[DATE]
คนที่ต้องทำงานแม้กระทั่งในวันแห่งความรักนี่น่าสงสารหรือเปล่านะ
ปรัญตั้งคำถามนั้นให้กับตัวเองระหว่างเปิดคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ กระเป๋าสะพายข้างใบเก่งวางเอาไว้ข้างตัวยังไม่มีแผนที่จะหยิบอะไรข้างในออกมาวาง วันนี้ก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งวันที่เขาต้องมาทำหน้าที่เป็นนักศึกษาที่ดีก่อนที่จะโดนรายงานความประพฤติแล้วยึดทุนเสีย
เปิดแฟ้มบันทึกข้อมูลตรวจดูว่าสถิติว่าในภาคเช้ามีคนเข้ามาใช้บริการมากแค่ไหน ตัวเลขที่เป็นศูนย์ไม่ทำให้ใจชื้นขึ้นมาเพราะมันอาจจะมาตูมเดียวในภาคบ่ายนี้ก็เป็นได้
เพิ่งรู้ตัวว่ามันเป็นวันวาเลนไทน์ก็ตอนที่เดินเข้าห้องเรียนไปแล้วเจอกับช่อดอกไม้ขนาดใหญ่ของเพื่อนร่วมเซคคนหนึ่งวางหราอยู่ตรงเก้าอี้เล็กเชอร์บริเวณกลางห้อง แล้วพอเปิดทวิตเตอร์ขึ้นมาก็เจอแฮชแท็กเกี่ยวกับวันพิเศษนี้กำลังเทรนดิ้งอยู่
ตอนที่บอกเพื่อนไปว่าวันนี้ก็ยังต้องมาประจำอยู่ในห้องที่ปรึกษาเหมือนอย่างเคยบางคนถึงกับตบบ่าปุให้กำลังใจ ซึ่งก็น่าสงสัยอยู่เหมือนกันว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างนั้นเลยเหรอ
“ทำไมเหม่อ?”
สะดุ้งเล็กน้อยตอนที่มีหนึ่งสัมผัสตรงไหล่ทักทาย กะพริบตาถี่หันไปมองหน้าอาจารย์ประจำวันที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเช่นเดียวกับทุกครั้งที่เจอ
“พอดี...คิดอะไรนิดหน่อยครับ”
จะให้บอกว่ากำลังคิดถึงสมมติฐานที่ว่าการทำงานในวันนี้มันเป็นเรื่องที่ดูประหลาดมากก็ไม่ใช่ แต่อย่างน้อยแล้วเขาก็ไม่ใช่คนเดียวที่ต้องมาติดแหง็กอยู่อย่างนี้ล่ะน่า
“งั้นเอานี่ไป” กล่องกระดาษพับเป็นทรงถุงสีแดงพิมพ์ชื่อยี่ห้อคุ้นถูกยกขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา “กินของหวานหน่อยจะเผื่อจะคิดออก”
“ขอบคุณครับ”
“แล้ววันนี้มีแผนจะไปไหนกับเอื้อมบ้างเนี่ย”
“ครับ?”
“วาเลนไทน์ไง”
“อ้อ ...ยังไม่มีนะครับ”
ตอบไปตามความจริง นิสัยตรงนี้ของเขากับเอื้อมเหมือนกันตรงที่ว่าจะไม่มีการมาตื่นเต้นวางแผนสำหรับงานเทศกาลหรอก ปีใหม่ก็ยังแยกย้ายกลับบ้านแล้วอวยพรออนไลน์กันอยู่เลย ไม่ต้องถามเรื่องวันเกิดที่มีแค่คำอวยพรสั้นๆ พอเป็นประเพณีเท่านั้น
ต้องถึงวันจริงนั่นแหละจึงตัดสินใจได้ว่าอยากจะทำอะไร ถ้าปัจจัยเอื้อก็ทำ ไม่เอื้อก็ช่างมัน
ยังไงก็มีกันทุกวันอยู่แล้ว
รับมันมาไว้ด้วยความรู้สึกผิดลึกๆ ว่าตัวเองก็ควรจะมีอะไรแลกกลับไปเหมือนกัน อาจารย์น่ะชอบบอกว่าไม่ต้องคิดมาก แค่ปันยอมอยู่ต่อจนเข้าปลายปีที่สองนี่ก็ดีมากแล้ว
จากเด็กเฟรชแมนที่ถูกวางให้รับหน้าที่เป็นคนดูแลในส่วนนี้ รู้ตัวอีกทีก็เกือบจะจบปีสองแล้ว เขาไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนไปทำงานส่วนอื่นจนเป็นการล้างอาถรรพ์ว่าไม่เคยมีใครทำงานที่นี่ได้เกินหนึ่งปี ที่คิดเอาไว้ปีหน้าถ้ายังต้องใช้แรงงานแลกเงินอยู่ก็ยังจองที่นี่แหละ
วางมันเอาไว้บนโต๊ะในมุมที่เห็นได้ชัด ไม่มีทางลืมหยิบติดมือกลับไปแน่ วันนี้แบกเอาโน้ตบุ๊กส่วนตัวมาด้วยเพราะต้องเร่งมือทำในส่วนของรายงานก่อนกลางภาค ในเมื่อยังไม่มีผู้ขอเข้ารับบริการรายแรกก็เลยใช้ช่วงเวลานี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ตรงหน้าแรกของเฟซบุ๊กแจ้งเตือนว่ามีการแชร์ร้านขนมหวานกลางสยามเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วจากเอื้อมอารัญ นี่ก็อีกหนึ่งอย่างที่เขาคิดว่าตัวเว็บไซต์นี้พยายามทำตัวฉลาดมากไปหน่อย ก็ไม่ว่ากี่โพสต์ต่อกี่โพสต์ที่มีเจ้าของบัญชีชื่อ U Arun น่ะจะต้องแวะมาทักทายทุกครั้ง
ที่คุยกันเมื่อเช้าล่าสุดก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าตารางเรียนประจำวัน วันนี้ไม่ต้องไปดูหนัง แล้วก็นัดเวลาสำหรับมื้อเย็นเอาไว้เท่านั้น
“ลงชื่อตรงนี้เลยครับ”
นั่งมาเกือบชั่วโมงก็ได้เริ่มงานอย่างเป็นทางการสักที เมื่อประตูกระจกเปิดออกก็ปรากฎนักศึกษาคนแรกของวันมาในชุดเรียบร้อยที่เห็นจากภายนอกแล้วสุดแสนจะปกติ มีประสบการณ์มาเยอะจนรู้ว่าไม่ควรจะตัดสินไปเองก่อน
เดี๋ยวรู้เลย บอกแค่นี้
คนมาใหม่ยังยืนจังก้าอยู่ที่เดิมไม่ยอมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้าม ลองชะเง้อออกไปดูก็ไม่เห็นว่าจะมีใครตามมาด้วย นี่ต้องเตรียมตัวพร้อมรับมือหรือเปล่านะ
“ต้องลงชื่อนะครับ เป็นนโยบายของที่นี่” อันนี้ก็เคยถามอาจารย์เหมือนกันว่าถ้านักศึกษาไม่สะดวกใจที่จะให้ข้อมูลจะทำอย่างไร คำตอบก็คือกว่าจะรู้ว่าเป็นข้อมูลปลอมก็คุยกันเสร็จไปแล้ว
ปฏิกิริยาตอบกลับเป็นศูนย์จนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง “แต่ใส่ชื่อมั่วก็ได้ ไม่ว่า”
“ผมชอบพี่”
“...”
คำเอ่ยต่อจากนั้นเล่นเอาปรัญนิ่งไปเลย
“วันนี้ไปเดทกันไหม”
คำทำนายดวงรายวันของแอปแชตสีเขียวบอกเขาว่าวันนี้จะเป็นวันที่ทำอะไรก็ราบรื่น ไม่ต้องกลัวเรื่องความบาดหมางอะไรทั้งสิ้น รวมถึงมีเกณฑ์ที่จะได้ของขวัญชิ้นใหญ่อีกต่างหาก
โกหกทั้งเพ
“ผมบอกว่าจะเดทกับพี่ ทำไมถึงมีคนอื่นอีกอะ”
ปรัญปล่อยให้คำถามจากคนนั่งเบาะหลังไม่มีคำตอบ ยกมือขึ้นนวดขมับที่เริ่มประท้วงเป็นระยะ
หลังจากที่ได้ยินคำเชิญแล้วเขาได้ทวนกลับไปอีกครั้งว่ามีการเข้าใจผิดเกิดขึ้นหรือเปล่า ผู้ชายที่เขายังไม่รู้จักชื่อ (แต่ถ้าเรียกเขาว่าพี่ก็เแสดงว่าอายุน้อยกว่า) ยังคงยืนยันว่ามันไม่มีการส่งสารที่ผิดพลาดอะไรทั้งนั้น นอกจากนั้นก็ไม่ยอมไปไหนจนถึงตอนเลิกงานนั่นแหละ
สถานการณ์ดูตึงเครียดขึ้นไปอีกหลายระดับตอนที่เอื้อมอารัญมารับเหมือนทุกวัน ไม่มีโวยวายหรือทำหน้าไม่พอใจอะไรทั้งสิ้นหลังจากที่เขาอธิบายความเป็นมาแสนพิลึก พูดสั้นๆ แค่ว่าถ้างั้นก็ไปหาอะไรกินด้วยกันทั้งหมดนี่เลย
ถึงอยู่กันมานานพอสมควรก็ยังบอกได้ไม่เต็มปากว่าคุณเอื้อมของทุกคนตอนนี้อยู่ในห้วงอารมณ์แบบไหน ตอนนี้น่ะแค่หันไปมองคนที่กำลังขับรถอยู่ทางขวายังไม่อยากจะทำเลย
“ปันว่าวันนี้ร้านอาหารคนจะเยอะไหม”
“เยอะแน่นอน”
สองคนแท็กทีมเหมือนไม่ได้มีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ด้วย “แต่ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาคนกินข้าว น่าจะยังได้อยู่”
เพิ่งห้าโมงกว่าเท่านั้นเอง ต่อให้เป็นร้านยอดฮิตขนาดไหนก็น่าจะยังมีที่แหละ
การทานมื้อเย็นพร้อมกันในวันที่ไม่ต้องเข้าเมืองไปดูหนังเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว เราใช้เวลาในช่วงกลางวันกับเพื่อนกลุ่มในคณะส่วนตอนเย็นก็เป็นของคนสองคน ยังคงมีความสุขกับการตะลอนหาของอร่อยทานเท่าที่จังหวะเวลาและเงินในกระเป๋าเอื้ออำนวย
“ร้านไหนดีอะ หรือเข้าห้าง?”
“เราไม่ค่อยอยากเข้าห้างเท่าไหร่เลย” บอกตามอย่างที่คิด ประเมินดูแล้วเวลานี้จะต้องมีเด็กมัธยมเดินเต็มไปหมด แล้วพอทานเสร็จก็จะมีเหล่านักศึกษาและคนทำงานมาเสริมอีก “คนเยอะแหง”
“อยากกินบอนชอน”
การแทรกเข้ามาในบทสนทนาของคนที่สามไม่น่ารักเท่าไหร่สำหรับปรัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ
“ก็ได้นะ ปันลองจองในแอปเลย”
จากที่ปวดหัวกับหนึ่งคน ตอนนี้คงต้องเพิ่มเป็นสองแล้ว เจ้าของรถยุโรปห้าประตูผงกหัวรับรู้พลางตบรถออกไปยังเลนขวาสำหรับเร่งความเร็ว ส่วนเขาเองก็สไลด์ปลดล็อกหน้าจอเตรียมสำหรับการจองคิวร้านอาหารอย่างที่ตกลงไปกันเมื่อสักครู่
ไม่รู้ว่าคิดมากไปเองก่อนแล้วจะได้อะไรก็เลยช่างมัน ปล่อยเลยตามเลยเอาที่ทุกคนสบายใจ
“พี่ชื่อเอื้อมนะ น้องชื่ออะไรเหรอ”
“วา”
“หืม”
“ชื่อวิมวา”
ยังไม่อยู่ในรัศมีการจองคิวได้เลยต้องรอไปก่อน แต่ก็ไม่อยากจะกลับไปมีส่วนร่วมในวงการพูดคุยนั้นเลยเปลี่ยนไปเช็กดูอัปเดตในทวิตเตอร์ดีกว่า
“กำลังจะแซวเลยว่าชื่อวาเลนไทน์หรือเปล่า”
“ใครจะตั้งชื่อลูกอย่างนั้น”
“อย่าประมาทผู้ปกครองสมัยนี้”
ข้อนี้เห็นด้วย ไม่ได้เจอมากับตัวแต่ว่าหลายคนเคยการันตีมาแล้วว่าชื่อเล่นของเด็กน้อยในยุคนี้มันล้ำหน้าจนตามไม่ทัน พอเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจออีกครั้งก็เกือบถึงที่หมายแล้ว คนยังมีหน้าที่อยู่จึงเข้าไปเตรียมกดรับคิวอีกครั้งตามคำสั่ง
“บอนชอนคิวเยอะมาก เปลี่ยนไหม”
ที่เห็นนี่ก็สิบกว่าคิว กว่าจะได้ทานจริงเอื้อมคงโมโหหิวแล้วกินน้องไปก่อน ชื่อร้านอาหารที่เสนอมาหลังจากนั้นสองสามชื่อก็มีจำนวนคิวมากไม่ต่างกัน สุดท้ายก็เลยจบที่ว่าเดินขึ้นไปเช็กหน้าร้านแล้วอันไหนคิวน้อยสุดก็เข้าไปเลย
หนึ่งในชาบูร้านโปรดของเอื้อมอารัญคือปลายทางที่เราทั้งสามคนได้เข้ามานั่ง โต๊ะที่จัดไว้สำหรับสี่คนนั่งแบ่งเป็นสองคนคือเขากับเอื้อม ส่วนน้องวาครองอีกฝั่งคนเดียว
แอบลอบมองเด็กที่ยังไม่รู้ว่ามาดีหรือร้าย วิมวาดูไม่ยี่หระหรือประหม่ากับการนั่งร่วมโต๊ะกับคนแปลกหน้าเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่น้องทำก็แค่ขอเป็นคนเลือกน้ำซุปเองแล้วก็เดินดุ่มไปกดน้ำดื่มให้ตัวเองหน้าตาเฉย สงสัยแต่ไม่กล้าถามว่าน้องกำลังคิดอะไรอยู่
เกิดมาจนจะอายุยี่สิบก็เพิ่งเคยเจอเรื่องไม่คาดฝันได้เท่านี้ ไอ้การที่เดินมาบอกชอบในวันวาเลนไทน์เป็นหนึ่งในเหตุการณ์น่ารักสำหรับเด็กมัธยมไม่ต้องสืบ ต้องยอมรับว่าพอเข้ามหาวิทยาลัยแล้วมันก็กลายเป็นความหวานแหวไร้สาระที่ไม่น่าสนใจไป
“แล้วเห็นบอกว่าชอบปันเหรอ”
“อือ”
ถามง่ายตอบง่ายไม่มีความเกรงใจเขาเลยสักนิด ดีที่กลืนเนื้อหมูสไลซ์ลงไปได้ก่อนแล้ว
“พี่ก็ชอบปันเหมือนกัน”
ก็คิดนะว่าพวกเขาสองคนลืมว่าปรัญยังอยู่ตรงนี้หรือเปล่า
มันไม่ใช่สงครามประสาทแต่อย่างใด ต่างคนต่างจริงจังอยู่กับผักและเนื้อในหม้อจนถ้ามองจากมุมคนนอกแล้วก็เป็นกลุ่มคนรู้จักที่มาทานอาหารด้วยกัน เขาเก็บความเหนื่อยใจเอาไว้ข้างในแล้วก็จดจ่อกับการทานด้วยการปลอบใจว่าอย่างน้อยท้องก็อิ่ม
มาหลายครั้งจนรู้นิสัยการกินแบบ ‘แค่พอใจ’ ของเอื้อม ก็ถ้าเป็นอาหารประเภทบุฟเฟ่ต์แล้วการทานจะไม่ใช่ยัดจนกว่าจะรู้สึกว่าคุ้มค่า เอาแค่เท่าที่รู้สึกว่าพออิ่มจากนั้นก็วางตะเกียบแล้ว
“แล้วทำไมถึงชอบอะ” กลายเป็นการซักถามเสียอย่างนั้น เสกให้ตัวเองหูหนวกชั่วคราวจะได้ไหม “เล่าได้ปะ พี่อยากรู้”
จะปรามก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ของหวานที่เพิ่งวางลงตรงหน้าของทุกคนดูไม่น่าสนใจเท่าหัวข้อที่กำลังออนแอร์ ปันใช้ไม้จิ้มพลาสติกหยิบเอาขนมโมจิสอดไส้คัสตาร์ตที่ถูกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำเอาไว้แล้วเข้าปาก ก่นด่าคำทำนายในใจว่ามันไม่มีตรงไหนที่เข้ากันเลย
เนี่ย เรื่องบาดหมางมาไม่มีหยุดเลย
หลอกลวงผู้บริโภค
“พี่ปันช่วยแบกของขึ้นตึกกิจกรรมให้”
นึกตามในเรื่องที่น้องเล่าไม่ออก ไม่กล้าออกตัวแรงว่าไม่เคยช่วยเพราะคนนิสัยอย่างปรัญน่ะเดี๋ยวก็แวะไปช่วยนู่นนี่ตามคำขอประจำ
ยิ่งกับพื้นที่ที่เขาอยู่อาศัยบ่อยครั้งอย่างห้องเด็กทุนแล้วด้วย แค่เข้าไปตรวจความถูกต้องของเอกสารเฉยๆ ก็ยังเคยถูกลากให้ไปช่วยเคลียร์ห้องสำหรับชุมนุมปักษ์ใต้เลย ว่างอยู่แล้วเลยไม่ปฏิเสธ ได้คำขอบคุณมาพร้อมกับสัญญาว่าถ้าจัดงานรวมกลุ่มเมื่อไหร่จะให้บัตรเข้างานฟรีสองใบ
“อ่าฮะ?”
“ก็แค่นั้น”
“ปันน่ารักเนอะ”
“อื้อ”
ไม่มีการแสดงความเป็นเจ้าของที่ออกหน้าออกตาจนน่าเกลียด รวมถึงไม่มีการใช้คำพูดยกตนข่มท่าน จนบางเสี้ยวความคิดก็รู้สึกว่ามันเหมือนการปรึกษาของคนหัวอกเดียวกัน ด้วยความที่เป็นครั้งแรกที่ต้องเผชิญสถานการณ์เช่นนี้เขาเลยไม่รู้ว่าอีกคนมีวิธีการรับมือกับมันอย่างไร เท่าที่ดูมันก็ไม่ได้แย่อะไรเลยล่ะ
“วาเอาอย่างอื่นเพิ่มไหม พี่ว่าจะสั่งไอสกรีมเพิ่ม”
“ไม่เอาแล้ว”
“เราอิ่มเรียบร้อย” โบกมือยอมแพ้ ถือว่าตัวเองจบมื้ออาหารนี้อย่างสมบูรณ์ “เอื้อมสั่งแค่ของตัวเองเลย”
“โอเค”
ถึงจะบอกอย่างนั้นไปในคราวแรก ในท้ายที่สุดของหวานเนื้อครีมรสชาเขียวก็ตกเป็นภาระของปรัญอยู่ดี คนสองคนที่นั่งตรงข้ามกันยังคุยกันในเรื่องสัพเพเหระปนไปกับการวนกลับมาคุยเรื่องของเขาเป็นบางประเด็น อย่างกับเห็นคู่พี่น้องคุยกันเลย
เอื้อมอารัญไม่มีพี่น้อง นั่นอาจจะเป็นหนึ่งในความเป็นไปได้ที่ทำให้ความไม่เข้ากันของเรื่องราวทั้งหมดไม่ลุกลาม คนมองโลกในแง่อย่างเขาก็ยังคงมีความหวังลึกๆ ว่ามันคงจะราบรื่นเหมือนอย่างที่คำทำนายบอก
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าปันทำงานให้ห้องที่ปรึกษา”
“คนเราก็ต้องหาข้อมูลของคนที่ชอบไหมอะ”
“ก็จริงนะ”
จะสะกิดเอื้อมว่าเลิกถามได้แล้วก็ไม่กล้า ถ้าขอตัวลุกออกไปเข้าห้องน้ำตอนนี้มันจะทันหรือเปล่านะ?
“เดี๋ยวเราขอแวะข้างล่างหน่อยสิ”
นึกว่าจะกลับเลยหลังจากจบมื้ออาหารที่ใช้แต้มในบัตรจนได้ราคาสามจ่ายสอง รวมถึงบอกว่าเราสองคนเป็นคนเลี้ยงน้องวาเอง ไม่รู้เอื้อมจะลงไปซื้ออะไรเพิ่มอีก
“ได้ จะซื้ออะไรเหรอ”
“ไม่บอก ปันจะพาน้องเดทที่อื่นก่อนก็ได้”
บทจะไล่ก็ง่ายดายเหลือเกิน เขาปั้นหน้าไม่ถูกนักตอนที่คนมาด้วยกันโบกมือลาแล้วก็เดินลิ่วไปยังบันไดเลื่อน ปล่อยให้เขายืนไร้จุดหมายอยู่กับน้องที่เพิ่งเจอกันวันแรกซะงั้น
“อ่า...”
“ผมไม่คิดว่าเดทแรกจะต้องมาจบที่ห้างอย่างนี้เลยอะ”
มองใบหน้าติดตึงนั่นแล้วไปต่อไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม “แล้วอยากไปที่ไหนล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“อ้าว”
“แค่อยากไปกับพี่อะ ที่ไหนก็ได้”
หัวเราะเอ็นดูให้กับคำบอกเล่าที่ดูไร้เดียงสา เสนอว่าถ้าไม่มีอะไรทำจริงก็จะชวนไปเดินเล่นตรงชั้นของเล่นสำหรับเด็กเสียหน่อย ถึงจะไม่มีดอกไม้แต่อย่างน้อยก็หาอะไรที่มันดูแล้วเข้ากับเอื้อมหน่อย
ชั้นจำหน่ายของเล่นเด็กก็ยังคงเสียงดังเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ได้ดี เดินลัดเลาะจากหน้าประตูผ่านเข้าไปเจอกับสินค้าสีชมพูละลานตาจากแบรนด์ที่คุ้นเคย จากนั้นก็เข้าสู่ดินแดนลับแลที่หาทางออกไม่เจอจนกลายเป็นเรื่องของแล้วแต่บุญแต่กรรม ถ้าเจอก็ถือว่ายังมีชะตาผูกกัน
“ม้าพวกนี้ดังมากเลยเหรอ”
เห็นว่ามันมีไลน์สินค้าหลากหลายจนรู้ได้ว่าต้องได้รับความนิยมสูง เหมือนว่าเขาจะเคยไปดูภาพยนตร์ที่เป็นเรื่องของพวกนี้โดยเฉพาะด้วยเมื่อหลายปีก่อน แต่จำเนื้อหาไม่ได้แล้วล่ะเอาจริง
“ไม่ใช่ม้า ทไวไลท์สปาร์คเคิลเป็นอัลติคอร์น”
เถียงกลับได้ขนาดนี้ก็น่าจะดังอยู่ “อะไรคืออัลติคอร์น”
“ตามเนื้อเรื่องมันมีแยกย่อยอะ แอปเปิ้ลแจ็คเป็นเอิร์ธโพนี่” สิ่งที่ปรัญเรียกว่าม้าสีเหลืองใส่หมวกคาวบอยคือตำแหน่งแรกที่มือของวิมวาชี้ไป “ส่วนแรริตีเป็นยูนิคอร์น แล้วเรนโบว์แดชเป็นเพกาซัส”
สีขาวหัวม่วง และสีฟ้าหัวสายรุ้งคือตำแหน่งการชี้หลังจากนั้น
“ส่วนตัวนี้ที่เป็นตัวเอกอะ คือสามเผ่าแรกผสมกัน”
“โอเค เหมือนจะเก็ต”
“พี่อย่าไปเรียกว่าม้าเชียวนะ เห่ยมาก” ปากเบะอย่างนั้นคือกำลังมองเหยียดเขาอยู่หรือไง “ชื่อก็บอกว่าอยู่ว่ามายลิตเติลโพนี่”
พยักหน้าตามแบบไม่หือไม่อือไม่เถียงอะไรทั้งนั้น ตั้งใจว่าจะเอากลับไปเล่าให้เอื้อมฟังว่ารู้หรือเปล่าว่ามันไม่ใช่ม้านะ
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กก็ไม่เห็นว่าจะมีการแจ้งเตือนใด เก็บความสงสัยเอาไว้พร้อมกับคำปลอบใจว่าเดี๋ยวเจอกันอีกครั้งก็รู้เอง ตอนนี้เหมือนจะเจอหัวข้อที่คุยกันรู้เรื่องก็ไม่อยากจะเข้าไปขัดให้บรรยากาศมันเสีย
“แล้วเราชอบตัวไหนที่สุด”
“ฟลัตเตอร์ชาย” กล่องกระดาษขนาดเกือบสองผ่ามือที่มีตุ๊กตาสีเหลืองหัวชมพูอ่อนตั้งอยู่คือสิ่งที่ถูกยกยขึ้นมาให้เห็นชัดเจน “น่ารักใช่ไหมล่ะ”
“น่ารักดี”
สารภาพโดยไม่อายเลยว่าจำชื่อทั้งหมดนั่นไม่ได้หรอก แล้วแต่ละตัวก็ไม่ได้มีแค่พยางค์สองพยางค์ เด็กน้อยพวกนั้นจำยังไงให้ได้ทั้งหมดนะ
ก็ว่าไปนั่น ดิจิมอนมีกี่ร่างก็เคยท่องได้หมดเหมือนกันนั่นแหละ
“พี่ถามแบบซีเรียสนะ ชอบพี่จริงอะ”
“จริง”
“แบบ...มันไม่ง่ายไปเหรอ”
“คนเราไม่ควรดูถูกความชอบของคนอื่นนะ” เป็นประโยคเดียวที่โดนสองต่อ “ชอบก็คือชอบ จะเก็บไว้ทำไม”
เริ่มเข้าใจความเอ็นดูของเอื้อม ปิ๊งไอเดียแปลกๆ ขึ้นมาได้ หยิบเอาสิ่งที่อยู่ในมือของวิมวามาถือไว้เองแล้วก้าวเท้ายาวไปทางจุดชำระราคาสินค้า เสียงน้องเรียกชื่อไล่หลังไม่ทำให้เขาผ่อนจังหวะการเดินได้ ซ้ำแล้วมันน่าแกล้งจนอยากจะเร่งฝีเท้าอีกต่างหาก
ก็ตกใจนิดหน่อยตอนที่พนักงานแจ้งราคาสุทธิ ประเมินด้วยตาแล้วมันก็ไม่น่าจะใช้วัสดุอะไรที่มีราคาสูงเท่านี้ เงินสดเท่าราคาถูกยื่นไปให้พร้อมกับแจ้งความต้องการในส่วนของบริการห่อ น้องที่เป็นคู่เดทชั่วคราวหยุดรัวคำถามแล้วพอเห็นว่ายังไงเขาก็คงไม่ปริปากตอบ
ได้รับถุงสกรีนลายโลโก้ของห้างในช่วงเวลาเดียวกับที่โทรศัพท์สั่นครืด การแจ้งว่าซื้อของเสร็จเรียบร้อยบวกกันนัดหมายสถานที่คือใจความจากปลายสาย โคลงหัวไล่ความเสียดายนิดหน่อยตรงที่ไม่ได้ของตามที่วางแผนไว้ทีแรก อย่างน้อยก็ถือว่าไม่เสียเที่ยว
“ช็อกโกแลต?”
ถามเป็นมารยาทไปอย่างนั้นเมื่อสองถุงหิ้วในมือของเอื้อมอารัญนั่นมันเป็นของร้านของหวานที่ขึ้นชื่อเรื่องช็อกโกแลต
“ใช่ ตอนแรกเราว่าจะซื้อเค้กอะ แต่ว่าวาเลนไทน์ก็ต้องช็อกโกแลตสิ”
ก็บอกแล้วว่าชินกับนิสัยเหมือนจะไม่อินกับเทศกาลแต่ก็มีอะไรให้แปลกใจตลอด
“แล้วทำไมสองถุงอะ” หรือว่าจะเอากลับไปให้คนที่บ้าน
“นี่ของน้องวา”
“ผม?”
“มาเดทกับพวกพี่จะกลับไปมือเปล่าได้ไง” ทำหน้าจริงจังยิ่งกว่าตอนที่บอกว่าจะไม่ยอมผ่าฟันคุดอีกสองซี่อีกน่ะ “รับไปเลยนะ”
คนอายุน้อยสุดในวงนั้นรับถุงจากมือของเอื้อมอารัญแบบงงๆ พอเขาเห็นอย่างนั้นก็ชิงส่งของตัวเองให้เลยด้วย
วิมวาก้มลงมองสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเองทั้งสองข้างสลับไปมาสักพัก ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเงยหน้าขึ้นมาหาเขาทั้งสองคน
“ไหนบอกว่าพี่ปันใจดี”
“อ้าว”
“พี่โคตรใจร้ายเลย ทำอย่างนี้แล้วผมจะตัดใจจากพี่ได้ยังไง”
การ์ตูนมายลิตเติลโพนี่ในเน็ตฟลิกซ์ที่เชื่อมต่อเข้าไปโทรศัพท์จอใหญ่ในห้องของเอื้อมอารัญคือฉันทามติที่เราสองคนใช้ฉลองเวลาที่เหลือในวันนี้
ความสดใสของภาพกับเนื้อหาแสนน่ารัก เมื่อประกอบเข้ากับกล่องช็อกโกแลตที่หายไปเกือบครึ่งวางอยู่บนหน้าตักของเขาดูแล้วไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่นัก แต่ก็อย่างว่านะ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกินหรือดูอะไรแต่ว่าอยู่กับใครต่างหาก
“เราถามหน่อยว่าเอื้อมคิดยังไงกับน้องวา?”
ยังมีสิ่งติดค้างอยู่และไม่อยากให้มันข้ามวันไป เสียงฮึมฮัมในลำคออย่างนั้นคือกำลังครุ่นคิดประมวลผลอยู่
“น้องน่ารัก”
“ไม่คิดมากเรื่องที่น้องบอกเหรอ”
“ที่บอกว่าชอบปันอะนะ”
“อือ”
มือข้างหนึ่งของเอื้อมอารัญหยิบเอาชิ้นของหวานสีน้ำตาลเข้มเข้าปาก ที่ใช้เวลาตั้งนานก็เพราะว่าเอาแต่เลือกแล้วเลือกอีกอยากจะลองให้ครบทุกรสในกล่องเดียว
“ไม่อะ”
“จริงจัง?”
“จริง คือตอนแรกที่ได้ยินปันเล่าก็ตกใจนิดหน่อยอะ แต่คิดไปมาแล้วใครไม่ชอบปันบ้างล่ะ”
ศีรษะที่ซบลงตรงไหล่พาเอาความกังวลทั้งหมดหายวับไปกับตา เอียงคอเล็กน้อยกลับไปเหมือนกำลังสื่อสารกันผ่านทางโทรจิต
“คือเอาตามตรงเลยนะ เราไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเจอเรื่องอะไรอย่างนี้”
น้องวาไม่ได้รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของพวกเขาทั้งสองคนจนน่าเกลียด ก็แค่ขอไลน์ไปโดยอ้างว่าตอนวันไวท์เดย์จะได้ให้ของตอบแทน ทำเป็นบ่นงอแงเรื่องของขวัญวาเลนไทน์แต่ก็เอาขึ้นเป็นรูปโปรไฟล์อยู่ดี
“เราก็ไม่คิด” เสียงหัวเราะคิกคักถูกใจกับเรื่องที่เจอมา “แปลกดีเหมือนกัน”
เอื้อมน่ะดูจะถูกชะตากับน้องเขาไม่น้อยเลย ไม่อย่างนั้นแล้วเราคงไม่ได้กลับมานั่งดูการ์ตูนเรื่องโปรดของวิมวาอย่างนี้หรอก รู้สึกเท่มากตอนที่อธิบายให้เอื้อมฟังได้ว่าไม่ใช่ม้าแต่เป็นอัลติคอร์นอะไรนั่น พอเห็นเจ้าตัวเหลืองที่น้องชอบปรากฎมาก็เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรถึงชอบ
“แล้วถ้าวันหนึ่งมีคนมาบอกชอบเราอย่างนี้อีก เอื้อมจะทำไง”
ถามทีเล่นทีจริงไป ก็คนเราไม่รู้อนาคตนี่นะ
“ไม่ทำอะไรทั้งนั้นอะ”
“ไหงงั้น” ใจหล่นตุ้บเลยล่ะที่คำปฏิเสธออกมาโดยไม่ต้องเว้นเวลาทบทวน
แรงกดทับตรงไหล่หายไปแล้ว การสะกิดทำให้เขาต้องหันหน้าไปหาคนข้างตัวที่งับของหวานไว้ตรงริมฝีปาก
คลี่ยิ้มพลางโน้มตัวเข้าไปรับมันมาผ่านการจุมพิต ก็อย่างว่าล่ะนะเราไม่ได้เสพติดการสัมผัสร่างกายของกันและกันขนาดถึงกับว่าขาดกันไม่ได้ แค่มีบางครั้งแอบเล่นซนกันเช่นจูบระหว่างการชมภาพยนตร์รอบดึกที่ดูกันอยู่แค่สองชีวิตจากทั้งโรงหนังขนาดใหญ่
รสสัมผัสขมของมันลงตัวกับกลิ่นของชาเขียวญี่ปุ่นดี
“ก็คนที่ปันชอบคือเรานี่นา”
และรอยยิ้มของเอื้อมอารัญน่ะคือของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว
***
เป็นครั้งแรกตั้งแต่แต่งมาเลยมั้งคะที่ได้เขียนตอนพิเศษเกี่ยวกับวันวาเลนไทน์จริงจัง (หัวเราะ)
#ไม่มีความจริง