ตอน 31
เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนใหม่แผนการรักษาก็ย่อมต้องมีความเข้มข้นมากขึ้น เพราะอัตลักษณ์ของ ‘จิม’ นับตั้งแต่จันทร์มีอายุได้เพียง 4 ขวบ ยังไม่เคยออกมาปรากฏตัวเลยสักครั้ง ดังนั้นในช่วงเดือนตุลาคมนี้ เราอาจจะต้องใช้วิธีการสะกดจิตควบคู่ไปกับการบำบัดด้วยวิธีอื่น เนื่องจากคุณพีรวัตรยังไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับอัตลักษณ์ดังกล่าวได้ ขณะที่ทางทีมรักษาก็มีความต้องการให้แต่ละอัตลักษณ์ นึกย้อนความทรงจำกลับไปยังวันวานให้ได้มากที่สุด
ดังนั้นช่วงเช้าของวันนี้ ด็อกเตอร์อาทิตย์จึงมีแผนจะพูดคุยกับจันทร์เกี่ยวกับเรื่องของอาการป่วยอย่างกระจ่างแจ้ง โดยจิตแพทย์ผู้มีชื่อเสียงจะทำการเปิดคลิปวีดิโอบางส่วนที่บันทึกไว้ให้อีกฝ่ายดู เนื่องจากหนึ่งในอัตลักษณ์ที่เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนสร้างขึ้นเป็นอัตลักษณ์ที่มีความละเอียดอ่อนด้านความรู้สึก ทีมรักษาอย่างเราๆ จึงเกรงว่าจันทร์อาจจะรับมือกับความเป็นจริงในข้อนี้ไม่ไหว
เพราะการมีอยู่ของอัตลักษณ์ ‘น้องลี’ ทำให้จันทร์ได้รับรู้ว่า ‘การจากตาย’ มักจะโหดร้ายต่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่เสมอ..กระทั่งช่วงใกล้เที่ยงบันทึกการรักษาก็เดินทางมาถึง ทันทีที่ดับเบิ้ลคลิกไฟล์ดังกล่าว ภาพของห้องสี่เหลี่ยมอันแสนอบอุ่นก็ปรากฏขึ้น พร้อมกับอัตลักษณ์ของคุณนักเขียนที่มีโอกาสได้ควบคุมจิตวิญญาณอยู่ในขณะนี้
“สวัสดีครับคุณพีรวัตร” ด็อกเตอร์เอ่ยทักทายหลังจากปรับมุมกล้องวีดิโอจนเรียบร้อยแล้ว
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มผู้แสนสุภาพกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ขณะที่เขากำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวคุ้นเคยด้วยท่าทีอันแสนสบาย โดยการนั่งไขว้ขาหรือที่คนชอบเรียกจนติดปากว่า ‘นั่งไขว่ห้าง’
ซึ่งเป็นท่านั่งที่ผมสังเกตเอาเองว่า.. คุณนักเขียนมักจะชอบนั่งจนติดเป็นนิสัย “ช่วงนี้คุณดูสดใสขึ้นนะครับ” ด็อกเตอร์อาทิตย์เอ่ยทักอย่างเป็นมิตร
“…” ขณะที่คุณนักเขียนก็ตอบรับคำบอกกล่าวนั้นด้วยการยกยิ้มตรงมุมปากเพียงอย่างเดียว แต่ผมยังก็เข้าใจได้ดีว่าในช่วงเวลาอย่างนี้ เป็นช่วงที่เขากำลังมีความสุขอยู่กับการเขียนนิยายเรื่องสุดท้าย ที่ผ่านความเห็นชอบจากผม โดยมีข้อแม้ว่าทุกๆ คืนที่เขาออกมาใช้ชีวิต เราสองคนจะต้องไปนั่งประจำตำแหน่งอยู่ตรงโต๊ะใกล้ๆ หน้าต่างบานใหญ่
ซึ่งคำขอดังกล่าวก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร ผมเลยไม่คิดจะปฏิเสธ แต่ในช่วงเวลากลางคืนของเดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าจะเป็นช่วง ‘ไพรม์ไทม์’ ของทุกๆ อัตลักษณ์ เพราะผมมีโอกาสได้พูดคุยกับพวกเขานอกเวลางานอยู่บ่อยครั้ง อย่างอัตลักษณ์ของน้องลีเวลาที่เธอออกมาใช้ชีวิต เธอจะอยากออกไปเดินเล่นข้างนอกเสมอ ผมเลยต้องใช้เวลาเกลี้ยกล่อมเธออยู่นาน ดังนั้นช่วงแรกๆ เธออาจจะหัวเสียนิดหน่อยที่ไม่อาจจะออกไปเดินเล่นในสวน แต่พอนานวันเข้าเธอคงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตที่โรงพยาบาล กิจกรรมในยามค่ำคืนจึงเป็นการนั่งมองวิวนอกหน้าต่างเสียมากกว่า
ผมจึงถือโอกาสนั้นสอบถามถึงเรื่องราวที่ยังติดค้างอยู่ในใจเกี่ยวกับประโยคภาษาอังกฤษที่วางอยู่ในห้องนอนของเธอที่บ้านกลางป่าสน จึงทราบว่าน้องลียังมีเรื่องบางอย่างที่ตัวเองรู้สึกผิดกับจันทร์ เธอจึงมีความปรารถนาให้ความสวยงามของดอกไม้เหล่านั้น ช่วยลบล้างความรู้สึกอันย่ำแย่ของเธอออกไป
แต่ทว่าทันทีที่ผมถามถึงเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกผิดกับพี่ชายฝาแฝดเด็กสาววัย 15 ในคราบของเด็กชายจากบ้านกลางป่าสนก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสาร “ถ้าหากผมมีแผนการจะแนะนำพวกคุณให้รู้จักกับคุณเพียงจันทร์ คุณจะโอเคหรือเปล่าครับ ?” หลังจากทักทายกันจนหอมปากหอมคอ ด็อกเตอร์อาทิตย์ก็เริ่มพูดเข้าสู่วัตถุประสงค์ที่แท้จริงในทันที
“อันที่จริงผมก็มีแผนจะทำแบบนั้นอยู่นะครับ แต่จากที่ทดลองดูแล้ว เหมือนว่าจะไม่สำเร็จ”
“ตามแผนการของเรา ผมคิดว่าจะลองเอาไฟล์วีดิโอพวกนั้นให้เขาดู แต่อาจจะแนะนำแค่คุณกับกรวินท์ ส่วนลียากรผมคิดว่าเราอาจจะยังต้องรอให้เขาทำความเข้าใจกับตัวเองให้มากกว่านี้ เพราะผมเชื่อว่าคุณเพียงจันทร์คงยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก”
“วิธีนั้นที่หมอพูดถึงก็ฟังดูไม่เลวนะครับ ส่วนเรื่องของลีผมเองก็เห็นด้วยกับหมอ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณลองใช้วิธีที่คุณเคยทำในช่วงที่คุณต้องการจะรับรู้สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับอัตลักษณ์อื่นๆ ได้หรือเปล่า ?”
“ได้ครับ”
“หลังจากที่ผมให้เขาดูบันทึกการรักษาจนจบ ผมจะลองสอบถามความยินยอมจากเขาก่อนว่าถ้าหากผมจะให้คุณปรากฏตัวในตอนนั้น เขาจะโอเคหรือเปล่า เพราะจุดประสงค์ของผมอยากให้พวกคุณได้ทำความรู้จักกันไว้”
“ผมจะลองดูแล้วกันครับ แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะสำเร็จอย่างที่หมอพูด เพราะที่ผ่านมาดูเหมือนเขาจะยังไม่เข้าใจคำพูดของผมเลยด้วยซ้ำ”
“ผมคิดว่าที่ผลลัพธ์มันออกมาเป็นแบบนั้น คงเป็นเพราะพวกคุณยังไม่เคยรู้จักกัน เลยทำให้คุณเพียงจันทร์ไม่เข้าใจว่าเสียงที่เขาได้ยิน มันคือเสียงของพวกคุณที่ต้องการจะสื่อสารกับเขา”
“ถ้าอย่างนั้น.. ผมให้เขาออกมาพบหมอเลยแล้วกันครับ” สิ้นคำบอกกล่าวของคุณนักเขียน ร่างกายของจันทร์ก็ห่อตัวลงเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาก็เริ่มเลื่อนลอยคล้ายกับตกอยู่ในภวังค์
แต่สักพักดวงตาคู่นั้นก็ฉายแววงุนงงอย่างเห็นได้ชัด “สวัสดีครับหมอ” จนกระทั่งจันทร์เริ่มปรับตัวได้แล้ว เขาก็รีบเอ่ยทักทายด็อกเตอร์ในทันที
“สวัสดีครับคุณเพียงจันทร์ วันนี้เราคงมีเรื่องต้องพูดคุยกันยาวสักหน่อย” จิตแพทย์ชื่อดังเกริ่นนำเพื่อเป็นการเปิดประเด็นภายในเสี้ยววินาที ขณะที่จันทร์ก็ส่งยิ้มรับคำบอกกล่าวนั้น
“จากที่ผมได้พูดคุยกับคุณพีรวัตรบุคคลที่เป็นอีกด้านหนึ่งของคุณ เขาพูดในทำนองว่าเมื่อหลายวันก่อน เขาพยายามสื่อสารกับคุณ แต่ดูเหมือนคุณจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการพูด”
“เดี๋ยวนะครับหมอ พวกเขาคุยกับผมได้เหรอครับ ?” จันทร์เบิกตากว้างพลางเอ่ยถามด็อกเตอร์ด้วยท่าทีตกใจ
“ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”
“…” สิ้นคำบอกกล่าวของจิตแพทย์ตรงหน้า จันทร์ก็ถึงกับขมวดคิ้วมุ่นอย่างครุ่นคิดไปพักใหญ่
“ก่อนหน้านี้ผมเคยได้ยินเสียงของใครสักคน แต่ตอนนั้นผมคิดว่าบางทีผมอาจจะหูฝาด สรุปมันคือเสียงของพวกเขาเหรอครับ?”
“อาจจะเป็นไปได้นะ ถ้าอย่างนั้นผมขอถามสักหน่อย เสียงที่คุณได้ยินมันเป็นเสียงแบบไหน ?”
“ตอนนั้นผมได้ยินทั้งเสียงของผู้หญิงและผู้ชายเลยครับ” จันทร์เอ่ยพลางเอียงคอเล็กน้อย คล้ายกับว่าตนเองยังแปลกใจกับสิ่งที่ได้บอกกล่าวกับด็อกเตอร์ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังมั่นใจว่าเขาเคยได้ยินดังกล่าวจริงๆ
“แล้วเสียงของผู้ชายที่คุณได้ยินมีทั้งหมดกี่เสียงครับ ?”
“มีอยู่สองเสียงครับ ผมอธิบายไม่ค่อยถูกว่าเสียงที่ผมได้ยินเป็นเสียงแบบไหน แต่ผมมั่นใจว่าเสียงของพวกเขาไม่เหมือนกัน”
“แล้วคุณได้ยินเสียงพวกนั้นบ่อยแค่ไหนครับ ?”
“น่าจะสักประมาณสองสามครั้งครับ แต่ครั้งล่าสุดพวกเขาพูดเกี่ยวกับการหลอมรวมอะไรสักอย่าง ผมจับใจความไม่ค่อยได้ เสียงมันเหมือนกับอยู่ที่ไกลๆ ประมาณว่าอยู่กันคนละประเทศแบบนั้นเลยครับ”
“แสดงว่าเสียงที่คุณได้ยินคือเสียงที่พวกเขากำลังสื่อสารกัน โดยมีหัวข้อเกี่ยวกับโรคหลายอัตลักษณ์ที่คุณเป็น เพราะการหลอมรวมที่พวกเขาพูดถึง มันคือวิธีการรักษาที่พวกเราพยายามทำอยู่”
“แล้วการรักษาแบบหลอมรวมที่หมอพูดถึง มันเป็นยังไงเหรอครับ ผมไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่”
“การหลอมรวมที่ว่านี้ เราจะทำกันอย่างช้าๆ แรกสุดเราจะรวมอัตลักษณ์ที่มีบางอย่างคล้ายกัน จากนั้นเราก็จะเริ่มหลอมรวมคนอื่นๆ ทีละคน จนกระทั่ง.. คุณกลายเป็นคนคนเดียว”
“แล้วมันเป็นไปได้หรือเปล่าครับ ที่เราจะใช้วิธีการกำจัดพวกเขาออกไป ?”
“จิตแพทย์ท่านอื่นเคยลองใช้วิธีนี้กับผู้ป่วยท่านอื่นมาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล ดังนั้นโอกาสที่เป็นไปได้มากที่สุดคือการทำให้คุณดีขึ้น โดยนำทุกๆ ด้านของคุณมาหลอมรวมกัน และวิธีการแรกสุดก็คือการสื่อสารระหว่างกัน จากนั้นก็ค่อยๆ ทำให้คุณจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่แต่ละตัวตนเคยกระทำไว้ ซึ่งมันจะเป็นการขจัดความเสื่อมหรือที่เราเรียกกันว่า ‘การมีสติร่วม’ จากนั้นเราก็จะพยายามนำทุกๆ ด้านของคุณมารวมเข้าด้วยกัน และเราเรียกการกระทำดังกล่าวว่า ‘การหลอมรวม’”
“แสดงว่าการหลอมรวมจะทำให้ผมกลายเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นใช่ไหมครับ?”
“ใช่ครับ คุณจะกลายเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้น และรู้จักรับมือกับปัญหาได้ดีขึ้น”
“ผมมีเรื่องสงสัยอยู่ข้อนึงครับ ปกติแล้วการนอนหลับคือวิธีที่ผมใช้ในการหนีปัญหา แต่ผมรู้สึกเหมือนกับมีใครบางคนพยายามจะใช้วิธีนี้เพื่อไม่ให้ผมตื่นขึ้นมา คือผมรู้สึกว่าช่วงเวลาของผมมันก้าวกระโดดมากๆ”
“ช่วงเวลาที่คุณพูดถึง มันก้าวกระโดดยังไงเหรอครับ ?”
“อย่างตอนเด็กๆ ช่วงแรกๆ ผมจะอยู่ที่บ้านของแม่ แต่ไปๆ มาๆ ผมก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านของพ่อ หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เจอกับแม่อีกเลย ตอนนั้นผมคิดว่าแม่น่าจะทิ้งพวกเราไปแล้ว พอหลังจากที่ผมย้ายมาอยู่ที่บ้านของพ่อ ผมก็ไม่เคยเจอหน้าพ่ออีกเลย แต่น้าเข็มบอกว่าพ่อต้องกลับไปทำงานในเมือง แต่คนอื่นๆ ในหมู่บ้านเวลาช่วงเทศกาลพวกเขาก็จะกลับมาที่บ้านนะครับ แต่ทำไมพ่อของผมไม่ยอมกลับมาอีกเลย แล้วจากนั้นความทรงจำของผมมันก็ขาดๆ หายๆ ไปเยอะเลยครับ มาจำได้อีกทีก็ตอนที่ผมตื่นขึ้นมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน แต่ว่าความเปลี่ยนแปลงของตัวผมมันก้าวกระโดดมากเลยครับหมอ ทำให้ผมรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ผมจดจำอะไรไม่ได้ อาจจะเป็นช่วงที่ใครสักคนบังคับให้ผมนอนหลับหรือเปล่า เพราะในตอนนั้นผมไม่น่าจะใช้วิธีหนีปัญหาเหมือนกับแต่ก่อน คือผมหมายถึงตอนที่ผมอยู่ที่บ้านของพ่อ ผมยังคอยดูแลลี แล้วก็ยังเคยนั่งทำการบ้านกับพี่ชลอยู่เลยนะครับ เหตุการณ์มันปกติมาก ผมไม่น่าจะหลับไปเอง”
“จากที่คุณพูดมาก็มีสิทธิ์เป็นไปได้นะครับว่าช่องว่างเหล่านั้น อาจจะเป็นช่วงเวลาที่คุณสร้างอัตลักษณ์ใหม่ๆ ออกมารับมือ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะความทรงจำพวกนั้นเลวร้ายจนคุณเลือกจะกดมันไว้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะมีใครบางคนที่เป็นอีกด้านหนึ่งของคุณเลือกที่จะทำให้คุณหลับไป จนกระทั่งเขาแน่ใจว่าคุณปลอดภัย เขาถึงได้ยอมให้คุณตื่นขึ้นมาตอนที่คุณอยู่ที่บ้านกลางป่าสน” จากคำอธิบายของด็อกเตอร์ แม้มันจะฟังดูเหมือนการคาดการณ์ แต่อันที่จริงแล้วคำตอบเหล่านั้นมาจากอัตลักษณ์ของน้องลีที่เคยให้การเอาไว้ว่า พอเธอย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน เธอก็เริ่มออกมาเดินเล่นที่ทุ่งดอกสโนว์ดรอปส์ เพราะว่าพี่จันทร์ปลอดภัยแล้ว แสดงว่าช่วงเวลาก่อนที่เธอจะย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางป่าสน จันทร์จะต้องเคยพบเจอกับอะไรบางอย่างเลยทำให้ความทรงจำขาดหาย และจากเหตุการณ์ดังกล่าวลีเองก็นึกเสียใจมาตลอด
ซึ่งสาเหตุของการลบเลือนอาจจะมีความเป็นไปได้ว่า ลีอาจคงจะเป็นคนที่ทำให้จันทร์หลับใหล หรือไม่ก็อาจจะเป็นจันทร์ที่คิดจะหนีปัญหาเสียเอง หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะสาเหตุทั้งสองอย่างรวมๆ กัน
เนื่องจากน้องลีก็ดูเหมือนว่าจะเคยได้รับอันตรายตอนอยู่ที่บ้านหลังนั้นด้วยฉะนั้น.. ก็อาจจะมีแนวโน้มของการเกิดอัตลักษณ์ใหม่ได้เช่นกัน“ในความคิดของผมการนอนหลับไม่ว่าจะในความหมายของคุณหรือว่าในความหมายของอีกด้านหนึ่งของคุณ ยังไงมันก็มีความหมายเหมือนๆ กันนะครับ เพราะการที่คนเราเลือกจะนอนหลับ ต้องมีสาเหตุมาจากการหลบหนีจากสิ่งที่ทำให้เกิดความว้าวุ่นใจ”
“แต่ว่าตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแล้วนะครับ ผมก็เลยไม่อยากจะนอนหลับอีก แต่พวกเขาก็ยังจะมาขโมยเวลาของผมไป แม้ว่าช่วงเวลาที่ผมกำลังนอนหลับมันจะเป็นช่วงเวลาเพียงแค่แป๊บเดียว แต่ว่าในตอนนี้ผมรู้แล้วครับว่าการนอนหลับในแต่ละครั้ง มันใช้เวลานานมากจริงๆ อย่างเช่น ผมหลับไปวันนี้จะตื่นอีกทีก็อาจจะช่วงเย็นของพรุ่งนี้ หรือบางทีก็อาจจะนอนหลับข้ามปีเลยก็ได้”
“สำหรับการนอนหลับในที่นี้ ถ้าหากคุณมีความเข้มแข็งที่มากพอ พวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้นอีก และคุณก็จะต้องรู้จักวิธีในการรับมือกับปัญหา โดยที่คุณจะต้องไม่ใช้วิธีการแบบเดิมๆ อีก หลังจากนั้นเวลาของคุณก็จะกลายเป็นของคุณทั้งหมด ซึ่งการหลอมรวมที่ผมบอกคุณไป จะต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างยาวนานพอสมควรเลยครับ ฉะนั้นผมอยากให้คุณพยายามทำความเข้าใจกับการรักษาให้ได้มากที่สุด เพราะมันจะช่วยให้คุณมีสุขภาพจิตที่ดีและยังช่วยให้คุณรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ถ้าหากเป็นไปได้ผมอยากให้คุณลองทำความรู้จักกับอีกด้านหนึ่งของคุณไว้”
“ผมสามารถทำแบบนั้นได้เหรอครับ ?”
“ใช่ครับ คุณสามารถทำได้ โดยผมจะช่วยให้คุณทำความรู้จักกับพวกเขาผ่านทางคลิปวีดิโอที่ผมบันทึกไว้ แต่ถ้าหากคุณอยากจะลองพูดคุยกับเขาแบบตัวต่อตัว ผมก็จะช่วยคุณเอง”
“ครับ” สิ้นคำตอบรับที่แสดงถึงความเข้าใจ ด็อกเตอร์ก็เปิดคลิปวีดิโอที่เป็นไฟล์บันทึกการรักษาของคุณนักเขียนและกรวินท์ให้จันทร์ดู ซึ่งรีแอคชั่นของอีกฝ่ายก็ดูจะประหลาดใจกับสิ่งที่ได้เห็น
คงเพราะภาพดังกล่าว ทำให้เขาเข้าใจประโยคที่พยาบาลและนักจิตวิทยา ต่างก็บอกกันว่า ‘ข้างในตัวเขา ยังมีใครอีกหลายคนซุกซ่อนอยู่’ “พอเห็นกับตาตัวเอง ผมรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อมากเลยครับหมอ แต่สิ่งที่พวกเขาพูด ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี”
“ผมอยากให้คุณนึกเสียว่าสิ่งที่พวกเขาพูดคือจิ๊กซอว์ที่คุณจะต้องค่อยๆ ต่อมันทีละชิ้น โดยที่แต่ละชิ้นกว่าคุณจะได้มาก็ต้องผ่านการค้นหา ดังนั้นมันจึงต้องใช้เวลา เพราะความทรงจำของพวกเขาก็ไม่ปะติดปะต่อกันเหมือนกับคุณ”
“ครับ” เมื่อได้ฟังคำอธิบายจนเข้าใจดีแล้ว จันทร์ก็รีบพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย
“เอาล่ะ คุณช่วยบอกผมหน่อยว่าในตอนนี้คุณอยากจะลองพูดคุยกับพวกเขาอยู่หรือเปล่า ?”
“ลองดูก็ได้ครับหมอ”
“ถ้าอย่างนั้น คุณช่วยเดินหลบไปยืนอยู่ตรงข้างเวทีสักหน่อยนะ”
“เวที ?”
