บทส่งท้าย
ร้อน
ร้อนมาก
ร้อนชิบหาย
ใครก็ได้ช่วยบอกภาพวาดทีว่านี่คือฤดูหนาว เขาสัมผัสไม่ได้แม้กระทั่งลมเย็นแผ่วๆด้วยซ้ำ ยิ่งแดดร้อนระอุตอนเที่ยงๆแบบนี้ยิ่งทรมานเข้าไปใหญ่ทั้งเหนียวตัวและเหงื่อออกจนแสบผิวไปพร้อมๆกัน ภาพยกน้ำอัดลมในมือขึ้นมาดูดให้ชื่นใจพร้อมยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลออกมาตามไรผม
ถ้าใครบอกว่าวัดเป็นสถานที่เย็นสบายร่มรื่นเขาคงต้องขอเถียงจนขาดใจ
นึกถึงเหตุผลที่ต้องมาที่วัดแห่งนี้ก็รู้สึกแปลกๆไม่ได้
มาทำบุญให้กับตัวเองที่ตายไปแล้ว
พูดถึงไหนงงถึงนั้น
ทินกรส่งข้อความมาชวนภาพหลังจากที่คนตัวสูงกลับไปนอนที่ห้องของตัวเองแล้วประมาณห้าวัน ภาพรู้ว่าทินกรไม่ได้บอกใครเรื่องนี้ จึงไม่มีใครที่เข้าใจอีกฝ่ายไปมากกว่าตนเอง เลยไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องปฏิเสธการมาทำบุญในครั้งนี้
พวกเขาเลือกวัดที่อยู่ใกล้ๆกับร้านกล่อมกรุงเพราะวันนี้ทีมงานหนังสั้นมีฉลองปิดกล้องอย่างเป็นทางการหลังจากถ่ายทำตลอดเดือนกว่าที่ผ่านมา
นับๆแล้วพวกเขาสองคนก็พึ่งจะเจอกันได้ไม่นาน แต่ความสัมพันธ์ดูจะก้าวกระโดดได้รวดเร็วเป็นอย่างมากด้วยปัจจัยอะไรหลายๆอย่าง
ทินกรในวันนี้ดูสดใสขึ้นกว่าวันก่อนหน้าที่เจอกัน หนวดเคราถูกโกนจนเกลี้ยงเกลา ผมที่ยาวเกินถูกเล็มปลายออกไปแล้วรวบมัดไว้ครึ่งหัวเหมือนอย่างเคย
“ขอกินน้ำบ้างดิ” เมื่อถูกขอภาพจึงยื่นแก้วพลาสติกในมือไปให้ สภาพของอีกคนดูเหมือนพึ่งไปเล่นสงกรานต์มาจนภาพเชื่อแล้วว่าขี้ร้อนจริงๆ เสื้อบางชื้นเหงื่อจนเปียกไปหมด เห็นแล้วภาพถึงกับทนไม่ไหวจนต้องเดินไปซื้อผ้าเย็นมาให้เช็ดหน้าเช็ดตา
“อะ เช็ดก่อนคุณ เห็นแล้วร้อนแทน”
“ขอบคุณ”
อดนึกถึงตอนที่ไปวัดอรุณด้วยกันไม่ได้ ตอนนั้นตาลุงนี่ร้อนจะตายอยู่แล้วแต่ก็ยังอุส่าเอาหมวกมาให้เขาใส่ มุมน่ารักเทคแคร์คุณทินกรเขาก็มีนะแต่ดันไม่ชอบแสดงออกตรงๆ
หลังจากที่เข้าไปไว้พระทำบุญจนมาถึงตอนนี้ภาพรับรู้ได้เลยว่าสภาพจิตใจของทินกรดีขึ้นมากแล้ว ถึงมันจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็เป็นก้าวที่ดีในการเดินออกมาจากความฝันนั้น และก็เป็นก้าวเดียวกันกับเขาเช่นกัน มันถึงเวลาที่เขาสองคนต้องเดินไปข้างหน้าเสียที
ถึงแม้มันจะแอบเศร้า แต่ก็เศร้าปนงงๆ เพราะการกรวดน้ำทำบุญไปให้ทั้งๆที่คนรับบุญยังอยู่นั่งอยู่ข้างๆมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลกใหม่และไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
“วันนี้คุณจะไปด้วยมั้ยงานฉลองปิดกล้องน่ะ”
