Episode 21 ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย… ภูรำพึงกับตัวเองในใจซ้ำไปซ้ำมาขณะที่ริมฝีปากถูกจูบประกบพันธนาการเอาไว้จนไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้ ลิ้นของจอสที่ชอนไชอยู่ในปากพยายามปลุกเร้าให้เด็กหนุ่มตอบสนองแต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อภูเอาแต่แน่นิ่งไม่ไหวติงเหมือนเป็นอัมพาต หลังจากพยายามอยู่ครู่ใหญ่จนกรามเริ่มเมื่อยปวดและรู้สึกว่าลิ้นกำลังจะเป็นตะคริวเขาก็หมดความอดทนและถอนปากออกมา
“เหมือนจูบกับศพเลยอ่ะ…” จอสให้คำนิยามจูบเมื่อครู่
“ขอบคุณที่ชม” ภูใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำลายของจอสที่ชุ่มอยู่บนริมฝีปากของตนออก
“ถ้ามันทำใจยากนัก นายก็หลับตาแล้วคิดว่าเราเป็นเค้าไม่ได้หรือไง?” จอสเสนอหนทางแก้ปัญหา
“ไม่ได้อ่ะ ยังไงก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นนาย” ภูบอกตามตรง
“พวกไร้จินตนาการ” จอสว่าก่อนจะถอดเสื้อที่สวมอยู่ออกแล้วโยนทิ้งไปหลังโซฟา “ถอดเสื้อสิ…”
ภูอิดออดอยู่ได้เพียงไม่นานก็จำต้องทำตามที่อีกฝ่ายสั่งเพราะรู้ดีว่าไม่อยู่ในสถานะที่สามารถขัดขืนได้ แต่ด้วยความอายแม้จะถอดออกแล้วเด็กหนุ่มก็ยังพยายามใช้เสื้อมาปิดบังเนื้อหนังของตนไว้จนจอสทนรำคาญไม่ไหวแย่งเสื้อไปจากมือและโยนทิ้งให้ไปกองอยู่กับเสื้อของตนที่หลังโซฟา แม้จะไม่มีเสื้อแล้วแต่ภูก็ยังไม่ละความพยายามที่จะปกปิดร่างกาย เขายกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดอกตัวเองเอาไว้แต่จอสก็จัดการจับมันแยกออกในทันที เมื่อแขนทั้งสองข้างถูกตรึงกดเอาไว้เด็กหนุ่มก็หมดหนทางจะป้องกันตัว ทำได้แต่เพียงนอนนิ่งยอมรับชะตากรรม จอสค่อยๆ ก้มหน้าลงมาอีกครั้งและซุกไซร้เข้าไปยังซอกคอของภูก่อนจะลากปลายลิ้นไล้ลงมาตามลำคอ สัมผัสนั้นทำเอาร่างกายของภูถึงกับสั่นสะท้านเฮือกใหญ่ แม้จะไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยแต่ก็ไม่สามารถห้ามปฏิกิริยาตอบสนองอันเป็นไปโดยธรรมชาติได้
อย่าหวั่นไหว อย่าเคลิ้ม อย่าคล้อยตามเด็ดขาด ภูบอกกับตัวเองขณะสูดหายใจเข้าลึกๆ เตรียมใจให้พร้อมรับมือการปลุกเร้าระลอกต่อไปของจอส แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ต่อจากนั้น จอสเพียงแค่หยุดนิ่งและแช่ใบหน้าคาเอาไว้ที่ข้างซอกคอ ก่อนที่ภูจะสังเกตเห็นว่าร่างกายของอีกฝ่ายกำลังสั่นเทา จากเริ่มแรกเพียงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มสั่นแรงขึ้นจนตัวโยนและลงเอยด้วยการเด้งผลุดลุกขึ้นระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
“อะไร… อะไรกันเนี่ย?” ภูงงเป็นไก่ตาแตก แม้จะเพิ่งได้รู้ข้อมูลมาว่าอีกฝ่ายมีปัญหาทางด้านอารมณ์สองขั้ว แต่สิ่งที่พบเจอตอนนี้มันก็ออกจะพลิกผันแบบสุดขั้วเกินไป
“โทษที ตอนแรกเรานึกว่าเราจะทำได้” จอสพยายามกลั้นหัวเราะเพื่อให้เสียงพูดออกมาฟังรู้เรื่อง “แต่พอเอาจริงๆ ทำไม่ได้ว่ะ ไม่ไหวจริงๆ นายทำหน้าโคตรตลกเลย”
ภูฉุนกึก จริงอยู่ที่ในความเป็นจริงเรื่องนี้ควรจะทำให้เขาโล่งใจถ้ามองในแง่ที่ว่าตนไม่ได้ต้องการจะโดนอีกฝ่ายกระทำชำเรา แต่การที่ต้องลงเอยด้วยการกลับกลายจากเหยื่อเป็นตัวตลกในสถานการณ์ที่สร้างความเครียดให้กับตนอย่างมหาศาลเช่นนี้ก็ทำให้ต่อมความอดทนของภูระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เข้าทำนองฆ่าได้หยามไม่ได้ เด็กหนุ่มไม่สนอีกต่อไปว่าอีกฝ่ายจะมีอาการทางจิตประเภทไหน เขาบันดาลโทสะยกขาขึ้นยันโครมสุดแรงเข้ากลางยอดอกของจอสจนหงายหลังตกโซฟาลงไปนอนอยู่กับพื้นเบื้องล่าง
“ถีบทำไมเนี่ย? !” จอสผลุดลุกขึ้นมาโวยลั่น
“ไอ้โรคจิต!” ภูว๊ากกลับไป ก่อนจะหยิบเสื้อขึ้นมาสวม
“โกรธทำไมอ่ะ? ไม่อยากให้ทำก็ไม่ทำแล้วไง ไม่ดีเหรอ?” จอสไม่เข้าใจสาเหตุความโกรธของภู
“ไม่ทำมันก็ดี! แต่…” ภูไม่รู้จะอธิบายความอับอายของตนยังไงดี “นายจะมาทำตลกกับความรู้สึกของคนอื่นแบบนี้ไม่ได้นะ”
“เราไม่ได้ตลกความรู้สึกนาย เราตลกหน้านาย หน้าเหมือนกำลังจะโดนฆ่าเลย” จอสหัวเราะออกมาอีกชุดใหญ่ก่อนจะหยุดเมื่อโดนภูหยิบหมอนใบเล็กบนโซฟาเขวี้ยงใส่เข้าเต็มหน้า “เฮ้ย! หยุด!”
“ไม่หยุดโว้ย!!” ภูหยิบหมอนขว้างออกไปอีกใบ แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายตั้งรับรอเอาไว้แล้วจึงป้องกันได้ทัน “นายไม่รู้หรอกว่าเรากลัวแค่ไหน เครียดแค่ไหนกับสิ่งที่นายกำลังบังคับให้เรายอมให้นายทำ แล้วสุดท้ายนายกลับมาทำยังกับว่านี่เป็นแค่เรื่องเล่นสนุกแล้วก็หัวเราะเยาะเหมือนเราเป็นตัวตลกในเกมงี่เง่าปัญญาอ่อนของนายเนี่ยนะ!”
“ก็หน้ามันตลกจริงๆ นี่” จอสตั้งท่าจะขำอีกแต่ก็รีบกลั้นเอาไว้เมื่อเห็นภูคว้าแก้วเหล้าไว้ในมือ เขาพยายามทำเสียงให้จริงจังขึ้นขณะเริ่มพูดต่อ “แล้วอีกอย่าง ต่อให้นายไม่ได้ทำให้เราขำ เราก็รู้ตัวตั้งนานแล้วล่ะว่าเราทำไม่ได้แน่นอน”
“ทำไม?” ภูถามขณะพยายามสงบสติอารมณ์ลง ในใจก็คาดหวังซึ่งคำตอบที่อาจจะฟื้นฟูความรู้สึกดีๆ ให้กับตนได้
“ก็แค่ทำไม่ได้…” จอสยักไหล่แล้วถอนหายใจออกมาคล้ายจะบอกว่าตนก็จนปัญญาจะตอบคำถามนั้น ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแต่จู่ๆ ก็เกิดปรากฎแววแห่งความเศร้าฉายวาบขึ้นมาจนน่าใจหาย “แค่รู้ว่านายไม่เต็มใจ เราก็ทำไม่ได้แล้ว”
จอสหยิบโทรศัพท์มือถือของตนที่หล่นไปอยู่ในซอกโซฟาขึ้นมาและกดบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งมาให้ภู เด็กหนุ่มรับมาดูและพบว่าบนหน้าจอมีคลิปวีดีโอจากกล้องวงจรปิดในคืนวันนั้นปรากฎอยู่พร้อมกับคำถามจากระบบที่รอคำตอบจากผู้ใช้ว่าต้องการลบไฟล์นี้ออกไปจากเครื่องหรือไม่ ภูเงยขึ้นมามองหน้าของอีกฝ่ายด้วยไม่มั่นใจว่าหากทำตามต้องการจะเกิดอะไรขึ้นตามมา ก่อนที่จะตัดสินใจกดตกลงเมื่อเห็นจอสพยักหน้ายินยอม มันถูกลบหายไปในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที ภูถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อสิ่งที่ทำให้ตนเป็นกังวลมานานหลายเดือนได้ถูกทำลายทิ้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะไม่เหลือสิ่งที่ยังค้างคารอให้สะสางทำความเข้าใจอยู่
“ถ้านายคิดจะลบมันทิ้งอยู่แล้ว นายจะบังคับให้เรามาทำไม?” ภูถามขณะส่งโทรศัพท์คืนให้กับเจ้าของ
“ก็แค่อยากมีคนอยู่ด้วยสักคืน เบื่อจะอยู่คนเดียวแล้ว” จอสรับมันมาและโยนลงไปไว้ที่โซฟาเหมือนเดิม “แล้วอีกอย่างก็รู้ๆ กันดีว่าถ้าขอให้นายมา นายไม่มีทางยอมมาอยู่แล้ว ก็ต้องทำแบบนี้แหละ”
“ก็จริง…” ภูยอมรับ
“ที่ผ่านมาก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่ากำลังทำตัวไม่ดี แต่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้เราก็ยังไม่พร้อมจะปล่อยนายไป ถึงจะเสียใจที่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ นายก็ยิ่งเกลียดเรามากขึ้น แต่เราก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่าให้เค้าเกลียดอยู่ข้างๆ ก็ยังดีกว่าต้องกลับมาตัวคนเดียว” น้ำเสียงของจอสเหมือนกำลังสมเพชตัวเอง “จนกระทั่งเกิดเรื่องวันฝนตกนั่น เราก็รู้ตัวว่าเราทำแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะนายจะไม่ใช่แค่เกลียดเรา แต่เราจะเป็นอันตรายกับตัวนายด้วย”
“เพราะนายป่วยใช่ไหม?” ภูตัดสินใจถามออกไปตรงๆ
โกรธ โมโห โวยวาย ทำลายข้าวของ หรืออาการเกรี้ยวกราดชนิดใดก็ตามที่ภูเตรียมใจเอาไว้ว่าจะต้องพบเจอหลังเอ่ยปากถามคำถามซึ่งเป็นเหมือนมีดสะกิดแผลของอีกฝ่ายออกไปเช่นนั้น ทว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้น มีแต่เพียงความเงียบงันอันน่าอึดอัดเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในสูญญากาศ จอสยืนนิ่งอึ้งเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ถึงความผิดที่ปกปิดซ่อนเอาไว้ แววตาเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดหวั่น ไม่ใช่ในสิ่งที่ตนกระทำลงไป แต่เป็นความหวาดหวั่นที่มีต่อสายตาของผู้ที่มองมายังตนเพราะไม่อาจรู้ว่าเขาจะเข้าใจและรับได้หรือไม่
“นายรู้ได้ยังไง?” จอสถามออกมาด้วยเสียงอันเรียบต่ำ
“เรา… เราเห็นขวดยาของนายในห้องน้ำ” ภูพูดตะกุกตะกัก การที่จอสตอบสนองกลับมาด้วยความเงียบและนิ่งเช่นนี้ยิ่งข่มขวัญเขาได้มากกว่าโวยวายหลายเท่า “ถ้านายไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เราไม่พูดก็ได้ ขอโทษนะที่ถามเรื่องส่วนตัว”
“สอดรู้สอดเห็นนักนะ…” จอสเดินย่างสามขุมตรงเข้ามาหาภู
“ขอโทษ…” ภูถอยหนีแต่ก็ไปได้ไม่ไกลเพราะสะดุดขาตัวเองจนหงายหลังล้มลงก้นกระแทกพื้น
เด็กหนุ่มแหงนหน้ามองอย่างหวาดผวาไปยังจอสที่กำลังเดินกำหมัดแน่นตรงเข้ามาหา ในหัวพยายามนึกหาคำพูดที่จะช่วยให้อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะเลิกล้มกระบวนการนั้นเปลี่ยนมาเป็นเตรียมใจรับความเจ็บปวดแทนเมื่อเห็นจอสย่อตัวลงมาและเงื้อกำปั้นขึ้น ภูหลับตาปี๋เตรียมใจรับแรงกระแทกจากกำปั้นที่อาจจะซัดลงตรงไหนสักแห่งบนร่างกายของตน เสียงตึ๊บหนักๆ ดังขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่วินาที ภูสะดุ้งด้วยความตกใจแต่ไม่นานนักก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจแทนเมื่อลืมตาขึ้นมาและพบว่าเหยื่อกำปั้นนั้นกลับเป็นหมอนที่หล่นอยู่เบื้องล่างไม่ใช่ตน
“กลัวจริงๆ ด้วยสินะ” จอสหัวเราะหึออกมาเบาๆ ก่อนจะนั่งลงบนพื้นเหมือนกับภู “ก็ไม่แปลกใจหรอก ใครรู้เค้าก็กลัวกันหมด”
“ขอโทษ.. ก็นายน่ากลัว” ภูรู้ดีว่าการแสดงออกของตนทำให้จอสรู้สึกแย่
“ไม่ต้องกลัวหรอก ยากับการบำบัดมันก็ช่วยได้เยอะ ตอนนี้เราควบคุมตัวเองได้สบายมาก” จอสฉีกยิ้มพยายามแสดงสัญญาณเป็นมิตรให้อีกฝ่ายเลิกกลัว “ต้องเจอเรื่องแบบสุดติ่งกระดิ่งแมวจริงๆ แบบวันนั้นน่ะถึงจะหลุด… ดีแล้วล่ะที่นายหนีไปได้ ไม่งั้นเจ็บหนักแน่ๆ”
“นายเป็นมานานแค่ไหนแล้ว?” ภูถาม
“ไม่รู้สิ ตั้งแต่เรียนจบมัธยมมั้ง เราเข้าเรียนมหาลัยแล้วก็เบื่อเลยดรอปออกมา อยู่บ้านกินเที่ยวไปวันๆ นอนหลับไปแล้วก็ตื่นขึ้นมา ใช้ชีวิตเหมือนไม่มีจุดหมาย แล้วจู่ๆ วันนึงก็รู้สึกขึ้นมาว่าโลกไม่น่าอยู่อีกต่อไปแล้ว…” จอสตอบพร้อมกับชูแขนข้างที่มีรอยสักให้ภูดูสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้สีและลวดลายของน้ำหมึกนั้น มันคือรอยแผลเป็นจากการถูกสิ่งมีคมบาดนับสิบแผล “โชคดีที่แม่บ้านลืมของเลยย้อนกลับเข้ามา ไม่อย่างนั้นเราก็กลายเป็นผีสิงคอนโดไปแล้ว”
ภูใจหายวาบ เพียงมองดูพวกมันด้วยตาก็แทบจะรู้สึกเจ็บตามไปด้วย รอยแผลเหล่านั้นนูนสูงต่ำไม่เท่ากันตามความร้ายแรงของมันเมื่อครั้งที่ถูกทำให้เกิดขึ้น พวกมันดูเด่นชัดเสียจนภูนึกสงสัยว่าทำไมตนจึงไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปก่อนจะหยุดและมองไปยังจอสเพื่อขออนุญาต จนเมื่อเจ้าตัวพยักหน้ายินยอมเขาจึงค่อยจรดปลายนิ้วลงแตะมันอย่างแผ่วเบาและระมัดระวังราวกับกลัวว่าความเจ็บปวดอาจจะยังคงอยู่ ปลายนิ้วไล้ลากผ่านแผลเป็นที่ใหญ่ที่สุดและสัมผัสบริเวณกลางแผลที่แข็งเป็นไตขึ้นมา
“นั่นคือแผลที่สาหัสที่สุด” จอสบอกกับภูเมื่อเห็นท่าทีสนใจเป็นพิเศษนั้น “เราใช้ปลายมีดแทงลงไปแล้วคว้านจนโดนเส้นเลือดใหญ่ หมอยังบอกเลยว่าไม่เคยเจอใครที่มุ่งมั่นกับการทำแบบนี้เท่าเรามาก่อน”
“นี่ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจเลยนะ” ภูไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนที่ทำแบบนี้กับตนเองได้ “ทำลงไปทำไม?”
“เราก็อยากจะรู้เหตุผลของตัวเองในตอนนั้นเหมือนกัน” จอสส่ายหน้า “เรารักษาตัวจนออกจากโรงพยาบาลแล้วก็เข้ารับการบำบัด หมอช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เรื่องสภาพแวดล้อมที่เราต้องอยู่คนเดียว แต่ก็แนะนำให้รับยาควบคู่ไปกับการเพ่งความสนใจไปที่กิจกรรมอะไรสักอย่างแทน ผลก็เลยได้กล้ามงามๆ พวกนี้มาไงล่ะ”
แม้อีกฝ่ายจะพยายามพูดให้เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือหนักหนาสาหัสอะไร แต่ภูก็มองออกถึงความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของทุกคำที่ออกมา แสงอันมืดสลัวของห้องในยามนี้ทำให้จอสยิ่งดูเปราะบางและบอบช้ำ แผลเป็นเหล่านั้นเป็นดั่งร่องรอยจารึกแห่งการเดินทางผ่านวันเวลามาอย่างโดดเดี่ยว เด็กหนุ่มพยายามนึกจินตนาการถึงชิวิตของอีกฝ่ายในรูปแบบที่ต่างออกไป หากจอสได้มีครอบครัวที่อยู่พร้อมหน้าเหมือนปกติ
รอยแผลนี้คงไม่มี… หากมีใครสักคนคอยรับฟังสิ่งที่เขาอยากพูด
รอยแผลนี้คงไม่เกิดขึ้น… ภูคิดขณะลากนิ้วผ่านแผลอื่นๆ บนท้องแขนนั้น และมาจบที่แผลใหญ่ที่สุดอันเป็นจุดเริ่มต้น
ถ้าเพียงแต่เขาจะมีเพื่อนสักคนที่ช่วยหยุดเขาจากความคิดชั่ววูบพวกนั้น… “เฮ้…” ภูเรียกจอส
“อ่ะฮะ?” จอสเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกฝ่าย คล้ายจะถามว่ามีอะไร
“เลิกคุยเรื่องพวกนี้กันดีกว่า วันนี้ไหนๆ ก็มาแล้ว นายอยากทำอะไรบ้าง?” ภูตัดสินใจจะใช้เวลาที่เหลือของคืนนี้สร้างเรื่องราวดีๆ ไว้ในความทรงจำของจอสเพื่อให้อีกฝ่ายได้ใช้ระลึกถึงในวันที่ความมืดมิดเหล่านั้นกลับมาอีกครั้ง “นายรักษาสัญญาที่ให้กับเรา เราก็ไม่เบี้ยวนายหรอก วันนี้จะอยู่ด้วยจนกว่าจะเช้า”
“อยากทำอะไรเหรอ…” จอสทำท่านึกก่อนจะส่งรอยยิ้มชั่วร้ายอันเป็นเอกลักษณ์มา “ต่อจากเมื่อกี้ดีไหมล่ะ?”
“ไม่เลิกใช่ไหม?” ภูยิ้มเหี้ยมเกรียมเป็นสัญญาณเตือนให้อีกฝ่ายหยุดหื่น “ถ้ายังคิดเรื่องนั้นอยู่เราก็กลับเลยแล้วกัน”
“ล้อเล่น…” จอสจ๋อยลงไปทันตา “ขอนอนกอดเฉยๆ ก็พอ สัญญาจะไม่ทำเกินกว่านั้นถ้านายไม่อนุญาต”
“ก็ได้” ภูยอมตกลง “แต่ก่อนอื่นเลย ไปใส่เสื้อก่อน”
“ทำไมล่ะ?” จอสทำหน้างงก่อนจะชี้ไปที่ซิกแพคของตน “ไม่ชอบเหรอ เซ็กซี่จะตาย”
“เก็บไว้ดูคนเดียวเถอะ” ภูลุกขึ้นมาหยิบเสื้อและโยนส่งให้
จอสไม่ยอมเสียเวลาอันมีค่าไปอีกแม้แต่วินาทีเดียว เขาสวมเสื้อกลับคืนก่อนจะจูงมือภูพาเดินเข้าไปยังห้องนอนของตน เมื่อบานประตูเปิดออกภูก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้างกับจำนวนอันมากมายของฟิกเกอร์และโมเดลของเล่นต่างๆ ที่วางเรียงรายอยู่เต็มตู้กระจกใหญ่ตลอดจนทั่วทุกอาณาบริเวณของห้อง ซึ่งเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเมื่อเห็นท่าทีสนอกสนใจที่แขกผู้มาเยือนมีต่อคอลเลคชั่นของสะสมของตนก็รีบพาเดินดูจนทั่วพร้อมกับบรรยายประวัติของแต่ละชิ้นโดยละเอียดอย่างภาคภูมิใจ
“น่าเปิดพิพิธภัณฑ์เนอะ” ภูพูดแซวหลังจากการทัวร์อันยาวนานได้จบลง
“ไม่อ่ะ ของส่วนตัว ไม่ชอบเอาไปอวดใคร” จอสบอกขณะนั่งลงบนขอบเตียงตามภู
“ขนาดไม่ชอบอวดนะเนี่ย…” ภูนึกถึงการกระทำที่ขัดแย้งกับคำพูดอย่างชัดเจนของอีกฝ่าย
“ก็ยกเว้นถ้าคนนั้นพิเศษกับเราจริงๆ เราก็อยากแชร์ทุกอย่างในชีวิตเราให้เค้ามีส่วนร่วมนะ” จอสยังไม่วาย
“พอเลย…” ภูส่ายหน้าเพลียจิต อยากให้จอสเข้าใจเสียทีว่าการเป็นคนที่ต้องคอยปฏิเสธก็ทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ไม่แพ้คนโดนปฏิเสธ “ทำแบบนี้ต่อไปไม่ดีหรอกนะ”
“แค่คืนนี้ก็พอแล้วล่ะ” จอสขอซื้อเวลาเป็นครั้งสุดท้าย “แล้วตั้งแต่พรุ่งนี้ เราจะไม่กวนใจนายอีกแล้ว”
ภูไม่ปฏิเสธคำขอร้องนั้น ด้วยใจก็อยากจะชดเชยให้จอสในสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิต แม้จะรู้ดีว่าด้วยเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงถัดจากนี้คงไม่อาจเติมเต็มจิตใจอันแหลกสลายเพราะถูกสนิมแห่งความโดดเดี่ยวอ้างว้างเกาะกินมานานนับปีของอีกฝ่ายได้ แต่อย่างน้อยภูก็ยังอยากจะฝากร่องรอยบางอย่างเอาไว้ เป็นร่องรอยที่เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป เมื่อความมืดอันน่ากลัวได้กลับมาทำให้จิตใจของชายผู้โดดเดี่ยวเกิดความรู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่อีกครั้ง เขาจะเดินย่ำย้อนกลับมายังต้นทางแห่งร่องรอยทั้งหมดและระลึกได้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีใครบางคนอยู่กับเขาตรงนี้ มันอาจจะนานและลางเลือนจนเหมือนภาพฝัน แต่สิ่งเหล่านั้นก็เคยเกิดขึ้นจริง และหากโลกไม่ชิงแตกไปเสียก่อนมันก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ถ้าเคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว สักวันมันจะต้องเกิดขึ้นอีกครั้ง ขอเพียงเขาใช้ชีวิตที่มีให้ดีที่สุดเพื่ออดทนรอเวลาอันล้ำค่านั้น
เป็นค่ำคืนที่มีเรื่องให้คิดมากมายเหลือเกิน มากจนเกินไป อ้อมแขนของจอสโอบกอดร่างของภูเอาไว้เหมือนเป็นหมอนข้างขณะที่เจ้าตัวเริ่มส่งเสียงกรนออกมาเบาๆ ทว่าภูกลับยังไม่อาจทำใจให้หลับลงได้ ด้วยจิตใจยังคงพะวงเป็นห่วงกรรณที่กำลังเผชิญช่วงเวลาอันยากลำบากอยู่ตามลำพังโดยที่ตนไม่อาจจะไปอยู่เคียงข้างได้ ภูรู้สึกเหมือนทุกอย่างผิดที่ผิดทางไปจากที่ควรจะเป็นทั้งหมด ชีวิตคงจะเป็นเรื่องง่ายกว่านี้มากหากเขายังคงเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลมากไปกว่าการเรียนอันเป็นหน้าที่หลัก และสามารถใช้เวลาของชีวิตไปกับครอบครัว เพื่อนฝูง คนรักหรือสิ่งใดๆ ที่ตนต้องการจะทำอย่างแท้จริงได้โดยไม่ต้องมาคอยคำนึงถึงปัจจัยจุกจิกมากมายอันเป็นดั่งกรงที่โอบล้อมเอาไว้และคอยบีบคั้นชีวิตจนน่าอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ ในทุกลมหายใจเข้าออกเช่นนี้
เวลาล่วงมาจนถึงตีห้าแล้ว แสงแห่งรุ่งอรุณของวันใหม่กำลังจะปรากฏฉายจับขอบฟ้าในอีกไม่ช้า ภูค่อยๆ ยกแขนของจอสที่พาดทับร่างกายอยู่ออกและย่องลงจากเตียงก่อนจะเปิดประตูเดินออกมายังบริเวณห้องรับแขกอย่างเงียบเชียบ เด็กหนุ่มเลื่อนเปิดประตูและก้าวออกไปยังระเบียงด้านนอก กระแสลมด้านนอกยังคงพัดตึงเหมือนเช่นเมื่อครั้งก่อน ภูเอนกายลงยืนพิงเข้ากับขอบระเบียงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดหาเบอร์ของกรรณแล้วโทรออก เสียงรอสายดังขึ้นหลายครั้งแต่ไม่มีคนรับจนเขาเริ่มคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังหลับอยู่หรือไม่สะดวกจะรับสาย แต่ในขณะที่กำลังจะถอดใจและกดวางสายนั้นเครื่องโทรศัพท์ในมือก็สั่นเตือนเบาๆ หนึ่งครั้งเป็นสัญญาณว่ามีผู้รับสายแล้ว
“ฮัลโหล…” ภูพูดกรอกไป
“ว่าไง โทรมาแต่เช้ามืดเลย” เสียงของกรรณที่ตอบกลับมาจากปลายสายทั้งอ่อนล้าและโรยแรง เพียงเท่านั้นภูก็พอรับรู้ได้ว่ายังคงไม่มีข่าวดีเกิดขึ้น
“ผมเป็นห่วงพี่ ห่วงแม่พี่ด้วย” ภูบอกกับกรรณ “ตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้วครับ?”
“ก็… หมอออกมาแล้วล่ะ แต่ก็ยังต้องคอยดูอาการ” กรรณตอบเสียงเศร้า “ถ้าผ่านสิบสองชั่วโมงนี้ไปได้ก็ถือว่าพ้นขีดอันตราย”
“ต้องได้สิ” ภูพยายามให้กำลังใจ “ต้องได้อยู่แล้วล่ะ บอกท่านว่าวันนี้ผมจะไปหานะครับ”
“จะให้บอกว่าไง ลูกสะใภ้จะมาเหรอ?” กรรณเย้ามาด้วยเสียงเศร้าๆ นั้น
“บอกว่าแฟนก็พอ ไม่ต้องเจาะจงสถานะขนาดนั้น” ภูโล่งใจที่อย่างน้อยกำลังใจของกรรณก็ยังดีพอจะพูดเล่นได้
“ได้ เดี๋ยวจะบอกให้” กรรณรับปาก
“งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ ผมจะเตรียมของเอาไว้ เสร็จงานจะได้ออกเดินทางได้เลย พี่อยู่ทางนั้นก็พักผ่อนบ้างนะ” ภูบอกขณะที่ตาเริ่มมองเห็นแสงสีทองซึ่งจับขอบฟ้าอยู่ไกลออกไป
“แค่ได้ยินเสียงนายก็เหมือนได้พักผ่อนแล้ว รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” กรรณพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ผู้ฟังนึกออกถึงรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า “แล้วเจอกันนะครับ”
“ครับ เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว จะรีบไปให้เร็วที่สุดครับ” ภูบอกก่อนจะวางสาย
ภูเก็บโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วหันกลับมาตั้งท่ากลับเข้าใปข้างใน แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจเมื่อเจอะเข้ากับจอสที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูระเบียง เด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูกด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ตรงนั้นมานานแค่ไหนแล้ว แต่เมื่อสังเกตจากสีหน้าอันเศร้าสร้อยนั้นภูก็พอจะคาดเดาได้ว่าคงจะนานพอที่จะได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่นี้ทั้งหมด
“ตื่นแล้วเหรอ?” ภูถามพร้อมกับชี้แจงตนเอง “เรา.. ออกมาคุยโทรศัพท์เรื่องธุระนิดหน่อยน่ะ”
“ตื่นมาไม่เจอ นึกว่าหนีไปแล้วซะอีก” จอสยิ้มแห้งๆ
“ไม่หนีหรอก ก็สัญญาเอาไว้แล้ว” ภูยืนยันคำพูดตนเอง
“แล้วนั่นน่ะ…” จอสถามถึงสิ่งที่ตนได้ยินเมื่อครู่ “มีธุระสำคัญต้องไปทำไมไม่บอกเราล่ะ ถ้าบอกกันตรงๆ เราก็ไม่รั้งนายไว้ทั้งคืนแบบนี้หรอก”
“ถึงจะไม่ได้อยู่กับนาย ยังไงก็ยังไปไหนไม่ได้อยู่ดี วันนี้ยังมีคิวงานช่วงบ่ายของวันนี้อีกงานนึงต้องจัดการให้เสร็จก่อน” ภูอธิบายให้จอสเข้าใจจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด
“อีเวนท์?” จอสถามเมื่อเห็นภูพยักหน้าว่าใช่จึงค่อยเสนอตัว “เราไปแทนให้ก็ได้นะ”
“จริงเหรอ?” ภูดีใจสุดๆ เพราะนั่นจะช่วยประหยัดเวลาไปได้มากทีเดียว หากจอสยอมไปงานแทนเขาก็จะสามารถออกเดินทางได้ตั้งแต่ช่วงเช้าและคงไปถึงสุโขทัยก่อนเวลาจะล่วงเข้าสู่ช่วงบ่ายด้วยซ้ำ
“เพื่อนายเราทำได้อยู่แล้ว” จอสรับคำ “แต่ขออะไรบางอย่างเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนนิดหน่อย”
“อะไรอีกอ่ะ?” ภูใจคอไม่ดี
“ไม่ต้องทำหน้าไม่ไว้ใจแบบนั้นหรอกน่า กระรอกตื่นตูมเอ๊ย…” จอสทำหน้าเซ็งกับการถูกหวาดระแวง “แค่อยู่ดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันตรงนี้ก่อนก็พอ”
จอสเลื่อนปิดประตูขณะเดินออกมายืนข้างๆ ภูที่ขอบระเบียง ทั้งสองยืนจ้องมองออกไปยังสุดปลายของทิวทัศน์เบื้องหน้า เฝ้ารอให้พระอาทิตย์ปรากฏขึ้นสู่สายตา ในใจรู้แจ้งแน่ชัดว่าบางสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว ภูรู้สึกเช่นนั้น นับจากนี้จะไม่มีความผิดพลาดจากอดีตให้ต้องกังวล มีแต่อนาคตที่รอให้ไปพบเจอ และเหนือสิ่งอื่นใด มิตรภาพระหว่างเขาและจอสจะยังคงอยู่และอาจจะแนบแน่นยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาด้วยซ้ำ
“นี่ ขอบคุณมากนะ” ภูบอกกับจอสขณะที่ตาก็ยังมองไปยังนอกระเบียง
“เรื่อง?” จอสหันมาถาม
“สำหรับทุกอย่าง ที่เก็บนาฬิกาเอาไว้ให้ ที่ไปส่งบ้าน แล้วก็ที่ช่วยในเรื่องงานอีกไม่รู้กี่ครั้ง” ภูหันมาเช่นกัน “แล้วก็ขอโทษที่เป็นในสิ่งที่นายต้องการไม่ได้”
“แล้วนายจะเสียดายที่ปล่อยให้เราหลุดมือไป” จอสยกหางตัวเองเต็มที่
“ก็อาจจะ…” ภูยอมรับ “ถึงเราจะเป็นในสิ่งที่นายอยากให้เราเป็นไม่ได้ แต่เราก็มีบางสิ่งที่จะทดแทนให้”
“มาอีกแล้ว รางวัลชมเชย” จอสพ่นลมออกจากปาก
“ฟังให้มันจบก่อนเส่ะ!” ภูถองข้อศอกใส่ชายโครงอีกฝ่ายใส่ด้วยความโมโห
“ก็ว่ามาเส่ะ!” จอสว๊ากกลับ “พวกซาดิสต์…”
“ชอบทำให้เสียบรรยากาศ” ภูสูดหายใจเข้าพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัวใหม่อีกรอบ “ถึงเราจะเป็นในสิ่งที่นายอยากให้เป็นไม่ได้ แต่เราก็มีบางอย่างจะทดแทนให้นาย”
“คือ?” จอสถาม
“ต่อไปนี้นายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราแล้วนะ” ภูยื่นมือไปแตะที่บ่าของอีกฝ่าย “นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะร้ายหรือดี เราจะอยู่ข้างนายเสมอ ต่อไปนี้จะไม่มีการหลบหน้ากันอีกแล้ว เราสัญญา”
ภูยื่นมือออกไปตั้งใจจะจับมือทำสัญญาแต่ก็ถูกอีกฝ่ายฉวยกระชากร่างเข้าไปสวมกอดไว้เสียก่อน เมื่อหายตกใจเด็กหนุ่มจึงรู้สึกได้ว่าร่างที่โอบรัดตนอยู่นั้นกำลังสั่นเทา แก้มและต้นคอด้านขวาของเขาถูกลมหายใจและน้ำตาร้อนผ่าวของจอสราดรดจนชุ่ม มือข้างหนึ่งของจอสขยุ้มเส้นผมของภูเอาไว้ในมือ ไม่มีการฟูมฟาย ไม่มีความเจ็บปวดในน้ำตาเหล่านั้น มีเพียงความตื้นตันจากการได้รับในสิ่งที่ตนปรารถนาอย่างสุดหัวใจ เป็นช่วงเวลาอันเนิ่นนานและราบเรียบราวกับนิรันดร์กาล ภูทอดสายตามองออกไปที่ปลายขอบฟ้า พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พร้อมกันกับที่วันใหม่ของเด็กหนุ่มทั้งสองที่ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างสมบูรณ์เช่นกัน…
To be continued...
3 Episodes Left
[/i]