“ครับ คุณพีรวัตรบอกกับผมว่าคนที่มีสิทธิ์ในการควบคุมจิตวิญญาณ และสติในการรับรู้คือคนที่ยืนอยู่บนเวที คุณลองหลับตาดูสิ แล้วคุณจะเห็นเวทีที่ผมพูดถึง” สิ้นคำแนะนำของด็อกเตอร์ จันทร์ก็ค่อยๆ หลับตาลงอย่างเชื่องช้า
“อ่า.. ผมว่าผมเห็นเวทีที่หมอพูดถึงแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นคุณค่อยๆ ถอยไปยืนอยู่ตรงด้านข้างได้เลยนะเพียงจันทร์ จากนั้นคุณพีรวัตรก็จะขึ้นมายืนอยู่บนเวทีในตำแหน่งที่คุณเคยยืนอยู่”
“ครับ ผมถอยออกมาแล้ว” จันทร์พูดทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น แล้วเจ้าตัวก็เงียบเสียงไป จากนั้นดวงตาคู่เดิมที่เคยปิดสนิทก็ค่อยๆ ลืมขึ้นมาอีกครั้ง เพียงไม่นานท่วงท่าในการนั่งของจันทร์ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นไขว่ห้าง ซึ่งเป็นท่านั่งที่คุณนักเขียนชอบนั่งจนติดเป็นนิสัย และเหตุการณ์ดังกล่าวก็เรียกความสนใจจากผมได้ดี
เพราะสิ่งที่ผมกำลังมองเห็นอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่แค่การสับเปลี่ยนอัตลักษณ์แบบครั้งที่แล้วๆ มา “จันทร์นี่พี่พีเองนะ” คุณนักเขียนเอ่ยทักทายจันทร์ผู้ซึ่งเป็นอัตลักษณ์หลัก ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามแบบฉบับของเจ้าตัว
“พี่พี.. เพื่อนของพี่ชลที่เป็นนักเขียนใช่หรือเปล่าครับ ?” ทันใดนั้น.. น้ำเสียงและท่าทีของคุณนักเขียนก็ปรับเปลี่ยนไปเป็นอัตลักษณ์ของจันทร์ที่ในตอนนี้กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเสียยกใหญ่
ด้วยเพราะความเข้าใจบางอย่างกำลังจะถูกเปิดเผยจนกระจ่างแจ้ง“ใช่ พี่เอง.. เจ้าของนามปากกาอนธการ” คุณพีรวัตรเอ่ยตอบอย่างหนักแน่น
“ไม่อยากจะเชื่อเลย! ตอนแรกที่จันทร์ดูวีดิโอ จันทร์ยังไม่คิดเลยว่าพี่เป็นเจ้าของนามปากกานั้น” จันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่ได้พบกับนักเขียนในดวงใจ
“ถ้าอย่างนั้นโน๊ตบุ๊กที่จันทร์เคยเห็น ก็คือโน๊ตบุ๊กของพี่พีน่ะสิ”
“อื้ม ของพี่เอง”
“แล้ว.. พี่พีเอามาจากไหนเหรอครับ ?” จันทร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย คงเพราะเจ้าตัวกำลังอยากรู้ว่าตอนที่ตนเองหลับใหล คุณนักเขียนได้เดินทางไปที่ไหนบ้างหรือเปล่า
“ไอ้ชลซื้อมาให้น่ะ” คำตอบของคุณนักเขียน ดูเหมือนจะทำให้จันทร์แน่นิ่งไป ซึ่งผมคาดเดาเอาเองว่าจันทร์คงจะเริ่มระแคะระคายถึงการกระทำบางอย่างของลูกพี่ลูกน้องตัวเองเข้าให้แล้ว เพราะแต่ก่อนแม้แต่เทียนสักเล่มคุณชลวิทย์ก็ยังไม่ยอมหาซื้อมาให้ มิหนำซ้ำยังกล่าวอ้างว่าเทียนมันแพงอีกต่างหาก แต่กับอัตลักษณ์อื่น เขากลับอำนวยความสะดวกเสียอย่างดิบดี ฉะนั้นการหาสูตรขนมมาให้จึงไม่สามารถชักนำให้จันทร์หันกลับไปมองลูกพี่ลูกน้องของตัวเองในมุมเดิมๆ เนื่องจากเวลานี้เด็กชายจากบ้านกลางป่าสนได้ดูคลิปวีดิโอแนะนำตัวของกรวินท์ไปแล้ว
ผมจึงคิดว่าจันทร์น่าจะเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างกระจ่างแจ้ง ซึ่งมันก็ทำให้ผมที่กำลังนั่งดูสถานการณ์ดังกล่าว พาลจะเป็นห่วงความรู้สึกของอีกฝ่ายไปด้วย“เอ่อ.. จันทร์ขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหมครับ คือว่าทำไมก่อนหน้านี้จันทร์ถึงไม่เคยรับรู้เลยว่าพี่เป็นอีกด้านหนึ่งของจันทร์”
“เพราะจันทร์ยังไม่สมควรจะรู้ พี่ก็เลยคิดเอาเองว่าพี่ควรจะรอให้จันทร์มีความพร้อมที่จะรับมือกับเรื่องนี้ก่อน หรือไม่ก็อาจจะรอให้มันถึงเวลาอันสมควร พี่ถึงค่อยแสดงตัว” คุณพีรวัตรอธิบายด้วยท่าทีราวกับพี่ชายที่กำลังพูดคุยกับน้องชายอย่างอบอุ่น
“ถ้าอย่างนั้นพี่พีพอจะบอกจันทร์ได้ไหมครับว่าอีกด้านหนึ่งของจันทร์มีอยู่กี่คน ?”
“เท่าที่พี่รู้มีอยู่ 4 คน” สิ้นคำตอบของคุณนักเขียนท่าทางของจันทร์ก็เหมือนกับคนที่กำลังใช้ความคิดอีกครั้ง
มันจึงทำให้ผมทราบว่า..เวลานี้คนที่กำลังออกมาควบคุมสติก็คือจันทร์ตัวจริง“หมอครับ เมื่อกี้พี่พีบอกกับผมว่าพี่เขาเริ่มจะพูดมากไปแล้วก็เลยจะยกหน้าที่ต่อจากนี้ให้หมอ” จันทร์บอกกับด็อกเตอร์ด้วยท่าทีที่ยังคงขมวดคิ้วมุ่น ซึ่งมันก็บ่งบอกได้ดีว่าคำพูดของคุณนักเขียน คงจะทำให้เขานึกสงสัย และคำตอบก่อนที่จะหลับไปคงจะเรียกความสนใจจากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี แต่เพราะเวลาในการปรึกษากลับหมดลงเสียก่อน
ความสงสัยของเจ้าหนูจำไมจึงต้องพับเก็บเอาไว้ในใจและคนที่จะรับมือกับจันทร์ในภาพลักษณ์ดังกล่าว ก็คงจะหนีไม่พ้นผมคนนี้นี่แหละ゚゚❀゚゚
[edit 19/02/2019 รีไรท์สำนวนใหม่]
ตอนนี้กลับมาสั้นเหมือนเดิมแล้วจ้า 555 เห็นมีคนวิเคราะห์ยาวมากกกกก แต่ก็มีความเฉียดฉิว จริงๆ มันน่าจะเดาได้แล้ว เหลือแค่สถานการณ์เป็นยังไง 5555 ส่วนตอนนี้เหมือนจะเป็นตอนที่เน้นให้เห็นว่าแต่ละอัตลักษณ์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ โดยที่ในส่วนนี้ก็เราอ้างอิงจากหนังสือที่เราซื้อมาเหมือนเคย ฉะนั้นความน่าเหลือเชื่อมียังไง เรายึดตามนั้นเลย ซึ่งมันก็จะคล้ายๆ กับในหนังนี่แหละ เพราะว่าตัวเอกที่เป็นโรคนี้ ก็จะมีการพูดคุยตอบโต้กับอีกบุคลิกนึงเหมือนกัน ทีนี้ก็มาลุ้นกันว่าช่องว่างตรงที่จันทร์จำอะไรไม่ได้เลย มันจะมีอัตลักษณ์ใหม่เกิดขึ้นมาหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่ และสาเหตุที่น้องลีรู้สึกผิดมันคืออะไร แต่ตอนนี้คงต้องเอาใจช่วยจันทร์ไปก่อน เพราะว่าน้องเริ่มระแคะระคายเกี่ยวกับคุณชลวิทย์แล้ว บวกกับเรื่องก่อนหน้านี้ที่มันทำให้จันทร์ผิดหวังในตัวพี่ชายมากพอสมควร