ตอนที่ 12
ผมเดินกลับมาที่รถหาไอซ์อย่างคนเลื่อนลอย
ไม่กล้าส่งข้อความหรือโทรศัพท์กลับไปกวนธันว์มันอีก
ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงส่งข้อความตัดรอนผมมาแบบนั้น
มันเองก็หายไปจากผมแล้วไปมีความสุขกับใครต่อใครเช่นกัน
สิ่งที่มันทำมันคิดว่าผมจะไม่รู้สึกอะไรหรือไง
การที่ผมหายเงียบมาแบบนี้แทนที่จะนึกห่วงใยความรู้สึกผมบ้าง
แต่กลับทำเป็นขึงขังเป็นโกรธจนพาลจะตัดขาดไม่ให้ผมติดต่อไป
มันจะใจร้ายกับผมไปหน่อยหรือเปล่า
“พี่ไนท์เป็นอะไร หน้าตาดูไม่ดีเลย”
ไอซ์ทักผมตอนผมขึ้นไปนั่งคู่บนรถได้
“เปล่า ไม่มีอะไร เราไปต่อเถอะนะ”
ผมฝืนยิ้มบอกกับไอซ์ ไอซ์จึงขับรถออกไปเงียบๆ
ไอซ์พาผมกลับถึงบ้านได้
หลายคนที่บ้านดูสีหน้าไม่ดีในตอนที่ผมถามถึงอาการป่วยที่แม่ผมเป็น
“แม่เป็นโรคไต ตอนนี้นอนพักอยู่โรงพยาบาล”
หนึ่งในญาติบอกกับผม ผมตัวชา ถามทุกคนว่าทำไมไม่มีใครบอกผม
ทำไมถึงให้ผมเข้าใจว่าแม่แค่ไม่สบายตามวัย
“เพิ่งจะตรวจเจอเมื่อวานนี่เอง แม่ไนท์เป็นคนขอเองว่าอย่าเพิ่งบอกอะไรไนท์
ไม่อยากให้ไนท์คิดมากระหว่างเดินทาง เพราะไหนๆ ไนท์ก็จะมาวันนี้แล้ว”
ญาติคนเดิมบอกผมอีก เมื่อรับรู้เช่นนั้นผมจึงไม่รอช้าที่จะเดินทางไปยังโรงพยาบาลที่แม่ผมรักษาตัวอยู่
โดยไอซ์นั่นเองเป็นคนพาไป
“ใจเย็นๆ นะพี่ไนท์ หมอเดี๋ยวนี้เก่งจะตาย รักษาถูกวิธีเดี๋ยวแม่ก็หายเนอะ”
ไอซ์เอ่ยปลอบผมระหว่างทางไปโรงพยาบาล ผมพยายามไม่คิดไปไกลอย่างที่ไอซ์บอก
แต่พอไปถึงโรงพยาบาล ได้คุยกับแม่ และพูดคุยกับหมอ
ผมแทบยืนไม่อยู่เมื่อหมอบอกผมว่าแม่ผมเป็นไตวายระยะสุดท้าย
“แล้วแม่ผมมีทางรักษาหายมั้ยครับหมอ”
ผมถามหมอถึงแนวทางการรักษา
“แค่ดีขึ้นเรื่อยๆ กับยื้อเวลาเท่านั้นครับหายขาดคงยากหน่อย” หมอตอบผมมาแบบนั้น
ก่อนจะแนะแนวทางการรักษาว่าการยื้อเวลาแม่ที่ดีที่สุดคือได้รับการฟอกไต ซึ่งมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
“คนไข้ไม่มีประกันสุขภาพ ในส่วนนี้หากทางญาติพร้อม การยื้อเวลาให้คนไข้ก็จะมีมากขึ้น”
ผมเซล้า ฐานะครอบครัวผมไม่ได้ดีอะไร พี่น้อง ญาติๆ รอบกายก็แค่เพียงชาวบ้านชาวสวนธรรมดา
แต่ละคนไม่ได้มีเงินเก็บหลายแสนหลายล้านแต่อย่างใด
ผมเองก็เพิ่งเริ่มต้นทำงานได้ไม่กี่ปี เงินเก็บที่มีก็ไม่ไม่รู้ว่าจะช่วยยื้อชีวิตแม่ผมได้นานแค่ไหน