“ไปอยู่แล้วสิ ผมคนเขียนบทนะ”
“นั้นสินะ ไม่น่าถาม แล้วยังไงจะไปร้านเลยรึเปล่าหรือจะไปไหนต่อ”
“คุณมีที่ๆอยากไปมั้ยล่ะ”
“ไม่มีนะ ผมแค่อยากมาทำบุญเฉยๆ”
“งั้นไปรอพวกพี่ๆที่ร้านเลยก็ได้”
“โอเค แล้วคุณหิวรึยัง อยากกินอะไรก่อนมั้ย”
“ยังไม่หิว แต่ถ้าอยากกินข้าวผัดจานละ200ฝีมือเชฟทินแบบวันนั้นจะทำให้ได้มั้ยครับ”
“ทำหน้าแบบนี้แล้วจะปฏิเสธยังไง” พูดพร้อมเอานิ้วมาดันหน้าผากคนที่กำลังยิ้มเผล่ส่งมาให้จนแทบหงายหลัง
ทำไมไม่อ่อนโยนเลยนะ
ยังไม่ทันจะหกโมงเย็นดีทีมงานหนังสั้นเกือบทั้งหมดก็มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วที่ร้านกล่อมกรุง วันนี้อากาศยามเย็นไม่ร้อนมากมีลมผัดเย็นแผ่วเบาพอให้สบายตัว ไอ้โอมเข้ามาทีก็ร้องโวยวายจะเอานู้นเอานี่ยกใหญ่ ด้วยความใจป๋าของพี่เอกแกจึงเหมาปิดร้านเพื่องานนี้โดยเฉพาะ กลุ่มของเขาจึงคุมทั้งร้านได้อย่างเต็มที่ ใครมีอะไรก็บริการตัวเองกันไปเพราะวันนี้เด็กเสิร์ฟก็ถือเป็นหนึ่งในบุคคลที่มาร่วมฉลองเช่นกัน พี่เอกสั่งอาหารชุดใหญ่มาจากภายนอกเพื่อให้ทานกันได้อย่างอิ่มหนำสำราญ ส่วนเครื่องดื่มก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่คุณเจ้าของร้านเขาไป
“เป็นไงมึงตั้งแต่เฮียทินไปหาก็ไม่มาปรึกษาอะไรกูเลยนะ” ไอ้โอมสายเผือกเดินเข้ามาทักทายพลางทำหน้าที่ตัวแทนสมาคมแม่บ้านสายเม้ามอยได้อย่างดีเยี่ยม และพี่เข้มหนึ่งในสมาชิกเมื่อเห็นดังนั้นจึงอดเข้ามาร่วมแจมในวงสนทนาอีกคนไม่ได้ สายเผือกตัวจริงทั้งนั้น เห็นแววตาเป็นประกายใคร่รู้ของทั้งสองคนสุดท้ายจึงต้องเล่าเรื่องต่อไปอย่างช่วยไม่ได้ จริงๆก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังหรอก เพราะสองคนนี้เป็นที่ปรึกษาที่ดีให้กับภาพเสมอมา แต่เพราะช่วงหลังๆมานี้ทินกรตัวติดเขาเป็นตังเมบวกกับมีเรื่องให้คิดหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องงาน เรื่องครอบครัว และหลายๆอย่างจึงไม่ได้มาเล่าให้เพื่อนและพี่ฟังเหมือนอย่างเคย
“แล้วมึงว่าตอนจบจะเป็นยังไง” ไอ้โอมถามขึ้นมา
“ไม่มีตอนจบอะไรทั้งนั้นแหละ ใครจะไปรู้วะว่าตอนไหนคือตอนจบ แบบไหนเรียกว่าจบแล้ว”
“ก็จริงของมึง แต่มึงบอกว่าไม่ได้ฝันแล้วใช่มั้ย”
“ถ้าช่วงที่ผ่านมานี้ ก็ใช่”
“อ่า งั้นกูว่าถึงมันจะยังไม่รู้ตอนจบ แต่มึงก็ผ่านจุดไคล์แม็กของเรื่องมาได้แล้วล่ะ ถ้ามึงโอเคกับทุกอย่างแล้วต่อไปนี้จะได้สบายใจได้สักที ถึงจะยังหาสาเหตุไม่ได้ก็เถอะว่าทำไมมึงกับเฮียทินต้องฝันแบบนี้ก็ตาม”
“มันก็คงเป็นแค่เรื่องที่ไม่ธรรมดา ของคนธรรมดา ในเวลาที่ไม่ธรรมดา โลกแม่งชอบเล่นตลกกับเราเสมอแหละ”
