บทที่ 21 เพชรหึง
หลังจากเมื่อวานเขามาคลุกอยู่ที่บ้านศศิพัฒนเมธีทั้งวัน เพื่อเกริ่นเอาไว้ว่าคุณหญิงดาหลาจะมาคุยกับคุณหญิงพิมลรัตน์ ดังนั้นวันนี้ในห้องรับแขกจึงมีมารดาของทั้งสองฝ่ายนั่งอยู่ ท่านทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอจนไล่คนเป็นลูกออกนอกวง ท่านว่าผู้ใหญ่จะคุยกัน แล้วคุณหญิงพิมลรัตน์ก็เต็มใจเปิดทางให้ว่าที่ลูกเขยขอให้นเรศไปเป็นเพื่อนเจ้าจันทร์ทำเรื่องดรอปเรียน แม้ว่าลูกชายท่านจะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ
ภายในรถนเรศยิ้มไม่ยอมหุบทั้งยังคอยชำเลืองมองคนนั่งข้างๆ เป็นระยะ ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ใบหน้าน่ารักหลับตาพริ้มเหมือนเด็ก ความจริงนเรศไม่อยากรบกวนแต่ว่าเขาขับรถเข้ามาจอดในมหาลัยแล้ว จึงจำใจยื่นมือออกไปเขย่าคนนอนหลับเบาๆ
“เจ้าครับ...เจ้าถึงแล้วนะ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะยอมตื่นนเรศก็ต้องขมวดคิ้ว เปลี่ยนจากเขย่าไปใช้มืออังหน้าผากแทน เมื่อรับรู้ถึงอุณหภูมิที่ยังปกติเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยเจ้าจันทร์ก็ยังสบายดีอยู่ “เจ้า” เขาร้องเรียกอีกหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งดวงตาโศกค่อยๆ ปรือขึ้นมาด้วยท่าทางงัวเงีย “ถึงแล้วนะ ตึกคณะเจ้าอยู่ไหน” ท่าทางเอามือขยี้ตาเหมือนเด็กทำให้เขาต้องจับมือเล็กออกเป็นฝ่ายเช็ดให้แทน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้ที่แล้วก่อผละมือออกมาก็เกลี่ยเส้นผมที่ปกหน้าออกให้
ท่าทีอบอุ่นอ่อนโยนทำให้เจ้าจันทร์นั่งนิ่ง โดยเฉพาะดวงตาคมที่อ่อนแสงลงจนทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนไป สองแก้มร้อนผ่าวเมื่อมือใหญ่เฉียดแก้มโดยไม่ตั้งใจ
เมื่อนเรศเห็นใบหน้าหวานละมุนค่อยๆ ซับสีเลือดหัวใจเขาแทบกระเด็นออกนอกอก ในใจอยากจะตะโกนร้องให้ดังๆ เมียเขาน่ารักจริงโว้ย อยากจับฟัดให้หนำใจจริงๆ แต่ก็ได้แค่คิด
“ไปที่ตึกกองทะเบียนก่อน” เสียงตอบอ้อมแอ้มก่อนจะเสหน้าหลบ
นเรศยิ้มกริ่มแล้วหันไปตั้งใจขับรถตามทางที่เจ้าจันทร์บอก หลังจากที่ติดต่อขอรับแบบคำร้องลาพักการเรียนได้ที่งานทะเบียนและประมวลผลแล้วก็ต้องกลับเข้าไปยังตึกคณะเภสัช เจ้าจันทร์ต้องไปพบกับที่ปรึกษาเพื่อส่งคำร้อง
“รอผมอยู่ที่นี่” เมื่อเจ้าจันทร์เห็นว่านเรศตั้งท่าจะตามไปก็หันมาบอก
“พี่เป็นห่วงเจ้า” เขาว่าเสียงอ้อน
“ผมโตแล้วดูแลตัวเองได้ แล้วที่นี่มันก็มหา’ลัยของผม” เจ้าจันทร์ถลึงตาใส่คนที่ทำท่าจะค้านอีกครั้ง มันจะอะไรกันหนักกันหนาที่นี่เจ้าจันทร์อยู่มาจนปี 2 แล้ว ไม่ใช่พึ่งมาวันสองวันสักหน่อย
“ก็เจ้าท้อง พี่ก็ต้องเป็นห่วงลูกเมียพี่สิ”
เจ้าจันทร์ถอนหายใจรู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดที่มักก่อตัวขึ้นง่ายกว่าปกติ “จะรออยู่ตรงนี้หรือจะกลับเลย” นิ้วเรียวชี้หน้าอีกฝ่ายพร้อมยื่นคำขาด
“รอ...” นเรศหน้าหดเหลือแค่สองนิ้วรับคำเสียงอ่อน ก็เมียใครจะกล้าขัด
เมื่อตกลงกันได้เจ้าจันทร์ก็ลงจากรถเดินเข้าตึกไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนจะดำเนินตามขั้นตอนต่อไป อาจารย์ที่ปรึกษาสอบถามเจ้าจันทร์ด้วยความเป็นห่วงที่จู่ๆ เจ้าจันทร์ก็ดรอปเรียนไป เมื่อถามถึงเหตุผลเจ้าจันทร์ก็ส่งใบรับรองแพทย์พร้อมบอกเล่าความเป็นจริง เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วซึ่งใช้เวลาอยู่พอสมควรเจ้าจันทร์ก็เจอกับพวกเพื่อนๆ ที่มานั่งรอพอดีอยู่
“เจ้า!” เสียงเรียกทำให้ต้องหันไปสนใจ
เจ้าจันทร์ยิ้มกว้างโบกมือทักทายเพื่อนๆ เด็กหนุ่มความสูงที่ได้มาแบบพอเพียงวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วแสง แล้วกระโดดอ้าแขนพุ่งเป้าเข้ามาเต็มแรง ก่อนวืบล้มจูบพื้นเมื่อเจ้าจันทร์หลบได้ทันแบบฉิบเฉียด ถ้าหากหลบไม่ทันไม่รู้ว่าเมื่อครู่จะล้มลงไปด้วยหรือเปล่า เจ้าจันทร์ในตอนนี้ไม่ปกติต้องคอยดูแลตัวเองอยู่เสมอ
"เจ้า! มึงหลบทำไมแว๊” อีกฝ่ายว่าขณะรีบลุกขึ้นด้วยความเร็วเมื่อทุกสายตาบริเวณนั้นเริ่มจับตามองด้วยความขบขัน
“...” เจ้าจันทร์ไม่ได้ตอบเพียงแค่ยิ้มขำเพื่อนตัวเล็ก
“มานี่เลยมึงไอ้ปั้น ห้ามเข้าใกล้หนูเจ้าของอาเจ้” หญิงสาวอีกคนแทรกขึ้นพร้อมกับใช้นิ้วเกี่ยวเอาคอเสื้อของอีกฝ่ายลากถอยออกมา
“ฟาย”
“กูชื่อฟ้า สลัดผักจะด่าก็หาให้มันคล้องๆ กันหน่อยเถอะ” หญิงสาวเจ้าของชื่อเล่นว่าฟ้าสวนกลับทันที
“มึงมันผู้หญิงใจร้าย โอปปาช่วยปั้นสิบด้วย” ปั้นสิบเด็กหนุ่มตัวเล็กแสดงท่าทางงอนก่อนจะถอยไปอ้อนชายหนุ่มอีกคนที่เดินมาสมทบ
“มาอ้อนให้กูช่วย?” เจ้าเพื่อนร่างยักษ์ยักคิ้วถามกลับ ปั้นสิบรีบพยักหน้าหงึกๆ จนกลัวว่าคอจะหักก่อนจะอ้าปากค้างด้วยแระโยคต่อมา “อ้อนตีนหรอไอ้เตี้ย”
คำสุดท้ายเหมือนโดนดาเมจกระแทกรัวๆ จนปั้นสิบต้องยกมือขึ้นกุมหัวใจแล้วทำท่าเดินเซถอยหลัง
“แรงมากไอ้ควาย”
“ดีนะกูไม่ได้ชื่อไอ้ควาย” ชายหนุ่มร่างใหญ่ลอยหน้าลอยตาตอบจนเจ้าจันทร์และฟ้าอดที่จะหัวเราะกับท่าทางของคนทั้งคู่ไม่ได้
“กูด่ามึงเถอะไอ้แทน” ปั้นสิบหน้างอแล้วสะบัดหน้าขยับไปยืนหับฟ้าแทน
“ฮาๆ เมียงมึงงอนแล้วว่ะ” ฟ้าพูดไปหัวเราะไปจนแทบไม่เป็นประโยค
“ไม่ใช่!” ปั้นสิบและแทนหันมาตอบพร้อมกันด้วยใบหน้าจริงจังจนฟ้าอดที่จะหัวเราะอีกครั้งไม่ได้
“แหมๆ กูแซวเล่นน่า ดูสิหน้าพวกมึงจริงจังจนกูคิดว่าพวกมึงสองคนแอบมีซำติงกันหรือเปล่าวะ” แล้วฟ้าก็ต้องยกมือขึ้นปิดหูเมื่อเพื่อนหนุ่มทั้งสองตะโกนใส่หูแทบแตก “โอ๊ยพอๆ ไม่แซวแล้วหูกูจะแตก” ฟ้ายกมือห้ามเมื่อเห็นว่าเจ้าเพื่อนตัวเล็กทำท่าอ้าปากเตรียมจะด่า “มาคุยเรื่องเจ้าดีกว่า” เท่านั้นแหละแรงเจือกแทบเปล่งประกายออกมาจากปั้นสิบ ฟ้าจูงมือเจ้าจันทร์มายังโต๊ะในลลานกลางตึก
เพื่อนทั้งสามคนของเจ้าจันทร์รู้เรื่องปัญหาของเจ้าจันทร์แทบทั้งหมด เพราะช่วงที่หายตัวไปทั้งสามคนก็คอยไปดูแลคุณพิมลรัตน์กับคุณชญตว์อยู่เสมอ จนกระทั่งเจ้าจันทร์กลับมาแม้จะพูดคุยกันผ่านโทรศัพท์บ้างแต่ไม่ได้ไปเจอที่บ้าน เพราะเจ้าจันทร์ยังไม่พร้อมที่จะบอกอีกเรื่องที่สำคัญมาก
“เจ้าจันทร์จะดรอปเรียนจริงๆ ใช่ไหม” แทนเอ่ยถามเป็นคนแรก
“...” เจ้าจันทร์ได้แต่พยักหน้ารับ
“ทำไมละ ปัญหากับผู้ชายคนนั้นเจ้าก็เคลียร์กันชัดเจนจนเขาปล่อยกลับมาแล้วไม่ใช่หรอ หรือว่าเขาไม่จบ” ฟ้าถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“เฮ้ย! ถ้ามันยังตามราวีอยู่อีกนะเดี๋ยวป๊าบอกพ่อจัดการให้” ป๊าร่างเล็กนั่งลงข้างเจ้าจันทร์พร้อมกับยกแขนโอบไหล่บางท่าทางมาดนักเลงไม่น้อย
“ไม่ใช่หรอก” ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยอมจบจริงๆ ก็เถอะ ประโยคหลังเจ้าจันทร์ได้แต่พูดในใจ
“แล้วเกิดอะไรขึ้นทำไมเจ้ายังจะดรอปเรียน” แทนถามอีกครั้ง
“พอดีเราไม่สบาย” ตอบไม่เต็มเสียงนักพร้อมทั้งหลุบตาหลบสายตาคาดคั้นจากเพื่อน ในใจเจ้าจันทร์ตอนนี้สั่นไหวไม่กล้าพอที่จะบอกเพื่อนว่าตอนนี้ร่างกายไม่ปกติ
“ไม่สบาย!” ปั้นสิบร้องลั่นพร้อมลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ “เจ้าเป็นอะไร” เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเริ่มเป็นจุดสนใจอีกครั้งปั้นสิบก็ยอมนั่งลงถามเจ้าจันทร์เสียงเบา แต่สีหน้ายังไม่สู้ดีนักเมื่อจินตนาการอาการป่วยของเจ้าจันทร์ที่ถึงขั้นต้องดรอปเรียน
“นั่นสิ” ฟ้าเองก็เริ่มใจไม่ดี
“เรา...เรา” เจ้าจันทร์อ้ำอึงมือที่กุมกันอยู่บนตักเริ่มบีบแน่น “เราทะ...ท้อง” ท้ายประโยคเสียงเบาหวิวแทบปลิวหายไปกับสายลม ใจเจ้าจันทร์เบาหวิวหวาดกลัวว่าเพื่อนจะรับไม่ได้จนหน้าซีดเข้าไปทุกที ยิ่งเห็นทุกคนนิ่งเงียบยิ่งใจหาย ดวงตาโศกจึงเริ่มเอ่อคลอด้วยน้ำตา
“เฮ้ยเจ้า! อย่าร้องไห้” ปั้นสิบพูดได้แค่นั้นก็ดึงเจ้าเพื่อนสูงกว่าเล็กน้อยเข้ามากอด เจ้าจันทร์ซบหน้าลงกับไหล่เล็กแล้วร้องไห้ด้วยความดีใจ ฟ้าที่มองเห็นความกังวลในดวงตาโศกของเพื่อนไม่กล่าวสิ่งใด ลุกขึ้นมากอดเพื่อนทั้งสองเอาไว้ด้วยแขนเล็กๆ ของเธอเอง
“เจ้าไม่ต้องคิดว่าพวกกูจะรังเกียจมึงเพราะมึงคือเพื่อนของพวกกูจำไว้” ปั้นสิบว่าพร้อมทั้งยกมือลูบหัวเจ้าจันทร์
ยิ่งฟังเพื่อนปลอบที่ราวกับมานั่งกลางใจเจ้าจันทร์ยิ่งน้ำตาซึม
“เหี้ยเอ๊ย! ไอ้ชั่วนั้นมันเลวจริงๆ” แทนสบถอย่างหัวเสียก่อนทอดสายตามองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง “อย่าให้กูเจอนะมึง” เขาหมายมาดเอาไว้
“เจอแล้วจะทำไม”
“ยกมือไหว้มั้งไอ้ควายปั้น” แทนตอบพลางทำท่ายกเท้าใส่ไอ้เพื่อนตัวเตี้ย
“น่าๆ กูแซวเล่นหรอก ถ้าเจอมันจริงๆ กูจะช่วยกระทืบเต็มทีเลยเพื่อน” ปั้นสิบว่าอย่างไม่ดูรูร่างของตัวเอง
“จะช่วยกระทืบมันหรือจะให้มันกระทืบยะไอ้ปั้น ดูความสูงของตัวเองด้วยค่ะ” ฟ้าใสแทรกทำให้ต้องหัวเราะกันทุกคนเมื่อปั้นสิบหน้างอไปแล้ว “นี่เจ้ารู้ใช่ไหมว่าไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว ดังนั้นทำอะไรก็ระวังด้วยนะพวกมึงด้วยทำอะไรก็ให้นึกถึงเสมอว่าเจ้าไม่สบาย จะเล่นกันแบบห่ามๆ เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วนะ”
“ทำไมวะ” ปั้นสิบทำหน้าเหรอหราเมื่อถูกห้าม
“ก็เพราะการเล่นบางอย่างของพวกมึงน่ะอาจทำให้เจ้า...แท้งได้” ท้ายประโยคเบาเสียงลงจนกลายเป็นกระซิบ
“...” เจ้าเพื่อนตัวเล็กยกมือขึ้นปิดปากตาโตเมื่อได้ฟัง
“อย่างการกระโดดกอดมึงก็ทำไม่ได้ เข้าใจไหม” ประโยคต่อมาฟ้าหันมากำชับปั้นสิบ “และอีกอย่าง...” ฟ้าใสลากเสียงยาวหลอกให้คนฟังรอลุ้นจนใจแป้ว “พวกมึงเตรียมหาของขวัญให้หลานกูด้วย หลานกูต้องออกมาน่ารักแน่ๆ เลยก็แม่มันน่ารักซะขนาดนี้” ฟ้าทำตาเพ้อฝันก่อนจะหันมาหยิกแก้มจ้าจันทร์เบาๆ
“เออวะ กูต้องเตรียมของขวัญให้หลาน” จากนั้นปั้นสิบก็อยู่ในห้วงความคิดของตัวเองจนแทบไม่สนใจรอบข้าง
หลังจากนั้นเจ้าจันทร์ก็นั่งคุยกับเพื่อนๆ อีกพักใหญ่ พอยกนาฬิกาขึ้นมาดูก็เห็นว่าเย็นแล้ว
“เย็นขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย เจ้าก็กลับบ้านได้แล้วจะได้พักผ่อนมากๆ ว่าแต่มากับใครหรือว่ามาคนเดียว งั้นเดี๋ยวกูไปส่งก็ได้” ฟ้าส่งคำถามพร้อมทั้งอาสาเองเสร็จสรรพ
“มีคนพามาน่ะ” เจ้าจันทร์ตอบแบบเลี่ยงที่จะบอกว่าใคร
“ถ้างั้นเขาไม่รอมึงแย่แล้วหรอก โม้นานขนาดนี้” ปั้นสิบว่าพลางทำท่าอ้าปากค้างตาโตจนดูน่าขัน
“งั้นเรากลับก่อนนะ” ว่าจบก็ลุกขึ้น แต่จู่ๆ ร่างกายก็ชาหนึบไล่ตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาจนเย็นวาบไปทั้งศีรษะ ภาพตรงหน้าดับพรึบเหมือนไฟโดนสับสวิทซ์ สองมือของเจ้าจันทร์พยายามไขว่ขว้าหาที่ยึดด้วยอารามตกใจ
“เจ้า!” ทุกคนอุทานลั่นก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อแทนสามารถดึงอีกฝ่ายไว้ได้ทัน
สายตาคมกริบที่มองเห็นเมียตัวเองไปอยู่ในอ้อมกอดผู้ชายคนอื่นลุกโชนขึ้นมาด้วยลมเพรชหึง นเรศบดกรามแน่นจนได้ยินเสียงก่อนก้าวพรวดดึงแขนเล็กของเจ้าจันทร์ออกมาอยู่ข้างๆ แล้วยืนเผชิญหน้ากับชายหนุ่มอีกคนด้วยท่าทางนิ่งสงบราวกับภูผา
“คุณ!” เจ้าจันทร์อุทานเมื่อถูกอีกฝ่ายดึงมาด้วยความแรง อาการหน้ามืดยังไม่หายดีทำให้แข้งขาอ่อนแรงจนเกือบทรุด ดีที่นเรศหันกลับมาดังรั้งเข้าไปในอ้อมกอดได้ทัน
“เจ้า!” นเรศร้องด้วยความตกใจจนหน้าซีดเผือด “เจ้าเป็นอะไร...พี่จะเรียกรถพยาบาล” ถามแล้วไม่รอคำตอบมือหนึ่งประคองร่างโปร่งเอาไว้ อีกมือก็แตะหน้าผากเนียนด้วยความเป็นห่วง ท่าทางรนรานที่แสดงออกทำให้ดวงตาอีกสามคู่จับจ้องความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ด้วยความประหลาดใจ
เจ้าจันทร์รู้สึกอ่อนแรงไปทั้งร่างได้แต่อิงซบกับร่างสูงใหญ่ของนเรศ “ไม่เป็นอะไร เจ้าแค่หน้ามืด” เสียงตอบพึมพำกับตัวเอง
แต่นเรศได้ยินชัดเจนเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความกังวลแล้วอุ้มเจ้าจันทร์ไปนั่งบนโต๊ะม้าหินอ่อน เขาจัดท่าทางให้เจ้าจันทร์นั่งอิงไหล่แล้วนวดฝ่ามือให้ ฟ้าใส่ไม่ใส่ใจชายหนุ่มมาใหม่เธอนั่งลงแล้วถอดรองเท้าออกช่วยนวดให้อีกทาง
“เจ้ามึงโอเคไหมวะ” ปั้นสิบถามอีกคนแล้วหันหน้าหันหลังก่อนจะหยิบกระดาษมาพัดให้อีกคน “ไอ้แทน” เมื่อยังเห็นท่าทางอ่อนไปทั่งร่างของเพื่อนก็ยิ่งตกใจจนต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าเพื่อนตัวโต
“คนจะเป็นลม...เป็นลมก็ต้องยาดม” แทนพึมพำกับตัวเองก่อนจะวิ่งไปหากลุ่มผู้หญิงโต๊ะถัดไปที่กำลังมองมาด้วยความสนใจ “ขอโทษครับพอมียาดมไหม เพื่อนผมเป็นลม” เขาถามทันที
“มีค่ะ รอแปบหนึ่งนะคะ” ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มรีบตอบเมื่อเห็นท่าตื่นๆ ของแทน เธอหันไปค้นในกระเป๋าด้วยความเร็วก่อนจะส่งยาดมมาให้
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวเอามาคืน” ได้ของแล้วแทนก็รับวิ่งกลับมา “นี่ยาดม” แทนส่งให้ชายหนุ่มที่กำลังเรียกเพื่อนตัวเองด้วยสีหน้ากังวล
นเรศรับหลอดยาดมมาใช้น้ำแตะที่ปลายจมูกรั้นและนวดตามขมับให้
“เจ้าดีขึ้นไหมให้พี่เรียกรถพยาบาลเถอะ” ยิ่งเห็นท่าทางอ่อนเปลี้ยของคนในอ้อมแขนนเรศยิ่งกังวล
“ไม่เป็นไรพักสักหน่อย” เสียงตอบเบาหวิวยิ่งสั่นคลอนหัวใจนเรศ “ถ้าไม่ดีขึ้นคุณค่อยพาผมไป” ท่ามกลางอาการมึนเบลอเจ้าจันทร์สัมผัสได้ถึงความกังวลผ่านน้ำเสียงของนเรศจึงอดไม่ได้ที่จะพูดให้เขาสบายใจ
ผ่านไปราวสองสสามนาทีอาการเจ้าจันทร์ก็ดีขึ้น
ยามประจำคณะมองดูนักศึกษาที่หยุดมองดูมากกว่าปกติจึงต้องเดินเข้ามาดู “เป็นอะไรครับ ใหเรียกรถพยาบาลไหม”
“เพื่อนหนูเป็นลมแต่ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” ฟ้าตอบแต่ยามไม่ได้เดินหนีไปไหนยังคงยืนรอดูสถานการณ์อยู่
เจ้าจันทร์ดีขึ้นจนลุกนั่งได้แล้ว “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง แต่ดีขึ้นแล้วล่ะ” น้ำเสียงและสีหน้าดีขึ้นกว่าเมื่อครู่มากถึงแม้จะซีดไปหน่อย
“โอเคแน่นะ” ปั้นสิบถามย้ำอย่างไม่ไว้วางใจ
“...” เจ้าจันทร์พยักหน้าตอบ
“ถ้างั้นก็กลับบ้านไปพักเถอะ ช่วงนี้เจ้าอาจเป็นบ่อยๆ จะไปไหนมาไหนก็ให้มีคนไปด้วยจะยิ่งดี” ฟ้าเอ่ยเตือน
“คร้าบ” เจ้าจันทร์ลากเสียงล้อให้ทุกคนวางใจ
“งั้นผมขอตัวพาเจ้ากลับก่อนนะครับ” นเรศแทรกขึ้นกลางปล้องแล้วก็ช้อนร่างโปร่งขึ้นอุ้มโดยไม่สนสายตาใคร เขาก้าวฉับๆ ไปขึ้นรถไม่ฟังเสียงค้านของเจ้าจันทร์แล้วขับรถกลับบ้านทันที ในใจเริ่มกังวลต่างๆ นานา กลัวว่าเมียกำลูกจะเป็นอะไรไป สุดท้ายเขาก็พาเจ้าจันทร์มาหยุดอยู่หน้าโรงพยาบาลจนได
**************************************************
เมื่อวานไม่ได้มาอัพขอโทษด้วยนะคะ พอดีมีเรื่องส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้หมดกำลังใจ
แต่วันนี้โอเคแล้วค่ะยัดของกินไปแบบเกินงบของวัน จนเมื่อได้สติกลับมาก็ถึงกลับต้องหน้าซีด เวรของกรรม!
เงินในกระเป๋าของฉันหายไปไหน...แล้วพรุ่งนี้ต้องกินมาม่าใช่ไหม เศร้าสลดแป๊บ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านทุกคอมเม้นด้วยนะค่ะ