แต่ยังไงผมก็ต้องหาทางร่วมด้วยช่วยกันกับญาติๆ เพื่อยื้อลมหายใจให้แม่ผมอยู่ไปได้นานๆ ให้ได้
“ไอซ์พอจะช่วยอะไรได้บ้างมั้ยพี่ไนท์”
ไอซ์เอ่ยกับผมในตอนที่เราเดินออกมาจากโรงพยาบาล
“แค่ให้กำลังใจพี่ก็ขอบคุณมากแล้วไอซ์ เดี๋ยวพี่กับญาติๆ หาทางออกกันเอง”
ผมตอบไอซ์ไปตอนนั้น ทั้งๆ ที่ยังคิดหาหนทางการยื้อลมหายใจแม่ของผมไว้ให้นานที่สุดด้วยวิธีใด
ผมกลับเข้ามาใช้ชีวิตทำงานในเมืองในวันจันทร์ แม้จะนึกห่วงแม่เพียงใด
แต่ผมก็ไม่สามารถอยู่เฝ้าได้ เพราะต้องทำงานหารายได้ช่วยญาติๆ อีกแรง
เงินเก็บที่มีผมก็ถอนออกมาให้ญาติๆ ซึ่งรับภาระเฝ้าไข้แม่ของผม
เหลือเอาไว้แค่ใช้จ่ายส่วนตัวยามต้องใช้ชีวิตในเมืองไม่กี่บาท
ไอซ์แสดงน้ำใจด้วยการมอบเงินเก็บของตัวเองให้ญาติๆ ผมส่วนหนึ่ง
ผมนึกเกรงใจไม่อยากให้ญาติรับไว้ เพราะผมกับไอซ์ไม่ได้สนิทกันมาก
ขนาดที่ไอซ์จะต้องมาทำอะไรแบบนี้ แต่ไอซ์ก็รั้นมอบให้อยู่ดี
จำนวนเงินนั้นแม้มันจะไม่มากมายนัก แต่ผมก็รู้สึกซึ้งในน้ำใจของไอซ์
และรับปากว่าจะพยายามหาใช้คืนให้หมด
“เอาที่พี่ไนท์สบายใจเลยครับ ไอซ์ช่วยพี่ไนท์ได้ตามกำลังของไอซ์
เรื่องใช้คืน พี่ไนท์พร้อมเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น หรือจะลืมๆ มันไปเลยก็ได้
ไอซ์พอเข้าใจว่าการฟอกไตให้แม่พี่ไนท์ค่าใช้จ่ายมันไม่น่าจะธรรมดา”
ไอซ์บอกผมว่าแบบนั้นในตอนที่เราคุยเรื่องนี้กัน
หลายวันที่ผมกลับเข้ามาทำงาน ผมกับธันว์ยังไม่มีโอกาสได้เจอกันเลยสักวัน
แน่ล่ะการที่ผมกำลังเครียดกับปัญหาเรื่องที่แม่ผมต้องเข้ารับการฟอกไต
ทำให้ผมไม่มีกะจิตกะใจที่จะหาความสำราญใดๆ ให้ตัวเอง
กระทั่งกิจกรรมการออกกำลังกายยังฟิตเนสที่ประจำของผมกับธันว์ผมก็ยังไม่มีกำลังใจที่จะไป
ผมกับธันจึงเหมือนจะหายจากการติดต่อกันไปช่วงหนึ่ง
จนเย็นวันศุกร์ หลังเลิกงาน ผมเตรียมจะกลับบ้านไปเยี่ยมดูอาการของแม่อีกครั้ง
คราวนี้ผมคิดจะไปรถโดยตู้สาธารณะ ผมมาถึงท่ารถกลางเมืองเพื่อจะเดินทางตอนใกล้ๆ ค่ำ
ถึงได้เจอกับธันว์ ซึ่งกำลังมากับซี ผมใจกระตุกหน่อยๆ เมื่อคิดว่าสองคนน่าจะเที่ยวไหนกันมา
ผมพยายามหลบหน้าธันว์ในตอนแรก แต่ก็หลบไม่พ้น จนในที่สุดเราจึงได้เผชิญหน้ากัน
“มึงจะไปไหนไนท์” ธันว์มันเอ่ยถาม
“กลับบ้าน” ผมตอบ พยายามไม่มองภาพที่ซียืนชิดร่างกับมัน
“บ้านไหน จันทร์หรือเปล่าเพิ่งไปมาไม่ใช่เหรอ”
ธันว์มันถามอีก สายตามันคงเห็นว่าผมกำลังยืนอยู่ท่ารถตู้