“สัส ทำเป็นคม เล่นคงเล่นคำ”
“เออน่า แต่ก็ขอบใจมึงมากที่คอยฟังกูบ่นมาเป็นปี ขอบคุณพี่ด้วยพี่เข้มสำหรับคำปรึกษาและอะไรหลายๆอย่าง”
“ช่วยกูจีบหยกให้ติดเป็นการตอบแทนแล้วกัน”
“ฮ่าๆ อย่างนี้คงต้องให้ไอ้โอมช่วยออกโรงแล้วล่ะมั้ง”
“ไว้ใจพ่อสื่อโอมคนนี้ได้เลยพี่เข้ม ระดับนี้แล้วเชื่อผมไม่มีผิดหวังแน่นอน” พูดเสร็จก็แยกไปนั่งคิดวิธีจีบสาวกันต่อเหลือเพียงภาพที่ยังยืนรับลมมองวิวของวัดอรุณในอีกฝั่งของแม่น้ำอย่างเหม่อลอย
เขาชอบสีสันของท้องฟ้าเวลาพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
สีส้มๆอมม่วงๆมันทำให้เขารู้สึกสบายใจ
ความเย็นที่แก้มทำให้ภาพสะดุ้งตัว หันไปมองคนที่ยื่นแก้วมานาบแก้มเขาอย่างคาดโทษ แต่ทินกรกลับทำหน้าไม่หยี่ระตามเคย
“ชอบแกล้งอยู่เรื่อย”
“ก็คุณทำตัวน่าหมั่นไส้เอง มายืนเล่นเอ็มวีอยู่ได้คนเดียว”
“จะชมว่าผมหล่อเหมือนพระเอกเอ็มวีก็พูดมาตรงๆ”
“เปล่า จะบอกว่าบ้า” ภาพหันไปค้อนส่งสายตาคั่งแค้นเสียยกใหญ่จนอีกคนหลุดขำออกมา ทินกรก้าวมายืนข้างๆเขา หันหน้าออกไปมองวิวเบื้องหน้าเช่นกัน ก่อนจะยกแก้วน้ำสีอำพันขึ้นมาจิบ
แสงที่ตกกระทบใบหน้าและดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของอีกฝ่ายช่างเป็นภาพที่เข้ากับแสงอาทิตย์ในยามนี้อย่างน่าประหลาด
“เมื่อตอนกลางวันที่เราไปทำบุญกันคุณขอพรว่าอะไร” ภาพเอ่ยถาม
“ของแบบนี้บอกกันได้ด้วยหรอ”
“ได้สิ ก็ผมอยากรู้อะ”
“ผมขอให้ภาพวาดมีความสุข ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็ขอให้เป็นคนที่มีความสุข แค่นั้นแหละ”
“ขอบคุณนะ”
“หืม”
“ผมแค่พูดแทนภาพวาดในฝันของคุณ ยังไงเราก็คนเดียวกัน”
“อ่าฮะ”
“แล้วผมถามได้มั้ยว่าภาพวาดของคุณเป็นคนยังไง เขาเหมือนผมรึเปล่า เพราะขนาดคุณกับพี่หมอยังแตกต่างขนาดนี้ ผมก็น่าจะมีอะไรเปลี่ยนบ้าง”
“วาดหรอ…อืม ก็เหมือนคุณนั้นแหละ เพียงแค่ตอนที่ผมเจอคุณสายตาคุณดูเศร้าไปหน่อยก็แค่นั้น”
“อ่า แสดงว่าภาพวาดที่คุณตกหลุมรักก็เป็นแบบผมน่ะสิใช่มั้ย” ภาพยิ้มกริ่ม
“อย่าหลงตัวเองให้มากนักเลย” พูดพร้อมเอานิ้วชี้มาดันหน้าผากเขาจนแทบจะหงายหลังเหมือนเคย
ไม่อ่อนโยนอีกแล้ว
“คิดแล้วก็ตลกดีเหมือนกันนะที่คุณกับพี่หมอต่างกันสุดขั้วขนาดนี้ทั้งๆที่เป็นคนเดียวกัน เล่นเอาซะผมเครียดไปหมดเลยในตอนแรก”
“อืม ต่างกันมากจริงๆนั้นแหละ ถ้าพี่หมอเป็นพระอาทิตย์ตอนเช้าที่ให้ความอบอุ่น ผมคงเป็นพระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดิน รอเวลาที่แสงจะหมดไปจนสุดท้ายเหลือแต่ความมืด สายดาร์กอะไรแบบนั้น”
“ไม่หรอก ผมชอบบรรยากาศตอนพระอาทิตย์กำลังจะตกนะ มันเหมือนกับว่าถึงเวลาพักผ่อน สามารถเอนกายลงได้อย่างสบายใจ” ดูอีกคนจะแปลกใจไม่น้อยกับคำพูดของเขา เพราะสำหรับภาพวาด ไม่ว่าจะเป็นทินกรคนไหนก็ต่างเป็นพระอาทิตย์ที่สวยงามทั้งนั้น
“มาทำความรู้จักกันใหม่มั้ย…ไม่ใช่ในฐานะพี่หมอกับวาด แต่เป็นทินกรเจ้าของร้านบาร์กับภาพวาดคนหล่อ”ภาพวาดยื่นมือออกไปหาอีกฝ่ายที่แอบยิ้มขำ
ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน เฉดสีส้มอมม่วงของท้องฟ้า แสงที่กระทบจนเกิดสีอันแสนอบอุ่นบนสายน้ำ บริเวณระเบียงที่ยื่นออกไปในแม่น้ำของร้านกล่อมกรุง ทุกอย่างเหมือนกับครั้งแรกที่เขาสองคนได้เจอกัน แต่ครั้งนี้แตกต่างกันออกไป
“สวัสดีครับ ผมทินกรยินดีที่ได้รู้จัก” คนตัวสูงยื่นมืออกไปจับ
“สวัสดีครับ ผมภาพวาด ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”
แสงอาทิตย์ที่ลาลับไม่ได้หมายถึงการจบลงของวัน
หากเป็นเพียงสัญญาณที่บอกว่าวันใหม่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า
พวกเขาสองคนก็เช่นกัน
มันไม่ใช่ตอนจบ
หากแต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวใหม่
#คุณในฝัน
มาถึงตอนสุดท้ายเเล้วในที่สุดก็เเต่งจบ เย้ๆ ไม่คิดเลยค่ะว่าฝุ่นจะเขียนมาถึงตอนนี้ได้ ต้องขอบคุณทุกคอมเม้นเเละทุกๆคนที่กดเฟบนะคะ เป็นกำลังใจให้ฝุ่นเเต่งต่อมากมาย เอาจริงๆยอมรับเลยตอนเเรกไม่คิดว่าจะเขียนจบด้วยซ้ำ บอกเพื่อนไว้ว่าถ้าเเต่งไป7ตอนเเล้วไม่มีการตอบรับอะไรจะไม่เเต่งต่อเเล้ว เเต่พอเเต่งไปสี่ตอนมีคนสนใจอ่านมากขึ้น คนฝุ่นกลับพบว่าอยากให้มีใครสักคนรับรู้ตอนจบของเรื่องนี้จริงๆ เพราะเราชอบมันมาก เลยคิดว่าเราจะเเต่งต่อจนจบนี่เเหละเเต่งให้คนที่หลงมาอ่านได้อ่านต่อไป55 ต่อมาก็มีคนตามมาอ่านเยอะขึ้น รู้สึกดีมากค่ะที่ไม่ได้ถอดใจไปในตอนนั้น ยังไงก็ต้องขอบคุณอีกครั้งนะคะ ทุกคนเป็นส่วนสำคัญสำหรับนิยายเรื่องนี้จริงๆ
การเขียนเรื่องนี้ทำให้เรารู้ข้อบกพร่องหลายๆอย่างในการเขียนนิยาย ฝุ่นจะนำส่วนที่รู้ตัวว่าพลาดไปปรับปรุงต่อในผลงานชิ้นต่อๆไป เรื่องนี้ฝุ่นก็กำลังรีไรท์ใหม่ให้ทุกอย่างลงตัวเเละแก้คำผิดเพิ่มเติมด้วยค่ะ
สามารถเจอกับภาพเเละทินได้ในหนังสือรูปเล่ม + 2ตอนพิเศษเป็นของขวัญสำหรับคนที่ซื้อเล่มนะคะ (สนพ SENSE BOOK)
ฝุ่นจะมีกิจกรรมเเจกหนังสือเเต่คาดว่าคงอีกนานเพราะยังไม่ได้ส่งต้นฉบับสมบูรณ์ให้ทางสนพ ยังไงจะมาอัพเดตอีกทีเน้อ อย่าพึ่งลืมกันไป
รักเเละขอบคุณนักอ่านทุกท่าน
- สีฝุ่น -
❤