【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บทส่งท้าย (25/08/18)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 【 Love after school 】ติวรัก...หลังเลิกเรียน : บทส่งท้าย (25/08/18)  (อ่าน 16505 ครั้ง)

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
Chapter 22 : ความจริง



"ขอโทษนะ เราขอโทษจริงๆ"



ตอนนี้เป็นเวลาเกือบห้าทุ่ม บริเวณโดยรอบโถงคณะครุศาสตร์แทบไม่มีนักศึกษาหลงเหลืออยู่ มีเพียงแค่เด็กหนุ่มสองคนกำลังนั่งระบายสีลงฉากท่ามกลางแสงไฟที่เหลือเพียงไม่กี่ดวง โดยคนหนึ่งเอาแต่พูดประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนที่พูดมาตลอดหลายชั่วโมง ส่วนอีกคนก็ยิ้มรับเล็กน้อยแล้วบอกอย่างไม่ถือสา



"ไม่เป็นไร เราก็ถือไม่ดี"



"ไม่ๆ เราผิดเอง เราไม่ดูทางก็เลยชนนาย" ภูมิบอกอย่างรู้สึกผิด แล้วก้มมองพื้น "ฉากที่นายกับเพื่อนๆ ช่วยกันทำเลยพังหมด"



"อย่าคิดมากเลย นี่ก็แก้จะเสร็จแล้ว"



ยิ่งเพื่อนใหม่ข้างตัวบอกอย่างไม่คิดอะไรมาก อีกทั้งสีหน้ายังแสดงออกว่าไม่ได้คิดอะไรจริงๆ ยิ่งทำให้ภูมิรู้สึกผิดเป็นทวีคูณ เพราะเขารู้ว่าฉากแต่ละฉากที่ทุกคนช่วยกันวาดและลงสีใช้เวลาในการทำนานขนาดไหน



"วันนี้พอแค่นี้แหละ" หลังจากผ่านไปอีกสักครู่ ไอซ์ เพื่อนใหม่จากครุฯ ก็หยุดมือที่ใช้ลงสี แล้วเงยหน้าขึ้นบอกภูมิ "เดี๋ยวที่เหลือเรากับเพื่อนจะช่วยกันทำต่อพรุ่งนี้"



"เดี๋ยวคืนนี้เราช่วยทำต่อให้เสร็จก็ได้นะ" ภูมิบอกด้วยความเกรงใจ แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าปฏิเสธ



"มันดึกแล้ว กลับกันเถอะ"



เมื่อเห็นสายตาจริงจังของเพื่อนใหม่ ภูมิก็พยักหน้าอย่างจำยอม แต่ยังไม่วายบอกเสียงอ่อยอีกรอบ "ยังไงก็ฝากขอโทษทุกคนด้วยนะ"



"อืม" ไอซ์รับคำ



ภูมิหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูนาฬิกา ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบว่าปาเข้าไปห้าทุ่มกว่าแล้ว ไอ้เรื่องกลับดึกน่ะไม่เท่าไหร่ ที่สำคัญคือรถเมล์สายที่เขานั่งประจำเที่ยวหมดตอนสี่ทุ่มครึ่งน่ะสิ



"ซวยแล้วไอ้ภูมิ" เขาได้แต่พึมพำกับตัวเอง แล้วเงยหน้าถามเพื่อนอีกคนที่กำลังเก็บของเข้ากระเป๋า "เอ่อ แล้วไอซ์จะกลับยังไงเหรอ"



"แท็กซี่" ไอซ์ว่าอย่างนั้น "ภูมิล่ะ"



"เอ่อ เรา..."



"ภูมิครับ!"



ยังไม่ทันจะได้ตอบ เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูติดจะร้อนรนหน่อยๆ ก็ดังมาจากอีกทาง ภูมิตัวแข็งขึ้นทันที ไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมอง เขาก็รู้ว่าเป็นใคร



โฟล์คเดินเข้าใกล้เด็กหนุ่มทั้งสองคน เมื่อตอนเย็นเขายังไม่มีเวลาได้พูดอะไรกับภูมิเพราะต้องรีบไปทำงานต่อ และเมื่อสักครู่ก่อนจะกลับคอนโด เขาก็เอะใจ เลยเดินย้อนกลับมาดูที่โถงทางเดิน ก่อนจะพบว่าคนที่เขานึกเป็นห่วงยังไม่ได้กลับบ้านจริงๆ



"สวัสดีครับ" ไอซ์ทักทายรุ่นพี่คณะ โฟล์คพยักหน้ารับเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม



"ทั้งสองคนจะกลับกันยังไงครับ"



"แท็กซี่ครับ" ไอซ์ตอบ "ห้องสโมปิดรึยังครับ ผมขอเอาสีไปเก็บได้มั้ย"



"ได้สิ" โฟล์คยิ้มให้อย่างใจดี แล้วผละไปมองรุ่นน้องอีกคนที่กำลังก้มลงเก็บของเข้ากระเป๋าโดยไม่สนใจผู้มาใหม่อย่างเขาสักนิด จนต้องเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก "แล้วภูมิล่ะครับ"



"...รถเมล์น่ะ"



โฟล์คขมวดคิ้วทันใด "แต่ตอนนี้รถเมล์แทบไม่เหลือแล้วนะ"



ภูมิเม้มปาก ไม่กล้าเถียง โฟล์คเห็นดังนั้นก็มีท่าทีอ่อนลง ชั่งใจเพียงครู่ ก่อนตัดสินใจถามออกไปด้วยความหวัง



"งั้น...ให้พี่ไปส่งได้มั้ย"



ภูมิเกือบส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นแววตาขอร้องที่เจ้าของคงไม่รู้ตัว จนรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในใจอย่างที่รู้ว่าไม่ควรจะเป็น



นอกจากนี้ ภูมิยอมรับว่าเรื่องที่ได้ยินจากรุ่นพี่ทั้งสองคนเมื่อตอนเย็นทำให้เขารู้สึกเห็นใจคนตรงหน้าไม่น้อย จนไม่กล้าเอ่ยปัดความหวังดี ดวงตาทั้งสองข้างหลุบลงต่ำ ก่อนจะผงกหัวเบาๆ เป็นคำตอบ











 

ภายในรถยนต์เบาะกว้าง เสียงเครื่องยนต์ที่ปกติเบาจนแทบไม่ได้ยินกลับดังชัดแข่งกับเสียงเครื่องปรับอากาศ เคล้าคลอกับเสียงเพลงจากวิทยุที่ถูกเปิดขึ้นเบาๆ โดยชายหนุ่มเจ้าของรถก็พยายามเพ่งสมาธิกับการบังคับพวงมาลัย แม้จะแอบเหลือบมองคนข้างตัวบ่อยครั้งก็ตาม



คนตัวเล็กของเขานิ่งเงียบมาตลอดทาง บางทีก็หันไปมองทางข้างนอก บางทีก็ก้มมองมือตัวเอง แต่ไม่เคยหันมามองทางเขาแม้สักครั้งเดียว



ดังนั้นโฟล์คจึงเริ่มประโยคสนทนาด้วยคำถามที่เรียบง่ายที่สุด



"วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้างครับ"



ภูมิเหมือนจะชะงักไป แล้วพึมพำตอบ "ก็ดีครับ"



ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง จนภูมิต้องหายใจเข้าลึกๆ พยายามตั้งสติกับตัวเอง



...เมื่อวันก่อนเขาก็พูดคุยกับพี่โฟล์คได้ปกติแล้วนี่ ทำไมวันนี้ถึงเกร็งขึ้นมาอีกแล้ว...



"หนาวไปเหรอ"



"อ๊ะ"



ภูมิไม่รู้ว่าเผลอยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ จนร่างสูงที่นั่งข้างๆ ตีความไปว่าเขาหนาว และเอื้อมมือไปปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศโดยที่ภูมิร้องท้วงไม่ทัน



"ถ้ายังหนาวอีกบอกนะครับ พี่มีเสื้อคลุมอยู่ด้านหลัง"



"...ขอบคุณครับ"



ภูมิจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย บอกขอบคุณตามมารยาท ทั้งที่พยายามห้ามใจไม่ให้หวั่นไหวกับความเป็นห่วงของอีกฝ่าย



ตอนนั้นพี่โฟล์คก็ทำแบบนี้ แต่สุดท้าย...มันก็แค่นั้น



บรรยากาศในรถถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง จนในที่สุดภูมิก็ตัดสินใจพูดขึ้นมา "นี่...พี่โฟล์ค"



"ครับ"



"เรื่องพี่มิ้นท์...ผมเสียใจด้วยนะ"



ภูมิพูดออกไปตามความรู้สึก เพราะตั้งแต่รู้เรื่องนี้เมื่อตอนเย็น ความรู้สึกแย่ที่เคยมีต่อเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็หายไปไหนไม่รู้ แม้จะยังรู้สึกสับสนอยู่บ้าง แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือเขาเห็นใจอดีตครูสอนพิเศษคนนี้ และเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ



ภูมิสังเกตเห็นว่าร่างสูงนิ่งไป สองมือเหมือนจะกระชับพวงมาลัยแน่นขึ้น ซึ่งภูมิก็หลอกตัวเองไม่ได้ว่า...ท่าทางอาลัยอาวรณ์แบบนี้ทำให้เขาเจ็บไม่น้อย



"ชัยกับน้ำบอกแล้วเหรอครับ" โฟล์คถามด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มดุจเดิม



"อืม" ภูมิพยักหน้ารับ ก้มลงมองมือตัวเองที่กุมกันไว้ "ผมเสียใจด้วยจริงๆ นะ ...พี่คงรักพี่มิ้นท์มาก"



"มันไม่ใช่แบบที่ภูมิคิด"



ภูมิกุมมือตัวเองแน่นขึ้น ส่ายหน้ากับคำปฏิเสธนั้น "พี่ไม่ต้องพยายามพูดอะไรหรอก ผมเข้าใจ"



ไม่ ภูมิไม่เข้าใจ



โฟล์คร้องท้วงกับตัวเอง แต่สภาพตอนนี้ที่เขาต้องควบคุมรถทำให้เขายังไม่มีสมาธิเรียบเรียงคำพูดให้ดี ประกอบกับท่าทางของคนข้างตัวที่แม้จะกุมมือตัวเองไว้ตามปกติ แม้จะพยายามมองออกไปนอกรถ แต่ทำไมเขาจะไม่เห็น...มือเล็กๆ ที่กำลังสั่น



ร่างสูงตบไฟเลี้ยวเข้าด้านซ้าย ภูมิหันมามองการกระทำนั้นอย่างตกใจ แม้จะพยายามส่งสายตาถาม แต่เจ้าของรถก็ไม่มีคำตอบให้



จนกระทั่งรถยนต์จอดเทียบฟุตบาธ โฟล์คก็จัดการปลดเข็มขัดนิรภัยที่รั้งตัวไว้ แล้วหันไปเผชิญหน้ากับร่างเล็กที่มองเขาด้วยแววตาไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ยอมหลุดปากถามอะไรออกมา



โฟล์คถอนหายใจเข้าลึกเพื่อตั้งสติและเรียบเรียงสิ่งที่จะพูด ...ความจริงที่เขาอยากบอกให้คนตรงหน้ารู้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน



"ที่ภูมิเข้าใจน่ะ...ถูกแล้วครับ"



คนตัวเล็กทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าตนเข้าใจถูกเรื่องอะไร โฟล์คจึงขยายความ



"ภูมิเข้าใจถูกว่าพี่รักมิ้นท์มาก"



โฟล์คคิดว่าเขาเห็นนะ...เขาเห็นว่าแววตาของภูมิสั่น แม้จะเป็นเพียงวูบเดียวก็ตาม แต่นั่นทำให้เขามีกำลังใจที่จะพูดต่อไป



"แต่...พี่รักมิ้นท์แบบเพื่อน"



ครั้งนี้คนตัวเล็กของเขาเบิกตากว้าง นัยน์ตาสั่นไหวทั้งยังเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ท่าทางเหมือนจะร้องท้วงอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบลงและหลุบสายตาลงต่ำ พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กๆ "พี่พูดอย่างนั้นได้ไงวะ นั่นแฟนพี่นะ"



"พี่รู้ครับว่ามิ้นท์เป็นแฟนพี่ มันอาจจะดูไม่ดี...แต่ความจริงก็คือพี่รักมิ้นท์แบบเพื่อนสนิท และไม่เคยคิดเกินเลยไปกว่านั้น" โฟล์คบอกอย่างหนักแน่น จนภูมิต้องเงยหน้าขึ้นสบตาอีกครั้ง เพื่อพบกับสายตาอ่อนโยนที่บัดนี้เปี่ยมไปด้วยกระแสเว้าวอน และน้ำเสียงขอร้องที่ยากจะปฏิเสธ "พี่ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง  แต่พี่อยากขอร้อง...ภูมิช่วยฟังคำอธิบายจากผู้ชายที่ภูมิเกลียดคนนี้ได้มั้ยครับ"



"...ผมไม่ได้เกลียดพี่สักหน่อย"



โฟล์คยิ้มให้กับเสียงพึมพำตอบรับที่น่าฟังที่สุดสำหรับเขา ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่แรก



"พี่กับมิ้นท์รู้จักกันตั้งแต่จำความได้ เรียกว่าเพื่อนสมัยเด็กนั่นแหละ เราเลยสนิทกันมากจนเพื่อนหลายคนแซวบ่อยๆ  แต่พี่รู้ตัวตลอดว่าไม่เคยคิดกับมิ้นท์เกินเพื่อน หรือถ้าพูดให้ถูก...พี่ไม่เคยมีความรู้สึกชอบหรือรักใครแบบนั้นเลย"



ท้ายประโยค โฟล์คสบตากับร่างเล็กอย่างตั้งใจสื่อความหมาย ทว่าภูมิกลับเบนสายตาหลบ ซึ่งโฟล์คก็ไม่ได้ว่าอะไรแล้วพูดต่อ



"แต่จู่ๆ มิ้นท์ก็รู้ตัวว่าป่วย และจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน"



ภูมิชะงัก หันกลับมาสบตาร่างสูงทันควัน



"สิ่งที่มิ้นท์ขอมีสองอย่าง คือหนึ่ง...ขอไปใช้ชีวิตต่างประเทศคนเดียวแบบที่เคยฝันไว้ตั้งแต่เด็ก ...ความจริงก็เพื่อไปรักษาตัวด้วย และสอง...ขอให้พี่ยอมเป็นแฟนกับเธอในช่วงเวลาที่เหลือ" โฟล์คยิ้มให้ตัวเองอย่างเศร้าสร้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น "พี่เพิ่งรู้เมื่อตอนนั้นว่ามิ้นท์คิดกับพี่แบบไหน พี่ไม่เคยรักใคร และไม่คิดว่าจะรักใคร ดังนั้นพี่จึงเต็มใจทำตามที่เพื่อนสนิทที่สุดของพี่ขอ คือการทำให้มิ้นท์ความสุขที่สุดในช่วงที่ยังมีโอกาส"



ภูมิพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งฟังเรื่องราวที่ถูกปิดเป็นความลับมาตลอดอย่างเงียบๆ



"และช่วงที่มิ้นท์ไปอเมริกา...พี่ก็ได้เจอภูมิ" โฟล์คเล่าต่อพร้อมรอยยิ้ม "ตอนแรกพี่เอ็นดูภูมิเพราะเป็นน้องชายไอ้ภาคย์ พี่ชอบความหัวไว ชอบสีหน้าของภูมิตอนที่เล่นกีตาร์ให้พี่ฟัง แต่ถึงภูมิจะดูเป็นเด็กร่าเริง พี่กลับรู้สึกว่าภูมิเหมือนมีกำแพงอะไรบางอย่างในใจ"



โฟล์คนึกย้อนไปถึงตอนที่เจอกันครั้งแรกๆ ...ตอนที่เขายังไม่รู้ว่าภูมิมีปัญหาอะไรกันแน่



ทำไมเด็กคนหนึ่งถึงทำหน้าเศร้าได้ขนาดนั้น แต่บางครั้งก็ยิ้มให้เขาได้อย่างจริงใจ ...ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่โฟล์คสนใจคนอื่นมากขนาดนี้



"และพอกำแพงนั้นพังลง...วันที่ภูมิร้องไห้ใส่พี่ พี่สงสารและเห็นใจเด็กคนนั้นมาก จนพี่เริ่มรับรู้ถึงความรู้สึกที่มันมากกว่าความเอ็นดูน้องชายของเพื่อน พี่อยากดูแล อยากปกป้อง อยากเป็นคนที่อยู่ข้างภูมิตลอดเวลา ...พี่ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับใคร"



ภูมิแทบลืมหายใจ แววตาสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ ในขณะที่โฟล์คสบสายตากลับอย่างจริงจัง...ทว่าก็สะท้อนความรู้สึกผิด



"แต่ตอนนั้นพี่ยังมีมิ้นท์ ภูมิเชื่อมั้ย...นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่พี่ไม่รู้จะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง ...พี่ทำร้ายมิ้นท์ไม่ได้ แต่พี่ก็ออกห่างจากภูมิไม่ได้ สุดท้ายพี่ก็เลือกทางที่ขี้ขลาดที่สุดคือพยายามดันปัญหาให้ออกห่างจากตัว หลอกตัวเองว่าจะค่อยๆ หาทางแก้ปัญหาให้ดีที่สุด"



โฟล์คพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น ก่อนจะกล้ำกลืนพูดสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดออกมา



"แต่สุดท้าย...พี่ก็ทำให้ภูมิเสียใจ"



ภูมิหันหน้าหนี ไม่สามารถทนสบตาร่างสูงที่แสดงสีหน้าและน้ำเสียงเหมือนกำลังแบกโลกทั้งใบไว้แบบนี้ได้



เพราะแค่เห็น...เขาก็เจ็บไม่แพ้กัน



"พี่ไม่กล้าพอที่จะรั้งภูมิไว้ เพราะที่ผ่านมาพี่เห็นแก่ตัวมาก และหลังจากมิ้นท์กลับมาเมืองไทย พี่ก็ทุ่มเททุกอย่างให้มิ้นท์เพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งสุดท้ายที่พี่จะทำให้เพื่อนที่พี่รักที่สุดได้"



ภูมิยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งโฟล์คก็ไม่ว่าอะไรกับท่าทางนั้น เพราะรู้ว่าภูมิยังตั้งใจฟังที่เขาพูดทุกคำ



"แต่ไม่ว่ายังไง...พี่ก็ไม่เคยลืมภูมิ"



โฟล์คพูดอย่างหนักแน่น...จริงใจ จนคนฟังเหมือนจะนิ่งค้างไป และอะไรบางอย่างก็เป็นตัวผลักดันให้เขาเอ่ยประโยคสุดท้าย...ความรู้สึกที่มีให้เด็กคนนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ และเพิ่งแน่ใจวันนี้ว่า...มันไม่เคยเปลี่ยนแปลง



"พี่รักภูมิครับ"



ครั้งนี้ ไหล่ของคนตัวเล็กสั่นไหวเบาๆ  ทว่าโฟล์คไม่ได้เร่งเร้าอะไรอีกต่อไป เขาพูดสิ่งที่อยากพูดไปหมดแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เจ้าของรถทำจึงมีเพียงแค่นั่งรอคำตอบท่ามกลางความเงียบ...และเสียงสะอื้นที่ค่อยๆ ดังขึ้นจากคนข้างตัว



สุดท้ายภูมิก็ยอมหันกลับมาหา แต่ยังคงเอามือข้างหนึ่งปิดหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ "...พี่โฟล์คแม่งขี้โกง"



"หืม..."



เป็นคำตอบที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้รับ ยังไม่ทันจะได้ตีความต่อ เจ้าของคำกล่าวหาก็สวนขึ้นมาอีกระลอก



"ก็ดูพี่สิ...พี่พูดแบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้ แล้วยังทำหน้าแบบนี้ แล้วผม...ฮึก ผมจะทำยังไงต่อล่ะ..." เสียงพูดสลับกับเสียงร้องไห้จนจับใจความแทบไม่ถูก "พี่โฟล์คแม่ง...ไม่ให้ผมตั้งตัวเลย"



น่าแปลก...โฟล์คห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มกว้างขึ้นทีละนิดไม่ได้



ทั้งหมดทั้งมวลนั่น เขาตีความว่าภูมิไม่ได้เกลียดเขา



โฟล์คขยับเข้าใกล้คนที่ปิดหน้าปิดตาร้องไห้เหมือนเด็กๆ แล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้พร้อมเอ่ยอย่างหวังปลอบประโลม "พี่ขอโทษนะครับ..."



"ยังจะมานะครับอีก ฮึก..."



โฟล์คหลุดหัวเราะกับท่าทางดื้อดึงที่เขามองว่าน่ารักน่าเอ็นดูที่สุด มีที่ไหนกัน...ปากก็บ่น แต่สองมือกลับเช็ดน้ำตาตัวเองป้อยๆ จนหน้าแดงจมูกแดงไปหมด



โฟล์คเกลี่ยนิ้วโป้งบนแก้มขาวใสเบาๆ ปาดหยดน้ำตาที่ยังคงทะลักออกมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนนึกเป็นห่วงว่าคนตัวเล็กของเขาจะตาบวมแดงหลังจากนี้



หรือความเป็นห่วงนั้นอาจเป็นเพียงข้ออ้างที่ทำให้เขาเคลื่อนหน้าเข้าใกล้คนที่ยังเช็ดน้ำตาโดยไม่รู้สึกตัว แล้วกดจูบที่หยดน้ำใสบนแก้มเนียนนุ่มของคนตรงหน้าแผ่วเบา



สัมผัสที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้คนได้รับสะดุ้งเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ผละหนี ซ้ำยังสะอื้นแรงขึ้นจนโฟล์คได้แต่ซับน้ำตาด้วยวิธีเดิมให้หลายต่อหลายครั้ง ทั้งยังเลื่อนริมฝีปากไปขบเม้มตรงปลายจมูกรั้นที่แดงขึ้นจากการร้องไห้



เขาพยายามห้ามใจให้หยุดอยู่แค่ตรงนั้น แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กจะไม่ให้ความร่วมมือ เพราะสองมือที่ใช้ปาดน้ำตากลับเลื่อนขึ้นมาจับคอเสื้อของเขาแล้วกำแน่นอย่างสั่นไหว ทั้งยังพึมพำซ้ำไปซ้ำมา "คิดถึง...ผมคิดถึงพี่นะพี่โฟล์ค...ผมแม่งโคตรคิดถึงพี่เลย...ฮึก"



"ภูมิครับ..."



โฟล์คคำรามในลำคอ คาดไม่ถึงว่าร่างเล็กตรงหน้าจะพูดประโยคที่ทำให้เขาใจสั่น เพราะฉะนั้นสิ่งที่คิดว่าจะหยุด...ก็คงห้ามไม่ได้อีกต่อไป



โฟล์คลากริมฝีปากลงมาคลอเคลียอยู่เหนือเรียวปากสีสดที่ยิ่งแดงชัดจากการร้องไห้ แล้วประทับลงไปอย่างแนบแน่นราวกับถ่ายทอดความรู้สึกที่กักเก็บมาตลอดหลายปี



ภูมิไม่ได้ขัดขืน หรือถ้าพูดให้ถูกคือไม่มีความคิดที่จะไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้นใดๆ  เขาทำได้แค่เพียงกระชับคอเสื้อของอีกฝ่ายไว้เพื่อเป็นหลักยึดเหนี่ยว ปล่อยให้คนตัวสูงกว่าเชยคางเขาขึ้นแล้วเบี่ยงองศาเพื่อกดจูบลงมาอีกครั้ง ทั้งเคล้นคลึงอย่างอ่อนโยนจนภูมิรู้สึกเหมือนถูกขโมยลมหายใจ



ถึงจะผ่านมาแล้วตั้งสองปี แต่เขาจำได้ว่าเมื่อคราวก่อนพี่โฟล์คยังจูบไม่เก่งเท่านี้เลย



"อือ...พี่โฟล์ค..."



ภูมิกระตุกคอเสื้อของอีกฝ่ายเบาๆ เป็นสัญญาณว่าลมหายใจเขาใกล้จะหมด โฟล์คอดไม่ได้ที่จะขยับไปกดจูบที่มุมปากอีกครั้งก่อนผละออกมา



ทั้งสองคนหอบหายใจ หัวใจยังเต้นรัวแรงกับสัมผัสที่ห่างหายไปนาน ภูมิเริ่มหน้าขึ้นสีมากขึ้นเมื่อระลึกได้ว่าเผลอโอนอ่อนผ่อนตามสัมผัสจากร่างสูงมากแค่ไหน



โฟล์คมองท่าทางนั้นอย่างเอ็นดู สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย แล้วจึงเอ่ยคำถามที่จะเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาทั้งสองคนนับแต่นี้ไป



"...เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้มั้ยครับภูมิ"



-------------------------- TBC ------------------------



คำรักคำแรกของพี่โฟล์คที่ไม่มีพันธะอะไรแล้ว กับกำแพงของน้องภูมิที่ถล่มลงมาทีเดียว

เรียกว่าใกล้ลงเอยกันแล้วก็ได้ค่ะ :)

วันพฤหัสนี้ลงตอนสุดท้ายนะคะ แล้วก็จะมีบทส่งท้ายสั้นๆ มาในวันเสาร์ด้วย

ประเด็นครอบครัวของน้องภูมิขอยกไปเป็นตอนพิเศษนะคะ เพราะเรื่องของไทม์ไลน์ที่กว่าครอบครัวของภูมิจะรู้เรื่องก็อีกสักพัก และที่เราวางไว้คือครอบครัวจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของเรื่องนี้ค่ะ การต้องแยกกันสองปีแต่ยังรักกันอยู่ขนาดนี้ เราว่าเป็นบทพิสูจน์สำคัญของคู่นี้แล้วค่ะ จะเจออะไรอีกก็ไม่น่ากลัวแล้ว ผ่านไปได้ด้วยกันแน่นอน^^

อีกอย่างคือ น้องซันจะมีส่วนช่วยเยอะมากในการเปลี่ยนทัศนคติพี่ภาคย์ค่ะ ซึ่งหลักๆ จะอยู่ในเรื่องแยกของคู่ซันภาคย์เลย ดังนั้นเลยขอยกประเด็นครอบครัวไปไว้ในตอนพิเศษแทนค่า แต่ยังรับปากไม่ได้ว่าจะมาเมื่อไหร่ แต่จะพยายามไม่ให้ทิ้งช่วงห่างจากนี้มากนะคะ

เวลาผ่านไปเร็วมาก แป๊บเดียวก็จะจบแล้ว ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมานะคะ รัก<3



CT.hamonigar

อ้อ ลืมบอกเลย ตอนนี้เปิดตัวน้องไอซ์ นายเอกจากเรื่อง 【 ก่อน . รัก . เพียง . ฝัน 】 แล้วนะคะ จะลงบทนำวันเสาร์นี้ วันเดียวกับบทส่งท้ายของพี่โฟล์คกับน้องภูมิค่ะ ฝากตัวอีกครั้งนะคะ :)

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 รักกันมาตั้งนานฮรึกกกก

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :-[

พี่โฟร์คไวเวอร์ น้องภูมิแพ้ทางเขาตลอด 55

 :L2: :pig4: :L1:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
Chapter 23 : นับจากนี้



“ขยับไปทางซ้ายหน่อย...อีกนิด...โอเค ดี ตรงนั้นแหละ”



ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเย็นเกือบพลบค่ำ แต่แสงไฟในสนามกีฬากลางแจ้งยังคงสว่างโร่เพื่อรองรับเหล่านักศึกษาที่กำลังเตรียมงานเปิดกีฬามหาวิทยาลัยซึ่งจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ในฐานะเด็กปีหนึ่งที่รับหน้าที่ทำฉากมาตั้งแต่ต้น การนำฉากมาจัดวางบนแสตนด์ถือเป็นหน้าที่สำคัญอย่างสุดท้ายสำหรับภูมิ



เมื่อได้ยินรุ่นพี่ด้านล่างบอกเช่นนั้นกับฉากแผ่นสุดท้าย ภูมิกับเพื่อนอีกห้าคนก็ถอนหายใจพร้อมกันขณะปล่อยมือจากฉาก เสียงเพื่อนร่วมคณะเฮกันอย่างครื้นเครงเมื่อเห็นภาพฉากหลังแสตนด์จัดเรียงไว้สวยงามสมกับที่ตรากตรำกันมาร่วมเดือน



ภูมิเดินกระพือคอเสื้อลงจากแสตนด์ พอเงยหน้ามองผลความพยายามของตนกับเพื่อนแบบเต็มๆ ตา เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเหมือนคนอื่น



หมับ



“เฮ้ยไอ้ภูมิ สวยโคตรๆ เลยว่ะ”



ภูมิชำเลืองมองเพื่อนสนิทที่จู่ๆ ก็เดินมาพาดแขน ยกยิ้มเล็กน้อยแล้วถามออกไป “มึงไม่ซ้อมกีฬาแล้วเหรอ”



“ไม่ล่ะ พรุ่งนี้แข่งแล้ว โค้ชอยากให้พักเยอะๆ” ปิงปองหันมายิ้มยิงฟัน



“วันแรกก็แข่งเลยเหรอวะ”



“เออ กับวิศวะ”



“เฮ้ย ตัวเก็งเลยนะมึง”



“ชิลๆ น่า” ปิงปองบอกอย่างไม่ทุกข์ร้อนจนภูมินึกหมั่นไส้ขึ้นมาทันควัน “ว่าแต่มึงจะไปกินข้าวกับพวกรุ่นพี่ต่อหรือเปล่า เขาบอกจะเลี้ยงนี่ เออ แต่นี่ก็มืดแล้ว หรือมึงต้องรีบกลับบ้าน”



ภูมิส่ายหน้าแล้วตอบสั้นๆ “กูไป”



“ฮะ!” ปิงปองหันขวับไปมองเพื่อนข้างตัว แล้วยกมือเขย่าไหล่ทั้งสองข้างของอีกฝ่ายแรงๆ โดยไม่สนใจสายตาติดจะรำคาญของเจ้าของ “เป็นไปได้ไงวะ ปกติมึงไม่ชอบไปกินเลี้ยงแบบนี้นี่ ยิ่งดึกๆ นะมึงจะบอกว่ารถเมล์หมดเดี๋ยวกลับบ้านไม่ได้ ใครรบเร้าก็ไม่ยอม แล้ววันนี้อะไรเข้าสิงมึง”



“มึงนั่นแหละเป็นอะไร” ภูมิบ่นพึมพำแล้วขยับหนีออกมา “กูไปเอากระเป๋าก่อนนะ”



“กูไปด้วย!”



ปิงปองรีบวิ่งตาม ทว่ากลับต้องชะลอฝีเท้าลงเมื่อเห็นว่าเพื่อนที่เดินนำหน้าไปมีรุ่นพี่เดินเข้ามาทัก แถมเป็นรุ่นพี่ที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีจนปิงปองต้องเบิกตากว้าง



พี่โฟล์คนี่หว่า!



“งานเสร็จแล้วเหรอครับภูมิ”



“อืม”



ไหนวะหน้ารำคาญกูเมื่อกี้ ทำไมตอนนี้เหลือแต่ไอ้ภูมิที่ทำหน้าเขินๆ วะ



“แล้วนี่รู้หรือยังว่ารุ่นพี่จะพาไปเลี้ยงร้านไหน”



“ยังเลย ถ้ารู้แล้วจะไลน์บอก”



“โอเคครับ งั้นเสร็จงานแล้วเดี๋ยวพี่ไปรับนะ”



“อือ ไม่ต้องรีบนะพี่โฟล์ค ผมรอได้”



โฟล์คยิ้มให้ ยกมือขึ้นลูบผมคนตัวเล็กกว่าเบาๆ ด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติจนปิงปองถลึงตามองอีกรอบ



กูตกข่าวอะไรไปเนี่ย!



เมื่อโฟล์คเดินออกไปแล้ว ปิงปองก็รีบสาวเท้าให้ทันคนที่เห็นได้ชัดว่าเตรียมจะชิ่งไปทางอื่น แล้วคว้าหมับเข้าที่ไหล่ของอีกฝ่ายจนคนถูกรั้งไว้ต้องหันกลับมาโวยใส่ “อะไรของมึงอีก”



“มึงนั่นแหละ! คืนดีกับพี่โฟล์คตอนไหนวะ”



“อะไร...ยังสักหน่อย” ภูมิตอบอุบอิบ ท้ายเสียงเบาลงอย่างไม่มั่นใจนักจนคนถามเริ่มสับสน



“อ้าว แล้วที่คุยกันกับลูบหัวเมื่อกี้ล่ะ มองจากแสตนด์ฝั่งนู้นยังรู้เลยว่ามึงกับพี่โฟล์คกลับมาสนิทกันแล้ว ตั้งแต่ตอนไหนวะ ทำไมกูไม่รู้เรื่อง!”



ภูมิกลอกตาไปมา ปัดมือเพื่อนข้างตัวออกจากไหล่ขณะยอมตอบคำถาม “แค่เคลียร์กันแล้วเฉยๆ พอเลิกเรียนมึงก็เอาแต่ไปซ้อมกีฬาเองนี่”



จากนั้น คนตอบคำถามก็เดินเลี่ยงไปคุยกับกลุ่มเพื่อนที่ร่วมทำฉากด้วยกัน ปล่อยให้นักกีฬาของคณะยืนประมวลคำตอบที่ได้ในหัวอย่างมึนงงไม่หาย



กูเพิ่งไปซ้อมกีฬาหนักๆ แค่สองอาทิตย์ก่อนแข่งเอง เวลาแค่นั้นเปลี่ยนจากคนที่เอาแต่หลบหน้าให้กลับมาสนิทกันได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ











 

ภายในร้านอาหารจีนขนาดตึกแถวหนึ่งห้อง พื้นที่ในร้านถูกจับจองโดยนักศึกษาคณะนิเทศฯ เกือบยี่สิบคนซึ่งแบ่งกันนั่งตามโต๊ะกลมทั้งสามโต๊ะในร้าน อาหารที่สั่งมาพร่องลงจนเกือบไม่เหลือ แต่เหล่าเด็กปีหนึ่งยังคงหยิบยกแผ่นเมนูขึ้นมาชี้ๆ ให้เจ้าของร้านที่เป็นคนจีนแท้รับออเดอร์ โดยไม่คิดเกรงใจรุ่นพี่ที่ต้องควักกระเป๋าสตางค์จ่ายในตอนท้าย



ทว่าด้านหนึ่งของโต๊ะ สองเพื่อนซี้ที่นั่งติดกันแทบไม่ได้สนใจอาหารตรงหน้า เมื่อคนหนึ่งพยายามรบเร้าให้คนข้างตัวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่สองสัปดาห์ก่อนให้ฟัง ส่วนอีกคนก็ทนลูกตื๊อไม่ไหว จำต้องค่อยๆ อธิบายในที่สุด



“แค่นี้แหละ...หลังจากวันนั้นก็เจอกันตามปกติ ไม่ได้มีอะไรพิเศษอย่างที่มึงคิดสักหน่อย” ภูมิเอ่ยสรุปสั้นๆ



ก็ถ้านับว่าการเจอกันเกือบทุกวันเป็นเรื่องปกติ บางครั้งไปกินข้าวกันบ้าง วันไหนกลับดึกพี่โฟล์คจะไปส่งที่บ้าน...เขาก็ไม่ได้โกหกนี่นะ



“เหรอวะ แค่ปรับความเข้าใจกันเฉยๆ  ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นเลยเหรอ”



“เออ แค่นั้น” ภูมิบอกแล้วจัดการคีบขนมจีบเข้าปาก เคี้ยวๆ แล้วกลืน ก่อนจะหันมาสำทับอีกประโยค “กูกับพี่โฟล์คก็ไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่านั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”



“โห ไม่เป็นก็เหมือนเป็นล่ะวะ หมาบ้านกูยังดูออกเลย”



เขาส่ายหน้ากับความช่างประชดประชันของเพื่อน หลังจากนั้นไม่ว่าจะถูกโยนคำถามอะไรมา ภูมิก็แค่ตอบสั้นๆ และไล่ให้อีกฝ่ายรีบกินอาหารที่เพิ่งมาเสิร์ฟรอบสอง ก่อนจะเป็นเหมือนครั้งแรกที่เอาแต่คุยกันจนกินไม่ทันคนอื่น



จนเมื่อปิงปองได้คีบซาลาเปาที่สอดไส้น้ำซุปเข้าปาก เจ้าตัวก็ทำตาโต ก่อนชิ้นที่สองและสามจะตามมาอย่างรวดเร็ว ปากก็พูดใส่ภูมิรัวๆ



“มึงๆๆ ไอ้นี่โคตรอร่อยอะ มันชื่ออะไรนะ อะไรเปาหลงๆ”



“เสี่ยวหลงเปา” ด้วยความที่มีเชื้อสายจีนแท้และดั้งเดิม ติ่มซำเมนูนี้เป็นสิ่งที่ภูมิรู้จักมาตั้งแต่เด็กๆ  แต่พอโตขึ้นก็ไม่ได้กินบ่อยเท่าเดิม



พอปิงปองได้รู้ชื่อ ก็จัดการเรียกเจ้าของร้านมาพูดช้งๆ เช้งๆ ใส่ จนผ่านไปเกือบสิบนาที ซาลาเปาสอดไส้น้ำซุปในเข่งใหญ่สองเข่งก็ถูกยกมาเสิร์ฟ



“กินด้วยกันสิไอ้ภูมิ อร่อยนะเว้ย”



“ไม่ล่ะ” ภูมิส่ายหน้าปฏิเสธขณะเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ที่มีข้อความเข้าใหม่ “เดี๋ยวกูกลับแล้ว”



คนที่วุ่นอยู่กับการกินไม่ได้พ่นคำถามหรือเอ่ยรั้งเขาไว้เหมือนที่คิด ภูมิจึงหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย แล้วเดินไปที่โต๊ะของรุ่นพี่เพื่อบอกลา



จากนั้น เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาก็เดินออกมาด้านหน้าร้านที่มีรถยนต์คันสีขาวจอดเด่นเป็นสง่าอยู่ ซึ่งหลังจากคืนนั้นที่เขากับพี่โฟล์คได้ปรับความเข้าใจกัน ภูมิถึงเพิ่งสังเกตว่ารถคันที่พี่โฟล์คขับคือคันเดียวกันกับที่เคยจอดแช่อยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าคณะ



เมื่อลองถามดูก็ได้คำสารภาพว่าวันนั้นพี่โฟล์คลงทุนขับตามเขาไปถึงบ้าน และไม่ใช่แค่ครั้งเดียวเสียด้วย



ภูมิส่ายหน้ากับตัวเองเบาๆ จำได้ว่าตอนที่รู้เรื่องนี้เขาแทบพูดไม่ออก จะตำหนิก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะลึกๆ แล้วเขาเข้าใจว่าทำไมพี่โฟล์คถึงทำแบบนั้น



ภูมิเปิดประตูขึ้นนั่งด้านข้างคนขับ เจ้าของรถหันมายิ้มให้เขาแล้วเอ่ยถามขณะเปลี่ยนเกียร์ “วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ”



“เหนื่อยแหละพี่โฟล์ค แต่ก็วันสุดท้ายแล้ว พี่นั่นแหละ...ตั้งแต่พรุ่งนี้คงงานยุ่งใช่ไหม”



“ไม่มากไปกว่าตอนเตรียมงานหรอกครับ” โฟล์คตอบด้วยท่าทีสบายๆ  ซึ่งภูมิรู้ทันหรอกว่าพี่โฟล์คแค่ไม่อยากให้เป็นห่วง



“อย่าโหมงานหนักแล้วกันนะ” ภูมิพูดเสียงเบา แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ประดับมุมปากเจ้าของรถ จึงรู้ว่าร่างสูงคงได้ยินชัดเต็มสองหู ภูมิจึงหันไปมองวิวนอกหน้าต่างแก้เก้อ ก่อนจะรู้สึกร้อนที่แก้มเมื่อสัมผัสได้ถึงฝ่ามือหนาที่เอื้อมมาลูบศีรษะเขาเบาๆ



“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ”



ภูมิเม้มปาก พยักหน้ารับเบาๆ โดยไม่ตอบอะไร



จริงอยู่ที่เขากับพี่โฟล์คไม่ได้เจอกันเกือบสองปี แต่เวลาสองอาทิตย์ที่ได้ปรับตัวเข้าหากันอีกครั้ง เขาก็พบว่า...พี่โฟล์คแทบไม่เปลี่ยนไปเลย



อดีตครูสอนพิเศษของเขายังเป็นพี่ชายใจดีคนเดิมเหมือนเมื่อสองปีก่อน เป็นคนที่ทำให้เขาอุ่นใจเมื่อได้อยู่ใกล้ เป็นคนที่คอยดูแลและห่วงใยกันตลอดเวลา



สิ่งที่ต่างออกไปน่าจะมีเพียงแค่สายตาของพี่โฟล์ค ซึ่งในตอนนี้แสดงออกชัดเจนว่า...รัก เหมือนที่พี่โฟล์คบอกกับเขาคืนนั้น และที่มากกว่านั้นคือ...ความโหยหา



มันทำให้รู้ว่าไม่ได้มีแค่เขาที่ยังรู้สึกกับคนคนเดิมมาตลอดสองปี แต่อีกฝ่ายเองก็ยังคาดหวังให้เราทั้งคู่กลับมาเป็นเหมือนเดิม



ดังนั้นภูมิจึงตัดสินใจละทิฐิทั้งหมดที่มี และเริ่มเปิดใจ...ทำตามความต้องการของหัวใจตัวเองอีกครั้ง



ลมแอร์เย็นฉ่ำปะทะเข้าที่หน้า ประกอบกับเสียงเรียกเบาๆ จากคนข้างตัวทำให้ภูมิลืมตาขึ้นอย่างงุนงง เมื่อเห็นว่ารถยนต์จอดนิ่งสนิทหน้ารั้วบ้านที่คุ้นตา เขาถึงค่อยๆ ระลึกได้ว่าตนอยู่ที่ไหน



“อืม...ผมหลับไปเหรอ”



“ครับ” โฟล์คยิ้มให้ เอื้อมมือมาจัดทรงผมให้คนที่เมื่อครู่นอนคอพับอย่างอ่อนโยน “ภูมิคงเหนื่อยมาก เข้าไปนอนพักในบ้านต่อดีกว่า”



ทว่าคนตัวเล็กยังคงนั่งนิ่ง ไม่ขยับไปไหน พอโฟล์คเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เขาก็หลุบตาลงต่ำแล้วพูดเสียงตะกุกตะกัก “เอ่อ คือ...”



โฟล์คหลุดยิ้มออกมากับการทำตัวไม่ถูกของอีกฝ่าย แต่ก็ยังรอให้ภูมิพูดให้จบอย่างใจเย็น



“คือ...ขอโทษที่ปล่อยให้พี่ขับรถคนเดียวนะ ผมหลับไปไม่รู้ตัวเลย นี่ก็ดึกแล้ว ขับรถกลับดีๆ นะพี่ ถ้าถึงบ้านแล้วก็ไลน์บอกผมด้วย” ภูมิเอ่ยออกมารวดเดียวจนคนฟังชะงักไปนิด ก่อนจะยกยิ้มด้วยความเอ็นดู



“ไม่เห็นเป็นไรเลย แค่เห็นหน้าภูมิพี่ก็หายเหนื่อยแล้ว” โฟล์คพูดอย่างไร้ความลังเล พร้อมกับยกมือขึ้นสัมผัสแก้มขาวใสของคนตรงหน้า แล้วใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆ



ภูมิรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ขึ้นมาสุมกันอยู่ตรงแก้มทั้งสองข้าง ทว่ากลับไม่กล้าผละหนี ภูมิเหลือบตามองเจ้าของฝ่ามือสลับกับมือที่สัมผัสแก้มของตนอยู่ด้วยความคิดที่ตีกันในหัว ก่อนจะตัดสินใจ...



จุ๊บ



เลื่อนหน้าเล็กน้อยจนริมฝีปากประทับเข้าที่กลางฝ่ามือของอีกฝ่าย แล้วหลับตาแน่น ใจเต้นรัวกับความกล้าบ้าบิ่นที่แทบไม่รู้ว่าผ่านการไตร่ตรองมาหรือยัง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้พี่โฟล์คกำลังทำสีหน้าแบบไหน



ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นมา ภูมิก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าร่างสูงขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ริมฝีปากทั้งคู่ห่างกันเพียงลมหายใจกั้น และไม่ทันได้ตั้งตัว...สัมผัสอ่อนโยนก็ประทับเข้ากับริมฝีปากที่เผลอเผยอไว้น้อยๆ  เคล้นคลึงแผ่วเบาจนภูมิเผลอหลับตาลงอีกครั้ง



จนเมื่อสัมผัสนั้นผละออกไป ภูมิค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น และพบว่าใบหน้าของพี่โฟล์คอยู่ห่างออกไปเพียงนิด โดยที่ฝ่ามือหนายังคงประคองใบหน้าของเขาไว้เช่นเดิม



ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล เว้าวอน...ทว่ามั่นคง



“เป็นแฟนกับพี่นะครับ”



ภูมิเบิกตากว้าง นัยน์ตาสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ ทว่าโฟล์คยังคงมองกลับด้วยสายตามั่นคงดุจเดิม



“เราอาจจะกลับมาเจอกันไม่นาน แต่สำหรับพี่...แค่สองปีมันก็มากเกินพอแล้วที่เราห่างกัน ตลอดเวลานั้นทำให้พี่รู้ว่าพี่มองคนอื่นอีกไม่ได้ และสองอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ยิ่งทำให้พี่มั่นใจ...” โฟล์คเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ จรดหน้าผากแนบสนิทกับคนที่เริ่มมีน้ำตารื้นขึ้นมา แล้วเอ่ยแผ่วเบา ทว่าสลักลึกเข้าไปในใจคนฟัง “…ว่าพี่รักแค่ภูมิ...ต้องการแค่ภูมิคนเดียว”



“ฮึก...”



ภูมิรู้สึกร้อนผ่าวที่กระบอกตา เอ่ยออกมาได้เพียงเสียงสะอื้น



“ว่าไงครับ เป็นแฟนกับพี่...อยู่กับพี่ตั้งแต่นี้ไปได้มั้ย”



ครั้งนี้ภูมิไม่รอให้อีกฝ่ายถามซ้ำ แต่กดหน้าลงทีหนึ่งเป็นคำตอบ ก่อนที่น้ำตาจะร่วงพรูเป็นสายอย่างที่ภูมิก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไม



อาจเป็นเพราะกำแพงที่ตั้งไว้ตลอดสองปีพังครืนลงมาทีเดียว และคนที่ขังเขาเอาไว้เมื่อสองปีก่อน...คือคนเดียวกันกับที่ทำลายกำแพงและฉุดเขาเข้าไปในอ้อมกอด ดึงเขาออกจากความมืดให้พบกับแสงสว่างอีกครั้ง



“ขอบคุณนะพี่โฟล์ค...ขอบคุณนะ”



ภูมิได้แต่พูดคำเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ยอมตอบว่าเขาขอบคุณอีกฝ่ายเรื่องอะไร



ขอบคุณที่ก้าวเข้ามาในชีวิตผมเมื่อสองปีก่อน



ขอบคุณที่ช่วยให้ผมได้ทำในสิ่งที่ฝัน



ขอบคุณที่ฉุดให้ผมได้พบกับแสงสว่าง



ขอบคุณ...ที่พี่จะเป็นเส้นทางให้ผมก้าวเดินนับแต่นี้ไป




------------------------------ TBC ------------------------------



แวบมาลงให้ก่อนเพราะคิดว่าคืนนี้น่าจะกลับดึก แฮ่

ตอนหน้าเป็นบทส่งท้ายนะคะ เจอกันวันเสาร์ค่ะ :)



CT.hamonigar

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :-[ :pig4: :L2:

ในที่สุดก็เป็นแฟนกัน

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ CT.hamonigar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
Epilogue



ภูมินั่งอยู่บนอัฒจันทร์ของสนามกีฬาในร่ม ตอนนี้เป็นช่วงพักครึ่งของการแข่งกันบาสเกตบอลระหว่างคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะครุศาสตร์ ภูมิมองร่างสูงที่เด่นที่สุดในสายตาของเขายืนคุยกับประธานชมรมบาสฯ ของครุฯ แล้วยิ้มกับตัวเอง จากนั้นจึงละสายตามาดูหน้าจอโทรศัพท์เป็นการฆ่าเวลา



ภูมิชะงักไปเมื่อเห็นรูปหนึ่งซึ่งถูกอัพโหลดโดยพี่ภาคย์ พี่ชายแท้ๆ ของเขาเอง แถมยังถ่ายคู่กับเพื่อนสนิทสมัยมัธยมของเขาอย่างไอ้ซันพร้อมกับข้อความว่า ‘ไอ้นี่แม่งหล่อเหี้ยๆ’



“อะไรกันล่ะนั่น...ลงเอยกันแล้วหรือไง” ภูมิว่าอย่างติดจะล้อเล่นกับตัวเองหน่อยๆ เพราะรู้ดีว่าไอ้ซันน่ะชอบพี่ภาคย์ของจริง แต่พี่ภาคย์...ดันเกลียดเกย์เข้าไส้



“นั่งด้วยคนได้ไหม”



เสียงใครสักคนเอ่ยถาม เมื่อภูมิเงยหน้าขึ้นมองก็ยิ้มกว้างแล้วตอบ “เอาดิ นั่งเลย”



ไอซ์...เพื่อนจากคณะครุศาสตร์ส่งยิ้มให้ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างกัน



ความจริงไอซ์กับภูมิรู้จักกันเพราะอุบัติเหตุระหว่างทำฉากเมื่อเดือนที่แล้ว ประกอบกับระยะหลังมานี้ภูมิแวะไปหาพี่โฟล์คที่คณะหลายครั้ง จึงสนิทกับเพื่อนคนนี้ขึ้นมาโดยปริยาย แม้ภายนอกไอซ์จะเป็นคนเงียบๆ  แต่ภูมิกลับพบว่าเป็นเพื่อนคนนี้เป็นอีกคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ



“การแข่งเป็นไงบ้าง” ไอซ์หันมาถาม



“ครึ่งนึงแล้วล่ะ กำลังจะเริ่มเซตที่สาม” ภูมิตอบ “แต่ก็อย่างที่เห็น วิศวะนำลิ่ว”



“อืม ไม่แปลกใจหรอก” ไอซ์ตอบง่ายๆ  เพราะวิศวะฯ เป็นคณะที่มีผู้ชายเยอะเป็นอันดับต้นๆ ของมหาวิทยาลัย และชมรมบาสฯ ของคณะนี้ก็ขึ้นชื่อไม่น้อย



“นั่นสินะ” ภูมิหัวเราะ แล้วชี้ไปที่ผู้ชายใส่เสื้อกีฬาเบอร์ 11 ที่นั่งพักอยู่ริมสนามอีกฝั่ง “คนนั้นน่ะโหดมาก ครั้งก่อนไอ้ปิงปองก็แพ้เพราะโดนมันบล็อกได้เกือบหมด ทั้งที่อยู่ปีหนึ่งเท่ากันแท้ๆ”



“หืม...ปีหนึ่งเหรอ” ไอซ์พึมพำ “ตัวสูงจัง”



“ใช่มั้ยล่ะ ตอนแรกเราก็นึกว่าเป็นรุ่นพี่”



“อืม” ไอซ์ตอบกลับแค่นั้น



การแข่งขันเซตที่สามเริ่มต้นขึ้น ภูมิดูการแข่งที่ดุเดือดกว่าสองเซตแรก ส่งเสียงเชียร์บ้างตามผู้คนบนอัฒจันทร์



ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ภูมิรู้สึกว่าเพื่อนข้างตัวมองนักกีฬาเบอร์ 11 คนนั้นไม่วางตา



“ทำไมคนเยอะอย่างนี้วะ กว่าจะหามึงเจอ”



ปิงปองบ่นพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งด้านข้าง ร่างสูงในชุดนักกีฬาพ่นลมหายใจหนักหน่วงพลางกระพือเสื้อเพื่อไล่ความร้อน



ภูมิหันไปมองแล้วเอ่ยถาม “แข่งเสร็จแล้วเหรอ”



“เออ ชนะฉิวเฉียดเลย เด็กบัญชีแม่งเหนียวกว่าที่คิด” ปิงปองตอบ ก่อนจะนึกเรื่องอื่นขึ้นได้ “เออไอ้ภูมิ จำพี่ที่แจกข้าววันที่เรามาเข้าค่ายนิเทศตอนมอห้าได้ปะ”



“ใครจะจำได้วะ” ภูมิขมวดคิ้ว



“เออๆ กูจำได้ไง พี่ที่ทำหน้านิ่งๆ แบบซังกะตายอะ กูก็นึกว่าพี่เขาอยู่นิเทศ สรุปพี่เขาอยู่บัญชีว่ะ วันนี้เห็นเตรียมน้ำให้พวกนักกีฬาฝั่งนู้นอยู่ ก็ว่าไม่เคยเจอในคณะเลย”



“แล้วมึงไปยุ่งอะไรกับเขา”



“ก็ไม่รู้สิ” ปิงปองยักไหล่ ไม่ยอมตอบให้ชัด “นู่น...แฟนมึงมาแล้ว”



ภูมิมองตามที่เพื่อนสนิทชี้ เผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัวเมื่อสบตากับร่างสูงที่เดินเข้ามาใกล้ เพียงเท่านั้น เพื่อนซี้อย่างไอ้ปิงปองก็แสนจะรู้งาน รีบลุกขึ้นอย่างว่องไวแล้วบอกรัวเร็ว



“พี่โฟล์คนั่งนี่เลย ผมจะไปซื้อน้ำ ในนี้แม่งโคตรร้อนอะ” ว่าจบก็ผลุบหายไปทันที



โฟล์คยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แทนที่รุ่นน้องที่เพิ่งลุกไป



“ทำงานเสร็จแล้วเหรอพี่” ภูมิชะโงกหน้ามากระซิบถามท่ามกลางเสียงเชียร์ที่ดังก้องสนาม



“อืม แต่พอแข่งเสร็จต้องไปคุยงานต่อ” โฟล์คหันมาตอบเกือบชิดใบหู ภูมิชะงัก แล้วผละออกไปอย่างขัดเขินไม่น้อย แต่โฟล์คกลับรั้งลำคอของคนตรงหน้าให้ตรึงอยู่กับที่ ก่อนจะใช้ผ้าสะอาดที่ขอมาจากฝ่ายสวัสดิการด้านล่างเช็ดใบหน้าเปื้อนเหงื่อของคนตัวเล็กอย่างเบามือ



ภูมิหลบสายตาพร้อมอาการใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ปล่อยให้คนที่เช็ดหน้าเช็ดตาโดยไม่สนใจสายตาคนรอบด้านพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “พี่บอกแล้วไงครับว่าในนี้มันร้อน เหงื่อออกเต็มเลยดูสิ”



“พี่ก็เหงื่อออกเหมือนกันแหละน่า” ภูมิบ่นอุบ คว้าผ้าเช็ดหน้าออกจากมือของคนข้างตัว แล้วใช้อีกด้านที่ยังไม่เปื้อนเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้อีกฝ่ายเช่นกัน



โฟล์คยิ้ม ปล่อยให้คนตัวเล็กจัดการเช็ดหน้าให้โดยไม่โต้แย้ง แม้จะรู้ดีว่าเจ้าตัวกำลังข่มอาการเขินไว้สุดกำลังแค่ไหน



สำหรับเขา...ท่าทางแบบนี้ยิ่งกว่าน่าเอ็นดูเสียอีก



จากนั้นภูมิก็ยัดผ้าใส่มือเขาเหมือนเดิม แล้วหันหน้าไปดูการแข่งขันต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



โฟล์คหลุดหัวเราะ ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้าหาอีกครั้งแล้วกระซิบ “ขอบคุณครับ”



แม้จะไม่ได้รับคำตอบ แต่แก้มขาวที่ค่อยๆ ขึ้นสีกว่าเดิมก็ทำให้โฟล์คพอใจมากแล้ว



โฟล์คหันไปสนใจการแข่งขันเหมือนกับคนอื่นบนอัฒจันทร์ ส่วนมือ...ก็เลื่อนไปกุมคนข้างตัวไว้จนแนบสนิท



 

ท่ามกลางเสียงเชียร์รอบด้าน กลับได้ยินถึงเสียงลมหายใจ



ท่ามกลางอากาศร้อนรอบกาย กลับรู้สึกถึงไออุ่นที่อยู่ข้างกัน



ท่ามกลางผู้คนนับร้อยพัน กลับสัมผัสได้ถึงกันและกัน...แค่สองคน




 

-          END   -



จบแล้วนะคะ :)

ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่อยู่ด้วยกันมา ขอบคุณจริงๆ ค่ะ

หลังจากนี้อาจจะมีตอนพิเศษ ยังไม่รับปากว่าเป็นเมื่อไหร่นะคะ แต่จะพยายามไม่ทิ้งช่วงนานค่ะ

และถ้าอยากรู้ว่า น้องไอซ์ที่มองนักบาสในสนามตาค้างจะเป็นยังไงต่อ

ติดตามกันได้ใน 【 ก่อน . รัก . เพียง . ฝัน 】 ค่า

ขอบคุณมากค่ะ ^^



CT.hamonigar


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
น่ารักและกินใจมากๆค่ะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
จบแล้ว  Happy Ending   :mew1: :mew1: :mew1:
ชอบบบบบ  :katai2-1:
พี่ภาคย์ กับซัน จะถือว่าลงเอยกันได้รึเปล่านะ
เชียร์ให้ซันจะทำให้พี่ภาคย์สนใจ 
ไหนๆพี่ภาคย์ก็ ว่า‘ไอ้นี่แม่งหล่อเหี้ยๆ’  :z3:

พี่โฟล์ค  ภูมิ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอตอนพิเศษนะ  :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
สำนวนรื่นดีนะคะ เพราะแทบไม่มีคำผิดเลย
แต่เนื้อหาช่วงหลังจากที่ภูมิรู้เรื่องมิ้นท์ ... มันยังเบา ๆ
อาจจะเพราะ ... ต้องการให้ไปอ่านเพิ่มเติมในตอนพิเศษล่ะมั้งคะ?

เอาว่า เป็นเรื่องราวที่น่ารักดีค่ะ
นึกมาดของพี่โฟล์คออกเลย คุณชายสุด ๆ
และอีกอย่างที่ชอบคือ ให้พี่โฟล์คเรียนครุศาสตร์ ... เท่อะ
ชอบมากการแหวกขนบของเมะที่ต้องเรียนวิศวะเป็นส่วนใหญ่

เจอกันใหม่ในเรื่องต่อไปเมื่อเขียนจบแล้วนะคะ :mew1:


ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด