผมจนต้องยอมขุดตัวเองออกจากเตียง ซึ่งการกระทำของมันนับได้ว่ากวนตีนครับ แต่ผมก็แปลกไง ปากก็ได้แต่ด่า ส่วนใจก็โอเค ก็คุยได้ จนสุดท้ายไอ้คุณอนิลก็หลุดปากออกมาว่าจะเลี้ยงอาหารทะเล ผมเลยเกทับไปว่าผมจะสั่งแต่ของแพงๆ เอาให้มันหมดตัวไปเลย จะได้เลิกว้าวุ่นกับผมสักที
แต่ไอ้คุณอนิลมันดันตอบกลับมาอย่างมั่นใจว่า ‘ผมศึกษาการเลี้ยงเม่นมาแล้วครับ เขาบอกว่าเม่นกินจุมาก เช้า กลางวัน เย็น กลางคืน กินจนแทบจะอ้วนตายแน่ะครับ เพราะฉะนั้นคุณสบายใจได้ ผมรับมือไหวชัวร์’ ซึ่งทันทีที่ได้ฟังคำตอบของไอ้ผู้กองสุดกวนประสาท ผมก็ได้แต่มองบนกับความกวนตีนของมันที่ไม่ได้มีวี่แววว่าจะลดลงเลย จนบางทีผมก็นึกเกลียดชื่อเล่นตัวเองแล้วเหมือนกัน เพราะไอ้คุณอนิลมันชอบเอาผมไปเปรียบกับเม่นอ่ะ เม่นตัวเป็นๆ ที่เป็นสัตว์ไง ฮัลโหล นี่ผมคนนะโว้ย ไม่ได้กินจุขนาดนั้น
แม่งบ้าครับ ทำไมตัวตนของไอ้ผู้กองแม่งไม่สมกับตำแหน่งและเครื่องแบบที่ต้องสวมใส่เลยวะ

ช่วงเช้าของการทำงานอันยุ่งเหยิง ผมก็ยังคงต้องมานั่งตรวจเอกสารให้พร้อมเหมือนอย่างเคย และต้องมานั่งเซ็นชื่อต่อให้ครบ ส่วนพวกสาวๆ ฝ่ายเงินเดือน สรรหา อบรมก็พากันพูดคุยถึงเรื่องละครบ้าง เครื่องสำอางค์บ้าง ยิ่งมีน้องฝึกงานเข้ามา แผนกของผมก็ยิ่งครึกครื้น และยิ่งมีชีวิตชีวามากขึ้น เมื่อสาวๆ เขาบังเอิญไปรู้ว่าต่างคนต่างแอบซุ่มเป็นติ่งเกาหลี ทีนี้ล่ะครับ เม้ากันมันเลยจ้า หัวหน้าไม่อยู่ด้วยไง ส่วนผมผู้ไม่รู้เรื่องอะไรใดๆ ก็ได้แต่นั่งเงียบๆ ก้มหน้าทำงานของตัวเองต่อไป
กระทั่งช่วงบ่ายพนักงานที่นัดไว้ ก็เดินทางมาถึง ผมเลยขอหนังสือเดินทางของทุกคนเพื่อเอาไปตรวจทานว่าสำเนาที่เรามีอยู่นั้นมันครบถ้วนทุกหน้าหรือไม่ ซึ่งขั้นตอนนี้เราต้องตรวจทานให้รอบคอบหน่อย เพราะบางที ต.ม ที่สนามบินก็จะชอบสแตมป์แบบสะเปะสะปะ จนต้องดึงสติในการพิจารณาเอกสาร เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องไปเสียเงินที่ ต.ม เพราะการถ่ายเอกสารใบนึงก็แพงอยู่นะจ๊ะ และเพราะมันเป็นงบของบริษัทก็เลยต้องช่วยกันประหยัดนิดนึง

พอหลังจากจัดแจงให้พนักงานเซ็นเอกสารเพื่อรับทราบเงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นเอกสารเพิ่มเติมของทาง ต.ม ของเขตพื้นที่ที่ผมต้องยื่นแล้ว พวกเราก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางไปยังจุดหมาย ซึ่งผมก็ต้องดรอปพนักงานทุกคนและเอกสารประจำตัวลงตรงหน้าประตูทางเข้า จากนั้นผมก็ไปวนรถหาที่จอดต่อไป แต่คราวนี้โคตรโชคดี เพราะผมได้ที่จอดใกล้ๆ กับที่หมาย ก็เลยไม่ต้องเดินไกลเท่าไหร่
กระทั่งเปิดประตูเข้าไปด้านใน ก็พบเจอกับความวุ่นวายอีกครั้ง เพราะถึงแม้ว่าช่วงบ่ายจะคนน้อยกว่าช่วงเช้า แต่ถึงยังไงคิวมันก็ยังยาวไปๆ อยู่ดี และก็เหมือนเดิม ผมไล่ให้พนักงานไปหาที่นั่ง ส่วนตัวเองก็ไปต่อแถวขอรับบัตรคิวเพื่อยื่นเอกสารวีซ่าประเภทธุรกิจ หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า Visa non-b และคิวสำหรับทำเรื่องการอยู่เกิน 90 วันของชาวต่างชาติ ซึ่งอันที่จริงแล้ว มันสามารถยื่นผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้ แต่ว่าต้องรอผลนาน มีความเสี่ยงว่าจะไม่ทันการ ทางบริษัทก็เลยตัดสินใจให้พนักงานส่งหนังสือเดินทางมาให้ผ่านทางไปรษณีย์หรือไม่ก็รถทัวร์ โดยมีเจ้าหน้าที่อย่างผมคอยให้ความดูแล

ติ้ง!

ทันทีที่ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่พนักงานผู้ชาย ซึ่งตัวใหญ่กว่าผมเป็นคนสละให้ เสียงข้อความแชทก็ดังขึ้น และเมื่อหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ก็พบว่าไอ้ผู้กองสุดกวนตีนเป็นคนส่งมา
แต่ถึงจะไม่เปิดหน้าจอออกดู ว่าเจ้าของข้อความนั้นเป็นใคร ผมก็ยังสามารถเดาได้อยู่ดี เพราะทุกวันนี้ โทรศัพท์ของผมมีไว้ใช้งานได้เหมาะสมกับการเป็นโทรศัพท์ที่สุด ก็เพราะไอ้คุณอนิลนี่แหละ ลองถ้าเป็นปกติสิ เครื่องมือสื่อสารเครื่องนี้ คงมีดีแค่สามารถดูเวลากับติดต่องานได้เท่านั้นแหละ
เพราะหลังจากนั้น มันก็จะเงียบสงบไร้คนโทรเข้าโทรออกปานก้อนหินก้อนหนึ่ง

Prab: ทักทายครับ
         *แนบรูปเม่นแคระนอนหงายทำหน้าเข้ม บนหัวมีรูปวาดของหมวกตำรวจวางแปะอยู่*
เม่นเดย์: คุณนี่ก็ช่างสรรหารูปมาใช้เนอะ
Prab: ก็ผมอยากเลี้ยงเม่นนี่ครับ
เม่นเดย์: รู้ครับ ย้ำบ่อยขนาดนี้ รีบๆ ศึกษาให้โปรแล้วก็ไปหาซื้อสักทีเถอะครับ จะได้เลิกฟุ้งซ่าน
Prab: ฮ่าๆ ผมขอทำงานก่อนนะครับ ตอนนี้ไม่ว่างเปิดศึกจริงๆ เสียดายจัง

เสียดายกับผีน่ะสิ วุ้ย! ไอ้คุณผู้กอง ช่วยให้กูมาทำงานแบบไม่ประสาทแดกสักวันจะได้มั้ย อากาศยิ่งร้อนๆ อยู่ คนก็เยอะ แอร์มันก็เลยไม่เย็นนี่ไง แล้วดูคิวที่ผมได้ นอนหลับรอเลยแล้วกัน เพราะน่าจะเป็นคิวท้ายๆ โน่นเลย ผมจึงนั่งไถหน้าจอโทรศัพท์เล่นฆ่าเวลา ส่วนพนักงานชาวต่างชาติก็จับกลุ่มพูดคุยกันอย่างออกรส ซึ่งถ้าแอบนินทากูนี่ ไม่รู้เรื่องเลยนะ เพราะไอ้พวกนี้ไม่ยอมคุยเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาไทยอีกแล้ว ซึ่งผมโคตรเบื่อ เพราะโลกโซเชียลก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจอีกเหมือนกัน
อาจเพราะผมไม่มีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษด้วยล่ะมั้ง ก็วันๆ ผมเล่นขลุกตัวอยู่แต่ในบ้าน และกิจกรรมที่ชอบทำ ก็ตามอารมณ์ครับ บางวันก็ดูซีรีส์เกาหลีบ้าง จีนบ้าง แก้เบื่อ หรือไม่ถ้าขยันหน่อยก็อาจจะเล่นไวโอลินครับ เพราะเป็นกิจกรรมอย่างเดียวที่อยู่กับผมได้นานที่สุด เนื่องจากผมเคยเรียนชั้น pre-collage ที่สถาบันดนตรีแห่งหนึ่ง ซึ่งก็เทียบเท่ากับชั้นมอปลาย แต่พอมหาลัยผมก็เริ่มคิดได้ว่า อาชีพนักดนตรีน่าจะไม่เหมาะกับตัวเอง ผมก็เลยเลือกเรียนการโรงแรม และบังเอิญว่าสาขานี้จะต้องเรียนเกี่ยวกับงานด้านทรัพยากรมนุษย์ด้วย ผมก็เลยได้เข้าไปฝึกงานในส่วนนี้ แล้วก็ยึดถือมันเป็นอาชีพหลักไปโดยปริยาย
ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลเนี่ย ต้องความจำเป็นเลิศและไหวพริบดีด้วยนะครับ แล้วชื่อพนักงานนี่ก็ต้องจำให้ได้ด้วย แต่ด้วยความที่บริษัทของเราคนเยอะมาก จำได้แค่ในส่วนของสำนักงานใหญ่ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว แต่กับพนักงานชาวต่างชาติ ผมต้องจำให้ได้ทุกคนครับ เพราะผมต้องคอยดูแลความเป็นอยู่ของพวกเขาด้วย ฉะนั้นตอนนี้ผมกำลังพยายามจะจดจำให้ได้อยู่ครับ และคงต้องใช้เวลาสักระยะ เพราะเนื่องจากจำนวนชาวต่างชาติก็มีไม่ใช่น้อยๆ แล้วก็ไม่ได้มีแค่บริษัทเดียว แต่ยังมีบริษัทลูกให้ต้องคอยดูแลรับผิดชอบ รวมๆ ก็ห้าสิบชีวิตที่ผมต้องให้ความสนใจปานลูกในไส้

หลายคนอาจมองว่าบริษัทจ้างต่างชาติเยอะไปหรือเปล่า ซึ่งถ้าหากมองจากจำนวนแล้ว มันก็เยอะจริงๆ ครับ แต่ถ้าหากเทียบกับสัดส่วนของพนักงานคนไทยก็ยังถือว่าน้อยมาก และการจะจ้างงานต่างชาติสักคนเนี่ย มันจะมีหลายปัจจัยให้ต้องขบคิดอีกเยอะครับ อย่างเช่น จำนวนของพนักงานคนไทย ก็จะต้องรองรับต่างชาติให้ได้ด้วย เพราะเขามีกฎว่าการจ้างต่างชาติ 1 คน จะต้องมีพนักงานคนไทยรับรอง 4 คน ทีนี้เราก็ต้องดูภาพรวมแล้วครับว่าพนักงานคนไทยของเรามีกี่คน และหารออกมาเพื่อให้ทราบลิมิตในการว่าจ้าง และนอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับรายได้ต่อปี และอะไรอีกเยอะแยะเลยครับ แถมค่าใช้จ่ายก็สูงด้วย ดังนั้นผมต้องคอยเช็คจำนวนพนักงานคนไทยอย่างสม่ำเสมอ เพราะว่าในแต่ละเดือนก็จะมีพนักงานลาออกเยอะเหมือนกัน ซึ่งถ้าหากจำนวนต่างชาติเกินกำหนด เราก็จะต้องทำเรื่องย้ายบริษัท ซ้ำยังต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก
กลับมาที่บรรยากาศในห้องทำงานของไอ้คุณผู้กองอนิลครับ ผู้ใช้บริการยังคงเยอะเหมือนเคย ผมจึงก้มหน้าลงมองเวลาในโทรศัพท์ ปรากฏว่าตอนนี้มันปาเข้าไปบ่ายสามแล้ว และกว่าจะถึงคิวที่ผมต้องยื่นเรื่องวีซ่าก็อีกประมาณห้าคิว ส่วน 90 วันผมเดินเรื่องเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้กำลังนั่งถ่ายรูปกำหนดการในการต่อ 90 วันสำหรับครั้งต่อไปของพนักงานคนอื่นๆ เพื่อที่ผมจะได้ฝากพนักงานกลุ่มนี้ให้เอาไปให้เพื่อนร่วมชาติของเขาด้วย บริษัทจะได้ไม่ต้องเปลืองค่าจัดส่งไงครับ

และกว่างานของผมในวันนี้จะสำเร็จลงด้วยดี ก็เลยเวลาเลิกงานพอดี แต่ภารกิจของผมยังไม่จบลงแค่นี้ เพราะว่าผมจะต้องถ่ายกำหนดการฟังผลวีซ่าเก็บไว้ด้วย ส่วนหนังสือเดินทางก็ต้องให้พนักงานเก็บติดตัวไว้ ในส่วนนี้ก็ต้องยอมส่งกันไปส่งกันมา เนื่องจากเวลาที่มีเจ้าหน้าที่มาตรวจ พนักงานจะได้ไม่วุ่นวาย และเราเองก็จะไม่วุ่นวายตามไปด้วย

ครืด ครืด

“ครับ” ผมกดรับสาย เมื่อไอ้ผู้กองอนิลโทรหาในช่วงที่ผมกำลังเดินออกมาจากสำนักงาน
(คุณเม่นกำลังจะเบี้ยวนัดผมหรือเปล่าครับ?) อีกฝ่ายกรอกเสียงผ่านปลายสายด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่ากำลังจับผิด

“ผมต้องไปส่งพนักงานที่ท่ารถครับ ยังไงคุณแชร์โลเกชั่นมาก็แล้วกัน เสร็จธุระแล้วผมจะตามไป”
(ก็ได้ครับ ผมเองก็ยังต้องเคลียร์งานต่ออีกหน่อย ถ้ายังไงเสร็จธุระแล้ว คุณเลือกร้านแล้วโทรมาบอกผมเลยก็ได้นะ)

“ส่วนใหญ่ผมทำกับข้าวกินเองครับ คุณเลือกเถอะ ผมไม่สันทัด”
(งั้นเอาเป็นร้านริมทะเลแถวๆ บางเสร่ดีไหมครับ)

“ก็ได้ครับ”
(งั้นเดี๋ยวผมแชร์โลเกชั่นให้ครับ)

เราคุยกันเพียงแค่นั้น ผมก็ต้องกลับมาทำหน้าที่เป็นสารถีให้กับพนักงานชาวต่างชาติ โดยมีจุดหมายปลายทางคือสถานีรถทัวร์ ซึ่งระหว่างนั้นไอ้คุณอนิลก็แชร์โลเกชั่นร้านอาหารทะเลแห่งหนึ่งมาให้ มันเป็นร้านที่ตั้งยื่นออกไปในทะเล ท่าทางบรรยากาศจะดีไม่หยอก แต่แม่งโคตรไกลสำหรับผมเลย เพราะผมต้องขับอ้อมโลกเลยน่ะสิ แต่ด้วยความที่บ้านของผมอยู่ใกล้ๆ แถวนั้น ผมก็เลยไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมาก เนื่องจากธุระที่มันทำให้ผมต้องขับรถอ้อมโลก ก็คือการส่งพนักงานให้ถึงที่หมายโดยปลอดภัยตามคำสั่งของท่านผู้บริหารต่างหากล่ะ
และทันทีที่มาถึงร้านอาหารดังกล่าว พอลงจากรถ กลิ่นไอทะเลก็พวยพุ่งเข้ามาเล่นงาน แต่เพราะผมเป็นคนที่ชอบความสงบ หรือง่ายๆ ก็คือ ชอบอะไรที่มันเป็นธรรมชาติ ก็เลยรู้สึกโอเคกับบรรยากาศแบบนี้

“ผมมาถึงแล้วนะ คุณอยู่ไหน ?” ผมตัดสินใจโทรหาอีกฝ่าย ขณะเดินเข้าไปในร้าน ซึ่งก็ต้องผ่านบ่อเลี้ยงปลา กุ้ง หมึก หอยอีกมากมาย และเมื่อเดินต่อมาอีกหน่อยก็จะเจอกับห้องโถงกว้างๆ ที่เปิดรับลมทะเลจากรอบๆ ทิศทาง ผมจึงกวาดตามองไปตามโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้ม จนกระทั่งพบผู้ชายในเครื่องแบบกำลังโบกไม้โบกมือมาให้ ผมจึงกดตัดสายแล้วก็รีบเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
“โทษทีนะคุณ รถโคตรติด” ผมกล่าวอย่างรู้สึกผิดที่ปล่อยให้อีกฝ่ายรอเป็นชั่วโมงๆ

“ไม่เป็นไรครับ เราสั่งอาหารกันเลยดีกว่า”
“คุณกินปูมั้ย ?” หลังจากก้มหน้าเปิดเมนูอาหารอยู่นาน ผมก็สอบถามอีกฝ่ายกลับไป

“ของชอบเลยครับ” อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ จนผมต้องคำนวณคร่าวๆ ในใจว่า เราควรจะสั่งกันกี่โลดี เพราะโลนึงผมสามารถกินคนเดียวได้หมดอยู่นะ แต่ต้องกินแบบเพียวๆ ไม่สนอย่างอื่นเลย
“สองโลก็ได้ครับ ถ้าเหลือก็ค่อยห่อกลับ” พออีกฝ่ายเสนอแบบนั้น ผมก็พยักหน้าและหันไปสั่งรายการอาหารอื่นๆ ที่ช่วยกันเลือกกับเด็กเสิร์ฟที่มารอรับออร์เดอร์

“จริงๆ ผมว่าถ้าเราไปซื้อที่ลานโพธิ์แล้วให้เขาต้มให้น่าจะคุ้มกว่านะคุณ” ผมเอ่ยเปิดประเด็น เมื่อรอบๆ ตัวไม่มีพนักงานเสิร์ฟหลงเหลืออยู่แล้ว
“แต่มันไม่ได้บรรยากาศไงครับคุณเม่น”
อ่าจ้า เรื่องนี้กูไม่เถียง เพราะบรรยากาศของร้านนี้มันก็ดีจริงๆ

“คุณชอบทะเลเหรอครับ ?” อีกฝ่ายเอ่ยถาม เมื่อเห็นผมเอาแต่นั่งมองออกไปด้านนอกตัวร้านอย่างเลื่อนลอย ทั้งๆ ที่พระอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว
“ก็ชอบนะครับ อันที่จริงผมชอบทุกที่ที่ไม่วุ่นวาย” ผมตอบพลางเน้นประโยคสุดท้ายเล็กน้อย เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่า เพราะมึงนั่นแหละ ทำให้ความสงบสุขของกูป่นปี้หมด แต่ก็ด่าได้แค่ในใจครับ เดี๋ยวเจอมันสวนกลับมาว่า ก็คุณนั่นแหละเปิดโอกาสให้ผมเอง ทีนี้ก็ตายสิครับ เข้าทางมันอีก

“เอ้อ ไหนๆ เราก็มากินข้าวด้วยกันตั้งมื้อนึงแล้ว คุณเรียกผมว่าปราบก็ได้นะครับ ผมไม่ถือ”
“ถ้าไม่ลืมนะครับ” ผมรับปาก แต่ก็ไม่วายจะไว้เชิง เพราะว่าอันที่จริงผมคุ้นชินกับการเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อจริงไปแล้ว อาจเพราะเราเริ่มต้นรู้จักกันผ่านด้านการทำงาน แถมเจ้าตัวยังมียศสูงเสียด้วย จึงทำให้ผมต้องเรียกไอ้คุณอนิลอย่างสุภาพและออกแนวเกรงอกเกรงใจนิดๆ ต่างกับพี่ตั้มที่จะเข้าถึงง่ายกว่า แต่พอคนบางคนบุกเข้ามาในระยะประชิด จากความเกรงใจก็กลายเป็นความสนิทสนมจนสามารถนั่งต่อปากต่อคำกันได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็กล้าทำแค่ในระดับที่ไม่เกินพอดี มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ผมฟิวส์ขาด ก็คือตอนที่เอาเอกสารไปส่ง แล้วต้องมานั่งเลือกเอกสารของตัวเองข้างๆ ไอ้ผู้กองนี่นั่นแหละ

“กินผักด้วยสิครับ” พออาหารมาเสิร์ฟจนครบ ไอ้ผู้กองสุดเสร่อมันก็ตักผัดผักหวานมาใส่จานข้าวของผม โดยไม่ถามไถ่ความต้องการของกูสักคำเลยมึงเอ้ย
“ผมไม่ชอบ”

“อ่าจริงด้วย ผมลืมไปเลยครับ เมื่อเช้าผมก็ศึกษาวิธีการเลี้ยงเม่นอยู่แหม่บๆ บางตัวมันไม่ชอบกินผักกับผลไม้นี่นา”
“ผมคนนะครับคุณอนิล” ผมทำหน้าบึ้งพลางเรียกร้องให้อีกฝ่ายช่วยเข้าใจด้วย ว่ากูเป็นคนโว้ย ถึงกูจะไม่ชอบผักเหมือนเม่นที่เป็นสัตว์ก็เถอะ แม่ง เนียนตลอดเลย!
แล้วก็ย้ำจังนะมึงว่าอยากเลี้ยงเม่นเนี่ย
แต่ขอโทษที รายชื่อของมึงยังไม่ผ่านการพิจารณาว่ะครับ!

“ถ้าเป็นคนงั้นก็ต้องกินผักครับ คุณเป็นเด็กน้อยเหรอ ?” แม่งย้อนด้วยน้ำเสียงกวนประสาท แถมยังยิ้มแบบท้าทายซะด้วย แล้วกูก็บ้าจี้ไง รีบตักผัดผักหวานที่เกี่ยงจะไม่กินมานมนานเข้าปากทันที
แต่ไหงแม่งอร่อยได้วะ ผมชอบอ่ะ!

“เด็กจริงๆ ด้วย” อีกฝ่ายกล่าวสำทับ พลางแกะปูกินอย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่ผมก็ตักผัดผักหวานกินราวกับกลัวโดนแย่งจนลืมปูราคาแพงไปเลยทีเดียว และผมก็ยังทำหูทวนลมใส่คนตรงหน้า ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพยายามพูดแหย่มากแค่ไหน เนื่องจากเวลาแบบนี้ เราไม่ควรจะทำสงครามประสาทใส่กัน เพราะเดี๋ยวอาหารอร่อยๆ มันจะกลายเป็นอาหารกร่อยๆ ไปซะก่อน
“เฮ้ย! คุณจีบผมอยู่ คุณก็ต้องเสียสละให้ผมสิ” ผมรีบคว้าปูตัวสุดท้ายที่วางอยู่ในจานแทบจะทันที แต่มันก็พอดีกับอีกฝ่ายที่ก็เอื้อมมาหยิบปูตัวนี้ด้วยเช่นกัน ผมจึงรีบเรียกร้องสิทธิ์ในหัวข้อที่ตัวเองชอบหาบทสนทนาอื่นๆ มากลบเกลื่อนเสมอ

“เอาไว้ผมจีบคุณติดก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะให้คุณใช้สิทธิ์นั้น”
“…” อึ้งครับ! แม่งดึงปูไปจากมือผมเฉย

“โอ๋ๆ แบ่งครึ่งก็ได้ครับ”  ไอ้ผู้กองอนิลมันยิ้มจนปากบาน พร้อมกับยื่นปูอีกครึ่งนึงมาใส่ในจานข้าวของผม แต่แม่งไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกหน้าร้อนเหี้ยๆ ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ไอ้คนตรงหน้ามันกำลังอ้อนตีนผมอยู่
“…” พอตั้งสติได้ ผมก็ชักสีหน้าพร้อมกับทำเสียงฮึดฮัดบ่งบอกให้รู้ว่ากูกำลังไม่พอใจอยู่นะเว้ย แต่ในใจนี่สั่นไหวจนเหลวแหลกไปหมดแล้ว ฮือ ก็ดูไอ้ผู้กองอนิลดิ แม่งมีการชักสีหน้าเลียนแบบผมด้วย ไม่พอนะ มันยังจะทำเสียงฮึดฮัดเหมือนผมเป๊ะ
คนคนนี้มันเกิดมาเพื่อกวนประสาทดีแท้

กระทั่งเวลาสองทุ่มกว่า เราก็ได้เวลาแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน ซึ่งสถานการณ์ก็แลดูปกติดีอยู่หรอก แต่พอรถผมจอดเทียบท่าตรงหน้าบ้านปุ๊บ ก็เหลือบหางตาไปเห็นรถของใครสักคนมาจอดจี้ตูด และเมื่อผมเดินออกไปเฝ้าดูสถานการณ์ ก็พบกับไอ้ผู้กองอนิลคนกวนตีนคนเดิม
เพิ่มเติมคือแม่งสะกดรอยตามผมมาจนถึงบ้าน!
แต่ก็แปลกที่ผมไม่รู้สึกโกรธที่กำลังถูกลุกล้ำความเป็นส่วนตัวเสียอย่างนั้น..

ก๊อก ก๊อก

“ตามผมมาทำไมครับ ?” ผมรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเปิดกระจกรถ จากนั้นก็ตีหน้าเข้มพลางสอบถามอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
“อยากมาส่งครับ แต่ถ้าพูดออกไป คุณต้องปฏิเสธผมแน่” อีกฝ่ายกล่าวพลางยกยิ้มลอยหน้าลอยตาจนน่าหมั่นไส้ ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นทำ ผมคงจะรู้สึกรำคาญ แต่พอเป็นไอ้ผู้กองที่มันสามารถเรียกร้องสายตาของผมให้หยุดมองไปที่มันได้ตั้งแต่แรกเห็น ทุกอย่างก็ดันกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่ผมเต็มใจจะรับไว้ เพียงแต่ไม่อยากแสดงออกมากนัก

“อีกอย่าง.. ผมศึกษามาแล้วครับ เขาบอกว่าเม่นน่ะขี้หวง หมายถึงหวงบ้านน่ะครับ แล้วก็รักความสงบ ชอบอยู่เพียงลำพัง ผมก็เลยต้องแอบตามมาเงียบๆ”
อ่าจ้า มึงศึกษามาดีมากจ้า
แต่ได้ข่าวว่าสิ่งที่มึงศึกษา มันคือเม่นที่เป็นสัตว์ ไม่ใช่เม่นที่เป็นคนโว้ย เหนื่อยใจจะคุยด้วยแล้ว!

ผมตัดสินใจเดินเข้าบ้านด้วยท่าทางฮึดฮัด ส่วนอีกฝ่ายก็หัวเราะชอบใจจนน่าโมโห และก็โมโหตัวเองด้วย ที่ชอบทำนิสัยเหมือนเม่นจริงๆ เนี่ย ไอ้บ้า ไอ้บอ
หรือนี่คือเหตุผลที่แม่ตั้งชื่อผมว่า ‘เม่น’ กันวะ
โอ้ยยยย! ผมเกลียดชื่อนี้ เกลียดเพราะมันเป็นช่องทางที่ไอ้ผู้กองอนิลมันเอามาล้อผมเนี่ย!


-----------------------------------------
น้องเม่นโดนแกล้งตลอดเลย แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะน้องเม่นชอบทำตัวเหมือนเม่นเอง 55
เนื้อเรื่องไม่น่าจะหนักเนอะ มันจำเป็นต้องใส่ เพราะไม่งั้นอาจจะมองภาพไม่ออก
ว่าทำไมเอกสารถึงต้องโดนเรียกให้เอามาเพิ่มหลายๆ รอบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2018 14:37:07 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
Re: Again and again ✎ ตอน 04 ✎ update 17/05/2018
«ตอบ #6 เมื่อ17-05-2018 12:45:08 »

✎ 04

หลังจากได้กินข้าวด้วยกันมื้อนึงแล้ว ก็ย่อมต้องมีมื้อต่อๆ ไป จนความสัมพันธ์ของเราดูเหมือนจะคืบหน้าไปมาก แต่อันที่จริงก็ยังไม่คืบหน้าหรอกครับ จะเพราะอะไรซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องงาน ที่มันทำให้ผมคอยแต่จะหักคะแนนความประพฤติของไอ้ผู้กองอนิลจนป่นปี้
ใครจะว่าผมไม่รู้จักแยกแยะก็ช่างเถอะ
เพราะผมสะดวกแบบนี้ ก็จะทำตัวแบบนี้

“โธ่คุณ ก็เอกสารมันเยอะนี่ครับ ผมต้องตรวจเป็นชุดๆ ไป ไม่อย่างนั้นเอกสารมันก็จะปนกัน ทีนี้งานงอกกว่าเดิมเลยนะครับ” ไอ้ผู้กองอนิลยังคงทำหน้าทำตาออดอ้อนขอความเห็นใจ ในขณะที่ผมยังคงทำหน้านิ่งไม่หือไม่อือเหมือนเดิม เพราะว่าผมโดนเบื้องบนด่าครับ ว่าทำไมชอบทำงานผิดพลาด ซึ่งทุกคนที่มารับตำแหน่งนี้ก็โดนกันหมด ดังนั้นตำแหน่งที่ผมกำลังทำอยู่จึงถูกขนานนามว่าเป็นตำแหน่ง ‘เก้าอี้ร้อน’ ใครอยู่ก็อยู่ได้ไม่นาน และตอนนี้กูก็เริ่มจะงานงอกซะแล้วด้วย
“เท่าที่ผมศึกษามา..” ประโยคนี้แม่งมาอีกแล้ว
โอ้ย กูกำลังดึงหน้าอยู่ อย่าเพิ่งพ่นอะไรออกมาสิวะไอ้ผู้กอง

“เขาบอกว่าเม่นจะมีการตอบสนองน้อย ควรเลี้ยงเอาไว้ดูเล่นเหมือนเลี้ยงปลา แต่ผมก็ไม่คิดว่า เวลาที่เม่นโมโห มันจะหนักหนาถึงขนาดนี้ ดีกันเถอะครับ นะๆ”
เชี่ย! พ่ายแพ้ว่ะ!
พ่ายแพ้ที่คำว่า ‘นะๆ’ เนี่ยแหละ

“เบื่อคุณว่ะ” ผมปริปากพูดพลางยกแก้วค็อกเทลอย่าง ‘Long Island’ ที่มีรสชาติหวานๆ ซ่าๆ เหมือนกับไอซ์ที ซึ่งถ้าหากดื่มมากๆ ก็อาจจะเมาได้อยู่ เพราะว่ามันมีส่วนผสมของวอดก้า รัม เตกีล่า ยิน และคนที่สั่งให้ผมก็คือไอ้คนที่มันกำลังอ้อนวอนขอความเห็นใจ หลังจากที่วันนี้ผมต้องเอาเอกสารเข้าไปให้อีกฝ่าย เพราะว่ามันมีบางส่วนที่ได้อันตรธานหายไปอีกแล้ว ซึ่งเอกสารของบริษัทผมแม่ง หายบ่อยจริง เพราะมีเยอะจริง และก็ไม่ได้มีแค่ไอ้คนตรงหน้าที่ทำหายซะด้วย ปลงครับ เก้าอี้ร้อนนี่เนอะ ต้องอดทน
“คุณยิ้มแล้ว” อีกฝ่ายกล่าวพลางนั่งเท้าแขนกับเคาน์เตอร์บาร์ริมทะเล พร้อมกับใช้ดวงตาคมจ้องมองมาที่ผมอย่างเปิดเผย

“คุณนึกยังไงถึงพาผมมาดื่ม ?” ผมเริ่มตั้งคำถาม เพราะว่ากิจกรรมแบบนี้ไม่ใช่เรื่องปกติที่ผมชอบทำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ใช่ว่าผมจะดื่มแอลกอฮอล์ไม่เป็น ในเมื่อการทำงานก็ย่อมต้องมาคู่กับการกินเลี้ยง ดังนั้นเหล้า เบียร์ ค็อกเทลก็ถือว่าเป็นของคู่กัน
เพียงแต่ผมดื่มไม่เก่งมากก็แค่นั้น

“ก็คุณกินข้าวแล้ว ผมไม่รู้จะพาไปที่ไหน” อีกฝ่ายกล่าว ซึ่งผมก็พยักหน้ารับรู้ เพราะการออกมาด้วยกันในวันนี้ มันอยู่เหนือความคาดหมายของผมมาก เนื่องจากผมไม่ได้รับโทรศัพท์ของอีกฝ่ายเลย คือกำลังเฟลเรื่องงานอยู่ไง ก็เลยปิดการรับรู้จากทุกคนไป ทีนี้ไอ้ผู้กองมันก็บุกมาถึงบ้านเลยครับ และทันทีที่เปิดประตูออกไปต้อนรับ ตัวผมก็ปลิวขึ้นมานั่งอยู่บนรถ
และจบลงด้วยการมานั่งดื่มที่ร้านนั่งชิลด์แห่งหนึ่ง

“แต่ก็ดี ผมกำลังเซ็ง” ผมตอบพลางเพ่งพิจารณาค็อกเทลแก้วที่สองอย่าง ‘Red wine Berry Spritzer’
“ผมขอโทษนะ ที่ทำให้คุณโดนตำหนิ” อีกฝ่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ช่างเถอะ ผมเข้าใจ เอกสารของผมมันก็เยอะเป็นตั้งๆ ซะขนาดนั้น แล้วแต่ละเดือนก็ตั้งสิบคน คุณเองก็ต้องรับผิดชอบตั้งหลายบริษัท” ผมกล่าวอย่างปลงตก และก็พยายามที่จะเข้าใจอีกฝ่ายด้วย แต่บางทีมันก็อดหงุดหงิดไม่ได้ไง ซ้ำยังต้องมาโดนตำหนิอีก มันก็เซ็งไง แต่เดี๋ยววันรุ่งขึ้นก็หายแล้ว
เนี่ย! ผมเลยแก้แค้นด้วยการหักคะแนนไอ้ผู้กองอนิลจนติดลบไปเลย

แต่ไอ้ผู้กองตรงหน้ามันก็เก่งนะ ไม่รู้ทำไมมันถึงชอบสร้างความประทับใจให้โดยไม่รู้ตัว ยกตัวอย่างเช่น เวลานี้ที่คนข้างๆ นั่งจิบค็อกเทลอยู่เงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
แค่นี้ก็โอเคแล้ว

“คุณรำคาญผมมั้ย ?” หลังจากปล่อยให้ความเงียบระหว่างเราเกิดขึ้นเป็นเวลานานจนเกินไป อีกฝ่ายก็ตัดสินใจถามคำถามที่ผมไม่เคยคิดว่าเจ้าตัวจะพูดออกมา
“คุณก็รู้ว่าเม่นมันรักสงบ และยังหวงพื้นที่ของตัวเองนี่ครับ แล้วคุณก็เข้ามาในพื้นที่ของมันตั้งเยอะแล้ว” ย้อนสิครับ ไอ้ผู้กองมันชอบเอาผมไปเปรียบกับเม่นดีนัก
งั้นก็ตีความเอาเองสิเว้ย!

“…” อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร นอกจากโคลงศีรษะไปมา พร้อมกับยกยิ้มมาทางผมที่มองอีกฝ่ายอยู่ก่อนแล้ว
“หมดแก้วนี้กลับบ้านเลยนะคุณ” ผมว่าพลางชี้ไปที่แก้วค็อกเทลตรงหน้า ส่วนของอีกฝ่ายก็ดื่มหมดไปนานแล้ว เพราะว่าเจ้าตัวดื่มเพียงแค่แก้วเดียว ราวกับสั่งมาเพื่อหาที่นั่งปรับความเข้าใจกับผมแค่นั้น และเมื่อเข้าใจกันดีแล้ว เวลาทั้งหมดในช่วงที่ความเงียบเกิดขึ้น ก็หมดไปกับการนั่งฟังเพลงที่ทางร้านเปิดคลอเบาๆ

   เช้าวันนี้ผมเริ่มต้นเคลียร์งานประจำเดือนให้เสร็จ เพื่อที่จะได้รีบไปยื่นเอกสารต่อใบอนุญาตทำงานให้เรียบร้อย ซึ่งก็ไม่ได้ยุ่งยากเท่ากับการยื่นวีซ่า ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเท่าไหร่ นอกจากผมจะต้องหอบงานกลับมานั่งทำต่อที่บ้าน ซึ่งก็หนีไม่พ้นการเซ็นเอกสาร พร้อมกับสแตมป์ตรายางบริษัทไปเรื่อยๆ โดยมีเสียงเหน็บแนมของไอ้ผู้กองส่งมาตามสายโทรศัพท์ไม่เคยขาด
 
(จากที่ผมศึกษามา เขาบอกว่าเม่นขี้โมโห แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะขี้โมโหเบอร์นี้เลย) เสียงทุ้มหยอกเย้าเหมือนอย่างเคย เพียงแต่วันนี้เขาเปลี่ยนหัวข้อเป็นเรื่อง ‘ความขี้โมโห’ ของเม่น ซึ่งเม่นที่ว่าเป็นสัตว์ แต่ผมที่กำลังนั่งสแตมป์ตรายางลงบนกระดาษดังตึงๆ โดยไม่ได้มีอารมณ์โมโหใดๆ เกิดขึ้นเลยเว้ย
กูแค่เมื่อยมั้ยไอ้ผู้กองงงง
แซวจังเว้ย แซวพอๆ กับพี่ที่ออฟฟิศเลยแม่ง

“แล้วแหล่งที่คุณศึกษามา.. มีบอกเพิ่มไหมครับ ว่าเม่นมันสามารถกัดคนได้ด้วย แต่ผมที่ชื่อ ‘เม่น’ เนี่ย สามารถใช้ตรายางปาหัวคุณจนแตกได้เลยนะครับ” ผมกล่าวแกมขู่ ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะกลับมาอย่างอารมณ์ดี
(ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน โทษหนักนะครับคุณเม่น)

“คุณอนิลก็ช่วยหยุดกวนประสาทสักทีสิครับ ผมกำลังทำงาน”
(นี่ถ้าผมเป็นเจ้านายคุณ ผมคงจะให้รางวัลพนักงานดีเด่นไปแล้วนะครับเนี่ย)

“แต่เผอิญไม่ใช่คุณไงครับ ผมก็เลย..” ผมกล่าวเพียงเบาๆ ราวกับต้องการพูดกับตัวเองแล้วก็หยุดค้างไว้เพียงแค่นั้นด้วยความเซ็งจิต
(ว่าไงนะครับคุณเม่น)

“เปล่าครับ.. เห้อ ปวดมือชะมัด ไปกินบะหมี่หมูแดงกันมั้ยคุณ” ผมวางปากกาพลางบิดขี้เกียจไปมาอยู่สองสามที จากนั้นก็เอ่ยชวนอีกฝ่ายมาทานมื้อดึกด้วยกัน เพราะบ้านของเขาอยู่ในละแวกเดียวกันกับบ้านของผม ดังนั้นจึงใช้เวลาในการเดินทางไปมาหาสู่กันไม่นานนัก
(จะห้าทุ่มแล้วนะครับ คุณยังหิวอยู่อีกเหรอ ?) อีกฝ่ายถามเสียงหลง

“ก็ผมทำงาน ต้องใช้พลังงานเยอะ ตกลงจะไปหรือไม่ไปครับคุณอนิล?” ผมลุกขึ้นยืนพลางหยิบกระเป๋าสตางค์รวมทั้งกุญแจรถและกุญแจบ้านติดตัวไปด้วย
(ถ้าผมไป คุณจะให้ผมค้างที่บ้านของคุณหรือเปล่าล่ะครับ ?)

“ฝันไปเถอะครับ ผมกินคนเดียวได้ คุณนอนเถอะ” ผมกล่าวพลางปิดประตูบ้านและล็อกกลอนให้เรียบร้อย
(เดี๋ยวเจอกันครับ) อีกฝ่ายตอบกลับมาในขณะที่ผมกำลังเปิดรั้วบ้านเพื่อเตรียมเอารถออก จากนั้นก็พาตัวเองเข้ามานั่งในรถคันเก่ง ก่อนจะลงมาปิดรั้ว และมุ่งตรงไปยังร้านบะหมี่ที่ยังคงเปิดขายอยู่

ผมเริ่มทานมื้อดึกไปได้ประมาณยี่สิบนาที อีกฝ่ายก็เดินทางมาถึง และเจ้าตัวก็สั่งบะหมี่หมูแดงมานั่งเล็ม เพราะในตอนนี้ดวงตาของไอ้ผู้กองตรงหน้า กลับเอาแต่จ้องมองมายังผม จนผมต้องหยุดการกินอย่างหิวโหยไว้ครู่หนึ่ง

“คุณช่วยย้ายสายตาไปมองอย่างอื่นสักห้านาทีได้ไหมครับ ผมกินไม่สะดวก” ผมกล่าวพลางดันหน้าของอีกฝ่ายให้หันไปมองทางอื่น ซึ่งปกติไอ้คุณอนิล ก็ไม่ได้มานั่งจ้องหน้าผมเวลากินข้าวขนาดนี้หรอก แต่ไม่รู้ทำไม วันนี้ ตอนนี้ มันถึงได้เอาแต่นั่งจ้องหน้าผมอยู่ได้
“คุณหิวจนถึงขนาดใส่ชุดนอนออกมาเลยเหรอครับ แปลกตาดี” ไอ้ผู้กองกล่าวเหตุผลพลางยกยิ้ม

“คุณไม่กินใช่ไหม งั้นผมกินเอง เสียดาย” ผมเอ่ยถามแก้เก้อ พลางยกถ้วยบะหมี่ของอีกฝ่ายมาวางไว้ตรงหน้า และดันบะหมี่ถ้วยเก่าให้ออกห่างจากพื้นที่ของตัวเอง
ส่วนอีกฝ่ายที่ขับรถถ่อออกมาจากบ้าน ก็เพื่อมานั่งมองผมกินอย่างเดียว!
เล่นเอาหน้าของผม มันร้อนฉ่าไปหมด!

กระทั่งวันหยุดเดินมาถึง ผมก็ใช้เวลาหมดไปกับการนอน ส่วนตอนเย็นๆ ก็ค่อยทำความสะอาดบ้าน และพรุ่งนี้ก็ค่อยตื่นมาซักผ้า เพื่อที่อย่างน้อย ผมก็จะสามารถนอนตื่นสายได้สักวันนึงก็ยังดี เพราะการใช้ชีวิตในช่วงวัยทำงานนั้น เวลาพักช่างหาได้ยากเย็น ดังนั้นวันหยุดมาถึงทั้งที ผมก็อยากจะนอนทำหน้าโง่ๆ อยู่บนเตียงจนสาแก่ใจ

ติ้ง!

แต่จนแล้วจนรอด กิจกรรมสุดโปรดของผม ก็ถูกรบกวนจากใครบางคน ผมจึงต้องควานหาโทรศัพท์ทั้งๆ ที่ตายังลืมไม่ขึ้น จากนั้นก็สไลด์หน้าจอเพื่อเข้าสู่แอพพลิเคชั่นดังกล่าว พร้อมกับเลื่อนสายตาขึ้นไปมองเวลาที่ปรากฏว่าขณะนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงเช้า ก่อนจะหันกลับมาใส่ใจข้อความของไอ้ผู้กองอนิลที่ป่านนี้ระบบคงจะขึ้น ‘Read’ โดยไร้การตอบโต้อยู่นานแล้ว

Prab: ตื่นหรือยังครับคุณ วันหยุดแบบนี้เราน่าจะไปเที่ยวกันหน่อยนะ
         *แนบรูปเม่นแคระใช้ปากดึงผ้าห่ม*
เม่นเดย์: ผมจะนอนเข้าใจมั้ยครับ จะนอนนนน
Prab: โทษทีครับ ผมลืมไปว่า เม่นน่ะขี้เซา แถมยังชอบนอนตอนกลางวันอีกต่างหาก
เม่นเดย์: กวนประสาทนะครับ เหงามากเหรอครับ ?
Prab: ก็ประมาณนั้นครับ เพราะเวลาที่ผมไม่ได้เห็นหน้าคุณ ผมก็เหงาพอตัวอยู่นะครับ
เม่นเดย์: อ๋อเหรอครับ
Prab: ตกลงจะนอนจริงๆ เหรอครับ ผมว่าจะชวนคุณไปไร่องุ่น
เม่นเดย์: ไปตอนนี้ร้อนตายเลยคุณ ไม่เอาอ่ะ อีกอย่างตอนเย็นผมต้องทำความสะอาดบ้านด้วย
Prab: โหย แบบนี้ผมก็ไม่ได้เจอคุณน่ะสิ
เม่นเดย์: คุณพูดเหมือนกับว่าคุณไม่รู้จักบ้านของผมเลยนะครับ
Prab: งั้นเดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงเจอกันครับ

จากนั้นผมก็หลับเป็นตาย มาสะดุ้งตื่นก็ตอนที่มีคนมากดออด ผมเลยเดินโงนเงนไปเปิดประตูรั้วให้อีกฝ่ายทั้งๆ ที่ตาก็ยังลืมไม่ขึ้น จากนั้นก็เดินล่องลอยกลับเข้ามาทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาชั้นล่าง แล้วก็หลับไปโดยไม่สนใจร่างสูงผู้มาใหม่แม้แต่วินาทีเดียว กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็ประมาณบ่ายสอง ซึ่งผมก็นอนเป็นเป้านิ่งให้ใครอีกคนจับจ้องมาเป็นระยะเวลายาวนานหลายชั่วโมง
ครั้นพอรู้สึกตัวผมก็รีบดันหน้าของอีกฝ่ายที่ขยับเข้ามาเกยโซฟาตัวที่ผมใช้เป็นที่พักพิง จากนั้นก็เดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา จะได้มานั่งกินมื้อเช้ารวบกลางวันที่อีกฝ่ายนำมาให้ ซึ่งก็คือเมี่ยงปลาเผาที่ตอนนี้เย็นชืดไปแล้ว ผมจึงต้องจัดการอุ่นปลาด้วยเตาไมโครเวฟสักครู่ ก่อนจะกลับมานั่งจับกลุ่มกับไอ้ผู้กองที่ตอนนี้ไม่ค่อยจะกวนประสาทมากเท่าช่วงแรก
แต่เวลาทำงานนี่โคตรพีค 
เพราะแม่งชอบทำให้ผมปี๊ดแตก!

“คุณอยู่คนเดียวเหรอ แสดงว่าคุณก็เป็นเด็กต่างจังหวัดน่ะสิ” อีกฝ่ายถามอย่างสงสัย ในขณะที่เจ้าตัวกำลังช่วยผมเก็บจานเพื่อเอาไปล้างในห้องครัว
“ครับ แต่ผมเป็นเด็กพื้นที่ พ่อแม่เสียหมดแล้ว ตอนนี้เลยต้องดูแลตัวเอง”

“เอ่อ..”
“คุณไม่ต้องทำหน้าปั้นยากอย่างนั้นก็ได้ เมื่อกี้ผมตัดสินใจเล่าให้คุณฟังเอง” ผมกล่าวพลางหัวเราะ เมื่อหันมาเจอว่าอีกฝ่ายกำลังทำสีหน้าแปลกๆ คงเพราะกลัวว่าผมจะรู้สึกไม่ดีล่ะมั้ง แต่ผมทำใจได้นานแล้ว และก็เคยชินกับการอยู่คนเดียวในบ้านหลังนี้มานานแล้วเช่นกัน

“แล้วเวลาอยู่บ้าน ปกติคุณจะทำอะไรเหรอครับ ?” อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุย พลางเดินเข้ามาแย่งจานในมือผมไปคว่ำลงตรงที่คว่ำจาน
“ถ้าไม่ดูหนังก็ทำงานบ้าน หรือไม่ก็เล่นไวโอลินครับ”

“คุณเก่งจัง เล่นดนตรีเป็นด้วย” อีกฝ่ายกล่าวชมอย่างจริงใจ
“แล้วคุณเล่นดนตรีไม่เป็นเหรอ ?” ผมย้อนถามพลางเดินหลบมาเช็ดมือตรงมุมที่แขวนผ้าเช็ดมือ และเดินออกมาจากห้องครัว เพื่อกลับไปยังห้องนั่งเล่นอีกครั้ง

“ก็เป็นแค่กีตาร์น่ะครับ แต่พอคุณบอกว่าคุณเล่นไวโอลินเป็น ผมรู้สึกว่าคุณแม่งโคตรเจ๋งเลยครับ!” อีกฝ่ายเดินตามออกมาจากห้องครัวพลางออกปากพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้อย่างชื่นชม
“คุณยังไม่ได้เห็นฝีมือของผมเลยนะ” ผมกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ ให้กับความช่างยอของใครอีกคน

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็รีบแสดงฝีมือของคุณให้ผมเห็นสิครับ”
“อืม”

ผมเดินขึ้นไปหยิบไวโอลินที่เก็บไว้ในห้องนอน จากนั้นก็นำมันออกจากกล่องและยกขึ้นพาดบ่า แล้วจึงค่อยๆ วางคันชักลงตรงกึ่งกลางของปลายฟิงเกอร์บอร์ดกับหย่อง พร้อมทั้งหลับตาเพื่อดำดิ่งลงสู่บทเพลงที่ผมกำลังจะถ่ายทอดออกมาให้ใครอีกคนได้รับฟัง ซึ่งบทเพลงนั้น ไม่ได้เป็นบทเพลงที่โรแมนติกหรือมีความหมายอะไร เนื่องจากผมเลือกเล่นเพลงที่คาดว่าอีกฝ่ายน่าจะเคยได้ยิน แต่อาจจะไม่รู้จักชื่อเพลงก็เท่านั้น
“เอบีซีดีอีเอฟจี~”

ผมอมยิ้มเมื่อเสียงไวโอลินดังขึ้นแค่เพียงครู่หนึ่ง แล้วก็ตามด้วยเสียงทุ้มที่กำลังร้องเพลง ‘ABC’ ที่คุณครูชอบสอนให้ร้องตอนเด็กๆ ซึ่งทำนองของเพลง ‘Twinkle, Twinkle, Little Star’ ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

“เฮชไอเจเค แอลเอ็มเอ็นโอพี~”

ตอนนี้ผมรู้สึกว่า ยิ่งได้รู้จักกับผู้กองอนิลมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีมุมมองที่น่าสนใจมากเท่านั้น ซึ่งคนเราต่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากเลย หากผมจะค่อยๆ เปิดใจให้เขาก้าวเข้ามาในโลกอันเงียบสงบใบนี้
เพราะผมรู้สึกว่า เรายังมีอะไรหลายๆ อย่างที่เข้ากันได้ดี
แม้ว่าบางที อาจจะมีบางช่วงที่มันชวนให้ปวดกบาลอยู่บ้างก็ตาม..

-------------------------------------------------------

เห็นคอมเมนต์บอกว่าไปยื่นเอกสารแล้วไม่เห็นเจอแบบผู้กองอนิลเลย ฮ่าๆ  เพราะฮีคือแรร์ไอเท็มจ้า (หาไม่ได้ในชีวิตจริง 55) และชีวิตนี้ขอแค่เวลาไปยื่นไม่ต้องเอาเอกสารไปเพิ่มทีหลังก็ปลื้มใจแล้ว T_T น้องเม่นของเราเป็นคนขี้เซามั่กมาก ตามประสาเจ้าเม่นแคระเลยจ้า นอนตลอดเวลา เพราะเม่นแคระเป็นสัตว์ที่ออกหากินในเวลากลางคืน แถมน้องเม่นขี้โวยวายในใจด้วย เพราะเม่นแคระเนี่ยเวลาไม่พอใจอะไรจะกัดเลยค่ะ แถมยังมีส่งเสียงขู่ด้วย

เพลง Twinkle, Twinkle, Little Star ค่ะ ทำนองมันจะคล้ายเพลง abc
https://youtu.be/ZWJg6wO4DdY
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-05-2018 12:50:52 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
✎ 05

คืนนั้นหลังจากทำงานบ้าน โดยมีลูกมือหน้าใหม่มาช่วยจนเสร็จ เราสองคนก็ออกไปหาอะไรกินด้วยกันที่ตลาดจีนชากแง้ว แล้วสุดท้ายมื้อเย็นของเราก็จบลงที่กระเพาะปลาและขนมอย่างอื่นอีกมากมาย จากนั้นสารถีจำเป็นก็พาผมกลับมาส่งที่บ้าน
ซึ่งมันทำให้ช่วงเวลาของวันหยุด ดูเหมือนจะหมดไปอย่างรวดเร็ว อาจเพราะผมรู้สึกมีความสุขกับการได้ใช้เวลาในช่วงวันหยุดของตัวเองก็ได้มั้ง หรืออาจจะเป็นเพราะผมมีกิจกรรมให้ทำ โดยที่ไม่ต้องอยู่อย่างเหงาๆ เหมือนที่เคยก็เป็นได้ ส่วนเรื่องงานของผมก็น่าจะดีขึ้นล่ะมั้ง เพราะว่าตอนนี้ทางแผนกกำลังหาผู้ช่วยมาให้ผมอยู่ ซึ่งประเด็นปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ปริมาณงานหรือเปล่าวะ
แต่ก็ช่างเถอะ มีคนช่วยก็ยังดีกว่าไม่มี

“คุณอนิล เสาร์หน้าพาผมไปกินกระเพาะปลาอีกสิ อร่อยดี” ผมกล่าวหลังจากจัดการข้าวไข่ยัดไส้เครื่องแน่นๆ ฝีมือของตัวเองเสร็จ ซึ่งผมเป็นคนไม่กินผักก็จริง แต่กับผักบางประเภทผมก็กินนะ ดังนั้นเครื่องของไข่ยัดไส้ที่ผมทำ ก็จะเหมือนกับร้านทั่วๆ ไปนั่นแหละ ต่างกันแค่ปริมาณที่มันเยอะกว่าก็แค่นั้น
“อื้อ ว่าแต่เมื่อไหร่คุณจะเรียกผมว่าปราบสักทีครับ เรียกชื่อจริงแล้วมันรู้สึกห่างเหินยังไงก็ไม่รู้”
อ่าจ้า แบบนี้เขาเรียกว่าได้คืบจะเอาศอก
เตะโด่งออกจากบ้านเลยดีไหม ?

“ผมไม่ชินครับ” ผมตอบพลางเก็บจานทั้งของตัวเองและของใครอีกคนเพื่อนำไปล้างที่ห้องครัว
“ผมศึกษามาครับ เขาบอกว่าถ้าเม่นยังไม่คุ้นกับเรา ให้เราโยนเสื้อไปให้เม่นดม เพราะมันจะช่วยให้เม่นจำกลิ่นของเราได้ หรือไม่ก็ตอนให้อาหาร ให้ป้อนด้วยมือบ่อยๆ ครับ เม่นจะได้ไม่ได้ขู่เรา เพราะเม่นจำกลิ่นของเราได้แล้ว”
ไอ้เชี่ยยยย!
ทฤษฎีอะไรของมึ๊งงงงงง

“คุณถอยออกไปเลย” ผมกล่าวเสียงเข้ม พลางหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมกับกางไม้กางมือที่ในตอนนี้เต็มไปด้วยฟองน้ำยาล้างจาน เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายทำอะไรได้ตามที่ใจนึก ซึ่งมันเป็นการกระทำที่ดูปัญญาอ่อนสิ้นดี แต่ตอนนี้คิดได้แค่นี้ ก็ต้องเอาตัวรอดแค่นี้
“ฮ่าๆ ไม่แกล้งแล้วครับ ผมกลับบ้านก่อนนะ” อีกฝ่ายกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ จากนั้นก็อาศัยจังหวะทีเผลอ เอื้อมมือมาขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิง จากนั้นเจ้าตัวก็เดินลั่นล้าออกจากห้องครัวของผมไป

“ถึงแล้วเดี๋ยวผมจะโทรมารายงานตัวนะครับ คุณเม่นไม่ต้องเป็นห่วง” แต่แล้วอีกฝ่ายก็โผล่หน้ากลับเข้ามาในห้องครัวอีกครั้ง แล้วก็พาตัวเองกลับบ้านด้วยพาหนะที่ผมคุ้นเคย ผมจึงได้แต่ส่ายหัวให้กับพฤติกรรมคิดเองเออเองของใครบางคน..
ที่มีลูกเล่นในการโปรยเสน่ห์มากมายเหลือเกิน
จนบางทีผมก็รู้สึกท้อ เพราะไม่รู้ว่าทำไมหัวใจมันถึงชอบสั่นไหววันละหลายจังหวะนักหนา!

เช้าวันนี้ซึ่งเป็นวันที่เงินเดือนอยู่ครบ แต่กลับซวยตรงที่รถสตาร์ทไม่ติด ผมจึงต้องวานให้ไอ้ผู้กองอนิลมารับไปส่งที่บริษัท ซึ่งอีกฝ่ายดูท่าทางจะดีใจจนออกนอกหน้าเกินไปหน่อย เพราะว่านอกจากจะได้มาส่งผมจนถึงที่ทำงานแล้ว เจ้าตัวยังมีโอกาสได้มารับกลับบ้านเสียด้วย แต่ผมนี่สิหนักใจ เนื่องจากว่าวันนี้ผมต้องไปฟังผลวีซ่าของพนักงานชุดก่อนหน้าที่พี่ตาได้ไปทำการยื่นเรื่องไว้ก่อนที่จะลาออก อีกฝ่ายจึงขอหนังสือเดินทางของพนักงานชาวต่างชาติ เพื่อเอาไปทำเรื่องให้ ซึ่งก็เป็นเจ้าตัวนั่นแหละที่จะเป็นคนแจ้งผล เพราะว่าเมื่อวานนายของอีกฝ่ายเพิ่งจะเซ็นอนุมัติลงมาสดๆ ร้อนๆ

“งั้นคุณรอผมครู่นึงนะ” ผมนั่งลังเลอยู่นาน เพราะว่ามันเป็นเอกสารของบริษัทไง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจนำหนังสือเดินทางมาให้อีกฝ่าย เนื่องจากเจ้าตัวเขาบอกว่า ช่วงบ่ายจะต้องออกไปทำธุระข้างนอก เดี๋ยวจะแวะเอาเข้ามาให้ ผมจึงคลายความกังวลได้สักที
“บ่ายๆ เจอกันนะครับ” หลังจากรอผมขึ้นไปเอาหนังสือเดินทางสักพักใหญ่ ก็ถึงเวลาที่ต้องแยกย้าย ไปทำหน้าที่ใครหน้าที่มัน ซึ่งอีกฝ่ายก็โบกมือลาด้วยใบหน้าอันเปื้อนยิ้ม ผมจึงโบกไม้โบกมือให้เขาก่อนจะเดินกลับเข้าสู่ออฟฟิศ และวันนี้ดูเหมือนว่าจะมีพนักงานเข้ามาสัมภาษณ์ในตำแหน่งผู้ช่วยของผมแล้ว พี่จินดาก็เลยให้ผมเข้าไปสัมภาษณ์ด้วย ซึ่งสรุปแล้วผมก็ตกลงรับ ‘คุณอิม’ เข้าทำงาน เพราะเธอมีพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว และเราก็อายุเท่ากัน อีกทั้งยังตำแหน่งเท่ากัน เพื่อที่ว่าเธอกับผมจะได้รับผิดชอบงานได้อย่างเท่าเทียม โดยเธอจะเริ่มงานในวันพรุ่งนี้ จึงทำให้วันนี้ผมต้องเตรียมแบ่งงานให้กับเธอ ดังนั้นกว่าที่ผมจะได้มีเวลาเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา ก็ตอนที่เพื่อนร่วมแผนกสะกิดเรียกให้ไปกินข้าว
ซึ่งผมก็เลือกกินแถวๆ ออฟฟิศ เพราะว่าไม่มีรถจะให้ขับร่อนไปไหน

กระทั่งบ่ายสอง ผู้กองอนิลก็โทรเรียกให้ผมลงมาเอาหนังสือเดินทางที่ลานจอดรถ แต่เมื่อลงมาถึง สิ่งที่ผมได้รับกลับไม่ได้มีแค่หนังสือเดินทางเป็นปึกๆ เพราะว่าไอ้ผู้กองคนนี้เขาแอบซื้อชานมไข่มุกติดไม้ติดมือมาฝากด้วย 

“พอดีผมชอบ ก็เลยเดาว่าคุณน่าจะชอบ” เขาอธิบายเพียงสั้นๆ ซึ่งมันก็เป็นความจริงที่ว่า ผมชอบชานมไข่มุกเหมือนกับไอ้ผู้กอง
“ไปแล้วนะครับ เดี๋ยวตอนเย็นผมมารับนะ” อีกฝ่ายกล่าวเพียงสั้นๆ ผมจึงพยักหน้า แล้วก็รีบเดินกลับเข้าไปในออฟฟิศ

คลิก!

“อู้เหรอเม่น!” นั่นไง! พอกูเดินเข้ามาในออฟฟิศปุ๊บ หัวหน้าอย่างพี่จินดาก็จัดหนักเลยจ้า
เพราะมึงเลยไอ้ผู้กอง ชักช้า!

“ผมไปเอางานมาเถอะพี่” ผมว่าพลางชูถุงพลาสติกใสที่ใส่หนังสือเดินทางหลายๆ เล่มให้คุณหัวหน้าดู พร้อมกับยกชานมไข่มุกขึ้นดูด ในขณะที่สองขาก็ก้าวเดินไปยังโต๊ะทำงาน
“ว่าแต่ชานมไข่มุกยี่ห้อนี้มีขายที่ใต้ออฟฟิศด้วยเหรอ?” ทันทีที่หัวหน้ากล่าวจบ ผมก็สะดุ้งจนสุดตัว ด้วยเพราะความตกใจล้วนๆ

“พี่มองผิดแล้วครับ วู้ว!” ผมกล่าวพลางวางชานมไข่มุก ให้แอบเข้าไปในมุมๆ หนึ่งที่ไม่มีใครมองเห็น เพราะผมยังไม่พร้อมที่จะอธิบายอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
อีกทั้งยังไม่อยากให้คนที่ออฟฟิศ มารับรู้เรื่องระหว่างผมกับผู้กองอนิลด้วย

กระทั่งเวลาเลิกงานมาเยือน สารถีจำเป็นก็พาราชรถมาเกยที่ลานจอดรถ และทันทีที่ผมขึ้นมานั่งตรงที่นั่งข้างคนขับได้ อีกฝ่ายก็ออกปากสอบถามถึงเมนูที่เราจะกินกันในวันนี้ แต่ผมเสนอให้กลับไปกินที่บ้านด้วยกัน เราก็เลยแวะไปหาซื้อของสดที่ตลาดลานโพธิ์ครู่ใหญ่ จากนั้นก็ใช้เวลาเตรียมมื้อเย็นประมาณชั่วโมงนึง ส่วนแขกประจำบ้านก็นอนดูทีวีอยู่ตรงโซฟาในห้องรับแขกโน่น

“ปลาต้มสูตรแม่ของผมเอง” ผมกล่าวหลังจากยกชามปลาต้มขนาดใหญ่ที่มีน้ำเจิ่งนองมากกว่าเนื้อปลาเสียอีก เพราะว่าผมเลือกต้มปลาแค่สองตัว ตามจำนวนของผู้กิน ส่วนน้ำซุปนี่ผมชอบตักซดที่สุด ก็เลยจัดหนักจัดเต็ม และที่บอกว่าสูตรนี้เป็นสูตรของแม่ ก็เพราะว่าปลาต้มตามภาษาบ้านของผมเนี่ย มันก็คือต้มยำปลานั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าเราจะไม่ใส่เครื่องต้มยำ เพราะว่าสูตรของเราจะปรุงรสแค่น้ำปลากับน้ำมะนาวเท่านั้น ซึ่งผมว่ามันกินอร่อยกว่าใส่เครื่องต้มยำอีกนะ
“มันยังร้อนอยู่เลยคุณ เดี๋ยวปากก็พองหรอก” หลังจากที่เราตักข้าวใส่จานจนพร้อมทานแล้ว ซึ่งในขณะนั้น ผมก็ซดน้ำซุปร้อนๆ อย่างฟินๆ ส่วนไอ้ผู้กองที่ในตอนนี้ มันเริ่มจะกลายสภาพเป็นคุณพ่อคนที่สอง ก็ออกอาการบ่นผมด้วยน้ำเสียงดุๆ

“จะกินของต้มๆ ก็ต้องกินตอนที่มันร้อนๆ แบบนี้แหละคุณ นี่ถ้าผมมีหม้อนะ ผมจะจุดไฟอุ่นให้มันร้อนตลอดเวลาเลยแหละ”

และนี่ก็คืออีกนิสัยนึงของผม ที่เป็นมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งผมเป็นในระดับที่หนักหนาเอาการอยู่นะ คือผมรู้สึกว่าอาหารต้มๆ ถ้าหากมันเย็นจนชืดแล้ว มันก็จะไม่ค่อยอร่อย ยิ่งแช่อยู่ในตู้เย็นให้พอหายร้อน ผมก็ยิ่งกินไม่ได้ใหญ่ ขนาดแค่ตักชิมก่อนจะอุ่นอีกรอบ ผมยังทำใจไม่ได้เลย
ซึ่งการมีนิสัยแบบนี้ มันก็ทำให้ปากของผมถูกของร้อนลวกอยู่บ่อยๆ
แต่ก็ไม่เคยจะเข็ดขยาดแต่อย่างใด

หลังจากทานข้าวเสร็จ ไอ้ผู้กองมันก็อยู่นอนเล่นที่บ้านของผมจนถึงห้าทุ่ม จากนั้นอีกฝ่ายถึงได้ขอตัวกลับบ้าน ซึ่งในระหว่างที่ผมกำลังจะปิดรั้วบ้านอยู่นั้น ไอ้ผู้กองอนิลมันก็บังอาจยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เล่นเอาผมตกใจจนสุดขีด ซึ่งก็เรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี มิหนำซ้ำแก้มของผมก็ยังถูกฝากฝังร่องรอยเอาไว้อีก!

“จากที่ผมศึกษามา เขาว่าเม่นค่อนข้างจะขี้ระแวงนะครับ” อีกฝ่ายกล่าวพลางยกยิ้มแป้นจนน่าหมั่นไส้
“…”

“แต่ท่าทางว่าเม่นของผม จะขี้ตกใจซะด้วย” อีกฝ่ายกล่าวพลางยกยิ้มกรุ้มกริ่ม แถมยังจ้องมองมาที่ผมอย่างไม่ลดละ
“คุณอนิลครับ เชิญขึ้นรถกลับบ้านของคุณไปได้แล้วครับ” ผมเดินออกมาจากเขตรั้วบ้าน พลางรุนหลังของอีกฝ่าย เพื่อที่เจ้าตัวจะได้รีบเดินไปยังรถของตัวเอง จากนั้นผมก็รีบวิ่งเข้ามาในเขตรั้วบ้าน พร้อมกับลงกลอนให้แน่น และเดินตรงเข้าไปยังตัวบ้าน โดยไม่คิดที่จะรีรอให้อีกฝ่ายขับรถออกไปจากหน้าบ้านของผมก่อน
เพราะตอนนี้ หัวใจของผมกำลังสั่นไหวมากกว่าทุกที..

เช้าวันนี้ผมมาทำงานสายเล็กน้อย เพราะว่าจะต้องคอยช่างมาดูรถให้ จากนั้นผมก็วุ่นอยู่กับการสอนงานให้กับพนักงานใหม่ เพราะว่าเอาเข้าจริงๆ ดูเหมือนเธอจะทำอะไรไม่เป็นเลย ซึ่งแตกต่างกับตอนที่มาสัมภาษณ์มากๆ แต่ก็ยังนับได้ว่าพอจะมีความรู้ในงานด้านนี้อยู่ ผมจึงต้องคอยอธิบายว่าบริษัทของเรานั้นมีทั้งบริษัทลูกและบริษัทแม่ ฉะนั้นสิ่งที่เขาต้องจดจำให้ได้ก็คือ พนักงานคนไหนสังกัดอยู่ที่บริษัทใด เพื่อที่เราจะได้ทำงานได้ง่ายขึ้น ซึ่งผมก็ได้อัพเดตกำหนดการทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเราจะผลัดกันทำเอกสารวีซ่าและใบอนุญาตทำงานกันคนละเดือน เพื่อที่ว่า เวลาที่มีใครเจ็บป่วยหรือเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้สามารถทดแทนกันได้
“สำหรับเอกสารที่ใช้อย่างพวก ภงด.1 ประกันสังคม และ ภพ.30 เนี่ย เราจะใช้เอกสารย้อนหลังทั้งหมด 3 เดือน ซึ่งเราจะต้องกำหนดวันที่ที่เราจะไปยื่นเรื่องให้แน่นอน เพื่อที่เราจะได้คำนวณได้ถูกว่าเราควรจะคัดเอกสารในเดือนไหนบ้าง อีกอย่าง ภงด.1 เดือนล่าสุดเนี่ย บริษัทเราจะยื่นทุกวันที่ 7 ของเดือน ส่วนประกันสังคมเราจะจ่ายทุกวันที่ 10 ของเดือน และภพ. 30 จะยื่นทุกวันที่ 15 ของเดือน ฉะนั้นเวลาที่เราจะคัดเอกสาร เราจะต้องคัดในวันที่ไปจ่ายภาษี ซึ่งในส่วนนี้ เราจะต้องคอยดิวกับทางฝ่ายบัญชี ไม่อย่างนั้นเราจะได้รับเอกสารที่ไปขอคัดไม่ทัน”

ผมก็อธิบายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลาพักเที่ยง ส่วนช่วงบ่ายก็มาอธิบายรายละเอียดต่างๆ ต่อ เพราะว่าบางอย่างมันก็ไม่ได้มีระบุอยู่ในใบปะหน้า ซึ่งเราต้องใช้การจดจำเอาเอง
และด้วยความที่ผมต้องขลุกตัวอยู่กับอิมทุกวัน จึงทำให้ผมสนิทกับเธอไปโดยปริยาย

ช่วงเย็นหลังเลิกงานวันนี้ ผมไม่ได้เจอกับผู้กองอนิล เพราะว่าวันนี้ที่แผนกมีเลี้ยงต้อนรับพนักงานใหม่ ซึ่งก็คือผมกับอิม ครั้นพอกลับถึงบ้าน ผมก็รีบอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวจะเข้านอน

ติ้ง!

Prab: นอนหรือยังครับคุณเม่น
        *แนบรูปเม่นแคระนอนอยู่บนเตียงและซุกตัวอยู่ใต้หมอน*   
เม่นเดย์: จะนอนแล้วครับ วันนี้เหนื่อยๆ
Prab: ฝันดีครับ พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวผมโทรปลุกคุณนะ
เม่นเดย์: อื้อ

บทสนทนาระหว่างเราจบลงแค่นั้น เพราะตาของผมจะปิดเสียให้ได้ ซึ่งบริการมอร์นิ่งคอลจากอีกฝ่าย ก็ยังเป็นบริการที่ผมคุ้นชินจนอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากวันหนึ่งจะไม่มีบริการนี้อีกแล้ว
วันนั้นผมจะรู้สึกอย่างไร?
แต่ก็คงจะใจหายน่าดูเลยล่ะมั้ง..

เย็นวันนี้เราซื้อบะหมี่หมูแดงเข้ามากินด้วยกันที่บ้านของผม เพราะว่าช่วงดึกๆ ผู้กองอนิลจะพาผมไปนั่งดื่มชิลด์ๆ ที่ร้านริมทะเลที่เราเคยไปด้วยกันเมื่อคืนก่อน

“ไอ้วินมันเป็นเจ้าของร้าน ส่วนไอ้กาญมันเป็นหุ้นส่วนของที่นี่ครับ” ผมได้แต่ผงกหัวให้กับบุคคลแปลกหน้าทั้งสอง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของอีกฝ่าย
“ส่วนนี่ก็คนที่กูเล่าให้มึงฟังน่ะ ชื่อเม่น” อีกฝ่ายเริ่มแนะนำผมให้เพื่อนของเขาได้รู้จักบ้าง จากนั้นปาร์ตี้ค็อกเทลก็เริ่มขึ้นพร้อมๆ กับการพูดคุยของสามเพื่อนซี้ ที่ผมทำได้แค่นั่งฟังเพลินๆ เท่านั้น จึงทำให้รู้ว่าทั้งสามคนร่วมหุ้นกันเปิดร้านหรูๆ แบบนี้ขึ้นมา แต่คนที่ไม่ค่อยเข้าร้านบ่อยที่สุดก็คือไอ้ผู้กองอนิลนี่แหละ เพราะเขาไม่ค่อยชอบอะไรแบบนี้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะไม่ค่อยดื่มค็อกเทลสักเท่าไหร่ด้วย เราก็เลยพากันกลับมาถึงบ้านไม่ดึกนัก แต่เพราะจู่ๆ ฝนก็เทลงมา จึงทำให้การจราจรติดขัดไปหมด และก็นับว่าโชคดีที่เราไม่นั่งดื่มให้นานกว่านี้ ไม่อย่างนั้นคงจะเปียกราวกับลูกหมาตกน้ำแน่ๆ เพราะบริเวณที่เรานั่ง มันเป็นส่วนโอเพ่นแอร์เสียด้วย

ซึ่งกว่าจะกลับมาถึงบ้านของผม ฝนก็เริ่มลงเม็ดหนามากขึ้นทุกที และทางไปบ้านของไอ้คุณอนิล ก็เริ่มจะมีน้ำท่วมตามประสาเขตพื้นที่ต่ำเสียแล้ว ผมจึงให้อีกฝ่ายนั่งเล่นที่บ้านของผมจนกว่าฝนจะหยุด
โดยที่เราสองคน ก็เปิดโทรทัศน์ตรงหน้าโซฟาห้องรับแขกเอาไว้เพื่อคลายเหงา
และฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะซาลงไป

คืนนี้ผมจึงต้องอนุญาตให้ใครอีกคน ก้าวเข้ามาในเขตพื้นที่ส่วนตัวของผมมากกว่าที่เคย ซึ่งพื้นที่ที่ว่านั้น ก็คือห้องนอนของผม เพราะว่าบ้านทั้งหลัง เหลือเพียงแค่ห้องของผมเท่านั้นที่ยังสามารถใช้งานได้ ส่วนห้องของพ่อกับแม่ก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม เพียงแต่มันไม่ได้รับการดูแลมากเท่าที่ควร จึงทำให้มีสภาพไม่พร้อมต่อการใช้งาน ด้วยเพราะผมไม่เคยคาดคิดว่าจะมีแขกมาค้างคืนที่บ้าน

“คุณปิดไฟด้วย” ผมที่อยู่ในสภาพพร้อมเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราเรียบร้อยแล้ว ก็รีบเอ่ยบอกอีกฝ่าย เพราะว่าผมไม่ชิน หากจะต้องนอนเปิดไฟ
“ครับ” ผู้กองหนุ่มตอบรับเพียงแค่นั้น แล้วไฟทั้งห้องก็ดับลง ก่อนจะตามมาด้วยแรงยวบตรงข้างเตียง ผสมด้วยกระไอน้ำจากเส้นผมอันเปียกชื้น เพราะเจ้าตัวเขาเพิ่งจะสระผมมาหมาดๆ

“ผมยังจำได้ เม่นมักจะชอบหวงบ้าน หากไม่ได้รับอนุญาต มีหวังได้เจ็บตัวแน่ๆ”
“…” ผมเงียบไม่ยอมตอบโต้อะไร นอกจากหันหน้าหนีอีกฝ่าย แต่ใจก็ยังรอฟังประโยคต่อๆ ไปอยู่ดี

“ขอบคุณนะครับ ที่ให้โอกาสผม” เสียงทุ้มท่ามกลางความเงียบสงัดกล่าวขึ้นพร้อมกับสัมผัสอุ่นๆ จากฝ่ามือที่ค่อยๆ ลูบไล้ลงบนศีรษะของผมอย่างแผ่วเบา
เพียงแต่มันกลับส่งผ่านความอบอุ่นมาให้จนถึงขั้วหัวใจ..
จากนั้นหัวใจที่ไม่เคยรักดี มันก็เริ่มจะมีท่าทีไม่ปกติ เพราะจังหวะของการสั่นไหว..

“เขาบอกว่า ถ้าเม่นเริ่มคุ้นเคยกับเราแล้ว เวลาอุ้ม.. เราจะต้องค่อยๆ เอามือสอดเข้าไปที่ใต้ท้อง เม่นจะได้ไม่พองขนเพราะความตกใจ” ไอ้ผู้กองอนิลนี่แม่ง ไม่เคยเข้าใจสักทีว่าผมเป็นคนนะเว้ย
มึงจะเอาทฤษฎีการเลี้ยงเม่นมาใช้กับกูไม่ได้!

“ท่าทางว่าทฤษฎีนี้ น่าจะเชื่อถือได้นะครับ” อีกฝ่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงกระซิบชิดริมหู ขณะที่แขนหนาก็พาดผ่านลำตัวของผมในเชิงโอบกอด ซึ่งระยะห่างระหว่างเราสองคน มันก็แทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
“ดูสิ.. เม่นของผมหลับปุ๋ยเลย”
เชี่ย! กูไม่ได้หลับโว้ย
แต่กูกำลังอึ้งที่มึงเนียนมากอดกูเนี่ย!


-------------------------------------------------------------
ผู้กองอนิลก็จะเนียนๆ กวนๆ หน่อย แต่ก็ยังดูแลน้องเม่นดีพอตัวอยู่น้า
เนื้อเรื่องเดินมาได้ครึ่งทางแล้วจ้า จะพยายามให้จบในเร็ววัน เพราะเรื่องนี้รัดคิวชาวบ้านเค้า 555
ใครที่ไม่สะดวกคอมเม้นก็สามารถติดแท็ก #ปราบเม่น ได้เลยจ้า เพิ่งคิดออกเมื่อคืน 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2018 16:33:58 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
✎ 06

เช้านี้ไม่มีมอร์นิ่งคอลผ่านทางโทรศัพท์ แต่กลับมีมอร์นิ่งคอลผ่านความเป็นจริง ผมที่กำลังง่วงหงาวหาวนอนจนเต็มที่ ก็ได้แต่มุดหน้าเข้ากับที่นอนและหมอนใบนุ่ม แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหนีไม่พ้น ผมจึงลืมตาขึ้น เพื่อที่จะได้มองหาไอ้ตัววุ่นวาย และมันก็ทำให้ผมทราบว่า อะไรบางอย่างที่เอาแต่ก่อกวนไม่หยุดหย่อน มันคือช่วงปลายจมูกของใครอีกคนที่มาขออาศัยที่ซุกหัวนอนต่างหากเล่า!

“คุณอนิลไปอาบน้ำก่อนเลยครับ” เมื่ออีกฝ่ายกลับมานั่งตัวตรงเรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกปากไล่ไอ้ตัวยุ่งให้เข้าไปอาบน้ำ เพื่อที่ผมจะได้นอนต่ออีกสักงีบ
“ถ้าหากผมอาบน้ำเสร็จ คุณเม่นต้องรีบลุกไปอาบน้ำนะครับ”

“อื้อ” ผมตอบรับในลำคอ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด และตาก็เริ่มกลับมาปิดสนิทเหมือนอย่างเดิม แต่ดูท่าทางไอ้ผู้กองอนิลคงจะยอมแพ้ไปนานแล้ว
เวลานี้ความสงบสุขมันถึงได้หวนคืนกลับมา
แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียว แล้วผมก็ต้องระเห็จไปอาบน้ำ

ผมในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสแล็คสีดำ กำลังเดินลงจากบันไดด้วยใบหน้างอง้ำ เนื่องจากว่า ปกติแล้วผมจะตื่นนอนตอนเจ็ดโมงครึ่ง เพราะเข้างานตอนแปดโมงครึ่ง และถึงแม้ว่าจะมีมอร์นิ่งคอลมาให้บริการทุกเช้า แต่ช่วงหลังๆ ผมก็แค่รับสายแล้วก็นอนต่อจนถึงเวลาเดิมๆ ที่ผมคุ้นเคย ซึ่งถ้าหากผมไม่ไปต่อล้อต่อเถียง อีกฝ่ายก็จะปลดปล่อยให้ผมเป็นอิสระได้รวดเร็วขึ้น ผมจึงสามารถใช้ชีวิตในยามเช้าได้อย่างสบายใจ แม้ว่าจะมีมอร์นิ่งคอลส่วนตัวก็ตามที
“จากที่ผมเคยศึกษามา เขาบอกว่าเม่นไม่ค่อยจะชอบน้ำสักเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่คิดว่าเม่นจะไม่ชอบน้ำมากขนาดนี้เลยนะครับ คุณวิ่งผ่านน้ำมาเหรอครับ ?” น้ำเสียงเรียบเรื่อยในประโยคสุดกวนตีนของไอ้ผู้ชายตัวสูงในชุดทำงานตัวเดิม เพิ่มเติมคือใส่ผ้ากันเปื้อน เพราะเนื่องจากอีกฝ่ายเขารีบตื่นมาเข้าครัวเพื่อทำข้าวต้มหมูร้อนๆ ให้กินเป็นมื้อเช้า
แต่มึงครับ กูชินกับการทำเวลาอาบน้ำด้วยความเร็วเบอร์นี้โว้ย!
ไม่ใช่ไม่ชอบอาบน้ำเหมือนตัวเม่น!

“ยัง!” ผมเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งตรงโต๊ะในโซนรับแขก เพื่อรอทานมื้อเช้าอันครบเครื่อง ทั้งๆ ที่ปกติ แค่มีขนมปังปิ้งทาแยมหรือเนยสักแผ่นสองแผ่น มันก็เพียงพอสำหรับผมแล้ว
“อะไรครับ ?” ไอ้ผู้กองอนิลย้อนถาม พลางตักข้าวต้มจากในหม้อใส่ลงในถ้วยขนาดพอเหมาะ

“ยังไม่รู้ตัวอีก! ผมเข้างานแปดโมงครึ่งครับคุณ จะรีบปลุกผมมาทำซากอะไรตั้งแต่หกโมงเช้า!”
สบายใจแล้วครับ ได้พูดมันออกไปแล้ว

“แล้วที่ทำงานผมก็อยู่ใกล้บ้านแค่นี้ ขับรถไปแป๊บเดียวก็ถึงครับ!”
สำนึกหรือยังไอ้ผู้กอง!
ที่ผ่านมาเนี่ย มึงทำระบบชีวิตของไอ้เม่นป่นปี้หมดเลยนะโว้ย!

“อันที่จริงผมก็รู้นะครับ ว่าหลังจากที่คุณวางสายจากผมแล้ว คุณก็คงจะนอนต่อ”
“แล้ววันนี้ล่ะครับ คุณจะให้การว่ายังไง ?” ผมย้อนถาม โดยไม่ได้จ้องจะเล่นงานเรื่องมอร์นิ่งคอล เพราะมันเป็นเรื่องที่คุ้นชินไปแล้ว แต่ไอ้เรื่องวันนี้เนี่ย! จะเคลียร์ยังไงครับไอ้คุณอนิล!

“ผมก็แค่อยากให้คุณได้กินข้าวเช้าเท่านั้นเอง..” ไอ้ผู้กองที่ปกติจะชอบยิ้มแบบกวนประสาท พูดจากวนโมโหและกวนตีน ยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ หรือว่ายิ้มแบบแป้นแล้น ในขณะนี้เขากำลังส่งยิ้มแบบอบอุ่นมาให้ จนผมเริ่มจะหมดคำพูด เลยได้แต่ก้มหน้าก้มตากินมื้อเช้าอย่างไม่มีปากมีเสียง ซึ่งการกระทำในวันนี้ของอีกฝ่าย ก็ราวกับเขารับรู้ได้ว่า..
ที่ผ่านมาถ้าหากผมกินมื้อเช้าง่ายๆ ทัน ผมก็จะกิน แต่ถ้าหากกินไม่ทัน ผมก็จะไม่กิน
ซึ่งบางที ผมก็รู้สึกว่า ไอ้ผู้กองมันรู้จักตัวผมดีกว่าตัวผมเองเสียอีก!

เดือนนี้แม้ว่าเราจะไม่มีการยื่นวีซ่า แต่ก็ยังมีการยื่นขอต่อใบอนุญาตการทำงาน ซึ่งจำนวนพนักงานที่เราจะต้องยื่นในเดือนมิถุนายนก็จะมีประมาณ 4 คน และใบอนุญาตของทุกคนก็จะหมดในช่วงเดือนหน้า ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมเอกสารและทำการยื่นให้แล้วเสร็จภายในเดือนนี้ ซึ่งเป็นมาตรฐานการยื่นเอกสารของบริษัทเรา
แต่เพราะผลอนุมัติการขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานของล็อตที่แล้วเพิ่งจะออกวันนี้ ผมก็เลยต้องทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงพาพนักงานใหม่ไปดูงาน และแนะนำให้รู้จักกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ หลังจากนั้นเมื่อกลับมาถึงออฟฟิศ ผมก็ให้อิมเป็นฝ่ายเตรียมเอกสารของล็อตปัจจุบัน ส่วนผมจะเป็นคนตรวจตราดูอีกที โดยระหว่างนั้นผมก็นั่งพิมพ์ข้อมูลต่างๆ ลงในแบบฟอร์มที่ทางนั้นกำหนด พร้อมทั้งพิมพ์หนังสือชี้แจงต่างๆ ด้วย กระทั่งอิมเริ่มคล่องแล้ว ผมก็ให้เธอลองทำเอกสารอื่นๆ โดยยึดเอกสารของผมเป็นแบบอย่าง จากนั้นถึงค่อยเริ่มเข้าสู่กระบวนการสแตมป์ตราบริษัท และเซ็นรับรองเอกสารเป็นลำดับต่อไป ซึ่งผมจะเป็นคนเซ็นรับรองในล็อตนี้ก่อน ส่วนล็อตหน้าค่อยให้อิมเริ่มทำแบบเต็มตัว

ครืด ครืด

กระทั่งเวลาเลิกงานมาเยือน เสียงโทรศัพท์ก็สั่นครืดคราด ราวกับตั้งนาฬิกาเอาไว้ โดยผมก็ไม่ต้องคอยคาดเดา ก็รู้ว่าปลายสายคือใคร เพราะช่วงนี้ผมก็คุยๆ อยู่กับคนๆ เดียวมาสักพักใหญ่แล้ว

(วันนี้เราจะกินอะไรกันดีครับ ?)
“ผมว่าจะไปซื้อของที่โลตัสใหญ่ คงแวะกินที่นั่นเลย”

(โอเคครับ งั้นเดี๋ยวเจอกัน) อีกฝ่ายวางสายไปแล้ว เพราะเป็นอันรู้กันดีว่าโลตัสใหญ่ที่ผมหมายถึงนั้น เป็นโลตัสที่อยู่ใกล้ๆ กับบ้านของผม ซึ่งอยู่ติดถนนใหญ่ และผมก็ใช้เวลาเดินทางเกือบๆ จะหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่หมาย เพราะว่าวันนี้รถติดมาก คงเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ สุดหรรษาด้วยล่ะมั้ง

กระทั่งผมหาที่จอดรถได้แล้ว ผมก็โทรหาไอ้คุณอนิล แล้วก็นัดแนะกันว่าผมจะเข้าไปซื้อของ ส่วนอีกฝ่ายจะรออยู่ที่ฟู้ดคอร์ทชั้นสอง แต่ผมไม่อยากวุ่นวาย สุดท้ายเลยจบลงที่เคเอฟซี โดยไอ้คุณผู้กองจะเป็นฝ่ายไปนั่งจองโต๊ะและสั่งอาหารไว้รอ เพราะผมคงจะซื้อของเพียงแค่แป๊บเดียว

“อ้าว ยังไม่สั่งอีกเหรอคุณ ?” ผมเดินเข้ามาในร้าน พลางมองหาอีกฝ่ายจนทั่ว กระทั่งพบว่าไอ้ผู้กองมันยังไม่ได้สั่งอะไรสักอย่าง ผมจึงเอ่ยถามอย่างงงๆ เพราะก่อนหน้านั้นเราก็ตกลงกันไว้แล้ว
“ผมว่าจะรอถามคุณน่ะ ว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”

“เออ แล้วคุณก็ไม่โทรมาถามผมเนอะ” ผมว่าเหน็บ พลางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม พร้อมวางของใช้ที่ซื้อมาลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง
“ช่วยหยิบโทรศัพท์ออกมาดูด้วยครับ ว่าคุณรับสายของผมหรือเปล่า” พอหยิบโทรศัพท์ออกมาดูแล้วพบว่ามีสายที่ไม่ได้รับสามสาย ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งใส่อีกฝ่าย เพราะผมไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนโทรมา ทั้งๆ ที่โทรศัพท์ก็ซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อของผมเนี่ย คงเพราะผมตั้งสั่นไว้ แล้วไอ้ผู้กองมันก็ดันโทรมาตอนที่ผมกำลังก้มลงหยิบอะไรอยู่ล่ะมั้ง

“คุณเลือกเถอะ ผมกินอะไรก็ได้”
“ครับ งั้นรอแป๊บนึงนะ” ชายหนุ่มที่ในวันนี้ไม่ได้อยู่ในชุดเครื่องแบบ คาดว่าอีกฝ่ายคงจะเปลี่ยนก่อนมาที่นี่ หายตัวไปเพียงครู่ แล้วก็กลับมาพร้อมกับมื้อเย็นของเราในวันนี้

“พรุ่งนี้คุณเล่นไวโอลินให้ผมฟังอีกสิครับ แล้วเดี๋ยวตอนเย็นผมจะพาไปกินกระเพาะปลา” หลังจากแทะไก่อย่างเอร็ดอร่อยปานอยู่ที่บ้าน ไอ้ผู้กองอนิลก็เริ่มต่อรองในหัวข้อใหม่
“อันที่จริง ผมไปกินคนเดียวก็ได้นะ ไม่เห็นต้องง้อคุณเลย” ผมแกล้งหยอกเย้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง จนทำเอาไอ้คุณอนิลเริ่มคิดไม่ตก เห็นแล้วก็ตลกดี เพราะนานๆ ทีจะได้มีโอกาสเอาคืนไอ้ผู้กองมันบ้าง

“โธ่ คุณเม่น~” ผู้กองหนุ่มโอดครวญเสียงอ่อน พลางทำหน้าทำตาซะน่าสงสาร
“เอ้า! ผมพูดเรื่องจริงนี่ครับ รถผมก็มี”

“ที่ผมต่อรองเพราะว่าผมมีเหตุผลหรอกนะ”
“เหตุผลอะไรไม่ทราบครับคุณอนิล ?” ผมย้อนถามอย่างนึกสงสัย ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด

“ก็เวลาที่คุณเล่นไวโอลิน คุณดูมีความสุขกว่าตอนที่คุณกำลังทำงานอยู่เสียอีก”
“…” ผมไม่ตอบอะไร เพียงแต่ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายเท่านั้น เพราะว่าสิ่งที่ชอบ ยังไงมันก็ต้องทำให้เรามีความสุขมากกว่าอะไรทั้งหมดอยู่แล้ว

“จริงๆ ผมก็แค่อยากเห็นคุณมีความสุขเฉยๆ ครับ”
ไอ้ผู้กองมันแดกอะไรผิดสำแดงมาอีกแล้วใช่ไหม จู่ๆ ก็มาทำตัวละมุนละไมเหมือนเมื่อเช้าเป๊ะ!

“อืม” ผมได้แต่อ้อมแอ้มตอบในลำคอ พลางก้มหน้ากินอย่างไม่สนใจอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
“หึหึ ค่อยๆ กินก็ได้ครับ ผมรู้ว่าคุณกินจุ ผมไม่แย่งคุณหรอก”

ปึก!

“เงียบปากแล้วก็รีบก้มหน้ากินไปเลยครับคุณอนิล ผมจะได้รีบกลับบ้านไปพักผ่อน” ผมจัดการเหยียบเท้าอีกฝ่ายเต็มแรง พลางดุกลบเกลื่อนความรู้สึกอุ่นๆ ในอกอย่างรวดเร็ว ขณะที่ไอ้ผู้กองผู้ถูกประทุษร้ายก็ได้แต่นั่งกินไปยิ้มไป จนผมนึกว่าแม่งเป็นบ้า
สงสัยจะแอบพี้ยาก่อนมาหาผมแน่ๆ

“คุณชอบกินอะไรแบบนี้ด้วยเหรอครับ ?” ผมเอ่ยถามขึ้น เมื่อไอ้ผู้กองมันลากแขนผมที่กำลังจะเดินออกจากตัวห้าง เพื่อมาหยุดยืนตรงหน้าตู้เค้กไอติมของร้านสเวนเซ่นส์
“ครับ เดี๋ยวเราซื้อไปกินที่บ้านของคุณกันนะ” ไอ้ผู้กองกล่าวสำทับเพียงแค่นั้น แล้วก็ไปยืนเลือกเค้กโดยไม่สนใจผมเลย
แต่ประเด็นคือ ทำไมมึงต้องมากินที่บ้านกูวะไอ้ผู้กอง!

ผมใช้เวลาเดินทางเพียงไม่นานก็มาถึงบ้าน และไอ้ผู้กองแขกประจำของบ้านหลังนี้ ก็เริ่มจะทำตัวเหมือนบ้านของผมคือบ้านของมันเข้าไปทุกที โดยการจัดแจงหาจานมาเตรียมแบ่งเค้กไอติมที่อุตส่าห์มานะซื้อเข้ามากินจนถึงนี่
ซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธหรอก ของฟรีนี่หว่า จะปฏิเสธให้โง่เหรอครับ

กระทั่งเริ่มอิ่มกันแล้ว และฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา อีกทั้งฟ้าก็ยังแลบแปลบปลาบ จนทำให้เราไม่สามารถเปิดโทรทัศน์เพื่อคลายเหงาได้ ผมจึงถือโอกาสนำของที่ซื้อมาหมาดๆ ไปเก็บเข้าที่ของมัน จากนั้นก็คิดที่จะเล่นไวโอลินตามที่อีกฝ่ายคะยั้นคะยออยากจะฟังนักหนา เพียงแต่คราวนี้ผมต้องถือสมุดโน้ตเพลงลงมาด้วย เพราะผมยังไม่รู้ว่าจะเล่นเพลงอะไรดี แต่พอนึกขึ้นได้ว่าในตอนนี้ฝนกำลังตก ผมก็น่าจะเล่นเพลงที่มันเกี่ยวข้องกับฝน หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพลงที่ทำนองเศร้าๆ ให้เข้ากับบรรยากาศก็น่าจะดี ผมจึงรีบเปิดสมุดโน้ตเพลงของตัวเองอย่างเร็วรี่ เพื่อหาเพลงดังกล่าว ฝ่ายผู้ฟังก็ดูจะใจจดใจจ่อกับการกระทำของผมมาก
เพราะตลอดเวลาที่ผมเคลื่อนไหว
ผมก็รู้สึกได้ว่า ตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครบางคนอยู่

“kiss the rain แล้วกันนะคุณ เข้ากับบรรยากาศดี” เมื่อเปิดหาโน้ตเพลงที่ต้องการได้แล้ว ผมก็หันไปบอกอีกฝ่ายที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นข้างๆ กัน
“ได้เลยครับ ผมพร้อมแล้ว” ไอ้ผู้กองอนิลว่าพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมในระยะประชิด พร้อมทั้งหลับตาพริ้มใส่อีกต่างหาก
เดี๋ยวครับไอ้คุณอนิล มึงคิดเชี่ยไรอยู่ ?

“ถ้าพร้อมแล้วก็ถอยไปสิครับ ผมเล่นไม่ถนัด” ผมกล่าวพลางพลักตัวอีกฝ่ายให้ถอยออกไปห่างๆ
“อ้าว คุณบอกจะจูบไม่ใช่เหรอครับ นี่ไง.. ผมพร้อมแล้ว” ไอ้คุณอนิลจอมโมเมกล่าวพลางหลับตาพริ้มและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง

“ผมบอกจะเล่นเพลง kiss the rain ครับ วู้ว! คุณนี่!” ผมบ่นพลางชักสีหน้าฮึดฮัดใส่อีกฝ่าย จากนั้นไอ้ผู้กองจอมโมเมมันก็ทำท่าทางฮึดฮัดเลียนแบบผมอีก
วุ้ย! ไอ้ผู้กองนี่มันน่าตบกะโหลกจริงๆ

“ขอโทษครับ พอดีผมได้ยินแค่คำว่า ‘kiss’ อย่างเดียวน่ะครับ ก็เลยคิดว่าคุณอยากจะจูบผมไง”
“…”

“พอดีภาษาอังกฤษของผมไม่ค่อยจะแข็งแรง ก็เลยฟังทันแค่คำเดียวน่ะครับ”
จ้า ภาษาอังกฤษของมึงไม่แข็งแรงเลยไอ้ผู้กอง มึงทำงานร่วมกับต่างชาติโคตรเยอะเลยโว้ย เดือนก่อนกูยังเห็นมึงสปีคอิงลิชที่ ต.ม. อยู่เลย แม่ง! แล้วเสือกฟังทันแค่คำที่เข้าทางตัวเองด้วยนะ

ด้วยความที่ผมขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงด้วย ผมก็เลยหยิบไวโอลินออกจากกระเป๋า จากนั้นก็ยกมันขึ้นพาดบ่า พร้อมกับวางคันชักลงตรงกึ่งกลางระหว่างปลายฟิงเกอร์บอร์ดกับหย่อง ไม่นานท่วงทำนองอันแสนเศร้าก็ดังคลอกับสายฝนที่กำลังโปรยปรายอยู่ด้านนอก  ขณะที่ปลายหางตาก็มองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง กำลังนั่งเอนตัวพิงโซฟาตัวเดียวกับที่ผมใช้วางสมุดโน้ตเพลง โดยเขาคนนั้นได้ใช้ข้างแขนของตัวเองหนุนนอน อีกทั้งริมฝีปากของเขาก็ยังแย้มยิ้มตลอดทั้งเพลง ทั้งๆ ที่ท่วงทำนองของเพลงที่ผมเล่น มันก็ออกจะฟังดูเศร้าๆ เสียด้วยซ้ำ

“คุณเล่นเพลงนี้อีกรอบได้ไหมครับ ?” ชายหนุ่มผู้มีรอยยิ้มละมุนคนนั้น เอ่ยขอเพียงเบาๆ แต่ผมก็ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน
“อืม” สิ้นคำตอบรับ ผมก็เริ่มเล่นเพลง ‘kiss the rain’ ใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้มันก็ทำให้หัวใจของผมรู้สึกสั่นไหว
เพียงเพราะแววตาคู่นั้นของใครบางคนที่ผมมองเห็นจากปลายหางตา
และท้ายที่สุด ผมก็ไม่สามารถเล่นเพลงนี้ได้จนจบเพลง..

ผมฟุบหน้าลงกับสมุดโน้ตเพลงของตัวเอง พลางวางไวโอลินไว้บนตัก ขณะที่ดวงตาก็มองสบไปยังแววตาอันทรงเสน่ห์คู่นั้น ราวกับต้องมนต์สะกด จากนั้นระยะห่างระหว่างผมและผู้กองอนิล ก็ค่อยๆ ถอยล่นลงทุกขณะ และแล้วความนุ่มหยุ่นจากริมฝีปากของใครคนนั้น ก็แตะลงบนริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา ก่อนจะถอนออกไปอย่างละมุนละม่อม โดยไม่ได้มีการล่วงล้ำแต่อย่างใด

“เม่น..” เสียงทุ้มเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของผมอย่างแผ่วเบา ขณะที่ดวงตาของเขาก็ยังคงสบกับดวงตาของผมแน่นิ่ง
“หืม?” ผมตอบรับในลำคอด้วยความยากลำบาก เพราะสมองยังคงเบลอๆ อีกทั้งใจก็ยังคงสั่นไหวไม่แปรเปลี่ยน ซ้ำร้ายความอบอุ่นตรงบริเวณริมฝีปากก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะห่างหายไป

“คบกับผมนะ” สุ้มเสียงชวนหลงใหลกล่าวขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบเหงาของสายฝน เพียงแต่หัวใจของคนฟังกลับเต้นโครมครามมากกว่าครั้งใด ด้วยเพราะผมทราบดีว่า ตลอดเวลาที่เราสองคนได้ใกล้ชิดกัน ผมเองก็รู้สึกดีกับอีกฝ่ายมาก ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ยอมให้เขาเข้านอกออกในบ้านของตัวเองได้อย่างสบายใจ และคงไม่มีทางยอมไปไหนมาด้วยแบบนี้หรอก
เห็นที ผมคงต้องหยิบเอารายชื่อของอีกฝ่ายมาเซ็นอนุมัติเสียแล้วล่ะ


--------------------------------------------------

ความกวนตีนปนห่วงใยของผู้กองอนิลทำให้น้องเม่นอนุมัติแล้วจ้า
คู่นี้ก็จะแบบนี้แหละค่ะ กวนบ้าง สงบศึกบ้าง แล้วแต่อารมณ์ 555
เพลง kiss the rain https://youtu.be/Yj56nFAjnq0

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:


ต.ม. นี่น่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Again and again #ปราบเม่น ✎ ตอน 06 ✎ update 19/05/2018
« ตอบ #9 เมื่อ: 19-05-2018 23:56:08 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nabby

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ชอบมากครับ สนุกๆ

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
✎ 07

หลังจากตกลงคบหากันอย่างเป็นทางการแล้ว ผมก็มีโอกาสได้ไปเยือนบ้านของไอ้ผู้กองอนิลผู้มีสถานะเป็นแฟนใหม่ป้ายแดงอยู่หลายครั้ง ซึ่งสถานที่ดังกล่าว ผมว่ามันควรจะเรียกว่าหอพักมากกว่าบ้านนะ แถมผนังยังไม่เก็บเสียงอีก
แม่งเง้ยยยยย ไอ้ผู้กองงงง มึงนอนเข้าไปได้ยังไง!

“ปราบ” ผมเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแหบโหย พลางทำตาหลุกหลิกไปมาอยู่นานสองนาน เพราะไอ้เสียงรบกวนที่ว่าเนี่ย แม่งยังกับหนังอย่างว่าที่มีทั้งภาพและเสียงแบบคมชัดในระดับ HD
“ครับ ?” ไอ้ผู้กองขานรับ โดยไม่คิดจะหันมามองหน้าผมแต่อย่างใด เพราะสถานการณ์แบบนี้ ผมก็เพิ่งจะเจอเป็นคืนแรกนี่แหละ

“คืนนี้ไปนอนที่บ้านผมกันดีกว่ามั้ย ?” ผมเอ่ยขอความคิดเห็น หากแต่การกระทำ มันคือการตัดสิน โดยปิดกั้นช่องว่างของอีกฝ่ายแทบทุกทาง ขณะที่ใบหน้าก็ยังคงร้อนผะผ่าวไม่แปรเปลี่ยน เพราะไอ้ห้องข้างๆ แม่ง! ไม่รู้จะกำศึกหนักไปไหน
เกรงใจกูบ้างก็ได้จ้า

ระหว่างการเดินทางจากหอของไอ้ผู้กองมายังบ้านของผม บรรยากาศระหว่างเราแม่งโคตรจะเงียบฉี่ ขนาดหายใจแม่งยังไม่กล้าจะหายใจเลยว่ะ สัส! เพราะไอ้ห้องข้างๆ แท้ๆ ทำเอาคู่รักหมาดๆ อย่างพวกผม ถึงคราวต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วน
“ฟังเพลงกันดีมั้ยคุณ ?” สารถีหนุ่มเอ่ยถามราวกับต้องการคำตอบ หากแต่มือใหญ่กลับเอื้อมไปเปิดเพลงอย่างไม่รีรอ

ครั้งแรกที่พบเธอก็รู้ว่าเธอคือความหมาย
และใจเธอเองคงรู้หัวใจฉัน
ขอเป็นคนของเธอสุขทุกข์เราไปด้วยกัน
ช่วยกันดูแลและช่วยกันแบ่งปัน

ท้องฟ้าสดใสเมื่อบนโลกนี้มีเธออยู่
ต้นไม้ดอกไม้รอบกายช่างสวยงาม


ระยะทางจากหอพักของไอ้คุณอนิลมาจนถึงบ้านของผมนั้นสุดแสนจะสั้น แต่ดูเหมือนว่าบทเพลงที่ทางคลื่นวิทยุเปิดให้ฟัง จะทำให้จังหวะการเหยียบคันเร่งของชายหนุ่มผู้มีสถานะเป็นแฟนป้ายแดง ค่อยๆ ลดน้อยถอยลงจนแทบจะเทียบเท่ากับเต่าคลาน แต่ถึงจะรู้อย่างนั้น ผมก็ไม่คิดจะปริปากเร่งแต่อย่างใด เหตุเพราะเวลาใกล้เที่ยงคืนแบบนี้ ไม่ค่อยจะมีรถสวนไปสวนมาสักเท่าไหร่ อีกทั้งเพลงๆ นี้มันก็ยังมาได้ถูกที่ถูกเวลาเสียด้วย
 
ขอฉันขอรักเธอเสมอไม่มีวันเปลี่ยน
วันและคืนเดินเคียงบนเส้นทางด้วยกัน
ไปฉันพร้อมจะไปแค่ใจของเรามีกัน
ตราบใดฟ้ามีตะวันเธอและฉันมั่นใจ

นี่คือรักยั่งยืนที่มีให้กัน
จะเป็นสายลมแห่งความห่วงใย
จะเป็นอากาศดีๆให้เธอได้หายใจทุกวัน
เรามาทำอะไรดีๆให้โลกนี้่
เรามาเติมชีวิตที่ดีให้แก่กัน
ทั้งเธอและฉันแบ่งปันรอยยิ้มให้อิ่มใจ


(คือรักยั่งยืน: นนท์ ธนนท์ feat. ปั่น ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว)

“เม่น.. ถึงแล้วครับ”

เป๊าะ!

“เหม่อ” ไอ้ผู้กองมันยิ้มขำ พลางอธิบายการกระทำของตัวเองให้ผมฟังเพียงสั้นๆ จากนั้นก็ลงจากรถและไปยืนคอยอยู่ตรงข้างประตูรั้ว ส่วนผมที่เพิ่งจะถูกประทุษร้ายไปหมาดๆ ก็ได้แต่ลูบหน้าผากของตัวเองป้อยๆ อารมณ์โดนๆ จากเพลงเมื่อครู่แม่งหายเกลี้ยง เพราะความหน้ามึนของไอ้ผู้กองมันเนี่ย! ผมเลยเดินลงจากรถไปเปิดประตูรั้วเพื่อเตรียมตัวเข้าบ้าน ขณะที่อีกฝ่ายก็เดินตามก้นผมต้อยๆ ไปจนถึงห้องนอน
“เห้อ~” ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างอันคุ้นเคย พลางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่โลกของผมมันหวนกลับมาสงบสุขอีกครั้ง จากนั้นก็มุดเข้าไปซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม พร้อมกับปัดป่ายฝ่ามือเพื่อควานหารีโมตแอร์ ที่เมื่อเช้าโยนทิ้งเอาไว้บนเตียง กระทั่งความเย็นเริ่มแผ่ซ่าน ผมก็ถึงกับยิ้มกริ่มอย่างสบายอารมณ์อยู่ภายใต้เซฟโซนของตัวเอง
ซึ่งก็คือ ‘เตียงนอน’

“อึดอัด” ผมบ่นด้วยน้ำเสียงอู้อี้ เพราะจู่ๆ ไอ้ผู้กองมันก็ทิ้งตัวลงมานอนทับผมที่กำลังซุกอยู่ในผ้าห่มเสียอย่างนั้น
ตัวของมันรึก็ไม่ใช่เบาๆ แม่ง! ทับมาได้

“ก็คุณอยากทำตัวน่ารักเองนี่ครับ”
โว้ยยยยย! ใช่เวลามาหยอดกูมั้ยไอ้ผู้กอง
เฮ้ย! กูจะหายใจไม่ออก ตายอยู่ในกองผ้าห่มนี่แล้ว!

“ปราบผมหายใจไม่ออก” ผมดิ้นไปดิ้นมา พลางสารภาพอย่างหมดท่า ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะร่า แล้วก็ล้มตัวลงนอนแผ่ข้างๆ กัน
แต่มึงครับ! มึงนอนทับผ้าห่มกู๊!

“ตามที่ผมศึกษามา เขาบอกว่าเม่นจะมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิไงครับ ผมเลยกลัวว่าคุณจะหนาว เนี่ยเห็นไหมครับคุณเริ่มจะหายใจไม่ออกแล้วด้วย” แม่ง! หนาวบ้า หนาวบอ อะไรวะ แอร์เพิ่งจะเปิดโว้ย ดึงสติหน่อยมั้ยไอ้ผู้กอง! แล้วที่กูบอกว่าหายใจไม่ออกเนี่ย คือมึงนอนทับผ้าห่มเว้ย มันปิดช่องทางการหายใจ
โว้ย! เหนื่อยจะคุยด้วยจริงๆ
นี่ผมคิดถูกหรือคิดผิดวะเนี่ย ที่ยอมปล่อยให้มันผ่านการพิจารณาน่ะ!

“ตลกครับคุณอนิล รีบขยับตัวออกไป ก่อนที่คุณจะโดนผมถีบนะครับ ปฏิบัติ!”
“เม่นของผมน่ารักที่สุดในโลกเลย ผมจะเลี้ยงดูคุณอย่างดีเลยครับ เพราะก่อนจะได้เลี้ยง ผมก็ศึกษามาเยอะจริงๆ” แม้ว่าไอ้ผู้กองอนิลมันจะลุกให้ผมได้มุดออกมาหายใจได้อย่างที่ต้องการก็จริง แต่แม่งก็รวดเร็วพอที่จะเนียนเข้ามากอดผมไว้ ทั้งๆ ที่ผมยังคงม้วนตัวอยู่ในผ้าห่ม จนสภาพของผมตอนนี้ เริ่มใกล้เคียงกับแหนมป้าย่นเข้าไปทุกทีแล้ว
เฮ้ยมึ๊งงงงงง เนียนกอดกูไม่พอ ยังจะมาเนียนหอมแก้มกูอีก!

“คุณรู้ตัวไหมครับ คุณน่ะเม่น! เม่นชัดๆ นิสัยเหมือนกันเลย” อีกฝ่ายกล่าวพลางยกขาขึ้นกอดก่ายก้อนกลมๆ อย่างผมไว้ พร้อมกับย้ำให้รู้ชัดๆ กันไปเลยว่าผมน่ะ นิสัยเหมือนตัวเม่น
“…”

“แล้วก็น่ารักเหมือนกันด้วย”
วุ้ย! ไอ้ผู้กองนี่ก็หยอดกูจริง
เห็นกูชอบทำหน้านิ่งๆ ซึนๆ แบบนี้ กูก็เขินเป็นนะโว้ย!

ผมนอนดิ้นไปดิ้นมาอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็ยังไม่หลุดออกจากอ้อมกอดของไอ้คุณปราบมือตุ๊กแก ด้วยความสิ้นหวัง ผมเลยทำใจแล้วนอนหลับตาเพื่อเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรา จนกระทั่งเช้าวันใหม่มาเยือน ไอ้ผู้กองอนิลคนกวนตีนคนเดิม เพิ่มเติมคือชอบนัวเนีย ก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำตั้งแต่ไก่โห่ และที่ผมรู้สึกตัวก็เพราะว่ามันชอบทำเสียงดัง เพื่อปลุกให้ผมตื่นเวลาเดียวกับมันนี่แหละ ทั้งๆ ที่จริงๆ มันก็อนุญาตให้ผมนอนตื่นสายได้แล้วนะ โดยอ้างทฤษฎีบ้าบอคอแตกขึ้นมาว่า ‘ผมรู้ครับว่าเม่นชอบนอนขี้เซา แถมวันๆ ก็มีแต่กินกับนอนซะด้วย แต่เอาเถอะครับ ผมยอมให้คุณนอนต่อจนถึงเจ็ดโมงครึ่งก็ได้ เพราะนี่คือโปรพิเศษแกะกล่องสำหรับ ‘แฟน’ ของผมครับ’

“ผมกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ คุณอย่าลืมกินข้าวต้มที่ผมทำไว้ให้ด้วยล่ะ” ไอ้ผู้กองมันหายหัวไปพักใหญ่ ทำให้ผมนอนหลับสบายเพราะไม่มีใครมารบกวน แต่แล้วมันก็กลับมาพร้อมกับการคลุกวงในด้วยการจุ๊บเบาๆ ลงบนหน้าผาก พร้อมออกคำสั่งราวกับพ่อคนที่สอง
“อื้อ” ผมตอบรับในลำคอ พลางปัดป้องมือของไอ้ตัวกวน แล้วก็มุดหน้าเข้าหาที่นอนและหมอนใบนุ่ม พร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงเป็นลำดับสุดท้าย
จากนั้นความสงบสุขของการนอนก็หวนคืนกลับมา
และตามมาด้วยเสียงสตาร์ทรถที่มันดังก้องจนลั่นบ้านจากใครอีกคน

เช้าวันนี้ผมกับอิมต้องเดินทางไปคัดหนังสือรับรองบริษัท แล้วก็พวกบัญชีผู้ถือหุ้นกับบริคณห์สนธิและสบช.3 (แบบนำส่งงบการเงิน) ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือเรียกย่อๆ ว่า DBD ซึ่งที่จอดรถก็หายากมาก เพราะผมไปสายด้วยแหละ ก็เลยต้องจอดรถเอาไว้แถวข้างถนน จากนั้นก็เข้าไปรอคิวในห้องแอร์เย็นๆ เพราะว่ามันไม่ได้วุ่นวายเหมือนกับตอนไปที่ติดต่อยื่นวีซ่า โดยผมก็ติ๊กให้อิมดูเป็นตัวอย่างว่าเอกสารแต่ละอย่างมันต้องติ๊กตรงช่องไหน เพราะว่ามันมีช่องให้ติ๊กเยอะมาก กระทั่งได้รับเอกสารอันแพงหูฉีกจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็มุ่งตรงไปยังกรมสรรพากรที่อยู่ในละแวกเดียวกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อทำการคัดงบดุลและงบกำไรขาดทุนของปีล่าสุด ซึ่งในความเป็นจริงก็คืองบของปีที่แล้ว รวมไปถึง ภงด.1 และ ภพ.30 ของเดือนเก่าๆ ส่วนเดือนใหม่จะต้องไปยื่นอีกที่นึง ซึ่งการจะถ่อรถจาก DBD ไปยังที่หมายแม่งโคตรไกล!
ไกลแบบอ้อมโลกเห็นจะได้!

แต่สุดท้ายเราก็เดินทางมาจนถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย จากนั้นผมก็พาอิมเดินเข้าไปในอาคาร และมุ่งตรงไปยังลิฟต์ตัวเก่าๆ ที่วันดีคืนดีก็อาจจะปิดการใช้บริการ เพราะมันเสียนั่นเอง แต่ถึงมันจะไม่เสีย ก็ใช่ว่าเราจะไว้ใจมันได้นะครับ ด้วยความขลังของมันแล้ว เล่นเอาใจระทึกทุกวินาทีที่ได้ใช้ แต่หากจะให้เดินขึ้นบันไดไป ก็เกรงว่าสภาพร่างกายมันจะรองรับไม่ไหวเพราะไขข้อเสื่อมเสียก่อน อายุอานามก็ 30 กันแล้ว อะไรที่ถนอมได้ก็ต้องถนอมกันไป

“ถ้าเกิดลิฟต์มันเล่นตุกติกขึ้นมานี่พีคเลยนะเม่น” อิมกล่าวติดตลก แต่สายตาของเธอนั้นไม่ได้ตลกตามคำพูด เพราะมันบ่งบอกถึงความระแวงล้วนๆ
“เฮ้ยอิมอย่าพูดอย่างนั้นดิ เรายิ่งเสียวๆ อยู่”

กระทั่งหมายเลขสีแดงเคลื่อนไปยังเลข ‘3’ อันเป็นจุดหมายปลายทาง ผมก็เปิดโอกาสให้สุภาพสตรีเดินออกไปก่อน จากนั้นถึงค่อยเร่งฝีเท้าเพื่อนำทางเธอไปยังห้องคัดเอกสาร ซึ่งอยู่ทางด้านขวามือ พร้อมกับชี้แนะว่าจะต้องไปยื่นที่โต๊ะไหน และเอกสารสามารถหยิบได้จากที่ไหน แต่เนื่องจากทางบริษัทของเราได้มีการเก็บแบบฟอร์มเอาไว้แล้ว เราก็เลยไม่ต้องเสียเวลาเทียวไปเทียวมา เพราะเอกสารชุดนี้จะต้องได้รับการมอบอำนาจจากฝ่ายบริหารเพื่อให้เรามาดำเนินเรื่องแทน ซึ่งผมให้อิมเป็นผู้รับมอบอำนาจ เนื่องจากการยื่นวีซ่าล็อตนี้ อิมจะต้องทำเองทั้งหมด และผมจะเป็นแค่ผู้ติดตามในครั้งแรก

ติ้ง!

Prab: เที่ยงนี้ไปกินข้าวด้วยกันนะครับ ตอนเย็นผมไม่ว่าง พอดีพ่อกับแม่จะขึ้นมาหา
เม่นเดย์: อ่าฮะ ผมว่าจะไปกินก๋วยจั๊บแถวๆ ร้อยหลังอยู่พอดี
Prab: โอเคครับ เดี๋ยวผมไปรับนะ
เม่นเดย์: กว่าจะไปจะมา เดี๋ยวผมขับรถไปเองดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา
Prab: ครับผม   
         *แนบรูปเม่นแคระนอนยิ้มแป้น* 
เม่นเดย์: รู้สึกว่าคุณอนิลจะมีรูปเม่นในสต๊อกเยอะเหลือเกินนะครับ
Prab: แน่นอนครับ ก็ผมชอบของผม แต่มีเม่นอยู่ตัวนึงที่ผมชอบที่สุดเลยนะครับ แถมยังมีรูปเยอะที่สุดด้วย
          *แนบรูปเม่นกำลังนอนหลับตาเอาหน้าซุกหมอน เห็นแต่แก้มยุ้ยๆ กับเส้นผมสีดำสนิท*

วุ้ย! พูดแบบนี้แสดงว่าไอ้ผู้กองมันแอบถ่ายรูปผมไปหลายแสนรูปแล้วมั้งเนี่ย

เม่นเดย์: เบื่อคุณจริงๆ ชอบกวนประสาทผม
Prab: ยิ้มอยู่ก็สารภาพมาเถอะครับ คุณเม่นไม่ต้องทำเป็นดึงหน้าบึ้งหรอก
เม่นเดย์: รู้ดีจังเลยนะครับ ไปทำงานได้แล้วครับคุณอนิล
Prab: ฮ่าๆ งั้นผมไปทำงานแล้วนะครับ

“ฮั่นแน่~ ยิ้มอะไรน่ะ คุยกับสาวเหรอเม่น ?” อิมเดินเข้ามายิ้มล้อพลางหรี่ตามองแบบแกล้งๆ แต่ผมนี่สิเขินจริงจังมาก
แล้วทำไมต่อหน้าไอ้คุณอนิลผมถึงเก๊กขรึมได้วะ
หรือจริงๆ แล้ว กูโป๊ะแตก แต่ไอ้ผู้กองมันทำเมินไม่ล้อผมวะ แต่คนอย่างมันเนี่ยนะจะไม่ล้อ เป็นไปไม่ได้โว้ย!

การเอาตัวรอดเป็นยอดดีคือทางของไอ้เม่นครับ แต่ก็ไม่ได้รอดเพราะความสามารถของตัวเองหรอกนะ เพราะสาเหตุที่ทำให้รอดตายมันเป็นเพราะหัวหน้าไลน์มาบอกว่าเย็นวันนี้จะเลี้ยงโออิชิบุฟเฟต์ครับ โอ้โห ช่างเลือกวันได้เหมาะสมเหลือเกิน ไอ้คุณอนิลไม่ว่างพอดีด้วย เล่นเอาผมไม่มีข้ออ้างไปปฏิเสธนัดครั้งนี้เลย แต่เอาเป็นว่าผมจะยอมลาภปากก็ได้ครับ
“ลาภปากอีกแล้ว~” สาวอิมดี๊ด๊าขึ้นมาทันควัน และเธอก็ลืมหัวข้อสนทนาก่อนหน้าไปโดยปริยาย มิหนำซ้ำตอนลงลิฟต์เธอก็ยังไม่มีอาการหวาดระแวงว่าลิฟต์มันจะเกเรกับเราหรือไม่
‘เรื่องกิน’ นี่มันคือเรื่องมหัศจรรย์จริงๆ ครับ ทำเอาผมนี่รอดตัวแบบหวุดหวิด!

ปกติผมจะไปกินข้าวกลางวันกับอิม แต่เพราะวันนี้ผมมีนัดกับไอ้คุณอนิล อิมก็เลยต้องกินข้าวกลางวันที่ร้านอาหารตามสั่งป้ามล เนื่องจากเธอไม่กล้าข้ามถนนคนเดียว เพราะวันก่อนพวกเราต่างก็อยู่ในช่วงนาทีระทึก เหตุเกิดเพราะรถทัวร์เหยียบมอเตอร์ไซค์ครับ ผมนี่ยังจำเสียงหมวกกันน็อคลั่นได้อยู่เลย คิดแล้วก็ขนลุก แถมเมื่อวานนี้พนักงานบริษัทของเรานี่แหละครับถูกรถชน ดีนะที่ไม่เป็นอะไรมาก คือเรื่องของเรื่อง รถใหญ่เขาจอดให้คนข้ามครับ แต่มอเตอร์ไซค์วิ่งมาไม่ดูตาม้าตาเรือ แถมพนักงานผมก็ไม่ทันเห็นด้วย เลยสอยเธอลอยขึ้นฟ้าเข้าให้ เพราะเธอตัวเล็กด้วยนั่นแหละ คิดแล้วก็แทบไม่อยากจะข้ามถนนเลย ให้ตายสิ พูดเรื่องนี้แล้วมันของขึ้นทุกที สัญญาณไฟมีไว้ให้คนกดเวลาจะข้ามถนน แต่ปรากฏว่ารถแม่งไม่ยอมหยุดให้ครับ
จะว่าไปชีวิตของคนเดินเท้านี่มันโคตรจะระทึกใจเลยจริงๆ

“อร่อยดีว่ะคุณ ร้านนี้ผมยังไม่เคยมากินเลย” ไอ้คุณผู้กองออกปากชมครั้งแล้วครั้งเล่า ท่าทางว่าจะชอบกินจริงๆ เพราะมันถึงกับขอเบิ้ลอีกชามแน่ะ ขนาดว่าร้านเขาให้เยอะแล้วนะนั่น
“เอ้อ วันนี้หัวหน้าผมจะเลี้ยงโออิชิ อาจจะกลับดึก” ผมบอกอีกฝ่ายถึงนัดในตอนเย็น เพื่อที่เจ้าตัวจะได้ไม่ต้องโทรหา

“อ่าฮะ ถึงบ้านแล้วไลน์มาบอกผมด้วยนะครับ”
“อื้อ”

“ผมว่าจะพาพ่อกับแม่ไปเที่ยว แกอยู่ตั้งอาทิตย์นึงแน่ะ คุณว่าผมควรจะพาท่านไปที่ไหนดี แถวจันก็มีทะเลอยู่แล้วด้วย”
“คุณอนิลครับ นี่ผมเม่นเอง! เม่นผู้ไม่ชอบเที่ยว โอเค๊?” ผมกล่าวพลางชี้หน้าตัวเองเพื่อให้ใครอีกคนได้ครุ่นคิดด้วยว่า หน้าอย่างกูนี่ ไม่ชอบเที่ยวครับมึง เป็นโรคชอบอยู่แต่บ้าน ชีวิตต้องการเวลานอนมากกว่าการเที่ยวครับมึง

“ครับๆ เม่นคนนี้ชอบนอนขี้เซา”
“หึ!” ผมชักสีหน้าและทำเสียงฮึดฮัดเวลาไม่พอใจอะไรสักอย่าง พลางปัดมือใหญ่ๆ ของไอ้คุณอนิลออกจากแก้มของตัวเองที่มันดึงจนแทบย้วย

“หึ!” ไอ้คุณอนิลมันเริ่มจะส่อแววอ้อนตีนขึ้นมาอีกแล้ว เพราะแม่งมีการเลียนแบบเสียงฮึดฮัดของผมด้วย และผมก็ไม่ยอมแพ้ เลยนั่งถลึงตาใส่ไอ้คนขี้แกล้งซะเลย มันเองก็ไม่ยอมแพ้ผมเหมือนกัน กว่าจะสงบศึกได้ก็ตอนที่ไอ้ผู้กองมันสำลักจนหน้าดำหน้าแดงนั่นแหละ
ดี! สมน้ำหน้า

“คุณ.. ค่อยๆ กินน้ำดิ เอ้า! ทิชชู่” แต่พอมันสำลักไม่เลิกสักที ผมก็ชักจะเป็นห่วงเลยต้องคอยพูดกำกับไอ้คุณอนิลราวกับมันเป็นเด็ก และมันก็ยอมทำตามอย่างว่าง่ายซะด้วย ก็ดูสภาพของไอ้ผู้กองตอนนี้ดิ แม่งโคตรน่าสงสาร ท่าทางจะสำลักพริกนั่นแหละครับ เพราะปกติแล้วแม่งกินโคตรเผ็ดเลย น้ำในชามของมันงี้แดงเถือก เล่นเอาหน้าแดง หูแดง น้ำตาไหลเป็นทางเลย
แต่เห็นจะมีอยู่แค่ครั้งเดียวเองมั้ง ที่มันไม่กินเผ็ด ก็ตอนที่มันขับรถถ่อมาหาผมที่ร้านบะหมี่เพื่อมานั่งมองผมกินนั่นไง

“เม่น ถ้ากลับถึงบ้านแล้วอย่าลืมไลน์มาหาผมนะ ผมเป็นห่วง” หลังจากเช็คบิล เราก็พากันเดินตรงมายังบริเวณที่เราจอดรถไว้ตรงข้างทางแถวๆ ในซอยร้อยหลัง
“อื้อ”

เมื่อเวลาเลิกงานเดินทางมาถึง ฝูงนกที่กำลังห่อเหี่ยวต่างก็พากันเริงร่าเป็นทิวแถว โดยผมกับอิมเราเดินทางไปด้วยกัน เพราะผมสนิทกับเธอที่สุดแล้ว อีกทั้งช่วงนี้เธอก็ยังไม่ได้ซื้อรถด้วย เห็นว่ากำลังดูๆ อยู่ แต่ยังเลือกไม่ได้สักที และเมื่อไปถึงอเวนิว เราก็มุ่งหน้าตรงไปยังร้านโออิชิอันเป็นจุดหมายปลายทาง จากนั้นเราก็ต้องยืนรอสมาชิกคนอื่นๆ เพื่อรวมตัวให้ครบตรงหน้าร้านเสียก่อน กระทั่งทุกคนในแผนกมากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว มื้อเย็นสุดหรูที่ไม่ต้องจ่ายเงินเองก็เริ่มขึ้น ส่วนขากลับผมก็รับหน้าที่ไปส่งอิมที่บ้าน เพราะผมเองก็เพิ่งจะทราบว่าบ้านของเราไปทางเดียวกัน เพียงแต่บ้านของเธอจะอยู่ถึงก่อนผมสักเล็กน้อย

“ผมถึงบ้านแล้วนะ” หลังจากปิดประตูรั้วบ้านเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่าด้วยอารมณ์ไหน ผมถึงได้โทรไปหาไอ้ผู้กองแทนที่จะไลน์ไปบอกมันอย่างที่สั่งไว้
(อ่า.. ตอนนี้กี่โมงแล้วครับ ?) อีกฝ่ายถามกลับด้วยน้ำเสียงงัวเงีย จนผมนึกแปลกใจที่มันนอนเร็ว และก็อดคิดไม่ได้ว่าโชคดีแล้วที่ผมตัดสินใจโทรไปหา

“สามทุ่มครับ ทำไมนอนเร็วล่ะ ?” ผมถามด้วยความสงสัย พลางปิดประตูบ้านให้เรียบร้อย แล้วก็พาตัวเองขึ้นไปยังห้องนอน
(พอดีพ่อกับแม่นอนเร็วน่ะครับ ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี ก็เลยนอนซะเลย) น้ำเสียงของไอ้คุณอนิลยังคงงัวเงียไม่หาย มิหนำซ้ำมันยังต้องพยายามพูดคุยให้เบาที่สุดด้วย เพราะหอของมันก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก และตอนนี้มันก็น่าจะต้องนอนรวมกับพ่อแม่ของมันนั่นแหละ ซึ่งผมก็เคยถามมันนะว่าทำไมไม่ซื้อคอนโดไปเลยจะได้สะดวกๆ ไอ้ผู้กองมันเลยบอกว่า ตอนแรกมันไม่ได้กะจะทำงานอยู่ที่นี่นานขนาดนั้น ก็เลยไม่คิดที่จะซื้อ แล้วอีกอย่างหอนี้ก็เดินทางไปมาสะดวกดี มันก็เลยไม่ยอมหาใหม่ พูดง่ายๆ ก็คือ มันยังมีความหวังว่าจะทำเรื่องขอย้ายกลับไปที่เดิมได้สำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดันไปลงทุนเปิดร้านนั่งชิลด์กับเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยที่ต่างก็เป็นคนพื้นที่ด้วยกันทั้งคู่ซะงั้น

“อ่อ งั้นคุณไปนอนเถอะ ผมไม่กวนแล้ว” หลังจากสมองประมวลผลในสิ่งที่ตัวเองควรต้องทำได้แล้ว ผมก็เอ่ยลาอีกฝ่ายในทันที แต่ผลปรากฏว่ามันก็ยังคงไร้การตอบรับจากปลายสาย
(…)

“คุณ..”
(…)

“หลับแล้วเหรอ ?” ผมยังคงเอ่ยถาม แม้จะเริ่มมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายคงจะกลับเข้าสู่ห่วงแห่งนิทราไปแล้ว   
(…)

“ฝันดีนะปราบ”

-----------------------------------------------------
เอามาเสิร์ฟอีกตอนแล้วค่ะ ตอนนี้มันก็จะอุ่นๆ กวนๆ อีกแล้ว
ความสัมพันธ์ของปราบกับเม่น เราอยากเขียนให้ออกมาในรูปแบบ คนรัก และ เพื่อนค่ะ
ก็เลยติดจะกวนตีนหนักๆ แต่ก็ดูแลอย่างดี แบบเนียนๆ เหมือนช่วงจีบกันนั่นแหละค่ะ
เพิ่มเติมแค่อ่อนโยนขึ้น

ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ชอบค่ะ ติดตาม  :mew2:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ปราบ เม่น   :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :impress2:




น่ารักกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
ชอบการไปศึกษาวิธีดูแลเม่นมาแล้ว แล้วเอามาปรับใช้ได้ตลอดเลย เนียนมากๆๆๆๆเลยคุณปราบเนี่ย ฮาาาา

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
✎ 08

การเดินทางไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อทำเรื่องต่อ 90 วัน พร้อมกับพาพนักงานชาวต่างชาติไปทำ Re-entry ซึ่งจำเป็นจะต้องยื่นเรื่องก่อนที่พนักงานจะเดินทางออกจากประเทศไทยในเช้าวันจันทร์ มันเป็นอะไรที่นรกแตกมาก เพราะคนโคตรเยอะ ที่จอดรถก็ไม่มี ที่นั่งก็ไม่มี และถ้าหากเป็นไปได้ ผมก็ไม่อยากจะมาที่นี่ในวันนี้นักหรอก แต่มันเป็นไปไม่ได้ไง ก็พนักงานเขาว่างแค่วันนี้ ผมก็เลยต้องพามาในวันนี้ และคิวที่ได้รับก็โคตรนาน คาดว่ากว่าจะเสร็จก็คงจะติดเที่ยงอีกตามเคย

“เม่น” ผมที่กำลังถือโอกาสอ่านบอร์ดข่าวสารของทาง ตม. ใกล้ๆ กับบริเวณเคาน์เตอร์ต้อนรับด้านหน้า เนื่องจากไม่มีพื้นที่ว่างจะให้ไปสิงสถิต ก็เลยต้องมายืนหลบมุมอยู่ตรงนี้ จึงหันไปตามเสียงเรียกของใครบางคนที่สุดแสนจะคุ้นเคย อีกทั้งยังรอบรู้ปานอับดุล
คือเดี๋ยว.. ไอ้ผู้กอง! มึงรู้ได้ยังไงวะ ว่ากูมา ตม. ?
แม่งร้าย มีหน่วยสอดแนมคอยไปรายงานด้วยเหรอวะ?

“มาต่อวีซ่าเหรอครับ ?” ไอ้ผู้กองอนิลเอ่ยถามอย่างใส่ใจ
“เปล่าครับ ผมมาต่อ 90 วัน แล้วก็พาพนักงานมาทำรีเอ็นทรี” ผมตอบพลางบุ้ยใบ้ไปยังพนักงานชาวต่างชาติที่ชื่อเวอร์มิลี ที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ในโซนรับรอง เพราะว่ามีที่ว่างอยู่เพียงที่เดียว ผมจึงเสียสละให้เธอ

“เอ้อ พ่อกับแม่ผมอยู่ต่ออีกอาทิตย์นึงนะ ช่วงนี้ผมอาจจะไม่ค่อยมีเวลาให้คุณเท่าไหร่” อีกฝ่ายกล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจ เพราะว่าเราไม่ค่อยได้เจอหน้ากันบ่อยนัก ซึ่งผมก็เข้าใจดี ในเมื่อนานๆ ทีพ่อกับแม่ของมันถึงจะลงมาหาถึงที่นี่
“…” ผมไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มและพยักหน้าส่งไปให้ชายหนุ่มในเครื่องแบบ

“ผมคิดถึงคุณนะ” อีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามากระซิบถ้อยคำดังกล่าวเพียงครู่ จากนั้นร่างสูงของไอ้ผู้กองอนิลก็หายลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง ขณะที่ผมก็ได้แต่ยืนหันหน้าเข้าหาบอร์ดข่าวสารตามเดิม เพิ่มเติมคือกูอ่านอะไรไม่รู้เรื่องอีกเลยจ้า
เพราะว่าในตอนนี้ กูถูกล้างสมองด้วยคำว่า ‘คิดถึง’ ไปหมดแล้ว
โว้ยยยย! ไอ้บ้า ไอ้บอ!

หลังจากดึงสติกลับมาปั้นหน้าขรึมให้สมกับเป็นพนักงานฝ่ายบุคคลอันน่าเกรงกลัวได้แล้ว การรอคอยอันแสนยาวนานก็ถึงคราวต้องสิ้นสุดลง และจบลงด้วยการตะเวนหามื้อเที่ยงมาประทังชีวิต ก่อนจะพากันกลับไปยังออฟฟิศในเวลาเกือบๆ จะบ่ายโมง ผมจึงถือโอกาสมุ่งตรงไปยังคาเฟ่ราคาแพงหูฉีกที่ตั้งอยู่บริเวณใต้อาคารสำนักงานด้วยความหิวกระหาย
“เลมอนทีครับ” ผมสั่งเมนูเดิม ด้วยความขี้เกียจจะเสียเวลาเลือกให้มากความ เพราะจากประสบการณ์แล้ว ต่อให้ไล่อ่านเมนูอันยาวเหยียดของทางร้าน ตั้งแต่ต้นจนจบทีไร สุดท้ายผมแม่งก็เลือกเมนูเดิมอยู่ดี

กระทั่งได้เสียเงินแก้กระหายเรียบร้อยแล้ว ผมก็มุ่งตรงไปยังลิฟต์เพื่อให้มันพาขึ้นไปยังชั้นหก อันเป็นที่สิงสถิตของฝ่ายบุคคล ที่ใครๆ ต่างก็พากันเกรงกลัว เพราะหัวหน้าของผมโหดมากครับ ใครแต่งตัวไม่สุภาพหรือดูเหมือนเพิ่งตื่นนอน มึงตายแน่ ถูกปรับสองร้อยจนแทบร้องขอชีวิต เพราะไอ้เงินสองร้อยนี่แม่งก็เงินนะเว้ย ซื้อข้าว ซื้อกาแฟได้ตั้งมื้อนึงเลยนะ แถมยังมีเหลือให้พอเก็บอีกนิดหน่อยด้วย จะไม่ร้องขอชีวิตได้ยังไง ยิ่งผู้หญิงนะ ยิ่งต้องจัดหนักจัดเต็ม เพราะหน้าของพวกเธอๆ จะต้องเป๊ะ ปากจะต้องเด่น
“สบายแล้วเว้ย~” พอย่างเท้าเข้ามาในห้องทำงานของตัวเองได้ ผมก็สูดลมหายใจเข้าให้ลึกจนสุดปอด จากนั้นก็บ่นพึมพำอย่างฟินๆ ที่ได้กลับมาเจอกับแอร์เย็นๆ สักที

ผมยกแก้วเลมอนทีดูดแก้กระหายมือนึง ส่วนอีกมือก็ทำการเซ็นต์แอนด์รีซีฟอีเมล์ให้อัพเดต ซึ่งก็พบว่ามีอีเมล์ใหม่ๆ เข้ามา แต่กลับมีอีเมล์หนึ่งสะดุดตาผมเข้าอย่างจัง ผมจึงเลื่อนเมาส์ไปคลิกที่หัวข้อดังกล่าว ซึ่งเป็นอีเมล์แจ้งเกี่ยวกับหน้าที่ความรับผิดชอบของพนักงานในฝ่ายบุคคลฉบับใหม่ ผมจึงไม่รอช้ารีบเปิดไฟล์ PDF ที่แนบมา พร้อมกับเลื่อนหาข้อมูลของตัวเองอย่างรวดเร็ว กระทั่งได้อ่านรายละเอียดทั้งหมดจนครบถ้วน สมองของผมมันก็เหมือนกับจะพร่าเบลอไปชั่วขณะ พลางเกิดคำถามขึ้นในใจว่า การทำงานของผม มันย่ำแย่จนถึงขนาดต้องกลายมาเป็นผู้ช่วยของพนักงานใหม่อย่างอิมเลยเหรอ ? มิหนำซ้ำผมยังต้องไปเป็นผู้ช่วยของน้องเอิร์ทที่ทำอยู่ในส่วนของฝ่ายอบรมอีก
เท่ากับว่า งานของผมไม่สามารถทำให้ผมได้แสดงศักยภาพอะไรเลย ?

“เม่น”
“ครับพี่จินดา ?” ผมขานรับพลางหันหน้าไปหาพี่จินดาด้วยท่าทางของคนที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

“ไปดื่มกาแฟกัน”
“อ่า.. ครับ” ผมพยักหน้าพลางรับปากอีกฝ่าย แม้ว่าเมื่อครู่ตัวเองจะเพิ่งซื้อเลมอนทีมาหมาดๆ ก็ตาม ด้วยเพราะผมเข้าใจดีว่า ‘การดื่มกาแฟ’ มันไม่ใช่ประเด็นหลักของบทสนทนาในครั้งนี้

ผมและหัวหน้าเดินออกมาจากออฟฟิศแผนกบุคคล พร้อมกับมุ่งตรงไปยังลิฟต์ตัวเดิม โชคดีที่ภายในนั้นมีเพียงแค่เราสองคน ผมก็เลยไม่รู้สึกอึดอัดจนปั้นหน้าลำบาก
“เม่นโอเคกับรายละเอียดการทำงานของตัวเองหรือเปล่า เงินเดือนกับตำแหน่งไม่ได้ลดลงนะ แต่แค่ลดหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องออกไปข้างนอก เพื่อมาทำงานด้านอบรมแทนน่ะ” พี่จินดาเอ่ยถามความเห็น ซึ่งอาจจะเพราะเป็นห่วงหรือว่าทำไปตามหน้าที่ก็เป็นได้

“ผม..”
“…”

“ผมทำอะไรพลาดไปเหรอครับพี่จินดา เรื่องเอกสารที่ทางนั้นขอมาบ่อยๆ ผมเองก็ชี้แจงไปแล้ว.. สรุปปัญหามันอยู่ที่ไหนกันแน่ครับ แล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่าถ้าหากอิมไปทำแทนผม ผลลัพธ์มันจะออกมาต่างกัน ?” ผมละล่ำละลักถามอย่างค้างคาใจ เพราะตั้งแต่โดนตำหนิไปคราวนั้น พูดตรงๆ ว่าผมเองก็ไม่ค่อยจะสบายใจสักเท่าไหร่ แต่จะให้ผมแก้ปัญหาที่ตรงไหนล่ะ อะไรที่ทำได้ผมก็ทำจนหมดแล้ว แม้กระทั่งเขียนเลขกำกับรายชื่อพนักงานต่างชาติพร้อมกับพับมุมกระดาษให้รู้กันไปเลย แต่สุดท้ายทางนั้นก็ยังขอเพิ่มในสิ่งที่ไม่ได้บอกมาตั้งแต่ต้น เช่น รายชื่อคนไทยให้เอาหน้าก่อนสุดท้ายอีกสองหน้าด้วย ทั้งๆ ที่ตอนแรกไม่ได้พูดอย่างนี้ ผมเองก็หนักใจเหมือนกันนะ แถมบางทีเราถ่ายเอกสารหน้านั้นไปให้แท้ๆ แต่ผ่านไปสามสี่วันดันบอกว่าไม่มีเอกสารหน้านั้นเฉย ผมเองก็เซ็งเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่เซ็ง เพราะมันก็ทำให้ผมเสียเวลาในการเคลียร์งานเหมือนกัน และก็เข้าใจด้วยว่ามันมีเรื่องค่าใช้จ่ายมาเกี่ยวข้อง แต่จะให้ผมแบกรับค่าใช้จ่ายบางส่วนหลายๆ ครั้ง ก็เกรงว่าจะไม่ไหวเหมือนกัน แล้วยิ่งมีการรับพนักงานใหม่เข้ามาในตำแหน่งเดียวกัน ถึงผมจะทำเป็นคิดว่าเออ มีคนช่วยก็ยังดีกว่าไม่มี แต่จริงๆ แล้วผมก็อดกังวลไม่ได้เหมือนกันนะ แถมผมยังไม่ทันจะผ่านโปรเลยด้วยซ้ำ จะไม่ให้คิดมากได้ยังไง
“เอาน่ะเม่น เดี๋ยวเราก็ลองดูสถานการณ์กันไปก่อน ถ้าหากอิมทำไม่ได้ตามที่พูด เม่นก็ค่อยกลับมาทำเหมือนเดิม ยังไงพี่ก็ให้เม่นผ่านโปรอยู่แล้ว อย่ากังวลไปเลย พูดตรงๆ นะ ว่าตั้งแต่เม่นเข้ามาทำตรงนี้ ก็ทุ่นแรงพี่ไปได้เยอะ และพี่ก็เข้าใจเม่นด้วย เพราะพี่เองก็เคยมาจับงานตรงนี้เหมือนกัน” ผมส่งยิ้มให้พี่จินดาเบาๆ พลางครุ่นคิดสะดุดใจตรงที่ว่า ‘ถ้าหากอิมทำไม่ได้ตามที่พูด’ มันหมายความว่ายังไง
นี่ผมกำลังถูกแทงข้างหลังอยู่ใช่ไหม ?

ตอนนี้ถึงจะได้เวลาเลิกงานแล้ว แต่ผมก็ยังคงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกค้อนทุบหัวจนมึนงงไปหมด เพราะใจของผมยังไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างอิมจะทำแบบนั้นได้ลงคอ แต่เพราะคำพูดของพี่จินดา มันทำให้ผมสามารถตีความได้แค่เพียงทางเดียวเท่านั้น ซึ่งมันเป็นทางที่ผมโคตรจะรู้สึกแย่เลยว่ะ ก็ผมน่ะ สอนงานเธอทุกอย่าง ซึ่งเธอก็มาแบบไม่เป็นอะไรเลย แต่ก็ยังพอมีความเข้าใจเบื้องต้นมาบ้าง
เรียกได้ว่าอิมในวันสัมภาษณ์และวันทำงานนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ผมที่กำลังนั่งทำหน้าโง่อยู่บนโซฟาในห้องรับแขกกลางบ้าน ค่อยๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนหารายชื่อของใครสักคนที่จะสามารถเป็นที่พักพิงให้ผมได้ ซึ่งคนแรกที่ผมนึกถึงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากไอ้คุณอนิล แต่ทันทีที่ปลายนิ้วกำลังจะแตะไปยังรายชื่อของใครคนนั้น ผมก็ต้องชะงักค้างไว้กลางอากาศ เนื่องจากว่าเวลานี้ อีกฝ่ายไม่ค่อยสะดวกจะติดต่อกับผมนัก ด้วยเพราะเกรงใจพ่อกับแม่ที่เข้านอนค่อนข้างเร็ว แต่ครั้นจะโทรหาเพื่อน ผมก็ไม่กล้าโทร ในเมื่อเวลาที่ผมมีความสุข ผมกลับไม่คิดถึงพวกมัน แต่พอมีความทุกข์ จู่ๆ ก็โทรมาหาแบบนี้ มันคงจะไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ ผมก็เลยโยนโทรศัพท์เครื่องเก่งทิ้งไว้ข้างๆ ตัว พร้อมกับถอนหายใจอย่างเซ็งๆ

ครืด ครืด

ผมลืมตามองเพดานในห้องรับแขกที่ยังคงเปิดไฟสว่างจ้ามาตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงห้าทุ่ม จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปมองยังหน้าจอโทรศัพท์ที่ปรากฏรายชื่อของไอ้ผู้กองอนิล

“ปราบ..” ผมพูดได้เพียงแค่นั้นแล้วน้ำตาก็เริ่มซึมอยู่เต็มหน่วยตา เพียงเพราะใครอีกคนเขานึกถึงผมในเวลาที่ผมกำลังย่ำแย่เข้าพอดี
(ออกมาเปิดประตูให้ผมหน่อยสิครับ พอดีคืนนี้ผมขอพ่อกับแม่มาค้างคืนที่บ้านของคุณน่ะ) ทันทีที่ได้ยินประโยคบอกเล่าของอีกฝ่าย ผมก็รีบวิ่งออกไปเปิดประตูให้ตามคำขอ

“ปราบเตรียมชุดมาพร้อมแล้ว เม่นจะอนุญาตไหมครับ ?” ชายหนุ่มผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นเอ่ยถามด้วยถ้อยคำน่ารัก พลางชูเครื่องแบบที่ตัวเองจะต้องใส่ในวันพรุ่งนี้ ให้ผมที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้ารั้วบ้านได้เห็น
“อื้อ” ผมพึมพำในลำคออย่างแผ่วเบา จากนั้นก็รอคอยให้ใครบางคนก้าวเดินเข้ามายังเขตรั้วบ้านเสียก่อน ผมถึงค่อยลงกลอนให้เรียบร้อย กระทั่งไล่ตามอีกฝ่ายเข้ามายังตัวบ้านได้ทัน ผมก็เอาแต่จ้องมองแผ่นหลังของคนรักหมาดๆ ที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันด้วยความแน่นิ่ง เมื่อจู่ๆ ความรู้สึกแย่ๆ ทั้งหลายแหล่ มันก็เริ่มจะแผ่กระจายออกมาอีกครั้ง ด้วยเพราะผมทราบดีว่า เวลานี้ ตอนนี้ ผมสามารถร้องไห้จนเหนื่อย หรืออาจจะงอแงเอาแต่ใจกับอีกฝ่ายได้จนเต็มที่
เพราะถึงยังไงคนๆ นี้ ก็คงจะคอยปลอบโยนจนกว่าผมจะพึงพอใจเป็นแน่
ก็เขาเคยบอกแล้วนี่ ว่าเขาศึกษาการเลี้ยงเม่นมาอย่างดี พร้อมกับลั่นวาจาว่าจะดูแล ‘เม่น’ ให้ดีที่สุดด้วย..

“เม่นขออยู่แบบนี้สักพักนึงได้ไหมปราบ ?” ผมเอาลูกอ้อนทางคำพูดของอีกฝ่ายมาใช้งาน พลางเพิ่มออฟชั่นเสริมด้วยการโอบรอบเอวหนาเอาไว้หลวมๆ และซุกหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างอย่างต้องการไออุ่น
“อืม” ใครบางคนที่ยังคงถือชุดเครื่องแบบของตัวเองได้แต่พึมพำตอบรับในลำคอราวกับยังงงๆ กับสถานการณ์ในตอนนี้ แต่ถึงอย่างนั้น มือใหญ่ที่เคยแต่จะฉวยโอกาส ก็เคลื่อนเข้ามากอบกุมกับฝ่ามือของผมที่กำลังโอบรัดอยู่ตรงบริเวณหน้าท้องของเจ้าตัวอย่างอบอุ่น อีกทั้งท่าทีขี้เล่นกวนประสาทก็เลือนหายไปในทันที

“คุณมีปัญหาเรื่องงานเหรอครับ ?” ผู้กองอนิลมันถามผมเสียงอ่อนด้วยความเป็นห่วง
“อื้อ ก็ประมาณนั้น” ผมตอบคำถามพลางปลดปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ ก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งจุมปุกอยู่บนเตียง

“ถ้าหากคุณไม่คิดมาก ว่ามันจะเป็นการแพร่งพรายเรื่องภายในบริษัทของคุณ.. คุณเล่าให้ผมฟังก็ได้นะ ผมยินดีรับฟัง..”
“…” เมื่อคนตรงหน้าเห็นว่าผมไม่มีทีท่าจะปริปากเล่าอะไรให้ฟัง เขาก็เดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้า

“เห้อ~ ผมก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี เพราะตอนนี้ผมเองก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก” ผมล้มตัวลงนอนแผ่ พลางกล่าวอย่างสับสนพร้อมกับแฝงความหนักอกหนักใจเอาไว้จนเต็มเปี่ยม
“…”

“ผมรู้แค่ว่า ตอนนี้ผมโคตรจะเซ็ง โคตรจะเฟลเลยว่ะคุณ” ผมนอนตะแคงมองอีกฝ่ายที่กำลังเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเอาชุดเครื่องแบบของตัวเองไปแขวนไว้ พลางบอกความรู้สึกที่มันอัดแน่นอยู่ในใจให้คนตรงหน้าได้รับฟัง
ด้วยความหวังที่ว่า ไอ้ผู้กองอนิลมันจะช่วยทำให้ผมลืมเลือนไอ้ความรู้สึกเฮงซวยนี่ได้สักที

“จากที่ผมศึกษามานะครับ..” ไอ้ผู้กองในชุดนอนลายตารางหมากรุก เริ่มเกริ่นนำเพียงครู่ จากนั้นมันก็พาร่างกายอันสูงใหญ่ราวกับหมียักษ์ เข้ามากางกั้นช่วงตัวของผมไว้ราวกับตกอยู่ในกรงขัง
“…”

“เวลาที่เม่นมันเกิดความกลัว มันจะชอบร้องเสียง กี้กี้กี้~ ไหนคุณลองร้องให้ผมฟังหน่อยสิครับ กี้กี้กี้~” น้ำเสียงทุ้มกวนประสาทกล่าวชิดริมหู พลางบีบเสียงให้เป็นเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนกับเสียงของเม่นจนน่ากระโดดถีบ
เฮ้ยมึ๊งงงง ถึงกูจะชอบทำตัวเหมือนเม่นจริงๆ
แต่กูก็สปีชีส์เดียวกับมนุษย์! แฟนมึงเป็นมนุษย์! เข้าใจมั้ยวะ!

“วุ้ย! คุณนี่ ผมกำลังเครียดอยู่นะเว้ย! แล้วผมก็ไม่ได้กลัวด้วย แต่ผมเฟล! ผมเซ็ง!” ผมฟาดแขนใส่ไอ้ผู้กองจอมกวนตีนจนเต็มแรง แต่ไอ้บ้านี่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะสะทกสะท้านอะไรเลย แถมแม่งยังเอานิ้วมาจิ้มแก้มผมเล่นอีก
สนุกมากเหรอครับไอ้คุณอนิล ?

“ฮ่าๆ คุณยิ้มแล้ว ดูสิ คุณยิ้มแล้วเนี่ย” ระหว่างที่ผมกำลังดีดดิ้นจนครบสูตร เพราะผมจัดหนักจัดเต็ม ทั้งถีบ ทั้งตีไอ้หมีควายตัวเขื่องที่มันเอาแต่จะจิ้มแก้มผมเล่นอย่างอารมณ์ดี จนกระทั่งมันพูดประโยคหนึ่งออกมานั่นแหละ ผมถึงได้งงว่าตัวเองหัวเราะออกมาตอนไหน และผมยิ้มออกมาได้ไง แถมยิ้มออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
หรือว่าผมยิ้มตั้งแต่ตอนที่ไอ้บ้านี่ มันล้อว่าผมเหมือน ‘เม่น’ กันวะ
ไม่สิ ผมอาจจะยิ้มตั้งแต่ตอนที่เราเริ่มต้นทะเลาะตบตีกันก็เป็นได้..

“ผมเชื่อนะ ว่าคุณจะต้องผ่านมันไปได้.. เพราะอะไรรู้ไหม ?” อีกฝ่ายกล่าวพลางจ้องมองเข้ามายังนัยน์ตาของผมแน่นิ่ง ทำเอาหัวใจของผมอุ่นวาบขึ้นมาทันที
“…” และเมื่อคนตรงหน้าปิดท้ายด้วยการตั้งคำถาม ผมที่ไม่รู้เหตุผลก็เลยต้องส่ายหน้าเป็นคำตอบ
 
“เพราะว่าเม่นของผมน่ะ.. เก่งที่สุดแล้ว
ไอ้เชี่ยผู้กอง!
ชมกูว่าเก่งอย่างเดียวไม่พอ ทำไมมึงต้องอาศัยทีเผลอ ตอนกูเคลิ้มๆ มากัดแก้มกูด้วย!

ตุ้บ!

“โอ้ยเม่น! คุณถีบผมทำไมเนี่ย ?” โอ้โห! มึงจะยังมีหน้ามาถามกูอีก มึงเล่นฟัดจนแก้มกูช้ำขนาดนั้น แถมยังทำกูตกใจอีก กูไม่กระทืบมึงซ้ำก็บุญเท่าไหร่แล้วไอ้ผู้กอง!
“ทฤษฎีการเลี้ยงเม่นของคุณมันโปรนักไม่ใช่เหรอครับ หาคำตอบเอาเองสิ!” ผมว่าพลางพลิกตัวไปนอนบนเตียงให้เข้าที่เข้าทาง พร้อมกับตลบผ้าห่มคุมโปงเป็นก้อนกลมๆ เพื่อแบ่งแยกตัวเองออกจากไอ้ตัวกวนประสาทให้เร็วที่สุด
น้ำเนิ้มผมก็ไม่อาบแม่งแล้ว
เครียดเคิดอะไรกัน ผมก็ไม่เครียดแม่งแล้ว!

“จากทฤษฏีผมก็พอจะรู้มาบ้างนะครับ ว่าถ้าหากเม่นรู้สึกไม่ปลอดภัย เม่นก็จะขู่และม้วนตัวกลมๆ เก็บทั้งหน้า และขาทั้ง 4 ข้างให้มิด เพราะว่าตรงท้องของเม่นเป็นจุดที่บอบบางที่สุด แต่ผมก็ไม่คิดเลยว่าเม่นตัวนี้จะใช้การถีบเป็นอาวุธ”
“…”

“เห้อ~ ทำไมทฤษฎีนี้ถึงเอามาใช้กับคุณไม่ได้ล่ะเนี่ย ?” ไอ้ผู้กองมันอธิบายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น หากแต่คำพูดของมันที่พ่นออกมามีแต่กวนตีนเท่านั้นที่คู่ควรกับคนอย่างมัน!
ไอ้เวร! ก็กูคือมนุษย์ มึงจะเอาทฤษฎีการเลี้ยงเม่นมาใช้กับกูได้ยังไง!
โว้ย! ลอบกระทืบแม่งซะเลยดีมั้ย ไหนๆ ก็เปลี่ยนแปลงการอนุมัติไม่ได้แล้วเนี่ย ปวดหัว!

“วันเสาร์นี้ ผมจะพาพ่อกับแม่ไปเที่ยวสัตหีบ.. คุณไปกับผมนะ” ลำตัวหนักๆ ของไอ้คุณผู้กองอนิลทาบทับลงบนก้อนกลมๆ อย่างผมที่ซุกซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา
“…”

“การไปเที่ยว มันก็คือการพักผ่อนสมองอย่างนึงนะคุณ”
“...”

“อีกอย่าง.. ผมอยากให้คุณได้เจอพ่อกับแม่ของผมด้วย”
“อื้อ” ผมตอบรับด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มอย่างเก้อเขิน เพราะจู่ๆ ไอ้ผู้กองมันก็จะพาผมไปเจอพ่อกับแม่ของมันซะงั้น ซึ่งการกระทำของมันก็บ่งบอกให้ผมรับรู้ได้ว่า มันเองก็จริงจังกับเรื่องระหว่างเรามาก
แม้ว่าความกวนตีนจะมากกว่าก็ตามเถอะ
เออ! ผมยอมยกเลิกแผนการลอบกระทืบไอ้ผู้กองอนิลก็ได้วะ!

“เม่น..”
“อื้อ” ผมขานรับในลำคอเพียงเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายร้องเรียกชื่อผมขึ้นมาอีกครั้ง

“ตอนนี้คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกแล้วนะ เพราะคุณยังมีผมอยู่ด้วย ถ้าหากคุณไม่สบายใจ เราสามารถแชร์กันได้เสมอนะครับ” ไอ้ผู้กองตัวเขื่องกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มชวนให้รู้สึกอบอุ่นใจ จนส่งผลให้น้ำตามันเริ่มจะคลอจนเต็มหน่วยตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ผมจะไม่ยอมให้ใครมาเห็นน้ำตาของผมหรอก เพราะว่าพ่อกับแม่เคยบอกก่อนที่ท่านจะเสียเพราะอุบัติเหตุว่า ลูกผู้ชายจะต้องเข้มแข็งและไม่ร้องไห้
แต่เวลานี้เม่นไม่โอเคอ่ะครับ
เม่นอยากจะร้อง เม่นอยากจะอ้อนให้ไอ้ผู้กองอนิล มันกลายร่างเป็นผู้ชายอบอุ่นแบบนี้อีกนานๆ

-------------------------------------------
ดราม่าสำหรับเรื่องนี้ก็ไม่เชิงเป็นดราม่าอีกเหมือนกันเนอะ น่าจะเรียกว่าอุปสรรคมากกว่า เพราะเราเชื่อว่าคนทำงานน่าจะเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ หรืออาจจะคล้ายๆ แบบนี้อยู่นะ

ปล. อันที่จริงการที่ผู้กองอนิลพาน้องเม่นไปกินข้าวทุกวันเนี่ย มันก็ตรงกับทฤษฎีการเลี้ยงเม่นที่คุณปราบเค้าเคยพูดอยู่นะ เพียงแต่น้องเม่นยังไม่ได้นึกเอะใจ และก็เคยชินกับมันไปซะก่อน ก็คือข้อที่คุณปราบเคยพูดว่า “ผมศึกษามาครับ เขาบอกว่าถ้าเม่นยังไม่คุ้นกับเรา ให้เราโยนเสื้อไปให้เม่นดม เพราะมันจะช่วยให้เม่นจำกลิ่นของเราได้ หรือไม่ก็ตอนให้อาหาร ให้ป้อนด้วยมือบ่อยๆ ครับ เม่นจะได้ไม่ได้ขู่เรา เพราะเม่นจำกลิ่นของเราได้แล้ว”  และเพราะเหตุนี้นั่นแล คุณปราบถึงต้องพาน้องเม่นไปกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ น้องจะได้เคยชิน กลางดึกถึงได้ออกปากชวนคุณปราบไปกินบะหมี่ด้วยกัน เสาร์ต่อไปถึงได้นัดไปกินกระเพาะปลาด้วยกันไง มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่แอบเขียนแฝงเอาไว้ค่ะ 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-05-2018 12:17:25 โดย Chomin »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :z6:


ร้ายนักน่ะ นังตัวดี

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
นึกๆอยู่ว่านังอิมนี่ต้องมีอะไรสักอย่าง แล้วก็มีจริงๆ
นี่ปราบสอนงานให้นาง  แต่หัวหน้ากลับสั่งให้มาเป็นผู้ช่วยนาง  :fire: :fire:
ตลกกกกกก ร้ายเกินไปแล้ว  :z6: :z6: :z6:
เม่นหางานใหม่ ย้ายเลย     :angry2:   ไอ้หัวหน้างานสับปะรังเค

แอบคิดว่าเพราะปราบกวนจีบเม่นด้วย ไอ้นั่นขาดไอ้นี่หาย
กับคนของตม.เองแหละ  ทำเอกสารหายเอง ชุ่ยเอง
แล้วเป็นภาระให้เม่น  ไอ้เฮงซวยเอ๊ย  :angry2: :angry2: :angry2:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2018 20:06:13 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
✎ 09

การไปทำงานในช่วงเวลาแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกว่ามันไม่น่าสนุกเหมือนอย่างเคย เพราะผมต้องใส่หน้ากากเข้าหาอิม ซึ่งมันเท่ากับว่าผมต้องส่งยิ้มและทักทายเหมือนกับมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ในใจของผม มันรู้สึกไม่อยากจะมองหน้า และไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับเธอคนนี้ พูดตามตรงว่าผมปั้นหน้าไม่เก่งเหมือนอย่างเธอ แต่ผมก็ต้องทำ
“พี่ตั้มบอกให้เราจัดเอกสารใหม่นะเม่น แกบอกว่าให้เราทำเป็นชุดของบริษัทแบบชุดใหญ่ที่ต้องถ่ายและคัดเอกสารให้ครบทุกแผ่นอย่างละชุด ส่วนเอกสารของพนักงาน พวกประกันสังคม กับ ภงด.1 ก็ให้ถ่ายใบปะหน้า แล้วก็หน้าแรกที่มีรายชื่อของคนไทย กับหน้าที่มีรายชื่อของพนักงานคนที่จะยื่นวีซ่า แล้วก็ตามด้วยหน้าสุดท้ายทั้งสองชุด”

“แล้วอิมจะไปยื่นเอกสารเมื่อไหร่เหรอ ?” ผมย้อนถามเพื่อที่จะได้กำหนดเวลาในการเตรียมงานของตัวเองได้ทัน โดยต้องเผื่อเวลาเตรียมงานอบรมเอาไว้ด้วย เพราะอาทิตย์หน้าจะมีการอบรมพนักงานใหม่ ซึ่งผมต้องเรียกรายชื่อและเตรียมงานด้านอื่นๆ ต่ออีก
“เรากะจะไปยื่นก่อนวันที่ 7 เดือนหน้า เพราะเอกสารเก่าๆ จะได้ไม่ต้องเสียเปล่า แต่ก็ไม่แน่ใจว่ากว่าจะได้รับเอกสารที่จะต้องไปขอคัดใหม่เนี่ย มันจะทันหรือเปล่า” ผมพยักหน้าตอบอย่างเข้าใจ เพราะ ภงด.1 เดือนล่าสุดดันส่งไปที่ชลบุรีแล้ว และปกติเราก็ขอคัดเพียงแค่หน้าที่เราต้องใช้งานเท่านั้น ซึ่งถ้าหากจะรอคัดที่นี่ ก็คาดว่ามันน่าจะไม่ทันการ เนื่องจากเอกสารกว่าจะส่งกลับมาที่จอมเทียนก็ตั้งเดือนหน้าโน่น และทางเดียวที่จะลุ้นให้เอกสารมันคัดได้ทัน ก็คือต้องไปคัดที่ชลบุรี หรือไม่ก็อาจจะโชคดีมากๆ ที่ทางชลบุรีส่งกลับมาให้ทางสรรพากรในเขตของเราภายในเวลาอันรวดเร็ว

“อื้อ” ผมส่งยิ้มให้อิม โดยไม่ได้ให้คำแนะนำใดๆ จากนั้นก็เดินไปขอกุญแจเปิดตู้ payroll ของฝ่ายเงินเดือน เพื่อที่จะเอาประกันสังคมไปถ่ายเอกสารให้พร้อม ซึ่งคงต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ เพราะเอกสารของเรามันเยอะมาก อีกทั้งเวลาที่เราเตรียมงานวีซ่า เราก็จะใช้กระดาษหมดไปประมาณครึ่งกล่อง หรือบางเดือนก็จะหมดไปเป็นกล่องเลยก็มี และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้ผมไม่ได้รู้สึกดีใจกับการลดหน้าที่ความรับผิดชอบในการออกไปประสานงานกับทางราชการเลยแม้แต่น้อย เพราะว่างานของผมในตอนนี้ มันก็ไม่ต่างกับงานของเด็กฝึกงาน ที่ต้องทำงานไปตามการป้อนข้อมูล โดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องวางแผนอะไร ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองไร้ประสิทธิภาพ แต่ผมก็ยังหาทางออกให้กับตัวเองไม่พบ ว่าผมควรจะต้องทำอย่างไรต่อไป
มิหนำซ้ำ ผมยังปั้นหน้าใส่อิมได้ลำบากยากเย็นเหลือเกิน

“ไม่คิดเลยเนอะ ว่าเด็กใหม่จะกล้าเลื่อยขาเก้าอี้คนที่สอนงานตัวเองได้รวดเร็วขนาดนั้น” เสียงเครื่องถ่ายเอกสารหยุดทำงานพร้อมๆ กับเสียงพูดคุยของพนักงานแผนกอื่นที่มันดังเล็ดลอดออกมาจากส่วนครัวของออฟฟิศ
“ก็ถ้าไม่ใช่เด็กนาย คิดเหรอว่าจะกล้าทำจนถึงขนาดนั้นน่ะ ?” ผมที่กำลังก้มๆ เงยๆ งัดแงะเครื่องถ่ายเอกสาร เพื่อเอากระดาษที่ติดอยู่ในเครื่องออกมา ก็ถึงคราวต้องชะงักงันขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อผมเริ่มจะประมวลผลได้แล้ว ว่าใครคือบุคคลที่สองสาวกำลังกล่าวถึง

“ก็จริงของแกว่ะปอนด์” แล้วผมก็ถึงบางอ้อทันที เมื่อได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของพี่เลขาหน้าห้องปะปนมากับประโยคเมื่อครู่ ซึ่งผมก็เจ็บใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อสุดท้ายแล้ว อิมก็เป็นเหมือนอย่างที่คนอื่นเขาพูดกัน และสาเหตุที่ทำให้ผมเชื่อ ก็ไม่ใช่แค่ว่าได้ยินมาจากปากของคนอื่น แต่มันเป็นเพราะอิมยังไม่ได้แสดงฝีมือจนประสบความสำเร็จอะไรเลย แล้วจากนั้นผมก็ดันถูกเตะโด่งออกมาเป็นลูกมือของอีกฝ่ายเข้าให้ แถมเดี๋ยวนี้อิมก็ไม่ได้ไปกินข้าวกับผม และก็ไม่ได้ไปกินข้าวกับคนอื่นในแผนกด้วย เพราะเธอแยกตัวออกไปเอง ซึ่งคนที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมถึงไม่กล้าสู้หน้าคนอื่นกันล่ะ
“สงสารก็แต่น้องเม่นนั่นแหละ” ผมกระพริบตาไล่ความอ่อนแอของตัวเองอยู่หลายครั้ง เพราะมันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าการถูกคนที่เราไว้ใจหักหลัง มันรู้สึกแย่มากแค่ไหน ก็ผมน่ะเหมือนเม่นอย่างที่ไอ้ผู้กองอนิลมันว่า และนิสัยของผมก็เป็นคนจำพวกที่ถ้าหากได้ลองเปิดใจให้ใครสักคนเข้ามาในวงเวียนของชีวิตแล้ว นั่นก็หมายความว่า คนๆ นั้นคือคนที่ถูกเลือก ผมถึงไม่เคยใช้เกราะป้องกันตัวใดๆ เลย

“ทำไมกระดาษแม่งติดแน่นขนาดนี้วะ” ผมเริ่มบ่นเมื่อใช้แรงดึงกระดาษที่มันค้างคาอยู่ข้างในเครื่องถ่ายเอกสารมากเท่าไหร่ แต่มันก็ยังดึงไม่ออกสักที แล้วเสียงเตือนดัง ติ๊ดๆ นี่แม่งก็จะดังไปเพื่ออะไรวะ
ไอ้เครื่องถ่ายเอกสารนี่เฮ้ย!
มึงจะเรียกให้คนที่เขากำลังนินทากู รีบวิ่งมาดูหนังหน้าของกูหรือไงวะ!

ครืด ครืด

“อื้อ” ผมรับสายไอ้ผู้กองอนิลหลังจากที่กำลังเคี้ยวข้าวจนเต็มปาก เพราะตอนนี้มันได้เวลาพักที่ผมรอคอยแล้ว ซึ่งผมก็ปลีกวิเวกมาหาอะไรกินเพียงลำพัง
(เสาร์นี้ยกเลิกไปทะเลสัตหีบนะครับ พอดีพ่อกับแม่ผมไม่โอเคเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะต้องไปลงเรียนคอร์สเล่นเรือใบน่ะครับ เราก็เลยเปลี่ยนแผนกันว่า ตอนเย็นๆ สักสี่ห้าโมง เราจะไปหาอะไรกินที่ไร่องุ่นกัน คือที่นั่นจะมีร้านอาหารอยู่ร้านนึง ขายพวกพิซซ่า สเต็ก สลัด น่ะครับ พ่อกับแม่ของผมท่านไม่ค่อยได้กินของพวกนี้ ผมก็เลยกะว่าจะพาพวกท่านไปกิน เพราะเคยได้ยินมาว่า พิซซ่าแป้งบางของที่นั่นอร่อย)

“อ่าฮะ” ผมตอบรับไอ้ผู้กองอนิลหัวหน้าทัวร์ประจำทริปในวันเสาร์ พร้อมกับตักข้าวผัดร้อนๆ ของร้านอาหารตามสั่งแถวๆ ร้อยหลัง ซึ่งก็คือร้านเดิมที่ผมเคยพาไอ้คุณอนิลไปกินก๋วยจั๊บนั่นแหละ
(ส่วนตอนค่ำๆ สักทุ่มสองทุ่ม ผมก็ว่าจะพาพ่อกับแม่ไปดูแพลงก์ตอนบลูมที่บางแสนน่ะครับ คุณสนใจจะไปดูด้วยกันไหม ?)

“จะไปที่นั่นมันต้องแล้วแต่ดวงนะคุณ เราจะไม่ไปเสียเที่ยวกันเหรอ ?” ผมย้อนถามทันทีที่นึกขึ้นได้ว่ากิจกรรมของอีกฝ่ายมันต้องแล้วแต่ความเห็นใจของธรรมชาติด้วย เพราะปรากฏการณ์นี้มันขึ้นอยู่กับดวงล้วนๆ
และที่ผมรู้ ก็เพราะว่าผมอ่านมาจากในอินเตอร์เน็ตน่ะสิ!

(ของอย่างนี้มันต้องลองเสี่ยงดูครับ มันถึงจะได้รับผลที่คุ้มค่า)
“…”

(ไปนะ.. ผมอยากให้คุณไปด้วยกัน)
“อื้อ” ผมรับปากอย่างเลื่อนลอย เมื่อได้ยินเสียงออดอ้อนของไอ้ผู้กองอนิล ที่มันหาโอกาสฟังได้ยาก และถึงแม้ว่ากิจกรรมที่เราจะต้องไปทำกันในวันเสาร์ จะไม่เชิงเป็นการไปท่องเที่ยวพักผ่อนก็ตามที แต่อย่างน้อยการได้ไปทานมื้อเย็นกับครอบครัวของไอ้คุณอนิล ก็เป็นกิจกรรมที่คาดว่ามันจะทำให้ช่วงชีวิตของผม ได้พบเจอกับอะไรที่มันดีกว่าการต้องถูกเพื่อนที่ไว้ใจหักหลัง

หลังจากตรากตรำทำงานต่ออีกสองวัน และแล้วช่วงชีวิตของผมก็ได้พบเจอกับวันหยุดที่สุดแสนจะรอคอยกันเสียที ซึ่งผมก็ยังคงคอนเซ็ปเดิม คือต้องการใช้ชีวิตอยู่บนเตียงให้นานที่สุด แม้ว่าตอนเช้าจะยังคงมีมอร์นิ่งคอลให้ได้ใช้บริการอยู่เพียงครู่ก็ตาม กระทั่งบ่ายโมงตรง ผมก็ลงมาปิ้งขนมปังและชงโกโก้ร้อนๆ ทานรองท้อง จากนั้นก็ทำความสะอาดบ้านไปเรื่อยเปื่อย และพอใกล้เวลานัดหมาย ผมก็เดินขึ้นไปอาบน้ำข้างบน ใช้เวลาแต่งตัวเพียงไม่นาน เสียงเครื่องยนต์จากรถของใครบางคนก็ดังขึ้นตรงหน้าบ้าน ผมจึงรีบหยิบกระเป๋าสตางค์ยัดใส่กางเกง พร้อมกับเอาโทรศัพท์หย่อนลงในกระเป๋าเสื้อ ส่วนมือก็ถือกุญแจบ้านและกุญแจรถของตัวเองไปด้วย
“สวัสดีครับ” ทันทีที่เปิดประตูตรงเบาะหลังและโผล่หน้าเข้าไปเจอกับคุณแม่ของไอ้ผู้กองอนิล ผมก็รีบยกมือไหว้ทักทายท่านด้วยความเกร็งและวางตัวไม่ถูก จากนั้นเมื่อผมเข้ามานั่งอยู่ในรถเรียบร้อยดีแล้ว ก็รีบยื่นหน้าไปไหว้ทักทายคุณพ่อที่นั่งอยู่ตรงเบาะข้างคนขับ แล้วก็นั่งมองวิวตลอดสองข้างทางด้วยความเงียบงัน

กระทั่งรถเคลื่อนเข้ามาจอดตรงลานกว้างแถวๆ ร้านอาหารเรียบร้อยแล้ว คุณพ่อกับคุณแม่ของไอ้ผู้กองก็พากันเดินนำหน้าไปยังสวนเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้าร้านอาหาร ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสวนของไร่องุ่นที่ยังคงเปิดให้นักท่องเที่ยวมาเข้าชม และด้วยความที่วันนี้เป็นวันเสาร์ อีกทั้งยังเป็นเสาร์ที่แดดร่มลมตก จึงทำให้นักท่องเที่ยวแห่กันมาจนเยอะแยะ

“จากที่ผมศึกษามานะครับ เวลาที่เม่นรู้สึกแปลกที่ เม่นจะอึครับ คุณอยากเข้าห้องน้ำไหมครับ เดี๋ยวผมพาไป” เอาแล้วไง ไอ้ผู้กองมันเริ่มจะกวนตีนลับหลังพ่อกับแม่ของมันเข้าให้แล้ว
“อ๋อ คุณจะพาผมไปฆ่าคุณหมกส้วมใช่ไหมครับ โอเคเลยครับคุณอนิล” ผมยิ้มรับพลางพยักหน้าหงึกหงักจนใครบางคนถึงกับทำหน้างอ แต่ขอโทษทีเถอะ ไอ้ผู้กอง นานๆ ทีกูจะเอาชนะมึงได้ ขอให้กูได้สาใจแก่หน่อยเถอะ!

“โธ่เม่น ทำไมคุณใจร้ายกับผมจังครับ” อีกฝ่ายกล่าวตัดพ้อ พลางเอื้อมมือมากอบกุบฝ่ามือของผมไว้ พร้อมแกว่งไกวไปมาราวกับเด็ก
“ก็คุณมันชอบกวนตีนไงครับ” ผมกล่าวเสียงเข้มพลางสะบัดมือของอีกฝ่ายออก แต่ฝ่ามืออันซุกซนคู่นั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ จนสุดท้ายผมก็ต้องยอมให้ไอ้ผู้กองมันแกว่งมือผมเล่นเหมือนเดิม กระทั่งเราเดินมาจนถึงบริเวณที่พ่อกับแม่เลือกที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ไอ้คุณอนิลมันก็เลิกวอแวผมได้สักที ซึ่งที่นั่งที่พวกท่านหมายปองก็อยู่ตรงระเบียงใกล้สวนดอกไม้นี่เอง เรียกได้ว่าเป็นที่นั่งที่ได้อินกับบรรยากาศแบบป่าเขาแบบสุดๆ แถมยังอยู่ใกล้กับโรงอบพิซซ่าอีกต่างหาก

“พ่อกับแม่จะกินอะไรครับ วันนี้เจ้ามืออย่างผมเลี้ยงเต็มที่ เชิญปล้นได้เลยครับ” ไอ้ผู้กองอนิลกล่าวพลางลุกขึ้นยืนและตบเบาๆ ที่กระเป๋ากางเกงซึ่งเหน็บกระเป๋าสตางค์เอาไว้ ราวกับต้องการจะบอกกลายๆ ว่าวันนี้มันเป็น ‘ป๋า’ นะ แล้วก็กระเป๋าตังค์หนักมากๆ ด้วย ทำเอาพ่อกับแม่ของมันหัวเราะกันยกใหญ่ จากนั้นพวกท่านก็พากันดูเมนูด้วยความมึนงง เพราะว่ามันเป็นภาษาอังกฤษ สุดท้ายไอ้ผู้กองที่เคยมากินร้านนี้ก็เลยต้องเป็นคนสั่งไปโดยปริยาย

“เราน่ะ ชื่อเม่นใช่มั้ย ?” คุณพ่อผู้มีท่าทางใจดีเอ่ยถามผมที่นอกจากการกินแล้ว ก็ทำได้แค่นั่งปั้นหน้ายิ้มบางๆ ประกอบบทสนทนาของสามคนพ่อแม่ลูก ที่ผมรู้สึกว่ามันน่ารักดี ซึ่งบทสนทนาเหล่านั้นก็ไม่ได้มีเรื่องราวพิเศษอะไร นอกจากกล่าวถึงบรรยากาศรอบกาย รสชาติของอาหาร แต่ไหงหัวเรื่องมันถึงได้มาจบลงที่ผมได้ล่ะเนี่ย
“ครับ”

“แล้วเราทำงานอะไรล่ะ ?” แม้ว่าคุณพ่อจะสอบถามด้วยท่าทางใจดีขนาดนั้น แต่ผมก็ยังเกร็งๆ อยู่ดี
“เอ่อ.. ฝ่ายบุคคลครับ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงของคนไร้ความมั่นใจ พร้อมกับยกยิ้มส่งไปให้กับคุณพ่อและคุณแม่ที่เอาแต่นั่งมองผมด้วยความสนใจ ขณะที่ลูกชายของพวกเขากลับเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา แถมยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่เปลี่ยน
สงสัยแม่งจะฟินมากที่พ่อกับแม่ของตัวเองมานั่งซักประวัติผมขนาดนี้
ไม่ช่วยกูเลยนะมึงไอ้ผู้กอง!

“แล้วเราไปเจอกับเจ้าปราบได้ยังไงล่ะ ?” คุณพ่อยังคงตั้งคำถามต่อไป ราวกับท่านรับรู้ได้ว่าผมกำลังวางตัวไม่ถูก ก็เลยอยากจะหาบทสนทนาที่ผมพอจะร่วมวงคุยด้วยได้ แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องนี้ไงครับ
โธ่! คุณพ่อครับ เห็นใจไอ้เม่นด้วย!

“ผมทำฝ่ายบุคคลในส่วนที่ต้องไปยื่นเอกสารวีซ่าน่ะครับ ก็เลยได้ไปเจอกันที่นั่น”
“อ้อ” คุณพ่อพยักหน้ารับรู้พลางอมยิ้มให้กับการเจอกันของเราในสถานที่ที่สุดแสนจะวุ่นวาย ซึ่งผมอยากจะบอกคุณพ่อว่า ‘โธ่ คุณพ่อครับ อย่าได้คิดว่าการเจอกันของเรามันจะโรแมนติกเลยครับ’ เพราะในความเป็นจริงแล้ว แม่งนรกแตกเถอะครับ เสียงก็ดัง ร้อนก็ร้อน วุ่นวายก็โคตรจะวุ่นวาย แถมความสัมพันธ์ระหว่างผมกับลูกชายของคุณพ่อในตอนนั้น ก็มีแต่กวนตีนกับกวนตีนเท่านั้นครับที่คู่ควรกับคนอย่างมัน!

“เราคงจะไปที่ทำงานของเจ้าปราบบ่อยเลยล่ะสิ ถึงได้มาคบหากันได้”
“…” ผมไม่ตอบอะไร นอกจากส่งยิ้มบางๆ ไปให้คุณพ่อกับคุณแม่ที่นั่งอยู่ทางฝั่งตรงข้าม เพราะถ้าหากผมได้พูดออกไป มีหวังผมได้บ่นไอ้ผู้กองยาวเหยียดแน่ๆ แถมยังอยากจะกระทืบลูกชายของคุณพ่อให้แบนคาตีนอีกด้วย
ก็เพราะมันนั่นแหละครับ ทำให้ผมต้องเอาเอกสารไปส่งให้ครั้งแล้วครั้งเล่า!

“เม่นเขาชอบเอาเอกสารมาให้ผมไม่ครบครับพ่อ สงสัยว่าจะแอบวางแผนจีบผมไว้ล่วงหน้าแน่ๆ” เมื่อไอ้ผู้กองมันเห็นว่าผมไม่ยอมตอบคำถาม มันก็รีบเสนอหน้าเข้ามาตอบอย่างรวดเร็ว
แต่เดี๋ยวนะมึง เรื่องที่มึงพูด ทำไมมันเหมือนหนังคนละม้วนกันเลยวะ ?
ไอ้ผู้กองเวรนี่ มึงชักจะเพ้อเจ้อใหญ่แล้ว!

ตึ่บ!

“พอดีเอกสารของบริษัทผมมันเยอะน่ะครับคุณพ่อ ก็เลยทำให้เจ้าพนักงานชอบทำเอกสารของผมหาย” ผมกระทืบเท้าไอ้ผู้กองอย่างแรง พลางกัดฟันตอบคุณพ่อด้วยรอยยิ้ม ขณะที่หางตาก็เหล่มองไปยังคนข้างๆ ก็เลยพบว่ามันกำลังทำสีหน้าเจ็บปวดอยู่
“แล้วเม่นเป็นคนจังหวัดอะไรล่ะจ๊ะ” คุณแม่เป็นฝ่ายสอบถามขึ้นมาบ้าง ซึ่งมันก็เป็นการดีที่ผมจะได้ออกห่างจากหัวข้ออันล่อแหลมที่มันเสี่ยงต่ออารมณ์ของขึ้นเป็นอย่างมาก

“ชลบุรีครับ ผมเป็นคนพื้นที่”
“ถ้ายังไงพ่อฝากดูๆ เจ้าปราบมันหน่อยนะเม่น มันต้องมาอยู่ที่นี่คนเดียว พ่อเองก็กังวล”

“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะช่วยคุมความประพฤติให้ครับ แต่อันที่จริง ปราบเขาก็มีเพื่อนสนิทอยู่ที่นี่เหมือนกันนะครับ” ผมตอบอย่างนอบน้อม พลางอดสงสัยไม่ได้ว่า คุณพ่อไม่รู้หรือไงว่าลูกชายตัวดีไปร่วมหุ้นเปิดร้านนั่งชิลด์ริมทะเลกับเพื่อนน่ะ แถมเพื่อนก็ยังเป็นคนพื้นที่ซะด้วย
ลูกชายของพ่อไม่ได้โดดเดี่ยวนะครับ

“ให้เพื่อนช่วยดู มันจะไปเหมือนกับให้แฟนช่วยดูได้ยังไงล่ะเม่น” คุณแม่กล่าวพลางกลั้วหัวเราะ ทำเอาผมต้องหัวเราะตามอย่างเสียไม่ได้ เพราะอันที่จริงในใจของผมนั้นกำลังเสียจริตมากๆ เลยโว้ย! คือตอนนี้ผมได้รับความไว้วางใจจากครอบครัวของแฟนแล้วเหรอวะเนี่ย!
โห แม่งโคตรเร็วเลยว่ะ พ่อกับแม่ไม่คิดจะหวงไอ้ผู้กองมันหน่อยเหรอครับ ?
หวงสักนิดก็ยังดีนะครับ เพราะบางทีผมยังอยากจะกระทืบมันอยู่เลยครับ

หลังจากเช็คบิล ไอ้ผู้กองมันก็พาเราออกเดินทางจากสัตหีบเพื่อมุ่งตรงไปยังบางแสน ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางสักพักใหญ่ และครั้งนี้คุณพ่อก็ย้ายมานั่งข้างหลังกับคุณแม่ ผมก็เลยต้องย้ายตัวเองไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถของไอ้ผู้กองอนิลตามเดิม เพิ่มเติมคือมันไม่กวนตีนใส่ผมต่อหน้าพ่อกับแม่ของตัวเองครับ
ซึ่งก็ดี ผมจะได้งดประสาทแดกชั่วคราว
เพราะแค่นี้ก็ถือว่าผมได้ไปเที่ยวพักผ่อนสมองอย่างแท้จริงแล้วล่ะครับ

สถานที่ยอดฮิตสำหรับการไปดูแพลงก์ตอนบลูม หรือภาษาชาวบ้านก็คือ ‘ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ’ เนี่ย มันอยู่ที่สะพานปลาแถวหาดวอนนภาครับ เพราะว่ามันเป็นจุดที่มืดที่สุด จึงทำให้มองเห็นทะเลเรืองแสงได้สวยงามที่สุด ซึ่งเราจะต้องไปจอดรถไว้ที่ลานอเนกประสงค์ เนื่องจากว่าบริเวณนั้นไม่ค่อยมีที่จอดสำหรับรถใหญ่ จากนั้นก็ต้องเดินเท้าเอาครับ และอุปสรรคอันใหญ่หลวงเลยก็คือ ‘กลิ่น’ เพราะเจ้าแพลงก์ตอนบลูมเนี่ย กลิ่นของมันตามที่เขารีวิวกันมา ต่างก็บอกกันให้แซ่ดว่าเหมือนกับปลาเน่าตายมาหลายวัน ซึ่งผมเองก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่ากลิ่นของมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
ซึ่งเท่ากับว่าเจ้าแพลงก์ตอนบลูมอะไรนี่
มันสวยก็จริงครับ แต่แม่งเหม็นโคตร!

“ไม่เห็นมีอะไรที่แกนำเสนอเลยวะเจ้าปราบ” คุณพ่อกล่าวขึ้น เมื่อเราเริ่มเดินมาจนถึงตัวสะพานปลา ซึ่งก็มีนักท่องเที่ยวมารอชมปรากฏการณ์ธรรมชาติในครั้งนี้อย่างมากมาย
“เราต้องเดินไปให้ลึกกว่านี้ครับ มันถึงจะเห็นชัด” ไอ้คุณปราบมันเดินประคองคุณแม่ของมันไม่ห่าง ขณะที่มันก็คอยตอบคำถามคุณพ่อของตัวเองไปด้วย ผมที่เดินตามหลังก็เลยได้แต่มองภาพของครอบครัวนี้ด้วยความรู้สึกคิดถึงพ่อกับแม่ของตัวเองจับใจ

“คุณเห็นไหม ผมบอกแล้วว่าของอย่างนี้มันต้องยอมเสี่ยงถึงจะคุ้มค่า” กระทั่งเราเดินเรื่อยมาจนผ่านพ้นบริเวณที่มีแสงสว่างส่องถึง เราก็เริ่มจะมองเห็นแสงสีฟ้าๆ ลอยฟุ้งอยู่ตรงโคนเสาหินปูนแทบทุกต้น
“อื้อ” ผมพยักหน้าพลางส่งยิ้มไปให้กับไอ้ผู้กองอนิลที่กำลังเปลี่ยนมาจับจูงข้อมือของผมแทน เพราะในตอนนี้คุณแม่และคุณพ่อกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มันหาดูได้ยากอย่างตื่นตาตื่นใจ

“แต่ตรงนี้กลิ่นไม่ค่อยเหม็นเลยเนอะคุณ” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อเราเดินเข้าไปสมทบกับผู้ใหญ่ทั้งสอง
“คงเพราะลมมันแรงด้วยมั้งคุณ ถือว่าเป็นโชคดีของเราไป”

“พ่อครับ แม่ครับ ปลายสะพานไม่มีคนเลย ผมว่าเราไปดูตรงนั้นกันดีกว่าไหมครับ ?”
“แกไปกับเม่นเถอะ พ่อกับแม่อยู่ดูตรงนี้ดีกว่า” เมื่อผู้ใหญ่ท่านปฏิเสธ ไอ้ผู้กองอนิลมันก็ลากให้ผมเดินตามไปยังสุดปลายทางของสะพานแห่งนี้ด้วยความมุ่งมั่น

“ทางผมมีการปรับเปลี่ยนการยื่นเอกสารใหม่แล้วนะคุณ มันน่าจะช่วยแก้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นได้เยอะเลย” ไอ้ผู้กองอนิลกล่าวขึ้นในขณะที่มันยังคงลากผมไปยังจุดหมายปลายทาง
“อื้อ ผมรู้แล้วล่ะ เพราะอันที่จริงผมก็ยังต้องเกี่ยวข้องกับงานนี้อยู่” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย พลางอดคิดไม่ได้ว่า การแก้ปัญหาในครั้งนี้ ก็คงจะทำให้อิมได้ความดีความชอบไปโดยปริยาย

“อ่าฮะ ผมเองก็พอจะทราบขอบเขตงานของคุณแล้วเหมือนกัน พอดีผมถามมาจากเพื่อนของคุณน่ะ”
“หึ” ผมหลุดหัวเราะอย่างนึกขำในคำจำกัดความของคำว่า ‘เพื่อน’ ที่อีกฝ่ายกล่าวออกมาอย่างไม่รู้อะไร แต่กับผมที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ ก็คงไม่อาจเอื้อมจะไปเป็นเพื่อนกับเธอคนนั้นหรอก

“คุณเรียกเธอว่าเพื่อนร่วมงานของผม น่าจะเหมาะกว่าครับ”
“คุณโอเคนะเม่น ?” อีกฝ่ายเอ่ยถามเสียงอ่อน ขณะที่สีหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความห่วงใยอย่างชัดเจน

“…” ผมไม่ตอบอะไร นอกจากหันไปมองตาอีกฝ่าย แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิตรงจุดหมายปลายทาง ซึ่งก็คือบริเวณที่มืดที่สุด เพราะมันอยู่ตรงสุดปลายทางของสะพานปลาแห่งนี้ และมันก็ทำให้ผมมองเห็นทะเลเรืองแสงอย่างงดงาม ซ้ำยังไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์มาให้เสียอารมณ์อีกด้วย
“พอคลื่นซัดแรงๆ มันก็เรืองแสงชัดเลยเนอะคุณ” ผมหันไปพูดกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่เคียงข้างกันเงียบๆ หลังจากที่บทสนทนาในเรื่องนั้นต้องจบลงกลางคัน

“อื้อ สวยดี” ไอ้ผู้กองอนิลมันตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย พลางหันมาส่งยิ้มให้ผมที่จ้องมองมันอยู่ก่อนแล้ว
“เดี๋ยวมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี.. ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะคุณเป็นคนบอกกับผมเอง” ผมจ้องหน้าพลางพูดกับไอ้ผู้กองอนิลอย่างจริงจัง สาเหตุหนึ่งก็เพื่อย้ำกับตัวเอง และอีกสาเหตุหนึ่งก็เพื่อให้ใครอีกคนสบายใจ

“อื้อ มันจะต้องผ่านไปได้ด้วยดีแน่ๆ” ชายหนุ่มผู้ที่เคยมีรอยยิ้มกวนตีน บัดนี้เขากลับส่งรอยยิ้มอย่างอบอุ่นมาให้ผมอีกแล้ว มิหนำซ้ำฝ่ามือใหญ่คู่นั้นก็ยังเอื้อมมาลูบไล้เส้นผมที่กำลังปลิวไสวไปตามแรงลมอย่างอ่อนโยน ทำเอาหัวใจของผมรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะปราบ” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิว พลางมองตรงไปยังแสงสีฟ้าครามในท้องทะเลอันมืดสนิท ขณะที่ความอบอุ่นจากใครอีกคนก็ยังไม่ห่างหายไป

“อืม ถ้าต้องการเมื่อไหร่ก็แวะมา..”
“เซเว่นน่ะเหรอ ?” ผมแกล้งย้อนถามพร้อมกับยกยิ้มกว้าง เมื่อไอ้ผู้กองอนิลมันถึงขั้นแปลงสโลแกนของเซเว่นที่ว่า ‘ถ้าหิวเมื่อไหร่ก็แวะมา’ ขึ้นมาพูดเฉย
แถมแม่งยังทำให้ผมใจสั่นได้อีกด้วยนะ

“โธ่คุณ.. ถ้า ‘หิว’ น่ะไปเซเว่นก็ได้อยู่ แต่ถ้าต้องการ ‘กำลังใจ’ ต้องมาหาผมคนเดียวครับ เพราะถ้าหาจากที่อื่นน่ะ มันไม่ฟินเท่าหาจากผมหรอก!”


-------------------------------------------------------

เหลืออีกประมาณ 3 ตอน เรื่องนี้ก็ใกล้จะจบลงอย่างสมบูรณ์แล้วค่ะ เพราะว่าเรื่องนี้เป็นพล็อตที่คิดขึ้นได้ชั่ววูบจริงๆ เนื้อหามันเลยไม่มีอะไรมาก และในตอนนี้ ผู้กองอนิลก็จะอบอุ่นหน่อยๆ

แพลงก์ตอนบลูม (Bloom)
เกิดจากแพลงก์ตอนพืชชนิดหนึ่งมีชื่อว่า น็อคติลูก้า Noctiluca มีสาหร่ายสีเขียวอาศัยแบบพึ่งพาอาศัยอยู่ในตัวของมัน เมื่อได้รับธาตุอาหารจากการที่ฝนตกหนักและพัดพาลงสู่ทะเล ทำให้แพลงก์ตอนชนิดนี้เพิ่มจำนวนทวีคูณ เมื่อมีจำนวนมากพวกมันก็แย่งกันหายใจ ทำให้ออกซิเจนละลายน้ําลดลง อีกทั้งยังใช้ในการย่อยสลายซากที่ตายแล้ว จนทําให้ไม่เพียงพอต่อการหายใจและการดํารงชีวิตของปลาและสัตว์ทะเลในบริเวณนั้น

แล้วมันเรืองแสงได้อย่างไร ?
ความสามารถพิเศษของแพลงก์ตอนชนิดนี้ เมื่อถูกรบกวนมันจะเปล่งแสงออกมา ลองสังเกตได้จากตอนที่มีคลื่นกระทบ หรือยอดเกลียวคลื่น หรือแม้แต่การเอาไม้ไปตีวนในน้ำก็ทำให้เกิดแสงเรืองๆ ได้เช่นกัน

ที่มา : เพจห้องแลปหรรษา สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-05-2018 13:05:54 โดย Chomin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Again and again #ปราบเม่น ✎ ตอน 09 ✎ update 22/05/2018
« ตอบ #19 เมื่อ: 22-05-2018 12:29:57 »





ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
✎ 10

ในช่วงเวลาของการทำงาน ผมยังคงรู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นดอกบัวที่อยู่ภายใต้โคลนตม ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีอากาศ ไม่มีอะไรเลย เพราะนับวันผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ ไร้ความสามารถมากเข้าไปทุกที อีกทั้งยังไร้หนทางที่จะก้าวหน้า ด้วยเพราะการเปลี่ยนแปลงจากทาง ตม. ที่มีการแจ้งให้เตรียมเอกสารในรูปแบบที่มันรัดกุมขึ้น โดยจะไม่มีการคัดเอกสารใดๆ ทิ้งไป เพราะเอกสารทั้งหมดที่เคยถูกคัดทิ้ง จะกลายเป็นเอกสารในกองของบริษัท และนั่นก็เป็นสาเหตุให้การใช้กระดาษของบริษัทประหยัดขึ้นด้วย เนื่องจากว่ากองเอกสารสำหรับการยื่นวีซ่าของพนักงานในแต่ละคนนั้น พวก ภงด.1 จากที่เคยต้องใช้ใบปะหน้า รายชื่อพนักงานคนไทยตั้งแต่ 1-30 และรายชื่อต่างชาติทั้งหมดที่มีในบริษัท ปิดท้ายด้วยสามหน้าสุดท้าย ก็ถูกปรับเปลี่ยนเป็น รายชื่อของพนักงานต่างชาติเนี่ย ไม่ต้องเอาทั้งหมด แต่ให้เอาแค่หน้าที่มีรายชื่อของพนักงานคนที่จะทำการยื่นเรื่องวีซ่าเท่านั้น แล้วก็ตามด้วยหน้าสุดท้าย ส่วนประกันสังคมก็ใช้เหมือนกัน

ซึ่งความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ มันส่งผลกระทบมาถึงผมเต็มๆ เพราะอิมได้รับการชื่นชมเป็นอย่างมากว่าเธอทำงานได้ดี อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายของบริษัท ส่งผลให้วันต่อมาเธอได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับชาวต่างชาติอย่างเต็มตัว และเงินเดือนก็ถูกอัพเพิ่มในเวลาอันรวดเร็ว ส่วนผมก็ถูกเตะโด่งไปยังฝ่ายอบรมอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งก็ทำได้แค่เป็นผู้ช่วยในการจัดเตรียมสถานที่ ไม่ได้มีสิทธิ์พูดเป็นวิทยากรหรืออะไร นอกจากนี้ผมยังมีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับสวัสดิการพนักงาน รวมไปถึงงานด้านประกันสังคม พร้อมทั้งงานด้านอื่นๆ เช่น การคีย์ประวัติของพนักงาน การตรวจสอบเวลาการทำงาน ซึ่งมันก็เป็นงานที่ผมเคยทำมาจากที่เก่าอยู่แล้ว เพียงแต่สถานการณ์ที่มันทำให้ผมต้องมารับหน้าที่ตรงนี้ ดันกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกแย่
และก็ไม่อาจจะเรียกร้องความรู้สึกที่เสียไป ให้มันหวนกลับคืนมาได้

แต่จากเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้ผมทราบความลับของไอ้ผู้กองอย่างหนึ่งล่ะ คือปกติแล้ว ถ้าหากเอกสารขาดหายหรือว่าไม่ครบตามที่กำหนด คนที่จะโทรตามก็มักจะเป็นพี่ตั้ม เพราะว่าพี่แกจะต้องตรวจเอกสารก่อนที่จะส่งให้กับไอ้ผู้กองอนิล ซึ่งแรกๆ ผมเองก็นึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน แต่เพราะที่ผ่านมา ผมไม่เคยเตรียมเอกสารพลาด เนื่องจากที่ทำงานเก่าของผมเอกสารไม่เยอะเท่ากับที่นี่ ผมก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก กระทั่งอิมมารับหน้าที่ตรงนี้ได้สักพัก
ผมถึงได้รู้ว่า คนที่เธอมักจะติดต่อด้วยกลับกลายเป็นพี่ตั้ม

ส่วนตอนนี้ ผมกำลังลังเลว่าจะลาออกดีหรือเปล่า เพราะงานของฝ่ายบุคคลมันก็ไม่ได้หากันได้ง่ายๆ เนื่องจากว่ามันเป็นงานที่ออกจะมั่นคงพอสมควร คนเก่าๆ ก็เลยไม่ค่อยจะลาออกสักเท่าไหร่ และนอกจากนี้ ผมยังต้องมานั่งชั่งน้ำหนักเพื่อเลือกระหว่าง ‘งานฝ่ายบุคคล’ ที่ทำมาเป็นระยะเวลาหลายปี กับ ‘อาชีพนักดนตรี’ ที่ผมละทิ้งมันไปเป็นเวลานาน เนื่องจากผมยังคงคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับงานนี้
แต่พอไอ้ผู้กองอนิลมันบอกว่า ตอนนี้ทางร้านที่มันเป็นหุ้นส่วน มีโครงการจะรับนักดนตรีคลาสสิกมาเล่นที่ร้าน ซึ่งตำแหน่งที่เปิดรับก็จะมีไวโอลินและเปียโน ดังนั้นไอ้คุณอนิลมันก็เลยอยากให้ผมไปลองทดสอบฝีมือดู เผื่อว่าเพื่อนของมันจะเห็นชอบ และผมก็จะได้ทำงานที่ตัวเองสบายใจ
หรือถ้าหากผมคิดว่างานฝ่ายบุคคลมันโอเคกว่า
ไอ้ผู้กองมันก็จะไม่คัดค้านในเส้นทางที่ผมเลือกเดิน

“เห้อ~” ผมหลุดถอนหายใจออกมาในจังหวะที่ไอ้ผู้กองมันเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ
“คุณยังมีเวลาอีกตั้งเดือนนึง อย่าเพิ่งซีเรียสสิครับ” ไอ้ผู้กองในสภาพหัวเปียกซก แถมยังนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆ บริเวณที่ผมกำลังนอน จึงทำให้เวลาที่ไอ้บ้านี่มันเช็ดผม ละอองน้ำก็จะกระเซ็นเข้าใบหน้าของผมเต็มๆ
แต่ด้วยความที่ผมมีเรื่องให้ต้องคิดอีกเยอะ ผมก็เลยไม่ด่ามันเหมือนอย่างเคย

“เม่น” อีกฝ่ายเอ่ยเรียก เมื่อผมลุกขึ้นมานั่งแล้วก็แย่งผ้าขนหนูผืนเล็กไปจากมัน
“หืม ?” ผมขานรับในลำคอ พลางลงมือเช็ดผมของอีกฝ่ายให้แห้งหมาด

“ไหนๆ คุณก็มีโอกาสได้ทดสอบตัวเองแล้ว ผมไม่อยากให้คุณพลาดโอกาสเลยนะ”
“…”

“อีกอย่าง.. คนเราก็ไม่ได้มีทางเลือกถึงสองทางได้ง่ายๆ หรอกนะคุณ ดูอย่างผมสิ มีคำสั่งให้ย้ายมา ผมก็ต้องย้าย”
“…”

“แถมทางเลือกใหม่ของคุณน่ะ ก็ยังเป็นทางเลือกที่คุณคุ้นเคยกับมันดี.. ผมว่าการไปทดสอบในครั้งนี้ มันอาจจะทำให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้นก็ได้ ว่าจริงๆ แล้ว อาชีพนักดนตรีมันไม่เหมาะกับคุณอย่างที่คิดจริงๆ หรือเปล่า”
“อื้อ แต่คุณต้องช่วยผมเลือกเพลงที่จะเล่นด้วยนะ” พอได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น ผมก็นิ่งเงียบไปนานมาก ก่อนจะตัดสินใจได้ว่า ผมควรจะไปเข้ารับการคัดเลือกนักดนตรีของทางร้านก่อน
ส่วนผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นยังไง ก็เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที

“ไม่มีปัญหาเลยครับ”

จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ วันที่ผมผ่าน ‘โปรเบชั่น’ เรื่องการเลื่อยขาเก้าอี้ก็ยังคงถูกโจษจันไปทั่วทั้งบริษัท และมันก็ทำให้ผมเพิ่งจะทราบว่า จริงๆ แล้ว เรื่องการเตรียมเอกสารมันไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน และเบื้องบนก็ทราบเป็นอย่างดี เพราะปัญหานี้มันเกิดขึ้นจนเรื้อรัง แต่สาเหตุที่มันทำให้ตำแหน่งนี้ กลายเป็นตำแหน่ง ‘เก้าอี้ร้อน’ ก็เพราะว่าพวกเขาต่างก็เบื่อหน่ายกับการทำงานที่ยุ่งยาก ส่วนเหตุที่เกิดขึ้นกับผม ก็อย่างที่ทราบกันดีว่า ‘อิม’ เลื่อยขาเก้าอี้ผมจริงๆ และยังเหยียบซ้ำด้วยการบอกว่าผมไม่มีงานทำ ที่ผมรู้ก็เพราะว่าผมบังเอิญได้ยินหัวหน้าคุยกับพี่ปอนด์ที่เป็นเลขาในห้องครัวของออฟฟิศ ซึ่งห้องครัวก็เป็นแหล่งรวมสารพัดเรื่อง ที่เกิดขึ้นในบริษัทนั่นแหละ ไม่ใช่แค่เรื่องของผม เพราะเรื่องของคนอื่น ผมก็ได้ยินมาจากที่นี่เหมือนกัน แต่หลายๆ คนอาจจะไม่รู้ ว่าพวกพนักงานต่างชาติชอบไลน์มาบ่นกับผมเป็นประจำว่าเขาติดต่องานกับอิมไม่รู้เรื่อง
ผมก็ทำได้แค่รับฟัง เพราะผมไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว

“ผมว่าจะเล่นเพลง From This Moment On คุณคิดว่าไง ?” ผมถามไอ้ผู้กองอนิล พลางยื่นหูฟังไปให้มัน ในระหว่างที่เรามากินข้าวด้วยกันในตอนพักเที่ยง ซึ่งเพลงๆ นี้ มันเป็นเพลงที่นิยมเล่นในงานแต่ง และผมก็คิดว่ามัน น่าจะเข้ากับบรรยากาศริมทะเลไม่น้อยเลยล่ะ
“ก็ดีนะคุณ ผมว่าเอาเพลงนี้แหละ” หลังจากฟังจบ ไอ้ผู้กองอนิลก็ให้ความเห็นตรงกัน

“แต่เพลง Perfect ของ Ed Sheeran ก็ดีนะคุณ” ผมเลือกอีกเพลงหนึ่งให้ไอ้ผู้กองอนิลฟังทันที เพราะผมกำลังลังเลระหว่างสองเพลงนี้มาตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว
“อืม ผมชอบทั้งสองเพลงนะ”

“แล้ว ?” ผมย้อนถามอย่างต้องการความคิดเห็นที่มันมากกว่านี้
“ถ้าให้เทียบกันระหว่างสองเพลงนี้ ผมคิดว่าเพลง Perfect น่าจะโชว์ความสามารถของคุณได้มากกว่านะครับ แต่ไม่รู้สิ ผมก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องดนตรีคลาสสิกสักเท่าไหร่ด้วย”

“อืม งั้นผมเอาเพลง Perfect นี่แหละ” ผมตัดสินใจอย่างไม่ต้องคิดให้มากความ และก็ตั้งใจว่า หลังเลิกงานในวันนี้ผมจะกลับไปฝึกซ้อมสักหน่อย
เพราะอีกประมาณสิบกว่าวันก็จะเริ่มเดือนใหม่แล้ว

เย็นวันนี้ฝนตกน้ำท่วมอีกตามเคย ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาต่อไอ้คุณปราบเลยแม้แต่น้อย เพราะเดี๋ยวนี้หอของตัวเองก็มีแต่ไม่รู้จักอยู่ แถมมันยังหอบผ้าผ่อนมาเบียดเบียนตู้เสื้อผ้าของผมตั้งครึ่งนึงแน่ะ ไหนจะข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ภายในห้องของผมอีก จากที่เคยมีแค่ของผมคนเดียว ตอนนี้ก็มีของมันเข้ามาแทรกแซงแทบจะทุกซอกทุกมุม

“ผมไม่เคยจะเห็นคุณติดกิ๊บเลย” ไอ้ผู้กองที่กำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียง พลิกตัวกลับมานอนคว่ำหน้าพลางท้าวคางมองผมที่กำลังวางโน้ตเพลงที่ปริ้นออกมาเพื่อการฝึกซ้อมลงบนปลายเตียง จากนั้นก็เดินไปหยิบกิ๊บสีดำแบบยาวมาเก็บปอยผมยาวๆ ที่มันปรกหน้าให้เรียบร้อย
“เวลาก้มดูโน้ตเพลงแล้วผมมันเกะกะไงคุณ ผมเลยต้องติด” ผมอธิบายเหตุผลพลางส่งยิ้มให้กับเจ้าหนูจำไมตัวเขื่อง เพราะอุปสรรคที่ว่านี้ ผมก็เพิ่งจะพบเจอเมื่อวันที่ได้เล่นเพลง ‘kiss the rain’ นั่นแหละ

“ผมชอบ เพราะมันทำให้ผมได้เห็นใบหน้าของคุณได้ชัดเจนขึ้น”
“…” ผมทำเมินคำหยอดของไอ้ผู้กอง โดยการเดินไปหยิบกล่องไวโอลินบนโต๊ะเขียนหนังสือมาวางบนที่นอน

“แต่คุณห้ามไปทำผมทรงนี้ที่ไหนนะ”
“…” ผมหยิบไวโอลินออกมาจากกล่อง พลางเลิกคิ้วใส่ไอ้คุณอนิลเป็นคำถาม

“ก็ผมไม่อยากให้ใครได้เห็นคุณในมุมนี้นี่ครับ”
“เพ้อเจ้อ” ผมด่าไอ้ผู้กอง พลางหยิบชีทเพลงเคาะลงบนหัวของมันไปหนึ่งที

พระอาทิตย์ดวงนี้ ให้ผมเห็นคนเดียวก็พอแล้วครับ” พอไอ้ผู้กองมันกล่าวจบ มันก็คว้าหัวผมไปจุ๊บเหม่ง แล้วก็รีบวิ่งออกจากห้องนอนไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ผมก็ได้แต่ครุ่นคิดว่า ‘พระอาทิตย์’ ในความหมายของมัน คืออะไร..
สัส! แม่งด่ากูหัวเหม่ง!

ไอ้ชิบหาย แบบนี้มันยอมไม่ได้ ผมเลยวางไวโอลินไว้บนเตียงนอน จากนั้นก็คว้าหมอนติดมือไปด้วย แล้วก็เปิดประตูห้องและมุ่งหน้าไปยังบันไดที่เชื่อมกับชั้นล่าง ซึ่งก็พบไอ้ผู้กองอนิลมันยืนกอดอกพิงกำแพงรออยู่

ตุ้บ!

“กวนตีน!” พอด่าจบ ผมก็เดินเข้าห้องพร้อมกับล็อกประตูเสร็จสรรพ จากนั้นก็ค่อยมาซ้อมไวโอลินให้สมกับความตั้งใจเดิม กระทั่งเวลาเริ่มก้าวเข้าใกล้เที่ยงคืนมากขึ้นทุกที ผมก็เลิกเล่นและเตรียมตัวเข้านอน แล้วก็ซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่ม ทั้งๆ ที่เครื่องปรับอากาศภายในห้องก็ยังคงทำงานได้อย่างดีเยี่ยม

คลิก!

ผมมุดตัวออกจากโปงผ้าห่ม พร้อมกับลุกขึ้นนั่งและมองไปยังประตูห้องนอน ก็พบว่าไอ้ผู้กองอนิลมันกำลังยืนยิ้มกว้างส่งมาให้ โดยที่ในมือข้างหนึ่งกำลังถือหมอนที่ผมขว้างใส่ ส่วนอีกมือก็แกว่งไกวพวงกุญแจห้องที่คาดว่ามันคงจะไปแอบปั้มมาแน่ๆ
วุ้ย!
เสียรู้ให้มันอีกจนได้!

“จากที่ผมศึกษามานะครับ เขาบอกว่าเม่นจะต้องอยู่ในอุณหภูมิที่มากกว่า 24 องศาครับ แล้วดูคุณเปิดแอร์สิครับ ยังกับอยู่ขั้วโลกเหนือแน่ะ เพราะฉะนั้น.. คุณต้องนอนอยู่ในอ้อมกอดของผมเท่านั้นครับ ถึงจะอยู่ในอุณหภูมิที่พอเหมาะ” ไอ้ผู้กองมันปิดประตูพร้อมกับเสนอหน้าปีนขึ้นมาบนเตียง จากนั้นก็แทรกตัวเข้ามาอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน พร้อมทั้งใช้อ้อมแขนโอบรอบช่วงตัวของผมไว้
ราวกับมันต้องการจะใช้ไออุ่นของตัวเองมาควบคุมอุณหภูมิภายในห้อง
ไอ้ผู้กองโว้ย! ทำไมมึงเป็นคนที่คิดอะไรกวนตีนๆ ได้ลึกซึ้ง และเข้าทางตัวเองมากมายขนาดนี้วะ!

กระทั่งวันที่มนุษย์เงินเดือนรอคอยได้ผ่านพ้นไปอีกครั้ง ก็ถึงคราวที่ผมจะต้องลองวัดดวงกับฝีมือการสีไวโอลินของตัวเองกันสักที แต่ก่อนจะเดินทางไปที่ร้านนั้นได้ ผมก็ต้องแวะไปเติมพลังด้วยกระเพาะปลาเจ้าประจำเสียก่อน ถึงค่อยเดินทางไปยังร้านนั่งชิลด์อันเป็นจุดหมายปลายทาง ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านของผมนัก แต่เพราะการขับอ้อมโลก มันจึงทำให้เราเดินทางมาถึงที่ร้านประมาณสี่โมงครึ่ง จากนั้นก็ถึงคิวของผมที่ต้องขึ้นแสดง ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่แดดกำลังทอแสงอย่างแรงกล้า อีกทั้งเสียงคลื่นลมก็ยังคงดังอย่างชัดเจน ส่งผลให้บรรยากาศในยามนี้ ไม่เหมาะกับการฟังดนตรีคลาสสิกเลยแม้แต่น้อย แต่เพราะการคัดเลือกเบื้องต้นนี้ จะต้องเริ่มขึ้นก่อนที่ทางร้านจะเปิดให้บริการในเวลาหกโมงเย็น ผมก็เลยจำเป็นจะต้องเล่นเพลง ‘Perfect’ ต่อหน้าสาธารณชนอันน้อยนิดที่มันก็ยังคงมากมายในความคิดของผมอยู่ดี

“เดี๋ยวคุณเม่นช่วยเล่นเพลง kiss the rain กับคุณเอ้ได้หรือเปล่าครับ ?” คุณวินเอ่ยถามหลังจากที่บททดสอบขั้นแรกของผมจบลง ผมจึงพยักหน้าตอบรับ พลางอดคิดในใจไม่ได้ว่า ครั้งนี้ผมฟลุคมากจริงๆ ที่ซ้อมเพลงนี้มาด้วย แต่อันที่จริงจะเรียกว่าซ้อมก็คงไม่ถูก เพราะสาเหตุที่ทำให้ผมต้องเล่นเพลงนี้ ก็เพราะไอ้คุณอนิลมันอยากฟังนั่นแหละ โดยมันกล่าวอ้างว่าเพลง ‘kiss the rain’ คือเพลงที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างจะชัดเจนระหว่างเรา
“เริ่มเลยครับ” เมื่อผมเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ แกรนด์เปียโนสีดำหลังใหญ่ที่มีคุณเอ้นั่งประจำที่ คุณวินก็เริ่มส่งสัญญาณให้พวกเราเตรียมพร้อม ผมกับคุณเอ้จึงสบตากันเพียงเล็กน้อย เพื่อส่งสัญญาณแห่งการบรรเลงบทเพลง จากนั้นไม่นานเสียงเพลงอันคุ้นเคยในสไตล์ที่ไม่คุ้นชินก็ดังขึ้นจนทั่วบริเวณ ซึ่งมันก็เป็นช่วงที่ร้านกำลังเปิดเข้าพอดี จึงส่งผลให้ลูกค้าเริ่มทยอยเข้ามาใช้บริการ
และนั่นก็ทำให้ผมรับรู้ได้ว่า..
ที่จริงแล้ว.. อาชีพนักดนตรี ไม่ใช่ไม่เหมาะกับคนอย่างผมเลย


---------------------------------------------------------
จริงๆ ตอนหน้าก็จบแล้วค่ะ เมื่อวานเบลอไปหน่อย นับผิด 555 สำหรับใครที่ลุ้นให้อิมเจอจัดหนักหรือถูกเอาคืน ก็คงต้องขอโทษด้วยนะคะ เราเขียนอิงจากความเป็นจริงที่ว่าเมื่อเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ และอะไรหลายๆ อย่างก็เสริมให้อีกคนทุกอย่าง เรียกง่ายๆ ว่า โชคเข้าข้าง น่ะแหละ ทางเลือกก็มีแค่อยู่รอดูเขาล้ม หรือว่าไปหาอะไรที่ดีกว่า ซึ่งอันที่จริงสำหรับปัญหานี้ นอกจากจะเป็นที่ตัวอิมแล้ว มันยังเป็นเรื่องของจังหวะและโอกาสด้วยค่ะ เพราะทาง ตม. ก็มาปรับเปลี่ยนรายละเอียดการส่งเอกสารที่มันเอื้อต่อบริษัทในช่วงที่เม่นกำลังแย่พอดีด้วย

From This Moment On  https://youtu.be/hjMyOBe07Aw
Perfect https://youtu.be/xjeHThBHTCs
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2018 13:14:38 โดย Chomin »

ออฟไลน์ Readyaoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ชอบบบบบ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เม่น มีความสุขได้นะอย่าไปพะวงกับคนที่เหยียบข้ามหัวตัวเอง
คนที่มีความสามารถ ยังไงก็ก้าวข้ามความยากลำบากได้
แต่นังอิม คงไม่เสวยสุขตลอดหรอก 
คนไม่มีความสามารถแบบนาง  เชื่อหางเม่น.....เอ๊ย....หอยนังอิมได้  :m20:

เม่น มีคนรักที่ดี
คอยปลอบประโลมเวลาผิดหวัง
ให้คำแนะนำที่มีประโยชน์
แถมหางานให้ลองทำ เผื่อต้องมีการขยับขยายเปลี่ยนแปลงงาน
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Chomin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +146/-1
✎ 11

หลังจากทราบผลและเข้าใจความต้องการของตัวเองดีแล้ว วันนี้ผมก็คิดว่าจะยื่นใบลาออก ซึ่งผมได้เขียนเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว เหลือแค่รอโอกาสเหมาะๆ ที่จะแจ้งกับพี่จินดาเท่านั้น และผมก็เล็งเอาไว้แล้วว่า ผมจะบอกกับหัวหน้าตอนช่วงก่อนพักเที่ยง กระทั่งเวลาที่หมายตาเดินทางมาถึง ผมจึงหยิบกระดาษแผ่นบางที่จะปลดปล่อยผมจากสถานที่แห่งนี้ และเดินมุ่งหน้าไปยังโต๊ะทำงานของหัวหน้าที่อยู่ด้านในสุด

“พี่จินดาครับ” ผมเรียกอีกฝ่ายพลางยื่นกระดาษแผ่นบางลงบนโต๊ะ พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน
“คิดดีแล้วเหรอเม่น ?”

“ครับ” ผมตอบอย่างหนักแน่น
“เรามีทางไปแล้วใช่ไหม ?”

“ครับพี่” ผมตอบพลางยกยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็จะไม่ห้าม ขอให้โชคดีนะเม่น”

“ขอบคุณครับพี่จินดา”

เที่ยงนี้เป็นมื้อที่ผมรู้สึกสดชื่นมากที่สุด คงเพราะตัวเองได้รับการปลดปล่อยจากความไม่สบายใจทั้งหมดด้วยล่ะมั้ง และท่าทางว่าสีหน้าของผมมันคงจะสดใสจนเกินเหตุ ไอ้ผู้กองอนิลมันเลยแซวเข้าให้ ผมก็เลยบอกมันไปว่า ผมยื่นใบลาออกแล้วนะ แต่ยังไม่ได้ออกทันทีหรอก ก็ออกตามกฎระเบียบของทางบริษัทนั่นแหละ เพราะถึงยังไงงานใหม่ของผมมันก็เริ่มขึ้น หลังจากที่ครบกำหนดไปได้ประมาณสามวันให้หลังอยู่ดี

“กินเฉาก๊วยกันคุณ” หลังจากกินต้มเลือดหมูพร้อมกับข้าวเปล่าทั้งหมดสองถ้วยจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ไอ้คุณอนิลมันก็ดันอยากของหวานขึ้นมาอีก แต่เพราะมันเป็นบ้าไง กินคนเดียวไม่ได้ ต้องให้ผมนั่งกินเป็นเพื่อน
“ผมไม่เอาดีกว่า คุณกินเถอะ” ผมปฏิเสธเพราะกะว่าช่วงบ่ายจะซื้อเลมอนทีไปดื่มประทังชีวิตในระหว่างการทำงาน

“โห่คุณ กินเป็นเพื่อนผมหน่อยดิครับ” ไอ้ผู้กองกล่าวแกมขอร้องอ้อนวอน
“ไม่เอา คุณจะกินก็กินไปเลย ตอนบ่ายผมจะซื้อเลมอนที” ผมปฏิเสธอย่างหนักแน่น เพราะวันๆ นึงผมไม่อยากจะกินของหวานให้มันเยอะจนเกินไป

“งั้นรอผมแป๊บนึงนะ” พอมันเห็นผมปฏิเสธอย่างเอาจริงเอาจัง ไอ้ผู้กองก็ยอมแพ้และหันไปสั่งเฉาก๊วยที่ตัวเองอยากกินนักหนาทันที กระทั่งของหวานมาเสิร์ฟ ผมก็นั่งมองมันกินไปเรื่อยๆ
“คุณอย่าเอาแต่จ้องผมตอนกินดิ” พอไอ้คุณอนิลมันประท้วงออกมาอย่างนั้น ผมจึงเลี่ยงด้วยการหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นไปพลางๆ ไอ้หมียักษ์ตรงหน้ามันจะได้เลิกบ่น

กระทั่งวันมีผลลาออกเดินทางมาถึง ผมจึงถือโอกาสใช้ชีวิตอยู่บนเตียงให้นานที่สุด แต่ผลปรากฏว่าไอ้ผู้กองอนิลมันไม่ยินยอม แถมยังงัดผมออกจากเตียงเพื่อลงไปนั่งกินข้าวพร้อมกับมันอีก ซึ่งไอ้ผู้กองก็ให้เหตุผลของการกระทำดังกล่าวว่า ‘จากที่ผมศึกษามา เขาบอกว่าถ้าอยากให้เม่นแคระมีวินัยในการกิน ก็จะต้องให้อาหารให้เป็นเวลาครับ ผมเลยต้องปลุกคุณมากินข้าวเช้าให้ได้นี่ไง เพราะกว่าคุณจะตื่นขึ้นมากินก็โน่น บ่ายโมง! อีกอย่างวันนี้คุณยังมีเวลานอนอีกตั้งเยอะ จะนอนจนถึงเย็นผมก็ไม่ว่า แต่ตอนนี้ต้องตื่นขึ้นมากินข้าวก่อนครับ เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะ’
ก็นั่นล่ะครับ ถึงไอ้ผู้กองอนิลมันจะกวนตีนไปบ้าง
แต่ช่วงท้ายประโยคที่มันพูด ก็มักจะจบลงด้วยความห่วงใยเสมอ

อันที่จริงแล้ว เส้นทางใหม่ที่ผมเลือกเดิน มันจะราบรื่นหรือเปล่า ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ถ้าหากไม่ได้ลิ้มลอง เราก็ย่อมไม่ได้รับคำตอบของคำถาม เพราะที่ผ่านมา ผมเองก็ตัดสินใจผิดพลาดที่ไม่ยอมเลือกเรียนดุริยางคศาสตร์ให้ตลอดรอดฝั่ง แต่การมีพื้นฐานในด้านนี้มาตั้งแต่สมัย pre-collage มันก็เป็นเรื่องที่โชคดีอย่างหนึ่ง
เพราะอย่างน้อย ผมก็ยังไม่ลืมท่วงทำนองอันแสนไพเราะของดนตรีคลาสสิก

และสำหรับผมแล้วผมคิดว่า ‘การจินตนาการ’ ของมนุษย์นั้น ถือเป็นเรื่องที่จะว่าน่ากลัวมันก็น่ากลัว เพราะจินตนาการที่ว่ามักจะกลายเป็นการตีกรอบชีวิตของเราอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นผมที่คิดว่าอาชีพนักดนตรีไม่เหมาะกับตัวเอง เพราะว่าตอนสมัยเรียน Pre-collage ผมเคยรู้สึกว่าดนตรีมันควรจะเป็นเพียงแค่สิ่งที่เราเลือกทำเพราะความชอบ หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ มันควรเป็นแค่เพียงงานอดิเรกที่ทำให้เรามีความสุขมากกว่า ซึ่งการเลือกเรียนในด้านนี้โดยตรง มันก็จะมาพร้อมกับความรู้สึกกดดัน เพราะมันมีโปรแกรมที่ตายตัวและเจาะลึก และผมในตอนนั้นก็มักจะรู้สึกกลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดีเท่าเพื่อน หรือกลัวว่าตัวเองจะไม่พัฒนาฝีมือ เพราะตัวเปรียบเทียบมันก็มีเยอะ ช่วงเวลานั้นมันเลยกลายเป็นว่า ความชอบคือสิ่งที่หวนกลับมาทำร้ายเรา

แต่พอโตขึ้น มุมมองหลายๆ อย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป ภูมิคุ้มกันจากหลายๆ ปัญหาก็ค่อยๆ หล่อหลอมให้ผมกลายเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้น และกล้าที่จะผลักดันตัวเองให้มีความชำนาญในงานด้านนั้น คงเพราะด้วยหน้าที่การงานอย่างฝ่ายบุคคลด้วยน่ะแหละ ที่มันทำให้ผมต้องปรับตัวให้ดูน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังต้องกล้าที่จะคิดและตัดสินใจในส่วนเนื้องานของตัวเอง อย่างเช่น การกำหนดช่วงเวลาที่จะไปยื่นเอกสารนั่นก็ใช่ เพราะว่าถ้าหากเรากำหนดช่วงเวลาผิดไป ความยุ่งยากทั้งหลายก็จะตามมา ซึ่งมันก็ส่งผลให้มุมมองแบบเด็กๆ ในตอนนั้น กลายเป็นเพียงแค่เรื่องยิบย่อยสำหรับผมในวันนี้ ซ้ำยังมาเจอเรื่องของอิมเข้าให้อีก มันยิ่งทำให้ผมมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น และรู้จักมองคนให้ถี่ถ้วนมากขึ้น
เพราะการที่ผมไม่ทำร้ายใคร ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ทำร้ายเรา
หรือต่อให้เราทำได้ดีแค่ไหน แต่หากช่วงเวลานั้น ไม่ใช่จังหวะหรือโอกาสของเรา มันก็ย่อมไม่ใช่

บ่ายวันนี้หลังจากตื่นนอนรอบสองแล้ว ผมก็ตั้งใจว่าจะฝึกเล่นไวโอลินไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากเพลง ‘Blood Sweat & Tears’ ของวง BTS ซึ่งเป็นนักร้องจากสัญชาติเกาหลี ซ้ำยังเป็นเพลงที่ท่วงทำนองเบาๆ เหมาะกับการนั่งฟังเพลินๆ ชิลด์ๆ แถวๆ ริมทะเลอยู่เหมือนกัน อีกทั้งเพลงนี้ยังเป็นเพลงที่มีส่วนผสมระหว่างเปียโนและไวโอลินได้อย่างลงตัว ซึ่งทางร้านก็ดูเหมือนจะต้องการให้มีการแจมเวทีร่วมกันด้วย ดังนั้นผมจึงต้องฝึกเพลงที่มีการผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีทั้งสองชนิดไปด้วย จากนั้นก็ตามมาด้วยเพลง ‘River Flows in You’ ที่จะโชว์ท่วงทำนองอันหวานซึ้งของไวโอลินอย่างโดดเด่น แต่สุดท้ายเพลงที่ผมชอบเล่นมากที่สุด ก็เห็นจะหนีไม่พ้นเพลง ‘Kiss the rain’ ซึ่งเป็นเพลงที่ทำให้ผมนึกถึงความทรงจำดีๆ ระหว่างผมกับไอ้ผู้กองอนิล
เพราะเพลงๆ นี้ มันคือเพลงที่ทำให้เกิด ‘จูบแรก’ ของเรา
และเพลงๆ นี้ มันก็ทำให้ความชัดเจนระหว่างเราก่อเกิดขึ้น

การใช้ชีวิตของผมในช่วงกลางวัน เป็นไปอย่างเรื่อยเปื่อยมาหลายวันแล้ว และในที่สุดผมก็เริ่มปรับตัวเข้ากับมันได้เสียที เพราะตอนนี้ผมสลัดความเป็นพนักงานออฟฟิศได้จนหมดจด แต่ดันกลายเป็นว่า ผมติดการใช้ชีวิตอย่างตัวเม่น ที่ชอบออกมาเที่ยวเล่นนอกกรงในเวลากลางคืนเสียนี่ สาเหตุก็เพราะงานใหม่ของผม เป็นงานที่ต้องทำในช่วงกลางคืน ดังนั้นช่วงกลางวันผมจึงซุกตัวลงนอนอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา พร้อมกับเปิดแอร์เย็นๆ จนชุ่มฉ่ำ แต่ด้วยความที่ผมกลายเป็นคนเสพติด ‘กอด’ ของไอ้หมียักษ์ไปแล้ว ผมจึงต้องลดอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศให้อยู่ในระดับ 25 องศา แทนที่จะเป็น 15 องศาเหมือนปกติ
อีกทั้งการกินข้าวมื้อกลางวันเพียงลำพัง มันก็เริ่มจะทำให้ผมรู้สึกไม่คุ้นชินขึ้นมาเสียแล้ว คล้ายกับว่าช่วงหลังๆ ไอ้ผู้กองอนิลมันเอาวิธีฝึกเม่นให้เชื่องมาใช้กับผมเสียอย่างนั้น
และแม่งก็ดันได้ผลดีไปอีก!
เพราะตอนช่วงที่ผมกำลังมีปัญหาเรื่องงานน่ะ ไอ้ผู้กองมันโผล่หัวมากินข้าวกลางวันกับผมบ่อยจะตาย

ยิ่งเวลาที่บ้านหลังนี้ไม่มีไอ้ผู้กองอนิลมาคอยเดินป้วนเปี้ยนสร้างความวุ่นวายไปทั่วล่ะก็นะ แม่งโคตรจะเงียบเหงาสุดๆ ไปเลย เห้อ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่ะ ว่าไอ้วิธีการจีบแบบผีบ้าของมัน จะทำให้ผมเป็นไปได้มากขนาดนี้ ก็คิดดูดิมันปล้นเบอร์โทรของผมตอนช่วงที่เราต้องติดต่องานกัน จากนั้นมันก็เข้ามาวุ่นวายในชีวิตด้วยการอ้างเรื่องงาน ซึ่งเวลานั้นผมโคตรจะเหม็นเบื่อมันเลย แต่พอมันเริ่มเอาทฤษฎีการเลี้ยงเม่นเข้ามากวนตีนอยู่เรื่อยๆ มันก็ทำให้เราเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น สาเหตุก็เพราะมัวแต่เถียงกันไปมานี่แหละ กระทั่งผมเริ่มรู้จักตัวตนของมันมากขึ้น ผมก็เริ่มมองมันในแง่ที่ไม่มีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้องได้บ้าง
ซึ่งกว่าจะรู้ตัว ผมก็กลายเป็นเม่นในอุ้งมือของไอ้หมียักษ์ไปแล้ว
แต่ผมจะไม่แสดงออกให้ไอ้ผู้กองมันรู้ตัวหรอก เพราะเดี๋ยวมันจะเหลิงไปมากกว่านี้

การทำงานของผมในวันนี้ เริ่มต้นด้วยเพลง ‘River Flows in You’ จากนั้นก็ตามด้วยเพลงที่ได้รับความนิยมในการคัฟเวอร์ประจำปี 2018 อย่างต่อเนื่อง เพราะส่วนใหญ่จะเป็นเพลงที่คนทั่วไปคุ้นหูอยู่บ้าง ซึ่งเพลงเหล่านั้นก็ได้แก่ Close to you, Way Back Into Love, Let Me Love You, Save me, All of me อะไรประมาณนี้

“เม่น” เมื่อถึงเวลาพัก ผมก็เตรียมจะไปเข้าห้องน้ำอยู่แล้ว แต่กลับถูกใครบางคนที่คุ้นเคยฉุดรั้งเอาไว้ก่อน
“อะไรคุณ ?” ผมย้อนถามไอ้ผู้กองในชุดไปรเวทที่กำลังกุมรอบข้อมือของผมอยู่

“ช่วงสุดท้าย คุณอย่าลืมเล่นเพลง kiss the rain ด้วยนะ” ไอ้ผู้กองตัวเขื่องกล่าวอย่างอ้อนวอน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นบ้าอะไร ถึงได้นึกอยากจะฟังเพลงนี้ได้ทุกวัน แล้วผมก็ดันบ้าจี้เล่นตามที่มันขอด้วยไง
นี่ถ้าหากมีคนคอมเพลนว่าผมชอบเล่นเพลงซ้ำล่ะก็นะ ผมจะบอกให้เขาไปด่าไอ้หมียักษ์ให้หน้าสั่นเลย

“ผมอยากฟัง..” นั่นไง พอไอ้ผู้กองมันพูดเสียงอ่อนเข้าหน่อย ผมก็ชอบใจอ่อนเหมือนทุกที แต่ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะไอ้ผู้กองมันต้องมานั่งคอยผมจนถึงเที่ยงคืน ทั้งๆ ที่มันเองก็ต้องตื่นไปทำงานตั้งแต่เช้านั่นแหละ ซึ่งผมเคยไล่ให้มันกลับบ้านไปหลายรอบแล้ว แต่ไอ้หมียักษ์มันดื้อไง ผมเลยต้องปล่อยเลยตามเลย จนกระทั่งมันเป็นความเคยชินอีกนั่นแหละ

“อืม” ผมรับปากเสียงแผ่ว จากนั้นก็เดินแยกตัวไปเข้าห้องน้ำ ส่วนไอ้ผู้กองอนิลมันก็กลับไปนั่งสุมหัวกับเพื่อนของมันตามปกติ กระทั่งเวลาเลิกงานมาถึง มันก็ค่อยโผล่หัวมายืนรอผมตรงข้างเวที และเฝ้ารอจนกว่าผมจะเก็บไวโอลินใส่ลงในกล่องให้เรียบร้อย จากนั้นเราก็เดินไปบอกลาคุณวินกับคุณกาญพร้อมกันเหมือนทุกครั้ง
ซึ่งการที่มันมารับมาส่งผม ‘วันแล้ววันเล่า’ ก็เหมือนกับการที่มันกำลังชดใช้ ช่วงเวลาที่ผมต้องคอยเอาเอกสารมาให้มัน ‘ครั้งแล้วครั้งเล่า’ นั่นแหละ ต่างกันแค่ระดับความเต็มใจของการกระทำเท่านั้น เพราะว่าผมในตอนที่ถูกเรียกให้เอาเอกสารมาให้ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมก็ทั้งบ่น ทั้งด่า ไอ้ผู้กองเวรนี่ จนคาดว่าบางทีมันอาจจะเคยเผลอจามจนหน้าสั่นไปหลายรอบแล้วก็ได้ ส่วนมันในตอนนี้ กลับมีแต่ความเต็มใจที่จะมารับมาส่ง เพราะว่ามันเป็นห่วง ไม่อยากจะให้ผมขับรถกลับบ้านมืดๆ คนเดียว และเกรงว่าถ้าหากต้องกลับดึกๆ อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ ซึ่งผมว่ามันน่ะห่วงเว่อร์เกินไปหน่อย เพราะว่าทุกวันนี้น่ะ ผมนอนโคตรจะเต็มอิ่มเลย
จะมีก็แต่มันนี่แหละที่จะนอนไม่พอ เพราะดันเอาเวลานอนมานั่งเฝ้าผมนี่ไง
เอาไว้ถ้าหากผมมีภูมิคุ้มกันลูกอ้อนของมันเมื่อไหร่ ผมจะปฏิวัติให้สิ้นซากเลย!

กระทั่งกลับมาถึงบ้าน ผมก็บอกให้ไอ้คุณปราบไปอาบน้ำก่อนเป็นคนแรก เพราะมันเป็นคนอาบน้ำโคตรเร็วถ้าเทียบกับผม ซึ่งกว่าผมจะอาบเสร็จ ไอ้ผู้กองมันก็โลดแล่นเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปแล้ว แต่ผมที่กลายเป็นคนชอบใช้ชีวิตในช่วงกลางคืน กลับตาสว่างโล่มากถึงมากที่สุด ครั้นจะหาอะไรทำก็เกรงว่าจะไปรบกวนการนอนของมัน ผมเลยใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนอนมองไอ้หมียักษ์เหมือนทุกวัน พร้อมกับเอาตัวเองเข้าไปขังอยู่ในอ้อมกอดของมันด้วย เพราะผมจำได้ว่า มันเคยบอกว่าเม่นจะต้องอยู่ในอุณหภูมิที่มากกว่า 24 องศา และมันก็เคยลั่นวาจาเอาไว้แล้วว่า ผมจะต้องยอมให้มันกอด อุณหภูมิห้องมันถึงจะพอดี

“ผมรักคุณนะปราบ” ผมบอกกับอีกฝ่ายเพียงเบาๆ พลางยกยิ้มให้กับคนที่กำลังหลับใหลไม่รู้เรื่องรู้ราว กระทั่งผมเผลอจูบมันเพียงเบาๆ ไอ้คนที่กำลังหลงใหลอยู่ในห้วงแห่งนิทราก็ค่อยๆ ขยับตัวและส่งเสียงงึมงำเพียงเบาๆ จากนั้นไม่นานดวงตาคมเข้มคู่นั้นก็ลืมขึ้นอย่างงัวเงีย
“อื้อ คุณอาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ ?” อีกฝ่ายสอบถามด้วยน้ำเสียงงัวเงีย แต่ก็ยังขยับตัวเข้ามากอดผมให้แน่นขึ้น พร้อมกับจูบเปลือกตาของผมเพียงเบาๆ แบบที่ช่วงนี้มันชอบทำเป็นประจำ

“ผมรักคุณนะ และผมก็เป็นห่วงคุณด้วย เพราะฉะนั้นวันหลังคุณก็มาส่งผม แล้วก็ค่อยกลับมารับผมอีกทีตอนที่ผมใกล้จะเลิกงานดีกว่า เข้าใจไหมครับคุณอนิล ?” ผมใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างบังคับองศาหน้าของไอ้ผู้กองอนิลให้มองตรงมายังผม เพราะ ณ เวลานี้มันตื่นจากนิทราเรียบร้อยแล้ว ผมก็เลยอยากจะลองตกลงกับมันดู
“…” แต่ไอ้ผู้กองมันก็เอาแต่นอนยิ้มแป้น คล้ายกับว่าประโยคเริ่มต้น ทำให้มันห่างหายจากอาการง่วงหงาวหาวนอนไปแล้ว โดยที่ประโยคหลัง ซึ่งเป็นประเด็นหลัก กลับไร้ซึ่งความสนใจจากไอ้หมียักษ์ตัวเขื่อง

“ครับๆ ผมยอมเดินคนละครึ่งทางกับคุณก็ได้ เพราะว่าผมก็รักคุณมากเหมือนกัน” พอไอ้หมียักษ์มันเห็นผมทำตาดุ มันถึงได้ยอมเรียกสติของตัวเองกลับคืนมา พร้อมกับเปิดปากตอบรับข้อตกลง
“ดีมากครับคุณอนิล” ผมกล่าวชมพลางยกยิ้มให้กับเจ้าของดวงตาคู่คมตรงหน้าอย่างพึงพอใจ จนกลายเป็นว่า ผมได้เปิดโอกาสให้ใครบางคนใช้ริมฝีปากของตัวเอง จูบซับลงบนริมฝีปากของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งเราต่างก็แทบจะลืมหายใจ
จึงทำให้เวลานี้ เราทั้งคู่ต่างก็พากันกอบโกยอากาศบริสุทธิ์อย่างโหยหา

 “ว่าไปแล้ว.. พอผมทำตามทฤษฎีที่ผมศึกษามา เม่นของผมก็เริ่มจะเชื่องใหญ่แล้วนะเนี่ย ดูสิจูบยับเลยอ้ะ!”
ไอ้ผู้กองเวร!
กวนตีนไม่พอ แถมยังแซวกูยับเลยนะมึง!


END


----------------------------------------------------------

วันนี้แวะมาลงก่อนกำหนด พอดีเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้มีธุระ ก็เลยมาลงตอนจบให้วันนี้เลยค่ะ เป็นนิยายสั้นๆ ที่คิดว่ามันจะสั้น แต่เอาเข้าจริงก็เขียนมาได้ 53 หน้า word ขนาด A4 กันเลยทีเดียว ขอบคุณที่ติดตามนิยายชั่ววูบเรื่องนี้ด้วยนะคะ หวังว่าทุกคนจะรู้สึกอิ่มเอมกับความรักอันเรียบง่ายแบบเม่นๆ ที่มีแต่นอนและกิน 555 ส่วนผู้กองอนิลก็ปล่่อยให้คุณเค้ากวนตีนต่อไปเถอะ มันคือเอกลักษณ์ 555 ส่วนอิมก็อย่างที่ทุกคนว่ากันนั่นแหละค่ะ วันนี้อาจจะไปได้ดี แต่ในอนาคตอาจจะตกม้าตายเพราะทำตัวเองก็เป็นได้

ตอนพิเศษเรายังไม่แน่ใจว่าจะมีหรือเปล่านะคะ แต่ถ้ามีคนอยากอ่านเดี๋ยวไว้เราจะลองคิดพล็อตต่อให้อีกนิดนึงก็ได้ค่ะ เพราะว่าเราเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบมาก ไม่มีแพลน ไม่มีอะไรเลย จู่ๆ นึกขึ้นได้เราก็เลยเขียนขึ้นมาค่ะ เขียนด้วยความอยากเขียนแนวฟีลกู๊ดแบบวัยทำงานจริงจังเลย แล้วพอดีเห็นว่าสาย hr น่าจะยังไม่ค่อยมีคนเขียนเท่าไหร่ เราเลยลองเขียนดู

สุดท้ายนี้คือเราจะแจ้งว่าเราเปิดเพจ facebook แล้วนะคะ ติดตามการอัพเดตเรื่องอื่นๆ ได้ที่เพจเลยค่ะ
https://www.facebook.com/Chomin.writer/

เพลงที่กล่าวถึงในตอนนี้ค่ะ https://youtu.be/ZaYFJcn9hZE     
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2018 23:30:10 โดย Chomin »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:


คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :3123: :3123: เรียบๆ เรื่อยๆ แต่มีความน่ารัก

ออฟไลน์ ก้มหน้าก้มตา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
 :mew2: ขอบคูณนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด