Prep 13 : พอแล้ว.. พอกันที..
ห้องนอนของนที
สายวันรุ่งขึ้นผมนั่งทานครัวซ็องบนเตียงด้วยสภาพอิดโรย ก่อนจะส่งแก้วนมสดกับน้ำส้มคั้นไปให้คนที่นอนเปลือยอยู่ด้านข้าง ซึ่งเพิ่งตื่นมาด้วยอาการเพลียถึงขีดสุด เขารับน้ำส้มไปดื่มแล้วตามด้วยนมในทันที แถมยังคว้าครัวซ็องในมือผมไปกัดกินจนหมด ผมเลยเดินเปลือยไปยกชามข้าวต้มที่แม่บ้านทำขึ้นมาให้ มาตั้งที่ข้างเตียงให้เขาซด
เครื่องปรับอากาศถูกลดอุณหภูมิมาที่ 23 องศาเซลเซียส ผมเคยเห็นโฆษณาว่ามันเหมาะกับภาวะที่กำลังใช้ความคิด
ได้นั่งดูเขาจัดการกับอาหารอย่างอร่อย สำรวจเรือนร่างในร่มผ้า ส่วนที่ไม่โดนแดด ผิวพรรณเขาเนียนแทบไม่มีขน แต่ส่วนที่มันถูกแสงอาทิตย์เผา มันก็เป็นผิวคล้ำแบบที่พระเอกหนังเอ็กซ์ญี่ปุ่นเขามีกัน
“ผมยังไม่อิ่มเลย”
“กินขนาดนี้ ผู้กองเอาไปไว้ไหนหมด” ผมเอื้อมมือไปหยิกพุงที่ไม่ยอมป่องสักทีของเขา
“ก็จะกลับกันก็กี่โมงเข้าไปแล้วล่ะ ตีห้าหกสิบนะ ได้ข่าว”
“ใครใช้ให้ผู้กองช่างร้อนแรง” ผมเอื้อมตัวไปหอมที่ซอกคอเขา ผมที่ไม่ได้ใส่น้ำมันหรือเจล ปรกลงมาที่หน้าผาก เขาดูหล่อใสแบบคนซื่อๆคนหนึ่ง ยิ่งน้ำเสียงออดอ้อนแบบเด็ก นี่มันใช่ผู้กองคนเดียวกับคนที่อยู่ภายใต้หน้ากากหนังสีดำเหรอวะ
“อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนมีความสุข”
“ผมฟังเสียงผู้กองผมก็รู้ว่าผู้กองมีความสุข ขอบคุณนะครับ”
“ขอบคุณคุณนทีด้วย สำหรับแผนการทั้งหมดนี้”
“เอ๋??” เขาได้พกปืนมาหรือเปล่าวะ เสียวเว้ย
“ผมเป็นตำรวจนะคุณนที แถมเป็นตำรวจที่เก่งมากด้วย”
“แล้วทำไม..”
“ยอม น่ะเหรอครับ คุณต้องเป็นผมในเมื่อคืนนี้ ซ้ายก็คนที่ผมฝันถึงตั้งแต่เด็กจนโต ขวาก็คนที่ผมใฝ่หาทุกลมหายใจ ทุกอย่างมันพาไป น้ำตาเทียนที่ร้อนฉ่า กับเสียงฟาดแส้อันเร้าใจ ลำพังคุณนทีน่ะเหรอ ไม่ได้แอ้มผมหรอก”
“ผมขอโทษ ผมมีเหตุจำเป็น”
“เกี่ยวอะไรกับ ออกัส หรือเปล่า ถ้าใช่บอกได้เลยว่า ที่คุณทำไป มันเปล่าประโยชน์”
ห้างสรรพสินค้า
ผมพาผู้กองมาเดินที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เขาใส่เสื้อผ้าของผมได้พอดีเลย ผมเอาเสื้อสีเทามีฮูททรงเข้ารูป กับกางเกงยีนส์สีดำ รองเท้าบูทเขาใช้คู่เดิมของเขา เรามานั่งทางชาบูกัน เขากินจุมาก นี่ก็ยังกินไม่หยุดเลย
“มีเซ็กซ์ยกหนึ่ง มันใช้กี่ แคลลอรี่ ครับผู้กอง” ผมแซวเขา
“เคยมีผลวิจัยว่า ช่วยตัวเองหนึ่งครั้งเท่ากับวิ่ง 300 เมตร”
“ผมนี่วิ่งรอบโลกมาแล้วสินะ”
“ฮ่าๆๆๆ ส่วนมีเซ็กซ์ มันมากกว่านั้น ท่าพื้นฐาน ท่าอุ้มแตง กวางเหลียวหลัง หนุมานถวายเบิร์น แต่ละท่วงท่ามันเผาพลังงานสานต่างกันไป”
“ผู้กองของผมก็เลย ผอมสแลนเดอร์ เอวนี่กิ่วเชียว”
“คุณนี่มันทะลึ่งตึงตังจริงๆ ทำไม ไอ้กัสมันทิ้งไปล่ะนี่”
“เบรกผมหัวทิ่มเลย”
“ผมกับกัสไม่ได้จริงจังอะไรกัน เขาแค่เติมเต็มความ S&M ของผม”
“กัสไม่น่าเป็นคนที่ชอบความเจ็บปวด เขาเนี่ยนะจะเป็น มาโซคิสม์”
“ใครบอกว่ากัสเป็นฝ่าย M กันล่ะ”
“ห๋า”
“ไม่จะเป็นว่า M ต้องเป็นฝ่ายรับนะครับ รุกที่ชอบความเจ็บปวดก็มี”
“โหว ผมนี่มีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะเลย ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
“ฮ่าๆๆ ผมชอบคุณนะ คุณนทีตลก เราน่าจะเป็นเพื่อนกันได้”
“แต่จะไม่ยอมมีอะไรกับผมแล้วใช่ไหม”
“คงไม่แล้วครับ วีดีโอคอล คือเส้นสุดขอบของคู่เราแล้วล่ะครับ”
“เสียใจจัง” ผมทำปากจู๋แบบที่น้องกันต์ทำบ้าง เผื่อมันจะดูน่ารัก
“ผมมีเรื่องขอร้องอย่างหนึ่งสิ แลกกับ รูปที่คุณได้ถ่ายเมื่อคืน ถ้าคุณทำให้ผม ผมก็จะยินดีให้คุณเอาไปใช้แก้แค้นไอ้กัส”
ผมขับรถมาส่งผู้กองที่ชานเมือง บ้านหลังนี้ที่เต็มไปด้วยต้นไม้กับความอบอุ่นเหมือนผู้เป็นเจ้าของ ผมพาเขาเข้าประตูรั้วซึ่งไม่ได้ปิด เดินเข้าประตูบ้านไปเพราะว่าเป็นสถานที่อันแสนคุ้นเคย เจ้าของบ้านไม่ได้เดินออกมาต้อนรับแต่ว่าได้เตรียมกับแกล้มกับเครื่องดื่มเอาไว้รอ หลังจากที่ผมไลน์ไปบอกล่วงหน้า ผู้กองดูตื่นเต้นพอประมาณ เขาในมุมที่ไม่ได้เก๊กท่า ก็ดูน่ารักน่าหลงอยู่เหมือนกันนะ ถ้าเขาเป็นแบบนี้บ่อย สงสัยผมจะตกบ่วงเสน่ห์เขาอีกคนเป็นแน่
ที่โต๊ะกินข้าวไม้โอ๊ค เจ้าของบ้านเขาทำเองด้วยนะ เพราะเขาจะอวดอ้างทุกทีที่ใครเดินเข้ามา แต่วันนี้ก็เงียบอยู่จนผมต้องเอ่ยให้ผู้กองฟังแทน
“โต๊ะตัวนี้ พี่อำนาจทำเองเลยนะครับ”
“เจ๋งอ่ะ คงเก่งยังไงก็เก่งอย่างนั้น”
“คงสู้นายตำรวจอนาคตไกลไม่ได้หรอกครับ ผมมันก็แค่ การ์ดนักธุรกิจคนหนึ่ง”
“อย่าเฉยชาสิเพื่อน”
“ก็กำลังพยายามอยู่” พี่อำนาจก็เขินเป็นเหมือนกันว่ะเฮ้ย
“จิมของโทษนะ ที่เคยพูดความในใจออกไป ไม่คิดว่า มันจะทำให้นายรับไม่ได้”
“ไม่ใช่รับไม่ได้ แต่มันตกใจว่ะ เพื่อนเที่ยวด้วยกัน พอมาบอกว่าชอบ มันก็เหมือนวางตัวไม่ถูก”
“มันผ่านไปแล้ว เส้นทางของพวกเรามันคนละทางไปแล้ว จิมไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับนาจแล้วนะครับ”
“อืม.. รู้”
“แต่เมื่อคืนนี่ เต็มปากเลยนะผู้กอง” ผมแซวแรง เพื่อให้บรรยากาศมันดีขึ้น
“ฮ่าๆๆๆ ถ้าไม่ใช่เมื่อคืน มันก็คงไม่มีโอกาสแล้วล่ะครับ อะไรคว้าได้ ก็ต้องคว้า”
“ผมไม่ได้คิดอะไรกับจิมในแง่นั้น แต่ไม่เคยรังเกียจ และก็เสียใจที่แสดงท่าทีออกไปจนจิมต้องย้ายกลุ่มออกไป”
“มันก็ทำจิมแกร่งขึ้นนะ อกหักเนี่ย”
“ผมไม่มีค่าคู่ควรอะไรให้จิมคิดมากอยู่แล้ว ดูตอนนี้สิ ใครๆก็อยากจะครอบครองผู้กอง เห็นไหม”
“งั้นก็ เป็นเพื่อนกันนะ ผมไม่ชอบคุยกับพวกซื่อบื้อ ยังนึกถึงช่วงเวลาที่เราแข่งกันทำคะแนนสอบ”
“สู้กับใครก็ไม่มันเท่าสู้กับจิม ผมยอมรับ”
“งั้นวันนี้ ขอเมาให้เต็มที่เลยนะ”
ผมจึงทิ้งให้เพื่อนเก่าสองคน ได้ใช้เวลาด้วยกัน ก่อนจะขอตัวขับรถออกมา บางทีปมในใจมันไม่ได้มีไว้ให้ทิ้งไป มันอาจทำให้เราแกร่งขึ้นได้ หรือหม่นหมอง ก็ต้องอยู่ที่คนนั้นจะมองมันเป็นแบบไหน ถ้าตัดเรื่องรสนิยมบนเตียงที่แปลกจากสังคม ดูผู้กองทุกวันนี้สิ เขาช่างเป็นที่ต้องการ เขาเติบโตจนเขาแข็งแรงกว่าใครแม้ในใจจะผุกร่อน กระนั้นการที่ผมพาเขามาลบปมในใจ ก็ไม่ได้หมายความว่าความกล้าที่จะพาตัวเองไปสู่เป้าหมายของเขาจางหายไปเลย แต่เขาดันได้มิตรภาพที่เขาโหยหากลับมาอีกครั้ง
ผมใช้โทรศัพท์เครื่องเดิม ที่ส่งภาพลับของผมกับกันต์ในคราวก่อน แต่วันนี้ มันต้องทำให้ปลายสายกรีดร้องแน่
มีทั้งคลิปและภาพ แม้จะใส่หน้ากากหนัง แต่รอยสักรูปเสือโคร่งเรืองแสงเป็นสีเขียวตรงต้นขาขวาของผู้กองจิมมี่ มันแจ่มชัดในกรอบเฟรม
ผมผู้ซึ่งใส่เขาไม่ยั้งด้วยความกระหายในชัยชนะ หันมาหลิ่วตาใส่กล้อง เพราะรู้ว่า ออกัสกำลังจะอกแตกตาย
========================================================================
รายงานลับ ภาคพื้นดิน ภารกิจพิเศษ
นายอนุสรณ์ บวรธุรการ [ ออกัส ]
Title : ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลเชิงชู้สาว
Results : มีความสัมพันธ์แบบเปิด ไม่ผูกพัน กับบุรุษ 3 คน
คนที่ 3 : ชื่อ ต้น [ ขอสงวนนามจริง ] *** นายน้อยไม่ควรรู้ครับ
อาชีพ : นักธุรกิจ
========================================================================
ไม่มีรายงาน ไม่มีรูปพรรณสันฐาน ไม่มีแม้แต่ชื่อจริงมาให้ เข้าใจว่าพี่อำนาจคงเหนื่อยกับการเตรียมการรับมือผู้กองจิมมี่ แต่แบบนี้มันไม่ใช่แล้ว แถมมีโน้ตมาให้เจ็บใจเล่นว่า “งานนี้ผมขอไม่ยุ่ง”
หรือภารกิจสุดท้ายมันจะอันตราย ใครคือ ไอ้ต้น แล้วมันสำคัญอย่างไร ทำไมพี่อำนาจไม่ยอมให้ความช่วยเหลือ
ผมเองก็ไม่ถึงกับอารมณ์เสีย เพราะเมื่อย้อนไปดูสิ่งที่ผ่านมา ถือว่ามาไกลจากจุดหมายเยอะมาก แถมออกัสเริ่มจะไม่มีผลต่อจิตใจผมอีกแล้ว ถ้าไม่ได้ปฏิบัติภารกิจสุดท้าย ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นตราบาปติดตัวผมไปจนวันตายนี่นา
โรงอาหารกลาง มหาวิทยาลัยของผม
“น้ำ เดี๋ยวหลิวกับตูนไปฝึกงาน ไม่มีใครช่วยเรื่องเรียนแล้วนะ เอ ก็เหมือนกัน อย่าพาน้ำเที่ยวมากสิ เดี๋ยวจะเรียนเสีย”
“ทำไม พีอาร์ ฝึกงานเร็วจังเลยล่ะ” ผมถามหลิว
“เพราะพีอาร์คนเรียนเยอะ ที่ฝึกงานไม่พอน่ะเอ นี่ตูนกับหลิวได้ฝึกก่อน แล้วพอปีหน้าก็เป็นคิวของกลุ่มสอง”
“นี่กูต้องขยันเรียนแล้วสินะไอ้น้ำ” เอแทรกเสียงขึ้นมา พร้อมหันมาถามความเห็นผม
“เออ!!”
พอหลิวกับตูน ขึ้นไปเรียนก่อน ผมกับเอที่ไม่มีคาบเรียนบ่าย คงนั่งกันอยู่ที่โรงอาหารกลาง เพราะแอร์เย็นฉ่ำจนไม่อยากจะออกไปไหน
“มึงเล่าเรื่องเมื่อวานมา ไอ้น้ำ”
“หมายถึง วันกับกลุ่ม Yaris X-5 เหรอ”
“ไม่ กูไม่ได้หมายถึงวันนั้น กูหมายถึงเมื่อวาน ไอ้พี่อำนาจส่งข้อความมาบอกว่า ผู้กองขอนอนที่บ้าน มึงปล่อยไว้ได้ยังไง”
“ก็เขาเพื่อนกันเปล่าวะ”
“เพื่อนกันเขาไม่คว้าของเพื่อนเข้าปากหรอก ไอ้ชิบหาย”
“บรรยากาศมันพาไปเว้ย อ้าว มึงก็ดูหรอ กูเป็นไงเด็ดไหม”
“เด็ดห่าอะไร ยืนเก้ๆ กังๆ อย่างกับเด็กหัดตั้งไข่ พี่อำนาจนี่โครตน่ากลัวเลย สงสารคู่ซ้อม คงพรุน ดีนะวันนั้นกูรอด”
“เขาไม่ทำกับมึงแบบในนั้นหรอก เขาคงถนอมมึงจะตาย” ผมเอามือไปหยิกแก้มเอเป็นการหยอก
“สัส ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง แล้วนี่เขาคบกับผู้กองเหรอ ไปนอนค้างกันด้วย”
“หึงเหรอ”
“เปล่า” เสียงหอนแผ่วเหมือนลุลา เลยมึง
“เขาเพื่อนกัน เอาจริงๆ เพื่อนกัน มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
“แต่มันเคยเกิดขึ้นน่ะ”
“ก็เหมือนกูกับมึงนี่แหล่ะ บางที บรรยากาศก็พาไปเปล่าวะ กูเห็นมึงเพอร์ฟอร์ม บางทีก็มีอารมณ์นะเว้ย มึงอย่าบอกว่ามึงก็ไม่ได้แอบมองกูบ่อยๆ กูเห็นนะ มึงมองเวลากูถอดเสื้อ หรรมมึงก็ตื่นตัว”
“ก็ซอกคอมึงขาว ไอ้สัส”
“เห็นม๊ะ มันเกิดขึ้นได้แล้วมันก็เป็นเรื่องปกติ สติคือสิ่งที่ค้ำชูให้เพื่อนยังคงเป็นเพื่อน แค่เพื่อนเรามีเสน่ห์หรือเซ็กซี่ ก็ไม่ได้หมายความว่า ต้องถูกขวางออกจากชีวิตของกันและกัน กูเชื่อในพี่อำนาจ ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก มึงก็ต้องศรัทธาในตัวเขา”
“อืม”
“นี่หลงรักไอ้พี่มันไปแล้วใช่ไหม”
“เปล่า”
“นี่กูเอง เพื่อน อย่าตอแหลใส่”
“กูก็แค่.. คิดว่า เรื่องมันจะเป็นยังไง ถ้าคืนนั้น เขาใส่มันเข้ามา”
“เดี๋ยวกูทำให้เองไหมวะ นี่พูดก็คึกแล้วเนี่ย”
“สัส.. กูไม่อยากให้ใครมานอนทับตัวกูทั้งนั้น.. ก็แค่พี่เขาเสือกเป็นคนแรก”
สุขุมวิท 24
ผมนัดน้องกันต์มาทานอาหารญี่ปุ่น ตามสัญญาคือเราจะเป็นเพื่อนกัน ไม่มีอะไรกันอีกแล้วในแง่ชู้สาว ผมก็โอเคนะ
“น่ารักไหมครับ พวกกุญแจพิน็อกคิโอ” กันต์ชี้มาที่พวงกุญแจ ซึ่งผมก็คล้องใส่กับกุญแจรถ แล้ววางบนโต๊ะให้เขาเห็นเป็นการเอาใจ
“น่ารักสิครับ หยิบจับทีไรก็คิดถึงน้องกันต์”
“ถ้าโกหก จมูกจะยาวขึ้น” กันต์เอามือชี้ที่จมูกของผม
“แล้วถ้าทำความดี มันจะหดลงไหม”
“อันนี้ ต้องถามหมอเกาหลีครับ ฮ่าๆๆ” รอยยิ้มและเสียงหัวเราะแสนน่ารักแบบนี้แหล่ะ ที่ผมคิดถึง
กันต์เล่าให้ฟังถึงการสอบสัมภาษณ์ ดูท่าแล้วเขาไม่น่าจะได้เป็นสจ๊วตหรอก แล้วถ้าหลุดรอบนี้ อายุเขาก็คงจะมากเกินกว่าจะไปอยู่บนฟ้าแล้ว คล้ายน้ำเสียงจะมีความท้อแทรกอยู่ในที แต่เขาก็มีแผนสอง คือถ้าไม่ได้ขึ้นมาเขาก็อาจจะทนอยู่เก็บเงินไปอีกพัก แล้วไปหุ้นกันทำบริษัททัวร์เล็กๆ น่าจะสนุกดีกว่าอยู่ในงานที่ใจไม่รัก
เราสั่งบิงซูชาเขียวถั่วแดงมา แย่งกันกินอย่างสนุก ก่อนจะมีกล่องทิชชู่ของโต๊ะอื่น ถูกหยิบมาปาใส่บิงซูจะกระจายเต็มโต๊ะ แถมกระเด็นมาเปื้อนผมกับกันต์จนเลอะ เราเหลือบไปมองผู้ประทุษร้ายซึ่งกำลังยืนดูด้วยความโมโห กำหมัดแน่นเดินมาที่ข้างโต๊ะ สีหน้าบ่งบอกว่าเขาโมโหถึงขีดสุด.. ออกัส
“ทำไปเยอะนะหน้า เกือบจะจำไม่ได้ แต่สันดานเอาชนะ ยังเหมือนเดิม” ออกัสพูดใส่ผม
“รู้จักกันเหรอครับ” เด็กน้อยกันต์ทำหน้าเหรอหรา หันซ้ายขวาและดูตกใจ
“มันก็คือแฟนเก่าที่กูทิ้งมันมาหามึงไงไอ้กันต์ อย่านึกว่ามันจะพิศวาสมึงเข้าล่ะ มันแค่จะแก้แค้นกูชัดๆ”
“พี่นที..” กันต์เหมือนทำหน้าจะร้องไห้ ที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่คนมองทั้งร้าน
“มันล่ามึงจนได้ตัวมึงเสร็จ มันก็ไปล่าผู้กองของกูต่อ แล้วก็ส่งคลิปมาเย้ยกูไง”
“พี่นทีครับ” กันต์มองมาที่ผม เค้นเอาความจริง ผมพูดไม่ออกเลย หน้าตาเขาน่าสงสารมาก
“เราจำใฝฝ้าเธอได้หมด ให้ไปผ่าหน้า ดูดไขมัน หมดเป็นล้าน แต่สันดานเลว จ้องจะเอาชนะ หมอเกาหลีก็ทำให้เธอไม่ได้หรอกนะน้ำ”
“น้ำ.. น้ำแฟนเก่ามึงน่ะเหรอ กัส” น้องกันต์เสียงสั่นเครือ
“เออ.. แหกตาดูมันซะ นี่แหล่ะไอ้น้ำ ไอ้จอมอาฆาตแค้น ไอ้คนที่มันจ้องจะเล่นงานกูอยู่ทุกวินาที” แล้วออกัส ก็ปาของใส่ที่โต๊ะอีกรอบเสียงดังปัง จนผู้จัดการร้านต้องให้พนักงานชายมาลากเจ้าตัวออกไป เขายังส่งเสียงสาปส่งไม่หยุด กันต์มีน้ำตาไหลลงบนหน้า หยิบกระเป๋าของเขา ยืนขึ้นแล้วก็ชี้มาที่ตุ๊กตาพิน็อกคิโอ แล้วก็เอื้อมมาแตะจมูกผม เขาร้องไห้สะอื้น น่าสงสาร ผมอยากจะกอดปลอบใจเขาเหลือเกิน อยากอธิบายว่า ผมไม่เคยคิดร้ายกับเขา และกันต์ก็เป็นของขวัญแสนวิเศษที่ผมได้สัมผัสจากภารกิจเลวร้ายอะไรนั้น เขายกมือไหว้ลา.. ตามแบบฉบับเด็กมารยาทดี แล้วก็เดินจากไป
ผมหยิบวัตถุสีดำที่ถูกปาลงมาเมื่อสักครู่ขึ้นมาดู เป็นกล้องที่ผมติดไว้ในคอนโดที่ออกัสขอพักอาศัยอยู่ ผมถอนหายใจ แล้วก็เรียกให้พนักงานเช็คบิล ผมเองก็มีมารยาทพอที่จะเอ่ยให้ร้านคิดค่าเสียหายถ้ามีอะไรมันถูกทำลายไปจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมหวังจะเยียวยา คือความรู้สึกของน้องกันต์ผู้น่าสงสาร
หลิวให้บัตรคอนเสิร์ตแถวหน้า ของ Beyonce’ Live in Bangkok World Tour มา เนื่องจากเธอกับตูนกำลังวิ่งวุ่นกับการเตรียมตัวฝึกงาน แล้วก็ไม่อยากให้พี่ไผ่ไปดูคอนเสิร์ตคนเดียว ผมก็รับปากตกลงเพราะว่าอยากจะเคลียร์เรื่องที่เกิดเมื่อตอนไปกาญจนบุรีด้วย เราแทบไม่ได้คุยกันตั้งแต่หลังกลับมา ซึ่งก่อนหน้านี้เขากับผมมักจะไลน์คุยกันก่อนนอนเสมอ ต่อให้ผมต้อง วีดีโอคอล กับผู้กองจนเสร็จกิจ หรือบอกฝันดีให้น้องกันต์ ผมก็ต้องปิดท้ายด้วยการเขียนไปแซวพี่ไผ่ ไม่อย่างนั้นผมจะนอนไม่หลับ เขาก็มักจะตอบกลับมาในทันทีเหมือนรอผมอยู่เช่นกัน
เป็นครั้งแรก ที่บียอนเซ่เปิดคอนเสิร์ตด้วยเพลงช้า นักร้องคงรับรู้ถึงความหมองหม่นในใจของผู้ชมแถวหน้าหรือเปล่านะ
สาวผิวสี รูปร่างสุดเจ๋ง ร่ายมนต์เพลง Hallo อยู่บนนั้น ผมกับพี่ไผ่มองหน้ากันด้วยความคิดถึง เขาเม้มปากอย่างรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่มันพาไป ผมแค่รอเขาพูดกลับมาอย่างเต็มปากว่าไม่ใช่เพราะเมา ผมรอคำนี้คำเดียว
พอเพลงเร็วเริ่มขึ้น ผมกับเขาก็พยายามทำตัวสนุก เราพูดกันถึงเรื่องอื่น เช่นแดนเซอร์สาวตัวอ้วนสี่คนที่สะบัดสะโพกจนเอวแทบหลุด หรือจะเป็นนักดนตรีหญิงล้วนบนเวทีที่วาดลวดลายกันเจ๋งแจ๋ว เครื่องแบบรัดรูปของนักร้องสาวที่วาววับ เสียงร้องทรงพลังจับใจ แต่หารู้ไม่ว่าตรงหน้าเวทีนักร้องคนโปรดของผม ผมกลับไม่สนุกเท่าไหร่ เมื่อไหร่พี่ไผ่จะพูดถึงมัน
รถแอคคอร์ดสีดำของพี่ไผ่ ขับมาจอดที่หน้าประตูรั้ว ยามเปิดประตูอัตโนมัติ พี่ไผ่ก็ขับเลี้ยวเข้ามาส่งถึงหน้าบ้านของผม เขาไม่ได้เอ่ยคำล่ำลา แค่กดไปที่สวิทช์ประตูเพื่อให้ประตูฝั่งผมคลายล็อค มันช่างเหมือนกันการไล่ไปในที ผมเอื้อมไปคว้ากระเป๋าจากที่นั่งด้านหลัง พอหันกลับมา เขาก็เอื้อมตัวมาจ้องผมอยู่ใกล้ จนหน้าของเราใกล้กัน
“ขอบคุณที่ไปดูเป็นเพื่อนนะครับ”
“ผมอยากใช้เวลากับพี่ไผ่ด้วยแหล่ะครับ”
“ช่วยพูดให้กระจ่าง ให้พี่ไม่ต้องคิดมาก ให้พี่ไม่ต้องอดหลับอดนอนอีกได้ไหม”
“ผมชอบเวลาอยู่กับพี่” แล้วลมหายใจผมก็หยุดไปในวินาทีนั้นตอนเขาเอื้อมตัวลงมาจูบ
ผมเดินเข้าบ้านที่ปิดไฟเงียบ มีแค่พ่อนั่งอยู่ที่โซฟา พ่อมองลอดใต้แว่นมาเห็นผม ก็เลยเดินเข้าไปหา นอนตักพ่อ อ้วนเหมือนว่า การกลับดึกเป็นเรื่องปกติ
“พวกวิปริต”
“พ่อ” ผมลุกขึ้นนั่งสีหน้าตกใจ พ่อไม่เคยพูดอะไรใส่ผมแบบนี้
“ไม่รู้จักธรรมชาติของตัวเอง ฝืนอะไรไม่เข้าเรื่อง”
“ผมขอโทษ แต่ผมก็เป็นของผมแบบนี้ ผมเกิดมาเป็นแบบนี้”
“ไม่ ลูกไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่ลูกทำตัวเองทั้งนั้น”
“แล้วพ่อจะให้ผมทำยังไง ให้ผมเลิกคุยกับพี่ไผ่เหรอ”
“เกี่ยวอะไรกับลูกไผ่ พ่อไม่ได้หมายถึงเรื่องไผ่”
“อ้าว”
“พ่อหมายถึงแกน่ะ ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาซะบ้าง หน้าหวานแบบนี้ เกิดมาเป็นรับ จะไปทำตัวเป็นรุก ทำไม”
“พ่อ”
“จะฝืนตัวเองให้ผิดธรรมชาติทำไมล่ะลูก สวรรค์ให้ลูกเป็นอะไร ก็ต้องภูมิใจกับมัน พ่อไม่ได้เลี้ยงลูกให้โตมาเป็นคนที่ฝืนทำตัวเป็นนั่นนี่ที่มันไม่ใช่”
“พ่อครับ”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ลูกเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเกินไป แล้วต่อไปนี้ ห้ามไปเที่ยวกลางคืน ส่วนอำนาจ ก็จะไม่ได้เข้าใกล้ลูกอีก”