“อืม” ผมตอบสั้นๆ อีกครู่ซีจึงทักผมบ้าง
“บ้านพี่ไนท์อยู่จันทร์เหรอครับ น่าไปเที่ยวจัง”
“อืม แต่พี่ขอตัวนะรถจะออกแล้ว” ผมรีบเดินหนีจากที่ยืนอยู่ ตรงจะไปขึ้นรถตู้
กำลังจะไปถึงก็พลันต้องตกใจเมื่อโดนฉุดแขนไว้
ไม่ใช่ใครที่ไหนที่ฉุดไว้ แต่เป็นธันว์ ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันตามผมมาตอนไหน
แล้วซีไปไหนถึงปล่อยมันมาหาผมแบบนี้
“ปล่อยกูธันว์ รถมันจะออกแล้ว” ผมหันมาสั่งธันว์ ธันว์มันไม่ฟัง
ตรงกันข้ามมันกลับลากผมไปอีกทาง ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันจะพาไปไหนจึงโวยวาย
“มึงจะพากูไปไหนไอ้ธันว์ ปล่อยกู กูจะไปขึ้นรถ นี่มันเที่ยวสุดท้ายนะมึง”
“เลิกพูดแล้วตามกูมาได้ปะ เดี๋ยวกูขับรถพาไปเอง” ธันว์มันหันมาว่าดุๆ
ก่อนจะฉุดผมไปจนไปถึงที่จอดรถของมัน มันเปิดประตูรถให้ผมแล้วผลักผมเข้าไปนั่ง
จัดการปิดประตูเสร็จแล้วมันจึงอ้อมไปขึ้นอีกฝั่ง
นาทีนี้เราสองคนจึงมองสบตากันอีกครั้ง ผมจึงถามขึ้น
“ซีไปไหน”
“จะให้เขาไปด้วยมั้ยล่ะ” ธันว์มันตอบกวนกลับมา ก่อนจะหันไปสตาร์ทรถขับพาผมออกไป
ผมถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าธันว์มันจะมาอารมณ์ไหนกับผมอีก
“ถอนหายใจทำไม หนักใจนักเหรอที่เป็นกูพากลับบ้าน”
ธันว์มันเอ่ยออกมาเสียงเข้ม ผมจึงว่ามันกลับไปบ้าง
“มึงจะเอายังไงกับกูมึงเลือกเอาสักทางได้มั้ยวะธันว์
มึงเพิ่งไล่ให้กูไม่ต้องติดต่อมึงมึงลืมแล้วหรือไง”
“แล้วคราวนั้นมึงให้ใครพามึงกลับบ้านล่ะ กูเคยบอกมึงแล้วใช่มั้ย
ว่าถ้ามึงจะไปไหนกับใครกูยอมให้มึงไปกับเด็กมึงแค่คนเดียว”
“มึงหมายถึงโชน”
“เออดิ หรือมึงคบซ้อนไว้หลายคน”
“นั่นมันนิสัยมึงไม่ใช่กู”
“เออกูมันคนเจ้าชู้ กูมันคนใจง่าย
กูมันคนส่ำส่อนคบใครไม่เลือก ในสายตามึงอ่ะ
กูไม่เคยมีอะไรดีเลยสักอย่าง” ธันว์มันเอ่ยว่าคล้ายประชด
ผมเห็นบรรยากาศท่าจะไม่ดีจึงขอให้มันจอดรถ
“มึงจอดรถเหอะธันว์ กูกับมึงตอนนี้คงคุยอะไรกันยาก”
“แล้วใครล่ะที่ทำให้มันยาก” ธันว์มันขึ้นเสียงกลับ ผมเงียบ
ก่อนจะยอมเอ่ยออกไปเบาๆ
“ถ้าเป็นเพราะกู กูขอโทษ ปล่อยกูลงเถอะ มึงกับกูคงมาไกลกันได้แค่นี้”
ธันว์ชำเลืองหน้ามามองผม สักพักมันจึงเอื้อมมือมากุมมือผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาลง
“ขอสักครั้งให้เราใช้ใจพูดกันได้มั้ยวะไนท์”
ติดตามตอนต่อไปครับ