ตอนที่ 37
ที่โต๊ะหน้าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ผมนั่งมองบรรยากาศโดยรอบอย่างเรื่อยเปื่อยเพื่อฆ่าเวลารออาฟที่กำลังขับรถมารับเพราะวันนี้อีกฝ่ายก็มีเรียนเหมือนกันเลยไม่ได้มานั่งรอกันเหมือนปกติ
เอาเข้าจริง บางทีผมก็คิดว่าตัวเองเหมือนย้ายกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ตอนเช้าคุณพ่อมาส่ง แล้วพอตอนเย็นคุณพ่อก็มารับกลับแต่ถ้าถามว่าชอบมั้ยกับการใช้ชีวิตแบบนี้เอาจริงๆมันก็กึ่งๆ ก็ชอบเพราะผมไม่ต้องขับรถเอง แถมการอยู่กับอาฟก็เป็นอะไรที่ผมมีความสุขและสบายใจอยู่แล้ว
แต่ที่ไม่ดีก็คงเป็นในเรื่องที่ว่า ตัวผมเริ่มชินกับการใช้ชีวิตในแบบนี้เข้าไปทุกที ชีวิตแบบที่ไม่ต้องขับรถไปไหนเอง ไปไหนมาไหนเราก็ไปด้วยกัน มีอาฟมีผม จนกลายเป็นว่า รถที่เคยขับได้แต่ไม่คล่อง ล่าสุด ก็คือไม่คล่องยิ่งกว่าเดิม ส่วนรถที่เคยอยากได้มาตลอด ตอนนี้ก็ถูกจอดทิ้งไว้เฉยๆ จนกลัวว่าสักวันเครื่องมันจะพังเอา
[ ติดไฟแดงอยู่ ] เสียงเตือนจากมือถือทำให้ผมที่กำลังคิดอะไรเพลินๆก้มหน้าลงไปมอง หน้าจอฉายข้อความแชทที่ถูกส่งเข้ามาจากคนที่ผมกำลังคอยอยู่
วันก่อนผมเปลี่ยนชื่อแชทของอาฟจาก AFTER ธรรมดาด้วยการใส่ หัวใจห้อยท้ายไปตัวนึงแล้วก็ปักหมุดไว้บนสุด เพราะเราไม่ค่อยได้คุยกันผ่านแชทเท่าไหร่เลยกลายเป็นว่า แชทของอาฟชอบตกไปอยู่ข้างล่างตลอด แต่พอมานั่งคิดว่า เพราะเราอยู่ด้วยตลอด แชทเลยไม่ใช่อะไรที่จำเป็นมันก็ชวนให้ยิ้มออกมามากกว่าเก่า
[ กูก็คอยมึงอยู่ ] ยิ้มตอนที่พิมพ์ข้อความตอบกลับมันไป อาฟก็ส่งกลับมาอีกครั้ง
[ หิว ]
[ กูก็หิว ]
[ เบื่อ ]
[ เบื่ออะไร ] ผมถามมันพร้อมกับส่งสติกเกอร์หน้ากระต่ายงงไปให้ [ เรื่องที่เรียนมันยากเหรอวะ หรือว่ามีสอบแล้วทำไม่ได้ แต่แบบนั้นไม่ใช่เพราะมึงโง่เองเหรอวะ ]
[ ยังอยากจะให้กูไปรับมั้ย ]
[ น้องเมดก็ล้อพี่อาฟเล่นเฉยๆเองครับ ] หลุดหัวเราะกับคำที่พิมพ์ คิดถึงหน้าอีกคนออกเลยว่าคงกำลังยิ้มอยู่เหมือนกันแน่ๆ
[ เบื่อติดไฟแดง ]
[ มันก็ปกติ มึงทำเหมือนปกติมันไม่ติด ]
[ ที่กูเบื่อเพราะไม่มีมึง ] ผมยิ้มกว้างก่อนจะคว่ำหน้าจอมือถือลงทันทีตอนที่อ่านจบ
เอาจริงๆบางทีก็เกลียดความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เป็นวินาทีที่หัวใจของผมมันชารวมถึงมือหรือเท้าก็มีอาการเดียวกันไปหมด จะหุบยิ้มกว้างๆของตัวเองก็ไม่ได้ ยิ่งอยู่ต่อหน้าก็ไม่รู้ว่าจะเอาตาไปมองที่ไหนได้แต่ถอนหายใจออกมาซ้ำๆ เป็นอาการของคนที่ใจถูกเล่นงานเข้าอย่างจัง
ผมพลิกหน้าจอมือถือขึ้นมามองอีกครั้ง เป็นช่วงเวลาดีๆที่อยากจะส่งสติกเกอร์น่ารักให้มันสักตัวแต่ว่าอีกฝ่ายก็ส่งข้อความกลับมาก่อน [ เบื่อที่ไม่มีเสียงบ่นเป็นหมีกินผึ้งของมึง ] แล้วนั่นก็คือ อารยะ ..
[ สัด ] เปลี่ยนใจจากทุกอย่างแล้วส่งไปแค่คำนั้น ทุกความรู้สึกจบลงแค่นั้น ผมคว่ำมือถือลงตอนที่คิดถึงหน้าคนส่งที่ตอนนี้คงนั่งยกยิ้มแล้วหัวเราะกันอยู่ “ ชอบกวนตีนกูจริงๆ ไอ้แฟนเหี้ย ”
ผ่อนลมหายใจลงอีกครั้งผมฟุบหน้านอนบนกระเป๋าของตัวเองก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเปิดหน้าจอเฟสบุ๊คเล่นแก้เซ็ง เลื่อนหน้าจอขึ้นไปเรื่อยๆเพื่ออัพเดทเรื่องราวชีวิตของเพื่อนร่วมสังคม ก่อนจะกดเข้าไปที่ปุ่มแจ้งเตือน ที่มีทั้งคนมาไลค์แล้วก็การแจ้งเตือนให้อวยพรวันเกิดให้เพื่อนสมัยมัธยมคนนึง
‘ จะว่าไปก็ใกล้วันเกิดอาฟแล้วนี่หว่า ’ พูดกับตัวเองในใจก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เอาเข้าจริงก็นึกขึ้นได้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว และก็นั่งคิดไม่ตกเลยว่า ของขวัญที่ดีสำหรับคนแบบนั้นควรจะเป็นอะไร ลำพังการ์ดตามคำขอใบเดียวคงไม่พอ ขนาดอาฟยังให้รองเท้าผมมาเป็นของขวัญเลย แล้วตัวผมเองก็อยากจะให้มันเหมือนกันด้วย แต่ติดตรงที่ว่า ไม่รู้เลยว่าจะให้อะไร
“ เมด ” เงยหน้าขึ้นจากกระเป๋าตอนได้ยินเสียงทัก จิงที่เดินผ่านมายิ้มให้ผมที่ก็นิ่งไปก่อนจะส่งยิ้มจางๆแบบที่ไม่อยากจะยิ้มกลับไปให้มันตามมารยาท “ ยังไม่กลับเหรอวะ ”
“ ยัง มึงก็ยังไม่กลับเหรอ ” จิงนิ่งไปตอนที่ผมถามกลับ เหมือนไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ อีกคนพยักหน้ารับแล้วยิ้มกว้าง “ พอดีกูรอสอนคณิตน้องคนนึงที่สยามแต่ขี้เกียจไปนั่งในร้านนานๆเลยคิดว่านั่งทำงานที่มหาลัยดีกว่า ใกล้ถึงเวลาก็ค่อยไป ”
“ อื้ม ”
“ กูไปนะ มึงก็กลับบ้านดีๆละ ” จะไปไหนก็ไปเถอะ ผมตอบอีกคนในใจก่อนจะพยักหน้ารับแล้วมองแผ่นหลังนั้นเดินไปนั่งตรงโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลจากผมเท่าไหร่ แล้วโต๊ะนั่นก็มียีนส์นั่งอยู่ข้างบิน
ผมนิ่งตอนที่เห็นว่ายีนส์มองมาทางผมก่อนจะหันไปยิ้มคุยกับบินด้วยความตั้งใจที่อยากจะให้ผมเห็น เผลอยกยิ้มออกมาตอนที่เห็นท่าทางอวดแบบงี่เง่านั้น และอยากจะถามมันที่กำลังยิ้มอยู่ด้วยคำถามสั้นๆแค่ว่า ‘ มันมีอะไรให้น่าอวดวะ ’
[ หน้ามหาลัย ] ข้อความสั้นๆจากอาฟที่แจ้งเตือนขึ้นบนหน้าจอมือถือของผมอีกครั้ง ยิ้มกว้างออกมาตอนที่เห็นมันก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายบ่า ใจจริงตอนแรกก็คิดว่าจะยืนรออยู่ตรงนี้นิ่งๆแต่พอนึกถึงหน้าของไอ้ยีนส์เมื่อครู่แล้ว มันก็ทำให้นึกคิดสนุกขึ้นมา
ผมเดินเข้าไปตรงแถวโต๊ะที่พวกมันนั่งอยู่ แล้วหยุดยืนอยู่บนฟุตปาธด้านหน้าตรงนั้น ก่อนที่รถซูปเปอร์คาร์สีดำอย่าง GTR จะจอดเทียบลงตรงหน้า เอื้อมมือไปเปิดประตูรถ ผมหันไปยิ้มให้พวกมันก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ ตอนที่ปิดประตูลงผมคิดว่า อะไรแบบนี้มากกว่าที่มันน่าอวด
“ ออกรถสิมึง ” ผมหันไปหาอาฟที่ก็หันมามองผมด้วยสายตายิ้มๆแบบที่รู้ทันว่าเมื่อกี้ผมคิดอะไรอยู่ “ ออกรถเถอะ กูหิวข้าวแล้ว ”
“ ขี้อวด ” อาฟพูดแค่นั้นสั้นๆ ผมก็ได้แต่ยิ้มแล้วพิงตัวเองเข้ากับเบาะที่ก็นั่งดึงสายรัดนิรภัยมารัดก่อนจะมองคนพวกนั้นผ่านจากในรถ
“ ก่อนมึงจะมาไอ้ยีนส์นั่งยิ้มให้กูเหมือนจะอวดว่าบินนั่งข้างมันแล้วก็เป็นของมัน แต่คือมึง กูถามจริงๆ แม่งมีอะไรให้อวดวะ มันน่าภูมิใจตรงไหนกับการไปแย่งของคนอื่นมา แล้วกับคนนิสัยแบบนั้นอีก กูละงง ”
“ มันคงคิดว่ามันชนะมึง ”
“ ชนะด้วยการได้เหี้ยไปอะนะ ” ผมหันไปถามอาฟยิ้มๆ “ คิดก่อนดีมั้ยวะ อย่างไอ้บินมีใครอยากได้บ้าง ”
“ แต่อย่างน้อยครั้งนึงมันก็มีคนเสียใจที่ถูกแย่งไป ” อาฟหันมามองผมก่อนจะยักคิ้วให้ “ หรือมึงว่าไม่จริง ”
“ แต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้ ” เพราะตอนนี้กูมีมึงอยู่แล้ว มันเป็นคำพูดที่อยากจะพูดต่อออกไป ก็กลัวว่าอีกคนจะไม่เข้าใจ แต่คงไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมคิดว่าอาฟเข้าใจดี เพราะตอนนี้มันดึงตัวเองเข้ามาจูบผม เป็นจูบบนริมฝีปากเบาๆแล้วตอนที่ผละออก เราก็สบตากันก่อนที่ผมจะเอ่ยบอก “ หิวข้าวแล้ววะ ”
“ จะหัดกวนตีนเหมือนกูถูกมั้ย..” อาฟบอกก่อนจะหันกลับไปขับรถหลังจากที่จอดนิ่งอยู่นาน “ แล้วจะกินอะไร ”
“ ไปกินอาหารไทยกันมั้ย กูอยากจะกินข้าวผัด กับแกงจืดอร่อยๆ ”
“ เลือกร้านมา ” พูดแค่นั้นสั้นๆ ผมก็หยิบมือถือขึ้นมาดูรีวิวทันทีสำหรับมื้อเที่ยงของเราในวันนี้
ผมยังยืนยันว่าอะไรแบบนี้มันน่าอวดมากกว่า ถึงมันจะมีเรื่องให้ทะเลาะอย่างเมื่อต้นอาทิตย์แต่พอมาคิดดีๆก็เป็นอย่างที่วิวบอก ความรักมันต้องค่อยๆปรับตัวเข้าหากัน เพิ่มบ้าง ลดบ้าง เดี๋ยวมันก็เข้ากันได้พอดี
ช่วงบ่ายสามครึ่งที่ภายในผับกำลังถูกจัดเตรียมร้าน ผมกลับมาจากกินข้าวกับอาฟได้สักพักแล้วและตอนนี้ก็กำลังนั่งอยู่ที่โซนของบาร์ข้างๆเด็กผู้หญิงตัวเล็กในวัยอนุบาลสองที่ก็กำลังระบายสีลงบนการบ้านที่คุณครูให้มาอย่างขะมักเขม้น ‘ น้องคิดดี ’ เป็นหลานสาวของพี่ซองผู้จัดการร้าน เห็นบอกว่าวันนี้คุณแม่น้องติดงานกลับช่วงห้าโมงเย็น เลยวานให้พี่ซองไปรับเธอจากโรงเรียนมาที่นี่ก่อนเพราะน้องเลิกบ่ายสาม
“ คิดดีครับ อาเมดช่วยมั้ย ”
“ ขอบคุณค่ะอาเมด แต่ว่าคุณครูบอกว่าคิดดีต้องทำเองเพราะเป็นการบ้านของคิดดี ” เด็กน้อยตากลมถักเปียสองข้างหันมาบอกผมเสียงเจื้อยแจ้ว เผลอยิ้มออกมากับท่าทางนั้นอดใจไม่ไหวจนต้องก้มไปแอบหยิกแก้มกลมนั่นเบาๆ หมั่นเขี้ยวเอามากเด็กอะไร แก้มแดงน่าหยิก “ อาเมดอยากระบายสีเหรอคะ ”
“ ทำไมคิดดีถึงคิดอย่างงั้นละครับ ”
“ ก็อาเมดบอกว่าจะช่วยคิดดีระบายสี คิดดีเลยคิดว่า อาเมดต้องอยากระบายสีแน่นอนเลย ” น้องหันมาบอกก่อนจะเปิดกระเป๋าที่วางอยู่ข้างๆ แล้วหยิบสมุดขึ้นมา มันเหมือนสมุดวาดรูปที่กระดาษจะดูแข็งหน่อยแต่ฉีกได้เป็นแผ่นๆ “ คิดดีให้อาเมดระบายสีนะ นี่สี อาเมดใช้ได้เลย คิดดีไม่หวง ”
“ ใจดีสุดๆ ขอบคุณนะครับ ” รับกระดาษนั้นมา เอาจริงๆก็ไม่ได้อยากจะวาดหรอก แค่นั่งว่างๆไม่มีอะไรทำเลยอยากจะช่วยน้องสักหน่อยเท่านั้น แต่พอได้กระดาษมาแล้วก็คิดขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ทำการ์ดขอพรอะไรนั่นให้อาฟเลย เพราะงั้นต้องงัดวิชาศิลปะจัดให้แบบสวยๆสักหน่อย
“ สาวสวยคนนั้น ใช่น้องคิดดีของพี่เดย์รึเปล่าน้า ” เสียงของคนมาใหม่ดังมาจากประตูทางเข้าสต๊าฟ เด็กน้อยเจ้าของชื่อหันไปมองก่อนจะยิ้มกว้างออกมาแล้วกระโดดลงจากเก้าอี้ทันทีตอนที่เห็นร่างหนาเดินเข้ามาใกล้ สองขาเล็กวิ่งเข้าไปสู่อ้อมกอดของอีกคนก่อนจะกอดกันไว้แน่น ซึ่งแน่นอน ภาพนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นกับคุณอารยะ เพราะน้องคิดดีกลัวมันจนเอาแต่หลบอยู่หลังพี่ซองตลอดตอนที่เห็นหน้า
ผมแอบขำเวลาเห็นแววตากลมๆนั่นมองลอดผ่านซอกขาคุณอาตัวเองเพื่อดูว่าอาฟกำลังมองตัวเองอยู่มั้ยด้วยท่าทางกลัวๆ แบบชนิดที่ว่าเธอจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้นและจะขอให้พี่ซองอุ้มตลอดถ้าอาฟยังอยู่ตรงนี้ จนผมต้องขอให้คนน่ากลัวขึ้นไปเล่นเกมส์ที่ห้องก่อนในระหว่างนี้ เพราะไม่งั้นพี่ซองคงไม่ได้เริ่มทำงานแน่นอน
“ พี่เดย์ ไปโรงเรียนมาเหรอคะ ”
“ ใช่ครับผม คิดถึงคิดดีจังเลย เราไม่เจอกันมากี่วันแล้วนะ ” คำถามที่ทำให้เด็กน้อยยกมือเล็กๆขึ้นมานับก่อนจะตอบ
“ ตั้งห้าวันเลยค่ะ ”
“ งั้นขอหอมห้าทีเลย ” โดนหอมแก้มซ้ายขวาอยู่นาน ก่อนที่น้องเดย์จะอุ้มคิดดีมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมแล้วก้มลงมองในสมุด “ โอ้โห คิดดีระบายสีสวยจังเลยครับ ”
“ อันนี้เป็นการบ้านค่ะพี่เดย์ คุณครูให้คิดดีระบายสีตรงนี้ ”
“ เก่งจังครับ ” อีกคนบอกก่อนจะเดินเข้าไปในส่วนของบาร์ด้านใน ผมเหลือบมองอีกคนยิ้มๆ น้องเดย์ก็หันมาจ้องผม “ มองอะไรครับพี่เมดสุดที่น่ารักของน้องเดย์ ”
“ ไม่ๆ อาเมดไม่ใช่ของพี่เดย์นะ ” คิดดีที่นั่งอยู่ยกมือปฎิเสธเราสองคน “ อาเมดเป็นของอาอาฟ ”
“ ไปเอามาจากไหนเนี้ย ” หันไปมองน้องพูดออกมาแบบสายตาซื่อๆผิดกับผู้ใหญ่อีกคนที่ชมออกมา
“ ทำดีมากคิดดี ถ้าอาอาฟได้ยินเอาไปเลยสามร้อย ” พูดจบก็ยกนิ้วโป้งให้น้องอีก ส่วนผมที่หันมองเด็กน้อยก็ได้แต่ปิดปากหัวเราะไม่ตอบอะไร
“ คิดดี ไม่พูดแบบนี้นะรู้มั้ย ”
“ ทำไมคะอาเมด มันไม่ใช่เรื่องจริงเหรอ อาเมดไม่ใช่ของอาอาฟเหรอ ”
“ โกหกเด็กไม่ดีน้า ” เสียงน้องเดย์ขัดผมด้วยเสียงล้อเลียนพร้อมกับสายตายิ้มๆ
“ ไม่ใช่แบบนั้นครับ คือมันก็จริงนั่นแหละ ” รู้สึกหูแดงไปหมดตอนที่พูดคำนั้น ถึงขั้นต้องเงียบไปสักพักเพราะว่าเขิน “ แต่ว่านะคำพูดนี้เด็กเค้าไม่พูดกัน น้องคิดดียังเป็นเด็ก พูดไม่ได้นะ ”
“ งั้นคิดดีจะพูดว่าอะไรถ้าจะบออกว่าอาเมดเป็นของอาอาฟ ”
“ เอ่อ..”
“ ก็พูดว่าอาเมดเป็นแฟนอาอาฟสิครับ ” น้องเดย์บอกในตอนที่ผมใบ้กินเพราะไม่รู้จะตอบอะไร หันไปมองหน้าคนตอบที่ก็ยักคิ้วให้แบบไม่ได้รู้ว่าผิดอะไร
“ งั้นอาเมดเป็นแฟนอาอาฟ ” ว่าสรุปแบบนั้นก่อนจะหันไปนั่งระบายสีต่อแบบสบายใจ ปล่อยให้ผมนั่งหูแดงอยู่คนเดียวแบบที่มีเสียงหัวเราะถูกใจของอีกคนเป็นเสียงพื้นหลัง
“ เด็กมันยังรู้เลยคิดดูว่าความรักมันชัดเจนขนาดไหน ” น้องเดย์ว่าก่อนจะยื่นเอาน้ำหวานใส่แก้วมาให้อีกคนที่ก็ยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มเฉ่งให้แบบน่ารัก “ พี่เมดเอาด้วยมั้ยสักแก้ว ”
“ ไม่ครับ ขอบคุณมาก ” ส่ายหน้าปฎิเสธแล้วนั่งมองคนถามยืนมองนั่งน้องคิดดีด้วยสายตายิ้มๆ “ เอาจริงๆ ไม่คิดเลยว่าน้องเดย์จะมีมุมรักเด็กกับเค้าด้วย ”
“ มีสิครับพี่เมด เพราะเด็กคนไหนน่ารักน้องเดย์ก็รักหมด จะม.ปลาย หรือปีหนึ่ง ก็ได้หมดเลยนะ ” ยักคิ้วให้หลังพูดจบก่อนจะยกยิ้มมองกัน “ แต่ถ้าเป็นพี่เมด ไม่เด็กก็รักนะครับ ”
“ หมายถึงเด็กเล็กๆสิว่ะ ”
“ ก็น้องคิดดีน่ารักอะ จริงๆน้องเดย์อยากมีน้องสาว แต่แม่บอกปิดอู่ไปตั้งแต่วันคลอดน้องเดย์แล้ว ” ผมยิ้มออกมาตอนที่อีกคนเอื้อมมือมาหยิกแก้มเด็กผู้หญิงข้างๆ
“ งั้นถ้ามีน้องสาวต้องชื่อ ทูมอโร่อะดิ ”
“ ทำไมวะ ”
“ ก็มีอาฟเตอร์เดย์แล้วก็ต้องมีทูมอโร่สิ ” คนฟังนิ่งไปก่อนจะขมวดคิ้วงงๆ เหมือนกำลังนึกว่า ‘ ได้เหรอวะ ’ สำหรับคำพูดของผมที่น้องได้ยิน
“ แน่ใจนะ ว่าไม่ได้เอามาจากหนังเรื่อง the day after tomorrow วิกฤติวันสิ้นโลกอะไรนั้น ”
“ ไม่รู้ว่ะ ก็อยู่ๆชื่อนี้มันโผล่เข้ามาในสมอง แต่ก็เข้าดีนะ ” คิดสภาพว่าเกิดมาสองคนยังแสบกันทั้งพี่ทั้งน้อง มีสามขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ดับเบิ้ลขึ้นไปอีก แล้วแบบนั้นจะไปต่างอะไรกับสิ่งที่เรียกว่า วิกฤติว่ะ
“ เออ ได้ก็ได้วะ ” พยักหน้ารับงงๆ ผมก็ยิ้มก่อนจะก้มหน้าลงหยิบดินสอมาร่างการ์ดที่จะทำลงบนกระดาษ ตั้งใจว่าจะระบายขอบสวยๆ แล้วค่อยเอาไปตัดให้เป็นอันเล็กๆขนาดเท่านามบัตร จะได้เป็นขนาดเดียวกันกับที่อาฟเคยให้ผม “ แล้วนี่คิดได้ยังว่าจะซื้ออะไรเป็นของขวัญวันเกิดให้ไอ้สัดพี่ ”
“ ต่อหน้าเด็กเล็กนะ ไม่พูดคำหยาบสิครับน้องเดย์ ”
“ แล้วพี่เมดจะซื้ออะไรให้พี่อาฟละครับ ”
“ อยากอัดเสียงไปให้อาฟมันฟังมาก มันต้องดีใจแน่นอน “ หลุดหัวเราะก่อนจะยิ้มแซวอีกคน แต่ถึงอย่างงั้นคนฟังก็ได้แค่ถอนหายใจออกมา
“ เอาจริงๆ บางทีน้องเดย์ก็แอบคิดว่า พี่เมดก็เริ่มจะกวนตีน ”
“ ฮ่าๆ “ ผมหัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะส่ายหน้าไปมาเป็นคำตอบให้คำถามของอีกคน “ ยังไม่รู้เลย แล้วน้องเดย์ซื้ออะไร ”
“ ไม่ซื้ออะ บอกสุขสันต์วันเกิดเฉยๆ เพราะคนให้ของสัดพี่เยอะมากทุกปีอยู่แล้ว น้องเดย์เลยไม่รู้จะซื้ออะไร ส่วนของที่มันอยากได้มันก็มีหมดแล้วอะ ”
“ คนให้ของขวัญอาฟเยอะมากเหรอวะ ” น้องพยักหน้ารับกับคำถามของผม “ ก็เจ้าของผับอะพี่เมด มันก็มีทั้งเพื่อนร่วมธุรกิจ แล้วก็เพื่อนในแวววงเดียวกัน เค้าก็เอาของขวัญมาให้เป็นปกติอยู่แล้ว ไหนจะของพ่อกับแม่อีกละ ”
“ แล้วอาฟไม่มีของที่ชอบเหรอวะ ”
“ พี่เมด ”
“ หื้ม ? ” ยกคิ้วถามคนที่เรียกผม แต่น้องเดย์ก็แค่ยิ้มกว้าง
“ ของที่สัดพี่ชอบ ก็คือพี่เมดไง ”
“ เอามุกนั่นไปกดทิ้งลงชักโครกได้แล้วไป ” ผมบอกปัดแต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้รู้สึกร้อนหน้าจนหูแดงไปหมด
“ แต่ก็เขินเนอะ ”
“ เงียบไปเลย ”
“ งั้นถ้าอาอาฟชอบอาเมด อาเมดก็เอาริบบิ้นมาผูกไว้ที่ตัวสิค่ะ แล้วก็ให้อาอาฟไปเลย อาอาฟต้องดีใจแน่นอน ” เบิกตาให้กับความคิดของเด็กน้อยที่นั่งข้างกันตอนที่ทั้งผมทั้งน้องเดย์ต่างพากันหันไปมองน้อง
ทั้งๆที่มันเป็นความคิดใสซื่อของเด็กที่ก็คงคิดไม่คิดอะไรมาก แต่มันไม่ใช่กับผู้ใหญ่ใจบาปที่ก็แน่นอนว่าทั้งผมทั้งน้องเดย์ไม่คิดแน่ๆว่า การผูกโบว์ที่ตัวจะจบลงที่อะไรน่ารักๆแบบหอมแก้มสักฟอด เพราะขนาดผมเองยังคิดไปถึงเตียงกว้างกับร่างกายเปลืองเปล่า แล้วคนอย่างน้องเดย์จะไม่คิดได้ยัวไง มันคงยิ่งกว่านั้น เพราะดูจากท่าทางตอนนี้ที่หายใจเข้าออกจนจมูกกว้างแต่ก็ยังปรบมือถูกใจ
“ ยอดเยี่ยมครับน้องคิดดี ความคิดสุดยอดไปเลย ฉลาดสุดๆ ฉลาดมากๆ อาอาฟได้ยินนี่ไม่ใช่สามร้อยแล้ว งานนี้ต้องสามพัน ” ยื่นมือมาจับมือน้องที่ก็ยิ้มกว้างกับคำชมนั้น ส่วนผมก็ได้แต่ถอนหายใจในตอนที่เจ้าน้องชายหันมาบอก “ พี่เมด จัดการเลยเอาแบบนี้แหละ เด็ดสุดแล้ว ”
“ ไม่เอาเว้ย ”
“ น่า มันเด็ดนะคือพอคิดถึงตอนแกะของขวัญ.. ” ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันก่อนจะเหลือบตาขึ้นด้านบน ท่าทางเหมือนคนหื่นสมกับที่กำลังคิดถึงเรื่องอย่างว่า
“ เลิกคิดอะไรแบบนั้นเลยน้องเดย์ ” ผมบอกอีกคนที่จ้องหน้ากันเซ็งๆ “ มันไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นหรอก เอาอะไรที่เป็นสิ่งของสิวะ ”
“ สิ่งของเหรอวะ ” น้องเดย์ทำท่านึกอยู่สักพัก “ คิดออกแค่รถอะ พวกของแต่งรถ แบบว่า รถ ล้อแม็ก อะไรพวกนั้น ”
“ แล้วล้อแม็กแพงมากมั้ยวะ ” น้องเดย์ยิ้มตอนที่ผมถาม
“ เอาเป็นว่า ไม่ต้องซื้อหรอกครับพี่เมด จริงๆ แค่บอกว่า สุขสันต์วันเกิดนะอาฟ กอดมันจากด้านหลัง แล้วก็หอมแก้มซ้ายหอมแก้มขวาเท่านี้ก็พอแล้ว เชื่อน้องเดย์ไม่ต้องคิดมากเลย สัดพี่มันไม่อะไรกับของขวัญหรอก เพราะมันเคยบอกว่าถ้าซื้อของให้มัน ให้เงินมันดีกว่า ซึ่งระดับเจ้าของผับอย่างมัน เราจะให้เงินมันไปทำไม เอาไปแค่คำอวยพรนั่นแหละดีแล้ว แต่ถ้าพี่เมดคิดมากก็ให้สัดพี่จิ้มสักทีสองที มันก็โอเคแล้ว เชื่อน้องเดย์เถอะครับ ” พูดจบคนให้ปรึกษาก็เดินไปเช็คเหล้าอีกฝั่งของโซนบาร์ ปล่อยให้ผมนั่งนิ่งอยู่แบบนั้นคนเดียวกับความคิดที่ยังว่างเปล่า
ก็อยากจะให้ของขวัญไง ไอ้คำตอบที่ว่า ไม่ต้องซื้ออะไรให้หรอก ผมไม่ได้อยากจะฟังเท่าไหร่เลย ก็รู้แหละว่าวันเกิดเจ้าของผับดังทั้งทีมันต้องมีคนให้ของขวัญเยอะแยะ แล้วพ่อแม่รวยระดับนั้นเงินที่ให้ก็คงไม่ใช่น้อย แต่เพราะเป็นแฟนไง การที่เดินเข้าไปอวยพรเฉยๆ ไม่ใช่อะไรที่ผมอยากจะทำเลย ก็แค่อยากจะมีของขวัญสักชิ้นที่พออีกคนได้รับ มันจะดีใจมากๆเหมือนกับผมที่เคยดีใจมากๆตอนที่อาฟให้ของขวัญกัน
ถอนหายใจออกมาอีกครั้งกับสมองที่ยังว่างเปล่าซึ่งความคิดดีๆ ผมก้มหน้าลงมองกระดาษที่แต่งแต้มสียังไม่เสร็จ ผมนิ่งมองมันอยู่แบบนั้นเสียนานจนคนข้างๆทัก
“ อาเมดอยากจะซื้อของขวัญวันเกิดให้อาอาฟเหรอคะ ”
“ ใช่ครับ ” ผมหันไปยิ้มให้อีกคนที่มองกันตาแป๋ว “ แต่อาเมดไม่รู้จะซื้ออะไรนะสิ อาเมดอยากซื้อของที่อาอาฟเห็นแล้วจะดีใจ ”
“ แต่พี่เดย์บอกว่า อาอาฟชอบอาเมด ” ถอนหายใจออกมากับคำพูดใสซื่อนั่น อยากจะหยิบมีดแทงไอ้คนพูดจริงๆ กวนกันจนได้เรื่อง
“ แต่ของขวัญมันให้เป็นคนไม่ได้ครับคิดดี เราต้องซื้อมันเป็นสิ่งของ ”
“ อาเมดก็เป็นเด็กดีของอาอาฟสิค่ะ ” น้องบอกผมแบบนั้นก่อนจะหันมายิ้มกว้าง “ ตอนวันเกิดคิดดีนะ คิดดีก็ถามคุณแม่เหมือนกันว่าคุณแม่อยากจะได้อะไร แต่คุณแม่ก็บอกว่าคิดดีแค่ว่า คุณแม่ไม่ได้อยากได้อะไร ขอให้คิดดีเป็นเด็กดีก็พอแล้ว ”
“ แบบนั้นนี่เอง ”
“ ใช่แล้ว อาเมดก็ต้องเป็นเด็กดีของอาอาฟนะ ไม่ดื้อไม่งอแง ”
“ ฮ่าๆ แต่อาเมดไม่ดื้อนะ อาอาฟต่างหากที่ชอบดื้อกับอาเมดประจำ ดื้อมากๆด้วย ”
“ งั้นรอถึงวันเกิดอาเมด อาเมดก็บอกให้อาอาฟเป็นเด็กดีสิค่ะ อาอาฟจะได้ไม่ดื้อกับอาเมด ” ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ครับ ผมอยากจะตอบน้องแบบนั้นแต่ก็ทำได้แค่ยิ้มกว้างแล้วเออออไปตามเรื่องตามราว
“ จริงด้วยนะ ”
ก็พอรู้ว่าอาฟก็คงคิดแบบที่น้องคิดดีบอกผมหรือแม้แต่น้องเดย์บอก ถ้าเกิดถามก็คงบอกว่าไม่อยากจะได้อะไรทั้งนั้น และของขวัญที่ดีที่สุดก็คือการกระทำที่ทำให้กันทุกวัน แต่ถึงอย่างงั้นในใจก็ยังคิดไม่ตกอยู่ดี ไม่ว่ายังไงก็อยากจะให้อะไรสักอย่างกับอาฟ ผมคิดว่ามันต้องมีสักอย่างที่ผมสามารถซื้อได้และอาฟก็ต้องดีใจที่ได้มัน
แต่ตอนนี้ไม่ว่ายังไงก็คิดไม่ออก...
“ จะนั่งจ้องหน้ากูอีกนานมั้ย ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นขัดความเงียบนั้นทำให้ผมที่นั่งจ้องหน้าอาฟอยู่นานอย่างไม่รู้ตัว เบือนสายตาหนีไปทางอื่นก่อนจะหันกลับมามองงานตัวเองแล้วเริ่มกดนู้นกดนี่ไปเรื่อยอย่างไม่รู้จะทำอะไร “ มึงมีอะไร ”
“ เปล่า ไม่มี มีอะไรเลยมึง ”
“ กูไม่ได้อยากจะได้อะไรเป็นพิเศษนะ” อาฟบอกแบบนั้นผมก็เงยหน้ามองหน้ามันที่ก็จ้องหน้าผมอยู่ “ ถ้ามึงกำลังคิดไม่ตกเรื่องของขวัญวันเกิดกู ก็ไม่ต้องคิด เพราะกูไม่ได้อยากได้อะไร ”
“ ใครบอกกูคิด กูไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นสักหน่อย” ทำทีเป็นเหล่มองมันด้วยสายตาที่เหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังหลงตัวเองแบบสุดๆ แต่อาฟก็แค่ยกยิ้มตอนที่เห็น มันลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะของผมแล้วหยิบเอากระดาษการ์ดของผมที่ระบายสีไว้เสร็จแล้วขึ้นมา
“ เอาแค่อันนี้ก็พอ ” อีกคนบอกก่อนจะยื่นมันกลับมาให้ผมที่ก็เอื้อมมือไปรับมันไว้
“ มึงกูถามอะไรหน่อย ”
“ ว่า ”
“ มีของอะไรบ้างวะที่มึงอยากได้เป็นของขวัญวันเกิด ” อาฟมองผมตอนที่ถามออกไปแบบนั้น สายตาล้อเลียนของมันเหมือนจะบอกกันว่า ที่มันเดาไว้ตั้งแต่ต้นก็ไม่ผิดจากที่พูดเท่าไหร่ ผมกำลังคิดเรื่องนั้นอยู่จริงๆ “ กูก็แค่ถามดู ไหนๆก็คุยกันเรื่องนี้แล้วไง ทีมึงตอนนั้นยังถามกูตรงๆเลยว่าอยากจะได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด”
“ อยากได้ลัมโบกินี อเวทาดอร์ เอส 2018 น่ะ ที่คันนึงสิบกว่าล้าน ” หันมามองหน้าผมยิ้มๆก่อนจะยักคิ้วให้
“ ไปขอพ่อมึงนะอาฟ ”
“ ฮ่าๆ ” คนฟังหลุดหัวเราะผมก็ได้แต่ถอนหายใจ
“ เอาอะไรที่มันถูกกว่านั้นสิ มึงจะให้ที่แค่หนี้แสนเดียวยังไม่มีเงินจ่าย ซื้อรถเป็นสิบล้านให้มึง มึงจะบ้าเหรอ นอนแล้วฝันเอามั้ย ”
“ งั้นของบแต่งรถแล้วกัน ”
“ เท่าไหร่ๆ ”
“ ห้าแสน ” ถอนหายใจออกมาตอนที่ได้ฟัง
“ ถ้าสักสามพัยยังจะพอโอเค ”
“ ค่าพวงมาลัยดอกมะลิไม้หน้ารถเหรอ สามพัน ” ถอนหายใจออกมาผมหยิบปากกาสีดำในที่ใส่บนโต๊ะมาเขียนลงบนการ์ดตามใจหนึ่งวันของตัวเองที่ทำไว้ ผมเขียนเหมือนกับที่อาฟเคยให้ผม แต่ก็แอบเขียนเพิ่มเติมไป ‘ บัตรขอพร ขอได้หนึ่งข้อ มีอายุการใช้งานหนึ่งวันในวันเกิด **พรที่ขอต้องได้รับการยินยอมจากผู้ถูกขอเท่านั้น ’
“ งั้นมึงก็เอาไปแค่นี้พอ ” ยื่นการ์ดให้มัน อาฟก้มลงดูมันยิ้มๆ
“ ไม่แน่จริงนี่หว่า ”
“ อะไรไม่แน่จริง ” การ์ดที่ยื่นให้ถูกยกขึ้นมาอ่าน
“ พรที่ขอต้องได้รับการยินยอมจากผู้ถูกขอเท่านั้น ทำไม ? กลัวโดนให้ใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่บ้านทั้งวันเหรอ ” คนถามมองกันยิ้มๆเหมือนจะแซว ผมก็ได้แต่นิ่งก่อนจะตอบออกไปเสียงดังฟังชัด
“ เออ! ” อาฟหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังตอนที่ผมพูดแบบนั้นและยิ่งหัวเราะดังขึ้นไปอีกตอนที่เห็นหน้าผมงอใส่ “ก็มึงมันไว้ใจไม่ได้ คิดจะทำอะไรกับกูก็ไม่รู้ กูก็ต้องเซฟตัวเองสิว่ะ ”
“ คิดว่าผมจะทำอะไรคุณเหรอครับ คุณมินเมด ” ใบหน้าคมดึงเข้ามาใกล้พร้อมกับการยกยิ้มแบบที่ชอบแกล้งกัน สบสายตาคนที่จ้องมองมา ทำทีเป็นไม่รู้สึกอะไรที่โดนขู่แบบนั้น “ ไม่เคยรู้สึกอยากจะให้วันเกิดปีไหนมาถึงเร็วเท่าปีนี้เลย ”
“ ถามจริง มึงคิดจะทำอะไรกู ” คำถามที่ทำให้อาฟยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะกระซิบข้างหู
“ ความลับ ”
“ มีแผนชั่วแน่ๆ ไอ้สัด ” ผมบอกตอนที่อีกคนดึงตัวเองกลับมาเผชิญหน้ากัน
“ กูดูเลวขนาดนั้นเชียว ”
“ มันยิ่งกว่านั้น ” อาฟพยักหน้ารับตอนที่ผมบอกก่อนทำทีเป็นคิดอะไรอยู่สักพักแล้วเอียงหน้าถามแบบนิ่งๆ
“ ว่าแต่มึงชอบแบบขรุขระมั้ย อันใหญ่ หรือ อันเล็ก แล้วความลั่นระดับที่ชอบคือระดับไหนวะ ” นิ่งมองมันไม่ได้ตอบอะไร แต่สีหน้าผมคงอยู่ในระดับที่คนแกล้งคงพอใจไม่น้อย อาฟเลยหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างงั้น
“ กวนตีนนะมึง ” ผมบอกก่อนจะถอนหายใจออกมา “ แล้ววันเกิดมึงปีนี้คิดว่าจะทำอะไรบ้าง ”
“ มึงคิดสิ ”
“ วันเกิดมึงแล้วเกี่ยวอะไรกับกู มึงอยากจะทำอะไรมึงก็คิด ” ขมวดคิ้วบอกมันก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ มึงจะไปทำบุญ ปล่อยปลา ปล่อยนก ให้อาหารปลา หรือว่าจะไปไหว้แม่ กินข้าวกับครอบครัว อะไรก็ว่าไป ”
“ มีมึงอยู่ในอันไหนก็เอาอันนั้น ” อาฟบอก “ แต่ไม่เห็นต้องทำอะไรให้มันพิเศษมาก กูโอเคกับทุกวันที่เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ” ผมได้แต่นิ่งเขินตอนที่อีกคนพูดประโยคที่เหมือนจะธรรมดานั้น มันเหมือนกับอาฟจะบอกว่าทุกวันนี้ที่เรามีกันอยู่มันก็พิเศษมากพออยู่แล้ว และมันไม่ได้ต้องการอะไรมากมายกว่านั้น
“ แล้วของขวัญอะไรที่มึงดีใจที่สุดตั้งแต่เคยได้มาในชีวิต ” คำถามทำลายความเงียบของผม อาฟที่คิดอยู่นานก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ ไม่มี ”
“ ไม่มีเลยเหรอวะ ”
“ ตั้งแต่เข้าม.ต้น พ่อกับแม่ให้ของขวัญกูเป็นเงินตลอด อยากจะได้อะไรก็เอาเงินไปซื้อ ส่วนตอนเด็กๆกูจำไม่ได้ แต่ก็คงเป็นอะไรที่สมัยนั้นฮิตๆมั้ง ”
“ ก็บ้านมึงรวยอะนะ อยากได้อะไรพ่อแม่ก็คงซื้อให้อยู่แล้ว ก็ไม่แปลกที่มึงจะไม่มีอะไรที่อยากจะได้เป็นพิเศษเลย ”
“ มันก็มีของที่กูอยากจะได้ ” อาฟบอกผมก็เงยขึ้นมองหน้ามัน “ แต่แค่มันใช้เงินซื้อไม่ได้ ต้องรอเท่านั้น ” ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าแต่ผมรู้สึกถึงความรู้สึกบางอย่างที่ออกมาจากสายตานั้นที่มองกัน แต่อาฟก็แค่ยิ้มก่อนจะลุกเดินออกไปจากห้อง “ กูจะลงไปคุยงานกับไอ้เจข้างล่างหน่อย มึงก็ทำงานให้เสร็จ อย่ามัวแต่คิดไร้สาระ ”
“ ไม่ใช่เรื่องไร้สาระสักหน่อย ” บ่นเบาๆตอนที่อีกคนเดินออกไปผมก็ผ่อนตัวเองพิงกับเก้าอี้ที่นั่ง “ นี่เป็นวันเกิดของมึงเลยนะ มันจะไม่สำคัญสำหรับกูได้ยังไงว่ะ ”