[End]Omega's Destiny ชะตาลิขิต 24/03/61 Extra. (Page.2)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End]Omega's Destiny ชะตาลิขิต 24/03/61 Extra. (Page.2)  (อ่าน 16428 ครั้ง)

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
                                                                                    ...Intro...
   
     มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีระบบความคิดเจริญที่สุด  เป็นผู้สรรค์สร้างความหลากหลายต่าง ๆ ขึ้นมา  ทั้งวัฒนธรรม  อารยธรรมสิ่งปลูกสร้าง  เครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีวิต  แม้กระทั่งเงินตราซึ่งเป็นค่าสมมติที่มนุษย์ตกลงกันว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการแลกเปลี่ยนและเป็นสิ่งที่มีค่าทีสุด  แสดงถึงความมั่งมีหรือยากจน  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสมมติที่มนุษย์สร้างขึ้นก็เท่านั้นเอง...
        การแบ่งชนชั้นทางสังคม  ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเอง  เพื่อจัดระเบียบทางสังคมให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่คนกลุ่มหนึ่งได้กำหนดขึ้นมา  แล้วเกิดการยอมรับในกฎเกณฑ์นั้น ๆ สืบต่อกันมาหลายชั่วรุ่น  ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มคนกลุ่มนั้นเป็นผู้ควบคุมสังคมและได้ผลประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว  ถึงจะบอกว่าเป็นการทำให้สังคมสงบสุขก็ตาม  ด้วยอำนาจและการมีทรัพย์สมบัติมหาศาล  ทำให้กลุ่มคนอื่น ๆ ไม่กล้าที่จะขัดขืน ได้แต่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านั้น  เพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในสังคมอย่างสงบสุข
        เพศสภาพก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ทางสังคม  นอกจากจะแบ่งเพศสรีระที่มองเห็นด้วยตาเปล่าออกเป็นเพศชาย  และเพศหญิงแล้ว  มนุษย์ยังจำแนกเพศรองที่แยกออกมาจากเพศสรีระอีก  ซึ่งเพศรองนี้จะเป็นตัวแบ่งชนชั้นทางสังคมที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม
   อัลฟ่า  [ α ]  หรือชนชั้นสูง เป็นเพศที่มีอำนาจสูงสุดในสังคม  ถือครองสิทธิ์ในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเสรี  มีความสามารถในการคิดสูงหรือเรียกได้ว่าฉลาดหลักแหลม  เป็นกำลังในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับสังคมและประเทศชาติ
   เบต้า  [ β ]  หรือชนชั้นกลาง  เพศที่มีสถานะทางสังคมเป็นแรงงาน  เป็นกลุ่มคนที่มีมากที่สุดในสังคม  ทำงานตามคำสั่งของชนชั้นสูง
   โอเมก้า  [ Ω ]  เป็นกลุ่มคนที่มีน้อยที่สุดในสังคม  ไร้สิทธิและเสรีภาพในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ในสังคม  เป็นเพศที่ถูกกดขี่ทุก ๆ ด้าน  และถูกสังคมจำแนกว่าเป็นชนชั้นล่าง

                                                                                     :-[
                                                                       **ฝากติดตามด้วยนะคะ**
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-04-2018 01:41:08 โดย KesornSama »

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต ... Prologue
«ตอบ #1 เมื่อ09-11-2017 23:49:17 »

Prologue


              มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีระบบความคิดเจริญที่สุด  เป็นผู้สรรค์สร้างความหลากหลายต่าง ๆ ขึ้นมา  ทั้งวัฒนธรรม  อารยธรรมสิ่งปลูกสร้าง  เครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีวิต  แม้กระทั่งเงินตราซึ่งเป็นค่าสมมติที่มนุษย์ตกลงกันว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการแลกเปลี่ยนและเป็นสิ่งที่มีค่าทีสุด  แสดงถึงความมั่งมีหรือยากจน  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสมมติที่มนุษย์สร้างขึ้นก็เท่านั้นเอง...
              การแบ่งชนชั้นทางสังคม  ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเอง  เพื่อจัดระเบียบทางสังคมให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่คนกลุ่มหนึ่งได้กำหนดขึ้นมา  แล้วเกิดการยอมรับในกฎเกณฑ์นั้น ๆ สืบต่อกันมาหลายชั่วรุ่น  ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มคนกลุ่มนั้นเป็นผู้ควบคุมสังคมและได้ผลประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว  ถึงจะบอกว่าเป็นการทำให้สังคมสงบสุขก็ตาม  ด้วยอำนาจและการมีทรัพย์สมบัติมหาศาล  ทำให้กลุ่มคนอื่น ๆ ไม่กล้าที่จะขัดขืน ได้แต่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านั้น  เพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในสังคมอย่างสงบสุข
               เพศสภาพก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ทางสังคม  นอกจากจะแบ่งเพศสรีระที่มองเห็นด้วยตาเปล่าออกเป็นเพศชาย  และเพศหญิงแล้ว  มนุษย์ยังจำแนกเพศรองที่แยกออกมาจากเพศสรีระอีก  ซึ่งเพศรองนี้จะเป็นตัวแบ่งชนชั้นทางสังคมที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม
   อัลฟ่า  [ α ]  หรือชนชั้นสูง เป็นเพศที่มีอำนาจสูงสุดในสังคม  ถือครองสิทธิ์ในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเสรี  มีความสามารถในการคิดสูงหรือเรียกได้ว่าฉลาดหลักแหลม  เป็นกำลังในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับสังคมและประเทศชาติ
   เบต้า  [ β ]  หรือชนชั้นกลาง  เพศที่มีสถานะทางสังคมเป็นแรงงาน  เป็นกลุ่มคนที่มีมากที่สุดในสังคม  ทำงานตามคำสั่งของชนชั้นสูง
   โอเมก้า  [ Ω ]  เป็นกลุ่มคนที่มีน้อยที่สุดในสังคม  ไร้สิทธิและเสรีภาพในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ในสังคม  เป็นเพศที่ถูกกดขี่ทุก ๆ ด้าน  และถูกสังคมจำแนกว่าเป็นชนชั้นล่าง
                 หลายศตวรรษที่กลุ่มชนชั้นสูงดูถูกเหยียดหยามเพศโอเมก้าว่าเป็นชนชั้นต่ำ  เป็นกลุ่มคนที่น่ารังเกียจ  มีหน้าที่แค่เป็นที่บำบัดความใคร่ให้เหล่าอัลฟ่า   ไร้ความสามารถ  จึงมีการควบคุมการกำเนิด  โดยการกำจัดเด็กที่เกิดมาเป็นเพศโอเมก้า ถึงพ่อแม่จะยินยอมหรือไม่ก็ตาม  หรืออีกหนทางหนึ่งคือ  นำเด็กที่เกิดเป็นโอเมก้าไปขายให้กับครอบครัวที่ต้องการรับซื้อ  เด็กคนนั้นก็จะยังมีชีวิตอยู่  หากแต่ผู้ที่รับซื้อสามารถจะกระทำอย่างไรกับเด็กก็ได้   มีสิทธิที่จะทำเต็มที่  ซึ่งการกดขี่ทางสังคมเช่นนี้ทำให้พ่อแม่ที่มีลูกเป็นโอเมก้าต้องทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
                   การถูกกดขี่ที่ไร้ซึ่งความปราณีทำให้กลุ่มคนที่ได้ชื่อว่า ‘ชนชั้นต่ำ’ ลุกขึ้นต่อสู้และเหล่าชนชั้นเบต้าเองก็ร่วมด้วยเนื่องจากทนไม่ไหวที่ถูกเหยียบย่ำเช่นกัน  ทำให้เกิดสงครามระหว่างอัลฟ่า และโอเมก้าที่มีเบต้าร่วมในสงครามครั้งนี้ด้วย  ทำให้อัลฟ่าต้องยอมจำนนท์  เนื่องจากจำนวนคนที่อีกฝ่ายมากกว่า  และต้องยอมรับว่าหากไม่มีชนชั้นเบต้าและโอเมก้า  ซึ่งเป็นแรงงานที่จะกระทำตามคำสั่งในสิ่งที่เหล่าอัลฟ่าได้กำหนดขึ้น  อัลฟ่าเองก็ต้องลำบากไม่น้อยเช่นกันในการที่จะทำอะไรเอง  เพราะพวกเขาเกิดมาในชนชั้นที่ถือว่าสูงที่สุด  เหมาะกับการปกครองมากกว่าออกแรงให้เหนื่อย  จึงทำให้มีการปฏิรูปการปกครองใหม่ โดยให้ยกเลิกการควบคุมกำเนิดเด็กที่เป็นเพศโอเมก้าด้วยวิธีการกำจัด  และให้สิทธิแก่ผู้เป็นพ่อแม่เด็กตัดสินใจว่าจะเลี้ยงเด็กเอง  หรือขายก็แล้วแต่ความพอใจ  ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ชนชั้นโอเมก้าได้มีชีวิตที่เรียกได้ว่าชีวิตมากขึ้น  ถึงการกดขี่ทางเพศจะยังมีอยู่แต่ก็นับว่าดีขึ้นกว่าเดิม  เมื่อเทียบกับเมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมา...
                                                                              α+Ω
                      การศึกษาสามารถยกระดับชีวิตได้ไม่ว่าจะเกิดเป็นเพศไหนก็ตาม  ทำให้ทุกคนมีศักยภาพในด้านต่าง ๆ  แสดงให้เห็นว่าความสามารถไม่ได้ขึ้นอยู่เฉพาะเพศแต่ขึ้นอยู่กับคนที่ตั้งใจขวนขวายและใฝ่รู้ต่างหาก...  เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนก็คิดเช่นนั้น  เขารู้ตัวดีว่าเขาไม่ได้เก่งเพียบพร้อมมาตั้งแต่เกิด เขาจึงพยายามอย่างมากที่จะตั้งใจเรียน  เพื่อที่จะทำให้บิดากับมารดาของเขาภูมิใจที่มีเขาเป็นลูก  ทดแทนที่เขาไม่สามารถเกิดมาเป็นลูกชายที่สมบูรณ์แบบได้  เขาจึงทำทุกอย่างเพื่อผลักดันตัวเองให้เก่งเทียบเท่าคนอื่น ๆ ไม่ทำตัวเป็นภาระของสังคม  เพื่อที่จะไม่ให้ใครมาดูถูกเขาได้ว่าเป็น ‘โอเมก้า ’  แล้วยังทำตัวน่าสมเพช  เขาจะไม่ให้ใครมาปรามาสเขาอย่างนั้นได้แน่นอน ‘ ถึงจะเลือกเกิดไม่ได้  แต่ก็เลือกที่จะกระทำตัวเองให้ดีได้ ’ เขาจะคอยคิดอย่างนี้อยู่เสมอ... 
                   เข็มนาฬิกาชี้ไปยังเลขสิบสอง  เป็นสัญญาณให้รู้ว่าหมดเวลาทำข้อสอบ  เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนลุกออกจากห้องสอบ  เก็บสัมภาระเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน  เสร็จแล้วก็เดินออกจากประตู มุ่งไปยังทางเดิน 
   “ อลิส! รอก่อน ”  เสียงใครบางคนเรียกให้หยุด  คนที่ถูกเรียกจึงหันกลับไปมองยังต้นเสียงที่ดังมาจากทางด้านหลัง
   “ ไมเคิล!  มีอะไรหรือเปล่า? ”  คนถูกเรียกถามกลับไป
   “ คือ... ฉันว่าจะชวนนายไปกินข้าวด้วยกันน่ะ  ยังไงวันนี้ก็เป็นวันสอบวันสุดท้าย  พรุ่งนี้ก็ปิดเทอมแล้ว  เราอาจจะไม่ได้พบกันเลยก็ได้ กว่าจะเปิดเทอมก็อีกตั้งหลายเดือน  ฉันเหงา ”  อีกฝ่ายรัวประโยคมา  ทั้งยังทำสีหน้าเศร้าสร้อย  ทำให้เด็กหนุ่มปฏิเสธไม่ลง  ได้แต่ส่ายหัวอย่างระอากับความขี้อ้อนของเพื่อน  ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า  “โอเค ๆ  ถ้าอย่างนั้นเราไปหาอะไรกินกัน เลิกทำหน้าเป็นหมาหงอยได้แล้ว ”  พูดพลางก็พากันเดินออกไปจากโรงเรียน
                                                                                   α+Ω
                     เมื่อเปิดประตูเข้ามาในบ้านก็ต้องตกใจที่เห็นแม่ของตนกำลังนั่งรับประทานอาหารกับผู้ชายคนหนึ่ง  พลันสงสัยจึงโพล่งออกไปว่า “ คุณพ่อ! มาได้ยังไงครับ!? ” พูดออกไปอย่างนั้นพลันเดินเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะกับทั้งสองคน
   “ อ้าว! กลับมาแล้วหรือลูก ”  คนเป็นมารดาเอ่ยปากถามลูกชาย
 “ กลับมาแล้วครับ  ว่าแต่คุณพ่อกลับมาได้ยังไงหรอครับ  ที่โน่นงานไม่ยุ่งแล้วเหรอครับ”  ตอบคำถามมารดา  พลันหันไปถามคนเป็นบิดา
   “ งานที่โน่นก็ยังต้องการคนอยู่เหมือนเดิม  แต่พ่อมีงานด่วนต้องรีบกลับมา  เห็นว่าสำคัญต้องการคนช่วย  พ่อถึงถูกเรียกตัวมา... ตอนนี้ที่โน่นก็มีแค่เอมีคนเดียววิ่งวุ่นอยู่  คงจะเหนื่อยน่าดู ”  พูดพลางยกชาขึ้นมาจิบ ก่อนจะหันมาทางลูกชายแล้วเอ่ยขึ้นว่า  “ แล้วลูกล่ะ เรื่องเรียนเป็นอย่างไงบ้าง ”
   “ ก็โอเคครับ วันนี้ผมสอบเป็นวันสุดท้าย  พรุ่งนี้เป็นต้นไปก็ปิดเทอมแล้ว ”  เอ่ยตอบคำถามบิดาไป
   “ ปิดเทอมกี่เดือนเหรอ? ”  ถามกลับไป พลางยกมือลูกคางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
   “ ประมาณ 3 เดือนครับ... คุณพ่อมีอะไรหรือเปล่าครับ? ”  เห็นท่าทางของบิดาแปลก ๆ พอตอบเสร็จก็พลันถามกลับไป
   “ คือ... พ่อว่าจะให้ลูกไปช่วยงานเอมีในระหว่างที่พ่อไม่อยู่น่ะ! ปิดเทอมทั้งที  ถือโอกาสซะว่าฝึกประสบการณ์และท่องเที่ยวไปในตัว ลูกจะว่าอย่างไรล่ะ? ”
   “ ถ้าคุณพ่อเห็นว่าดี  ผมก็โอเคครับ ”  ตอบไปพลางยิ้มบาง ๆ ให้ผู้เป็นบิดา
   “ แอนนา แล้วคุณคิดว่าอย่างไร? ”  เมื่อลูกชายตอบตกลงก็ไม่วายหันไปถามภรรยา  เพื่อยืนยันคำตอบ
   “ ฉันก็แล้วแต่คุณค่ะ  แต่... อัลเบิร์ตคะ มันจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอคะ  อลิสเป็น... ”  พูดไม่จบประโยค  แต่ก็แน่ใจว่าทุกคนจะรู้ว่าหมายถึงอะไร
   “ ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ!  คุณแม่สบายใจได้  อีกอย่างถ้าผมไม่เกิดอาการฮีท  ก็ไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นโอเมก้า ”  ตอบมารดาไปอย่างนั้นเพื่อให้เธอสบายใจ  แต่จริง ๆ ก็แอบกังวลใจอยู่เล็กน้อย  เพราะเขายังไม่เกิดอาการฮีทเลยสักครั้ง  ทั้ง ๆ ที่เข้าช่วงวัยรุ่นแล้ว
   “ แต่... ลูกอย่าลืม  ถ้าหากลูกบังเอิญพบเจอคู่แห่งโชคชะตาเข้า  ลูกก็จะเกิดฮีททันที  แล้วอาการก็จะรุนแรงด้วย ” ทำสีหน้ากังวลด้วยความเป็นห่วงลูก
   “ ผมเข้าใจครับ!  ผมจะระวังตัวเองให้ดีที่สุด  คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ”  ตอบกลับไปเพื่อให้มารดาคลายกังวล
                   อัลเบิร์ตนั่งฟังภรรยาและบุตรชายสนทนากันอยู่นาน  ก็โพล่งขึ้นบ้าง “ เอาเป็นว่า พ่อจะจัดเตรียมยาให้  เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินในระหว่างเดินทางจะได้แก้ได้ทัน และเมื่อถึงที่โน่นก็ไม่ต้องกังวล  เพราะอยู่กับเอมีก็มีอาระงับอาการฮีทอยู่แล้ว  วางใจได้ ”  ชี้แจงให้ฟัง  เพื่อคลายความกังวลของภรรยา
   “ ได้ยินแบบนี้แล้ว  ฉันก็หายกังวลใจได้บ้างค่ะ ” ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยกับลูกชายว่า  “ ถ้าอย่างนั้นลูกก็ไปเก็บของเพื่อเตรียมตัวเดินทางแล้วก็พักผ่อนนะ  พรุ่งนี้จะได้มีแรง ”
   “โอเคครับ  ผมขอตัวเลยนะครับ ” พูดจบ ก็ลุกจากเก้าอี้ เพื่อไปเตรียมของสำหรับเดินทางตามคำที่มารดาบอก
                                                                                    α+Ω
                       บรรยากาศยามเช้า  แดดส่องกระทบผิวน้ำเป็นประกายสีทอง  เรือสำเภาเทียบท่าเตรียมจะออกไปยังดินแดนที่ห่างไกล   เพียงแต่รอเวลาและผู้โดยสารที่จะลงเรือไปด้วย  ซึ่งหนึ่งในผู้โดยสารเรือสำเภานั้นก็คือ  อาเธอร์ลิส  ที่ต้องเดินทางจากบ้านเกิดไปยังประเทศแห่งใหม่โดยเรือสำเภา  เพื่อไปช่วยงานเอมิลี  แทนบิดาที่มีงานเร่งด่วนจึงถูกเรียกตัวกลับมาอังกฤษ  แล้วก็มาโผล่ที่บ้านโดยที่เขาไม่รู้ตัว  และเขาก็ต้องไปยังประเทศที่บิดาจากมาเพื่อไปฝึกประสบการณ์ชั่วคราว  อะไรมันก็ดูกะทันหันไปหมด  แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้คิดมากอะไร  ออกจะตื่นเต้นนิด ๆ  ที่ได้ออกนอกประเทศที่ตัวเองเกิดเป็นครั้งแรก  แล้วยังต้องเดินทางตามลำพังอีก
 ‘ นี่! มันคือการผจญภัย! ’ เขาจะคิดแบบนี้ก็ไม่แปลกอะไร  มองไปยังพื้นทะเลที่ไกลสุดลูกหูลูกตา  ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า  ประเทศที่เขาจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นถึง  3  เดือน  จะเป็นอย่างไร  ผู้คนที่นั่นจะเป็นคนแบบไหน  มันจินตนาการไม่ออกเลย...
   “ จวนจะได้เวลาแล้ว  ขึ้นเรือเถอะอลิส ”  คนเป็นบิดาเอ่ยกับลูก  พลันมองบรรยากาศรอบ ๆ
   “ ดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก  แม่ฝากความคิดถึงไปให้พี่ด้วยนะ  ไปถึงแล้วก็อย่าลืมส่งจดหมายมาบอกแม่ด้วย  แม่จะได้หายห่วง ” ร่ำลาลูกชาย  พลันแววตาก็บ่งบอกถึงความเป็นห่วงอยู่เสมอ
   “ ครับ  ไว้ผมถึงที่โน่นเมื่อไร  จะรีบเขียนจดหมายกลับมาเลยครับ  แล้วก็จะหอมพี่เอมีเผื่อคุณพ่อแล้วก็คุณแม่ด้วย ” ตอบกลับแม่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  ก่อนเอ่ยลาอีกครั้ง  “ ผมไปก่อนนะครับ  คุณพ่อคุณแม่ ” 
   “ เดินทางปลอดภัยนะลูก  ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง ”  แอนนาเอ่ยลาลูกอีกครั้งและไม่วายที่จะอวยพร
                เด็กหนุ่มโบกมือลาบิดากับมารดาอีกครั้งในขณะที่เดินขึ้นเรือสำเภาไป  พร้อมหันกลับมามองอีกครั้งเมื่อถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็เห็นบิดากับมารดาโบกมือให้พร้อมกับยิ้มให้ตนเช่นกัน
                กัปตันเรือส่งสัญญาณบอกให้ลูกเรือรู้ว่าเรือกำลังจะออก  ให้ผู้โดยสารออกห่างจุดอันตราย  จากนั้นก็สั่งให้ลูกเรือถอนสมอเรือ  พร้อมเคลื่อนตัวออกจากฝั่งมุ่งหน้าสู่ดินแดนตะวันออก
                 เสียงนก  เสียงทะเล  แสงอาทิตย์สาดส่องทั่วผืนน้ำ  ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังผจญภัยจริง ๆ เด็กหนุ่มคิดในใจ  พร้อมกับยิ้มรับแสงอาทิตย์ที่ส่องมากระทบผิวหน้านวลเนียน  สูดหายใจเข้าเต็มปอด  แล้วผ่อนลมหายใจเบา ๆ
   “ จะเป็นอย่างไรนะ?  ประเทศสยาม...”
 

 
                                                                          :mew2:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 00:32:22 โดย KesornSama »

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Episode 01
( บ้านเมืองที่ได้พบเห็น  )

                   กว่าสามวันที่อาเธอร์ลิสใช้ชีวิตอยู่บนเรือสำเภา  อาจมีจอดเทียบท่ายังเมืองอื่น ๆ  บ้าง  แต่ก็ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางสักที  ได้ยินกัปตันเรือบอกว่า  น่าจะถึงประเทศสยามภายในวันนี้  แต่ก็รับประกันไม่ได้  เพราะหากมีพายุฝนก็ไม่สามารถออกเรือได้ดังกำหนดการ  อาจจะต้องเข้าเทียบฝั่งยังเมืองใดสักแห่ง  เพื่อรอให้พายุฝนสงบลงถึงจะออกเรือต่อไปได้  ซึ่งจะทำให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ล่าช้าลงไปอีก  หากแต่โชคดีที่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น  ท้องฟ้าที่มืดครึ้มตั้งท่าเหมือนฝนจะตกมาตั้งแต่หลายชั่วโมงก่อนก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้  เพราะท้องฟ้ากลับสดใสไร้ซึ่งความมืดดำของเมฆที่ตั้งเค้าอย่างกับว่าจะก่อตัวเป็นพายุใหญ่ก็ไม่ปาน  พลันหายไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย  มีเพียงแสงแดดอ่อน ๆ สีฟ้าครามของผืนฟ้ามาแทนที่ความมืดครึ้มก็เท่านั้น   แต่นั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มดีใจไม่น้อย  เขารอที่จะถึงยังที่หมายแทบไม่ไหวแล้ว  ในที่สุดก็จะถึงปลายทางสักที  เขาเหนื่อยอ่อนเต็มที่กับการเดินทาง  อยากพักผ่อน  อยากเหยียบบนพื้นดินมากกว่าอยู่บนเรือ  อยากเห็นสถานที่ที่เขาจะไปเยือน  อยากเห็นบ้านเมืองที่เขาไม่เคยพบเห็น...
                  เสียงอึกทึกทำให้เด็กหนุ่มต้องลืมตาตื่น  แล้วชะโงกออกมาดูความวุ่นวาย  อันต้นเหตุของเสียงที่ทำให้เขาหลุดออกจากนิทรา  พอมองออกไปข้างนอกต้องเบิกตากว้างกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า  เรือได้เทียบท่าแล้ว  ผู้โดยสารคนอื่น ๆ กำลังทยอยลงจากเรือ  บรรยากาศท่าเรือที่นี่ดูคึกคักมากกว่าที่ประเทศของเขาเสียอีก  ผู้คนมากมายแต่งกายในเครื่องแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน  พูดจาในภาษาที่ไม่เหมือนกับประเทศของเขา  หากแต่ก็พอฟังออกเพราะบิดาก็ได้สอนเขาพูดเขาเขียนอยู่เสมอ  เพราะประเทศแห่งนี้เป็นที่ที่อัลเบิร์ตมาทำงานมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพูดภาษาของพวกเขาเหล่านี้ได้  และที่โรงเรียนของอาเธอร์ลิสเองก็มีการสอนภาษานี้เป็นรายวิชาเพิ่มเติมเช่นกัน  เรื่องการใช้ภาษาจึงไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาเลยสักนิด  พอเห็นผู้คนลงจากเรือใกล้หมดแล้ว  เด็กหนุ่มก็หันกลับไปเก็บเอากระเป๋าสัมภาระตัวเองมาถือไว้  แล้วมุ่งหน้าไปยังบันไดของเรือที่ทาบเชื่อมกับฝั่งเพื่อให้ผู้คนได้เดินข้ามไป  สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วค่อย ๆ ก้าวไปตามบันไดอย่างช้า ๆ และในที่สุดก็ได้ขึ้นมาเหยียบบนผืนดินอีกฝั่ง  ได้เหยียบอยู่บนประเทศที่ไม่เคยมา  และได้เห็นบรรยากาศต่าง ๆ ที่มองจากบนเรือในระยะใกล้ 
                      ในที่สุดก็ถึงสักที  บ้านเมืองที่ไม่รู้จัก  ผู้คนที่ไม่เคยพบเห็น  ช่างเป็นที่ที่แปลกตาจริง ๆ  แต่กลับทำให้รู้สึกสบายใจ  แค่ได้ก้าวเหยียบลงมายังประเทศแห่งนี้ครั้งแรกก็ทำให้หลงใหลราวกับต้องมนต์
                       อาเธอร์ลิสเดินชมท่าเรืออยู่พักใหญ่หลังจากที่ลงจากเรือมา  เด็กหนุ่มตื่นตาตื่นใจกับหลาย ๆ สิ่งที่พบเห็นเป็นครั้งแรก  ทั้งสินค้าต่าง ๆ ที่ชาวเมืองเอามาค้าขายแลกเปลี่ยนกัน  มีลักษณะที่ไม่เหมือนกับที่ประเทศเขาเลยแม้แต่นิด  ยิ่งมองก็ยิ่งแปลกตาแปลกใจ  การแต่งกายของชาวเมืองก็ช่างแปลกจากประเทศเขาเหลือเกิน  ผู้คนที่นี่ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นกว่าประเทศเขาเสียอีก  ผู้หญิงเปิดไหล่เผยให้เห็นผิวช่วงบนของอกปกปิดแค่ช่วงอกเท่านั้น  ส่วนช่วงร่างก็เป็นกางเกงรูปทรงแปลกตา  ไม่สวมใส่กระโปรงเหมือนที่เมืองของเขา  ส่วนพวกผู้ชายก็ไม่สวมเสื้อ  และที่นี่ก็ไม่มีใครสวมหมวกเหมือนประเทศเขาเลย  เสื้อผ้าก็ไม่หนา อาจเป็นเพราะอากาศที่นี่ไม่หนาวเหมือนประเทศเขาก็ได้  เดินไปสาดสายตาไปก็พลันมองไปเห็นกลุ่มเด็ก ๆ วิ่งเล่นกัน  เมื่อสังเกตดี ๆ ก็ต้องแปลกใจกับทรงผมของเด็ก ๆ เหล่านั้น  เด็กผู้ชายบางคนไม่มีผม  ไม่ใส่เสื้อ สวมใส่กางเกงแปลก ๆ เหมือนพวกผู้ใหญ่  บางคนก็เหมือนมีเขาออกมาข้าง ๆ สองข้าง  ตรงเขาทั้งสองข้างก็จะเป็นผมยาวเหมือนหางม้า  คล้าย ๆ จะมัดเอาไว้  แล้วนอกจากผมสองข้างที่เหมือนหางม้านี้  บนศีรษะก็ไม่มีผมเลย  เหมือนกับว่าโกนออกแล้วไว้ยาวแค่สองเขานี้  แบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบนั่นแหละนะ  เด็ก ๆ ทำอะไรก็น่ารัก  เด็กหนุ่มมองเด็ก ๆ ไปอมยิ้มไป ก่อนจะละสายตาจากเด็ก ๆ เหล่านั้น แล้วก็เดินตามถนนไป  เพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของประเทศสยาม  หลังจากที่เดินดูความคึกคักของท่าเรือจนหนำใจแล้ว...
                    ผู้คนในประเทศนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหยียดเพศกันเท่าไหร่  หรืออาจจะเพียงยังไม่รู้จักเมืองนี้ดีก็อาจเป็นได้  เมื่อเทียบกับประเทศเขาแล้วที่นี่ยังดีกว่ามากเลยทีเดียว  ถึงจะมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิมนุษยชนให้กับประชาชนทุกคนในประเทศ  แต่เหล่าโอเมก้าในอังกฤษก็ยังถูกปฏิบัติเหมือนเป็นส่วนเกินของสังคมอยู่ดี  บางบริษัทก็ไม่รับบุคคลที่เป็นเพศโอเมก้าเข้าทำงาน  ถึงบุคคลนั้นจะเก่งเพียงใดก็ตาม  ถูกจำกัดสิทธิและเสรีภาพในหลาย ๆ ด้าน  ความไม่เท่าเทียมนี้ไม่ใช่ว่าเด็กหนุ่มไม่เคยประสบกับตัว  ตอนเด็ก ๆ เขาก็เคยถูกเพื่อนแกล้งอยู่บ่อยครั้ง  พอขึ้นมัธยมต้นก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำร้ายจิตใจเขาขึ้นอีก โดยมีเพื่อนร่วมห้องที่เป็นอัลฟ่าพยายามจับเขาถอดเสื้อผ้าออก  โชคดีที่ไมเคิลมาเห็นและช่วยไว้ได้ทัน  และอาเธอร์ลิสก็ได้เป็นเพื่อนกับไมเมิลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา   เหตุการณ์ในครั้งนั้นบิดากับมารดาของเด็กหนุ่มก็พยายามจะเอาผิดเด็กกลุ่มนั้นให้ถึงที่สุด  แต่เหมือนว่าทางโรงเรียนจะไม่ให้การช่วยเหลือแต่อย่างใด  บอกว่าแค่เด็ก ๆ เล่นกันสนุก ๆ ไม่มีอะไรให้ต้องทำเป็นเรื่องใหญ่โต  คนเป็นพ่อแม่เมื่อได้ยินแบบนั้นก็โมโห  แต่ก็ทำอะไรไม่ได้  เพราะเด็กกลุ่มนั้นเป็นลูกหลานของผู้บริหารโรงเรียน  ครอบครัววิสนีย์ก็ได้แต่กัดฟันยอมรับคำตัดสินนั้น  ไมเคิลเองก็ไม่พอใจกับความไม่ยุติธรรมนี้เช่นกัน  ถึงเขาจะเป็นอัลฟ่าแต่ก็ไม่ชอบการกระทำที่เห็นแก่ตัวแบบนั้น
                       ช่างแตกต่างกันลิบลับกับประเทศสยามแห่งนี้  ไม่ว่าจะ  อัลฟ่า  เบต้า  หรือโอเมก้า  ทุกคนในเมืองนี้ก็สามารถพูดคุย  ยิ้มให้กันได้  มันให้ความรู้สึกเหมือน  ทุกคนเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเกิดเป็นเพศไหนก็ตาม...
                                                                                  α+Ω
   “ คุณหลวงจะแวะที่ไหนอีกไหมขอรับ กระผมจะได้บอกคนให้ไปเตรียมการไว้รอ ”  ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกล่าวพลาง  เตรียมร่มออกมากางให้ผู้เป็นเจ้านาย
   “ กลับเรือนเลยแล้วกัน  ฉันเบื่อการเอิกเกริกของเอ็งมาทั้งวันแล้วล่ะสมคิด ”  พูดพลางหัวเราะให้กับความเป็นพิธีรีตองของคนรับใช้คนสนิท
   “  ก็กระผมไม่อยากให้ความไร้ระเบียบทำให้คุณหลวงยุ่งยากนี่ขอรับ  เพียงแต่งานราชการคุณหลวงก็เหนื่อยมากแล้ว ”  ทำหน้าหงอย
   “ เอาเป็นว่าวันนี้ฉันเหนื่อยแล้ว  อยากพักผ่อน กลับเรือนเลยแล้วกัน”  ส่ายหน้าอย่างระอาให้กับสีหน้าของคนรับใช้คนสนิท
   “ ขอรับ... คุณหลวง ”  ว่าพลางโค้งศีรษะเพื่อเป็นการน้อมรับ  แล้วเดินไปเปิดประตูรถเพื่อให้ผู้เป็นเจ้านายขึ้นไปนั่ง
                     พอคนรับใช้คนสนิทเปิดประตูรถให้  ชายหนุ่มในเสื้อราชปะแตนสีขาว  นุ่งโจงประเบนสีกรม  สวมถุงเท้ายาวจนปิดขาทั้งหมด  และสวมรองเท้าหนังสีดำ  รูปร่างสูงใหญ่สง่างามก็ก้าวขึ้นไปนั่งในรถ  จากนั้นชายวัยกลางคนก็ปิดประตูรถเมื่อเห็นว่าเจ้านายขึ้นไปนั่งในรถเรียบร้อย  แล้วตนก็เดินมาเปิดประตูรถฝั่งคนขับ  พอนั่งลงและปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็ออกรถทันที
                     พอรถเคลื่อนออกจากบริเวณวัดมาได้สักพัก  ผู้เป็นเจ้านายก็เอ่ยปากให้คนที่ทำหน้าที่ขับรถพาแวะตลาดในเมืองหลวงก่อนที่จะกลับเรือน  ชายวัยกลางคนตอบรับคำสั่งของผู้เป็นนาย  โดยไม่ถามต่อถึงเหตุผลว่าทำไมเจ้านายถึงได้เปลี่ยนใจกระทัน  ไม่มุ่งหน้ากลับเรือนเลยตามที่เคยพูดไว้ก่อนหน้า  แต่กลับมาแวะตลาดเช่นนี้... สักครู่รถคันสีเหลืองซีดก็มาจอดที่ร้านขายผ้าร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ภายในตลาดของเมืองหลวง
                      ชายวัยกลางคนรีบลงมาจากรถแล้วมาเปิดประตูให้ผู้เป็นเจ้านาย  พอประตูรถเปิดออกชายหนุ่มในเครื่องแบบขุนนางก็เดินลงจากรถ  แล้วหันมาสั่งให้คนที่ทำหน้าที่ขับรถมาตลอดทาง  ไปหาที่จอดรถ  เพราะหากจอดตรงนี้จะทำให้สร้างความรำคาญแก่ผู้อื่น  พอสั่งเสร็จก็เดินเข้าไปในร้านทันที 
                       บรรยากาศภายในร้านเต็มไปด้วยสีสันของผ้ามากมายที่เรียงรายกันไว้เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกหาตามใจชอบ  พลันมองไปรอบ ๆ ก็เห็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังวุ่นวายกับการจัดวางตำแหน่งผ้าอยู่มุมหนึ่งภายในร้าน  ทั้งยังเก็บผ้าบางส่วนใส่ในห่อเพื่อนำไปส่งให้ลูกค้าที่ได้สั่งจองไว้  ด้วยมัวแต่ก้ม ๆ เงย ๆ กับแพรผ้าเหล่านั้นทำให้เธอไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านแล้ว...
   “ ยังคงขายดีเหมือนเดิมเลยนะ แม่พะยอม! ”  พูดพลางเปรยยิ้ม
                    พอหันไปหาต้นเสียงก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่คือใคร
   “ คุณหลวง! มาได้อย่างไรเจ้าคะ”
   “ ฉันว่าจะมาหาสไบงาม ๆ สักผืน ว่าจะเอาไปให้คุณแม่น่ะ แม่พะยอมพอจะหาให้ฉันได้บ้างไหม ” พูดออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
    “ ได้เจ้าค่ะ เดี๋ยวอิฉันจะหาให้  โปรดนั่งรอตรงนี้สักประเดี๋ยว ” พูดเสร็จก็ร้อนรนขยับเก้าอี้เพื่อให้ขุนนางหนุ่มได้นั่ง “ อิฉันต้องขออภัยที่ไม่ได้เตรียมการต้อนรับคุณหลวงนะเจ้าคะ  อีกทั้งมัวยุ่งวุ่นวายกับการจัดวางความเรียบร้อยของผ้าอยู่ด้วย  เลยไม่ทราบว่าคุณหลวงมา ” 
   “ อย่ากังวลให้มากความเลยแม่พะยอม  ฉันไม่ถือหรอก! อีกอย่างฉันก็มาแบบไม่บอกไม่กล่าวแม่พะยอมไว้ก่อนเอง  แถมยังมาเร่งให้หาสไบให้อีก  ฉันต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายรบกวนแม่พะยอม ”  พูดพลางยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของหญิงวัยกลางคน
                          ขุนนางหนุ่มขยับเก้าอี้เล็กน้อยเพื่อจะนั่งลง  พะยอมได้ยินชายหนุ่มในชุดราชการกล่าวเช่นนั้นก็ยิ้มร่าออกมา  ก่อนเดินหายเข้าไปมุมหนึ่งของห้อง  ไม่นานนักก็เดินออกมาพร้อมสไบสีเหลืองอ่อน  ผืนหนึ่ง  แล้วเดินมาหาคนที่เธอบอกให้นั่งรออยู่ที่เก้าอี้
   “ ผืนนี้ถูกใจไหมเจ้าคะคุณหลวง ”  ยื่นสไบในมือให้กับชายตรงหน้า
   “ สวยมากเลย  น่าจะเหมาะกับคุณแม่ ” 
                          พอได้สไบแล้วขุนนางหนุ่มก็เอ่ยปากลาเจ้าของร้าน  แล้วเดินออกจากร้านขายผ้า  เพื่อไปขึ้นรถของตนที่ให้คนรับใช้คนสนิทขับไปหาที่จอดไว้ก่อนหน้านี้
                     
α+Ω
                          อาเธอร์ลิสเดินตามทางมาเรื่อย ๆ ก็มาถึงเมืองหลวงของประเทศแห่งนี้  ผู้คนในเมืองหลวงยิ่งคึกคักมากกว่าที่ท่าเรือเสียอีก  อาจจะเพราะที่นี่เป็นศูนย์รวมของชาวเมืองก็ได้  และยังมีตลาดค้าขายสินค้าขนาดใหญ่  ท่าทางจะมีข้าวของเครื่องใช้มากมายที่ผู้คนที่นี่เขาต้องมาหยิบจ่ายใช้สอยหรือหาซื้อในสิ่งที่ต้องการ 
                          เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในตลาดของใจกลางเมืองหลวง  สาดส่ายสายตาไปตามอาคารร้านค้าต่าง ๆ ที่อยู่ด้านข้างของถนนทางเดิน  และก็ยังมีบางร้านที่เป็นร้านแบบวางสินค้าบนพื้น  โดยมีผ้าปูรองสินค้าเหล่านั้นไว้  ประเภทของสิ่งของในตลาดแห่งนี้ก็ไม่แตกต่างไปจากประเทศของเขามากนัก  ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า  เครื่องประดับ  ขนม  หากแต่หน้าตาของสินค้าเหล่านั้นมีลักษณะที่ไม่เหมือนกับที่เขาเคยพบเห็นที่อังกฤษก็แค่นั้น  อาเธอร์ลิสเดินชมสินค้าในตลาดอย่างเพลิดเพลิน  ดูร้านนั้น  แล้วก็ดูร้านนี้  หรืออาจจะบอกได้ว่าเขาดูจนแทบจะครบทุกร้านในตลาดถึงจะถูก  อาจเพราะว่าเป็นสินค้าที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน  มันเลยทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นได้สัมผัส  ร้านแล้วร้านเล่าที่เด็กหนุ่มเดินดูสินค้า  ถึงแม้บางร้านจะเป็นสินค้าที่เหมือน ๆ กันกับร้านที่เขาดูแล้ว  เขาก็ยังเข้าไปดูอีก  โดยไม่รู้สึกเบื่อ  มันกลับทำให้เขารู้สึกสนุกด้วยซ้ำ  ตั้งแต่เขามาถึงประเทศแห่งนี้เขาก็รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่พบเห็นมาตลอดทาง  ทั้งผู้คน  บรรยากาศบ้านเรือน และหลาย ๆ อย่าง  นับได้ว่าเป็นประเทศที่ดีเลยทีเดียว  ตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาเหยียบลงบนผืนดินของประเทศแห่งนี้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบเจอเรื่องที่ทำให้เขาลำบากเลย
                           การจะมีชีวิตอยู่ที่นี่ในช่วงปิดเทอมคงไม่มีอะไรยากนักหรอก  น่าจะใช้ชีวิตในช่วง  3 เดือน  ได้อย่างสงบสุข  เก็บเกี่ยวประสบการณ์ดี ๆ กลับไป... 
                           เด็กหนุ่มเดินดูสินค้าในตลาดไปเรื่อย ๆ  จนสุดตลาด อย่างพอใจแล้ว  เขาจึงตั้งใจว่าจะมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังหนึ่งที่เป็นที่ที่เขาต้องไปเป็นผู้ช่วยงาน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องมาที่เมืองแห่งนี้  อาเธอร์ลิสไม่คิดจะแวะระหว่างทางอีกแล้วล่ะ เพราะเขารู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมานิด ๆ แล้ว  อยากพักผ่อน  เอนตัวลงนอนสบาย ๆ  เต็มแก่แล้ว  แถมตอนนี้ก็เริ่มหิวขึ้นมานิดหน่อย  เพราะตั้งแต่ลงเรือมาก็ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย  ด้วยมัวแต่ตื่นเต้นกับสิ่งที่พบเห็นเลยทำให้เขาลืมความหิวโหยไป 
                            เด็กหนุ่มกางแผนที่ที่นำติดตัวมาออกดู  เนื่องจากเขาเพิ่งมาสยามเป็นครั้งแรก  บิดาเลยมอบแผนที่ของเมืองให้  เพื่อไม่ให้เขาพลัดหลงและจะได้ไปถึงที่หมายได้รวดเร็ว  ภายในแผนที่มีชื่อของหมู่บ้านต่าง ๆ ชื่อสถานที่ทั้งหมดในเมืองนี้  และเส้นทางการเดินทาง  รวมไปถึงระยะทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งอย่างชัดเจน  จากจุดที่เขาอยู่ก็เป็นเขตตลาดในเมืองหลวง   ซึ่งหากมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือก็จะเป็นทางไปบ้านหลังที่เขาตามหา  ระยะทางจากที่นี่ถึงบ้านหลังนั้นก็ไม่ไกลมากนัก  เมื่อเด็กหนุ่มดูแผนที่อย่างละเอียดแล้ว  เขาก็มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือตามที่แผนที่ได้บอกไว้...
                            เด็กหนุ่มเดินตามเส้นทางของตนเองมาเรื่อย ๆ  โดยไม่วายที่จะมองสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัว  ทั้งสองฝั่งทาง  ระยะทางข้างหน้า  อาคารบ้านเรือน   มันก็ยังดึงดูดให้เขาต้องสนใจมันได้เสมอ...  อาเธอร์ลิสเดินไปข้างหน้าด้วยความรื่นเริงใจ  จู่ ๆ ก็พลันได้ยินเสียงของใครบางคนดังขึ้น  จับต้นเสียงได้ก็น่าจะมาจากข้างหน้าของเขา  ซึ่งมองดูรอบ ๆ แล้วก็ไม่มีใครเลย  เด็กหนุ่มจึงเดินไปตามต้นเสียง  ด้วยความอยากรู้ว่าใครกันมาพูดอยู่แถวนี้คนเดียว  แล้วเขาทำอะไร... 
   “ ไอ้สมคิดนะไอ้สมคิด  บอกให้เอารถไปจอด  นี่เอาไปจอดไว้ที่ใดกันนะ  ไปจอดไกลถึงเรือนเลยรึอย่างไร! ”  บ่นไปกวาดสายตาไปรอบ ๆ  เพื่อหารถที่คนรับใช้คนสนิทนำไปรอด  พลางหงุดหงิด  เนื่องจากเดินหามาสักพักก็ยังไม่พบ  เริ่มบ่ายคล้อย  บ่งบอกถึงอีกไม่นานก็จะมืดค่ำแล้ว  ยิ่งทวีความหงุดหงิดขึ้นมา
                           เด็กหนุ่มเดินมาตามเสียงที่เขาได้ยินเมื่อครู่  ไม่นานก็เห็นต้นเสียงที่ทำให้เขาต้องรีบเดินมา  สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเดินไป  พลางบ่นให้ใครบางคน  พลางตะโกนเรียกเป็นครั้งคราว  ในมือข้างหนึ่งถือห่อสีน้ำตาล  คาดว่าจะเป็นถุงใส่อะไรสักอย่าง  ลักษณะน่าจะเป็นชนชั้นสูง  การแต่งกายสะอาดสะอ้าน  ดูภูมิฐานไม่เบา  แตกต่างกับคนที่ท่าเรือโดยลิบลับ  ส่วนมากผู้คนที่ท่าเรือที่เขาเห็นตอนมาถึงที่นี่ใหม่ ๆ จะสวมใส่แค่เสื้อผ้าน้อยชิ้น  โดยเฉพาะผู้ชายส่วนมากไม่ค่อยสวมเสื้อกัน  ถึงตอนที่เขาเข้ามาในเมืองหลวงจะเห็นผู้คนที่สวมเสื้อบ้าง  แต่ก็แตกต่างกับชายคนนี้  โดยเขาเองก็บอกไม่ได้ว่าเพราะอะไรจึงทำให้เขาคิดแบบนั้น  อาจเป็นเพราะชายคนนี้สวมเสื้อผ้ามากชิ้นกว่าคนพวกนั้น  และก็ดูสง่างามมากกว่า  ทุกอย่างบนตัวเขามันดูเข้ากันไปหมด  ทั้งเสื้อสีขาวทรงกระบอกนั่น  กางเกงรูปทรงแปลก ๆ ที่เขาเห็นผู้คนในเมืองใส่  แต่กางเกงของชายคนนี้ดูสวยกว่ามาก  ถุงเท้าที่ใส่ยาวจนหายเข้าไปในขากางเกง  และรองเท้าหนังสีดำนั่น  ช่างเป็นเครื่องแบบที่สวยมากจริง ๆ  อาเธอร์มองชายในเครื่องแบบที่แปลกตานั้นเพลินจนเผลอเดินตามเขาไป...
“ โอ้ย! ” หลุดเสียงออกมาอย่างนั้น  เพราะเท้าไปเตะโดนอะไรบางอย่างที่พื้นเข้า  พอมองดูก็เห็นว่าเป็นท่อนไม้ที่มีตะปูยื่นออกมา  และตะปูสองดอกได้มุดหายเข้าไปในรองเท้าผ้าใบของเขา  เป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาส่งเสียงร้องออกมา  สักพักความเจ็บปวดก็วิ่งผ่านจากปลายเท้าเข้ามา  และลามไปทั่วฝ่าเท้า  จนทำให้เขาปวดไปทั้งเท้าจนไม่สามารถจะเดินต่อไปได้  จึงทรุดตัวลงนั่งทั้งอย่างนั้น  พยายามดึงไม้ที่มีตะปูที่ติดอยู่กับเท้าของเขาออก  ทว่ามันไม่ได้ง่ายเลย  ยิ่งดึงก็ยิ่งเจ็บ  แต่จะปล่อยให้ติดอยู่แบบนี้ก็ไม่ได้  จึงจำเป็นต้องกัดฟันดึงอีกครั้งด้วยแรงที่มี  และในที่สุดก็หลุดออกมา  พอมองไปที่ตะปูที่หลุดออกมาจากรองเท้าของเขากับท่อนไม้  ก็เห็นเลือดสีแดงสดอาบไปทั่วตะปูสองดอกนั่น  เห็นเช่นนั้นก็ถึงกับหน้าซีด  เพราะอาเธอร์ลิสเป็นคนที่กลัวเลือดมาก  ยิ่งมาเห็นว่าเป็นเลือดตัวเอง  ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่  แต่จะมานั่งอยู่อย่างนี้ก็ไม่ได้  เพราะอีกหน่อยก็จะมืดแล้ว  มันไม่ปลอดภัยสำหรับเขา  ที่เป็นโอเมก้า...
พอคิดว่าตั้งสติกับเลือดที่เห็นได้แล้วก็ลุกขึ้นเพื่อรีบไปให้ถึงที่พักสักที  จะได้ทำแผล
“ โอ้ย! เจ็บ! ” ลุกขึ้นได้ก็ต้องเสียหลักล้มลงด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง
                      ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างมาจากด้านหลัง  ขุนนางหนุ่มก็หันกลับไปมอง  ก็เห็นเป็นใครบางคนที่นั่งอยู่กับพื้น  มือทั้งสองข้างกุมที่เท้า  จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาเผื่อต้องการความช่วยเหลือ
                       เด็กหนุ่มปวดเท้ามากขึ้นเรื่อย ๆ  หน้าก็ซีดเผือดขึ้นอีก  เมื่อเห็นเลือดไหลออกมาตามรูที่ดึงตะปูออก  เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นบนใบหน้าจนเปียกชุ่มไปหมด  และหัวก็เริ่มหมุนเมื่อจู่ ๆ จมูกก็ได้กลิ่นหอมหวานอ่อน ๆ ลอยมา  และเริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมา  เมื่อมองไปข้างหน้า  ก็เห็นชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบแปลกตา  กำลังเดินมาทางเขา  ยิ่งเข้ามาใกล้เท่าไร่  กลิ่นก็เริ่มรุนแรงขึ้น
                       สายตาเริ่มพร่ามัว สมองเริ่มเบลอ  ร่างกายร้อนรุ่มขึ้นมาแปลก ๆ  ปวดไปทั้งตัว  ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้  ปวดแค่เท้าแท้ ๆ  แรงที่จะนั่งยังแทบไม่มี  ครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด  และยิ่งชายคนนั้นเข้ามาใกล้เท่าไหร่  กลิ่นก็ยิ่งฉุนมากขึ้นเท่านั้น  แล้วมันก็ทำให้เขาหายใจไม่ออก  เหมือนกำลังจะขาดใจ
   นี่มันอะไรกัน  ทำไมถึงปวดไปทั้งตัวขนาดนี้  ไม่ผิดแน่! กลิ่นมาจากตัวเขา  มันทำให้ร่างกายเราอ่อนแรง...
                        ขุนนางหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของคนที่นั่งอยู่กับพื้น  ไม่สิ  ตอนนี้ลงไปหมอบอยู่กับพื้นแทนแล้ว  ท่าทางจะทรมานน่าดู  พอสำรวจดูด้วยสายตาแล้ว  ก็รู้ว่าไม่ใช่คนสยาม  ทั้งมีผมสีน้ำตาลอ่อน  ผิวที่ขาวเนียน  ดวงตาที่มีสีฟ้าปนเทา  ไหนจะการแต่งกายอีก  เป็นคนที่มาจากยุโรปไม่ปิดแน่  ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว  น่าจะเป็นแค่เด็กที่กำลังเรียนหนังสืออยู่  แล้วมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน  พ่อแม่ไปไหน  ทำไมปล่อยให้ลูกที่ป่วยขนาดนี้ออกมาเดินคนเดียว  คำถามมากมายที่ผุดขึ้นภายในหัวของขุนนางหนุ่ม  แต่ก็ต้องหยุดคิดไปก่อนเมื่อเห็นคนตรงหน้า  ดิ้นพล่านอยู่กับพื้นด้วยด้วยความทรมาน  ทุรนทุรายเหมือนจะขาดใจให้ได้ในตอนนี้
   “ เป็นอย่างไรบ้าง  ไหวหรือเปล่า ”  เอ่ยกับคนที่นอนอยู่บนพื้น  พลางโน้มตัวลง  คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น
   “...”  ยังไม่ได้ตอบกลับไป
   “ ไม่ตอบ? หรือว่าเอ็งฟังที่ฉันพูดไม่เข้าใจอย่างนั้นรึ? ”  เห็นเด็กหนุ่มเงียบจึงถามย้ำออกไป
   “ ปะ... เปล่าครับ  ผม ฟะ... ฟังออก ”  เสียงกระเส่า  และหอบแรงขึ้น
   “ ดี  ถ้าอย่างนั้นเอ็งบอกฉันมาว่าเรือนอยู่ที่ใด  เดี๋ยวฉันจะไปส่ง  แล้วจะช่วยตามหมอมาดูอาการให้ ”  เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเริ่มแย่ลงก็รีบถามออกไปทันที
   “ อะ... ออกไปให้ห่างผม  กลิ่นของคุณมันทำให้ผมปวดหัว...”  ออกปากไล่ไปให้ห่าง  เพราะหากชายหนุ่มยังอยู่ใกล้  ต้องทำให้ขาดใจตายแน่ ๆ
                            ขุนนางหนุ่มได้ยินคนที่นอนกองอยู่ที่พื้นพูดเช่นนั้นก็หัวเสีย  หากแต่จมูกของเขาก็ได้กลิ่นหอมหวานรุนแรงมาก  จนทำให้เขาต้องยกมือปิดจมูก  เพื่อป้องกันไม่ให้สูดเข้าไป  แต่ก็เหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเลย  เพราะเขาได้สูดกลิ่นนั้นเข้าไปแล้ว  ทำให้กลิ่นหอมนั้นยังติดอยู่ที่จมูกของเขา
                            ไม่ผิดแน่  กลิ่นหอมนี้ออกมาจากตัวของเด็กคนนี้  อันที่จริงก่อนหน้านี้จมูกก็ไม่ใช่ไม่ได้กลิ่น  เพียงแต่กลิ่นมันหอมจาง ๆ  ไม่ได้รุนแรงขนาดนี้  กลิ่นหอมจากเด็กคนนี้เริ่มทำให้ครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาแล้ว
   “ หรือว่าเอ็งจะ... เข้าฤดูประสมพันธุ์  ”  อาการแบบนี้  ทั้งกลิ่นหอมแบบนี้อีก  เด็กคนนี้ต้องเป็น...
   “ พะ... พูดอะไรของคุณ  ออกไปให้ห่างผม  กลิ่นของคุณมันทำให้ผม... ฮึก! ”  รู้สึกเหมือนช่วงกลางของลำตัวตื่นตัวขึ้น  ค่อย ๆ ดุนดันกางเกงจนคับแน่น
   “ ก็เอ็งเป็น... ชนชั้นผลิตทายาทไม่ใช่รึ!? ” โน้มหน้าลงไปกระซิบใกล้ ๆ ใบหน้าของคนที่นอนบิดตัวอยู่บนพื้น
   “ รีบไปจากที่นี่ให้เร็วเสียเถอะ! ก่อนที่เอ็งจะถูกชนชั้นผู้นำคนอื่น ๆ มาหามไปทำเมีย ”  โพล่งออกไปเมื่อเห็นว่า  อีกฝ่ายเริ่มส่งกลิ่นล่อรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ 
   “ ฮึก! ปะ... ปล่อยผมนะ! ปล่อย...”  ไม่มีแรงแม้แต่จะขัดขืน
                            ขุนนางหนุ่มไม่สนใจเสียงร้องจากเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนเลยแม้แต่น้อย  เมื่อรวบร่างของคนตัวเล็กกว่ามาไว้ในอ้อมแขนได้แล้วก็รีบเดินไปข้างหน้าต่อ  เพื่อไปยังรถของตน  จากที่เดินหามานานโข  ก็เห็นรถของตนที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ๆ ตนอย่างช้า ๆ  ทันทีที่รถจอดลง  คนบนรถรีบวิ่งหน้าตาตื่นลงมา  เมื่อเห็นเจ้านายเหงื่อไหลท่วมใบหน้า  และในมือยังอุ้มเด็กผู้ชายที่หน้าตาซีดเผือดหายใจหอบเหือดอยู่  ยิ่งสร้างความประหวั่นใจให้ชายวัยกลางคนมากขึ้นอีก
   “ คุณหลวง! นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ!? ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
   “ อย่าเพิ่งถามให้มากความ!  รีบไปจากที่นี่ก่อนเร็ว! ”
   “ ละ... แล้วจะให้กระผมพาไปที่ไหนหรือขอรับ!? ” ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ เมื่อเห็นท่าทีรีบร้อนของเจ้านาย
   “ กลับเรือน! ”
   “ ขะ... ขอรับคุณหลวง ”
                         ชายวัยกลางคนรีบเปิดประตูรถให้ผู้เป็นเจ้านายที่อุ้มเด็กหนุ่มชาวฝรั่งขึ้นไปทันที  เมื่อปิดประตูลงตนก็รีบกลับมานั่งยังฝั่งคนขับ  เคลื่อนรถออกจากที่แห่งนั้นโดยเร็ว  เพื่อมุ่งหน้าไปยังเรือนที่ผู้เป็นเจ้านายได้ออกปากสั่ง...

                                                                                 :mew3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2017 22:45:37 โดย KesornSama »

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Episode 02
( เนื้อคู่คือคู่แห่งโชคชะตา )

                    รถเคลื่อนตัวออกมาได้สักพัก  ผู้ที่ทำหน้าที่ขับรถเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าผู้เป็นเจ้านายเริ่มแย่ลง  ทั้งเหงื่อเม็ดใหญ่ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าคม  และอาการหอบหนักนั่นอีก  ก็อดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้
   “ คุณหลวง  สบายดีหรือเปล่าขอรับ! ”
   “ ฉันยังไหวอยู่  รีบเร่งรถเข้าเสียเถอะ!  ก่อนที่ฉันจะไม่ไหว ”
                     จะไม่ให้พูดออกไปอย่างนั้นได้อย่างไรเล่า  ยิ่งอยู่ใกล้เด็กนี่ก็ยิ่งทำให้ได้กลิ่นยั่วยวนนี้รุนแรงขึ้น  ยิ่งกายได้สัมผัสกับกายแบบนี้  ยิ่งทำให้ลำบากเข้าไปใหญ่  ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป  จะต้องควบคุมตนเองไม่อยู่เชียว  อาจพลั้งมือปล้ำเด็กนี่เป็นแน่แท้!
                       ไม่นานเท่าไรนัก  รถคันสีเหลืองซีดก็ได้แล่นเข้ามาจอดหน้าเรือนไม้ทรงไทยหลังใหญ่  ที่มีชานยื่นออกมา  มีบันไดข้างนอกตัวเรือนเชื่อมต่อกับตัวเรือน  รอบ ๆ อาณาบริเวณบ้านมีดอกไม้พืชประดับต่าง ๆปลูกอยู่รอบตัวเรือนอย่างสวยงาม  บ่งบอกว่าต้องเป็นเรือนของขุนนางหรือชนชั้นสูงเป็นแน่แท้ 
                        พอรถจอดสนิท  ชายผู้ที่ทำหน้าที่ขับรถก็รีบวิ่งมาเปิดประตูรถให้ผู้เป็นเจ้านายโดยเร็ว  ทันใดที่ประตูรถเปิดออกขุนนางหนุ่มก็ลุกออกมาจากรถ  แล้วโน้มตัวลงไปช้อนร่างคนที่นอนหายใจหอบกระเส่าอยู่ภายในรถมาไว้ในอ้อมแขน  แล้วรีบก้าวขึ้นบันไดไป   
                        ทันทีที่ขึ้นบันไดมาถึงบนเรือนด้วยท่าทางร้อนรน  ก็ทำเอาคนที่อยู่บนเรือนตื่นตระหนกไปตาม ๆ กัน  และก็มีหญิงรับใช้คนหนึ่งวิ่งไปตามใครบางคนเพื่อมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ชายหนุ่มไม่ได้สนใจสายตาของคนรับใช้บนเรือนแต่อย่างใด  รีบอุ้มร่างเล็กเข้าไปในห้องของตนทันที  เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นจากตัวของคนในอ้อมแขนไปทำให้ใครคลั่งขึ้นมาอีก
                        หลังจากที่ได้ยินคนรับใช้บอกเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น  คุณหญิงเพ็ญก็รีบพรูมายังห้องนอนของลูกชายทันที  เมื่อเปิดประตูห้องออกก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น  ลูกชายหน้าแดงจนไปถึงคอ  หายใจหอบหนัก  ใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลอาบไปทั้งหน้านั่งอยู่ข้างเตียง  แล้วยังมีเด็กหนุ่มนอนดิ้นบิดเร่าไปทั้งตัวอยู่บนเตียงอีกด้วย  มิหนำซ้ำยังปล่อยกลิ่นหอมออกมาแรงคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง  จากสิ่งที่เห็นไม่ต้องบอก  คุณหญิงก็พอจะรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น 
                        เดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลงกลอน  ตรวจดูจนแน่ใจว่าแน่นหนาพอจึงเดินเข้ามาหาลูกชาย
   “ พ่อภาคินเป็นอย่างไรบ้าง ”   ว่าพลางจับไหล่ผู้เป็นลูกชาย  มืออีกข้างประคองหน้าคมให้หันมาสบตา
   “ กระผม  ท... แทบจะทนไม่ไหวแล้วขอรับ ”
                         ความเป็นชายในตัวของหลวงภาคินคึกขืนขึ้นมาเต็มที่  อยากจะปลดปล่อยออกมาเสียโดยเร็ว
   “ อดทนไว้เสียก่อน  เดี๋ยวแม่หายาแก้มาให้! ”  บอกออกไปอย่างนั้นแล้วรีบออกไปจากห้องทันที
                         ทันทีที่ผู้เป็นมารดาออกไปจากห้อง  ภายในห้องก็มีเพียงหลวงภาคินกับเด็กหนุ่มที่นอนหอบกระเส่าอยู่บนเตียงของเขา  ตอนนี้ในหัวของเขาคิดอะไรไม่ออกแล้ว  เขาเกือบจะสูญเสียความเป็นตัวเองอย่างสมบูรณ์  ยิ่งเมื่อมองไปยังร่างที่ทุกข์ทรมานด้วยความต้องการเขาเช่นนั้น  เขาก็แทบจะควบคุมความต้องการของตนเองไว้ไม่อยู่
 ร่างใหญ่ลุกขึ้นจากพื้นแล้วนั่งลงข้าง ๆ  ร่างที่ดิ้นอยู่บนเตียงด้วยความทรมาน  มือวางลงบนแขนเล็ก  ลูบไล้ไปมาจนถึงต้นแขน  ลากมาบนอกบางเบา ๆ  แล้วค่อย ๆ เลื่อนลงมาจนถึงหน้าท้อง  มืออีกข้างถลกเสื้อคนที่นอนอยู่ขึ้นไว้เหนืออก  จนทำให้เห็นยอดอกสีกุหลาบที่ตั้งล่อตาล่อใจให้ลงไปลิ้มลอง  สายตาคมมองสำรวจไปยังร่างของคนที่นอนอยู่ก็ทำให้รู้ว่า ‘ไม่ใช้แค่อกเท่านั้นที่น่าลอง  แต่มันทั้งตัวเลยที่น่าลองไปหมด ’  ทั้งผิวที่ขาวเนียนสม่ำเสมอไปทั่วทั้งกาย  ดวงตาหวานเยิ้มที่มองมาทางเขา  ริมฝีปากแดงระเรื่อที่เม้มเข้าหากัน  แก้มนวลใสที่ชวนให้หยอกเย้า  ทั้งหมดนี้มันแทบทำให้ชายหนุ่มคลั่ง  มือใหญ่ไม่รอช้าที่จะเลื่อนไปปลดตะขอกางเกงของคนที่นอนอยู่  แต่มันไม่ได้ง่ายนัก  เพราะคนตัวเล็กดิ้นไปดิ้นมา  เพื่อป้องกันไม่ให้เขามายุ่มย่ามกับกางเกงของตนได้
   “ ปะ...ปล่อยนะ! เอามืออกไป! ” ออกแรงดิ้นสุดกำลังเพื่อให้หลุดพ้นจากการคุกคามนี้
   “ ฉันจะช่วยให้สบายขึ้น  อยู่เฉย ๆ เสียเถอะ! ”  มือข้างหนึ่งรวบแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไว้เหนือศีรษะ
   “ ยะ...อย่าทำอะไรผมเลยนะ กะ...กลัวแล้ว ” ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งตัว  ยิ่งถูกคนตรงหน้าสัมผัสตัว  ร่างกายก็ยิ่งร้อนรุ่มขึ้นอีก  กลิ่นหอมก็ยิ่งทวีมากขึ้นเช่นกัน
                            อาเธอร์ลิสพยายามสุดแรงที่จะสลัดตัวเองให้หลุดจากการถูกเกาะกุม  แต่ก็ไม่เป็นผล  เพราะคนตรงหน้ามีแรงมากกว่าเขาหลายเท่า  ยิ่งตอนนี้เขาที่ถูกกดให้นอนราบอยู่บนเตียงก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ  และก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อตะขอกางเกงของเขาถูกปลดออกได้สำเร็จ  โดยน้ำมือของคนตรงหน้า  เมื่อเห็นเช่นนั้น  เด็กหนุ่มก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยของตนเอง  พยายามดิ้นจนสุดแรงอีกครั้ง  โดยหมายจะให้หลุดจากมือชายหนุ่มไปให้ได้
   “ ปล่อยนะ! ” 
   “...”
                            ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ  จากขุนนางหนุ่ม  ร่างใหญ่ขึ้นมาค่อมบนร่างเล็กไว้  แล้วโน้มใบหน้ามาใกล้กับริมฝีปากบาง  ก่อนเอ่ยด้วยเสียงกระเส่ากับคนใต้ร่าง
   “ เป็นของฉันเสียเถอะ! ”
   “ อย่ามาพูดบ้า ๆ นะ ฮึก! ” ตาเบิกโพลงทันทีที่ถูกประทับจูบลงที่ลำคอ
                            หลวงภาคินซุกไซ้ใบหน้าไปตามซอกคอขาว  สูดดมกลิ่นหอมของคนใต้ร่างอย่างเหือดกระหาย  มืออีกข้างเลื่อนมาบีบเค้นกับยอดออกสีสวย  ก่อนจะผละใบหน้าออกมาจากซอกคอขาวแล้วประทับจูบลงกับยอดอกสีกุหลาบแทน  ริมฝีปากหนาถูกแยกออกเพื่อจะเขมือบเม็ดทับทิมเข้าไป  จากเค้นดูดเบา ๆ ก็เริ่มหนักหน่วงขึ้น  เมื่อดูดข้างหนึ่งจนชุ่มแล้ว  ก็หันไปดูดอีกข้างหนึ่ง  ทำเอาคนใต้ร่างสะท้านไปทั้งตัว  แอ่นอกรับสัมผัสอันเร่าร้อนนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้  และในที่สุดสติสัมปชัญญะของเด็กหนุ่มก็หลุดลอยไป  มีเพียงความต้องการที่จะปลดปล่อยเท่านั้นเข้ามาแทนที่
                             ยิ่งได้ยินเสียงครางกระเส่าของคนใต้ร่าง  ชายหนุ่มก็ยิ่งคลั่ง  และก็ต้องผละริมฝีปากออกจากยอดอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดดิ้นและเงียบไป  มีเพียงเสียงหอบกระเส่าเท่านั้น  และก็ทำให้เขาแทบควบคุมสติไม่อยู่เมื่อมองไปยังใบหน้าของคนใต้ร่างที่มองมาทางเขาด้วยสายตาหวานเยิ้ม  ใบหน้าแดงฉาน  ริมฝีปากแดงระเรื่อ
ช่างยั่วยวนเหลือเกิน!
ตอนนี้อาเธอร์ลิสไม่รู้ว่าตนเองทำสีหน้าแบบไหนออกไป  และมันก็ทำให้ชายหนุ่มแทบคลั่ง 
“ ผะ... ผมไม่ไหวแล้ว! ” พูดออกไปแบบไม่ได้สติ  ช่วงกลางลำตัวที่คับแน่นมาตั้งแต่พบหน้ากัน  ก็สงบลง  เมื่อมีบางสิ่งไหลออกมาจนทำให้กางเกงเปียกชุ่ม  หลุดเสียงครางอย่างพอใจออกมา  “ อา...” 
ตอนนี้หลวงภาคินก็ไม่คิดที่จะหยุดแล้ว  เขาต้องทำต่อจนจบ  เพื่อปลดปล่อยความเป็นชายของเขาให้เป็นอิสระ  ใบหน้าคมโน้มลงใบประทับจูบลงบนหน้าผากขาวเบา ๆ  แล้วเลื่อนมาประทับจูบลงบนแก้มใสทั้งสองข้างอย่างทนุถนอม  และเป้าหมายต่อไปของเขาก็คือ  การครอบครองริมฝีปากสีกุหลาบของคนที่นอนทำสายตาหวานเยิ้มให้เขาอยู่  ใบหน้าคร้ามก้มลงหมายจะประทับจุมพิตให้กับคนใต้ร่างก็ต้องชะงัก  เมื่อได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากทางด้านหลัง
แอ๊ด!
“ หยุดแค่นั้นเสียเถอะ! พ่อภาคิน ”
                                ชายหนุ่มหยุดการกระทำทุกอย่าง  แล้วหันไปยังต้นเสียงก็เห็นว่าผู้เป็นมารดายืนอยู่
“ นี่พ่อคิดจะทำอะไรรึ! ”  ว่าพลางเดินเข้ามาหา  แล้วยื่นห่อผ้าบางอย่างให้  ซึ่งมันก็คือห่อยาสำหรับแก้อาการร้อนรุ่มที่ทำให้ชายหนุ่มเกิดอาการกำหนัดนั่นเอง
                                หลวงภาคินรับห่อยาจากผู้เป็นมารดา  แล้วเปิดห่อผ้าออก  หยิบยาสำหรับแก้อาการของตนขึ้นมา ซึ่งได้ใส่ไว้ในผอบ  ชายหนุ่มเปิดฝาผอบออก  แล้วสูดดมกลิ่นยานั้นเข้าไป  ซักพักอาการกำหนัดก็ทุเลาลง
“ กระผมต้องขอโทษคุณแม่ด้วยนะขอรับ  ที่คิดจะทำเรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ ”  เอ่ยออกไปเช่นนั้น  เมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาสมบูรณ์
                           เมื่อได้ฟังที่ลูกชายพูดออกมา  ก็พลันถอนหายใจก่อนจะพูดออกมา  “ ถึงมันจะยังไม่เกิดเรื่องไม่ดีงามขึ้น  แต่พ่อภาคินก็ควรหักห้ามใจให้มากกว่านี้สักหน่อย ”
“ กระผมผิดไปแล้วขอรับ ” บอกไปด้วยความสำนึกผิดจริง ๆ
“ เอาเถอะ ๆ จะเล่าให้แม่ฟังได้หรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น! เล่ามาอย่างละเอียด! ” ถามออกไปด้วยอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับเหตุวุ่นวายนี้
                              ชายหนุ่มถอนหายใจยาว  พลางก้มลงมองคนที่นอนสลบไสลอยู่บนเตียงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  ก่อนหันมาสบตากับผู้เป็นมารดาที่นั่งจ้องหน้าเขาอย่างไม่กระพริบ
“ เรื่องมันก็คือ...กระผมบังเอิญเห็นเด็กคนนี้ระแหวกตลาดในพระนครหลวงขอรับ  เห็นเขาลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นดูท่าทางเหมือนจะไม่สบาย  กระผมเลยเข้าไปหาเพื่อจะช่วยพากลับเรือน  แล้วจู่ ๆ... ”  ชะงักไป  กำลังชั่งใจว่าจะเล่าต่อหรือเปล่า
“ มีอะไรรึ? เล่าต่อให้จบ! ” โพล่งออกไปเพราะอีกฝ่ายหยุดเล่าทั้ง ๆที่ยังพูดไม่จบ
                                พอมารดาบอกมาอย่างนั้น  จึงตัดสินใจเล่าต่อ  “ จู่ ๆ เด็กคนนี้ก็ลงไปดิ้นพล่านอยู่ที่พื้น  แล้วส่งกลิ่นล่อออกมา  มันจึงทำให้ผมรู้ว่าเขาคงเข้าฤดูประสมพันธุ์  แล้วกลิ่นนี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้กระผมเกิดอาการกำหนัดเช่นนี้ขอหรับ  แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือ...” ชะงักไปอีกรอบ  พลางก้มลงไปมองคนที่นอนหลับอยู่อีกครั้ง
เห็นลูกทิ้งประโยคที่ยังไม่จบไว้อีกครั้ง  ก็ข้องใจเลยโพล่งออกไป  “ มีอะไรอีกอย่างนั้นรึ?  พ่อภาคิน ”
   “ เขาไล่กระผมออกไปให้ไกล  คล้าย ๆ กับจะบอกว่ากลิ่นของผมทำให้เขาเกิดอาการเหล่านั้นก็ไม่ปานอย่างไรอย่างนั้น ”
                           เมื่อได้ฟังลูกชายพูดออกมาเช่นนั้น  ใบหน้าของคุณหญิงเพ็ญก็มีรอยยิ้มขึ้นมาบาง ๆ  พลางก้มมองเด็กหนุ่มที่นอนหลับอยู่  แล้วก็ย้ายสายตามายังลูกชายที่อยู่ตรงหน้า  จนทำให้ผู้เป็นลูกชายอดสงสัยไม่ได้กับอาการของมารดาหลังจากที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดที่เขาเล่า 
   “ มีอะไรหรือเปล่าขอรับ? ”  ถามออกไปด้วยความสงสัย
   “ เด็กคนนี้  เป็นเนื้อคู่ของพ่อ ”  พูดไปยิ้มไป  พลางก้มมองคนที่นอนอยู่
   “ ว่ากระไรนะขอรับ!? ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจ  และแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
   “ เด็กคนนี้  เป็นเนื้อคู่ของพ่อภาคิน  เป็นคนที่ฟ้าสร้างมาคู่กัน  เป็นคู่แห่งโชคชะตาของกันและกันอย่างไรล่ะ! ”  อธิบายให้ชัดเจน  เพื่อคลายความข้องใจ
   “ มะ... ไม่มีทางหรอกขอรับ  กระผมไม่ได้รู้จักชอบพอกับเด็กนี่  อีกอย่างเขาก็ไม่ใช่คนสยามเสียด้วย  ชื่อเสียงเรียงนามก็ยังไม่รู้จัก ” 
                              ไม่ยอมรับกับสิ่งที่มารดาพูด  และไม่มีทางที่จะไปเป็นเนื้อคู่หรือคู่แห่งโชคชะตาอะไรนั่นอย่างแน่นอน 
                              ได้ยินลูกชายพูดเช่นนั้นก็อดที่จะพูดต่อไม่ได้  “ เนื้อคู่  ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันมาก่อนหรอก  ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน  สุดท้ายก็ได้พบเจอกัน  ไม่อย่างนั้นเขาจะเรียกว่าเนื้อคู่ได้อย่างไรกันเล่า...ถึงพ่อจะปฏิเสธอย่างไรเนื้อคู่ของพ่อภาคินก็คือเด็กคนนี้ไม่มีเปลี่ยน ”
   “ แต่...กระผมไม่ได้เสน่หาหรือชอบพอเด็กคนนี้นะขอรับ! ” ปฏิเสธเสียงแข็ง
   “ ก็ค่อย ๆ ดูกันไป  อยู่กินกันไปก็รักกันไปเอง...”  ไม่ละความพยายามที่จะโน้มน้าวใจให้อีกฝ่ายโอนอ่อนตาม
   “ แต่...” พูดยังไม่จบก็ถูกผู้เป็นมารดาสวนขึ้นมาก่อน
   “ แม่อยากอุ้มหลาน  พ่อก็จะเบญจเพสแล้ว  อยู่ครองโสดมาตั้งนานนมจนได้เป็นคุณหลวงเช่นนี้  แม่ก็ร่วงโรยไปตามกาลเวลา  ก็อยากเห็นใครมาดูแลพ่อภาคินของแม่  อยากมีหลานตัวเล็ก ๆ วิ่งเล่นกันบนเรือน  คงจะทำให้ชีวิตคนแก่อย่างแม่กระชุ่มกระชวยได้ไม่น้อย ”
                                     พูดจุดประสงค์ของตนเองออกไป  เพื่อให้ลูกชายใจอ่อน  เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังเงียบ  จึงพูดขึ้นมาอีกว่า  “ อย่างไรเสียเนื้อคู่ก็มาให้เจอแล้ว  พ่อภาคินก็ให้มันเป็นไปตามที่โชคชะตาลิขิตเสียเถิด  แม่เชื่อว่าฟ้าคงจะส่งคนที่ดีที่สุดมาให้ลูกของแม่อย่างแน่นอน ”
                                     เอ่ยสิ่งที่จะพูดกับลูกชายจบก็ลุกขึ้นยืน  ตบไหล่ลูกเบา ๆ  แล้วเดินออกจากห้องไป  ปล่อยให้ภายในห้องมีเพียงขุนนางหนุ่มกับเนื้อคู่อยู่กันเพียงสองคน  แต่บรรยากาศมันช่างแตกต่างกับก่อนหน้านี้อย่างลิบลับ  เพราะก่อนหน้านี้เขาทำอะไรลงไปด้วยความขาดสติสัมปชัญญะ  แต่ตอนนี้หายเป็นปกติแล้ว  และก็ไม่อยากที่จะยอมรับกับสิ่งที่เขาเพิ่งได้รู้เลย  ‘ อะไรกัน!  เด็กที่เพิ่งพบกันกลายมาเป็นเนื้อคู่  นี่มันเรื่องบ้าหรืออย่างไร’ มันอดไม่ได้ที่จะคิดแบบนี้  เขาไม่ได้รังเกียจว่าเด็กคนนี้จะเป็นใคร  มีฐานะอย่างไร  แต่ที่เขาปฏิเสธ  ก็เพราะว่าไม่ได้รัก  เขาจะอยู่กับคนที่ไม่ได้รักได้อย่างไรกัน  ‘ ไม่มีทางเสียหรอก ’ หันไปมองคนที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วก็พาลให้หงุดหงิด  ลุกพรวดขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกประตูไป  แล้วไม่หันกลับมามองภายในห้องอีกเลย...
                                                                                      α+Ω
                                หลังจากหลับใหลไปนานเสียจนมืดค่ำ  ร่างบางก็ค่อย ๆ  รู้สึกตัว  ก่อนจะลืมตาขึ้น  แล้วขยับตัวลุกนั่ง  มองไปรอบ ๆ ห้องก็รู้สึกแปลกตา อีกทั้งแปลกใจว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร  จำได้ว่าเจ็บเท้าจนลุกไม่ได้  แล้วก็มีผู้ชายสวมใส่ชุดเครื่องแบบแปลกตามาคุยกับเขา  และกลิ่นหอมของผู้ชายคนนั้นก็ทำให้เขาครั่นเนื้อครั่นตัว  หลังจากนั้นภาพในหัวมันก็เบลอไปหมด  แล้วก็จำไม่ได้ในที่สุด  ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว...
                          แอ๊ด!
                          เสียงประตูค่อย ๆ เปิดออก  ทำให้เด็กหนุ่มต้องหันไปมองยังต้นเสียง  แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นผู้มาใหม่เดินเข้ามาในห้อง
   “ รู้สึกตัวแล้วรึ! ฉันเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน  จะได้สบายตัวขึ้น! ”  ว่าพลางวางเสื้อผ้าที่ถือมาไว้ข้าง ๆ ลำตัวของอีกฝ่าย
   “...”  ไม่ได้ตอบกลับไป  ได้แต่มองไปยังผู้มาใหม่ด้วยความฉงนสงสัย
   “ เอ็งพูดไม่ได้อย่างนั้นรึ?  ไม่ต้องกลัวฉัน  สบายใจได้  ฉันไม่ทำอะไรเอ็งหรอก! ”  พูดออกไปเพราะเห็นอีกฝ่ายมองมาด้วยสายตาหวาดระแวง
                        เมื่อเห็นผู้อาวุโสกว่าเอ่ยออกมาเช่นนั้นก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น
   “ ผ... ผมพูดได้ครับ! ”  ตอบกลับไปพลางมองคนที่อยู่ตรงหน้า
   “ พูดภาษาพวกฉันได้ด้วยรึ! เอ็งเป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน  ดูจากรูปร่างหน้าตาไม่ใช่คนสยามเป็นแน่แท้  หรือว่าเป็นลูกแหม่ม? ”  ว่าพลางพินิจดูเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
   “ คือ...ผมเรียนภาษาของพวกท่านมาบ้างน่ะครับ  ผมมาที่นี่เพื่อมาช่วยงานพี่สาวที่เป็นหมอรักษาอยู่เมืองนี้น่ะครับ ”  ตอบคำถามของอีกฝ่ายไปเช่นนั้น  ก่อนจะเอ่ยต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังมองมาที่ตน  คล้ายบอกว่ายังตอบไม่ครบในสิ่งที่ถามมา
   “ พ่อของผมเป็นชาวอังกฤษครับ  มาทำงานเป็นหมอรักษาอยู่ที่สยามตั้งแต่ผมเล็ก ๆ แล้ว  แต่ตอนนี้มีงานด่วนเข้ามา  ทำให้ถูกเรียกตัวกลับไปช่วยงานที่บ้านเกิด  พ่อเลยให้ผมมาช่วยงานพี่สาว  เพื่อแบ่งเบาภาระงานบ้างน่ะครับ ”
   “ หมอฝรั่งอย่างนั้นรึ!  ในสยามก็มีไม่กี่คน  แล้วพ่อเอ็งชื่อว่ากระไร? ”  ถามไปพลางนึกไป
   “ อัลเบิร์ต  วิสนีย์ครับ ” บอกพลางยิ้มบาง ๆ ให้กับคนที่ถาม
   “ ตายแล้ว! นี่ลูกของหมออัลหรอกรึ! ”  อุทานออกมาด้วยความตกใจ
   “ คะ... ครับ”  ตอบรับด้วยความตื่นตระหนก  เมื่อเห็นคนตรงหน้าท่าทางตื่นเต้นกับคำตอบที่ตอบออกไป
   “ แล้วเอ็งชื่อว่ากระไร? ”  ถามออกไปเมื่อหายจากอาการตกใจ
   “ อะ...อาเธอร์ลิสครับ ”  บอกชื่อไปด้วยท่าทางประหม่า
   “ หยุดพูดติดอ่างได้แล้ว  ไม่ต้องกลัวฉัน  คนกันเองทั้งนั้น ”  พูดพลางหัวเราะ หึ ๆ ในลำคอเมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกของเด็กหนุ่ม
   “ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเถอะ!  จะได้ออกไปกินข้าวกินปลา ”  พูดพลางส่งยิ้มให้
   “ ขอบคุณสำหรับเสื้อผ้าครับ  ส่วนเรื่องอาหารคือผมยังไม่...” พูดยังไม่จบก็ต้องชะงัก...
                              โครก!
                               ท้องทรยศก็ดันร้องขึ้นมาเสียงดัง  ทำให้ผู้หญิงมีอายุตรงหน้าหลุดขำออกมา
   “ ร้องดังขนาดนี้  กินช้างได้ทั้งตัวเลยกระมัง ” แซวออกไปกับเสียงท้องร้องของคนที่กำลังจะบอกว่าไม่หิว
   “...”
                                  อาเธอร์ลิสไม่ได้ตอบกลับไปกับคำหยอกเย้าของอีกฝ่ายแต่อย่างใด  ได้แต่นั่งหน้าแดงเป็นลูกตำลึงด้วยความเขินอาย... ยิ่งทำหน้าแบบนี้ยิ่งทำให้คุณหญิงเพ็ญรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาอีก
   “ เอาเป็นว่าเอ็งรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า  แล้วออกไปข้างนอก  ข้าจะให้คนจัดสำรับเอาไว้ให้ ” 
   “ ขะ...ขอบคุณครับ คุณ...”  ชะงักไป  เพราะไม่รู้ว่าจะเรียกผู้หญิงตรงหน้านี้ว่าอย่างไรดี
   “ เรียกฉันว่าคุณหญิงเพ็ญเถอะจ้ะ ”   โพล่งออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายชะงักไป  พร้อมยื่นมือไปกุมมือคนตรงหน้าไว้
   “ ไหน  ขยับมาใกล้ ๆ สิ! ”  ออกปากสั่งออกไป
                               เมื่อได้ยินคุณหญิงบอกก็พลันขยับเข้าไปหาด้วยความประหม่า
                                มือของคนมีอายุจับเข้าที่ปลายคางมนของเด็กหนุ่ม  พลางจับหันซ้ายหันขวา  เพื่อพินิจดูใบหน้าของคนตรงหน้าให้ชัดเจน
   “ ผิวพรรณเนียนละเอียด  ใบหน้าสวย  ให้กำเนิดลูกที่น่าเกลียดน่าชังได้เป็นแน่ ”  ว่าพลางยิ้มไป  โดยไม่วางมือออกจากใบหน้าเนียนนั่น
                                  อาเธอร์ลิสได้แต่ฉงนสงสัยกับการกระทำของคนตรงหน้า  เพียงแต่นั่งอยู่เฉย ๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายสำรวจจนพอใจ  จากนั้นก็ละมือออกไปจากใบหน้าของเขา  แล้วลุกขึ้นยืน
   “ เอ็งจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเสียเถอะ! จะได้ออกไปกินข้าวกินปลา ”  ว่าพลางเตรียมตัวจะเดินออกจากห้อง
                                 เมื่อเห็นอีกฝ่ายจะเดินออกจากห้อง  อาเธอร์ลิสก็ตั้งท่าว่าจะยืนขึ้นส่งตามมารยาท  ทันใดนั้นเท้าของเขาข้างที่ถูกตะปูบุกรุกก่อนหน้านี้  ก็ปวดแปล๊บขึ้นมา  ทำให้เด็กหนุ่มเสียหลักล้มลงไปนอนบนเตียงเช่นเดิม  คุณหญิงเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ  พลันถลาเข้ามาดู  ก็เห็นมีเลือดไหลออกมาจากเท้าของเด็กหนุ่มมากมาย  อาเธอร์ลิสเองเมื่อเห็นเลือดของตนเองใบหน้าก็ซีดเผือดขึ้นมาทันที  คุณหญิงเห็นเช่นนั้นยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่  จึงลุกไปหาผ้าสะอาดในห้องของลูกชายมาเช็ดเลือดออกให้  แล้วพันแผลไว้
   “ เดี๋ยวเอ็งนอนอยู่เฉย ๆ ก่อน  ข้าจะไปบดยามาใส่แผลให้   แล้วเดี๋ยวฉันจะให้คนมาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แล้วกัน ”  ออกปากสั่งแล้วถลาออกไปนอกห้องทันที  โดยไม่รอฟังคำพูดของคนที่นอนอยู่
                                                                          α+Ω
                                 ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง  พอมองไปยังบุคคลที่มาใหม่  อาเธอร์ลิสก็ถึงกับต้องขยับตัวลุกนั่ง  เพราะคนที่เข้ามาส่งกลิ่นหอมทำให้รู้สึกเริ่มครั่นเนื้อครั่นตัวอีกครั้ง  ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้อาเธอร์ลิสพลางจับชายเสื้อเด็กหนุ่มขึ้นทำท่าเหมือนจะถอดออก  ทำให้ร่างบางตกใจสะดุ้งโหยงกับการกระทำของผู้เข้ามาใหม่
   “ คะ...คุณจะทำอะไรน่ะครับ! ” โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
   “ อยู่นิ่ง ๆ น่า  ฉันก็แค่จะช่วยเอ็งเปลี่ยนเสื้อผ้า ”  ว่าไปพลางดึงเสื้อจากอีกฝ่ายจนหลุดออกจากลำตัว  “ เอามือออกได้แล้ว  ทำอย่างกับฉันตัวเหม็นจนจะทนไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น ”  ว่าออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
   “ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ หากผมได้กลิ่นคุณ  มันจะทำให้ผม...”  ชะงักไว้เช่นนั้น  โดยไม่พูดอะไรต่อ
   “ เอ้า! นี่ยาแก้อาการของเอ็ง  ดม ๆ ไปเสีย  เดี๋ยวก็ดีขึ้น ”  ว่าพลางยื่นผอบหินอ่อนให้คนตัวเล็ก
   “ ขะ... ขอบคุณมากครับ ”  รับเอาสิ่งของที่อีกฝ่ายให้มาไว้ในมือ  พลางเปิดออก  แล้วสูดเข้าไปเต็มปอด
                           เมื่อเห็นอีกฝ่ายวุ่นอยู่กับการดมยาในผอบ  ขุนนางหนุ่มก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก  หันมาจัดการกับเสื้อผ้าของคนที่อยู่ตรงหน้าต่อ  มือหนาหยิบเสื้อที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมา  พลางมองไปยังร่างเล็กที่ไม่ห่างหน้าออกจากผอบ  ‘ ขาว  เนียน  สวย  ชมพู ’ ชายหนุ่มหลุดคิดภายในใจ  จะคิดแบบนั้นก็ไม่แปลกกระไรหรอก  เพราะอาเธอร์ลิสมีผิวพรรณที่สวยกว่าหญิงสาวชาวสยามหลาย ๆ คนเสียอีก  การที่ให้หนุ่มโสดอย่างเขามาทำอะไรแบบนี้  แถมยังเป็นคู่แห่งโชคชะตากันอีก  ถึงไม่รู้สึกชอบพอกัน  มันก็ลำบากใจอยู่ไม่น้อย
   “ ยื่นแขนมาสิ! ”  สั่งพลางดึงผอบยาออกจากมือเล็ก ๆ นั่น
                                 แขนเสื้อข้างหนึ่งถูกสวมเข้าไปห่อหุ้มแขนเรียว  ก่อนจะตามมาด้วยอีกข้าง  และเสื้อบางส่วนก็ปิดหลังเนียนเอาไว้แล้ว  เมื่อดึงเสื้อให้เข้าที่แล้วขุนนางหนุ่มก็เริ่มติดกระดุมจากเม็ดบนสุด  เลื่อนลงมาเม็ดสอง  ต่ำลงมาเรื่อย ๆ  จนสายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ร่องอกขาว  ที่มีเม็ดทับทิมสีชมพูสองเม็ดตั้งชูชันหลอกล่อผู้เผลอไปสบเข้า ให้อยากลิ้มลอง  ขุนนางหนุ่มลอบกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่  ก่อนจะสลัดภาพที่เห็นทิ้งไปแล้วหันมาสนใจกระดุมเม็ดที่เหลือแทน  แล้วจัดการติดต่อจนเสร็จ  ถอนหายใจเฮือกยาวออกมาอย่างโล่งใจ  จนทำให้คนที่สังเกตเห็นอดฉงนสงสัยกับการกระทำนั้นไม่ได้
   “ คุณโอเคไหมครับ? ”  ถามออกไปอย่างนั้น
   “ อือ ฉันไม่ได้เป็นอะไร ”
                                  สามารถเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อได้  เพราะหลวงภาคินเป็นคนหัวสมัยใหม่  ตามอย่างที่ไปเรียนเมืองนอกเมืองนามา
                                  มือหนาหยิบผ้านุ่งขากล้วยที่วางอยู่ข้างลำตัวขึ้นมาในระดับสายตาที่สามารถมองเห็นได้ทั้งคู่
   “ แล้วผ้านุ่งนี้  เอ็งจะให้ฉันสวมให้ด้วยหรือไม่ ”  ว่าพลางมือข้างหนึ่งยื่นไปเตรียมจะไปถอดกางเกงคนตรงหน้าออก
                                   มือเล็กปัดออกทันทีตามสัญชาตญาณ  “ ไม่ดีกว่าครับ  ผมเปลี่ยนเองได้  คุณช่วยออกไปรอข้างนอกก่อนนะครับ ” เอ่ยออกไปเช่นนั้น
   “ ได้กระไร คุณแม่สั่งให้ฉันมาดูแลเอ็ง  เอาเถอะน่า! อย่ามามากความ! อย่างไรเสียเอ็งก็เป็นผู้ชาย  ฉันก็เป็นผู้ชาย  ไม่เห็นเหตุจำเป็นที่จะเขินอายฉันเลย ” 
   “ แต่ผม...เป็นโอเมก้า...”  บอกออกไปแบบนั้น  เผื่ออีกฝ่ายจะเข้าใจ
   “ เอ่อ...ฉันลืมไป  เอาเป็นว่าฉันจะหันหลังให้แล้วกัน  เผื่อเอ็งหกล้มหัวร้างข้างแตกขึ้นมาผู้ใดจะมาช่วยไว้ได้ทัน ”  ว่าพลางกรอกสายตาไปทางอื่น  แก้ความเก้อเขิน
                                   เมื่อได้ยินขุนนางพูดเช่นนั้นตนเองก็ไม่อาจขัดได้  “ ถ้าอย่างนั้น...รบกวนด้วยครับ ”  พูดพลางหันไปมองคนที่อยู่ตรงหน้า
                                  
                              

                                                                        :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-11-2017 00:24:44 โดย KesornSama »

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
                   “ แต่ผม...เป็นโอเมก้า...”  บอกออกไปแบบนั้น  เผื่ออีกฝ่ายจะเข้าใจ
   “ เอ่อ...ฉันลืมไป  เอาเป็นว่าฉันจะหันหลังให้แล้วกัน  เผื่อเอ็งหกล้มหัวร้างข้างแตกขึ้นมาผู้ใดจะมาช่วยไว้ได้ทัน ”  ว่าพลางกรอกสายตาไปทางอื่น  แก้ความเก้อเขิน
                  เมื่อได้ยินขุนนางพูดเช่นนั้นตนเองก็ไม่อาจขัดได้  “ ถ้าอย่างนั้น...รบกวนด้วยครับ ”  พูดพลางหันไปมองคนที่อยู่ตรงหน้า
   
                   พอได้ยินคนร่างเล็กพูดเช่นนั้น  ขุนนางหนุ่มก็หันหลังให้  พลางมองไปทางอื่น  เพื่อให้เด็กหนุ่มได้นุ่งผ้า  ทันใดนั้นสายตาของชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นเงาสะท้อนของใครบางคนในกระจก  ซึ่งพอมองแล้ว  เป็นเงาของอาเธอร์ลิส  ที่หันหลังมาฝั่งนี้พอดี  ชายหนุ่มถลึงตาเบิกกว้างทันที  จะพูดกระไรออกไปก็มิได้  มีแต่คอยมองคนในกระจกกำลังปลดเปลื้องกางเกงลงช้า ๆ จนเหลือเพียงแค่ชั้นใน  และในที่สุดผ้าชิ้นเล็กนั้นก็ถูกมือบางดึงออก  เผยให้เห็นเนื้อหนั่นเนียนขาวน่าขยำสองก้อนนั้น  ภาพที่เห็นในกระจกทำให้ขุนนางหนุ่มตัวแข็งทื่อพลางลอบกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่
   “ ขะ...ขาว ”  หลุดออกมาจากความคิดจนได้
   “ ว่าอะไรนะครับ? พอดีผมฟังไม่ถนัด ”  หันกลับไปถามคนที่ยืนหันหลังให้  พลางมัดเชือกของผ้านุ่งเสร็จพอดีแล้วนั่งลงบนเตียงเช่นเดิม
   “ เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก  ฉันแค่ร้อนน่ะ ” บอกออกไปแบบนั้น  ใครจะไปกล้าบอกตรง ๆ กันเล่า!
   “ อย่างนั้นหรอกเหรอครับ  ผมว่าอากาศที่นี่ออกจะดี ”  พูดพลางยิ้มกว้าง
   “ ช่างฉันเถอะน่า! ว่าแต่เอ็งชื่อกระไรรึ? ”  ตัดบทแล้วพูดประเด็นใหม่ออกไป  พลางเดินมานั่งบนเตียงข้าง ๆ คนตัวเล็ก
   “ อะ...อาเธอร์ลิสครับ  อาเธอร์ลิส  วิสนีย์ครับ ”
        “ นามสกุลวิสนีย์นี้ฉันคุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนนะ ” พูดไปพลางยกนิ้วชี้กับนิ้วโป้งลูบคางอย่างครุ่นคิด “ นึกออกแล้ว  นี่มันนามสกุลหมออัลกับแม่เอมีลีนี่! ”  โพล่งออกไปเมื่อคิดออก
“ ใช่ครับ  ผมเป็นลูกของคุณหมออัลเบิร์ตและเป็นน้องชายของคุณหมอเอมิลีครับ ”  บอกไปเพื่อให้อีกฝ่ายหายสงสัย
“ อย่างนั้นหรอกรึ! โลกช่างกลมยิ่งนัก ”  ว่าพลางผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ
“ คุณเองก็สนิทกับคุณพ่อและพี่สาวของผมเหรอครับ? ”
“ ก็ไม่เชิงสักทีเดียว...” ตอบกลับไปอย่างนั้น
“... ”
                            เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พูด  ทำหน้าฉงนสงสัย  ชายหนุ่มจึงจำเป็นต้องอธิบายต่อ
“ หมออัลเป็นหมอที่ถวายการดูแลรักษาพระองค์...เอ่อฉันหมายถึงกษัตริย์ของประเทศฉันน่ะ ” อธิบายเสริมเพื่อไม่ให้เด็กขี้สงสัยทำหน้างงงวย  “ เพราะเหตุนี้จึงทำให้ขุนนางข้าราชบริพารทุกคนรู้จักมักคุ้นกับหมออัล  และบางครั้งก็ได้แวะเวียนมาเรือนฉันบ้างในยามที่คุณแม่ฉันไม่สบาย  เพราะตอนนั้นมีหมอฝรั่งที่เก่ง ๆ เพียงคนเดียว  ส่วนแม่เอมิลีก็มาเป็นหมอที่สยามได้  5  ปีแล้วกระมัง  เป็นหมอที่คอยดูแลชาวเมืองเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย  รวมไปถึงขุนนางอย่างฉัน  จะกล่าวได้ว่าในสยามนี้แทบไม่มีใครไม่รู้จักสองพ่อลูกนี้ก็ว่าได้  ”  อธิบายให้ฟังจนหมด
“ ผมเข้าใจแล้วครับ  ขอบคุณครับที่เล่าให้ฟัง ” ว่าไปพลางยิ้มจนตาหยี 
   “ เออ! หยุดเลย! ไม่ต้องมาทำหน้าทะเล้นใส่ฉัน ”  ว่าออกไปแบบนั้น
   แท้จริงแล้วรอยยิ้มของอาเธอร์ลิสสดใสจนทำให้หลวงภาคินหวั่นไหวก็ว่าได้เลยต่างหาก
   “ จะกินไหมข้าว! ลุกขึ้นได้แล้ว ”  ออกปากสั่งให้อีกฝ่ายลุกขึ้น  พลางตนเองก็ลุกแล้วเตรียมจะเดินไปทางประตู
   “ ครับ ”   ว่าพลางยันลำตัวให้ลุกขึ้น
   “ โอ้ย! ” ทันทีที่วางเท้าข้างที่เจ็บลงกับพื้นความเจ็บปวดก็หลั่งไหลเข้ามาจนทำให้ต้องล้มลงไปนอนอีกครั้ง
                               ชายหนุ่มหันกลับไปตามเสียงก็เห็นคนร่างเล็กล้มลงไปนั่งบนเตียงเช่นเดิมจึงเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น  ก็เห็นของเหลวสีแดงสดไหลออกมาจากเท้าเรียวของคนตัวเล็ก
   “ ให้ตายเถอะเอ็ง! น่ารำคาญกระไรอย่างนี้ ” ว่าพลางเอื้อมมือไปใกล้คนตรงหน้า
   “ ขะ...ขอโทษด้วยครับ ”  ทำหน้าหงอย  “ อ๊ะ! ”  อุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ อยู่นิ่ง ๆ เดี๋ยวก็ตกลงไปแข้งขาหักหรอก! ”  ดุพลางช้อนเอาคนตรงหน้ามาไว้ในอ้อมแขน
“ ปล่อยผมลงเถอะครับ  ผมเดินเองได้ ”
   “ เดินเองได้กระผีกระไร  เลือดออกมากขนาดนั้น! อยู่นิ่ง ๆ  แล้วเงียบปากไปซะ! ”  ออกปากสั่งไป เพราะความดื้อด้านของอีกฝ่าย
   “ คะ...ครับ ”  ตอบรับไปด้วยความเกรงกลัว
                      ขุนนางหนุ่มอุ้มคนตัวเล็กมายังโต๊ะอาหารที่ถูกเตรียมไว้  พอถึงก็วางคนในอ้อมแขนลงบนเก้าอี้อย่างเบามือ
   “ ขอบคุณมากครับที่ช่วยเหลือผม ”
   “ อือ...”   พูดออกไปแค่นั้น
   “ อ้าว! เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วรึ? พ่ออา...”  ชะงักไปเกรงว่าจะเรียกชื่ออีกฝ่ายไม่ถูก
   “ เรียกผมว่าอลิสก็ได้ครับคุณหญิง  คนที่สนิทกับผมก็เรียกแบบนี้กัน ”  พูดพลางส่งยิ้มหวานให้คนที่มาใหม่
                               คุณหญิงเพ็ญยิ้มตอบให้กับเด็กหนุ่ม  “ ว่าแต่เอ็งอายุอานามเท่าไหร่แล้วรึ? ”  เดินเข้ามานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม  พลางถามออกไป
   “ ย่าง  18  แล้วครับ ”  ตอบพลางยิ้มบาง ๆ
   “ ยังเด็กนัก! ”  ว่าพลางทำท่าทางครุ่นคิด
   “ เอ้า! พ่อภาคินเอายาไปโปะแผลให้น้อง ”  ว่าพลางนำถ้วยยาสมุนไพรที่ถือมายื่นให้ลูกชาย
   “ นะ...น้อง? ”  ไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยินว่าตรงกับที่คิดหรือไม่
   “ ก็พ่ออลิสนั่นล่ะที่แม่หมายถึง  ”  ว่าเพื่อย้ำให้ลูกชายหายข้องใจ
                       ชายหนุ่มรับถ้วยยาจากมารดาแล้วเตรียมจะนำมาวางทับบนแผลให้คนเจ็บ
   “ มะ...ไม่ต้องทำขนาดนี้หรอกครับ  เดี๋ยวผมทำเอง ”  พูดพลางยื้อมือไปกันมืออีกฝ่ายไว้
   “ ให้พี่เขาจัดการให้เถอะพ่อ  นั่งเฉย ๆ ”  เอ่ยบอกคนตัวเล็กขี้เกรงใจ
   “ ครับ!  ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วยนะครับคุณ.... ”  ชะงักไป  เพราะนึกขึ้นได้ว่าไม่รู้จักชื่อเขาคนนี้
   “ ฉันชื่อภาคิน...หลวงภาคิน ”  พูดไปพลางโปะยาที่แผลไป
   “ ขอบคุณครับคุณหลวงภาคิน ”  เอ่ยออกไปเต็มชื่อ
   “ ไม่ต้องเรียกเต็มยศขนาดนั้นก็ได้พ่ออลิส  เรียกพี่ภาคินก็ได้ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ”  โพล่งขึ้นมาบ้างหลังจากที่ได้ยินบทสนทนาของเด็กหนุ่มกับลูกชาย
   “ คุณแม่ขอรับ! ”  หันไปหามารดาด้วยความไม่พอใจ
   “ ไม่ดีกว่าครับคุณหญิง  ผมสะดวกเรียกท่านแบบนี้มากกว่าครับ ”  พูดออกไปเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย
   “ ถ้ากระนั้นก็ตามที่พ่อสะดวกแล้วกัน  มา ๆ กินข้าวเสียเถอะจะเย็นหมดแล้ว ”
                            เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยขุนนางหนุ่มก็เดินมานั่งลงเก้าอี้อีกตัวที่ว่าง  ซึ่งอยู่ระหว่างมารดากับอาเธอร์ลิสพอดี  ทุกคนลงมือหยิบอาหารเข้าปาก  ยกเว้นเพียงแต่อาเธอร์ลิสที่นั่งมองอาหารอยู่นิ่ง ๆ  จนคนที่เหลือต้องหยุดมามองเขา
   “ เป็นอะไรไปรึ!  ทำไมไม่กิน? ”  ถามออกไปเมื่อเห็นเนื้อคู่ของลูกชายไม่ยอมเอื้อมมือมาหยิบอาหาร
   “ คือ...ผมทานไม่เป็นน่ะครับ  ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรก่อน...”  บอกออกไปตามตรง
                             หึ! หัวเราะในลำคอก่อนจะบอกว่า  “ พ่อเห็นถ้วยเล็ก ๆ ตรงหน้าไหม  สิ่งที่อยู่ในนั่นน่ะพวกเราเรียกว่าข้าวเหนียว  พ่อก็ใช้มือหยิบขนาดพอดีคำแล้วก็นำมาจิ้มกับแกงที่อยู่ในชามเหล่านี้  นี่เรียกแกงส้มดอกแค  น้ำพริกก็มี  แกงฟัก  ผักลวก  ของอร่อยทั้งนั้น  ลองกินดู ๆ  ”  ว่าพลางขยับชามไปใกล้คนตัวเล็ก
                              คนตัวเล็กพยักหน้ารับ  แล้วเอื้อมมือไปหยิบสิ่งที่เรียกว่าข้าวเหนียวขึ้นมาคำเล็ก ๆ ก่อนจะจิ้มลงไปในชามที่มีอาหารอยู่  อาเธอร์ลิสเลือกที่จะจิ้มข้าวลงไปในชามที่เรียกว่าแกงส้มดอกแค  เพราะดูจากลักษณะแล้วน่าจะไม่เผ็ด  เพราะอาเธอร์ลิสไม่ชอบกินเผ็ด  พอลองเอาข้าวที่อยู่ในมือเข้าปาก  เด็กหนุ่มถึงกับตาเบิกโพลงด้วยเป็นเพราะรสชาติแปลกใหม่ของอาหารที่ไม่เคยกินมาก่อน  แต่กลับอร่อย  ไม่นานนักแกงส้มดอกแคที่อยู่ตรงหน้าก็หมดไปเพราะฝีมืออาเธอร์ลิส  ทำให้คุณหญิงที่มองดูคนเจริญอาหารถึงกลับยิ้มออกมา
   “ ดูท่าพ่อน่าจะชอบแกงส้มมากเสียด้วย  เจริญอาหารเชียว ” อดแซวออกไปไม่ได้
   “ อันนี้อร่อยดีครับ ”  พูดพลางส่งยิ้มให้คนสูงวัย
   “ ไม่ลองชิมอย่างอื่นดูรึ? อร่อยเหมือนกัน ”
   “ ไม่ดีกว่าครับ  ผมอิ่มแล้ว  อีกอย่างน่าจะเผ็ด...”
   “ ไม่ชอบกินเผ็ดหรอกรึ!  ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าจะให้คนทำของอ่อน ๆ ให้ ”
   “ ไม่เป็นไรครับ  เพียงเท่านี้ก็รบกวนท่านมากแล้ว ”  ตอบไปด้วยความเกรงใจ
   “ อย่ามาเกรงใจ  ไม่ใช่ใครอื่นไกล  อีกประเดี๋ยวก็จะเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว ”  พูดพลางยิ้มกรุ้มกริ่มไป
   “ ทะ...ทองอะไรนะครับ? ”  ถามกลับไปด้วยความงุนงงกับสำนวนที่เพิ่งได้ยิน
   “  ก็หมายความว่า...”  ต้องชะงักไปเพราะสายตาลูกชายจ้องเขม็งมา  พลันถูกสวนตัดประโยคขึ้นมา
   “ พอเสียเถอะขอรับคุณแม่!  รีบทานต่อจะดีกว่านะขอรับ ”  หันไปตัดบทเสียดื้อ ๆ  “ ส่วนเอ็งถ้าอิ่มแล้วก็นั่งรอไปก่อน  เดี๋ยวถ้าฉันเสร็จแล้วจะเรียกคนมาพาเข้าห้อง ”  ไม่วายหันไปพูดกับอีกคน
   “ ครับ  รบกวนด้วยครับ ”  ตอบพลางยิ้มกลับไป
   “ เอ๊ะ! พ่อภาคินนี่กระไร  พาน้องออกมาก็ต้องพาเขากลับเข้าไปสิ! จะมาโยนให้ข้ารับใช้ทำไม่ได้ ”  เอ็ดไปเพราะไม่เห็นด้วย
                             ใครจะไปยอมให้คนอื่นมาแตะต้องว่าที่สะใภ้ของคุณหญิงเพ็ญ  ไม่ได้เสียหรอก! 
   “ คุณหญิงครับ  ผมไม่ขัดหรอกครับ  อย่ารบกวนคุณหลวงท่านเลย ”  ตอบกลับไปด้วยเห็นสายตาหลวงภาคินจ้องเขม็งมา
   “ เอาตามที่ฉันบอกดีแล้วพ่ออลิส ”  ยืนกรานคำเดิม
   “ กะ...ก็ได้ครับ  ขอรบกวนคุณหลวงด้วยนะครับ ”  จำต้องยอมทำตาม  พลางหันไปเอ่ยกับชายหนุ่มอีกคน
   “... ”  ไม่ได้ตอบในทันที
   “ ว่าอย่างไรพ่อภาคิน? ”  หันไปถามผู้เป็นลูกชาย  เพราะอีกฝ่ายเงียบมาสักพักแล้ว
   “ กระผมจะขัดคุณแม่ได้อย่างไรล่ะขอรับ...”  พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
                             คุณหญิงเพ็ญยิ้มกรุ้มกริ่ม  ขณะที่ชายหนุ่มหน้าตาบูดบึ้ง  สองแม่ลูกนั่งรับประทานอาหารกันต่อด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด  ทำเอาคนมองอย่างอาเธอร์ลิสรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศตอนนี้เหลือเกิน  แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากนั่งมองอยู่เงียบ ๆ และสงบเสงี่ยมที่สุด...
                                                                                    α+Ω
                  มือหนาวางร่างบางลงบนที่นอนเรียบร้อย  และเตรียมจะออกจากห้องไป
   “ เดี๋ยวก่อนครับคุณหลวง! ”  เรียกให้หยุดรอก่อน
   “ มีอะไรอีก? ”  ถามออกไปแบบนั้นพลางหันกลับมามอง
   “ คือ...ผมอยากจะขอบคุณสำหรับทุกเรื่องครับ  ทั้งเรื่องที่พาผมมาที่นี่และที่คอยดูแลผม  ขอบคุณจริง ๆ ครับ ”  กล่าวออกไปพร้อมส่งยิ้มให้
   “ อือ...ฉันก็แค่ทำตามที่คุณแม่สั่ง ”  ว่าพลางหันกลับไปทางประตู  แล้วก็เดินออกประตูไปทันที
   “ ถึงจะอย่างไร...ก็ขอบคุณมากนะครับ! คุณหลวง...”  ว่าพลางส่งยิ้มไปยังบานประตูที่ถูกปิดลง
 หลังจากหลวงภาคินออกไปได้ไม่นานอาเธอร์ลิสก็ผล็อยหลับไป  อาจจะด้วยความเพลียที่สะสมมาทั้งวัน  ถึงจะสลบไปแล้วหนึ่งรอบก็ตามแต่  รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็เมื่อได้ยินเสียงนกร้องบ่งบอกถึงเวลาเช้าวันใหม่  เด็กหนุ่มพยุงตัวลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังหน้าต่างที่เปิดรับลมเอาไว้  มองไปข้างนอกก็เห็นต้นไม้สีเขียวมากมาย  ให้ความรู้สึกสดชื่นเสียจริง ๆ  เมื่อสูดเอาอากาศในยามเช้าจนพอแก่ใจแล้ว  ก็เดินกระเผลก ๆ  ไปยังประตู  เพื่อจะออกไปจากห้องนอนของหลวงภาคินที่ตนได้ยึดมาแล้วตลอดหนึ่งวัน  และเนื่องจากยาสมุนไพรที่คุณหญิงบดมาให้  จึงทำให้แผลที่เท้าไม่ปวดมากดังเดิม  สามารถเดินเหินได้บ้างแล้ว  เด็กหนุ่มเดินออกมาจนถึงลานกว้างบนเรือนก็ไม่พบใครสักคน  พลันหูก็ได้ยินเหมือนเสียงสนทนาของใครบางคนแว่วมาจากห้องอีกฝั่งหนึ่ง  ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องรับรองแขก
                         เด็กหนุ่มค่อย ๆ เดินไปทางห้องนั้น  และก็ต้องเบิกตากว้างทันที
   “ พี่เอมี ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
   ไม่เพียงแต่คนที่ถูกเรียกชื่อเท่านั้นที่หันมา  ทุกคนที่ร่วมสนทนาอยู่ก็พลันหันมาจ้องเด็กหนุ่มเช่นกัน
   “ อ้าว! อลิส  ตื่นแล้วเหรอ ? ”  ทักกลับไปด้วยท่าทางยิ้มแย้มสบาย ๆ
   “ ครับ! ว่าแต่พี่มาที่นี่ได้อย่างไร? ”  ถามออกไปด้วยความสงสัย
   “ เข้ามานั่งก่อนเถอะ  เดี๋ยวค่อยว่ากัน ”  พูดพลางพยักหน้าส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายกระทำตาม
                         ได้ยินพี่สาวบอกเช่นนั้นก็เดินกระเผลก ๆ  เข้าไปนั่งลงเก้าอี้ข้าง ๆ พี่สาว
   “ ที่พี่มาที่เรือนคุณหญิงก็เพราะว่าท่านให้คนไปบอกว่าน้องอยู่ที่นี่  แล้วยังได้รับบาดเจ็บ  พี่ก็เลยรีบมา ”  พอน้องชายนั่งได้ที่ก็ตอบคำถามที่ค้างไว้
   “ เป็นแบบนี้นี่เอง  ทำให้ทุกคนต้องวุ่นวายไปเสียหมด  ขอโทษด้วยนะครับ ...”  เอ่ยออกไปด้วยความรู้สึกผิด
   “ ไม่ลำบากกระไรหรอกพ่ออลิส  มิใช่คนอื่นคนไกล ”
                  คุณหญิงที่นั่งฟังอยู่ก็โพล่งขึ้นบ้าง
   “ ดิฉันต้องขอขอบพระคุณคุณหญิงแล้วก็คุณหลวงด้วยนะคะที่ช่วยดูแลน้องชายคนเดียวของดิฉัน ”
   “ ไม่ต้องขอบคงขอบคุณหรอกแม่เอมิลี  เรื่องเล็กน้อย ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้หมอสาว
   “ ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวลาคุณหญิงกับคุณหลวงเลยแล้วกันนะคะ พอดีทำงานทิ้งไว้แล้วก็จะได้ดูอาการเจ้าอลิสมันด้วย  ครั้งหน้าดิฉันจะแวะมาเยี่ยมใหม่ ”  พูดออกไปแบบนั้นพลางยกมือขึ้นไหว้บุคคลทั้งสอง  ก่อนจะสะกิดน้องชายให้กระทำตาม
                     อาเธอร์ลิสกระทำตามที่พี่สาวทำเป็นตัวอย่างด้วยอาการเก้อเขิน  แต่นั่นก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของคุณหญิงเพ็ญ
   “ แม่เอมิลีขออภัยที่ฉันไปส่งหล่อนไม่ได้นะ  มีราชการต่อ ”
   หลวงภาคินเอ่ยขึ้นบ้าง  หลังจากที่เป็นผู้ฟังมานาน
   “ ไม่เป็นอะไรค่ะคุณหลวง  คุณหญิงท่านให้คนรถไปส่งดิฉันกับน้องถึงเรือน  หายห่วงได้เลย ”  ว่าพลางยิ้มจนแก้มปริให้ชายหนุ่ม
   “ ดี!  ฉันจะได้สบายใจ ”  บอกออกไปเสียงเรียบ
   “ ถ้าอย่างนั้นดิฉันกับน้องขอตัวกลับก่อนนะคะ ”  พูดพลางเตรียมตัวลุกขึ้น
   “ กลับดี ๆ ล่ะ ”  คุณหญิงพูดออกไปเช่นนั้น
   “ ค่ะ ”
                       เสร็จธุระสองพี่น้องก็เดินลงจากเรือนหลังใหญ่ทันที  โดยคนเป็นพี่ช่วยพยุงน้องชายตลอดจนขึ้นรถเสร็จศัพท์  รถคันสีครีมได้เคลื่อนตัวออกจากเรือนหลวงภาคินไม่นานเท่าไร  ก็ถึงที่หมายที่สองพี่น้องต้องลงเสียแล้ว  นั่นก็คือเรือนของเอมิลีที่ ๆ พระองค์ ( พระมหากษัตริย์ )ได้พระราชทานให้กับอัลเบิร์ตเมื่อครั้งที่มาเป็นหมอรักษาพระองค์  ซึ่งตอนนี้เอมิลีก็ทำหน้าที่ดูแลเรือนนี้แทนบิดา
                          เอมิลีพยุงน้องชายขึ้นบันไดมาได้  ก็พาไปนั่งบนเก้าอี้สำหรับรับแขก  แล้วตนก็หายเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่งพร้อมสัมภาระของน้องชาย  ก่อนที่จะเดินออกมาตัวเปล่า  พลางเดินไปยังตู้เก็บยาที่อยู่ด้านหลังอาเธอร์ลิส  แล้วหยิบน้ำยาล้างแผลกับผ้าสำหรับปิดแผลมา  เพื่อจัดการกับบาดแผลของน้องชาย 
                           ผู้เป็นพี่สาวลงมือล้างแผลให้น้องชายอย่างเบามือ  เมื่อเสร็จก็นำผ้าสำหรับปิดแผลที่ถือมาด้วยพันปิดลงไปยังบาดแผลที่เท้าของเด็กหนุ่ม  เพื่อไม่ให้ไรฝุ่นหรือสิ่งสกปรกเข้าไปได้  หลังจากนั้นก็เอาอุปกรณ์ไปเก็บไว้ที่เดิม  ก่อนจะมานั่งเก้าอี้ข้าง ๆ น้องชาย
   “ ว่ายังไงตัวเล็ก!  ไม่เจอกันตั้งนาน...โตขึ้นเป็นหนุ่มแล้วเหรอเนี่ย! ”  ว่าพลางยกมือขึ้นไปขยี้ผมคนข้าง ๆ
   “ มันแน่นอนอยู่แล้ว...ใครจะแก่วันแก่คืนแบบพี่ล่ะ ”  ว่าพลางหัวเราะออกมา
   “ ไม่แก่บ้างให้มันรู้ไป ”  ว่าพลางเลื่อนมือมาหยิกแก้มน้องชายอย่างหมั่นเขี้ยว
   “ โอ้ย!  พอแล้วพี่เอมี  ผมเจ็บ! ”  ไม่วายยิ้มหน้าทะเล้น
                    เอมิลีเอามือออกจากแก้มใส
   “ แล้วคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างไรบ้าง? ” 
   “ ก็สบายดีครับ  ท่านฝากความคิดถึงมาให้พี่ด้วย ”  ว่าพลางเอื้อมมือไปโอบเอวของคนข้าง ๆ  แล้วทิ้งปลายจมูกโด่งลงบนแก้มเนียน  “ แล้วก็ให้หอมพี่เผื่อด้วย ”  พูดเสร็จก็ยิ้มหน้าระรื่น
   “ หอมเผื่อเหรอ!  ”   จุ๊บ!  ว่าพลางจูบลงไปที่แก้มของอีกฝ่ายกลับไปบ้าง  “  โตแล้วยังเล่นอะไรเหมือนเดิมเลยนะ  ไอ้แสบ! ”  ว่าไปด้วยความเอ็นดู
   “ เออ...ว่าแต่เกิดอาการฮีทใช่ไหม?  คุณหญิงเล่าให้พี่ฟัง ”  ถามออกไปเช่นนั้น
   “ ครับ  ทีแรกผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่าตัวเองเป็นอะไร  เลยทบทวนตัวเองดู   ยิ่งมาแน่ใจตอนคุณหลวงเอายาแก้มาให้  ผมก็เพิ่งเป็นครั้งแรกนี่แหละครับ! ”  อธิบายออกไป
   “ พอจะจำอาการตอนเริ่มฮีทได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้มีอาการอาการ? ”  ถามเพื่อหาสาเหตุคลายข้อสงสัย
   “ ผมจำได้ว่ามีกลิ่นหอมลอยมาพอสูดเข้าไปก็เริ่มครั่นเนื้อครั่นตัว  แล้วกลิ่นนั้นก็ชัดเจนขึ้นเมื่อคุณหลวงเข้ามาใกล้  จนมันทำให้ผมเวียนหัว  ผมคิดว่ากลิ่นนั่นน่าจะมาจากคุณหลวงครับ  ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับอาการฮีทของผมก็เป็นได้ ”
   “  ใช่เลยล่ะ!  สาเหตุที่ทำให้เราเกิดฮีท ”  บอกน้องไปอย่างนั้น  “ คุณหลวงเป็นคู่แห่งโชคชะตาของเราอย่างไรล่ะ! ”
   “ วะ...ว่าอะไรนะครับ ”
   “ ได้ยินไม่ผิดหรอก!  อลิสกับหลวงภาคินเป็นเนื้อคู่กัน  ก็คือคู่แห่งโชคชะตาของกันและกัน  เกิดมาเพื่อกันและกัน  จึงทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อกลิ่นของคู่ตนเอง ”
   ชะตาได้กำหนดไว้แล้วว่าให้เกิดมาคู่กัน...


                                                                        :really2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 00:13:34 โดย KesornSama »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต ... Intro
«ตอบ #5 เมื่อ10-11-2017 22:24:26 »

อลิส คุณหลวงภาคิน เนื้อคู่แห่งโชคชะตา
เหมือนต่างฝ่ายต่างส่งกลิ่นให้คู่ตัวเองเกิดกำหนัด
แต่พอระงับความรู้สึกได้ก็ไม่มีอะไร
ต่างฝ่ายต่างเฉยๆ

คุณหญิงเพ็ญ ดูท่าชอบอลิส
แตภาคิน เหมือนไม่ต้องการ เพราะไม่ได้รัก
ก็ดูกันต่อไป
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Episode 03
( ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ )

                        หลายวันมานี้อาการบาดเจ็บที่เท้าของอาเธอร์ลิสก็ดีขึ้นมาก  และเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว  ด้วยการดูแลของเอมิลี  เด็กหนุ่มอยู่แต่ภายในสถานที่ที่เรียกว่าเรือนมากว่าสัปดาห์หนึ่งแล้ว  นอกจากกิน  นอน  ช่วยพี่สาวดูเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลคนที่มารักษาแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเลย  เนื่องจากแผลยังไม่หายดี  เอมิลีเลยให้ทำเพียงแค่นั้น  และตั้งแต่มาถึงที่นี่เขาก็ยังไม่ได้เขียนจดหมายไปส่งข่าวคราวบิดาและมารดาของเขาตามที่รับปากไว้เลย  ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง  ทำให้ไม่มีเวลาจะได้หยิบกระดาษกับปากกามาเขียนเรียงร้อยถ้อยคำไปยังคนที่รออยู่ที่อังกฤษเลย
                         วันนี้จะได้เขียนจดหมายถึงคุณพ่อกับคุณแม่สักที...
   “ พี่เอมี!  ผมขอยืมกระดาษกับปากกาได้ไหมครับ  จะเขียนจดหมายหาคุณพ่อกับคุณแม่สักหน่อย  ท่านจะได้หายกังวล ”  บอกไปเสร็จศัพท์
   “ ได้สิ! ดีเหมือนกัน  ท่านจะได้สบายใจ  กระดาษกับปากกาอยู่บนโต๊ะทำงานพี่  ส่วนหมึกน่าจะอยู่ในลิ้นชัก ”  พูดพลางหันไปเขียนบันทึกข้อมูลผู้ป่วยต่อ
                            อาเธอร์ลิสลุกขึ้นจากเก้าอี้ในห้องรับแขกที่มีเอมิลี่นั่งทำงานอยู่ด้วย  แล้วเดินไปยังโต๊ะทำงานของพี่สาวเพื่อหาสิ่งที่จะมาใช้เขียนจดหมายตามที่ได้บอกไป  พอได้ของที่ต้องการก็เดินเข้าห้องของตนเองไป  แล้วเดินไปยังมุมที่มีโต๊ะและเก้าอี้อยู่  ถูกจัดไว้เพื่อสำหรับใช้เขียน  หรืออ่านหนังสือ  มือเรียวจับพนักเก้าอี้แล้วขยับออกพอแทรกตัวลงนั่งได้  ก่อนจะวางของที่ถือมาแล้วจึงเริ่มเขียน
   
ถึงคุณพ่อและคุณแม่
                  สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่  ตอนนี้ผมถึงสยามแล้วนะครับ  อันที่จริงผมมาถึงที่นี่ได้อาทิตย์กว่า ๆ แล้ว  แต่เพิ่งมีเวลาได้เขียนจดหมาย  ผมสบายดีครับ  คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง  พี่เอมีฝากความคิดถึงให้คุณพ่อคุณแม่ด้วยนะครับ  ดูแลสุขภาพกันด้วย  คิดถึงเสมอนะครับ...
                                                                                                                           
ด้วยรักและคิดถึง  อาเธอร์ลิส.

                   เด็กหนุ่มเขียนเพียงเนื้อความสั้น ๆ ก็เป็นอันเสร็จ  ไม่ได้บอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนทั้งหมดในจดหมาย  ด้วยไม่อยากให้ผู้เป็นบิดามารดากังวลใจ  รวมไปถึงการที่เขาเกิดฮีทอย่างกระทันหันเพราะได้พบคู่แห่งโชคชะตาแบบไม่ได้ตั้งตัว  แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกสักทีเดียว  เพราะเขาเป็นคนเดินตามคู่แห่งโชคชะตาไปเอง  หากแต่ในตอนนั้นไม่อาจรู้ได้ว่าคน ๆ นั้นเป็นเนื้อคู่ของตนก็เท่านั้นเอง
                    หลังจากเขียนจดหมายเสร็จ  อาเธอร์ลิสก็เดินออกมาจากห้องพร้อมจดหมายที่เขียนไปเมื่อครู่
   “ พี่เอมี! ผมต้องไปส่งจดหมายที่ไหนหรอครับ? ”  ถามออกไปพลางมานั่งที่เก้าอี้ที่ห้องรับแขกตัวเดิม 
   “ อ๋อ! เดี๋ยวพี่เอาไปส่งให้  พี่ว่าจะไปทำธุระในพระนครอยู่พอดี ” บอกไปอย่างนั้น
   “ ผมขอไปด้วยได้ไหมครับ? ”  โพล่งออกไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าพระนคร
   “ เราอยู่ที่นี่แหละ  ไม่ต้องไปหรอก!  เดี๋ยวแผลจะอักเสบขึ้นมาอีก ”  ว่าออกไปเสียงดุ
   “ มันจะหายแล้ว  พี่ดูสิ! ”  ว่าพลางลุกเดินไปมาให้คนตรงหน้าดู
   “ พอ ๆ ยังไงก็ไม่ได้  เอาเป็นว่าเราอยู่บนเรือนนี่แหละ  แล้วก็วานช่วยเขียนรายชื่อพวกนี้ต่อให้พี่หน่อยนะ  เย็น ๆ ถึงจะได้กลับ  เดี๋ยวเอาขนมอร่อย ๆ มาฝาก ” 
   “ ก็ได้...ครับ ”  ยอมจำนนในที่สุด
                                                                               α+Ω
                                      พอรถคันสีเหลืองซีดจอดสนิท  ชายวัยกลางคนก็รีบลงมาจากฝั่งคนขับแล้วมาเปิดประตูให้คนที่นั่งอยู่ด้านหลังลงบ้าง
   “ เชิญขอรับคุณหลวง  ”  พูดพลางโน้มศีรษะลง
   “ เดี๋ยวเองกลับเรือนไปก่อน  สักหนึ่งทุ่มค่อยมารับฉัน  แล้วก็เรียนคุณแม่ว่าให้รับประทานอาหารก่อนเลย  วันนี้ฉันจะอยู่ทานกับแม่เอมิลี ”  หันมาสั่งกับคนรับใช้
   “ ขอรับคุณหลวง ”  ขานรับโดยไร้ข้อโต้แย้ง
                                   พอกล่าวเสร็จขุนนางหนุ่มก็ก้าวขึ้นบันไดไปทันที  จนมาถึงบนเรือนของหญิงสาวที่ตนตั้งใจว่าจะมารับประทานอาหารเย็นด้วย
   “ แม่เอมิลี  อยู่หรือไม่?  ”  โพล่งออกไปเพื่อให้คนข้างในเรือนได้ยิน  ก่อนถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องรับแขก
   ขุนนางหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องรับขับแขกก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าของเรือน  ได้แต่คิดสงสัยว่าหมอสาวไปอยู่ที่ไหน  ไยเรือนถึงได้เงียบเชียบเช่นนี้  มิหนำซ้ำยังไม่ได้ปิดเรือนเสียด้วยซ้ำ  ว่าพลางถอนหายใจออกมา  ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ในห้องนั้น
   อาเธอร์ลิสเดินออกมาจากห้องครัวก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูง  ใบหน้าคมคายนั่งอยู่ภายในห้องรับแขก  แต่ก็ไม่วายเดินเข้าไปหา
   “ คุณหลวงภาคิน!? ”  เอ่ยเรียกชื่ออกไป
   ได้ยินเสียงเรียกชื่อมาจากทางด้านหลัง  ขุนนางหนุ่มจึงต้องหันไปมอง
   “ เอ็ง!? ”  เรียกออกไปเพียงแค่นั้น
   “ ครับ!  ผมเอง...”   ขานรับกับคำเรียก  “ ว่าแต่คุณหลวงมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ? ”  ถามกลับไปพลางเดินมานั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
   “ แม่เอมิลีไม่อยู่รึ? ”  พูดออกไปแบบไม่รีรอ
   “ อ๋อ! ท่านมีธุระกับพี่เอมีนี่เอง  พี่ไม่อยู่หรอกครับ  เข้าพระนครไปได้สักพักแล้ว  เห็นบอกว่าจะไปทำธุระแล้วจะกลับตอนเย็น ๆ ครับ ”  ตอบคำถามไป  พลางอธิบายอย่างละเอียด
   “ อย่างนั้นรึ...” 
   “ คุณหลวงมีอะไรหรือเปล่าครับ?  ฝากผมไว้ได้นะครับ  เดี๋ยวถ้าพี่กลับมา  ผมจะบอกพี่ให้เองครับ ”  พูดออกไปอย่างนั้น  เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงออกมาถึงความเสียดายนิด ๆ ของอีกฝ่าย
   “ ก็ไม่ได้มีธุระสำคัญอะไร  ฉันแค่ว่าจะแวะมารับประทานอาหารและพูดคุยกับแม่เอมิลีก็เท่านั้น  ก็เห็นหล่อนอยู่คนเดียว  เกรงว่าจะเหงา...”  พูดออกไปแบบนั้นพลางเหลือบตาไปทางอื่น  “ แต่ฉันก็ลืมไปว่า...ตอนนี้เขาก็มีเอ็งมาอยู่ด้วยแล้ว  คงจะไม่ได้เหงาอะไร ” ว่าพลางหันกลับมามองหน้าคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
                         อาเธอร์ลิสได้ฟังหลวงภาคินพูดออกมาแบบนั้นก็ยิ้มก่อนเอ่ยขึ้นว่า  “ ถ้าคุณหลวงไม่รังเกียจ...จะรับประทานอาหารเย็นก่อนกลับได้ไหมครับ? ”  พูดพลางส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
   “ กะ...ก็ได้อยู่หรอก! ”  รอยยิ้มสดใสทำให้ปฏิเสธไม่ลง  ทั้ง ๆ  ที่ทีแรกก็ตั้งใจจะกลับแล้ว  “ ว่าแต่เอ็งทำอาหารเป็นรึ? ”  ถามออกไปเช่นนั้น
   “ ถ้าเป็นอาหารฝรั่งสบายมากเลยครับ  แต่อาหารของชาวสยามผมก็ทำได้บ้างครับ  พี่เอมีก็สอนผมทำเมนู...”  หยุดชะงักไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลุดภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาพูดของชาวสยามออกมา  แล้วเอ่ยต่อ “ เอ่อ...ผมหมายถึงอย่างที่ทำง่าย ๆ น่ะครับ  แต่อาจจะไม่อร่อยเท่าที่พี่ทำ ” 
   “ จริงของเอ็ง  แม่เอมิลีทำอาหารอร่อย  ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่อาหารของบ้านเมืองตนเอง ”  พูดพลางยิ้มไป  “ แล้วก็ทีหลัง...หากเอ็งหลุดคำภาษาบ้านเกิดออกมาอีก  ไม่ต้องรีบแก้ก็ได้  ฉันฟังรู้เรื่อง  แต่หากคุยกับคนอื่น ๆ ก็เลี่ยงแล้วกัน  เขาอาจไม่เข้าใจที่เอ็งพูด ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ครับ  คุณหลวงรอสักครู่นะครับ!  ผมจะไปเอาน้ำมาให้ดื่มก่อน ”  พูดออกไปพลางยิ้มให้อีกฝ่าย
   “ อือ ”  ตอบออกไปแค่นั้น
                      อาเธอร์ลิสถือขันน้ำสีเงินที่มีน้ำเย็นใสอยู่ข้างในมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าขุนนางหนุ่ม  ก่อนจะขอตัวไปทำอาหาร  แล้วก็เดินหายเข้าไปในครัว  สักพักกลิ่นหอมจากการปรุงอาหารก็ลอยออกมาข้างนอกห้องครัว  ลอยมาจนถึงห้องรับแขกที่มีหลวงภาคินนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่  ทำให้ขุนนางหนุ่มจำต้องละสายตาออกจากตัวหนังสือเหล่านั้นแล้วมองหายังต้นตอของกลิ่นที่ลอยมาแตะจมูก  จนทำให้อดไม่ได้ที่จะเดินตามกลิ่นนั้นไป...
                            ขุนนางหนุ่มเดินมาจนถึงหน้าประตูห้องครัว  ก็เห็นอาเธอร์ลิสกำลังมุ่งมั่นตั้งใจทำอาหารอย่างพิถีพิถัน  อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มออกมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังวิ่งหน้าวิ่งหลัง  ระหว่างจัดถ้วนชามกับดูหม้อแกงที่ตั้งเตาไว้  เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มทำท่าจะหันมาทางประตู  หลวงภาคินก็เบี่ยงตัวหลบหลังบานประตูทันที  เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็น  เมื่อเห็นท่าว่าอาเธอร์ลิส
ปรุงอาหารจวนจะเสร็จแล้วจึงเดินกลับมานั่งที่ห้องรับแขกเช่นเดิม
                            ไม่นานเกินรออาเธอร์ลิสก็นำอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ ๆ ออกมาจากในครัว  อาหารมากมายถูกวางเรียงรายจนเกือบเต็มโต๊ะตรงหน้าขุนนางหนุ่ม  น่าตาน่ากิน  มิหนำซ้ำกลิ่นยังหอมหวนชวนลิ้มลองยิ่งนัก
   “ ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้ท่านรอนาน  กว่าจะเสร็จได้ต้องยอมรับว่ายากมาก ๆ เลยครับ  กลัวไม่ถูกปากท่าน ”  ว่าสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
   “ ฉันเป็นคนกินยากตั้งแต่เมื่อกัน  อย่าหนักใจกับเรื่องเพียงแค่นี้เลย  ฉันกินได้ ”  พูดพลางสาดตามองอาหารที่เรียงรายบนโต๊ะ
   “ ขอโทษครับ! ผมไม่ได้จะว่าคุณหลวงแบบนั้น ”
   “ พอ ๆ ขอโทษอะไรนักหนา  กินเถอะ  เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน ”  พูดตัดบทคนขี้กังวล
   “ ครับ ” ขานรับ  “ ผมทำแกงรัญจวนด้วยนะครับ  แต่อาจจะไม่รสจัดจ้านมาก  เพราะผมไม่ค่อยถนัดอาหารรสชาติแบบนี้สักเท่าไรครับ ”  ว่าพลางเลื่อนชามแกงรัญจวนไปให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
                      ขุนนางหนุ่มใช้ช้อนตักแกงรัญจวนที่คนตรงหน้าเลื่อนมาให้  ในขนาดพอดีคำแล้วเอาเข้าปาก  รสชาติกลาง ๆ  ถึงจะไม่จัดจ้านเหมือนแกงรัญจวนทั่วไป  แต่ก็กลมกล่อมแบบที่ไม่เคยชิมที่ไหนมาก่อน  หากจะบอกว่าอร่อยกว่าแกงรัญจวนที่เคยกินมาทั้งหมดก็ไม่ได้เกินความเป็นจริงนัก
   “ ก็ไม่ได้แย่นี่! ”  ทำสีหน้าเรียบ
                     ก็ไม่ได้แย่นี่!  มันอร่อยมาก!  ที่ต้องพูดคือแบบนี้ต่างหาก  แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปทั้งหมด
   “ ขอบคุณครับ ”  ทำสีหน้าดีใจ
                     ชายหนุ่มเห็นสีหน้าแบบนั้นของอาเธอร์ลิสแล้วจำต้องหันหน้าไปทางอื่น  เพราะรอยยิ้มของคนตรงหน้ามีผลต่อความรู้สึกบางอย่างภายในตัวเขาไปแล้วอย่างไม่รู้ตัว
   “ เอ็งไม่ได้ทำแกงส้มรึ? ”  ถามพลางสาดสายตาสำรวจดูอาหารบนโต๊ะ
   “ ว่าอะไรนะครับ? ”  ถามกลับไปเพราะไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกหรือเปล่า
   “ ก็คราวที่อยู่เรือนฉัน  เห็นเอ็งกินแต่แกงส้ม ”  บอกออกไปเพื่อเตือนความจำของคนขี้ลืม
   “ อ๋อ! ผมจำได้แล้วครับ ”  พูดพลางทำหน้านึกออก “ ผมชอบแกงส้มดอกแคมากเลยครับ  แต่ผมเคยลองพยายามแล้วก็ทำไม่อร่อยสักทีน่ะครับ  ต้องขอโทษท่านด้วยที่ไม่สามารถปรุงขึ้นโต๊ะได้ ” กล่าวพลางทำหน้าหงอย
   “ เออ ๆ ช่างมันเถอะ  แค่นี้ก็ฉันก็จะกินไม่ไหวแล้ว  เลิกทำหน้าเป็นหมาหงอยได้แล้ว ”  บอกออกไปแบบนั้น
   “ ครับ! ”  กลับมายิ้มกว้างอีกครั้ง
   “... ”  ไม่ได้พูดอะไร
                      จะยิ้มอะไรหนักหนา  รอยยิ้มของเอ็งมันรบกวนสมาธิฉันนะไม่รู้รึอย่างไร!
                     ขุนนางหนุ่มก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารที่อยู่ตรงหน้าของตน  โดยพยายามที่จะไม่มองคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับเขาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
                     สักพักอาหารบนโต๊ะก็หมด  เมื่อขุนนางหนุ่มอิ่มแล้ว  อาเธอร์ลิสจึงลุกขึ้นเก็บถ้วยชามไปไว้ในห้องครัวก่อนจะเดินออกมายังห้องรับแขกเช่นเดิม  นั่งไม่ได้นานก็ได้ยินเสียงรถมาจอดตรงหน้าเรือน  เบนความสนใจของคนทั้งคู่ออกจากความเงียบงันนี้ได้ดีเลยทีเดียว
   “ ไอ้สมคิดคงจะมาแล้วกระมัง!  ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะ  นี่ก็เย็นมากแล้ว  ”  หันไปบอกคนตรงหน้า
   “ ครับ  ” ขานรับกลับไป  “ ให้ผมลงไปส่งท่านนะครับ ” พูดออกไปอย่างนั้น
   “ ไม่ต้องหรอก! แผลเอ็งยังไม่หายดี  เกิดพลาดท่าตกบันไดลงไปอีก  ก็สร้างความลำบากให้แม่เอมิลีต้องดูแลอีก  อยู่บนนี้เถอะ!  ฉันเดินไปเองได้ ”  ปฏิเสธพลางห้ามออกไปอย่างนั้น
   “ ขะ...เข้าใจแล้วครับ!  ขอโทษครับที่พูดอวดดีไป ”  ทำหน้าสลด
   “...”  ไม่ได้ตอบกลับในทันที  “ ฉันกลับก่อนนะ ” บอกลาขึ้นมาดื้อ ๆ พลางลุกขึ้นจากเก้าอี้  ทำท่าจะเดินออกจากห้อง 
   “ ดะ...เดี๋ยวก่อนครับคุณหลวง! ”  เรียกให้หยุด
   “ มีอะไรอีกรึ? ”  หันกลับมาถาม
   “ คือ...”
   “ เอ็งมีอะไร? ”  ถามย้ำกลับไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายอ้ำอึ้ง
   “ กะ...กลับเรือนดี ๆ นะครับ แล้วก็...ผมจะบอกพี่เอมีให้ว่าคุณหลวงมาหา ” พูดสิ่งที่อยากพูดออกไป
   “ แล้วแต่เอ็งแล้วกัน ”
                      พูดออกไปเพียงแค่นั้นแล้วก็เดินลงเรือนไป  แต่ริมฝีปากหนากลับยกยิ้มเมื่อได้ยินชื่อของเอมิลี  ซึ่งชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ตัว  อาเธอร์ลิสสังเกตเห็นสีหน้าของขุนนางหนุ่มอย่างชัดเจน  พลางอมยิ้มออกมา
   “ พี่เอมีพี่จะรู้ไหมหนอ...แค่ได้ยินชื่อพี่ท่านก็ยิ้มออกมาได้ขนาดนี้ ”
                   ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ของคุณหลวง...พี่จะรู้บ้างไหม...


                                                                          :hao3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2017 08:05:24 โดย KesornSama »

ออฟไลน์ sebest

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต
«ตอบ #7 เมื่อ11-11-2017 02:06:50 »

 o13 o13 o13

เหมือนจะลืมแปะกฎนะคะ

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต
«ตอบ #8 เมื่อ11-11-2017 03:19:53 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
                                                                                           
                                                                                            :L2:
                                               
                                                            **ลืมแปะกฎค่ะ  ขอบคุณคอมเม้นต์ที่เตือนนะคะTT   

                                                                                         
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 03:24:57 โดย KesornSama »

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Episode 04
( ไม่ได้รักใคร่ชอบพอ )

                       อาเธอร์ลิสเริ่มคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในประเทศสยามแห่งนี้เสียแล้ว  บ้านเมืองที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม  ชาวเมืองทุกคนมีน้ำใจ  ไม่รังเกียจเดียจฉันที่เขาเป็นโอเมก้า  มิหนำซ้ำยังเป็นคนต่างชาติอีก  แต่กลับให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดีเสียด้วยซ้ำ  ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเขาเป็นลูกชายของหมออัลเบิร์ตและเป็นน้องชายของหมอเอมิลีจึงทำให้ทุกคนในเมืองแห่งนี้ต่างปฏิบัติต่อเขาด้วยความเมตตา   แต่เหนือสิ่งอื่นใดเด็กหนุ่มเป็นคนน่ารักน่าเอ็นดู  ทั้งรูปร่างหน้าตาที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็งดงามไปหมด  ใบหน้าเล็กได้รูป  ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีระเรื่อ  ดวงตากลมโตสีฟ้าปนเทา  เส้นผมสีน้ำตาลอ่อน  แล้วไหนจะมีผิวขาวนวลเนียนไปทั่วทั้งตัวนั่นอีกล่ะ 
บ่งบอกได้ถึงการถูกเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี  และอาเธอร์ลิสเองก็เป็นคนพูดจาไพเราะ  มีกิริยามารยาทในการวางตัว  จึงทำให้ทุกคนที่ได้พบเห็นต่างรู้สึกเอ็นดูในตัวเด็กหนุ่ม  ทำให้ไปถูกตาต้องใจชายหลาย ๆ คน  โดยที่เด็กหนุ่มเองก็ไม่รู้ตัว
                       การเขียนรายงานบันทึกข้อมูลของคนที่มารักษาเป็นสิ่งที่อาเธอร์ลิสต้องทำทุกวัน  จนทำให้มันเป็นงานหลักของเขาในเวลานี้ไปเสียแล้ว  นอกจากบันทึกข้อมูลก็มีจัดหมวดหมู่ของยารักษาช่วยเอมิลีบ้างในบางครั้ง  ซึ่งงานเหล่านี้มันทำให้เด็กหนุ่มเห็นว่าการทำเพียงลำพังมันไม่ได้ง่าย ๆ เลย  จึงไม่แปลกใจที่บิดาได้ส่งเขามาเป็นผู้ช่วยพี่สาวในครั้งนี้
                       เด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาเขียนบันทึกต่อจนเสร็จ  แล้วยืดตัวบิดขี้เกียจเพื่อคลายความเหนื่อยล้าที่เกาะกุมเขามากว่าครึ่งวัน
   “ อลิส! ”
                       เอมิลีที่นั่งเขียนบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับยารักษาอยู่ที่โต๊ะทำงานก็เอ่ยเรียกชื่อน้องชายขึ้นมา
   “ ครับ ”  ขานรับกลับไป  พลางเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่เรียก
   “ พี่ว่าจะวานเราเอายาหอมกับขนมตาลไปให้คุณหญิงเพ็ญหน่อยน่ะ  ถือว่าเป็นการขอบคุณท่านที่ได้ให้ความกรุณาในตอนที่เราได้รับบาดเจ็บที่เท้าแล้วยังให้ที่พักพิงแก่เรา  เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ”  พูดพลางหันมามองคนที่กำลังตั้งใจฟัง
   “ ได้ครับ  ผมเองก็อยากขอบคุณท่านเหมือนกันที่กรุณาผม  ถ้าเป็นไปได้ก็อยากตอบแทนพระคุณของท่านที่มีน้ำใจให้กับผม ”  ว่าพลางอมยิ้ม
   “ โอเค  เดี๋ยวพี่ขอไปเตรียมของที่จะให้เรานำไปให้ท่านก่อนสักครู่ ” 
   “ ครับ ”  ขานรับทันที
                     เอมิลียิ้มให้น้องชายก่อนลุกออกจากโต๊ะทำงานแล้วตรงดิ่งไปยังห้องครัว  พร้อมจัดเตรียมขนมใส่ภาชนะอย่างสวยงาม  เพื่อที่จะให้น้องชายนำไปให้คุณหญิงเพ็ญที่เรือน  เมื่อบรรจุขนมเสร็จแล้วหล่อนก็เดินออกมาจากห้องครัว  ในมือเรียวข้างหนึ่งถือตะกร้าไม้หิ้วสำหรับใส่สิ่งของอยู่  ซึ่งภายในตะกร้าหิ้วนั้นก็มีถ้วยหินอ่อนที่มีฝาครอบปิดอยู่
                     หมอสาวนำตะกร้าที่ถืออยู่ในมือมาวางไว้ตรงหน้าของน้องชายก่อนจะเดินไปยังตู้สำหรับเก็บพวกยาบดสมุนไพร  มือขาวยื่นไปเปิดประตูตู้ออกแล้วหยิบห่อสีน้ำตาลออกมาหนึ่งห่อ  จากนั้นก็เดินเอามาวางลงในตะกร้าที่ตนวางไว้ก่อนหน้านี้
   “ พี่ฝากด้วยนะ ”  ยื่นมือไปตบไหล่คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เบา ๆ
   “ ครับ ”  ตอบรับกลับไป  พลางส่งยิ้มให้
   “ อย่างไรก็ฝากกราบสวัสดีคุณหญิงท่านกับหลวงภาคินแทนพี่ด้วยแล้วกันนะ ”  ไม่วายฝากทักทายบุคคลทั้งสอง
   “ ได้ครับ ”
   “ โอเค  ถ้าอย่างนั้นเราก็รีบไปเถอะ!  เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน  ” 
   “ ถ้าอย่างนั้นผมไปแล้วนะครับ ”  ว่าพลางลุกจากเก้าอี้  แล้วยื่นมือไปจับตะกร้าที่วางอยู่จึงเดินลงจากเรือนไป
                     เดินมาไม่นานก็ถึงเรือนของคุณหญิงเพ็ญ  เด็กหนุ่มหยุดอยู่ยังหน้าเรือน  เนื่องจากไม่กล้าเข้าไป  เพราะตนมาแบบไม่ได้บอกกล่าวเอาไว้ก่อน  ถ้าจะถือวิสาสะขึ้นเรือนท่านไป  ก็เกรงว่ามันไม่เหมาะสม  จะเป็นการเสียมารยาทเสียเปล่า
                     อาเธอร์ลิสยืนนิ่งอยู่นานจนมีคนรับใช้ของเรือนมาเห็นเข้าพอดี  คนรับใช้จึงบอกเด็กหนุ่มว่าจะไปเรียนคุณหญิงท่านให้ว่าตนมาขอพบ
                      สักพักคนรับใช้คนเดิมก็เดินลงเรือนมา  แล้วให้เขาขึ้นไปบนเรือนได้เพราะคุณหญิงท่านอนุญาตแล้ว
                      ทันทีที่ขึ้นมาบนเรือนก็เห็นคุณหญิงเพ็ญนั่งเอียงตัวพิงพนักศอกข้างหนึ่งไว้กับหมอนรูปทรงสามเหลี่ยมอยู่  เด็กหนุ่มจึงเดินเข้าไปนั่งลงตรงพื้นที่ต่ำกว่าตรงผู้หญิงสูงวัยนั่ง  พลางยกมือไหว้คนอาวุโสกว่าตามธรรมเนียมของชาวสยามที่พี่สาวเคยสอนเอาไว้
   “ ลมอะไรหอบพ่อมาถึงเรือนนี้  ”  ทักทายอย่างอารมณ์ดี
   “ คือ...พี่เอมีให้ผมเอาขนมตาลกับยาหอมมาให้คุณหญิงครับ...เป็นการขอบคุณที่กรุณาผมเมื่อครั้งนั้น ”  บอกจุดประสงค์ที่มาออกไปทันที
   “ ก็นึกว่าเรื่องกระไร  เรื่องแค่นี้เอง  อย่าถือเป็นบุญคุณเลย ”  ว่าพลางยิ้มแล้วลุกนั่งตัวตรง
   “ ไม่ได้หรอกครับ  เพราะได้ความกรุณาของคุณหญิงผมจึงสามารถมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ ”  พูดออกไปอย่างนั้น  “ อะไรที่ผมสามารถตอบแทนพระคุณของท่านได้  ผมก็อยากทำครับ ”  ว่าด้วยแววตาและสีหน้ามุ่งมั่น
                           คุณหญิงเพ็ญถอนหายใจยาวออกมาเฮือกใหญ่  แล้วบอกว่า
 “ ถ้ามันทำให้พ่อสบายใจฉันก็จะไม่ขัด ”
   “ ขอบคุณมากครับที่กรุณาผม  คุณหญิงมีอะไรอย่างให้ทำบอกผมมาได้เลยครับ  ผมจะทำตามอย่างไม่ขัดข้อง ”  พูดออกไปด้วยสีหน้าดีใจ
   “ ถ้าอย่างนั้นฉันอยากจะรบกวนพ่อให้ช่วยอะไรเสียหน่อย ”  ว่าพลางยื่นมือไปพยุงคนตัวสูงกว่าขึ้นมานั่งด้วยกัน
   “ อะไรเหรอครับ? ขอแค่ท่านบอกผมมา  ผมเต็มใจทำเป็นอย่างยิ่ง  ไม่เป็นการรบกวนเลยแม้แต่น้อยครับ ”  ตอบกลับไปพลางยิ้มให้คนสูงวัยตรงหน้า
   “ ฉันอยากให้พ่อช่วยงานพ่อภาคินเขาหน่อยน่ะจ้ะ!  ไม่ได้ให้ทำทั้งวัน  ขอแค่ช่วงหัวค่ำพอ ”  พูดพลางยิ้มให้คนอ่อนกว่า
   “ ให้ผมช่วยงานคุณหลวง!  อย่างไรหรือครับ? ”  ถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ
   “ อยากให้พ่อช่วยแปลเอกสารบ้านเมืองช่วยพี่เขาหน่อยน่ะจ้ะ  เห็นกลับมาจากราชการทีไรต้องมีเอกสารมากมายก่ายกองกลับมาเสียทุกครั้ง   ไอ้ฉันก็อยากช่วยลูก   แต่ก็อ่านหนังสือไม่ออกก็ได้แต่ให้กำลังใจ  กระนั้นฉันจึงอยากวานพ่ออลิสให้ช่วยแปลเอกสารจากงานราชการของพี่เขา  ทำสองคนคงจะเบาแรงกว่าทำคนเดียวเป็นแน่  อย่างไรเสียก็เป็นภาษาบ้านเกิดของพ่ออลิสมันก็คงจะไม่เหนือบ่าไปกว่าแรงกระมัง ”  พูดพลางยื่นมือไปกุมมือของคนตรงหน้า
   “ ถ้าคุณหญิงเห็นว่าผมพอที่จะทำได้  ก็รู้สึกเป็นเกียรติมากเลยครับ ”  ว่าพลางยกยิ้มบางให้คนตรงหน้า
   “ ขอบใจพ่อมากนะจ๊ะ ”  พูดพลางส่งยิ้มกลับบ้าง
   “ ด้วยความเต็มใจครับ ”  ตอบกลับไปอย่างนั้น  ก่อนเอ่ยขึ้นว่า  “ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ  วันนี้รบกวนท่านมามากแล้ว ” 
   “ จะกลับแล้วรึ!  ไม่อยู่ทานขนมด้วยกันก่อนล่ะ ”  โพล่งออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอ่ยลา
   “ ไม่รบกวนดีกว่าครับ  ไว้กลับไปทานกับพี่เอมีก็ได้ครับ ”  ปฏิเสธออกไปอย่างนุ่มนวลพลางส่งยิ้มให้
   “ ถ้าอย่างนั้น  ตามใจพ่อก็แล้วกัน  เดี๋ยวฉันจะให้คนขับรถไปส่งที่เรือน ” 
   “ อย่าเลยครับ  เดินผ่านแค่สี่ห้าเรือนก็ถึงแล้ว  ผมอยากเดินกลับเองมากกว่าครับ ”  ปฏิเสธไปอีกครั้ง
                  คุณหญิงเพ็ญได้แต่ถอนหายใจกับคำตอบของเด็กหนุ่มผู้เป็นเนื้อคู่ของลูกชาย  ช่างเป็นคนขี้เกรงใจเสียเหลือเกิน
   “ ถ้าเช่นนั้นก็สุดแล้วแต่พ่อเถอะ!  ฝากความคิดถึงถึงแม่เอมิลีด้วยแล้วกัน ” 
   “  พี่เอมีก็ฝากกราบสวัสดีท่านเหมือนกันครับ ”  พูดพลางพยักหน้ารับ
   “ กลับดี ๆ นะพ่อ ”  ไม่วายเอ่ยอวยพร
   “ ขอบคุณครับ ”  ส่งยิ้มหวานให้คนตรงหน้า
                   ยังไม่ทันจะได้ลุกไปไหน  หูของอาเธอร์ลิสก็ได้ยินเสียงรถเคลื่อนมาจอดที่หน้าเรือน  สักพักคนบนรถก็เดินขึ้นบันไดมา  นั่นไม่ใช่ใครที่ไหน  หลวงภาคินคนที่เด็กหนุ่มรับปากคุณหญิงเพ็ญเมื่อสักครู่ว่าจะมาช่วยแปลเอกสารบ้านเมืองที่เป็นภาษาอังกฤษ  หากแต่พอเห็นหน้าของขุนนางหนุ่ม  อาเธอร์ลิสก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา  คิดภาพไม่ออกเลยว่าตอนช่วยงานขุนนางหนุ่มตนจะทำตัวอย่างไร
                   หลวงภาคินขึ้นเรือนมาก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นอาเธอร์ลิสนั่งอยู่กับผู้เป็นมารดา  หากแต่ก็ไม่ได้ถามออกไปแต่อย่างใด  ขุนนางหนุ่มเพียงเดินเข้ามาใกล้คุณหญิงเพ็ญแล้วยกมือไหว้เหมือนที่เคยทำเป็นประจำ  แล้วก็นั่งลงข้าง ๆ  ผู้เป็นมารดา   อาเธอร์ลิสเห็นเช่นนั้นก็รีบขยับลงมานั่งในระดับที่ต่ำกว่า  สร้างความแปลกใจให้คุณหญิงเพ็ญโดยไม่น้อยที่เห็นเด็กหนุ่มทำเช่นนั้น  แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะรู้ดีว่า  อาเธอร์ลิสคงจะเกรงใจหลวงภาคินถึงได้รีบขยับลงไปนั่งตรงนั้น
                   คุณหญิงเพ็ญเลิกสนใจพฤติกรรมของเด็กหนุ่ม  แล้วหันมาทางลูกชายแทน
   “ เป็นอย่างไรบ้างพ่อ  งานที่ราชสำนักหนักไหม? ”  ถามออกไปอย่างนั้น
   “ ก็มีบ้างขอรับ  มีเอกสารที่ต้องแปลอยู่มากโข  พระองค์ต้องใช้เอกสารเหล่านั้นเพื่อเจรจาการค้ากับต่างชาติ ”  ตอบกลับไปทั้งสีหน้าแสดงถึงความเหนื่อยล้าออกมาอย่างซ่อนเอาไว้ไม่อยู่
                   ผู้เป็นมารดาได้ยินลูกชายพูดเช่นนั้นก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้  ด้วยรู้สึกเหนื่อยตามกับภาระงานของขุนนางหนุ่ม
   “ พ่อภาคิน  แม่จะให้คนมาช่วยงานเอกสารพ่อสักคน ”  ตัดสินใจพูดออกไปอย่างนั้น
   “ อย่างไรขอรับ? ”  ถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ
   “ แม่จะให้คนมาช่วยพ่อแปลเอกสารราชการที่พ่อเอากลับมาจากราชสำนักอย่างไรล่ะ ”  บอกออกไปเพื่อไม่ให้สงสัย
   “ แล้วคุณแม่จะให้ใครมาช่วยกระผมล่ะขอรับ? ”  ถามกลับไปด้วยความอยากรู้
   “ ก็พ่ออลิสอย่างไรล่ะ ”  พูดพลางพยักพเยิดไปทางคนที่นั่งนิ่ง ๆ  มาได้สักพักแล้ว
   “ คุณแม่ว่ากระไรนะขอรับ! ”  โพล่งออกไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง
   อลิสถึงกลับสะดุ้งเมื่อได้ยินหลวงภาคินพูดออกมาอย่างนั้น
   “ พ่อได้ยินไม่ผิดหรอก!  แม่จะให้พ่ออลิสมาช่วยแปลเอกสารช่วยพ่อ ”  ย้ำออกไปอีกครั้ง
   “ ได้อย่างไรกันขอรับ ”
                     ขุนนางหนุ่มไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นมารดาเลยสักนิดเดียว  เพราะเหตุใดถึงอยากให้เด็กที่อายุเพียงแค่  18  มาช่วยงานเขา
   “ ก็แม่เห็นว่าพ่ออลิสเขาน่าจะทำได้ดี  อย่างไรเสียก็เป็นเจ้าของภาษา  ต้องเข้าใจงานของลูกแม่แน่นอน ”  ตอบออกไปอย่างนั้น
   “ แต่...มันจะดีหรือขอรับ! ”  สีหน้ากังวลใจออกมาชัดเจน
   “ ดีสิพ่อ  แม่ถามน้องไปแล้ว ”  พูดไปยิ้มไป  พลางยื่นมือมากุมมือคู่สนทนา
   “ แล้วใครจะช่วยงานแม่เอมิลีล่ะขอรับ! ”  ถามออกไปเสียอย่างนั้น
   “ เอ่อ...เรื่องนั้น...”
                  คราวนี้คุณหญิงเพ็ญก็เริ่มวิตกขึ้นมาบ้างแล้ว  เพราะหากตนให้อาเธอร์ลิสมาช่วยงานอย่างนี้  ฝ่ายเอมิลีจะเป็นอย่างไร
                  อาเธอร์ลิสเมื่อเห็นคนทั้งสองเริ่มทำหน้าเครียดกันขึ้นมา  ก็ทำให้รู้ว่าคงกำลังกังวลเรื่องของเขาเป็นแน่
   “ ไม่ต้องกังวลหรอกครับ  ผมช่วยงานพี่เอมีเสร็จก่อนเย็นทุกวันอยู่แล้วครับ  ตอนหัวค่ำก็เลยว่างพอดี ”  พูดพลางส่งยิ้มให้คนทั้งสอง
   “ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะหายกังวลหน่อย  เกรงว่าจะสร้างความลำบากให้พ่ออลิสกับพี่สาว ”  พูดพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
   “ ไม่ลำบากเลยครับ ”  ตอบกลับไปด้วยความเต็มใจ
   “ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว  พ่อภาคินจะว่ากระไร? ”
   ไม่วายถามความเห็นของลูกชาย  เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบมาได้สักพักแล้ว
   “ กระผมก็สุดแต่คุณแม่แล้วกันขอรับ ”  ว่าพลางสีหน้าไม่สบอารมณ์
                    อาเธอร์ลิสเห็นสีหน้าของหลวงภาคิดก็รู้ได้ว่าไม่พอใจตนที่มายุ่มย่ามเรื่องของเขา  แต่จะพูดปฏิเสธก็ไม่ได้  เพราะได้รับปากคุณหญิงเพ็ญไปแล้ว  ได้แต่ก้มหน้านั่งฟังคนทั้งสองสนทนากันอย่างเงียบ ๆ
                    หลวงภาคินหลังจากปรับอารมณ์ขึ้นมาได้  ก็หันมามองคนที่นั่งก้มหน้าอยู่
   “ เอ็ง! ”  เรียกออกไปห้วน ๆ
   “ คะ...ครับ! ”  ถึงกับสะดุ้ง  พลางหันไปมองคนที่เรียก
   “ เข้าไปรอฉันที่ห้องรับแขกก่อน! หลังจากสนทนากับคุณแม่เสร็จ  ฉันจะไปคุยด้วย! ”  สั่งออกไปอย่างนั้น
   “ คะ...ครับคุณหลวง ”  รีบขานรับกลับไปด้วยความตื่นตระหนก
                    อาเธอร์ลิสรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปทางห้องรับแขก  ซึ่งเขารู้ดีว่าอยู่ตรงไหน  เพราะเขาเคยอยู่ที่เรือนนี้มาหนึ่งวันเต็ม  ต้องยอมรับว่าเด็กหนุ่มหวาดกลัวหลวงภาคินมาก  ไม่สามารถขัดน้ำเสียงของคน ๆ นั้นได้เลย
                    ขุนนางหนุ่มให้มารดามาสนทนาภายในห้องของตน  เพราะไม่อยากให้คนรับใช้ที่เรือนมาได้ยินในสิ่งที่ตนกำลังจะพูด  หลวงภาคินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ  เพื่อจะไม่ให้ตนเองหัวเสียขึ้นมาอีก
   “ คุณแม่ขอรับ! คุณแม่อยากจะทำอะไรกันแน่ขอรับ!? ”  ถามออกไปอย่างนั้นทันทีที่ควบคุมอารมณ์ได้
   “ แม่ก็อยากให้คนมาช่วยแบ่งเบางานของพ่อภาคินอย่างไรล่ะ! ”  พูดพลางไม่สบตาลูกชาย
   “ กระผมรู้สึกว่ามันจะมีอะไรมากกว่านั้นกระมังขอรับ! ”  จี้ให้คนตรงหน้ายอมพูดความจริงออกมา  เพราะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินเมื่อสักครู่
   “ แล้วพ่อคิดว่าอะไรรึ ”  พูดออกไปแบบไม่ได้ต้องการคำตอบแต่อย่างใด
                     เห็นผู้เป็นมารดาทำสีหน้าไม่รู้สึกรู้สากับคำถามของตน  ขุนนางหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา
   “ คุณแม่พยายามจะจับคู่เด็กนั่นให้กระผมใช่ไหมขอรับ!? ”  พูดสิ่งที่คิดออกไปเสียแล้ว
   “... ”  ไม่ได้ตอบกลับไป
   “ กระผมเคยบอกคุณแม่ไปแล้วนี่ขอรับ  ว่าไม่ได้รู้สึกเสน่หาอะไรกับเด็กคนนั้น ”  พูดออกไปอย่างนั้น
   “ ตอนนี้อาจยังไม่รู้สึก  แต่วันข้างหน้าต้องรู้สึกแน่! ”  โพล่งออกไปบ้าง
   “ มันคงไม่มีวันนั้นหรอกขอรับ! ”  ปฏิเสธออกไปเสียงแข็ง
   “ มันจะไม่มีได้อย่างไร!  ก็เขาเป็นเนื้อคู่ของพ่อ  เป็นคู่แห่งโชคชะตาของพ่อภาคินเพียงคนเดียว ”  โพล่งออกไปบ้าง
   “ จะอย่างไรกระผมก็ไม่สน  ไม่ว่าจะเป็นคู่แห่งโชคชะตาอะไรก็แล้วแต่  ในเมื่อกระผมไม่ได้รู้สึกรักใคร่ชอบพอในทำนองแบบนั้น  กระผมก็จะไม่ยอมรับเด็ดขาด! ”  ระเบิดอารมณ์ออกไปแล้ว
                คุณหญิงเพ็ญถึงกับส่ายหัวกุมขมับให้กับความหัวดื้อของลูกชาย
   ไม่เข้าใจหรือกระไร!  ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายก็หนีโชคชะตาไม่พ้น...
   “ แล้วแม่จะคอยดู  ว่าพ่อจะฝืนโชคชะตาตัวเองได้ไหม...” 
   พูดออกไปเพียงเท่านั้นก็เดินออกจากห้องของลูกชายทันที
                  ขุนนางหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกยาว  ก่อนจะสาวเท้าออกจากห้องตนเองเพื่อไปหาใครบางคนที่รออยู่ห้องรับแขก
                  ภายในห้องรับแขก  อาเธอร์ลิสนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างเงียบ ๆ พอเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าเดินเข้ามาภายในห้อง  เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนทันที
                  ขุนนางหนุ่มหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามคนตัวเล็กกว่า  แล้วก็บอกให้คนที่ยืนอยู่นั่งลงตาม
   “ คุณหลวงมีอะไรจะพูดกับผมหรือครับ? ”  ถามออกไปก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูดอะไร
   “ ฉันก็แค่อยากรู้ว่ากระไรเอ็งถึงอยากมาช่วยงานฉัน ”  พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
   “ ผมก็แค่อยากจะตอบแทนพระคุณที่ท่านทั้งสองช่วยผมเอาไว้เมื่อครั้งก่อน  อันที่จริงผมสามารถทำตามที่คุณหญิงบอกได้ทุกอย่าง  แต่ท่านกรุณาผมเหลือเกิน  โดยให้ผมมาช่วยงานเอกสารของคุณหลวง  เพราะเห็นว่าคุณหลวงทำงานหนัก  ก็เลยอยากให้ผมช่วยผ่อนแรงท่านบ้างครับ ”  พูดออกไปตามตรง
                  ขุนนางหนุ่มได้ยินอาเธอร์ลิสพูดเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความระอากับสิ่งที่มารดากระทำ
                 เอ็งไม่รู้หรอกว่าคุณแม่อยากให้เอ็งมาช่วยแค่งานฉันจริงๆ  อย่างที่เอ็งคิดหรือเปล่า...
   “ เป็นคุณแม่สินะ...”  พูดออกมาแค่นั้น
                  เด็กหนุ่มรู้ว่าตนทำให้คนตรงหน้าลำบากใจแค่ไหน  แต่จะให้กลับคำกับคุณหญิงก็ไม่ได้
   “ คุณหลวงครับ ”  ตัดสินใจเรียกออกไปอย่างนั้น
   “ อือ...มีอะไร? ”
   “ ผมรู้ว่าผมทำให้ท่านลำบากใจที่เข้ามายุ่มย่ามเรื่องของท่าน ”  ว่าออกไปตามสิ่งที่คิด
   “...”  ไม่ได้ตอบกลับไป
   “ คุณหลวงไม่ต้องกังวลเรื่องที่ผมเป็นคู่แห่งโชคชะตาหรอกครับ! ผมเข้าใจท่าน ”
   “...”
               เดี๋ยว ๆ เด็กนี่ไปได้ยินสิ่งที่คุยกับคุณแม่เข้ารึ!?
   “ ผมรู้ว่าการถูกจับคู่ให้กับคนที่ไม่ได้รักใคร่ชอบพอมันเป็นการฝืนความรู้สึก! ผมไม่เคยคิดที่จะให้ท่านรู้สึกกับผมแบบนั้นเลยครับ  ผมเพียงแค่ได้เคารพนับถือท่านไปอย่างนี้ตลอดชีวิตก็พอแล้วครับ ”  พูดออกไปแม้อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
   “...”
   มันก็ดีอยู่หรอกที่เด็กนี่เข้าใจ  แต่ทำไมถึงรู้สึกหงุดหงิดแปลก ๆ ที่ได้ยินว่าจะเคารพนับถือไปตลอดชีวิต!  ไม่เข้าใจ...
   “ ผมสัญญาว่าจะตั้งใจทำงานให้ท่านครับ ”  พูดออกไปพลางยิ้มบาง ๆ “ นี่ก็จะเย็นแล้วผมขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะครับ  คุณหลวง... ”
   “...”
                  ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากหนา  อาเธอร์ลิสลุกจากเก้าอี้พลางมองคนตรงหน้าครู่หนึ่งแล้วจึงเดินออกจากห้องไป
                  ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในหัวของขุนนางหนุ่ม  เขาไม่คิดว่าอาเธอร์ลิสจะมาได้ยินในสิ่งที่เขาพูด  มิหนำซ้ำยังเป็นคำที่ชวนให้คิดว่ารังเกียจที่มีเด็กหนุ่มเป็นเนื้อคู่เสียด้วย  เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจเด็กหนุ่มเลยสักนิด  ก็เพียงแต่ไม่ได้คิดในเชิงชู้สาวด้วยก็แค่นั้น
                   อย่าเข้าใจผิดสิ!  ฉันไม่ได้เกลียดเอ็งเสียหน่อย  ก็แค่ไม่ได้รู้สึกรักใคร่ชอบพอกับเอ็งก็แค่นั้น...


                                                                                      :mew6:
                                                        ลูกสาวชั้นนนนน  ทำไมคุณหลวงถึงไม่มีเยื่อใยให้น้องบ้าง...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2017 08:06:46 โดย KesornSama »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต
«ตอบ #10 เมื่อ11-11-2017 22:45:55 »

แล้วอย่ามารักกันนะคุณหลวง...ชิ ชิ  :z6:

ออฟไลน์ Somporn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต
«ตอบ #11 เมื่อ11-11-2017 22:49:51 »

ขอบคุณงับ ชอบๆ  :mew1:

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Episode 05
( ระยะห่างที่แคบลง )


                                  อาเธอร์ลิสจะเขียนบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาช่วยพี่สาวทุกวัน  และจะเสร็จก่อนหัวค่ำเกือบทุกวันเช่นกัน  วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขาทำงานเสร็จเร็ว  ตั้งแต่เขามาที่นี่ก็ช่วยเบาแรงเอมิลีได้มากเลยทีเดียว  หากไม่มีเขาหล่อนคงทำคนเดียวไม่เสร็จง่าย ๆ เป็นแน่
                                  เด็กหนุ่มเป็นคนขยันขันแข็ง  เป็นเด็กที่น่ารักตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว  ไม่เคยสร้างความลำบากใจให้ครอบครัวเลยแม้แต่น้อย  ถึงจะเกิดมาเป็นโอเมก้าเพียงคนเดียวในตระกูลวิสนีย์ก็ตามแต่  ทั้งอัลเบิร์ต  แอนนา  และเอมิลีเองก็รักเด็กคนนี้  เพราะอย่างไรเสีย  เขาก็คือสายเลือดเดียวกัน  จะให้ผลักไสไล่ส่งได้อย่างไร
                                    โอเมก้าหนุ่มเองก็ตระหนักเสมอว่า  ตนจะไม่ทำให้คนในครอบครัวต้องลำบากใจที่มีตนเป็นสมาชิกของบ้านอย่างเด็ดขาด  เขาจึงตั้งใจทำทุกอย่างที่ถูกมอบหมายอย่างเต็มที่เต็มกำลัง  ให้คุ้มค่ากับที่ได้มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้  ตอบแทนที่ทุกคนในครอบครัวเลี้ยงดูเขามาเป็นอย่างดี  จนเขาเติบโตมาจวนอายุจะครบ  18  ปี  เฉกเช่นดังปัจจุบัน
                                    เอมิลีเองก็รักน้องชายของตนมาก  หล่อนคงยอมไม่ได้ถ้าจะมีใครมารังแกเด็กคนนี้  ถึงแม้อายุจะห่างกันหลายปี  แต่ความผูกพันที่มีให้กันก็ไม่เคยห่างหายไปเลย  นาน ๆ  ครั้งที่จะได้อยู่ด้วยกัน  แต่ช่วงเวลา  3  เดือนนี้  น้องชายผู้น่ารักจะอยู่ที่นี่กับหล่อน  เพราะฉะนั้นจะต้องดูแลให้ดีที่สุด
                                     “ จะไปแล้วเหรอ ? ”  ถามออกไปเมื่อเห็นน้องชายเก็บของใส่ห่อผ้า
                                    “ ครับ  อีกสักหน่อยคุณหลวงก็คงจะถึงเรือน  ผมจะได้ช่วยงานท่านได้ทันท่วงที  ไม่ให้ท่านต้องทำรอ ”  ตอบกลับไปพลางส่งยิ้มให้พี่สาว
                                      “ จ้า ๆ ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปเถอะ  ไปดีมาดีนะไอ้แสบ! ”  ว่าพลางเดินมาขยี้หัวคนหน้าหวาน
                                     “ ครับ ๆ ”  หัวเราะพลางเอามือลูบผมให้เข้าที่
                                     “ ผมไปแล้วนะพี่ ” ไม่วายหันมาบอกอีกครั้ง
                                     “ โอเค  รีบไปเถอะ ”
                                         “...”
                                      เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรกลับไป  เพียงหันมายิ้มให้คนเป็นพี่สาวอีกครั้งก่อนจะเดินลงเรือนไป
α+Ω
                                         หลวงภาคินกำลังตั้งหน้าตั้งตาแปลเอกสารที่ได้มาจากราชสำนักวันนี้  ใบหน้าคมแสดงความเคร่งเครียดออกมาอย่างเก็บไม่อยู่  จนทำให้อาเธอร์ลิสรู้สึกกดดันไปด้วย  ก็จะไม่ให้ขุนนางหนุ่มทำหน้าเครียดได้อย่างไรล่ะ! ก็เนื้อความเอกสารเป็นการเจรจาจากฝรั่งเศสที่อยากทำสงครามกับสยาม  หากไม่อยากให้เกิดการสูญเสียก็ให้ยอมเสียดินแดนอารยประเทศบางส่วนให้พวกเขาเสีย  เพราะพวกเขาให้เหตุผลว่าสยามยังล้าหลัง  ไม่เจริญเท่าทันอารยประเทศของพวกเขา  ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการล่าอาณานิคมขึ้นในเขตปกครองของสยาม  ทั้งล้านนา  หลวงพระบางก็ได้ถูกฝรั่งเศสเข้ายึดไว้แล้ว  เพราะพระองค์ท่านไม่อยากให้เกิดการสูญเสีย  จึงยอมสละหัวเมืองหลายแห่งให้กับพวกฝรั่งเศสไป  แต่ไยพวกเขาไม่รู้จักพอ  ยังอยากจะได้แผ่นดินของสยามอีกอยู่เล่า! 
                                          ขุนนางหนุ่มได้แค่คับแค้นใจ  แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้  นอกจากนั่งแปลเอกสารเหล่านี้ให้เสร็จเสียโดยเร็ว
                                             อาเธอร์ลิสเองก็ใช่จะไม่รู้ว่าหลวงภาคินเครียดเรื่องอะไร  เพราะเนื้อความเอกสารฉบับที่เขากำลังแปลอยู่ก็กล่าวถึงเศรษฐกิจบ้านเมืองอยู่  กล่าวถึงสงครามระหว่างแคว้น  การล่าอาณานิคม  ที่มีฝรั่งเศสเป็นผู้ขับเคลื่อน  เด็กหนุ่มรู้ว่าสยามตอนนี้กำลังตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก  ไม่ใช่แค่พระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนัก  แต่ขุนนางข้าราชบริพารเองก็มีงานหนักที่ต้องทำเช่นกัน
                                                บรรยากาศในห้องเงียบสนิท  ไม่มีเสียงใด ๆ  หลุดออกมาจากปากของคนทั้งคู่  เพราะต่างฝ่ายต่างจดจ่ออยู่กับเอกสารตรงหน้าตน  จะมีก็เพียงแต่เสียงกระดาษที่ถูกจับพลิกหน้าในบางครั้งเท่านั้นที่ทำลายความเงียบนี้ลงได้
                                                  อาเธอร์ลิสนั่งจ้องเอกสารมานานตั้งแต่มาถึงเรือนหลังใหญ่นี้  จนรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว  ทั้งยังเริ่มคอแห้งขึ้นมาแล้ว  ถึงแม้จะไม่ได้ใช้เสียงพูดคุยเลยก็ตาม  แต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา  ได้แต่นั่งเขียนเอกสารตรงหน้าของตนเองไปอย่างเงียบ ๆ  เพื่อไม่สร้างความรำคาญให้กับคนบนเก้าอี้
                                                   หลวงภาคินนั่งทำเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงาน  โดยประกอบไปด้วยโต๊ะไม้ที่เป็นลิ้นชักกับเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลแดง  ส่วนอาเธอร์ลิสได้นั่งโต๊ะเสริมที่หลวงภาคินให้คนรับใช้แบกมาไว้ในห้องนอนของเขา  โดยเป็นโต๊ะเตี้ย ๆ  ที่ต้องนั่งพื้นเอา  โต๊ะของอาเธอร์ลิสถูกจัดวางให้อยู่ตำแหน่งข้างหลังโต๊ะของขุนนางหนุ่ม  ซึ่งชิดกับเตียงนอนเลย  เวลาเงยหน้าขึ้นก็จะเห็นใบหน้าด้านข้างของหลวงภาคินพอดี  ซึ่งใบหน้าของขุนนางหนุ่มตอนเคร่งเครียดก็ยังดูดีเหมือนเดิม  เด็กหนุ่มเผลอมองแล้วก็อมยิ้มออกมา  แต่ก็ต้องสะบัดหน้าไปมาเพื่อไล่ความคิดเหล่านั้นออกไป  แล้วตั้งใจแปลเอกสารที่อยู่ตรงหน้าให้เสร็จ  ก่อนที่จะทำให้คนตรงหน้าไม่พอใจหากรู้ว่าตนมัวคิดอะไรเรื่อยอยู่เปื่อยเช่นนี้
                                         “ เอ็งมองอะไร? ” ถามออกไปอย่างนั้น
                                        ไม่ใช่ชายหนุ่มไม่เห็นที่อาเธอร์ลิสมองตน
                                        “ ปะ...เปล่าครับ!  ไม่มีอะไร!  ผมต้องขอโทษคุณหลวงด้วยที่ทำให้เสียสมาธิ ”  ว่าพลางก้มหน้าหลบสายตาคม
                                      “ ไม่มีอะไรได้อย่างไร  ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเอ็งมองฉัน ”  ย้ำออกไปเช่นนั้น
                                       “...”  ไม่ได้พูดตอบ
                                     “ หรือว่าเอ็งจะหิวน้ำรึ? ”  ว่าพลางหงายถ้วยน้ำชาที่คว่ำอยู่ขึ้น  แล้วรินน้ำชาจากกาน้ำชาลงถ้วยไป
                                          อาเธอร์ลิสเงยหน้าขึ้นพลางทำสีหน้างุนงงกับสิ่งที่หลวงภาคินกำลังทำอยู่  ‘ ทำไมถึงรินชาสองถ้วย? ’  เป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัว  แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปแต่อย่างใด
                                           ขุนนางหนุ่มยื่นน้ำชาถ้วยหนึ่งที่รินเมื่อครู่ให้กับอาเธอร์ลิส  เด็กหนุ่มทำหน้าเหลอหลาขึ้นมาทันที
                                           “ คุณหลวงครับ  คือผมไม่...”  พูดไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นมาเสียก่อน
                                         “ เอาไปเถอะ!  ดื่มดู  อร่อย! ”  พูดพลางยื่นไปให้คนที่นั่งต่ำกว่า
                                          “ ขะ...ขอบคุณครับ ”  พูดพลางลุกขึ้นไปรับถ้วยชามาถือไว้ในมือ  แล้วเดินมานั่งลงที่เดิม
                                           อาเธอร์ลิสก้มมองน้ำชาภายในถ้วยที่อยู่ในมืออยู่นาน  โดยไม่ยอมยกขึ้นดื่มเสียที
                                          “ อ้าว! มัวมองอะไร  ดื่มเข้าไปสิ! ”  ออกปากบอกไป  เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่จ้องน้ำชา  โดยไม่มีทีท่าว่าจะยกดื่ม
                                          เด็กหนุ่มถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินขุนนางหนุ่มพูดเช่นนั้น
                                            “ คะ...ครับ ”
                                              มือเรียวประคองถ้วยชาขึ้นจรดริมฝีปากสวย  ก่อนจะเม้มจิบเข้าไปเพียงเล็กน้อย  พอน้ำชาไหลลงไปแตะยังปลายลิ้นอ่อนก็ทำให้รู้รสของชา  อร่อย  กลมกล่อม  ไม่หวานไม่ขมจนเกินไป  รสชาติกลาง ๆ  เด็กหนุ่มจึงดื่มเข้าไปอึกใหญ่อย่างไม่ลังเล  ไม่นานชาถ้วยเล็กก็หมดเกลี้ยง
                                                  ขุนนางหนุ่มเห็นคนตัวเล็กดื่มชาจนหมดถ้วยก็อดยิ้มออกมาไม่ได้  ก็ทีแรกทำท่าลังเล  เอาแต่จ้องอย่างกับว่าในชานั้นจะมียาพิษอย่างไรอย่างนั้น  พอทีนี้ล่อเอาเสียหมดถ้วยไม่เหลือเลยสักหยด
                                              “ เป็นอย่างไรบ้าง  ถูกปากหรือเปล่า? ”   ถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
                                                อาเธอร์ลิสเงยหน้าขึ้นจากถ้วยน้ำชา  แล้วหันไปสบตากับคนที่เอ่ยถามตน
                                               “ อร่อยมากเลยครับ  ขอบคุณที่ให้ผมดื่มนะครับ ”  ว่าเสร็จแล้วก็ยิ้มกว้างให้กับคนถาม
                                              “ อือ... ”  ตอบเพียงสั้น ๆ แล้วก็หันกลับมาจัดการกับเอกสารตรงหน้าต่อ
                                               เด็กหนุ่มเองก็ละสายตาจากใบหน้าคมนั้น  แล้วหันมาสนใจแผ่นกระดาษที่อยู่บนโต๊ะของตนเองเช่นกัน
                                               เป็นเวลากว่าสองวันแล้วที่อาเธอร์ลิสได้มาช่วยงานหลวงภาคินแปลเอกสารราชการภายในห้องนอนที่เขาเคยนอนตอนมาถึงที่สยามครั้งแรก  ตอนวันที่เขาต้องมาแปลเอกสารเหล่านี้เป็นครั้งแรก  ก็เก้ ๆ กัง ๆ อยู่พอสมควร  เพราะไม่รู้จะต้องวางตัวอย่างไรเมื่ออยู่กับหลวงภาคินเพียงลำพัง  ถึงเขาจะเคยอยู่สองต่อสองกับขุนนางหนุ่มมาบ้างแล้ว  แต่ก็ทำตัวให้คุ้นชินไม่ได้เสียที  และครั้งนี้มันก็ไม่เหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มา  เพราะเขาต้องอยู่ภายในห้องกับผู้สูงศักดิ์ผู้นี้เป็นเวลานาน  แถมอยู่ใกล้กันแค่เพียงเอื้อมมืออย่างนี้  เขาก็รู้สึกเกรงไปทั้งตัว  ด้วยความคิดว่าหลวงภาคินไม่ชอบขี้หน้าตนสักเท่าไหร่  การที่อาเธอร์ลิสมาอยู่ภายในห้องนอนของชายหนุ่มอย่างนี้  อาจสร้างความลำบากใจให้กับขุนนางหนุ่มมากเสียด้วยซ้ำ  จนมีความคิดว่าอยากจะขอเอาเอกสารพวกนี้กลับไปทำที่เรือน  เพื่อลดบรรยากาศตึงเครียดนี้  แต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะพูดขอออกไป
                                             การแปลเอกสารในวันที่สองของอาเธอร์ลิสกลับแปลกออกไปจากวันแรกอย่างลิบลับ  ถึงจะมีสีหน้าเคร่งเครียดเปื้อนขึ้นบนใบหน้าคมนั้นให้เขาเห็นอยู่เป็นระยะ ๆ แต่ก็ไม่ได้มาจากเขาเป็นแน่  หากแต่มาจากเนื้อความของเอกสารเสียด้วยซ้ำ  และที่ทำให้เขารู้สึกดีใจขึ้นมาได้ก็เพราะหลวงภาคินยอมพูดคุยกับเขา  แล้วยังรินชาให้เขาได้ดื่มอีกด้วย  ถึงจะได้พูดคุยกันแค่ไม่กี่คำ  แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกว่าบรรยากาศอึมครึมน่าอึดอัดแบบเมื่อวาน  ค่อย ๆ ลดลงบ้างแล้ว  ซึ่งมันทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก  สามารถทำงานที่อยู่ตรงหน้าอย่างมีความสุขได้  พลางทำให้หลุดยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่รู้ตัว...
                                              ถึงสายตาจะจ้องเอกสารอยู่  แต่หางตาก็เหลือบไปเห็นคนที่นั่งต่ำกว่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่  ท่าทางดูมีความสุขชอบกล  ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานยังสั่นเป็นลูกนกอยู่เลย  สายตาที่มองมาทางเขาเหมือนกับมองยักษ์มารไม่มีผิด  เขาก็เลยเลือกที่จะไม่ชวนคุยใด ๆ ทั้งสิ้น  ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเสียดีกว่า  สาเหตุอาจเป็นเพราะสิ่งที่เขาพูดกับมารดา  เรื่องคู่แห่งโชคชะตาอะไรนั่น  แล้วเด็กหนุ่มดันมาได้ยิน  อาจทำให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่เขาไม่ยอมรับ  ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าก็ตามแต่ 
ขุนนางหนุ่มยอมรับว่าเขารู้สึกผิดที่ทำเหมือนดูถูกเด็กคนนั้น  ละอายจนไม่อย่างไถ่ถามอะไรเลย  จึงปั้นหน้านิ่ง ๆ ทำงานของตนต่อไป
สุดท้ายแล้วก็อดที่จะทำลายความเงียบลงไม่ได้  เมื่อเหลือบไปเห็นคนตัวเล็กมองมาทางเขา 
หรือว่าจะหิวน้ำ?
                                          จนกลายมาเป็นรินชาให้ดื่ม ได้พูดคุยกันเพียงเล็กน้อย   แต่เพียงเท่านั้นก็ทำลายความเงียบที่เกาะกินมาวันกว่า ๆ ได้แล้ว
                                            หลวงภาคินหลับตาลงเพื่อให้เลิกคิดเกี่ยวกับเรื่องของอาเธอร์ลิส  ก่อนจะลืมตาขึ้น  แล้วหันไปทางคนที่นั่งยิ้มอยู่อย่างเต็มตัว
                                          “ ยิ้มอะไรของเอ็ง? ”  ถามออกไปอย่างนั้น
                                          เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์ทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มทักขึ้น  พลางเงยหน้าขึ้นมองคนบนเก้าอี้  ก็เห็นใบหน้าคมจ้องมาทางเขาอย่างไม่กระพริบ
                                            “ วะ...ว่าอะไรนะครับ? ”  ถามกลับไปด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน
                                            “ ฉันถามว่า...เอ็งยิ้มอะไร? ” พูดย้ำออกไป
                                            “ เอ่อ...ปะ...เปล่าครับ!  ไม่มีอะไรสำคัญหรอกครับ ”  ตอบกลับไปอย่างนั้นพลางก้มหน้าหลบสายตาเหยี่ยว
                                             “ จะไม่มีอะไรได้อย่างไร! ก็ฉันเห็นเอ็งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนปากจะฉีกถึงหูได้แล้วกระมัง ”  โพล่งออกไปอีกรอบ
                                              เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ละที่จะเอาคำตอบจากปากตนเอง  เด็กหนุ่มจึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วผ่อนออกมาเบา ๆ
                                              “ ผมแค่ดีใจครับ ”  พูดพลางส่งยิ้มให้คนที่นั่งสูงกว่า
                                               “ ดีใจ?  เรื่องอะไรล่ะ? ”  ถามกลับไปด้วยความสงสัย
                                                 “ เรื่องที่คุณหลวงยอมคุยกับผมครับ ”  ตอบออกไปตามตรง
                                                 “...” ไม่พูดอะไร
                                                    “ ผมดีใจมากเลยนะครับที่ท่านกรุณาพูดคุยกับผม  แล้วยังใจดีรินชาให้ผมได้ดื่มอีก  รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ ”  พูดต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ
                                                    “...”  มองหน้าคนที่นั่งอยู่ต่ำกว่า
                                                         “ ชาของคุณหลวง...อร่อยมากเลยนะครับ ”  พูดออกไปอีก  พลางส่งยิ้มหวานให้คนที่นั่งสูงกว่า
                                                      “ อะไรกันเล่า!  ก็แค่ชาอย่ามาเยินยอให้มากความ! ”  พูดพลางหันหน้าไปทางอื่น
                                                   ฉันจะดีใจหากระไรนี่!
                                                  “ อร่อยมากจริง ๆ นะครับ! ” โพล่งออกไปอย่างนั้น  เพื่อยืนยันในสิ่งที่พูด เพราะรู้สึกว่าจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ  จนหันหน้าหนี
                                                   ทำให้ท่านไม่พอใจอีกแล้วสิอลิส!
                                               “ เออ ๆ ขี้เกียจสนทนากับเอ็งแล้ว! ” พูดออกไปอย่างนั้น  แต่ไม่ได้หันมามองหน้าอีกฝ่าย
                                                  “ ขะ...ขอโทษครับ ” กล่าวออกไปด้วยความรู้สึกผิดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
                                                   ขุนนางหนุ่มได้ยินคนที่นั่งต่ำกว่าพูดเช่นนั้นก็หันกลับมามอง  อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด  ทำหน้าเป็นหมายหงอยอีกตามเคย  ‘ ไอ้เด็กที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คนเมื่อครู่มันหายไปไหนเสียแล้วล่ะ! ’ หลวงภาคินคิดในใจ
                                                 จะขอโทษอะไรกันนักหนา!  ทำอะไรให้มากความ!
                                                  “ พอ ๆ เลิกทำหน้าเป็นหมาหงอยเดี๋ยวนี้! ”  ออกปากสั่งออกไปอย่างนั้น
                                                อาเธอร์ลิสได้ยินเสียงทุ้มดังมาเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้น  แล้วมองไปยังใบหน้าคมนั้น
                                               “ ก็ผมทำให้ท่านไม่พอใจนี่ครับ...”  ยังทำหน้าเศร้า
                                                “ ฉันพูดเมื่อไหร่? ว่าฉันไม่พอใจเอ็ง? ” ถามด้วยสีหน้าจริงจัง
                                              “ ก็คุณหลวงบอกว่า...ขี้เกียจสนทนากับผม  ผมก็เลยคิดว่าคงทำให้ท่านไม่พอใจที่ผมชมว่าชาของท่านอร่อย...”  พูดสิ่งที่คิดออกไปจนหมดเปลือก
                                              ขุนนางหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างระอากับความคิดของคนตัวเล็ก
                                             คิดเองเออเองอีกแล้วสิเอ็ง!
                                             “ พอ ๆ หยุดคิดแบบนั้นเสีย!  เอาเป็นว่าฉันไม่ได้ไม่พอใจเอ็งก็แล้วกัน ” พูดออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายไม่คิดมาก
                                                “ จะ...จริงหรือครับ! ”  โพล่งออกไปด้วยความดีใจ
                                                “ เอ็งเห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นรึอย่างไร? ” แสร้งพูดออกไปให้อีกฝ่ายตระหนก
                                                   “ ปะ...เปล่าครับ!  ผมไม่เคยคิดแบบนั้น! ”  รีบโพล่งออกไปทันทีด้วยความตกใจ
                                                “ อือ...ฉันไม่ได้ไม่พอใจเอ็ง!  เข้าใจแล้วหรือยัง? ”  ย้ำออกไปอีกครั้ง
                                                 “ คะ...ครับ! เข้าใจแล้วครับ! ”  ตอบรับกลับไปทันที
                                                “ เข้าใจแล้วก็ดี!  กลับไปทำเอกสารต่อได้แล้ว  นี่เอ็งคิดจะอู้รึ! ”  พูดออกไปพลางหยอกเย้า
                                              “ คะ...ครับ!  ขอโทษครับ! ผมจะทำต่อเดี๋ยวนี้แหละครับ!  ”
                                             มือเรียวหยิบเอกสารที่แปลเสร็จรวมไว้ด้วยกัน  แล้วหยิบแผ่นที่ยังไม่แปลมาวางไว้ในตำแหน่งที่พร้อมจะเขียนด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนจนน่าขำขัน
                                             หึ!
                                                 หลวงภาคินหัวเราะในลำคอกับการกระทำของเด็กหนุ่ม  แล้วจึงหันมาจัดการเอกสารที่อยู่ตรงหน้าตนเองบ้าง
                                               ใบหน้าหวานละสายตาจากกระดาษแผ่นยาว  แล้วเงยหน้ามองไปยังบุคคลที่นั่งหันข้างให้กับตนเองในตำแหน่งสูงกว่า  ริมฝีปากสีระเรื่อก็ยกยิ้มขึ้นมาน้อย ๆ แก้มใส ๆ ค่อย ๆ  เปลี่ยนเป็นสีแดง  คล้ายกับสีของลูกตำลึงตอนสุกงอมอย่างไรอย่างนั้น
                                            ระยะห่างระหว่างเราเริ่มแคบลงหรือเปล่านะ?  จะมีวันที่ได้เป็นเพื่อนกับท่านบ้างไหม...

                                                                                                            :o8:
                                                                                      แหมม คุณหลวงนี่!  ปากร้ายใจดีนะเนี่ย!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2017 08:08:23 โดย KesornSama »

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Episode 06
( ใกล้ชิดสนิทสนม )


                             การมาที่เรือนของคุณหญิงเพ็ญในทุกวันของตอนหัวค่ำ  กลายเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งของอาเธอร์ลิสแล้วก็ว่าได้  เพราะหลังจากเขียนบันทึกช่วยเอมิลีเสร็จก็จะตรงดิ่งมายังเรือนทรงไทยหลังใหญ่ของหลวงภาคินทันที  จุดมุ่งหมายของการมาที่นี่แน่นอนว่าคือการช่วยงานแปลเอกสารของหลวงภาคิน  หากแต่ก็ได้รับการต้อนรับขับสู่จากคุณหญิงเพ็ญเป็นอย่างดี  ทั้งข้าวปลาอาหาร  ดูก็รู้ว่าจัดทำขึ้นเพื่อเขาเป็นพิเศษ  ไหนจะขนมหวานที่เรียงรายอย่างประณีตบนภาชนะที่สวยงามเหล่านั้นอีก  เด็กหนุ่มรู้สึกเกรงใจต่อความกรุณาที่คุณหญิงเพ็ญมอบให้เสียเหลือเกิน  แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจของท่านได้  เพราะตนเป็นผู้น้อย  เกรงจะดูอวดดีในสายตาคนอื่นและมันจะเป็นการเสียมารยาทต่อคุณหญิงด้วย
                            การรับประทานอาหารเย็นร่วมโต๊ะกับคุณหญิงเพ็ญและหลวงภาคินที่เรือนหลังใหญ่แห่งนี้  ก็กลายเป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มหลีกเลี่ยงไม่ได้  ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย  เพราะคุณหญิงเพ็ญเอ่ยปากชวน  มิหนำซ้ำยังคะยั้นคะยอลากตัวเด็กหนุ่มไปนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องอาหาร  โดยไม่สนใจสายตาของผู้เป็นลูกชายแต่อย่างใด
                            ขุนนางหนุ่มส่ายหน้าอย่างระอากับสิ่งที่ผู้เป็นมารดาได้กระทำลงไป  แต่ก็ไม่อยากจะพูดอะไร  เพราะถึงจะพูดออกไปก็ไม่อาจขัดใจกับความต้องการของคุณหญิงเพ็ญได้อยู่แล้ว  หลวงภาคินทำได้แต่เพียงถอนหายใจยาวเฮือกออกมา  ก่อนเดินไปขยับเก้าอี้ออกแล้วแทรกตัวนั่งลงไป
   “ ถอนหายใจทำไมพ่อภาคิน! ” โพล่งออกไปอย่างนั้น
                         หันไปมองลูกชายตาขวาง  แต่ขุนนางหนุ่มก็ทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้
   “ เปล่านี่ขอรับ ” ตอบออกไปอย่างนั้น  เพราะไม่อยากให้มากความ
   “ ให้มันจริงเสียเถอะ!  อย่าให้รู้ว่าไม่พอใจอะไรแม่! ”  พูดออกไปพลางจ้องชายหนุ่มตาเขม็ง
   “...”  ไม่ได้ตอบกลับไป
                          คุณหญิงเพ็ญเลิกสนใจลูกชายแล้วหันมาทางอาเธอร์ลิสแทน
   “ พ่ออลิส  วันนี้ฉันให้คนทำของอร่อย ๆ ให้พ่อมากมายเลย  แกงส้มดอกแคที่พ่อชอบก็มี  ขนมหวานหลากหลายเจ้าที่เขาว่าเด็ดกัน  ฉันก็ให้คนไปเอามา  ลองทานดูสิจ๊ะ!  อร่อย ๆ ทั้งนั้น ”  พูดส่งยิ้มให้คนหน้าหวานพลางเลื่อนชามอาหารให้อีกฝ่าย
   “ ขะ...ขอบคุณครับ  ที่จริงท่านไม่ต้องให้คนทำมามากมายขนาดนี้ก็ได้นะครับ  ยุ่งยากเสียเปล่า  ผมเกรงใจ ”  พูดออกไปตามตรง
   “ อย่าเกรงใจเลย  ฉันเต็มใจ  เวลาเห็นพ่ออลิสเจริญอาหารแล้ว  ฉันมีความสุข ”  พูดพลางส่งยิ้มให้
   “ แต่...มากขนาดนี้  คงทานไม่หมดแน่ครับ  เปลืองของเสียเปล่า ”  พูดพลางทำหน้าสลด
   “ ใช่! ”
                            หลวงภาคินที่เงียบอยู่นานก็โพล่งขึ้นแทรกการสนทนาของคนทั้งสอง  ทำให้สายตาสองคู่หันมาจับจ้องที่เขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
   “ อะไรกันพ่อภาคิน!  แม่ไม่ได้ถามพ่อเสียหน่อย  ไม่ต้องออกความเห็น! ”  พูดเอ็ดคนชอบขัด
   “ พ่ออลิสอย่าไปสนใจคนชอบขัดเลย  เอ้า! ลองชิมนี่ดู! อร่อยดี ”  ว่าพลางเลื่อนชามแกงเหลืองต้นคูนไปตรงหน้าว่าที่สะใภ้
   “ ขะ...ขอคุณครับ ”  กล่าวออกไปพลางแสดงสีหน้าเกรงใจ
                              ขุนนางหนุ่มที่นั่งดูการกระทำของมารดาอยู่  ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกยาว
   “ ทีลูกชายไม่เห็นเอาอกเอาใจแบบนี้บ้างเลย ”  พูดออกไปพลางตักแกงรัญจวนเข้าปาก
                              คุณหญิงเพ็ญหันควับกลับมาทางขุนนางหนุ่มทันที  พลางส่งสายตาจะกินเลือดกินเนื้อลูกชายในไส้  อาเธอร์ลิสที่นั่งดูอยู่ก็รู้สึกอึกอัดกับบรรยากาศที่เกิดขึ้นในตอนนี้  แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั่งปิดปากเงียบ ๆ  ผ่อนลมหายใจเบา ๆ  ทำตัวให้เหมือนอากาศธาตุที่สุด  เพราะตนเป็นต้นเหตุของการสนทนาของคนทั้งคู่
   “ กิน ๆ เข้าไปเลยพ่อภาคิน  จะได้เงียบ ๆ เสียที ”  พูดออกไปด้วยความไม่พอใจ
   “...”  ไม่ได้ตอบอะไร พลางทำหน้าไม่รู้สึกรู้สา
                              ทั้งสามคนนั่งรับประทานอาหารกันไปอย่างเงียบ ๆ  จะมีบ้างที่คุณหญิงเพ็ญชวนอาเธอร์ลิสคุย  หากแต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้พูดเป็นประโยคยาว ๆ  เพียงแค่ตอบรับคำของคนที่ถามไปเท่านั้น  เพราะเกรงใจหลวงภาคินที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย  แต่ก็ไม่มีเสียงใด ๆ หลุดออกมาจากปากของขุนนางหนุ่มเลย  จะมีก็เพียงแต่เสียงตักอาหารเท่านั้นที่ขุนนางหนุ่มจะทำให้เกิดเสียง  แต่มันก็เป็นเพียงเสียงเบา ๆ  ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกหนวกหูแต่อย่างใด
                              เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว  ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป  คุณหญิงเพ็ญเองก็กลับเข้าห้องของตน  ส่วนหลวงภาคินกับเธอร์ลิสก็เข้าไปทำงานเอกสารต่อ
                               ภายในห้องนอนของหลวงภาคิน  มีเพียงอาเธอร์ลิสกับขุนนางหนุ่มแค่สองคน  ที่กำลังตั้งใจจดจ่ออยู่กับเอกสารที่อยู่ตรงหน้าของตนเองอย่างไม่ละสายตา
                               อาเธอร์ลิสกำลังงุนงงกับเนื้อความในเอกสารอยู่ไม่น้อย  ไม่ใช่เขาอ่านไม่ออก  หากแต่เขาไม่เข้าใจกับระบบการปกครองที่ระบุไว้ในเอกสาร  อาจเป็นเพราะเขาไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้  หรือเพราะไม่ใช่ระบบการปกครองแบบประเทศของเขา  ถ้าจะแปลออกมาก็เกรงว่าจะทำให้ความหมายผิดเพี้ยนไป  ยิ่งอ่านเด็กหนุ่มก็ยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากัน  ปากเล็กเม้มเข้าหากันด้วยความกดดัน 
                              หลวงภาคินสังเกตมาสักพักแล้วว่าสีหน้าของอาเธอร์ลิสดูเคร่งเครียดกว่าปกติ  ยิ่งพินิจดูก็ยิ่งขำขันกับสีหน้าของคนตัวเล็กกว่า  ถึงหน้าปกติจะดูน่าเอ็นดูสักแค่ไหน  แต่เวลาตอนทำหน้ายับยู่ยี่แบบนี้มันก็ตลกอยู่ดี
   “ อ้าว ๆ คิ้วจะต่อเป็นเส้นเดียวกันแล้วนั่น!  เครียดอะไรของเอ็ง? ”  ว่าออกไปเช่นนั้น
                       อาเธอร์ลิสเงยหน้าขึ้นจากเอกสารเมื่อได้ยินเสียงทุ้มทักมา  แล้วจึงมองไปยังใบหน้าคมของเจ้าของเสียงทุ้มนั่น
   “ คือ...ผมไม่ค่อยเข้าใจระบบการปกครองของประเทศนี้เท่าไหร่น่ะครับ  เลยไม่รู้จะแปลออกมาแบบไหนดี ”  บอกออกไปอย่างนั้นแต่ไม่วายทำหน้าเครียดอย่างเคย
   “ ไหน?  เอามาดูซิ! ”  บอกให้อีกฝ่ายเอาเอกสารแผ่นนั้นมาให้ดู
                              อาเธอร์ลิสลุกขึ้นพลางหยิบเอกสารขึ้นมา  แล้วเดินอ้อมออกมาจากที่นั่งของตน  เดินไปหาหลวงภาคินที่โต๊ะ
   “ นี่ครับ ”  ยื่นเอกสารในมือให้
   “...”  ไม่ได้พูดอะไร  เพียงแค่รับเอกสารมา
                                 ขุนนางหนุ่มอ่านเอกสารแผ่นที่เพิ่งรับมาจากอาเธอร์ลิสจนจบแล้วค่อยเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ยืนจ้องตนอยู่
   “ เป็นอย่างไรบ้างครับคุณหลวง? ” ถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายอ่านเอกสารจบแล้ว
   “ ก็พวกฝรั่งเศสเขาบอกมาว่าระบบการปกครองของบ้านเมืองฉันหละหลวมไป  ใช้งบประมาณแผ่นดินสนับสนุนคนไม่เลือก  โดยให้สิทธิชนชั้นผลิตทายาทและชนชั้นสามัญสามารถรับราชการแผ่นดินได้แบบนี้  มันขัดต่อระบบการปกครองของสากล  อาจทำให้เกิดการก่อจลาจลให้เมืองอื่น ๆ ได้  ซึ่งจะทำให้เกิดสงครามระหว่างผู้ปกครองประเทศกับประชาชน  ที่ต้องการจะเรียกร้องสิทธิความเสมอภาคเรื่องการเข้ารับราชการของคนทุกชนชั้น  โดยอ้างว่าประเทศอื่นยังให้ความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมต่อประชาชนได้  นั่นก็คือ  ประเทศสยาม  ดังนั้นประเทศสยามควรเปลี่ยนรูปแบบการปกครองให้เป็นไปตามระบอบสากลเสีย  เพราะประเทศอื่น ๆ  เขาก็ใช้ระบบนั้น  สมาชิกทุกคนในประเทศจะได้อยู่อย่างสงบสุข  ไร้ซึ่งสงคราม...  ”  พูดพลางมองสีหน้าของคนตัวเล็ก
   “ ไม่เห็นจะสงบสุขจริงอย่างที่พูดเลย  เป็นแค่ฉากบังหน้า! ”  พูดสิ่งที่คิดออกมาพลางสายตามองไปยังกระดาษแผ่นนั้น
   “ เอ็งพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร? ”  ถามออกไปด้วยความสงสัย
                           เมื่อได้ยินคำถามของหลวงภาคิน  เด็กหนุ่มจึงรู้ตัวว่าตนหลุดพูดในสิ่งที่คิดออกไป 
   “ เอ่อ...”  ทำหน้าเหลอหลา
   “ พูดมา!  พูดในสิ่งที่เอ็งคิดออกมา! ”  บอกย้ำให้อีกฝ่ายพูดออกมา
                           เมื่อได้ยินอีกฝ่ายย้ำเช่นนั้นอาเธอร์ลิสก็ถอนหายออกไปยาวเฮือก  ก่อนจะสุดลมหายใจเข้ามาลึก ๆ แล้วค่อย ๆ ผ่อนออกมาเบา ๆ  อีกครั้ง
   “ การปกครองตามระบบของสากลผมไม่ชอบเลยครับ  นอกจากอัลฟ่าแล้ว  กลุ่มชนชั้นที่เหลือก็เป็นเหมือนส่วนเกินในสังคม  โดยเฉพาะโอเมก้า...”  สีหน้าแสดงออกถึงความเจ็บปวด
   “ ก็เพราะแบบนั้น  ประเทศของฉันเลยไม่เห็นด้วยกับการปกครองของพวกประเทศตะวันตกอย่างไรล่ะ  พวกเขาเลยพยายามบีบพระองค์ให้จนมุมด้วยการยึดเอาหัวเมืองต่าง ๆ ของสยามไป  ที่พระองค์ท่านยอมไม่ใช่เพราะกลัวการสู้รบแต่อย่างใด  แต่เพราะพระองค์ทรงเป็นห่วงประชาชนชาวสยามทุกคน  ไม่อยากเห็นใครมาเสียเลือดเสียเนื้อ  จึงยอมเสียดินแดนที่บรรพบุรุษรักษามาหลายศตวรรษให้พวกเขาไปเสียอย่างนั้น...”  พูดไปก็รู้สึกเศร้า
   “ ผมรู้สึกชื่นชมกษัตริย์ของสยามมากเลยครับ  ท่านรบด้วยหัวใจในแบบของท่าน  เพียงแค่นี้ประชาชนทุกคนก็รักท่านแล้วล่ะครับ  เพราะท่านมีความเมตตาให้ประชาชนอย่างแท้จริง...”  พูดพลางส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม
   “ อือ...ฉันก็รู้สึกอย่างนั้น  ประเทศสยามโชคดีจริง ๆ  ที่มีพระองค์ท่านเป็นผู้ปกครอง...พวกข้าราชบริพารทุกคนจะไม่ปล่อยให้พระองค์ท่านต้องเผชิญความยากลำบากนี้เพียงลำพังหรอก  ฉันสัญญากับคุณพ่อของฉันก่อนที่ท่านจะเสียไว้แล้วว่าจะรับใช้แผ่นดินจนกว่าชีวิตจะหาไม่! ”  พูดออกไปพลางหันไปมองรูปของชายชราคนหนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายตนที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะทำงาน
   “ ครับ  ผมเชื่อว่าคุณหลวงทำได้! ”  พูดพลางหลุดยิ้มออกไป
   “...”  ไม่ได้พูดอะไร  เพียงแต่หันมามองคนที่ยิ้มหน้าแป้นแล้นอยู่
   “ คุณหลวงเป็นคนเก่ง  เหตุการณ์บ้านเมืองที่วุ่นวายในครั้งนี้ต้องสงบลงได้อย่างแน่นอนครับ ”  ไม่วายยิ้มให้คนตรงหน้าอีก
   “ เอ็งเป็นหมอดูรึอย่างไร! ”  พูดพลางหันหน้าไปทางอื่น
   “ เปล่าหรอกครับ  ผมไม่ใช่หมอดู ”  พูดพลางเดินเข้าไปชิดโต๊ะของคนที่หันหันหน้าไปทางอื่น  แล้วโน้มตัวลงไปในระดับเสมอกัน
   “ แต่ผมเชื่อมั่นว่าคุณหลวงต้องแก้ไขมันได้ ”  พูดพลางยิ้มจนตาหยี
                     พอได้ยินเด็กหนุ่มพูดเช่นนั้นหลวงภาคินก็หันหน้ากลับมาทางต้นเสียงใส ๆ นั่นทันที
                     ใบหน้าของหลวงภาคินกับอาเธอร์ลิสห่างกันแค่เพียงฝ่ามือกั้น  ปลายจมูกเกือบจะชนกันเสียด้วยซ้ำ  วินาทีนี้อาเธอร์ลิสทำอะไรไม่ถูก  ตัวแข็งทื่อ  ตากลมโตเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจ  แก้มใสค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง  จากแดงแค่ที่แก้ม  ตอนนี้ก็ลามไปถึงหูแล้ว  ไม่เพียงเท่านั้น  อยู่ ๆ  ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็เต้นเร็วขึ้น  เร็วขึ้น... จนเหมือนกับจะหลุดออกมาข้างนอกอย่างไรอย่างนั้น
   “ เอ็งเป็นอะไรทำไมหน้าถึงแดงขนาดนั้น ”
                             หลวงภาคินถามออกมาทั้ง ๆ ที่หน้ายังอยู่ใกล้กันอย่างนั้น  ลมหายใจของหลวงภาคินเป่ารดไปยังปากสีระเรื่อ  ยิ่งทำให้อาเธอร์ลิสหน้าร้อนวูบวาบ  เด็กหนุ่มจึงรีบถอยพรวดออกมา
                             เพราะความตกใจทำให้เด็กหนุ่มไม่ทันได้มองว่าข้างหลังของเขามีโต๊ะทำงานตัวเตี้ยของตนตั้งอยู่  ด้วยความพรวดพราดถอยหลังไปทำให้ตรงขาพับไปชนเข้ากับขอบโต๊ะพอดี  และแค่นั้นมันก็เพียงพอที่จะทำให้เด็กหนุ่มเสียหลักล้มลงไปได้  แต่มันก็ไม่ได้เป็นเสียอย่างนั้น  เพราะหลวงภาคินรีบลุกมาคว้าตัวของเด็กหนุ่มไว้ได้ทัน  ทำให้คนร่างบางเซมาประชิดหลวงภาคินทันที  ซึ่งในท่าที่หลวงภาคินใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวบางไว้  ส่วนมืออีกข้างเจ้าข้อมือเล็ก  ลำตัวด้านหน้าของคนทั้งคู่เกือบแนบสนิทกัน 
   “ เป็นอะไรหรือเปล่า? ”  ถามออกไปพลางสำรวจดู
   “...”  ไม่ตอบ  เพียงแต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ
                               ใบหน้าคมก้มลงมองคนที่อยู่ในอ้อมแขนก็ต้องแปลกใจ  เพราะใบหน้าหวานนั่นแดงขึ้นมากว่าเมื่อครู่อีก  ตอนนี้แดงจนมาถึงคอแล้ว  เห็นเช่นนั้นจึงตัดสินใจช้อนร่างคนตัวเล็กขึ้นแล้วเดินไปที่เตียงนอน
   “ คะ...คุณหลวง!  จะทำอะไรน่ะครับ!  ปล่อยผมลง ”  พูดพลางดิ้นด้วยความตกใจ
   “ อยู่นิ่ง ๆ น่า!  เดี่ยวก็ตกลงไปหรอก! ”  ดุออกไป
   “...”  ปิดปากเงียบ
                             ขุนนางหนุ่มวางคนตัวเล็กลงบนเตียงอย่างเบามือ
   “ นี่เอ็งมีไข้รึ? ”  ถามออกไป  เพราะเห็นสีหน้าแปลก ๆ ของอีกฝ่าย
   “ ปะ...เปล่าครับ! ”
   “ ไหนดูซิ! ”
                          หลวงภาคินยื่นหลังมือไปแตะที่หน้าผากขาวเบา ๆ มืออีกข้างแตะลงไปที่ข้างแก้มใส  ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงไปแล้ว
   “ ตัวเอ็งก็ไม่ร้อนนี่!  แล้วทำไมหน้าถึงแดงขนาดนี้  หรือว่าเอ็งป่วยเป็นโรคประหลาด? ”  โพล่งออกไปด้วยความสงสัยกับอาการของคนที่นอนอยู่
   “ ผะ...ผมไม่ได้ป่วยเป็นอะไรหรอกครับคุณหลวง ”  ว่าพลางพยายามจะดันตัวลุกขึ้น
   “ ไม่เป็นอะไรกับผีล่ะสิ! หน้าเอ็งแดงจนจะกลายเป็นสีเลือดแล้ว ”  ว่าพลางใช้มือทั้งสองข้างกดตัวคนตัวเล็กให้นอนลง
   “ เอ็งนอนนิ่ง ๆ ไปก่อน!  เผื่ออาการจะดีขึ้น ”
   “ ผมไม่ได้เป็นอะไรนะครับ! ”  โพล่งออกไปแบบนั้น  เพราะชายหนุ่มยิ่งอยู่ใกล้แบบนี้ยิ่งทำสีหน้าไม่ถูก
   “ เงียบปากไปแล้วนอนไปซะ! ”  สั่งพลางดุออกไป  เพราะคนดื้อไม่ยอมฟัง
   “ ละ...แล้วงานแปลล่ะครับ! ”  โพล่งออกไปเผื่ออีกฝ่ายจะยอมปล่อย
   “ ค่อยทำวันหลังก็ได้  ไม่ได้ให้ทำเสร็จวันนี้เสียหน่อย! ”  บอกออกไปแบบนั้น
   “โถ่!  คุณหลวง...”  อุทานออกมาอย่างนั้นโดยไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูด
   “ อะไร!  กล้าขัดคำสั่งฉันอย่างนั้นรึ? ”  แกล้งข่มขู่
   “ เปล่าครับ ”  พูดออกไปพลางหลบตา
                        ใครจะไปกล้า!
   “ ดี!  นอนไปเลยเอ็ง!  ให้หลับด้วย!  ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน! ”  ไม่วายพูดขู่ออกไป
   “ โถ่!  ใครจะไปบังคับตัวเองให้หลับได้ล่ะครับ! ”
   “ ไม่รู้ล่ะ!  ฉันบอกให้เอ็งหลับ!  เอ็งก็ต้องหลับ! ”
   “...”  ไม่พูดอะไรออกไป  แต่หน้าค่อย ๆ บูดบึ้งขึ้นมา
   “ แค่นอนให้หลับมันจะยากอะไรนักหนาหา! ”  พูดพลางขยับตัวเข้าไปใกล้คนที่นอนอยู่  “ ขยับไปซิ! ”
   “ คะ...ครับ? ”
                          เด็กหนุ่มทำหน้าตาเหลอหลาด้วยความไม่เข้าใจกับคำสั่งของคนร่างใหญ่
   “ ฉันบอกให้ขยับไปอย่างไรเล่า! ”  ย้ำคำสั่งอีกครั้ง
                            อาเธอร์ลิสขยับตามที่ขุนนางหนุ่มบอก  แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อคนตัวใหญ่แทรกตัวนอนลงข้างตนอย่างดื้อ ๆ  จนทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง
   “ คุณหลวงทำอะไรน่ะครับ! ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
   “ ถามมาได้  ก็นอนอย่างไรล่ะ! ”  ตอบพลางเงยหน้ามองคนที่นั่งอยู่
   “ ได้อย่างไรกันครับ! ”  โพล่งออกไปอีกครั้ง  เพราะไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
   “ ก็เอ็งบอกว่าบังคับตัวเองให้หลับไม่ได้!  ฉันก็จะนอนให้ดูไง! ”  พูดพลางหลับตาลง
   “ ถ้าอย่างนั้นคุณหลวงนอนเถอะครับ!  ผมจะไปทำงาน ”  พูดพลางจะลุกขึ้น
                       นี่ล้อกันเล่นใช่ไหม!
                      อาเธอร์ลิสอดที่จะคิดไม่ได้ว่าคน ๆ นี้ กำลังแกล้งเขา  เห็นอาการแปลก ๆ ของเขาเป็นเรื่องสนุก
   “ จะไปไหน? ”  ว่าพลางดึงตัวคนตัวเล็กที่กำลังจะลงจากเตียงสุดแรงในขณะที่ตายังหลับอยู่
   เฮ้ย!
                         อาเธอร์ลิสตกใจสุดขีดเมื่อเขาถูกดึงจนเซถลาลงไปทับตัวขุนนางหนุ่มที่นอนหลับตาพริ้มอยู่  ตอนนี้หัวใจเด็กหนุ่มยิ่งเต้นแรง  เขากลัวว่าคนใต้ร่างจะได้ยินจึงออกแรงดิ้นสุดกำลัง
   “ ปล่อยผมนะครับคุณหลวง! ”  ว่าพลางดิ้นไม่หยุด
   “ ไม่ปล่อย! ”  ว่าพลางลืมตามองคนตัวเล็กบนอกที่ดิ้นเหมือนลูกแมวไม่มีผิด
   “ คุณหลวง! ”  น้ำเสียงเริ่มแสดงความไม่พอใจ
   “...”  ไม่พูดกลับกอดรัดคนบนตัวแน่นขึ้นกว่าเดิม
   “ คุณหลวงปล่อยผม!  ผมหายใจไม่ออก ”  เริ่มอึดอัดเพราะถูกกอดแน่น
   “ เอ็งต้องนอนลงตรงนี้กับฉัน  แล้วก็ต้องหลับด้วย  ฉันถึงจะปล่อย ”  ว่าพลางมองใบหน้าสวยที่บูดบึ้งขึ้นเรื่อย ๆ
   “ คนเอาแต่ใจ! ” ว่าออกไปพลางคิ้วขมวดกันแน่น
   “...”  ไม่ได้ตอบกลับไป  พลางยิ้มแล้วก็หลับตาลง  ออกแรงกอดให้แน่นขึ้น
   “ ผะ...ผมยอมแล้วครับ ”  พูดออกไปเพราะเริ่มหายใจไม่ออก
                           นี่ตั้งใจจะฆ่ากันให้ตายหรืออย่างไร!
                          พอได้ยินอาเธอร์ลิสพูดอย่างนั้น  สองแขนแกร่งก็คลายอ้อมกอดให้หลวมนิดหน่อย  แล้วพลิกคนบนตัวให้ลงมาด้านข้างแทน  แต่ก็ไม่วายกอดร่างบางเอาไว้
   “ หมดฤทธิ์เสียที! ”  พูดออกไปเมื่อเห็นคนตัวเล็กไม่ขัดขืนแล้ว
   “...”  ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี
   “ นอน ๆ อาการจะได้ดีขึ้น ”  ว่าออกไปพลางหลับตาพริ้ม
   “ เอามือออกไปด้วยครับ! ” บอกออกไปเพราะอีกฝ่ายยังไม่เอามือออกไป
   “ แบบนี้ดีแล้ว  จะได้อุ่น ๆ ไข้เอ็งจะได้ไม่ขึ้นอย่างไรล่ะ! ”
   “ เกรงว่าจะไม่ใช่อย่างนั้นสิครับ! ”
   “...”  ไม่ได้ตอบอะไร
   “ คุณหลวงครับ? ”  เรียกออกไปอีกครั้งเมื่อไม่ได้ยินอีกฝ่ายพูดอะไร  ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังพูดเอาแต่ใจอยู่เลย
   “...”  เงียบ
   “ คุณหลวงครับ! ไม่ได้ยินที่ผมเรียกหรืออย่างไรครับ! ”  เริ่มโมโหขึ้นมา เพราะคิดว่าอีกฝ่ายต้องการจะเล่นสงครามประสาทด้วยแน่ ๆ
   “...”  เงียบเชียบ
   “ เอ๊ะ! คุณ...”  พูดพลางหันกลับไปมองคนที่กอดลำตัวตนอยู่
                        กำลังจะโมโหใส่อยู่แล้วเชียว  แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหลับสนิท อาเธอร์ลิสก็ละความคิดนั้นไป
   “ มาหลับทิ้งกันไปเลยนะครับ  ตัวเองง่วงก็มาบังคับคนอื่นให้นอน ”  พูดพลางมองหน้าคนที่หลับอยู่
                        ที่หลวงภาคินหลับเร็วขนาดนี้  อาจเป็นเพราะเขาเหนื่อยล้าจากการทำงาน  ทั้งงานที่ราชสำนัก  แล้วยังหอบเอกสารกลับมาทำที่เรือนอีก  จึงทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย  ไหนจะต้องออกแรงปราบคนตัวเล็กแสนดื้อดึงนี่อีก  กว่าจะเอาอยู่หมัดก็ทำเอาชายหนุ่มเหนื่อยยู่เหมือนกัน  แต่การได้แหย่เด็กหนุ่มวันละนิดวันละหน่อยก็ทำให้เขาคลายเครียดได้ล่ะนะ
   “อือ...”    ส่งเสียงออกมาจากลำคอ  พลางรวบร่างเล็กให้กระชับเข้ามา
   “ คุณหลวง! ”  เรียกออกไปด้วยความตกใจ  “ ละเมอหรอกเหรอ! ตกใจหมด ”  ถอนหายใจออกมาเฮือกยาว
                        จะให้หลับลงได้อย่างไรล่ะเนี่ย!  นอนแนบชิดกันซะขนาดนี้!  โธ่!

                                                                                                     :-[
                                                                                ปลื้มปริ่มที่เค้าใกล้ชิดกันมากขึ้น =,,=
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2017 08:09:30 โดย KesornSama »

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Episode 07
( โรคประหลาด )

                          ตั้งแต่เล็กจนอายุจะได้  18  ปี  วันนี้ก็เป็นวันที่อาเธอร์ลิสกลับบ้านกลับเรือนดึกที่สุดจนถูกเอมิลีดุเอา  ก็จะไม่ให้ดุได้อย่างไร  นี่มันเลยเที่ยงคืนมาแล้วเพิ่งจะกลับถึงเรือน  ทุกวันกลับก่อนสี่ทุ่มเสียอีก  ไม่ใช่อะไรหรอกที่ดุไปก็ด้วยความเป็นห่วงทั้งนั้น  ถ้าจู่ ๆ  เกิดฮีทขึ้นมาจะทำอย่างไร  ตั้งแต่น้องชายมาอยู่สยามก็ร่วมสามสัปดาห์แล้ว  ซึ่งโอกาสที่เด็กหนุ่มจะเกิดฮีทรอบเดือนก็เป็นไปได้มาก  หากมีอาการระหว่างทางตอนกลับเรือนดึก ๆ ดื่น ๆ จะทำอย่างไร  เอมิลีไม่จะอยากคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเลย  ดุไปก็เท่านั้นมีแต่จะให้เด็กหนุ่มรู้สึกแย่เสียเปล่า  อย่างไรเสียก็ไม่ได้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้น  เอมิลีถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความผิดครั้งแรกของน้องชาย  ก่อนจะบอกให้ไปอาบน้ำแล้วรีบเข้านอน
                    อาเธอร์ลิสรีบตรงบึ่งไปยังห้องนอนเพื่อเอาของไปเก็บ  พลางเตรียมอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำแล้วเดินออกจากห้องนอนไปยังชานที่ยื่นออกมาจากตัวเรือน  ซึ่งเป็นที่สำหรับใช้อาบน้ำ 
                    อาบน้ำเสร็จเด็กหนุ่มก็ตรงดิ่งไปยังห้องนอนของตนทันที  แล้วจัดการตัวเองให้อยู่ในชุดที่พร้อมจะนอน
                    หลังจากทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว  ร่างบางก็ปีนขึ้นเตียงของตนเอง  พลางโน้มตัวลงนอน  สองมือเรียวดึงผ้าห่มขึ้นมาปกไว้ในระดับอก  แล้วตาคู่หวานก็ถูกปิดลงด้วยเปลือกตาที่มีแพขนตายาวสวยทั้งสองข้าง
                    หากแต่เด็กหนุ่มไม่ได้หลับอย่างที่ตนเองตั้งใจเลย  ทั้ง ๆ ที่ดวงตาถูกปกคุมด้วยความมืดแล้วแต่กลับเห็นใบหน้าของหลวงภาคินสว่างชัดเจน  จนทำให้เด็กหนุ่มต้องลืมตาขึ้นจากความมืดมิดนั้น  พลางใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที  มิหนำซ้ำแก้มใส ๆ ทั้งสองข้างก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อคล้ายลูกตำลึงขึ้นมาโดยฉับพลัน  อาเธอร์ลิสไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน  เขาไม่เข้าใจตนเองเลยทำไมถึงเห็นแต่ใบหน้าของขุนนางหนุ่มลอยอยู่ในหัวกันนักนะ  หรืออาจจะเป็นเพราะหลวงภาคินแกล้งตนมากจนเกินไป  เลยทำให้มันรู้สึกเจ็บตรงหัวใจตั้งแต่อยู่เรือนหลังใหญ่นั่นแล้ว  และตอนนี้หัวใจมันก็ยังเจ็บอยู่   มิหนำซ้ำยังเต้นแรงจนทำให้รู้สึกหนวกหู  เหมือนมันพร้อมจะหลุดออกมาอยู่ข้างนอกได้ทุกเวลาอย่างไรอย่างนั้น  เด็กหนุ่มคิดแบบนั้น
                    คนอะไร  เป็นต้นเหตุให้คนอื่นเขาถูกดุ  แล้วก็ไม่วายยังตามมาก่อกวนกันถึงในหัวอีก  มิหนำซ้ำยังมาทำคนอื่นเขารู้สึกเจ็บที่หัวใจอีกต่างหาก!
                       อาเธอร์ลิสได้แต่บ่นกับตนเองภายในใจ  ยิ่งบ่นก็ยิ่งเห็นใบหน้าคมของคนเอาแต่ใจลอยเข้ามาก่อกวนเขาอยู่ในหัว  และนั้นก็ยิ่งทำให้อาเธอร์ลิสรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ  จนคิดว่ามันคงจะร้อนไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว  ถ้ามันระเบิดได้มันก็คงจะระเบิดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วล่ะ...
                                                                                     α+Ω
                       หลวงภาคินนั่งแปลเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานของตนเองอย่างเช่นทุกวัน  ทว่ากลับไม่ได้มีสีหน้าเคร่งเครียดผุดขึ้นให้เห็นบนใบหน้าคมนั่นเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมาในเวลาที่มองแผ่นกระดาษที่อยู่ตรงหน้าด้วยข้อความภาษาอังกฤษ  ซึ่งแตกต่างกับอาเธอร์ลิสโดยสิ้นเชิง  ตั้งแต่มาถึงที่นี้ก็เอาแต่ทำหน้าตาบูดบึ้ง  แสดงท่าทางไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน  ไม่พูดไม่จากับชายหนุ่มเลยแม้แต่คำเดียว  ปกติจะพูดจาเจื้อยแจ้วจนขุนนางหนุ่มต้องพูดปรามในหลาย ๆ ครั้ง
                      หลวงภาคินเหลือบดูคนที่ทำหน้ากระวัดกระเหวี่ยงก็รู้สึกขำขึ้นมากับท่าทางแบบนั้นของเด็กหนุ่ม  แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงหัวเราะออกมาให้ได้ยินแต่อย่างใด
   “ เป็นอะไรของเอ็ง?  หน้าบูดบึ้งเหมือนอึ่งแก่แล้วนั่น! ”  ว่าพลางหลุดขำในลำคอ  เพราะสุดจะทนกับใบหน้าของคนตัวเล็กแล้ว
   “ เปล่านี่ครับ! ”  พูดไปอย่างนั้นโดยไม่ได้มองหน้าคู่สนทนา
   “ เปล่าอะไร  ก็เห็น ๆ  อยู่ว่าเอ็งดูไม่สบอารมณ์! ”  พูดออกไปแบบนั้น
   “...” ไม่ได้พูดอะไร   
   “ จะพูดหรือไม่พูดว่าเป็นอะไร! ”  ว่าพลางลุกขึ้น  เพื่อจะเดินเข้าไปใกล้คนดื้อรั้น
                             อาเธอร์ลิสเงยหน้าขึ้นก็ต้องเบิกตากว้าง  เมื่อเห็นหลวงภาคินยืนอยู่ตรงหน้าประชิดโต๊ะทำงานของตน
   “ ดะ...เดี๋ยวก่อนครับคุณหลวง! ”  โพล่งออกไปแบบนั้น  เพราะอีกฝ่ายโน้มใบหน้าลงมาใกล้
   “ ทีนี้จะบอกได้รึยังว่าเป็นอะไร? ”  พูดออกไปอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ยังโน้มหน้าอยู่
   “ คะ...ครับ!  จะบอกแล้วครับ! ”  พูดออกไปพลางยกมือดันแผงอกของคนเอาแต่ใจ
   “ ดี!  ถ้าอย่างนั้นก็พูดออกมา!  ไม่เช่นนั้นฉันจะง้างปากเอ็งให้พูดออกมาเอง ”  ไม่วายพูดขู่  พลางแกล้งโน้มตัวลงไปใกล้คนตัวเล็กมากขึ้นกว่าเดิม
   “ คุณหลวงขยับออกไปก่อนครับ!  อื้อ! ”  ออกแรงผลักคนดื้อด้าน
   “...”  ไม่ได้พูดตอบออกไป  เพียงแต่ยิ้มเจ้าเล่ห์
                      ขุนนางหนุ่มรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งแหย่อาเธอร์ลิสให้จนมุม  ยิ่งเห็นอาเธอร์ลิสพยายามผลักอกเขาแรงเท่าไรเขาก็ยิ่งโน้มตัวลงไปใกล้เท่านั้น  จนในตอนนี้ปลายจมูกของคนทั้งคู่ได้ชนกันเข้าให้แล้ว  หลวงภาคินไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ชน  แต่เป็นเพราะอาเธอร์ลิสเอาแต่ดิ้น ๆ  ทุบ ๆ อกเขานั่นล่ะ  มันก็เลยเสียหลักไปบ้างก็เท่านั้นเอง
                      อาเธอร์ลิสออกแรงผลักคนตัวใหญ่สุดแรงอีกครั้ง  จนในที่สุดคนขี้แกล้งก็ยอมถอยใบหน้าออกไป   หัวใจของอาเธอร์ลิสเต้นแรงอย่างไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว  ใบหน้าหวานเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมาจนเห็นได้ชัด  นั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องผลักไสชายหนุ่มให้ออกห่าง  เพราะยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งทำให้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
   “ เออ ๆ  ไม่แหย่เอ็งแล้วก็ได้  จะบอกได้รึยังว่าเป็นอะไร? ”  ว่าพลางเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้
   “ ผมโกรธคุณหลวงครับ! ”  พูดออกไปพลางตวัดสายตาไปมองคนบนเก้าอี้
   “ โกรธฉัน? ”  ว่าพลางย่นคิ้วอย่างสงสัย
   “ ครับ! ”  ยืนยันคำตอบด้วยสีหน้าบูดบึ้งที่เปื้อนไปด้วยสีแดง
   “ แล้วเอ็งจะมาโกรธฉันเรื่องอะไรล่ะ? ”  ว่าพลางทำหน้าตาไม่ยี่หรา
   “...”  หน้าบูดขึ้นกว่าเดิน
   นี่ยังไม่รู้อีกหรืออย่างไรว่าตัวเองทำเรื่องอะไรเอาไว้!
   “ เงียบทำไม?  พูดมาสิ!  ฉันไปทำอะไรให้เอ็งโกรธ! ”  พูดออกไปแบบนั้น  ทั้ง ๆ ที่สีหน้าไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกผิดเลยสักนิดเดียว
   “ ผมถูกพี่เอมีดุ  ก็เพราะคุณหลวงนั่นล่ะครับ! ”  โพล่งออกไปพลางทำหน้าฮึดฮัดใส่คนไม่สำนึกผิด
   “ จะมาเป็นเพราะฉันได้อย่างไร  เอ็งไปทำอะไรเอาแต่ใจเอง!  พี่สาวเขาจึงดุเอาใช่ไหมล่ะ! ”  พูดพลางทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไร
   “ คนเอาแต่ใจนั่นมันคุณหลวงเองไม่ใช่หรือครับ!  ผมกลับดึกก็เพราะคุณหลวงนั่นล่ะครับ! ”  โพล่งออกไปด้วยความสุดทนกับคนยียวน
   “ เอ๊ะ!  กลับดึกอย่างนั้นหรือ...”  ว่าพลางเอามือลูบคางแสร้งทำเป็นครุ่นคิด
   “....”  ไม่มีอะไรจะพูด
   “ อ๋อ! ที่ฉันบังคับให้เอ็งนอนให้หลับนะหรือ? ”  พูดพลางดีดนิ้วมือเหมือนกับว่านึกออก
   “...”  ไม่พูดตอบ  แต่จ้องอีกฝ่ายเขม็ง
   “ ก็ตอนนั้นฉันเห็นเอ็งอาการไม่ดี  เลยคิดว่าถ้านอนเสียหน่อยก็คงจะดีขึ้น! ”  พูดพลางจ้องมองอีกฝ่ายกลับบ้าง
   “ ผมก็บอกไปแล้วนี่ครับว่าไม่ได้เป็นอะไร! ”  ไม่วายทำหน้าโกรธเกรี้ยว
                   ขุนนางหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างสบายอารมณ์เมื่อเห็นคนตัวเล็กทำหน้าตาโกรธตนเป็นฟืนเป็นไฟอย่างนั้น
   “ ใครจะไปคิดล่ะ!  ว่าเอ็งจะดื้อด้านขนาดนั้น  ต้องให้ฉันไปนอนให้ดูเป็นตัวอย่าง  จนฉันหลับทิ้งงานทิ้งการไปเสียอย่างนั้น  นี่ตื่นกลางดึกได้ก็ดีมากแล้ว  ถ้าจะโทษก็ต้องโทษเอ็งล่ะที่รั้น! ”  ว่าพลางพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์
   “ ก็ถ้าคุณหลวงไม่บังคับให้ผมนอนด้วย  มันก็คงไม่ดึกขนาดนั้นหรอกครับ! ”  เถียงกลับไปอย่างไม่ลดละ
   “ เอ๊ะ!  เอ็งนี่กระไร  ฉันก็พูดไปตั้งหลายรอบแล้วว่าอยากให้อาการเอ็งดีขึ้น  ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเมื่อวานเอ็งหน้าแดงแจ๋เลย  ถ้าฉันไม่นอนกอดเอ็งไว้แบบนั้นเอ็งก็คงจะไม่ยอมนอนดี ๆ เป็นแน่ ”  ร่ายยาวออกไปด้วยความเหลืออดกับคนเถียงคำไม่ตกฝาก
                      อาเธอร์ลิสได้ยินหลวงภาคินพูดออกมาเช่นนั้นก็รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาบริเวณแก้มทั้งสองข้าง  เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่หลวงภาคินนอนกอดเขาอยู่อย่างนั้นจนอีกฝ่ายหลับไป  เหลือแต่เขาที่ยังไม่อาจหลับตาลงได้   เพราะไม่สามารถควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจให้สงบลงเช่นเดิมได้ 
                      สองแก้มเนียนใสค่อย ๆ ขึ้นสีทีละนิด  จนในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นสีแดงสดเหมือนลูกตำลึงเวลาสุกงอมก็ไม่ปาน  เด็กหนุ่มรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าและลำคอ  จนต้องยกมือขึ้นมาลูบเพื่อหวังจะให้ความร้อนนั้นทุเลาลง  หากแต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ตนคิด  เพราะจู่ ๆ  มือหนาของใครบางคนก็มาแตะเข้าที่ไหล่ของเขา  พอเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องเบิกตาโพลง  ไม่รู้ว่าหลวงภาคินเดินมาอยู่ใกล้เขาตั้งแต่เมื่อไร   หน้าที่แดงเหมือนลูกตำลึงเมื่อครู่  ตอนนี้ได้กลายเป็นลูกตำลึกเปียกฝนไปแล้ว  เพราะเหงื่อเม็ดใหญ่หลายเม็ดไหลชุ่มไปทั่วใบหน้าของเด็กหนุ่ม  และยังไหลอาบไปถึงต้นคอ  จนทำให้เสื้อช่วงบนถึงกับเปียกชุ่มไปด้วย  ยิ่งเห็นอย่างนั้นหลวงภาคินยิ่งตื่นตระหนกขึ้นกว่าเดิม
“ อ๊ะ! ”  อุทานออกมา
                มือหนาช้อนเอาตัวคนร่างเล็กมาไว้ในอ้อมแขน  แล้วเดินไปยังเตียงของตน  พลางวางคนที่อุ้มมาลงบนเตียงอย่างเบามือ
                เด็กหนุ่มตื่นตกใจกับการกระทำของหลวงภาคินเป็นอย่างมาก  แต่ด้วยความตกใจหรือหวั่นกลัวว่าคนตัวใหญ่จะรู้ว่าที่จริงแล้วสาเหตุที่ทำให้เขามีอาการแปลก ๆ  เหล่านี้เป็นเพราะคิดเรื่องเมื่อวาน  เด็กหนุ่มจึงไม่ทันได้ขัดขืนอะไร
   “ เอ็งมีอาการอีกแล้วรึ? ”  ถามออกไปพลางนั่งลงข้างคนตัวเล็ก
   “ ผะ...ผมไม่...อ๊ะ!  ”   พูดยังไม่ทันจบก็ต้องร้องออกมาด้วยความตกใจ  เพราะถูกมือหนากดให้นอนลง
   “ เอ็งอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องพูด! ”   ว่าพลางใช้มือแตะลงบนหน้าผากคนที่นอนอยู่
                อาเธอร์ลิสพูดอะไรไม่ออกกับการกระทำของขุนนางหนุ่ม  และยิ่งคนตัวใหญ่สัมผัสร่างกายเขามากเท่าไร  หัวใจเขาก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น  จนเขารู้สึกกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยินมันเข้า  ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาคงต้องกลั้นลมหายใจตนเองเพื่อไม่ให้หัวใจมันเต้นแรงไปมากกว่านี้  เผื่ออาการประหลาดนี้มันจะหายไป...
“ คะ...คุณหลวง! ”
                อาเธอร์ลิสตกใจสุดขีดจนแทบจะหยุดหายใจ  เมื่อจู่ ๆ  หลวงภาคินก็โน้มใบหน้าลงมาใกล้บริเวณอก  แล้วแนบหูลงไปที่อกข้างซ้ายของเขา
   “ หัวใจเอ็งเต้นแรงมาก! ”  พูดออกไปในขณะที่หูยังอยู่ที่อกของคนตัวเล็ก
   “...”  พูดไม่ออก
   “ ทำไมหัวใจเอ็งเต้นแรงขนาดนี้  เอ็งเป็นอะไรรึเปล่า? ”  ว่าพลางไม่วายฟังเสียงหัวใจของอีกฝ่าย
   “...”
                    อาเธอร์ลิสได้แต่เงียบกับคำถามของหลวงภาคิน  เขาเองก็ไม่รู้จะตอบออกไปอย่างไรดี  เขารู้แค่ว่าสาเหตุที่เขามีอาการแบบนี้เป็นเพราะอยู่ใกล้หลวงภาคินมากเกินไป  จะให้บอกออกไปแบบนี้มันก็กระไรอยู่
   “ อาเธอร์ลิส...เอ็งเป็นอะไร? ”  เงยหน้าขึ้นจากอกคนตัวเล็กพลางมองไปที่ใบหน้าหวานนั่นด้วยสายตาอยากรู้
                    เป็นครั้งแรกที่หลวงภาคินเรียกชื่อของเด็กหนุ่ม  ปกติจะเรียกแค่  ‘ เอ็ง ’ แต่ครั้งนี้ที่เรียกออกไปแบบนี้  เพราะความข้องใจเกี่ยวกับอาการของอาเธอร์ลิสจริง ๆ ทั้งหวั่นว่าอีกฝ่ายจะป่วยร้ายแรง  โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้  ชายหนุ่มเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกกระวนกระวายกับอาการของคนที่นอนอยู่ขนาดนี้  อาจเป็นเพราะเด็กหนุ่มเป็นผู้ช่วยแปลเอกสารให้เขากระมัง  ขุนนางหนุ่มคิดเช่นนี้
   “ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับคุณหลวง ”  พูดพลางสบตาตอบ
   “ อาการเอ็งนี่แปลกแน่แท้  หรือว่าโรคที่เอ็งเป็น  จะยังไม่มีใครเป็นมาก่อน! ”  พูดออกไปพลางมีสีหน้ากังวล
   “ ผมไม่ทราบครับ! ” 
                    อาเธอร์ลิสจะตอบชายหนุ่มไปอย่างนั้นก็ไม่ผิดอะไร  เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีใครเคยมีอาการแบบเขาไหม  อาการที่อยู่ใกล้คน ๆ หนึ่งแล้วหัวใจมันเต้นแรง  เขาเองก็หาคำตอบให้ตนเองไม่ได้  เขาก็เพิ่งเคยประสบพบเจอกับตนเองเป็นครั้งแรก  รู้แค่ว่าตอนนี้สับสนกับตนเองมากที่มีอาการแบบนี้
   “ อาการก็แปลก!  ไม่คล้ายคลึงกับโรคที่เคยพบเห็นเลย...”  ว่าพลางยกมือลูบคางทำท่าครุ่นคิด
   “...”  ไม่ได้พูดอะไร
   “ ฉันว่าเอ็งต้องเป็นโรคประหลาดแน่ ๆ  มีที่ไหนหน้าแดงแจ๋ขนาดนี้แล้วตัวไม่ร้อน  ไม่มีไข้  มิหนำซ้ำหัวใจยังเต้นแรงอีก  มันต้องใช่แน่ ๆ ”  พูดออกมาอย่างนั้น
   “...”  เงียบ
   “ เอาอย่างนี้!  ฉันจะพาเอ็งไปหาหมอฝรั่งที่เก่ง ๆ  เผื่อจะรู้ว่าเอ็งป่วยเป็นอะไร  แล้วจะได้รักษา ”  พูดออกไปพลางยิ้มให้กับคนตัวเล็กที่นอนอยู่
   “ ผะ...ผมว่าอย่าดีกว่าครับ! ”  โพล่งออกไปพลางยันตัวให้ลุกขึ้นนั่ง
   “ ทำไมล่ะ!  หรือว่าเอ็งไม่ชอบหมอ? ”  ถามออกไปเอย่างนั้น
   “ เปล่าครับ! ” 
   “ นั่นน่ะสิ  พ่อเอ็งพี่สาวเอ็งก็เป็นหมอจะไม่ชอบหมอได้อย่างไรกัน! ”
   “...”  ไม่ได้ตอบกลับไป
   “ เอาเถอะน่า!  เอาตามที่ฉันบอกดีแล้ว ”  ว่าพลางยกมือขึ้นแตะไหล่คนตรงหน้า
   “ ผมไม่อยากจะ...”  พูดยังไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นมา
   “ ฉันไม่อยากให้เอ็งตาย! ”  พูดออกไปแบบนั้น
   “ คุณหลวง...”  เรียกออกไปแบบนั้นพลางสบสายตาคม
   “ เอ็งยังเด็กยังมีชีวิตอีกยาวไกลจะมาตายเพราะไอ้โรคประหลาดนี่ไม่ได้!  อย่างน้อยก็ให้พยายามรักษาก่อน  เอ็งยังมีพ่อมีแม่  มีพี่สาว  เอ็งไม่สงสารพวกเขาหรือที่ต้องมาเสียใจเพราะความดื้อด้านของเอ็ง  หากมันจะรักษาไม่ได้จริง ๆ  อย่างน้อยก็ให้ยืดชีวิตให้ยาวออกไปหน่อยมันจะไม่ดีกว่าหรือ ”
                   เด็กหนุ่มได้ฟังหลวงภาคินพูดเช่นนั้นก็ชะงักความดื้อด้านของตนเองลง  ด้วยเห็นว่า  หากเขาป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาจริง ๆ เขาก็ควรจะพยายามเพื่อคนที่รักเขาบ้าง  ไม่ใช่มัวขี้ขลาดตาขาวอยู่แบบนี้
   “ ครับคุณหลวง! ผมจะยอมพบหมอ  แต่...” 
   “ แต่อะไร? ”  ถามออกไปเมื่ออีกฝ่ายหยุดพูดทั้ง ๆ ที่ยังพูดไม่จบ
   “ ไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ ”
                   ถึงเด็กหนุ่มจะยอมโอนอ่อนให้กับคำพูดของหลวงภาคิน  แต่เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะต้องเข้าตรวจในทันที  บอกตามตรงว่าอาเธอร์ลิสไม่ค่อยชอบการถูกหมอตรวจสักเท่าไร  ถึงครอบครัวของเขาจะมีหมออยู่ตั้งสองคนก็ตาม  เด็กหนุ่มชอบการบริการคนอื่นมากกว่ามาเป็นคนไข้เสียเอง
   “ อือ!  ก็แล้วแต่เอ็งแล้วกัน   อย่างน้อยก็ยังคิดจะตรวจล่ะนะ! ”  ว่าพลางถอนหายใจออกมาแบบปลง ๆ  ให้กับคำตอบของคนดื้อ
   “ ครับ! ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้คนตรงหน้า
   “  อย่างไรเสีย!  ก็ลองให้แม่เอมิลีดูอาการให้หน่อยก็ดี  เป็นพี่น้องกันน่าจะสะดวกใจกว่าคนอื่น! ”  พูดแนะนำออกไป
   “ ไว้ผมจะลองดูครับ! ”  พูดออกไปอย่างนั้น  แต่ก็ไม่วายยิ้มร่าออกมา
   “ เออ ๆ ” พูดออกไปพลางหันไปทางอื่น
                   รอยยิ้มของอาเธอร์ลิสก็มีผลทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นผิดจังหวะเหมือนกัน
                  หรือว่าจะเป็นโรคประหลาดเหมือนกันเรอะ!


                                                                                                   :hao3:
                                                                                      แพ้รอยยิ้มของลูกสาวฉันละซิ๊ หึ ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2017 08:10:26 โดย KesornSama »

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต
«ตอบ #15 เมื่อ28-11-2017 22:37:26 »

จะรออ่านตอนต่อไปน้า

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Episode 08
( คงเป็นพ่อสื่อให้ไม่ได้ )

                         อาการของโรคประหลาดที่เกิดขึ้นกับอาเธอร์ลิสก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกแล้ว  เพราะเด็กหนุ่มไม่ได้ถูกหลวงภาคินแกล้งแหย่แบบประชิดตัวเหมือนครั้งที่ผ่านมา  ที่หลวงภาคินไม่ได้ทำเช่นนั้นเพราะช่วงนี้ติดราชการจนต้องไปค้างแรมที่หัวเมืองอื่น   เลยไม่สามารถที่จะมาทำให้คนตัวเล็กเกิดอาการหน้าแดงหัวใจเต้นแรงได้สักระยะ
                         กว่าสามวันแล้วที่อาเธอร์ลิสไม่ได้เข้าไปช่วยงานแปลเอกสารที่เรือนของคุณหญิงเพ็ญเลย  ก็หลวงภาคินไม่อยู่  เขาเลยไม่มีความจำเป็นที่จะไปที่เรือนหลังใหญ่แห่งนั้น  เลยกลายเป็นว่าช่วงเวลาหัวค่ำ เด็กหนุ่มไม่ได้มีอะไรที่จะทำไปมากเสียกว่าการรับประทานอาหาร  อาบน้ำ  แล้วก็เข้านอน  ซึ่งมันทำให้อาเธอร์ลิสรู้สึกเบื่อหน่ายกับการกระทำแค่เพียงสิ่งเหล่านี้  อาจเป็นเพราะเขาคุ้นชินกับงานที่หลวงภาคินให้ทำแล้วก็ได้  พอไม่ได้แตะเอกสารเหล่านั้นมันก็เลยรู้สึกเหมือนมีอะไรขาดหายไป  หากจะบอกว่าเด็กหนุ่มชอบงานนั่นก็ไม่ผิด  เพราะเขาไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่ได้อ่านข้อความในกระดาษเหล่านั้น  ไม่เคยเหนื่อยเลยที่ได้เขียนแปลงข้อความเหล่านั้นเป็นอีกภาษา  และที่สำคัญไม่เคยเหงาเลยที่ต้องนั่งทำงานเงียบ ๆ กับหลวงภาคินแค่สองคน  ถึงแม้แต่ละวันแทบจะไม่ได้คุยกันเลยก็ตาม  แล้วก็มีบางวันที่ขุนนางหนุ่มชอบแหย่ให้เขาโกรธ  แต่นั่นมันก็ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มไม่อยากทำงานให้คนขี้แกล้งคนนั้นหรอก  เพราะนั่นมันทำให้เขารู้จักตัวตนของอีกฝ่ายขึ้นมาบ้างแล้ว...
                       คุณหลวงมาดนิ่ง  แท้ที่จริงเป็นคนยียวนแบบหาที่เปรียบไม่ได้เลยต่างหาก  แค่นั้นยังไม่พอยังชอบแหย่ให้คนอื่นจนมุมอยู่เรื่อย  ชอบออกคำสั่งตลอดเวลา  เป็นขุนนางที่เอาแต่ใจเป็นที่สุด  แต่เหนือสิ่งเหล่านั้น  หลวงภาคินเป็นคนเก่ง  จงรักภักดีต่อประเทศชาติ  มีความกล้าหาญ  รักในเกียรติและศักดิ์ศรี  ไม่ดูถูกเหยียดหยามคนที่ต่ำกว่า  มีความยุติธรรมเสมอ  สิ่งเหล่านี้ทำให้อาเธอร์ลิสรู้สึกเคารพนับถือในตัวขุนนางหนุ่มยิ่งนัก  และก็รู้สึกศรัทธามากขึ้นทุกวัน...
                      การที่ไม่ได้ไปช่วยงานหลวงภาคินเช่นนี้  ทำให้แต่ละวันของอาเธอร์ลิสช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน  พอคิดแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
   “ เป็นอะไรอลิส?  พี่เห็นเราถอนหายใจมาสักพักแล้วนะ!  กับข้าวไม่อร่อยเหรอ? ”  ถามออกไปอย่างนั้นเมื่อเห็นอาการของผู้นั่งร่วมโต๊ะอาหาร
   “ เปล่าครับ!  ผมแค่รู้สึกไม่ค่อยหิว ”  ตอบออกไปเลี่ยง ๆ
   “ ไม่สบายหรือเปล่า?  สองสามวันมานี้พี่เห็นเราไม่ค่อยอยากอาหารเลย! ”  พูดออกไปอย่างนั้นด้วยความเป็นห่วง
   “ เปล่าหรอกครับ!  ผมสบายดี...”  ตอบไปพลางไม่สบตาคู่สนทนา
   “ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว...มีอะไรไม่สบายใจบอกพี่ได้นะ! ”  พูดทิ้งท้ายไว้อย่างนั้นก่อนจะหันมาสนใจอาหารบนโต๊ะต่อ
   “...”  ไม่ได้พูดอะไรออกไป
                        อาเธอร์ลิสเลิกเหม่อแล้วหันมาสนใจอาหารบนโต๊ะบ้าง
   “ พี่เคยรู้สึกเบื่อ ๆ เมื่อไม่ได้เห็นหน้าใครบางคนไหมครับ? ”  ถามออกไปพลางใช้มือหยิบแตงที่ถูกเฉือนเป็นแผ่นบาง ๆ เข้าปาก
   “ ฮึ? เอ...ไม่เคยนะ!  เคยแต่คิดถึง ”  ตอบกลับไปพลางเงยหน้ามองเจ้าของคำถาม
                        แค่ก แค่ก!
                          พอได้ยินพี่สาวพูดเช่นนั้นอาเธอร์ลิสก็ถึงกับสำลักแตงที่กำลังเคี้ยวอยู่ในปาก  จนทำให้ผู้เป็นพี่สาวตกใจ
   “ เป็นอะไรหรือเปล่า!  ดื่มน้ำก่อน! ”  ว่าพลางยื่นแก้วน้ำให้คนที่สำลักอาหาร  “  เป็นอย่างไรบ้าง?  โอเครึเปล่า? ”  ถามออกไปอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
   “ ผมโอเคครับ  ไม่เป็นอะไรแล้ว ”  ว่าพลางหยิบผ้าที่วางอยู่ที่ตักขึ้นมาเช็ดปาก
   “ ว่าแต่...ที่เราถามเมื่อครู่น่ะ!  ทำไมเหรอ?  หรือว่าคิดถึงใคร? ”  ถามไปพลางทำสายตามีเลศนัย  แล้วยิ้มมุมปากขึ้น
   “ ปะ...เปล่านี่ครับ!  ไม่ได้คิดถึงใครสักหน่อย! ”  พูดไปพลางหันหน้าไปทางอื่น
   “ เอ...จะว่าไป...ช่วงนี้อลิสไม่ได้ไปที่เรือนคุณหญิงเลยเนาะ! ”  ว่าพลางยิ้มลอยหน้าลอยตา
   “  ผมไม่ได้คิดถึงคุณหลวงนะครับ! ”  โพล่งออกไปพลางหันไปมองหน้าพี่สาว
                             เอมิลียิ้มกรุ้มกริ่มกับท่าทางตื่นตระหนกของน้องชาย  พลางหลุดหัวเราะออกมา
   “ พี่ก็ยังไม่ได้บอกว่าเราคิดถึงคุณหลวงสักหน่อย...”  ว่าพลางอมยิ้ม
   “...”  ไม่รู้จะพูดอะไรออกไป
                             ตอนนี้อาเธอร์ลิสรู้ตัวแล้วว่าเขาพูดอะไรออกไป  พูดในสิ่งที่พี่สาวไม่ได้เปิดประเด็น  เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ  ที่พูดออกไปแบบนั้น  ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาต้องโพล่งออกไปเสียอย่างนั้น  พอคิดได้มันก็สายไปเสียแล้ว  เพราะถ้อยคำเหล่านั้นได้หลุดออกจากปากของเขาไปจนหมดสิ้น  พอมาถึงตอนนี้อยากจะเอาหัวจุ่มลงแกงส้มให้ตายเสียไปจากแผ่นดินนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด 
                              หมอสาวเห็นใบหน้าของผู้เป็นน้องชายที่เต็มไปด้วยความเขินอายก็รู้สึกขำอยู่ไม่น้อย  จะไม่ให้ขำได้อย่างไร  ก็ตั้งแต่เล็กจนโตเด็กคนนี้ไม่เคยมีอาการแบบนี้ให้เห็นเลย   เพิ่งจะมามีให้เห็นก็ตอนอายุจะได้  18  ปี  และนั่นมันก็ทำให้เด็กหนุ่มดูน่ารักน่าเอ็นดูมากในสายตาของพี่สาว  เอมิลีมั่นใจว่าสาเหตุที่ทำให้น้องชายเพียงคนเดียวของหล่อนไม่เป็นตัวของตัวเองถึงขนาดนี้  คงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากคู่แห่งโชคชะตา...
                               คิดถึงเขาขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับขนาดนี้...น้องพี่คงโตแล้วจริง ๆ
                                                                                         α+Ω
                              หลังจากไปราชการเกือบสัปดาห์  ขุนนางหนุ่มก็ได้กลับมาเรือนของตนเองเสียที  สาเหตุที่เขาต้องไปค้างอ้างแรมที่อื่น  เนื่องจากไปตรวจดูความเรียบร้อยของสถานการณ์ที่นั่นและตามไปอารักขาพระองค์  เนื่องจากหัวเมืองแห่งนั้นมีกองทัพฝรั่งเศสปักหลักอยู่  เพราะฉะนั้นจะทำอะไรบุ่มบ่ามก็มิได้  การเสด็จไปในครั้งนี้จึงเป็นการเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ  มีแต่เพียงขุนนางคนสนิทแค่ไม่กี่คนที่ตามเสด็จ  และหนึ่งในนั้นก็มีหลวงภาคินรวมอยู่ด้วย
                              พอกลับมาถึงเรือนขุนนางหนุ่มก็ไม่วายหอบเอกสารกลับมาทำด้วย  ไม่ใช่ว่าเขาไม่เหนื่อย  แน่นอนว่าเขาต้องการพักผ่อนเต็มทีแล้ว  แต่เขาจะมามัวเห็นความเหนื่อยล้าของตนเองสำคัญไปกว่าเหตุการณ์บ้านเมืองในตอนนี้ไมได้  หลวงภาคินนั่งอ่านเอกสารจนหมดแล้วเขียนบันทึกเป็นฉบับแปลให้เรียบร้อย   เพื่อนำไปหารือในราชสำนักในวันรุ่งขึ้น
                              เกือบรุ่งสางที่หลวงภาคินนั่งทำเอกสารกว่าร้อยฉบับจนเสร็จ  โดยเริ่มทำตั้งแต่ตอนกลับมา  ซึ่งก็เป็นเวลาบ่ายสองของเมื่อวานจนถึงตอนไก่โห่เช่นนี้  นั่นก็หมายความว่าขุนนางหนุ่มไม่ได้โน้มตัวลงไปนอนบนเตียงเลยแต่อย่างใด  ทั้งข้าวปลาอาหารก็ไม่ได้ออกมากิน  มีเพียงน้ำชาอยู่บนโต๊ะเท่านั้นที่ใช้จิบแก้ง่วงบ้าง
                               หลวงภาคินอาบน้ำแต่งตัวด้วยเครื่องแบบราชการเสร็จก็เดินลงเรือนไป  อีกทั้งหอบกระเป๋าเอกสารพะรุงพะรัง  จนคนรับใช้คนสนิทที่ทำหน้าที่ขับรถให้  ต้องวิ่งแจ้นเข้ามาถือช่วย  พลางเปิดประตูให้ชายผู้สูงศักดิ์เข้าไปนั่งภายในรถ  แล้วจึงวิ่งมาเปิดประตูฝั่งคนขับ  พอแทรกตัวนั่งลงได้ก็ออกรถไปยังราชสำนักทันที
                                ขุนนางหนุ่มเข้าราชสำนักไปตั้งแต่เช้าตรู่  กว่าจะปรึกษาหารือ  โต้ตอบปัญหากับผู้ไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขาเสร็จก็ปาไปบ่ายคล้อย  ซึ่งทำเอาเขาเหนื่อยอ่อนจนแทบหมดแรง 
                                 พอออกจากราชสำนักหลวงภาคินก็ไม่คิดจะแวะที่ไหนอีกแล้วอยากตรงดิ่งกลับเรือนให้เร็วที่สุดด้วยความเหนื่อยอ่อน  เพราะเมื่อคืนก็ไม่ได้นอนทั้งคืน  ร่างกายเขาตอนนี้เหมือนซากของคนที่ไร้วิญญาณก็ไม่ปาน
                                หลวงภาคินหลังจากที่ก้าวลงจากรถก็ตรงดิ่งขึ้นเรือนไปในทันที  โดยไม่พูดจาใด ๆ กับใครทั้งสิ้น  พอขึ้นมาบนเรือนแล้วก็เดินเลี้ยวเข้าห้องของตนเอง  เก็บสัมภาระต่าง ๆ  เสร็จก็เอนตัวลงบนที่นอนนุ่ม ๆ  พลางเข้าสู่นิทราไปด้วยอาการอ่อนแรง
                                 กว่าขุนนางหนุ่มจะรู้สึกตัวตื่นก็เป็นเวลาหัวค่ำแล้ว   ถึงเขาจะหลับไปเพียง  3 – 4 ชั่วโมง  ทว่าก็ทำให้ร่างกายของเขามีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาได้  ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อวานก็ได้หายไปเกือบจะหมดสิ้นแล้วก็ว่าได้  เมื่อคิดถึงใบหน้าของใครบางคน
                                  คนรับใช้มาเคาะห้องเรียกหลวงภาคิน  เนื่องจากคุณหญิงเพ็ญให้มาตามไปรับประทานมื้อเย็นที่ห้องอาหาร  หลวงภาคินจึงเปิดประตูห้องนอนออก  แล้วเดินตรงไปยังห้องอาหารที่มีผู้เป็นมารดานั่งรออยู่  เพื่อร่วมโต๊ะรับประทานอาหารพร้อมกันกับเขา
                                  ขุนนางหนุ่มขยับเก้าอี้เพียงเล็กน้อยก่อนจะแทรกตัวลงนั่งให้เรียบร้อย  แล้วหยิบผ้าสำหรับไว้ชิดปากมาวางไว้บนตักแกร่ง
   “ เป็นอย่างไรบ้างพ่อภาคิน  งานที่ราชสำนักหนักหรือ? ”
                                 ที่ถามออกไปเช่นนั้น  เพราะคุณหญิงเพ็ญเห็นลูกชายเพียงคนเดียวไม่ค่อยอยู่ติดเรือนเสียเท่าไร  กลับเรือนมาก็หอบเอกสารกลับมาเป็นปึก ๆ  แล้วยังออกจากบ้านตั้งแต่รุ่งเช้า  หน้าตาซีดเซียวขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด  เพราะปกติแล้วใบหน้าคมของคน ๆ นี้จะดูมีสง่าราศีแม้แต่ยามอยู่เฉย ๆ  ในตอนนี้กลับหมองลงไปกว่าเดิม  แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อความสง่างามของชายหนุ่มมากเท่าไรนัก  เพราะถึงจะอย่างไรผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชายของคุณหญิงเพ็ญก็หน้าตาหล่อเหลาอย่างหาผู้เทียบได้ยากในประเทศสยามแห่งนี้อยู่แล้ว
   “ ก็มีบ้างขอรับ!  ช่วงนี้พระองค์เองก็ทรงลำบากในการหากลวิธีที่จะรับมือกับพวกฝรั่งเศส ”  ว่าพลางยื่นมือไปหยิบอาหาร
   “ เมื่อไรบ้านเมืองเราจะสงบสุขเสียที...”  ว่าพลางถอนหายใจออกมา
   “ นั่นสิขอรับ!  กระผมเองก็อย่างให้เป็นเช่นนั้นเร็ว ๆ เหมือนกัน  แต่มันคงอีกไม่นานหรอกขอรับคุณแม่! ”  พูดพลางเงยหน้าสบตาผู้เป็นมารดา
   “ จ้ะ!  แม่เชื่อว่าพระองค์จะสามารถคุ้มครองชาวสยามได้  แล้วแม่ก็มั่นใจว่าลูกของแม่จะช่วยเหลือบ้านเมืองให้กลับมาสงบสุขได้อย่างแน่นอน ”  พูดพลางส่งยิ้มให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้าม
   “ ขอรับ! ”  พูดออกไปเพียงแค่นั้น
                        คนทั้งคู่นั่งรับประทานอาหารกันไปอย่างเงียบ ๆ  โดยไม่มีบทสนทนาใด ๆ  ขึ้นมาอีก  ด้วยคุณหญิงเองก็ไม่อยากจะถามอะไรลูกชายมาก  เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเครียดไปมากกว่านี้  จึงได้แต่ปิดปากเงียบจนอิ่มจากอาหารก็ตั้งใจว่าจะตรงดิ่งไปยังห้องนอนของตนเลย
   “ คุณแม่ขอรับ! ”  เรียกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
   “ หือ! มีอะไรรึ? ”  ถามออกไปในขณะที่หยิบผ้าที่วางอยู่บนตักขึ้นมาเช็ดปาก  พลางสบตาคู่สนทนา
   “ กระผมจะออกไปข้างนอกนะขอรับ! ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ พ่อจะไปไหนหรือ?  นี่ก็เย็นแล้ว! ”  พูดออกไปด้วยความสงสัย
   “ จะไปเรือนแม่เอมิลีขอรับ ”  ว่าออกไปเสียงเรียบ
   “พ่อมีธุระอะไรกับแม่เอมิลีอย่างนั้นรึ?  ”  ถามออกไปด้วยความอยากรู้
   “ กระผมไม่ได้มีธุระอะไรกับแม่เอมิลีหรอกขอรับ ”  พูดออกไปอย่างนั้น
                           พูดออกไปแบบนั้นก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอก  เพราะถึงไม่ได้มีธุระอะไรกับเอมิลี  แต่ที่ตั้งใจจะไปที่เรือนหลังนั้นก็เพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหล่อนแค่นั้นเอง
   “ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า...มีธุระกับพ่ออลิสรึ? ”  ถามสิ่งที่คิดออกไป
   “ ขอรับ!  มีเรื่องจะสนทนากับเด็กนั่นนิดหน่อย ”  ว่าออกไปเสียงเรียบ
   “ อ๋อ!  กระนี้นี่เอง ” 
                            คุณหญิงเพ็ญพอรู้ว่าลูกชายจะไปหาว่าที่ลูกสะใภ้ก็ยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา  ด้วยคิดว่าขุนนางหนุ่มคงจะเริ่มมีใจโอนอ่อนให้กับคู่แห่งโชคชะตาของตนเองขึ้นมาบ้างแล้ว  ถึงขนาดต้องอยากไปพบหน้าคร่าตากันที่เรือนของอีกฝ่าย  โดยไม่สนใจเวลาว่าจะมืดค่ำสักเพียงใด  อาจจะคิดถึงที่ไม่ได้พบกันมากว่าสัปดาห์ก็เป็นได้  ทันทีที่เสร็จกิจเลยอยากจะไปสนทนาเรื่องสารทุกข์สุขดิบกับอีกฝ่าย
   “...”  ไม่ได้พูดอะไรออกไป
                            ขุนนางหนุ่มมองอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของผู้เป็นมารดาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา  ด้วยรู้เท่าทันว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่  คงไม่พ้นคิดเรื่องของเขากับอาเธอร์ลิสอย่างแน่นอน  แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป  เพราะไม่อยากจะโต้เถียงกับคุณหญิง  เพราะเถียงอย่างไรก็ไม่สามารถเอาชนะเธอได้อยู่แล้ว  จึงได้แต่ยอมให้ผู้เป็นมารดามีความสุขกับเรื่องที่คิดเสียอย่างนั้น  ให้เป็นไปตามความสะดวกใจก็แล้วกัน...
   “ ถ้าเช่นนั้นพ่อก็รีบไปเสียเถอะ  เดี๋ยวเขาจะปิดเรือนเสียก่อน! ”  พูดออกไปอย่างนั้นพลางส่งยิ้มอย่างมีความสุข
   “ ขอรับ! ถ้าอย่างนั้นกระผมขอตัวก่อนนะขอรับ  เสร็จธุระแล้วจะรีบกลับมา ”  ว่าออกไปพลางเตรียมตัวจะลุกออกจากเก้าอี้
   “ ไม่ต้องรีบก็ได้  อยู่คุยกับน้องนาน ๆ ให้หายคิดถึงเสียเถอะ ”  ว่าพลางส่งยิ้มร่าให้ผู้เป็นลูกชาย
   “ กระผมไปแล้วนะขอรับ! ” พูดบอกออกไปใหม่เพื่อตัดบทคนชอบชักชอบสื่อ
   “ จ้ะ ”  ว่าพลางยิ้มหน้าบาน
                                  ขุนนางหนุ่มหันหลังให้ผู้เป็นมารดาแล้วเดินลงจากเรือนไป  พอคนรับใช้เปิดประตูรถให้สองขายาวก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ  พอคนขับมาอยู่ยังตำแหน่งประจำของตนแล้วก็เคลื่อนรถออกจากเรือนหลังใหญ่ในทันที  สักพักรถคันสีเหลืองซีดก็วิ่งเข้ามาจอดที่หน้าเรือนของสองพี่น้องชาวอังกฤษ
                                 หลวงภาคินพอลงจากรถได้ก็ก้าวขึ้นเรือนของเอมิลีไปทันที  โดยให้คนรับใช้ที่ทำหน้าที่ขับรถรออยู่ด้านล่าง
                                 ชายหนุ่มในเครื่องแบบราชการพอก้าวขึ้นมาบนเรือนของคู่แห่งโชคชะตาโดยไม่ได้บอกกล่าวเอาไว้  ก็ถือวิสาสะเดินเข้าไปในเรือนของอีกฝ่าย แล้วก็ตรงไปยังห้องรับแขกเองด้วยความคุ้นชิน  พอเข้ามาในห้องรับแขกก็เห็นเด็กหนุ่มผู้เป็นเนื้อคู่ของตนนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่พอดี  ซึ่งก็เป็นเรื่องดีสำหรับขุนนางหนุ่มที่จะไม่ต้องตะโกนเรียกหาให้เสียงดัง
   “ นั่นเอ็งกำลังทำอะไรอยู่? ”  ถามออกไปพลางนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
   พอได้ยินเสียงที่คุ้นหูเอ่ยขึ้น  อาเธอร์ลิสก็เงยหน้าจากเอกสารแล้วมองไปยังต้นเสียง
   “ คุณหลวง! ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
   “ อือ  ฉันเอง! ทำหน้าอย่างกับเห็นผีอย่างนั้นล่ะ!  ตกอกตกใจไปได้! ”  พูดออกไปอย่างนั้นเพราะเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของอีกฝ่าย
   “ ก็ผมตกใจจริง ๆ นี่ครับ!  ที่เห็นคุณหลวงอยู่ที่นี่ ”  ว่าออกไปตามความจริง
   “ เออ  ถ้าฉันอยู่ที่นี่แล้วมันจะทำไม? ”  ว่าพลางแสร้งทำสีหน้าไม่พอใจ
   “ ก็ไม่ทำไมหรอกครับ!  ก็ผมคิดว่าคุณหลวงยังไม่กลับจากราชการเสียอีก! ”  ตอบกลับไปอย่างนั้น
   “ อือ  ที่จริงฉันกลับตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ  แต่ก็เพิ่งว่าง ”  ว่าพลางพิงพนักเก้าอี้
   “ แล้วคุณหลวงมาที่นี่มีธุระอะไรหรือครับ?  จะให้ผมไปตามพี่เอมีให้ไหมครับ? ”  พูดเข้าประเด็นที่คิดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้คนตรงหน้าต้องมาที่นี่
   “ ไม่ต้อง ๆ  ”
   “...” ไม่พูดอะไรออกไป  เพียงแต่ทำหน้างง
   “ ฉันมาคุยกับเอ็ง! ”  พูดออกไปอย่างนั้น
   “ กับผม? ”  ถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ
   “ อือ ”  ว่าพลางยกมือขึ้นกอดอก  ทั้งยังพยักหน้าตอบ
   “ เรื่องอะไรหรือครับ? ” ถามออกไปเพราะสงสัย
   “ ฉันอยากให้เอ็งช่วยเปิดทางให้ฉันกับแม่เอมิลี  ฉันจริงใจกับหล่อน  อยากจะออกเรือนกับหล่อน  เลยอยากให้เอ็งช่วยสนับสนุนฉันหน่อยน่ะ ”  ว่าพลางเผยรอยยิ้มให้เห็นบนใบหน้า
   “...”
                                อาเธอร์ลิสได้ยินคำพูดของหลวงภาคินแล้ว  มันก็ทำให้เขาชาวูบไปทั้งตัว  อยู่ดี ๆ  ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายก็รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา  แน่นอนว่ามันเจ็บคนละแบบกับตอนที่เขามีอาการประหลาด  มันเจ็บแบบทรมานมากกว่าตอนนั้นเหลือเกิน...
   “ ทำไมเอ็งเงียบไป? ”  ถามออกไปพลางขยับตัวนั่งตรง
   “ คุณหลวงจะให้ผมเป็นพ่อสื่อให้คุณหลวงกับพี่เอมีหรือครับ? ”  ถามออกไปเพื่อความแน่ใจ
   “ อือ  ฉันอยากให้เอ็งเป็นพ่อสื่อให้  รับรองพี่เขยคนนี้จะดูแลพี่สาวเอ็งให้สุขสบายแน่!  เอ็งไม่ต้องห่วง ”  ว่าพลางยิ้มออกมา
   “ คุณหลวงรักพี่เอมีหรือครับ? ”  ถามพลางมองใบหน้าคม
   “ คิดว่าน่าจะใช่กระมัง ”
                             ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคำตอบของหลวงภาคินถึงทำให้รู้สึกเจ็บที่หัวใจมากขนาดนี้  จู่ ๆ  ก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นมาที่ตา  จนทำให้น้ำใส ๆ ไหลปริ่มออกมาเล็กน้อย  ทำให้เด็กหนุ่มต้องรีบปัดมือเช็ดไปที่ตาเพื่อไม่ให้มันไหลออกมา...
   “ ผมคงช่วยคุณหลวงไม่ได้หรอกครับ!  ขอประทานโทษด้วย! ”  พูดออกไปอย่างนั้นแล้วตั้งท่าเหมือนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
                             หลวงภาคินได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกงุนงงและโกรธเกรี้ยวในเวลาเดียวกัน  ทำไมถึงได้ปฏิเสธที่จะเป็นพ่อสื่อให้เขากับเอมิลีขึ้นมาดื้อ ๆ เสียอย่างนี้
   “ เพราะเหตุใด  เอ็งถึงจะไม่ช่วยฉัน!? ”  โพล่งออกไปด้วยความไม่พอใจ
   “ ผมช่วยคุณหลวงไม่ได้จริง ๆ ครับ!  ผมขอตัวก่อน! ”  ว่าพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปทางประตู
                            หลวงภาคินลุกตามแล้วกระชากข้อมือเล็กนั้นไว้
   “ อย่ามาหนีฉันแบบนี้นะ! ”  ตะคอกออกไป
   “ ผมไม่ได้หนีครับ!  ผมแค่หมดธุระที่จะสนทนากับคุณหลวงแล้ว ”  ว่าพลางไม่ได้หันมามองคนตัวใหญ่
   “ แต่ฉันยังคุยกับเอ็งไม่จบ! ”
                                  มือหนาออกแรงดึงข้อมือเล็กจนอีกฝ่ายเซเข้ามาประชิดตัว  แล้วจำต้องหันหน้ามาหาคนตัวใหญ่อย่างเลี่ยงไม่ได้
   “ ปล่อยนะครับคุณหลวง! ”  พูดออกไปแบบนั้นเพราะรู้สึกเจ็บที่ข้อมือ
   “ ไม่ปล่อย!  จนกว่าเอ็งจะยอมรับปากว่าจะช่วยฉันให้ได้ออกเรือนกับแม่เอมิลี! ”  พูดพลางจ้องอีกฝ่ายสายตาดุ
   “ ถึงคุณหลวงจะฆ่าผมให้ตายตรงนี้  ผมก็จะไม่ช่วยเป็นพ่อสื่อให้คุณหลวงหรอกครับ! ”  ยืนกรานด้วยสายตาแข็งกร้าว
   “ นี่เอ็ง!  ทำไมกล้าอวดดีกับฉันถึงเพียงนี้! ”  ว่าพลางกระชากข้อมือของอีกฝ่ายแรงขึ้น
   “ ผมจะไม่ช่วยคุณหลวงเด็ดขาด! ”  ถึงจะเจ็บที่ข้อมือสักเท่าไรก็ยื่นคำขาดออกไป
   “ หรือว่าเอ็ง...จะอิจฉาพี่สาวเอ็ง ”
                                   อยู่ดี ๆ  หลวงภาคินก็โพล่งคำเหล่านั้นออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
   “ พูดเรื่องอะไรของท่าน!? ”  ว่าออกไปด้วยความงุนงง
   “ อย่ามาทำเป็นใสซื่อ!  เอ็งอิจฉาที่ฉันจะได้ออกเรือนกับแม่เอมิลี  ทั้ง ๆ  ที่มันควรจะเป็นเอ็งที่เป็นคู่แห่งโชคชะตาใช่ไหมล่ะ!  อย่าคิดว่าฉันรู้ไม่ทันความคิดโสมมของเอ็ง! ” 
                                   คำพูดร้ายกาจได้หลุดออกมาจากปากของหลวงภาคินจนได้  และมันก็ได้สร้างบาดแผลในใจให้อาเธอร์ลิสไปเสียแล้ว
   “ ผมไม่เคยคิดอย่างที่คุณหลวงพูด!  ปล่อยผม! ”  ว่าพลางพยายามแกะมือหนาออกจากข้อมือ
   “ อย่ามาทำตัวกระแดะทำเป็นพูดดี! ”  ว่าพลางกระชากตัวอีกฝ่ายเข้ามาหาอย่างสุดแรง
   “ ปะ...ปล่อยผมนะ! ”  ร้องออกไปแบบนั้น
   “ อยากเป็นเมียฉันมากไม่ใช่หรือ!  ฉันจะสนองให้! ”
   “ ไม่ชะ...อื้อ! ”
                                    ริมฝีปากหนากดลงมาบนเรียวปากสีกุหลาบนั่น  ก่อนจะบดบี้ปากเล็ก ๆ อย่างหนักหน่วง   มือหนาทั้งสองข้างจับข้อมือเล็กเอาไว้จนแน่นทำให้อีกฝ่ายดิ้นไปไหนไม่ได้ 
                                    อาเธอร์ลิสตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น  พยายามที่จะสะบัดเบี่ยงให้ริมฝีปากของตนเองหลุดออกจากการถูกดูดดึงแต่ก็ไม่เป็นผล  จนเขาต้องหยุดนิ่งเพราะหมดแรงที่จะขัดขืน  แล้วริมฝีปากหนาก็ถอนออกมาจากเรียวปากของเด็กหนุ่ม  พลางแสยะยิ้มขึ้นมา
   “ หึ!  ถูกใจล่ะสิ...ที่ถูกผู้ชายจูบ!  ”
                                    พ่นถ้อยคำร้ายกาจออกมาอีกแล้ว
   “...”  พูดอะไรไม่ออกเลย
                                   น้ำตาที่กักเก็บเอาไว้นาน  ตอนนี้ไม่อาจจะซ่อนมันเอาไว้ได้อีกแล้ว  หยดน้ำแห่งความเสียใจและความผิดหวังไหลลงอาบแก้มเนียนใสทั้งสองข้างจนใบหน้าเปรอะเปื้อนไปหมด 
                                    หลวงภาคินเห็นคนตัวเล็กหลั่งน้ำตาเช่นนั้นก็ปล่อยข้อมือเล็กที่ตนจับไว้ให้เป็นอิสระ  พอมือหนาคลายออกก็เผยให้เห็นรอยนิ้วมือแดงชัดที่ข้อมือขาวทั้งสองข้าง
   “ คือ...ฉัน...”  คราวนี้พูดอะไรไม่ออกเลย
   “...”
                                     อาเธอร์ลิสใช้มือข้างหนึ่งกำที่ข้อมือข้างที่มีรอยแดงมากของตนเองเอาไว้  ทั้ง ๆ ข้างที่ใช้กำก็แดงเหมือนกัน  หากแต่ไม่ได้ชัดมากเท่ากับข้างที่กำซ่อนไว้   มือเล็ก ๆ  ค่อย ๆ ลูบข้อมือแดง ๆ นั้น  ก่อนหันไปมองหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความเสียใจ  อีกทั้งน้ำหูน้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด  แล้วร่างเล็ก ๆ นั้นก็หันหลังให้ชายหนุ่มแล้ววิ่งออกจากห้องรับแขกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
   “ อาเธอร์ลิส! ”  เรียกตามหลังไป
                                    หลวงภาคินได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิม  ตอนนี้ความรู้สึกผิดกำลังวิ่งเข้ามาจู่โจมเขา  จะไม่ให้รู้สึกผิดได้อย่างไร  เขาทำเด็กคนนั้นร้องไห้  มิหนำซ้ำข้อมือแดง ๆ นั่นก็เป็นฝีมือของเขา  และที่สำคัญ  เขาได้ฝากจุมพิตไว้บนเรียวปากสีกุหลาบนั้นไปเสียแล้ว...
                                    หลวงภาคินไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี  ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากขอโทษในสิ่งที่ทำลงไป  แต่วันนี้คงจะไม่เหมาะสมแล้วล่ะ  เอาเป็นว่ากลับไปตั้งหลักก่อนแล้วค่อยหาโอกาสเหมาะ ๆ  มาปรับความเข้าใจกันใหม่ในภายหลังก็แล้วกัน  พอคิดได้เช่นนั้นก็เดินออกจากห้องรับแขกไป
   “ คุณหลวงคะ  ดิฉันว่าเรามีอะไรต้องสนทนากันเสียหน่อยแล้วล่ะค่ะ! ”
                                   ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นเยือกดังมาจากทางด้านหลัง  ทำให้หลวงภาคินต้องหันกลับไปมองยังต้นตอของเสียง
   “ แม่เอมิลี! ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
                               มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน!

                                                                                      :katai1:
                      มาอัพต่อแล้วค่ะทุกคน^_^  คุณหลวงพูดจาโหดร้ายกับน้องเกินไปแล้ววว T^T  ติดตาม + พูดคุย+ ทวงนิยายกันได้ที่ >>> เฟสบุ๊คเพจ : KesornSama  กันได้นะคะ  เข้ามาทักทายกันได้ตามสะดวกเลย  ไม่กัดฉีดยาแล้ว55555  *แล้วก็นิยายเรื่องนี้จะออกเป็นเล่มด้วยนะคะ  ตอนนี้ทำปกอยู่^^  อยากเห็นสภาพตัดเส้นปก  เข้าไปดูได้ที่เพจจ้าาา  ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ  เจอกันตอนหน้าน้าาา  >///<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2017 08:11:23 โดย KesornSama »

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Episode 09
( ความจริงที่เพิ่งได้รู้ )


                            ภายในห้องรับแขกขนาดกลาง  มีขุนนางหนุ่มของสยามและหมอสาวชาวอังกฤษนั่งอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง  บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความตึงเครียด  เอมิลีจ้องขุนนางหนุ่มด้วยสายตาขุ่นเคืองนิด ๆ  จนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกระวนกระวายภายในใจเป็นอย่างยิ่ง  เพราะเขาไม่อยากให้ผู้หญิงที่เขามีความรู้สึกเสน่หามาจ้องมองเขาด้วยสายตาขุ่นเคืองเช่นนี้...
“ คุณหลวงคะ  ดิฉันคิดว่า  มีเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกับคุณหลวงค่ะ! ”
                           หลังจากที่นั่งนิ่งอยู่นาน  เอมิลีก็ทำลายความเงียบงันที่เกาะกุมหล่อนกับขุนนางหนุ่มลงด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ แม่เอมิลีฟังฉันก่อนได้ไหม! ”  โพล่งออกไปด้วยความร้อนรน
“...”  ไม่ได้พูดอะไร  เพียงแค่เงียบฟังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้อาเธอร์ลิสร้องไห้! ”  พูดออกไปอย่างนั้น
“ ดิฉันเข้าใจค่ะ  ว่าคุณหลวงคงจะโกรธ!  เลยพูดออกไปเสียอย่างนั้น ” ว่าด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
   “...” 
                       หลวงภาคินพูดอะไรไม่ออก  เพราะจริงอย่างที่เอมิลีพูด  เรื่องที่เขาพูดจารุนแรงกับอาเธอร์ลิสนั่นเพราะอารมณ์โกรธพาไป
   “ แล้วก็ดิฉันต้องขอประทานโทษคุณหลวงด้วย  เพราะดิฉันไม่สามารถที่ตอบรับความรู้สึกของคุณหลวงได้จริง ๆ ค่ะ! ”  พูดออกไปด้วยสีหน้าจริงจัง
   “ เพราะเหตุใดกันแม่เอมิลี!?  หรือโกรธเรื่องที่ฉันทำไว้กับ          อาเธอร์ลิส! ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
   “ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอกค่ะคุณหลวง ”  พูดออกไปพลางมองใบหน้าของคนที่กำลังตื่นตระหนก
   “ ถ้าอย่างนั้นบอกฉันมาสิ!  ไม่พอใจอะไรตรงไหน  ฉันจะปรับปรุงให้ ”  ว่าออกไปเช่นนั้น
   “ มิใช่อย่างนั้นหรอกค่ะคุณหลวง  คุณหลวงไม่มีอะไรบกพร่องจนจะให้ปฏิเสธได้เลย! ” 
                      พูดออกไปตามความจริง  เพราะหลวงภาคินเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง  ทั้งยศถาบรรดาศักดิ์  รูปร่างหน้าตาที่สง่างาม  ไม่มีผู้หญิงคนไหนในสยามที่จะไม่หมายตาชายหนุ่ม  ยกเว้นก็เพียงแต่    เอมิลีที่ไม่คิดแบบนั้นกับชายผู้สูงศักดิ์ผู้นี้เลย
   “ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว  ไยแม่ถึงได้ปฏิเสธฉันล่ะ! ”  ถามไปด้วยความไม่เข้าใจ
   “ เพราะดิฉัน...ไม่ได้รู้สึกกับคุณหลวงมากไปกว่าความเคารพนับถือเลยค่ะ ”  ตอบออกไปอย่างนั้น
   “...”
                   คำพูดของเอมิลีทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของขุนนางหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา  เหมือนถูกมีดกรีดเข้าไปในหัวใจจนเลือดไหลทะลักออกมาก็ไม่ปาน
   “ แต่ดิฉันอยากให้คุณหลวงได้ทราบว่า  ดิฉันไม่เคยหมดความเคารพนับถือท่านเลยนะคะ ”  พูดย้ำขึ้นมาอีก
   “ หล่อนแค่เคารพนับถือฉันสินะ!  ตลอดห้าปีที่ผ่านมาไม่เคยมีสักครั้งเลยหรือ  ที่แม่จะมองฉันอย่างชายคนหนึ่ง ”  พูดออกไปด้วยความขมขื่น
   “ ไม่เลยค่ะ ”  พูดออกไปเพียงแค่นั้น
   “ อย่างนั้นหรอกหรือ!  ฉันมันเขลาเองที่ไม่ได้ถามหล่อนให้เร็วกว่านี้  ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่รู้สึกเจ็บขนาดนี้ ”  พูดความรู้สึกออกมาจนหมด
   “ คุณหลวงอย่าโทษตัวเองเลยค่ะ! ”  พูดปลอบไป
   “...”  ไม่ได้ตอบกลับไปพลางกรอกตามองที่พื้นแทนการสบตาของอีกฝ่าย
   “ เป็นความผิดของดิฉันเอง  ที่ไม่ได้บอกคุณหลวงตั้งแต่แรก  เพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว  แล้วก็ไม่สำคัญอะไร ” พูดประเด็นใหม่ออกมา
   “ ไม่ได้บอกฉัน?  เรื่องอะไร?  ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ได้รู้สึกเสน่หากับฉัน  ก็ไม่ต้องพูดหรอก  ฉันเข้าใจแล้ว ”  ว่าพลางย้ายสายตามามองตาคู่สวย
   “ ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ! ”  โพล่งออกไปอย่างนั้น
   “ แล้วเรื่องอะไร? ”  ถามออกไปด้วยความสงสัย
   “ จริง ๆ แล้ว  ดิฉันแต่งงานมีสามีแล้วค่ะ! ”  เอ่ยออกไปเช่นนั้น
   “...”  ตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก
   “ สามีของดิฉันก็เป็นหมอเหมือนกันค่ะ  เราแต่งงานกันตอนเรียนจบมหาวิทยาลัย ”  พูดออกไปพลางยิ้ม
   “...”  ได้แต่ฟังเงียบ ๆ
   “ เราเรียนด้วยกัน  เขาจะทำให้ฉันยิ้มได้เสมอ  จนวันเรียนจบเขาก็ขอดิฉันแต่งงาน  ซึ่งตอนนั้นดิฉันดีใจมากเลยค่ะ  ดีใจเสียจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ”  เล่าความหลังพลางโปรยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
   “ แม่เอมิลี  คงจะรักผู้ชายคนนั้นมากเลยสินะ ”  พูดพลางรู้สึกปวดแปลบที่หัวใจ
   “ ค่ะ  ดิฉันรักเขามาก ”  พูดออกไปเพียงเท่านั้น  แววตาก็แสดงออกมาชัดเจน
                       ตั้งแต่เกิดมาจนอายุจะครบเบญจเพส  ขุนนางหนุ่มเพิ่งเคยเจ็บปวดใจมากขนาดนี้เป็นครั้งแรก  แต่จะให้หลั่งน้ำตาออกมามันก็คงจะยากเกินไปหน่อย  จึงทำได้เพียงนั่งฟังผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเล่าเรื่องราวความรักด้วยใบหน้าเรียบเฉย
   “ ดิฉันคิดว่าคุณหลวงคงจะเข้าใจอลิสผิดไปนะคะ! ”  พูดขึ้นมาอีกประเด็น
   “ หล่อนหมายถึงอะไร? ”  ถามออกไปเพราะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
   “ ก็ที่คุณหลวงบอกว่าเด็กคนนั้นอิจฉาดิฉัน  อิจฉาที่คุณหลวงจะออกเรือนกับดิฉัน  แทนที่จะเป็นคู่แห่งโชคชะตาอย่างเขา ”  พูดพลางสบสายตาเหยี่ยว
   “...”  ไม่พูดอะไรไม่ออกเลย
   “ ตั้งแต่เล็กจนโต  อลิสไม่เคยอิจฉาหรือว่าร้ายใคร ๆ เลยนะคะ  คุณหลวงอาจจะไม่เชื่อที่ดิฉันพูด  แต่เด็กคนนั้นทำอะไรก็ทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ  ไม่เคยที่จะอยากได้อะไรตอบแทนกลับมาเลย  เขาเป็นคนยิ้มเก่ง  แต่แท้จริงแล้วในใจโดดเดี่ยวอยู่ไม่น้อย  ในชีวิตเขานอกจากคุณพ่อคุณแม่  ตัวดิฉัน  แล้วก็เพื่อนสนิทของเขาอีกคน  อลิสก็ไม่มีใครอีกแล้ว  เขามักจะถูกรังแกอยู่เสมอ  แต่ก็ไม่เคยที่จะทำร้ายใครก่อน  ดิฉันเชื่อมั่นเหลือเกินว่าน้องไม่ได้อิจฉาดิฉันแน่นอน ”  ร่ายยาวออกมาเช่นนั้น
   “...”   ไม่พูดอะไร
ขุนนางหนุ่มได้แต่เพียงเงียบ  เพราะเขาไม่รู้จะพูดอะไร  เขารู้สึกผิดที่พูดจาว่าร้ายให้กับเด็กคนนั้น
   “ และเหตุผลเดียวที่อลิสไม่ยอมทำตามที่คุณหลวงบอก  ก็เพราะเขาคิดถึงเรื่องของดิฉันกับสามีของดิฉัน  มันคงจะเป็นเรื่องที่ผิดหากเขาจะช่วยคุณหลวงทอดสะพานให้กับพี่สาวที่มีคู่ครองอยู่แล้ว ”  พูดออกไปอย่างนั้น  “ คุณหลวงไม่คิดอย่างนั้นหรือคะ? ”  ทิ้งท้ายประโยคไว้ให้อีกฝ่ายได้ครุ่นคิด
                     ขุนนางหนุ่มได้ยินที่หมอสาวพูดเช่นนั้นก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ตนเองได้พูดออกไป  พลางถอนหายใจออกมายาวเฮือก
   “ ฉันต้องขอโทษแม่เอมิลีกับน้องชายด้วยนะ  ที่สร้างความทุกข์ใจให้กับทั้งสองคน ”  พูดออกไปด้วยความรู้สึกผิด
   “ ดิฉันไม่ถือโทษโกรธคุณหลวงแล้วล่ะค่ะ ”  พูดออกไปอย่างนั้น
   “ ขอบใจหล่อนมาก ”  ว่าพลางมองไปยังใบหน้าได้รูปของคนตรงหน้า
   “ แต่สำหรับอลิส...”  พูดค้างไว้เพียงแค่นั้น
   “ มีอะไรที่ฉันพอจะทำได้!  บอกมาเสียเถอะ! ”  โพล่งออกไปอย่างนั้น  เพราะอีกฝ่ายเริ่มมีสีหน้ากังวลใจ
   “ สิ่งที่เกิดขึ้นคงจะสร้างความสะเทือนใจให้เด็กคนนั้นมากนะคะ  ยิ่งถูกคนที่ตนเองรู้สึกเคารพนับถือ  พูดจาว่าใส่ไปแบบนั้น  อลิสคงจะเสียใจมาก ”  พูดพลางมองออกไปทางออกของประตูห้องรับแขก
   “ แล้วฉันควรทำอย่างไรดีแม่เอมิลี...”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ดิฉันก็ไม่ทราบจริง ๆ  ค่ะ  ถ้าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ  เด็กคนนั้นประเดี๋ยวก็กลับมาร่าเริงเช่นเดิม...”  ว่าพลางมองหน้าคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม
   “...”  ไม่รู้จะพูดอะไรออกไป
   สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ  ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนออกมาเบา ๆ  พลางส่งยิ้มให้ขุนนางหนุ่ม
   “ คุณหลวงอย่ากังวลเลยค่ะ  เดี๋ยวดิฉันจะคุยกับน้องให้  อลิสก็คงจะยอมฟังที่ดิฉันพูด ”  ว่าพลางส่งยิ้มบาง ๆ  ให้คนตรงหน้า
   “ ถ้าเป็นไปได้  ฉันก็อยากจะขอโทษ  อยากปรับความเข้าใจกัน...”  พูดออกไปแบบนั้น  พลางสีหน้าแสดงออกถึงความรู้สึกผิด
               เอมิลีได้ยินที่หลวงภาคินพูดเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างออกมา  เพราะเขาสัมผัสได้ว่า  อย่างน้อยขุนนางหนุ่มก็ยังเห็นน้องของหล่อนสำคัญอยู่บ้าง  ถึงความรู้สึกที่มีให้จะยังไม่ชัดเจน  ตามที่หล่อนหวังก็ตามที  แต่มันก็คงจะอีกไม่นานหรอกกระมัง  เพราะอย่างไรเสีย  คนทั้งคู่ก็เป็นคู่แห่งโชคชะตาของกันและกัน...
   “ ถ้าคุณหลวงไม่ถือว่าเป็นการก้าวก่าย...ดิฉันจะช่วยให้ท่านได้คุยกับอลิสนะคะ ”  พูดออกไปอย่างนั้น
   “ ไม่ก้าวก่ายเลย!  ฉันหวังพึ่งแม่เอมิลีแล้วนะ! ”  โพล่งออกไปด้วยสีหน้าดีใจขึ้นมานิด ๆ
   “ ค่ะ  ดิฉันรับปาก! ”  ว่าออกไปพลางยิ้ม
   “ ขอบใจ...”  บอกออกไปเพียงแค่นั้น
   “ ด้วยความยินดีค่ะ! ”
                     ถ้าหากเอมิลีล่วงรู้ว่าหลวงภาคินไม่ได้ทำเพียงแค่พูดจารุนแรงใส่น้องชายสุดที่รักของหล่อนจนร้องไห้ฟูมฟายวิ่งหน้าตาตื่นออกไปเสียขนาดนั้น  หมอสาวจะยังยินดีอยู่ไหมถ้ารู้ว่าขุนนางหนุ่มได้ช่วงชิงริมฝีปากอ่อนนุ่มของอาเธอร์ลิสไป  ด้วยจุมพิตที่รุนแรงไม่แพ้ไปกว่าคำพูดด้วยอารมณ์โทสะของข้าราชการหนุ่มเลย...
                                                                                        α+Ω
                     อาเธอร์ลิสขังตัวเองอยู่แต่ภายในห้องตั้งแต่เมื่อวานที่วิ่งออกมาจากห้องรับแขก  อีกทั้งข้าวปลาอาหารก็ไม่ยอมที่จะหยิบมันเข้าปากเลยแม้แต่คำเดียว  ดวงตากลมโตมีรอยแดงช้ำทั้งสองข้าง  ทั้งยังมีน้ำใส ๆ เอ่ออยู่ริมขอบตาอยู่เช่นนั้น  เมื่อบริเวณพื้นที่ที่อุ้มน้ำเหล่านั้นไม่สามารถที่จะบรรจุของเหลวเหล่านั้นไว้ได้  น้ำปริมาณที่เป็นส่วนเกินก็ไหลอาบลงมาบนแก้มใส  จนใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา...
                      สองมือเล็ก ๆ ปาดเช็ดของเหลวที่เอ่อไหลออกมาจากดวงตาครั้งแล้วครั้งเล่า  แต่น้ำบริเวณนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะเหือดแห้งไปจากดวงตาของเด็กหนุ่มแต่อย่างใด  เขาไม่ได้อยากจะร้องไห้มากมายขนาดนี้  แต่มันไม่สามารถบังคับให้หยุดได้จริง ๆ  เพราะความรู้สึกอัดอั้นตันใจ  มันเจ็บปวดเหลือเกินกับการกระทำอย่างนั้นของหลวงภาคิน  ไม่ว่าจะพยายามไม่คิดขนาดไหน  มันก็ลืมไม่ลงเสียที  ทั้งคำพูดดูถูกเหยียดหยาม  ทั้งสายตาชิงชังที่ชายหนุ่มมองเขาเวลานั้น  และที่ทำให้เจ็บปวดใจที่สุดก็คือการที่หลวงภาคินกดขี่ข่มเหงร่างกายเขา  เด็กหนุ่มทั้งรู้สึกโกรธ  สับสนมึนงง  น้อยเนื้อต่ำใจกับสิ่งที่เขาได้รับจากหลวงภาคิน  ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงกระทำกับเขาเยี่ยงเขาเป็นคนไร้ค่าเช่นนี้  ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหล  จากร้องไห้เบา ๆ  ก็สะอื้นหนักขึ้น  จนกลายเป็นการร่ำไห้เสียชุดใหญ่  พอน้ำตาหลั่งรินได้สักพักเด็กหนุ่มก็ผล็อยหลับไป  อาจจะด้วยความเหนื่อยล้าที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืน  เพราะมัวแต่ร้องไห้ตลอดทั้งราตรีจนรุ่งสาง  จนในที่สุดทนความเหนื่อยอ่อนของร่างกายไม่ไหว  จึงได้พาจิตใจเข้าสู่นิทราไปเช่นนั้น... 
                      หลังจากที่หลับไปจนถึงเที่ยงวัน  อาเธอร์ลิสก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น  พลางท้องก็ร้องบอกว่าต้องการอาหาร  เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นจากเตียง  ทันทีที่ลุกขึ้นเท่านั้นล่ะ  ความรู้สึกหนักอึ้งก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขา  ทั้งปวดตาจนแทบจะลืมไม่ขึ้น  สาเหตุไม่ใช่อะไร  ก็เป็นเพราะเขาไม่ได้พักผ่อนนั่นแหละ  ร่างกายจึงมีอาการเช่นนั้น  พอรู้สึกว่าสามารถประคับประคองตนเองได้แล้ว  ร่างเล็กจึงค่อยก้าวออกจากห้องไป  เพื่อไปหาข้าวหายามาระงับอาการต่าง ๆ  ที่กำลังจู่โจมเขาในตอนนี้
                      เอมิลีเมื่อเห็นน้องชายออกมาจากห้อง  ก็พรูเข้าไปหาด้วยอาการตกใจ
   “ เป็นอย่างไรบ้างอลิส! ”  ถามออกไปพลางเดินไปพยุงแขนคนที่มีใบหน้าซีดเซียว
   “ ผมปวดหัวครับ ”  บอกออกไปตามตรง
   “ ถ้าอย่างนั้นนั่งก่อน  เดี๋ยวจะหาอาหารหายามาให้กิน ”  ว่าพลางพยุงคนท่าทางเหนื่อยล้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร
   “ ครับ ”    ตอบรับกลับไป
                       เอมิลีเองก็ไม่อยากจะซักถามอะไรผู้เป็นน้องชายมากนักในเวลาแบบนี้  ดูจากสภาพร่างกายที่ย่ำแย่แล้ว  สภาพจิตใจก็คงจะไม่ต่างกัน  จึงทำแค่เพียงดูแลอาการของเด็กหนุ่มให้ดีขึ้นก็พอ  หากอีกฝ่ายดีขึ้นกว่านี้เมื่อไร  ค่อยคุยเรื่องที่ค้างคาให้จบก็แล้วกัน
                       สองมือเรียวยื่นไปจับอาหารมาวางลงตรงจานส่วนตัวที่อยู่ตรงหน้าของตนเอง
   “ พี่เอมีครับ! ”  เรียกชื่อออกไป
   “ จ้า  ว่าอย่างไร? ”  ขานรับ  พลางถามกลับไป
   “ วันนี้ผมไม่ไปเรือนคุณหญิงนะครับ ”  ว่าเสียงเรียบพลางไม่มองหน้าคนที่เป็นพี่สาว
   “ จ้ะ!  เดี๋ยวพี่จะเรียนท่านให้ ”
                        ไม่อยากคาดคั้นถามถึงเหตุผลหรอกว่าเพราะอะไร  เพราะเอมิลีเองก็รู้สาเหตุ  ว่ามันก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องเมื่อวาน  ณ  เวลานี้หล่อนไม่อยากที่จะทำให้น้องต้องรู้สึกไม่สบายใจไปมากกว่านี้  เลยเลี่ยงที่จะพูดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น
                        หลังจากที่อาเธอร์ลิสกลับเข้าห้องไป  เอมิลีก็เข้าไปทำธุระในพระนคร  และบังเอิญพบเจอกับคุณหญิงเพ็ญที่ร้านขายผ้าพอดี  หล่อนจึงถือโอกาสลางานให้อาเธอร์ลิสกับคุณหญิงเพ็ญจนเสร็จศัพท์แล้วก็ขอตัวไปทำธุระของตนเองต่อ  คุณหญิงเพ็ญเองก็ไม่ได้ว่าอะไรที่อาเธอร์ลิสไม่ได้มาช่วยงานลูกชายในวันนี้  กลับรู้สึกเป็นห่วงเด็กหนุ่มเสียมากกว่า  กลัวว่าจะเป็นอะไรร้ายแรง
                         คุณหญิงเพ็ญได้ผ้าที่ต้องการแล้วก็ตรงดิ่งไปยังรถที่จอดอยู่  จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับเรือนโดยทันที  เมื่อก้าวขึ้นมาบนเรือนก็ต้องแปลกใจที่เห็นผู้เป็นลูกชายอยู่ที่เรือน  เพราะตามปกติแล้ว  เวลาเช่นนี้ขุนนางหนุ่มจะยังไม่กลับจากราชสำนักหรอก  แล้วไยวันนี้ถึงอยู่ติดเรือนเสียได้
   “ อ้าว!  พ่อภาคินเหตุใดถึงอยู่ที่เรือนได้  งานที่ราชสำนักไม่ยุ่งหรอกรึ? ”  ถามออกไปด้วยความสงสัย
   “ วันนี้ไม่มีปรึกษาหารือขอรับ!  เลยได้กลับเร็ว ”  ตอบออกมาพลางยิ้ม
   “ วันนี้พ่อดูอารมณ์ดีแปลก ๆ ”  ว่าพลางเดินไปนั่งก้าวอี้ฝั่งตรงข้ามกับผู้เป็นลูกชาย
   “ อย่างนั้นหรือครับ ”  ว่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
   “ แปลกจริง ๆ เสียด้วย ”  พูดพลางทำหน้าสงสัย
   “...”
                           หลวงภาคินไม่ได้ตอบอะไรผู้เป็นมารดา  เอาแต่ชะเง้อมองออกไปตรงบันได  เหมือนรอใครสักคนที่จะขึ้นมาจากทางนั้น  คุณหญิงเพ็ญยิ่งเห็นอาการของลูกชายก็ยิ่งฉงนสงสัยเข้าไปใหญ่  ก็ลูกชายของเธอ  เคยมีอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่  ยืดคอยาวเป็นเต่าออกจากกระดองอย่างนี้เสียเมื่อไร
                           ข้าวปลาอาหารถูกจัดเตรียมให้เรียงรายอยู่บนโต๊ะอาหารอย่างพิถีพิถัน  จนทำให้คุณหญิงเพ็ญตะลึงงันกับภาพที่เห็น  ก็จำนวนมันมากเสียกว่าการร่วมโต๊ะกันเพียงแค่สองคน  มันเหมือนจัดให้สำหรับคนสิบคนก็ไม่ปาน  แต่คนที่ไม่ได้ตระหนกตกใจกับอาหารบนโต๊ะเลยก็เห็นจะมีแต่หลวงภาคิน  ที่นั่งมองเหมือนรู้ที่มาของอาหารมากมายพวกนี้ว่าทำขึ้นมาตั้งโต๊ะด้วยจุดประสงค์อะไร
   “ นังน้อย!  ยกแกงส้มออกมาด้วย!  บนโต๊ะไม่มี ”  ว่าพลางสาดสายตามองอาหารบนโต๊ะ  พลางส่งสายตาดุให้สาวรับใช้
   “ จะ...เจ้าค่ะคุณหลวง! ”  วิ่งหายเข้าไปในครัวแล้วกลับออกมาพร้อมชามแกงส้ม
                          คุณหญิงเพ็ญนั่งดูพฤติการณ์ของลูกชายที่กำลังช่วยคนรับใช้จัดโต๊ะอาหารก็ยิ่งคิดว่ามันไม่ปกติ  เหมือนเตรียมทุกอย่างไว้รอใครสักคนอย่างไรอย่างนั้น  พอคิดประติดประต่อกันก็ยิ่งทำให้คุณหญิงเพ็ญมั่นใจว่าต้องใช่อย่างที่คิดไว้แน่ ๆ
   “ พ่อภาคินกำลังรอใครหรือเปล่า? ”  ตัดสินใจถามออกไปอย่างที่คิด
   “ ขอรับ? ”  พูดออกไปอย่างนั้นเพราะได้ยินไม่ถนัด
   “ พ่อกำลังรอใครอยู่หรือเปล่า  ถึงได้ทำอะไรมากมายขนาดนี้ ”  ย้ำออกไปอีกครั้ง
   “ ก็ประมาณนั้นขอรับ! ” พูดออกไปพลางส่งยิ้มบาง
   “ ใครกันรึ? ”  ถามออกไปด้วยความอยากรู้
   “ เอ่อ...”  อ้ำอึ้ง
   “ ใครกันหรือ? ”  ถามออกไปอีกครั้ง
   “ อา...อาเธอร์ลิสขอรับ! ”  ตอบออกไป
                       คุณหญิงเพ็ญได้ยินลูกชายพูดเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างออกมาทันที
   “ แหม  แม่ก็นึกว่ารอใคร!  แต่วันนี้พ่ออลิสคงมาไม่ได้กระมัง ”  พูดออกไปพลางถอนหายใจ
   “ ทำไมหรือขอรับ? ”  ถามออกไปด้วยความสงสัย  ใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อสักครู่หายไป
   “ แม่บังเอิญพบแม่เอมิลีที่ร้านขายผ้าในพระนคร  หล่อนบอกว่าพ่ออลิสไม่สบาย  เลยขอลางานวันนี้น่ะ  คงมาช่วยพ่อแปลเอกสารไม่ได้ ”  พูดออกไปจนหมด
   “...”  ไม่ได้พูดอะไร
   หลวงภาคินได้ฟังคุณหญิงเพ็ญพูดเช่นนั้นก็ลุกพรวดจากเก้าอี้  พลางหันมามองหน้าผู้เป็นมารดา
   “ คุณแม่รับประทานก่อนกระผมเลยนะขอรับ  ไม่ต้องรอกระผม! “  พูดออกไปเช่นนั้น “ ส่วนพวกเอ็ง  ถ้าคุณแม่รับประทานเสร็จก็เอาไปเททิ้งให้หมดเลยนะ  อย่าให้ฉันรู้ว่ามีผู้ใดแอบเก็บไว้กินเอง!  ”  หันมาสั่งคนรับใช้ด้วยน้ำเสียงดุดัน 
   “ ดะ...เดี๋ยวก่อนพ่อภาคิน!  นั่นพ่อจะไปไหนรึ? ”  โพล่งออกไปเพราะเห็นลูกชายตั้งท่าจะเดินออกจากห้องอาหาร
   “ กระผมจะไปเรือนแม่เอมิลีขอรับ! ”
   จะไปดูว่าป่วยจริงไหม!  หรือแค่จะหลบหน้ากัน!
                                                                                         :mew1:
                                                                                  ฝากติดตามด้วยนะคะ

ออฟไลน์ Choompoo reangkarn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต
«ตอบ #18 เมื่อ10-12-2017 08:32:53 »

แนวโอเมก้าเวิร์ดติดตามนะค่ะ

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต
«ตอบ #19 เมื่อ10-12-2017 12:11:53 »

เก่งมากเลยค่ะ แต่งแนวโอเมก้าเวิร์สแนวพี่เรียด จินตนาการลึกล้ำ สนุกน่าติดตามค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต
« ตอบ #19 เมื่อ: 10-12-2017 12:11:53 »





ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต
«ตอบ #20 เมื่อ10-12-2017 12:25:01 »

ชอบโอเมก้ามากกกกรอต่อนะ

ออฟไลน์ morningpaper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต
«ตอบ #21 เมื่อ10-12-2017 12:25:53 »

เข้ามากรี๊ดค่ะ ชอบมากกก โอเมก้าเวิร์สแนวพีเรียตที่รอคอย ภาษาถูกจริต เป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนนะคะ ชอบมากๆจริงๆ

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต
«ตอบ #22 เมื่อ10-12-2017 15:47:30 »

Episode 10
( ขอไถ่โทษ )

               หลวงภาคินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเรือนของสองพี่น้องชาวอังกฤษได้พักใหญ่ ๆ  ก่อนจะสูดหายใจเอาอากาศเข้าไปจนเต็มปอดแล้วจึงค่อย ๆปล่อยออกมาอย่างผ่อนเบา   จากนั้นร่างสูงจึงได้ก้าวขึ้นเรือนของเอมิลีไป  โดยไม่ส่งเสียงบอกกล่าวเจ้าของเรือนเลยแม้แต่น้อย  พอขึ้นมาถึงบนเรือนก็สอดส่ายสายตาไปมา  เหมือนหาอะไรบางอย่าง  จนไปสะดุดตาเข้ากับเอมิลีที่กำลังหอบเอกสารบางอย่างจากห้อง ๆ หนึ่ง   เข้าไปยังห้องรับแขก  พอเห็นเช่นนั้นขุนนางหนุ่มก็ตรงไปที่ประตูทางเข้าของห้องรับแขกทันที
   “ แม่เอมิลี! ”  เรียกชื่อออกไป  พลางเดินเข้าไปในห้องรับแขก
                   เอมิลีหันกลับไปมองยังต้นเสียง
   “ คุณหลวง! ”  โพล่งออกไปด้วยความแปลกใจ
                   เอมิลีหอบเอกสารไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของตน  ก่อนจะเดินไปถือขันน้ำสีเงินมาให้กับแขกผู้มาเยือนที่นั่งรออยู่บนเก้าอี้ตรงใจกลางของห้องรับแขก  แล้วจึงเดินไปหย่อนตัวลงนั่งยังฝั่งตรงข้ามของขุนนางหนุ่ม
   “ คุณหลวงมาได้อย่างไรกันคะ? ”  ถามออกไปเช่นนั้น  เพราะคิดคำถามที่ดีกว่านี้ไม่ออก
   “ วันนี้อาเธอร์ลิสไม่ไปที่เรือน ”  ไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย
   “ ค่ะ  น้องรู้สึกไม่ดี  เหมือนจะไม่สบาย ”  ตอบอีกฝ่ายกลับไปพลางส่งยิ้มบาง ๆ
   “ อย่างนั้นหรือ? ”  พูดเสียงเรียบ
   “ ค่ะ  เพิ่งหาข้าวหายาให้กินไป  เมื่อตอนกลางวัน ”  ว่าออกไปเช่นนั้น
   “...”  เงียบ
                   คราแรกหลวงภาคินไม่ปักใจเชื่อว่าสาเหตุที่อาเธอร์ลิสไม่ไปที่เรือนของตน  เป็นเพราะไม่สบายอย่างที่อ้างเหตุผลไป  หากแต่เป็นการหลบหน้าเขาเสียมากกว่า   แต่พอได้ยินที่เอมิลีพูดว่าได้หาข้าวหายาให้เด็กหนุ่มเช่นนั้น  ก็เริ่มกลับกลายป็นความกังวลใจขึ้นมาแทน  เหมือนกับรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาว่าเด็กคนนั้นจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า  ถึงขนาดต้องกินยาเชียวรึ?  หลวงภาคินคิดอย่างนั้น
   “ ฉันก็นึกว่าเขาอยากหลบหน้าฉันเสียอีก ”  จู่ ๆ ก็พูดออกมาเสียงเรียบ
   “...”  ไม่ได้พูดออกไป
                     ไม่ใช่เอมิลีไม่รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้น้องชายไม่อยากไปที่เรือนของคุณหญิงเพ็ญ  แน่นอนว่าคงยังไม่อยากจะเห็นหน้าหลวงภาคินไม่ผิดแน่  ก็ใครจะไปอยากพบหน้าคนที่เพิ่งพูดจาดูถูกตนเองไปล่ะ  คิดแล้วก็พลอยถอนหายใจยาวเฮือกออกมา
   “ คงไม่ใช่หรอกค่ะคุณหลวง...”  ตัดสินใจพูดสิ่งที่ไม่น่าจะใช่ความจริงออกมา
   “...”  ได้แต่นิ่งเงียบ
   “ ว่าแต่คุณหลวงมาที่เรือน  มีอะไรหรือเปล่าคะ?  หรือว่ามีธุระกับดิฉัน? ”  เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาเพื่อลดบรรยากาศอันตึงเครียดนี้ลง
   “ ฉันไม่ได้มีธุระกับแม่เอมิลีหรอก ”  พูดออกไปอย่างนั้น
   “ แล้วคุณหลวง...”  พูดยังไม่ทันจบก็ถูกพูดสวนขึ้นมา
   “ ฉันอยากมาคุยกับอาเธอร์ลิส ”  พูดจุดประสงค์ออกไป
   “...”  ไม่ได้พูดอะไรออกไป
                      เอมิลีค่อนข้างที่จะตกใจที่ได้ยินเหตุผลของการมาที่เรือนแห่งนี้  ปกติขุนนางหนุ่มจะมาที่นี่เพื่อสนทนากับหล่อน  ทั้งเป็นงานราชการและการสนทนาถึงสารทุกข์สุขดิบทั่ว ๆ ไป  แต่หล่อนก็พอจะเดาได้บ้างว่าเพราะอะไรที่ทำให้ข้าราชการหนุ่มได้ถ่อมาหาน้องชายของหล่อนถึงเรือนอย่างนี้  มันก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่มีปากเสียงกันเมื่อวานเป็นแน่
   “ ดิฉันยังไม่ได้พูดกับน้องเรื่องนี้เลยค่ะ ”  บอกออกไปตามตรง
   “...”  ไม่ได้ตอบกลับโดยทันที  “ ถ้าเช่นนั้นฉันขอคุยกับเขาตอนนี้ได้ไหม? ”  ลั่นประโยคใหม่ออกมาหลังจากที่เงียบไป
   “ ดิฉันเกรงว่า...”  พูดยังไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นมาก่อน
   “ นะ!  แม่เอมิลี!  ให้ฉันได้พูดคุยกับอาเธอร์ลิสด้วยเถอะ! ”  ว่าเป็นเชิงขอร้อง
                      เอมิลีได้ยินขุนนางหนุ่มพูดออกมาเช่นนั้น  ก็ยากที่จะปฏิเสธออกไป  จึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกยาว
   “ ค่ะ  เดี๋ยวดิฉันจะไปตามน้องมาให้  คุณหลวงรอสักครู่นะคะ ” ตัดสินใจว่าออกไปเช่นนั้น
   “ ขอบใจหล่อนมาก ”  พูดออกไปเสียงเรียบพลางยกยิ้มบาง ๆ
   “ ด้วยความยินดีค่ะ ”  แต่สีหน้าไม่ได้ยินดีอย่างที่ปากพูด
                        เอมิลีลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากห้องรับแขกไป  โดยมีจุดมุ่งหมายคือห้องนอนของอาเธอร์ลิส
                        ร่างเพรียวมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของผู้เป็นน้องชาย  จมูกโด่งสูดเอาอากาศเข้าก่อนจะผ่อนลมเหล่านั้นออกมาเบา ๆ  แล้วยื่นมือไปเคาะที่ประตู
                         ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก!
                        เคาะไปเพียงสามครั้ง
   “ อลิส  หลับอยู่รึเปล่า? ”  ถามออกไปพลางแนบหูข้างหนึ่งลงไปที่บานประตูเพื่อฟังเสียงจากคนข้างใน
                        มือเรียวที่กำลังพลิกหน้ากระดาษอยู่ก็หยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังมาจากหน้าห้อง  พอฟังดูก็รู้ว่าเป็นเสียงของผู้เป็นพี่สาว   สายตาคู่สวยจึงผละออกจากตัวหนังสือบนแผ่นกระดาษ
   “ ไม่ได้หลับครับ ”  ตอบไปพลางเดินมาเปิดประตู
                         พอประตูเปิดออกผู้เป็นพี่สาวก็ยิ้มบาง ๆ ให้คนที่มาเปิดประตูให้
   “ มีคนอยากจะคุยกับเราน่ะ ”  บอกออกไปแบบนั้น
   “ ใครเหรอครับ? ”  ถามออกไปด้วยความสงสัย
   “ ตามพี่มาก็จะรู้เอง ”  ว่าพลางหันหลังให้น้องชาย  แล้วจ้ำอ้าวเดินไปยังห้องรับแขก
   “ เดี๋ยวสิครับพี่! ”  ว่าทั้งเดินตามผู้เป็นพี่สาว
                        พอเดินมาถึงหน้าห้องรับแขกเอมิลีก็หันหน้ามาหาผู้เป็นน้องชายที่เดินตามหล่อนมาติด ๆ
   “ อลิสเข้าไปในห้องรับแขกนะ  ท่านรอคุยกับเราอยู่ ”  สั่งความออกไปเช่นนั้น
   “ แล้วพี่ไม่เข้าไปด้วยกันหรือครับ? ”  เอ่ยถามกลับไป
   “ ไม่จ้ะ  คนที่ท่านมีเรื่องจะคุยด้วยคือเรา  ไม่ใช่พี่! ”  พูดออกไปอย่างนั้น
   “ ครับ ”  ขานรับกลับไป
                         พอสั่งความกับผู้เป็นน้องชายเสร็จแล้ว  เอมิลีก็ผละออกมาทันที  ปล่อยให้อาเธอร์ลิสเดินเข้าไปในห้องรับแขกเพียงลำพัง
                         เด็กหนุ่มก้าวเข้ามาถึงภายในห้องรับแขก  ก็เห็นมีใครคนหนึ่งนั่งรอเขาอยู่จริง ๆ  เนื่องจากทางที่เขาเข้ามาอยู่ตำแหน่งด้านหลังเก้าอี้ที่อีกฝ่ายนั่งอยู่  จึงทำให้ไม่ได้เห็นใบหน้าของคนที่กำลังนั่งรอ
   “ คุณมีธุระอะไรกับผมหรือครับ? ”  ถามออกไปอย่างนั้น
                         หลวงภาคินที่อ่านหนังสือพิมพ์รออยู่  เมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูที่เอ่ยทักขึ้นก็ละสายตาจากตัวหนังสือเหล่านั้น  แล้วหันกลับไปมองยังต้นเสียงทันที
   “ มาแล้วรึ? ”  ถามออกไปพลางยืนขึ้น ขณะวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ
   “ คะ...คุณหลวง! ”  โพล่งเรียกออกไปด้วยความตกใจ 
อาเธอร์ลิสตกใจมาก  เมื่อเห็นหลวงภาคินยืนอยู่ตรงหน้า  เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายที่บอกมีธุระจะคุยกับเขา  จะหมายถึงหลวงภาคิน
                        ร่างเพรียวก้าวถอยหลังออกมาให้ห่างจากคนตัวใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า  พลางหันหลังให้แล้วก้าวที่จะออกจากห้องไป
   “ เดี๋ยวก่อน!  อย่าเพิ่งไป! ”  ว่าพลางรีบไปคว้าข้อมือเล็กเอาไว้
   “...”  ไม่พูดไม่หันกลับไปมอง
   “ คุยกับฉันก่อนนะ! ”  พูดออกไปอีก  เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมพูด  อีกทั้งไม่หันมาสบตา  ทั้ง ๆ ที่ข้อมือเล็กนั่นก็ยังถูกฝ่ามือหนาเกาะกำเอาไว้อยู่เลย
   “...”  ไม่พูดอะไร  พยายามสลัดให้หลุดจากการถูกเกาะกุม  โดยไม่ได้หันไปมองคนที่ทำ
   “ คุยกับฉันเสียเถอะ  อย่าหลบหน้ากันเลย ”  พูดด้วยน้ำเสียงวิงวอน
   “ ผมไม่ได้หลบหน้าคุณหลวงนะครับ! ”  โพล่งออกไปบ้างหลังจากที่เงียบมาเสียนาน  พลางหันหน้ามามองคนที่จับแขนตนไว้
   “ จะไม่หลบได้อย่างไร!  ก็วันนี้เอ็งไม่ได้ไปที่เรือน ”  พูดออกมาพลางมองเข้าไปนัยน์ตาของอีกฝ่าย
   “ ปล่อยผมครับ! ”  พูดออกไปโดยไม่สบสายตาของคนตรงหน้า  พลางพยายามบิดมือให้หลุดจากการจับกุมในครั้งนี้
   “ ฉันจะยอมปล่อยก็ต่อเมื่อ...เอ็งยอมคุยกับฉัน ”  ยื่นข้อเสนอ
   “...”  ไม่ได้ตอบกลับไป
   “ ว่าอย่างไรล่ะ!  จะยอมคุยกับฉันได้หรือยัง? ”  ถามออกไปพลางจ้องหน้าของอีกฝ่าย
   “...”  เงียบ
                       ไม่มีคำพูดใด ๆ  หลุดออกมาจากริมฝีปากบาง  ได้แต่มองไปทางอื่น  มือเล็ก ๆ อีกข้างที่เป็นอิสระก็พยายามแกะข้อมือข้างที่ถูกมือหนาจับกุมเอาไว้  เพื่อหวังจะให้หลุด  หากแต่ไม่ได้เป็นตามที่คิดไว้เลย
   “ หืม...ว่าอย่างไร  จะยอมคุยกับฉันไหม? ”  ว่าพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนตัวเล็ก
                       อาเธอร์ลิสตกใจจนสะดุ้งเมื่อใบหน้าคมของคนตรงหน้า  เข้ามาใกล้ใบหน้าของเขา  จนลมหายใจร้อนผ่าวผ่อนออกมาคลอเคลียแก้มใส  ทำให้เด็กหนุ่มต้องเบี่ยงหน้าหลบจากการถูกลมร้อนรังแก
   “ ยะ...ยอมแล้วครับ!  ปล่อยผมก่อนครับ! ”  ว่าออกไปอย่างจำนน
                       หึ!
   “ ก็แค่นั้น!  ทำให้ยุ่งยากมากความไปได้! ” พูดทั้งยิ้มออกมา  แล้วจึงปล่อยข้อมือเล็กเป็นอิสระ
   เมื่อร่างบางเป็นอิสระ  ก็เดินมานั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่งในตำแหน่งฝั่งตรงข้ามกับขุนนางหนุ่ม  หลวงภาคินเองก็กลับมานั่งลงตรงเก้าอี้ตัวเดิมที่ตนเคยนั่งเมื่อสักครู่นี้เช่นกัน
   “ คุณหลวงมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมหรือครับ! ”  เข้าประเด็นทันที  ทั้งยังไม่ได้มองหน้าคู่สนทนา
   “คือ...ฉัน...”  อ้ำอึ้งเล็กน้อย  “ ฉันอยากจะขอโทษเรื่องเมื่อวาน  ที่...พูดจาดูหมิ่นเอ็งน่ะ! ”  ตัดสินใจโพล่งออกไป
   “...”  เอาแต่นั่งเงียบ
   “ ขออภัยที่ฉันทำตัวไม่เป็นสุภาพบุรุษกับเอ็ง ”  ว่าออกไปเสียงนิ่ง
   “...”  ไม่พูดอะไร  เพียงหันมามองคนตรงหน้า
   “ ให้อภัยฉันได้ไหม? ”  ว่าด้วยน้ำเสียงวิงวอน
   “ ผมก็ไม่ได้โกรธคุณหลวงนี่ครับ! ”  พูดอย่างนั้นพลางเบนสายตาไปทางอื่น
   “ จะไม่ได้โกรธอย่างไร  ก็เห็น ๆ อยู่  ว่าเอ็งไม่มองหน้าฉันเลย ”  ว่าพลางเดินมานั่งเก้าอี้ข้าง ๆ คนขี้แง่แม่งอน
   “ คุณหลวง! ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจ  เพราะอีกฝ่ายมานั่งอยู่ข้าง ๆ  ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
   “ ดูสิ!  ตาช้ำหมด  ร้องไห้มาทั้งคืนเลยหรือ...”  ว่าพลางยื่นมือไปจับใบหน้าสวยไว้  แล้วโน้มไปมองใกล้ ๆ
   “...”
                       อาเธอร์ลิสไม่ได้พูดอะไร  เพียงหันหน้าไปทางอื่น  เพื่อไม่ให้ขุนนางหนุ่มเห็นใบหน้าของตนได้ชัดเจน
   “ ยกโทษให้ฉันได้ไหม...”  พูดออกไปด้วยน้ำเสียงวิงวอนอีกครั้ง
   “...”  เงียบ
   “ พ่ออาเธอร์ลิสขอรับ  อภัยให้คนอย่างกระผมเถิดนะขอรับ...กระผมผิดไปแล้ว....”  ว่าด้วยน้ำเสียงออดอ้อน  พลางยื่นมือไปกุมมือคู่เล็กเอาไว้
                          เธอร์ลิสทำตัวไม่ถูกกับคำพูดแปลกใหม่ที่หลวงภาคินพูดกับตน  จึงรู้สึกตระหนกตกใจ  พลางรู้สึกร้อนวูบวาบที่สองมือที่ถูกขุนนางหนุ่มกอบกุมอยู่
   “ คะ...คุณหลวงหยุดเถอะครับ ”  ว่าพลางทำสีหน้าเหลอหลา
   “ ถ้าอย่างนั้นก็หายโกรธฉันเสียทีสิ!  แล้วฉันจะหยุดทำแบบนี้ ”  พูดเอาแต่ใจออกมา
   “...”  ไม่พูดอะไรออกไป
   “ จะให้ฉันทำอะไรไถ่โทษก็ได้  ฉันยอมทุกอย่าง! ”  พูดออกไปเช่นนั้น
   “ ทุกอย่างจริงนะครับ! ”  จ้องไปยังคนพูดด้วยแววตาสดใสขึ้นมา
   “ จริงสิ!  ขอแค่เอ็งอภัยให้ฉัน  แล้วก็ยอมกลับไปทำงานช่วยฉัน ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ที่แท้คุณหลวงก็กลัวจะไม่มีคนช่วยแปลเอกสาร ”  ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
   “ มะ...มันก็แน่อยู่แล้ว!  เอกสารราชการฉันตั้งมากโข  ขาดเอ็งไปคนหนึ่ง  ฉันต้องทำคนเดียวจนป่วยตายเป็นแน่ ” 
                   ที่จริงแล้วขุนนางหนุ่มไม่ได้กลัวว่าจะไม่มีคนช่วยงานเขาอย่างที่ว่าออกไปแต่อย่างใด  ที่เขายอมมาง้องอนเด็กหนุ่มเช่นนี้  เพราะเขาไม่อยากให้เด็กหนุ่มโกรธ  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องตามมาเอาใจเด็กที่เพิ่งจะเกิดเมื่อวานซืนขนาดนี้ด้วย  ไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว...
   “ ครับ...ผมเข้าใจแล้ว ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ แล้วเอ็งอยากให้ฉันทำอะไรให้! ”  ถามเข้าประเด็น
   “ ผมอยากให้คุณหลวง...ไถ่โทษด้วยการพาผมไปพระนครครับ! ”  ว่าพลางส่งยิ้มออกมา
   “ หือ?  เอ็งอยากได้อย่างนั้นจริงหรือ? ”  ถามออกไปเพื่อความแน่ใจ
   “ ครับ  ”  ว่าพลางยิ้มหวานอีกครั้ง
   “ จะไม่เอาอย่างอื่นอีกหรือ?  อย่างเช่นแก้วแหวน  เครื่องประดับ ”  ถามย้ำออกไปอีกครั้ง
   “ ไม่ครับ!  ผมอยากไปพระนครอีกครั้งครับ  ก็พี่เอมีไม่อนุญาตให้ผมไปคนเดียว  แต่ถ้าคุณหลวงพาไป  พี่ต้องไม่ขัดอะไรแน่นอนครับ ”  ว่าพลางยิ้มแฉ่งให้กับคนตรงหน้า
   “ นี่เอ็งเอาฉันไปเป็นไม้กันหมารึ? ”  แสร้งทำให้อีกฝ่ายตระหนกใจเล่น
   “ มะ...ไม่ใช่นะครับ!  ผมแค่...”  พูดไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นมาก่อน
   “ เออ ๆ  ไม้กันหมาก็ไม้กันหมา ! ”  แสร้งพูดออกมาอย่างนั้น  “  พ่ออาเธอร์ลิสขอรับ!  กระผมขอไถ่โทษด้วยการพาพ่อไปพระนครนะขอรับ  กระผมจะปฏิบัติพัดวีให้เป็นอย่างดีเลย ”  พูดแซวอีกฝ่ายออกไป
   “ โธ่!  คุณหลวง  หยุดพูดแบบนั้นกับผมเถอะครับ  ผมรู้สึกแปลก ๆ ”  ไม่วายทำสีหน้าเหลอหลา
   “ ก็ได้ขอรับ ”  ยังไม่หยุด
   “ โธ่  คุณหลวงครับ...”  ว่าทั้งใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
                       หึ หึ!
                         หลวงภาคินรู้สึกขำขันกับการแสดงสีหน้าของคนข้าง ๆ  ที่ทั้งโกรธทั้งอายในเวลาเดียวกัน  แก้มใสที่เปลี่ยนเป็นสีลูกตำลึงนี้  ดูแล้วก็น่ารักน่าเอ็นดูดี  ขุนนางหนุ่มคิดเช่นนั้น...
                         ขอไถ่โทษด้วยการพาไปพระนครนี่นะ?  มันจะง่ายเกินไปไหม?  ไม่สมน้ำสมเนื้อเอาเสียเลย  ไอ้เด็กคนนี้...

                                                                                                          :really2:
                                                                                      มาต่อแล้วค่ะ  ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Episode 11
( สหายคนสนิท )

             อาเธอร์ลิสกลับมาทำงานแปลเอกสารช่วยหลวงภาคินเช่นเดิม   เหมือนไม่เคยมีอะไรผิดใจกันมาก่อน  และดูเหมือนความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่จะค่อย ๆ ดีขึ้น  อาจเป็นเพราะการไถ่โทษของขุนนางหนุ่มมันถูกใจ
อาเธอร์ลิสก็เป็นได้  ก็เด็กหนุ่มอยากเข้าไปในพระนคร อยากไปดูวิถีชีวิตคนเมืองของชาวสยาม  อยากเดินเที่ยวเล่นตามประสาหนุ่มน้อยวัยแรกแย้ม  แต่ผู้เป็นพี่สาวไม่ยอมให้เขาได้ทำอย่างนั้น  เพราะเป็นห่วงว่าน้องชายจะเป็นอันตราย  จึงทำให้สถานที่ที่เขาสามารถไปไหนมาไหนเองได้ก็คือเรือนที่เขาอาศัยอยู่กับเรือนของหลวงภาคินเท่านั้น  ฉะนั้นแล้วเด็กหนุ่มจึงดีใจมากที่ได้ออกไปยังสถานที่อื่น  โดยมีหลวงภาคินเป็นใบเบิกทางให้  ผู้เป็นพี่สาวเลยไม่ได้ขัดแต่อย่างใด  อาเธอร์ลิสเลยได้ทำอย่างที่ใจหวังเสียที
              วันนี้เอกสารที่หลวงภาคินนำกลับมาจากราชสำนักไม่ค่อยมีมากเท่าไรนัก  จึงทำให้แปลได้เสร็จเร็ว  มิหนำซ้ำยังเสร็จก่อนที่จะถึงเวลารับประทานอาหารเย็นเสียอีก  อาเธอร์ลิสจึงขอลากลับก่อน  เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว  คุณหญิงเพ็ญคงจะต้องให้เขาไปร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยอย่างเช่นทุกครั้งเป็นแน่  ซึ่งเด็กหนุ่มค่อนข้างเกรงใจกับความมีน้ำใจของคุณหญิงเพ็ญที่มีต่อเขา  และก็เกรงว่าจะทำให้หลวงภาคินลำบากใจที่เห็นเขานั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
              อาเธอร์ลิสเดินออกมาจากห้องของหลวงภาคิน  ซึ่งกำลังจะตรงไปทางบันไดที่เป็นทางขึ้นลงของเรือนหลังใหญ่  ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคุณหญิงเพ็ญนั่งสนทนากับใครบางคนอยู่บริเวณศาลาตรงลานกว้างบนเรือน  และศาลานั่นก็เป็นทางที่เขาต้องผ่านเพื่อที่จะไปลงบันได  ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณหญิงเพ็ญจะมองไม่เห็นเด็กหนุ่ม
   “ อ้าว! พ่ออลิส!  จะกลับแล้วรึ? ”  ร้องเรียกออกไป
              เป็นอย่างที่เด็กหนุ่มคิดไว้ไม่มีผิดว่าคุณหญิงเพ็ญจะต้องร้องทักตนเป็นแน่  จึงได้แต่เดินเข้าไปหาคนที่ร้องเรียกแล้วนั่งลงตรงพื้นที่ต่ำกว่า
   “ ครับ  พอดีวันนี้แปลเสร็จเร็ว  เพราะเอกสารไม่ค่อยมีมากเท่าไรครับ ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ อ๋อ  ถ้าเป็นเช่นก็แสดงว่าพ่อก็ว่างแล้วใช่ไหม?  หรือว่ามีธุระต้องรีบกลับไปทำ? ”  เอ่ยออกไปเช่นนั้น
   “ กะ...ก็ไม่ได้มีธุระสำคัญอะไรหรอกครับ  คุณหญิงมีอะไรจะให้ผมรับใช้หรือครับ ”  พูดพลางเงยหน้าขึ้นมองหญิงผู้สูงวัย
   “ พอดีวันนี้วันพระ  ฉันว่าจะร้อยมาลัยบูชาพระน่ะจ้ะ!  เลยอยากจะชวนพ่อมาทำด้วยกันเสียหน่อย ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้คนอายุน้อยกว่า
   “ ร้อยมาลัยหรือครับ? ”  ถามออกไปพลางทำหน้าสงสัย
   “ ใช่แล้วจ้ะ!  พ่อสนใจไหม? ”  ย้ำออกไปอีกครั้ง  พลางเปรยยิ้มให้อีก
   “ สนใจครับ  แต่...”  พูดพลางทำสีหน้ากังวล “ ผมไม่เคยร้อยมาลัยเลยครับ ”  ตอบออกไปตามความจริง
   “ เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลไปหรอกจ้ะ!  เดี๋ยวฉันสอนให้ ”  พูดออกไปไม่วายยิ้มออกมาอีก
   “ ถ้าคุณหญิงว่าเช่นนั้น  ก็ขอความกรุณาด้วยครับ ”  ว่าพลางส่งยิ้มหวานกลับไป
   “ คุณแม่ขอรับ!  นี่ใครหรือขอรับ? ”  ถามออกมาเสียทีหลังจากที่นั่งเงียบมานาน
   “ อ๊ะ!  ตายจริง!  แม่ต้องขอโทษด้วยที่ลืมแนะนำ ”  พูดพลางหันไปมองเจ้าของคำถาม  “ นี่พ่ออลิสจ้ะ!  เป็นคู่....เอ่อ  เป็นผู้ช่วยแปลเอกสารของพ่อภาคินเขาน่ะจ้ะ ”
   “...”  ไม่ได้พูดอะไร  เพียงหันไปมองคนที่นั่งตรงพื้นที่ต่ำกว่า
   “ พ่ออลิสจ๊ะ!  นี่พ่อเทพ  หลวงเทพน่ะจ้ะ!  เป็นสหายของพ่อภาคินเขา ” หันมาบอกคนที่นั่งต่ำกว่า
   “ สะ...สวัสดีครับ!  คะ...คุณหลวง  ท...เทพ”  พูดทักทายออกไปอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
   “ อือ  ไม่ต้องกลัวฉันหรอก ” ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่นั่งต่ำกว่า
   “...”  ไม่ได้ตอบกลับไป
   “ ว่าแต่เอ็ง!  ชื่อกระไรนะ? ”  ถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้แล้ว
   “ อา...อาเธอร์ลิส  วิสนีย์ครับ ”  บอกชื่อออกไป
   “ เอ็งติดอ่างรึอย่างไร  เลิกพูดอ้ำอึ้งได้แล้ว ”  ว่าออกไปเชิงหยอกเย้า
   “ ขะ...ขอโทษครับ ”  ว่าพลางก้มหน้า
   “ เอาเถอะ ๆ  ว่าแต่เอ็งเป็นอะไรกับหมออัล? ”  ถามออกไปเช่นนั้น  เพราะคุ้นเคยกับนามสกุลของอีกฝ่าย
   “ ผมเป็นลูกชายคุณหมออัลเบิร์ตครับ ”  ตอบกลับไปพลางเงยหน้าขึ้น
   “ ไม่ยักรู้ว่าหมออัลมีลูกชายด้วย  ไหนดูซิ! ”  ว่าพลางยื่นไปแตะปลายคางคนที่นั่งต่ำกว่า  “ ไม่เห็นจะเหมือนกันเลย ” 
   คุณหญิงเพ็ญเห็นหลวงเทพทำเช่นนั้นจึงพูดปรามออกไปว่า  “ พอเถอะพ่อเทพ!  พ่ออลิสเขาตกใจจะแย่แล้ว ” 
   “ ขออภัยด้วย  ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้ตกใจ ”  ว่าออกไปเช่นนั้น
   “ มะ...ไม่เป็นอะไรครับ ”  พูดพลางมองไปยังคนที่นั่งสูงกว่า
   “ ฉันขอเรียกเอ็งแบบคุณแม่บ้างได้ไหม? ”  ถามอีกฝ่ายไปพลางส่งยิ้มให้
   “ เมื่อครู่ว่าอะไรนะครับ? ”  ถามออกไปเพราะไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกไหม
   “ ฉันถามว่าให้ฉันเรียกอลิสเหมือนคุณแม่ได้ไหม? ”  ย้ำออกไปให้ชัดเจน
   “ ถะ...ถ้าคุณหลวงถนัดแบบนั้น  ผมก็ไม่ขัดอะไรครับ ”  ตอบออกไปอย่างนั้น
                คุณหญิงเพ็ญมองดูสายตาที่สหายของผู้เป็นลูกชายจับจ้องที่
                      อาเธอร์ลิสก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสนใจเด็กหนุ่มเป็นแน่  อันที่จริงก็ไม่พอใจ  แต่จะให้พรวดพราดพูดออกไปก็คงจะไม่ได้  จึงได้แต่คอยแทรกประเด็นใหม่ ๆ  ขึ้นมา  ไม่ให้หลวงเทพได้สนทนากับอาเธอร์ลิสเพียงสองคน  เพราะนี่คือว่าที่ลูกสะใภ้ของคุณหญิงเพ็ญเชียวนะ  จะให้ใครมาฉกไปได้อยากไรกัน  ไม่ยอมเสียหรอก  คุณหญิงเพ็ญคิดเช่นนั้น
                 คุณหญิงเพ็ญสอนอาเธอร์ลิสร้อยมาลัยอย่างสนุกสนาน  โดยมีหลวงเทพคอยจ้องมองอยู่  ซึ่งก็น่าแปลกใจ  ทั้ง ๆ  เพิ่งเคยร้อยมาลัยเป็นครั้งแรกในชีวิต  แต่อาเธอร์ลิสกลับร้อยออกมาได้สวยเหมือนกับพวกลูกสาวของขุนนางที่ถูกส่งไปเรียนอยู่ภายในพระราชวัง  คุณหญิงเพ็ญเห็นมือเล็ก ๆ  ค่อย ๆ หยิบดอกไม้มาร้อยเรียงเป็นลวดลายไว้บนเข็ม  ก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดูเด็กคนนี้เสียเหลือเกิน
   “ นี่พ่อเพิ่งเคยร้อยเป็นครั้งแรกจริงหรือ  งดงามอย่างกับไปเรียนในรั้วในวังมา ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่นั่งต่ำกว่า
   “ ผมเพิ่งเคยทำครั้งแรกครับ  ยังเทียบคุณหญิงไม่ได้หรอกครับ ” ว่าพลางเงยหน้าส่งยิ้มให้คนที่นั่งสูงกว่า
   “ แหม  ปากหวานเชียวนะ ”  ว่าพลางหัวเราะคิกคัก
   “ ก็มันจริงนี่ครับ ”  ว่าพลางยิ้มแฉ่งให้หญิงสูงวัย
                 หลวงเทพที่มองอยู่ก็อดยิ้มตามคนทั้งสองไม่ได้  ยิ่งมองอาเธอร์ลิส  ก็เหมือนยิ่งไม่อยากที่จะละสายตาไปไหน
   “ พวงมาลัยที่ร้อยฉันขอได้ไหม ”  เอ่ยออกไปพลางจ้องมองใบหน้าคนที่กำลังร้อยมาลัย
   อาเธอร์ลิสที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับการร้อยมาลัย  ก็เงยหน้าขึ้นมามองคนที่ส่งเสียงพูดขึ้นมา
   “ ว่าอย่างไรนะครับ? ”  ถามไปเพราะได้ยินไม่ถนัด
   “ ฉันถามไปว่า  พวงมาลัยที่พ่ออลิสร้อย  ฉันขอได้ไหม? ”  ย้ำออกไปอีกครั้ง
                ประโยคที่หลุดออกมาจากปากหลวงเทพ  ทำเอาคุณหญิงเพ็ญที่กำลังร้อยมาลัยของตนอยู่ถึงกับหันควับกลับมามองคนที่พูดทันที
   “ ตะ...แต่ผมว่ามันไม่สวยนะครับ! ”  ว่าออกไปพลางสีหน้าไม่มั่นใจ
   “ สวยสิ!  ฉันชอบ ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้คนหน้าหวาน
   “ ถ้าท่านว่าอย่างนั้น  ก็ได้ครับ ”  พูดออกไปเช่นนั้น
   “ ขอบใจ ”  ว่าพลางยิ้มกว้าง
   “ ด้วยความยินดีครับ ”  ว่าออกไป  พลางหันมาสนใจมาลัยดอกไม้ที่อยู่ในมือตนเองต่อ
                  คุณหญิงเพ็ญที่นั่งฟังการสนทนาของคนหนุ่มทั้งสอง  ยิ่งทำให้รู้สึกร้อนรุ่มใจ  กลัวว่าจะเสียอาเธอร์ลิสให้กับสหายของลูกชายไป  ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด  ไม่น่าเรียกให้อาเธอร์ลิสมาตรงนี้เลย  และที่ทำให้หงุดหงิดยิ่งกว่าคือ  ลูกชายจอมดื้อรั้นไม่ยอมทำอะไรเสียได้  เอาแต่ปล่อยปละละเลยคู่แห่งโชคชะตาไว้อย่างนี้  สักวันต้องถูกคนอื่นโฉบฉวยไปได้เป็นแน่  และถ้าหากตัวของอาเธอร์ลิสเองไปรักใคร่ชอบพอกับคนอื่นเสียก่อน  คุณหญิงเพ็ญคงจะทำอะไรไม่ได้  คงต้องปล่อยไปตามอย่างที่ได้เกิดขึ้นนั่นล่ะ  แต่จะไม่ยอมให้ถึงวันนั้นเสียหรอก  อาเธอร์ลิสต้องได้ออกเรือนกับหลวงภาคิน  ลูกชายของคุณหญิงเพ็ญเท่านั้น 
   “ อ้าว!  เอ็งยังไม่กลับอีกรึ? ”
                 เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นมาจากข้างหลัง  ทำให้อาเธอร์ลิสต้องรีบหันกลับไปมองทันที  และในตอนนั้น  เข็มที่ถืออยู่ก็ทิ่มลงยังนิ้วเรียวสวย  จนของเหลวงสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากผิวเนื้อนิ่ม
   “ โอ๊ย! ”  ร้องออกไปด้วยความเจ็บปวด
                 หลวงภาคินเห็นเช่นนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาดู  แต่ก็เหมือนจะช้าไป
   “ เป็นอะไรหรือเปล่า? ” 
                 หลวงเทพเดินเข้ามาหา  พลางคุกเข่าลงตรงหน้าของอาเธอร์ลิส  มือหนาจับมือของคนตัวเล็กขึ้นมาดู
   “ มีเลือดออก! ”  โพล่งออกมาเสียงดัง
   “ ผะ...ผมไม่เป็นอะไรครับ ”  พูดออกไปทั้ง ๆ ที่หน้าเริ่มซีดเมื่อเห็นเลือดของตนเอง  พลางจะดึงมือกลับ
   “ ไม่เป็นอะไรได้อย่างไร!  ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเลือดออก  เอามือมานี่!  ขอฉันดูหน่อย!  ”  ออกปากดุไป  พลางดึงมือคนดื้อกลับมามองใกล้ ๆ
   “ คะ...คุณหลวงครับ! ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ครับ! ”
                    อาเธอร์ลิสตกใจที่จู่ ๆ  หลวงเทพก็หยิบผ้าเช่นหน้าจากถุงเสื้อของเขามาเช็ดเลือดให้ตน 
   “ อยู่นิ่ง ๆ สิ!  ฉันจะเช็ดเลือด! ”  ว่าออกไปอย่างนั้นพลางส่งสายตาคมปราม
   “ ขอบคุณมากครับ  เดี๋ยวผมจะซักมาคืน ”  ต้องจำยอม  เลยเอ่ยออกไปแบบนั้น
   “ ไม่ต้องหรอก!  พ่ออลิสเก็บไว้เถอะ”  ว่าพลางยิ้มให้คนตรงหน้า
   “ ขะ...ขอบคุณหรับ! ”  ว่าออกไปด้วยสีหน้าเกรงใจ
   “ พอได้แล้วกระมัง  แผลแค่นี้ไม่ตายหรอก! ”
                    หลวงภาคินที่เงียบดูอยู่นานก็โพล่งขึ้นมาบ้าง  ทำเอาคนทั้งสามหันมามองตามต้นเสียงทันที  ขุนนางหนุ่มรู้สึกไม่พอใจที่สหายคนสนิทมาจับไม้จับมืออาธอร์ลิส  มิหนำซ้ำยังมาเรียกชื่อเล่นอย่างสนิทสนมอีก  ไม่ชอบใจเลยสักนิด
   “ คุณหลวง...”  มองด้วยสีหน้าหงอย ๆ
                    หลวงภาคินไม่ได้เอ่ยอะไรกับอาเธอร์ลิส  เพียงแต่เดินมานั่งข้าง ๆ  ผู้เป็นมารดาแล้วแสร้งทำเป็นไม่สนใจเด็กหนุ่มไปเสียอย่างนั้น
   “ อ้าว!  พ่อภาคิน!  ทำเอกสารเสร็จแล้วรึ? ”  เอ่ยถามไป
   “ ขอรับ ”  ขานรับกลับไปเสียงเรียบ
   “ หลวงภาคิน  เป็นอย่างไรบ้าง  ไม่ได้เจอกันเสียนาน ”  ว่าพลางลุกขึ้นมานั่งข้าง ๆ มารดาของสหาย
   “ สบายดี  หลวงเทพล่ะ!  เป็นอย่างไรบ้าง  ไยถึงมาโผล่ที่นี่ได้ ” ตอบออกไปพลางถามกลับเชิงแซว ๆ
                       ฮ่า  ฮ่า  ฮ่า
                       หัวเราะให้กับถ้อยคำที่หลุดออกมาจากปากของสหาย 
   “ ฉันก็สบายดี  ฉันมาราชการที่พระนครสัปดาห์หนึ่งน่ะ!  ก็เลยแวะมาสวัสดีคุณแม่กับมาทักทายคุณหลวงเสียหน่อย ” 
   “ อย่างนั้นหรอกรึ ”  ว่าออกไปพลางไม่ได้จะใส่ใจคำตอบ
   “ อือ   แล้วราชการที่สยามเป็นอย่างไรบ้าง? ”  พูดประเด็นใหม่ขึ้นมา
   “ ก็ยังไม่เรียบร้อยดีเท่าไร  ฝรั่งเศสก็ส่งเอกสารเจรามาเรื่อย ๆ  จนทำให้พระองค์ทรงวิตกอยู่ไม่น้อย ”  ตอบกลับไป
   “ ตั้งแต่ที่ฉันไปปฏิบัติราชการอยู่หัวเมืองเวียงจันทน์ก็ไม่ได้ติดตามพระองค์เลย ”  ว่าพลางทำสีหน้าเศร้าสร้อย
   “ หลวงเทพรักษาราชการอยู่ที่โน่นก็ช่วยพวกเราชาวสยามได้มากแล้ว  อย่ากังวลไปเลย  หากไม่มีแคว้นเวียงจันทน์  ประเทศสยามของเราก็คงลำบากไม่น้อย  เพราะที่แคว้นนั่นค่อนข้างอุดมสมบูรณ์  เวลาผู้ครองแคว้นนำส่วยกับพืชผลต่าง ๆ  มาจ่ายให้สยาม  ล้วนมีแต่ของดีทั้งนั้น 
ทำให้ชาวสยามมีของกินของใช้ดี ๆ  จนถึงทุกวันนี้  แคว้นใหญ่ ๆ หลายแคว้นก็ถูกพวกฝรั่งเศสยึดเอาไปเกือบจะหมดแล้ว  เราต้องรักษาแคว้นที่เหลือไว้ให้ได้ถึงจะดีที่สุด ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ฉันจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด! ”  บอกอีกฝ่ายกลับไป
   “ อือ ”  พูดออกไปแค่นั้น
   “ ฉันว่าฉันควรจะกลับได้แล้วล่ะ!  เพราะมาราชการที่สยามยังไม่ได้บอกคุณแม่เลย ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ อือ  กลับดี ๆ  ฝากกราบสวัสดีคุณแม่ด้วย ”  ว่าออกไป
   “ ได้ ”  ตอบกลับพลางยิ้มกว้าง
   “ แม่ก็ฝากทักทายคุณหญิงทิพย์ด้วยนะพ่อเทพ ”
                    คุณหญิงเพ็ญที่นั่งฟังขุนนางทั้งสองสนทนากันอยู่นานสองนานก็โพล่งขึ้นบ้าง
   “ ขอรับคุณแม่  เดี๋ยวกระผมจะเรียนท่านให้ ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้มารดาของสหาย
                    หลวงเทพลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าอาเธอร์ลิส  พลางยกมือขึ้นขยี้ศีรษะคนตัวเล็กเบา ๆ
   “ แล้วพบกันใหม่นะ!  อลิส...”  ว่าออกไปอย่างนั้น  พลางปล่อยมือจากเส้นผมคนตัวเล็ก  แล้วร่างใหญ่จึงลุกขึ้นยืน  ก่อนจะสาวเท้าเดินลงจากเรือนไป
                    การกระทำอย่างนั้นของหลวงเทพทำให้หลวงภาคินชักสีหน้าใส่อาเธอร์ลิสอย่างไม่รู้ตัว  จนเด็กหนุ่มตกใจ  คิดว่าตนเองคงไปทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจเข้าอีกแล้วกระมัง  ทำได้เพียงแต่นั่งก้มหน้าหลบสายตาคมของคนตัวใหญ่  พวงมาลัยก็ไม่ได้ร้อยต่อจนเสร็จ  เพราะดันโดนเข็มทิ่มก่อนเสียอย่างนั้น  ก็เลยไม่ได้ให้กับหลวงเทพไปตามที่ได้ตกลงกันไว้
                     เป็นสหายที่สนิทกันจริงหรือ?  ทำไมถึงได้แตกต่างกันลิบลับเสียขนาดนี้...  ไม่ใช่ว่าคนที่มีนิสัยเหมือนกัน  จะเข้ากันได้หรอกหรือ?

                                                                                        :mew3:
                                                                ep.11 มาแล้วนะค่าา  ฝากติดตามจนจบด้วยเน้อ^^

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต
«ตอบ #24 เมื่อ11-12-2017 06:24:04 »

 :pig4:

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต
«ตอบ #25 เมื่อ11-12-2017 10:50:24 »

เรื่องนี้ประกาศเปิดพรีแล้วป่าวปกสวยมากกกกก

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต
«ตอบ #26 เมื่อ11-12-2017 13:13:20 »

เรื่องนี้ประกาศเปิดพรีแล้วป่าวปกสวยมากกกกก
                        ใช่ค่ะ^^  เปิดแล้ววว^^

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เปิดจองหนังสือ
สำหรับหนังสือเรื่อง  Omega 's Destiny ชะตาลิขิต  เปิดให้จองได้แล้วนะคะ ( วันนี้ - 31 มกราคม 2561)
ราคาเล่มละ 600฿
แถมฟรี : ที่คั่นหนังสือลายหน้าปก
แถมฟรี : โปสการ์ดภาพประกอบเรื่อง ( สงวนสิทธิ์ 35 คนแรกที่จองก่อนค่าา)
ส่งพัสดุธรรมดา : 40฿
ส่งพัสดุ Ems : 60฿
เริ่มส่งประมาณ 10 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นไปค่ะ ( ตามคิวการจอง )
สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่เฟสบุ๊คเพจ : KesornSama
 :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ wanirahot

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: Omega's Destiny ชะตาลิขิต
«ตอบ #28 เมื่อ11-12-2017 17:24:39 »

ปกงามมากเลยค่าาาาา

ออฟไลน์ KesornSama

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Episode 12
( แกงรัญจวนของฉัน   ห้ามให้ใครมายุ่มย่าม )


               วันนี้ก็เป็นอีกวันที่หลวงภาคินเสร็จราชการที่ราชสำนักช้า  กว่าจะยุติการปรึกษาหารือได้  เวลาก็ล่วงเลยมาเสียจนมืดค่ำ  สร้างความเหนื่อยล้าให้แก่ขุนนางหนุ่มยิ่งนัก  เพราะเขาต้องประทะคารมกับขุนนางอาวุโสหลายต่อหลายท่านที่ไม่เห็นด้วยกับระบบการปกครองที่เขาเสนอขึ้นว่า  ควรให้ประชาชนทุกชนชั้นได้มีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกันในทุก ๆ  ด้าน  ทั้งเรื่องสิทธิในการเข้ารับราชการ  การได้รับเบี้ยเลี้ยง  การศึกษา  และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน  แล้วก็ต้องปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปประธรรมมากกว่านี้  เพื่อให้ในหลาย ๆ  ประเทศเขาได้เห็นเป็นตัวอย่าง  ซึ่งอาจจะสามารถใช้กำลังมวลชนจากหลาย ๆ  ประเทศทั่วทุกมุมโลกขับไล่พวกล่า
อาณานิคมได้  แต่พวกขุนนางอาวุโสทั้งหลายกลับไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้  และยังอยากให้นำระบบการปกครองแบบทาสกลับมาใช้เหมือนเดิม  โดยถอดตำแหน่งทางราชการของพวกชนชั้นผลิตทายาทออก  แล้วให้ไปเป็นข้ารับใช้ของชนชั้นผู้นำเหมือนเมื่ออดีตที่ผ่านมา  ส่วนชนชั้นสามัญก็ให้ไปเป็นแค่แรงงานกับเกษตรกรอย่างเช่นเดิม  ไม่อนุญาตให้เด็กที่เกิดมาเป็นชนชั้นผลิตทายาทเรียนหนังสือ  แม้จะเป็นลูกของขุนนางชั้นสูงก็ตามแต่   เพื่อจะได้เป็นไปตามที่พวกฝรั่งเศสเขาส่งสาสน์ถึงพระองค์  จะได้ไม่ต้องสู้รบปรบมือให้วุ่นวาย   
                ขุนนางหนุ่มพยายามเสนอแนวคิดออกไปเท่าไร  ขุนนางอาวุโสเหล่านั้นก็ขัดคอเขาตลอด  ซึ่งก็มีขุนนางเพียงไม่กี่คนที่เห็นด้วยกับระบบการปกครองที่หลวงภาคินได้เสนอขึ้น  ส่วนมากจะเป็นคนหัวสมัยใหม่เหมือนกันกับชายหนุ่ม  ก็มันสมัยไหนแล้ว  บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ  แต่ทำไมคนยังไม่เจริญขึ้นตามอีกเสียล่ะ  มันหมดสมัยที่จะกดขี้ข่มเหงกันแล้ว  ทุกคนควรมีอิสระในการเลือกวิถีชีวิตของตนเอง  และมีสิทธิที่จะปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนด้วย  เพราะทุกคนก็คือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เหมือนกัน
หนึ่งในผู้ที่เห็นด้วยกับความคิดของหลวงภาคินก็คือหลวงเทพ  สหายคนสนิทของเขา  ซึ่งมาราชการที่พระนครเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์  และได้เข้าร่วมในการปรึกษาหารือในครั้งนี้ 
หลวงเทพเองก็มีความคิดเหมือนกันกับหลวงภาคิน  เรื่องอยากให้ประชาชนทุกคนได้รับความเท่าเทียมกัน  แต่เขาไม่มีความกล้าบ้าบิ่นพอที่จะนำมาเสนอขึ้นยังห้องปรึกษาหารือที่เต็มไปด้วยขุนนางแก่หงำหงึก  ที่มีความคิดโบราณ ๆ  ตามอายุที่โบราณ ๆ ขึ้นเรื่อย  ๆ  เขาขี้เกียจที่จะต้องโต้แย้งกับคนพวกนี้  และมันอาจจะมีผลต่อตำแหน่งทางราชการของเขาด้วย  เขาจึงอยู่เงียบ ๆ  ไป  แต่พอเห็นหลวงภาคินมีความกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้  เขาก็อดที่จะสนับสนุนขึ้นมาไม่ได้  เอาสิ!  ให้มันตายกันไปข้างหนึ่ง  ชายหนุ่มคิดอย่างนั้น
                 สองสหายเดินออกมาจากราชสำนักพร้อมกัน  แล้วก็เดินตรงไปยังรถของตนเองที่จอดรออยู่พร้อมกับคนรับใช้  ซึ่งรถของขุนนางทั้งสองจอดอยู่ใกล้ ๆ กัน  จึงเดินมาทางเดียวกัน
   “  หลวงภาคิน  ท่านจะกลับเรือนเลยรึ? ”  ถามออกไปอย่างนั้น
                หลวงภาคินที่กำลังจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ  เมื่อได้ยินผู้เป็นสหายเอ่ยถามก็หันกลับไปมอง
   “ ฉันว่าจะแวะไปที่เรือนแม่เอมิลีเสียก่อนน่ะ ”  ตอบกลับไปอย่างนั้น
   “ ถ้าอย่างนั้น  ฉันขอไปด้วยสิ  ไม่ได้พบหล่อนเสียนาน  ถือโอกาสแวะไปทักทายเสียหน่อยแล้วกัน ”  ว่าพลางฉีกยิ้มออกมา
   “...”  ไม่ได้พูดอะไร  แค่รู้สึกไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร  แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
   “ ว่าอย่างไรคุณหลวง? ”  ถามย้ำออกไปอีกครั้ง  เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบ
   “ ก็แล้วแต่หลวงเทพเถอะ  เรือนก็เรือนแม่เอมิลีเขา  ไม่ใช่เรือนฉันเสียหน่อย  ถ้าหลวงเทพอยากไป  ก็ไปเสียเถอะ  ไม่เห็นต้องถามฉัน ”  ว่าจบก็ก้าวขึ้นรถของตนเองไปในทันที
   “ ออกรถ ”  ออกปากสั่ง
   “ ขอรับ ”
                 หลวงเทพที่ยืนมองรถของสหายคนสนิทเคลื่อนตัวออกไปจากหน้าราชสำนัก  ตนเองก็ก้าวขึ้นรถบ้าง  แล้วจึงสั่งให้คนที่ทำหน้าที่ขับรถ  เคลื่อนรถออกทันที  โดยมีจุดมุ่งหมายคือเรือนของเอมิลี
                 รถคันสีเหลืองซีดแล่นเข้ามาจอดยังหน้าเรือนพระราชทาน  ทันทีที่รถจอดสนิท  เมื่อคนรับใช้คนสนิทวิ่งมาเปิดประตูรถฝั่งเจ้านายให้  หลวงภาคินก็ก้าวลงจากรถทันที  แล้วร่างสูงก็ก้าวขึ้นเรือนไป  พอขึ้นมาบนเรือนก็ไม่เห็นใครอีกตามเคย  ขุนนางหนุ่มจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปยังห้องรับแขกเองอย่างคุ้นเคย  พอเข้ามาถึงภายในห้องรับแขก  ก็เห็น
อาเธอร์ลิสนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะบริเวณใจกลางของห้องรับแขก  ซึ่งมันก็คือที่ที่เขาเคยนั่งประจำทุกครั้งที่มาที่เรือนหลังนี้
   “ นั่นเอ็งเขียนอะไรอยู่? ”  ถามพลางชะโงกหน้ามองจากด้านหลัง
                อาเธอร์ลิสเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูดังมาจากทางด้านหลังก็หันกลับไปมองยังต้นเสียงในทันทีทันใด
   “ คุณหลวง! ”  เรียกออกไปด้วยความตกใจ
   “ อะไรของเอ็ง!  ทำท่าทางอย่างกับเห็นผี! ”  ว่าออกไปอย่างนั้นพลางเดินมานั่งยังฝั่งตรงข้าม
   “ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงครับ!  ชอบมาแบบไม่บอกไม่กล่าว! ”  ว่าพลางจ้องเขม็ง
                ด้วยความที่อาเธอร์ลิสกับหลวงภาคินเริ่มสนิทสนมกันขึ้นมาบ้างเล็กน้อยแล้ว  การพูดคุยกันจึงไม่ได้ดูห่างเหินเหมือนช่วงแรก ๆ
   “ ทุกวันนี้กล้าว่าฉันแล้วรึ? ”  แสร้งพูดไปอย่างนั้น
   “ ผมไม่ได้ว่าคุณหลวงนะครับ  ก็ท่าน....”  พูดยังไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นก่อน
   “ ช่างเถอะ!  ขี้เกียจเถียงกับเอ็งแล้ว ”  ว่าพลางทำสีหน้าไม่ยี่หรา
   “...”  ไม่ได้พูดอะไรออกไป
   “ ฉันหิว ”  พูดออกมาอย่างนั้นเสียดื้อ ๆ
   “ ครับ? ”  ขานกลับไปด้วยความงุนงง
   “ ก็บอกว่าหิวอย่างไรเล่า!  ไปทำอะไรให้กินหน่อย! ”  พูดเอาแต่ใจออกมา
   “ ให้ผมทำหรือครับ? ”  ถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ
   “ ถ้าไม่ใช่เอ็ง  จะแมวที่ไหนเล่า! ”  ว่าออกไปแบบนั้น
   “ แมวหรือครับ? ”  งงหนักกว่าเดิมอีก
   “ ให้ตายเถอะเอ็ง...”  ว่าพลางยกมือกุมขมับให้กับความซื่อบื้อของอีกฝ่าย
   “ อะไรนะครับ?  ท่านอยากรับประทานแมวหรือให้แมวทำอาหารให้ท่านนะครับ?  ผมไม่เข้าใจ ”  ว่าออกไปแบบนั้น  เพราะไม่เข้าใจกับสิ่งที่คนตรงหน้าพูดจริง ๆ
               ทีนี้สองมือหนาที่กุมขมับอยู่  ถึงกับเปลี่ยนมาลูบหน้าตัวเองพลางถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอาเลยทีเดียว
   “ เอ็งจะบ้าหรืออย่างไร  แมวมันกินได้เสียที่ไหนกัน  แล้วแมวตัวไหนมันทำอาหารเป็นกันเล่า!  ฉันแค่เปรียบเปรย ”  ว่าอธิบายออกไปอย่างนั้น
   “ เปรียบเปรยหรือครับ? ” 
   “ เออ ”  ตอบกลับไปเพียงแค่นั้น
   “ อ๋อ  ผมเข้าใจแล้วครับ ”  ว่าพลางยิ้มอย่างเก้อ ๆ เขิน ๆ  ให้คนตรงหน้า
   “ เข้าใจแล้วก็ดี  รีบไปทำอาหารมาให้ฉันกิน ”  ว่าสั่งออกไป
   “ คุณหลวงอยากรับประทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ?  ถ้าผมพอทำได้  ผมจะลองทำให้ท่านรับประทาน ”  ถามออกไปพลางส่งยิ้มให้
   “ นี่เอ็งจะเอาฉันเป็นหนูลองยารึ? ”  แสร้งว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ไม่ใช่นะครับ! ”  รีบโพล่งออกไปทันที
   “ อือ  ถ้าเช่นนั้นก็ทำอันที่เองทำเป็นเถอะ  ฉันกินได้ ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “เข้าใจแล้วครับ ”  ตอบกลับไปพลางจ้องหน้าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
   “ อ้าว!  เข้าใจแล้วก็ไปทำมาสิ!  มัวนั่งทำหน้าตาซื่อบื้ออยู่ได้  ฉันหิวจนจะกินเอ็งแทนข้าวได้แล้วนะ! ”  แสร้งขู่ออกไป
   “ คะ...ครับ  จะไปทำมาให้เดี๋ยวนี้ล่ะครับ! ” 
                    อาเธอร์ลิสเก็บเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะรับแขกมาเรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ  แล้วถือเอาไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานของเอมิลีก่อนจะตรงเข้าห้องครัวไป  เพื่อไปทำอาหารให้กับขุนนางผู้ชอบออกคำสั่งได้รับประทานตามความปรารถนา
                    เด็กหนุ่มลงมือทำอาหารอย่างประณีต  ลงมือแกะสลักผักที่ใช้ประกอบอาหารเอง  ปรุงรสอย่างพิถีพิถัน  ทำไปยิ้มไป  เนื่องจากเวลาที่
อาเธอร์ลิสได้เข้าครัวทำอาหารแบบชาวสยาม  เขาจะมีความสุขทุกครั้ง  เพราะจะทำให้นึกถึงตอนที่เขาได้เข้าครัวกับมารดาตอนเด็ก ๆ  พอนึกย้อนกลับไปก็อดที่จะยิ้มออกมาเสียไม่ได้  แอนนาสอนเขาเสมอว่าเวลาทำอาหารต้องทำออกมาด้วยหัวใจที่อยากจะให้คนที่ได้รับประทานอาหารของเราอร่อยและอิ่มเอมไปกับอาหารที่เราได้ปรุงขึ้นเพื่อเขา  เมื่อคนที่รับประทานอาหารของเรารู้สึกชอบในรสชาติที่เราทำ  มันจะทำให้คนทำอาหารมีความสุขมากกว่าเป็นไหน ๆ 
                    เมื่ออาเธอร์ลิสหายเข้าห้องครัวไปได้สักพัก  หลวงภาคินจึงเดินมาดูว่าเด็กหนุ่มกำลังทำอะไรอยู่  จะทำอาหารแบบไหนให้เขากินกันแน่  ขุนนางหนุ่มคิดเช่นนั้น
                    คนตัวสูงแอบอยู่หลังบานประตูทางเข้าของห้องครัว  พลางชะโงกมองคนที่กำลังทำอาหารอย่างมีความสุข  มือเล็ก ๆ  ที่กำลังหั่นผัก  ความหอมของอาหารที่ลอยฟุ้งขึ้นมาจากหม้อแกง  รอยยิ้มหวาน ๆ  ที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าสวย  ดูแล้วมันช่างเข้ากันเสียเหลือเกิน
   “ มีเมียทำกับข้าวเก่ง  มันก็ดีไม่น้อย...”  เผลอหลุดปากออกมา
                    อาเธอร์ลิสได้ยินเสียงแว่ว ๆ  มาจากทางด้านหน้าของห้องครัวเลยหันไปมอง
   “ คุณหลวง!  มาทำอะไรตรงนี้ครับ? ”  ถามออกไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
                   ฉิบหาย!
                   ถึงกับสบถในใจ  แต่ก็แสร้งทำหน้านิ่งเฉยไว้
   “ เอ่อ  ฉันหิวน้ำน่ะ! ”  แสร้งว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ตายจริง!  ผมลืมเอาน้ำไปให้คุณหลวงสินะครับ!  ผมต้องขอโทษท่านด้วยที่เสียมารยาท  รอสักครู่นะครับ  เดี๋ยวผมนำไปให้ที่ห้องรับแขก ”  ว่าออกไปอย่างนั้น  พลางยื่นมือไปเพื่อจะหยิบขันสีเงินสำหรับใส่น้ำ
   “ ไม่ต้องหรอก!  เอ็งทำกับข้าวให้เสร็จเสียเถอะ!  ค่อยเอามาพร้อมอาหาร  ฉันไม่ได้กระหายขนาดนั้น ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ แต่...”  พูดยังไม่ทันจบก็ถูกสวนขึ้นมา
   “ เอาตามนั้นล่ะ ”  ว่าออกไปเพียงแค่นั้นแล้วก็เดินกลับไปยังห้องรับแขก
                     อาเธอร์ลิสได้แต่ยืนงงกับการกระทำของขุนนางหนุ่ม  แต่ก็ทำตามที่อีกฝ่ายบอก  จึงตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารต่อให้เสร็จ  เพื่อจะได้นำไปตั้งโต๊ะให้กับขุนนางผู้เอาแต่ใจคนนั้นได้รับประทาน
                    ไม่นานเกินรอ  อาหารมากมายก็ถูกยกมาจัดเรียงบนโต๊ะบริเวณใจกลางของห้องรับแขก  ที่มีหลวงภาคินนั่งรออยู่  อาเธอร์ลิสลองเอาข้าวเหนียวมาหุงดู  เผื่อมันจะเข้ากับอาหารที่เขาทำวันนี้มากกว่าการนึ่งแบบข้าวเหนียว  เพราะคนสยามทั่วไปแล้ว  ไม่ค่อยรับประทานข้าวสวยกัน  ข้าวมื้อแรกที่ตกถึงท้องของเขาตอนที่เขามาถึงสยามก็คือข้าวเหนียวกับแกงส้มดอกแคที่เรือนของหลวงภาคิน  แต่พอมาอยู่กับเอมิลีก็ได้ลองกินข้าวสวย   เพราะเนื่องจากเอมิลีได้เข้าไปถวายงานในพระราชวังค่อนข้างบ่อย  จึงได้ลองกินในแบบของชาววัง  หล่อนลองซื้อข้าวเจ้ามาติดเรือนไว้ด้วย  และอาเธอร์ลิสก็ค่อนข้างชอบข้าวเจ้ามากกว่าข้าวเหนียวเสียอีก  เพราะมันกินง่าย  แต่เนื่องจากเขานำมาหุงบ่อยจนมันหมด  เลยไม่ได้หุงขึ้นโต๊ะในวันนี้  เลยลองเอาข้าวเหนียวมาหุงด้วยกรรมวิธีแบบข้าวเจ้าดู
                     พอจัดวางอาหารในตำแหน่งที่เหมาะสมเสร็จ  เด็กหนุ่มก็ตักข้าวเหนียวที่สวมรอยเป็นข้าวสวยในหม้อดินใส่จานให้หลวงภาคิน 
   “ ข้าวสวยหรอกรึ? ”  ว่าออกไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
   “ จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิงครับ! ”  ว่าพลางยิ้มแห้ง ๆ
   “ หึ? ”  อุทานออกมาเป็นเชิงถาม
   “ ที่จริงแล้ว... มันคือข้าวเหนียวครับ  แต่ผมลองเอามาหุงแบบข้าวเจ้าดู ”  พูดออกไปแบบนั้น
   “ แล้วทำไมเอ็งไม่เอาข้าวเจ้ามาหุงเสียเลยล่ะ!  มันจะไม่ทำง่ายกว่ากันรึ? ”  ว่าออกไปในเชิงคำถาม
   “ ที่จริงผมก็อยากทำแบบนั้นครับ  แต่มันหมด  พี่เอมีน่าจะซื้อมาตอนกลับมาจากพระนครวันนี้ครับ ”
   “ อือ ”  ขานรับกลับเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว
   “ หรือว่าคุณหลวงไม่ชอบหรือครับ?  ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะไปนึ่งแบบเป็นข้าวเหนียวมาให้นะครับ! ”  ว่าออกไปอย่างนั้น  เพราะเห็นอีกฝ่ายตอบออกมาเพียงสั้น ๆ
   “ ฉันยังไม่ได้พูดสักคำว่าไม่ชอบเสียหน่อย เอ็งนี่ชอบคิดเอง
เออเอง! ”  เอ็ดออกไปอย่างนั้น
   “ ขอโทษครับ ”  เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
   “ พอ ๆ  ฉันหิวมากแล้ว  ขืนรอเอ็งไปนึ่งข้าวมาใหม่  ฉันคงต้องกินเอ็งแทนข้าวจริง ๆ  นั่นล่ะ ” ว่าออกไปอย่างนั้น  พลางตักแกงรัญจวนตรงหน้าเข้าปาก
   “...”  นั่งดูเงียบ ๆ 
                   หลวงภาคินเห็นอาเธอร์ลิสนั่งนิ่งอยู่  จึงวางช้อนลงบนจานข้าวของตนเอง
   “ อ้าว!  เอ็งจะนั่งนิ่งเป็นหินอยู่ทำไม!  ตักข้าวสิ! ”  บอกออกไป
   “ ผมหรือครับ? ”  ถามออกไปพลางชี้นิ้วชี้เข้าหาตนเอง
   “ เออ!  ก็เอ็งนั่นล่ะ!  ทำมามากมายอย่างกับคนทั้งตระกูลมาขนาดนี้  ฉันจะกินคนเดียวหมดรึ! ”  เอ่ยเปรียบเทียบออกมา
   “...”  ยังนิ่งเงียบอยู่
   “ นิ่งอยู่ทำไม?  เร็วสิ!  ตักข้าวแล้วมานั่งกินซะ! ”  ในที่สุดก็ออกปากสั่ง
   “ คะ...ครับ! ”  รีบลุกไปเอาจานมาตักข้าวให้ตนเองตามคำสั่งของคนเผด็จการ
                     อาเธอร์ลิสรีบเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ของตนพร้อมกับจานข้าวที่เพิ่งไปตักมาสด ๆ  ร้อน ๆ  พลันมองไปยังคนที่กำลังเจริญอาหาร
   “ คุณหลวงชอบแกงรัญจวนหรือครับ? ”  ถามออกไปพลางส่งยิ้มหวานให้
   “ อือ ” ว่าพลางไม่มองหน้าคนถาม
   “ ดีใจจัง... ที่ผมทำสิ่งที่คุณหลวงชอบได้ ”  ยิ้มจนตาหยี
   “...”  ไม่ได้พูดอะไร
                      ก็รอยยิ้มของอาเธอร์ลิสน่ะ  มีผลต่อความรู้สึกของหลวงภาคินไปเสียทุกครั้งเลยล่ะสิ  โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว  รู้เพียงว่าทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มนั่น  มันทำให้ขุนนางหนุ่มผ่อนคลายได้  ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องเครียด ๆ มามากมายก็ตามแต่
   “ ขอฉันทานด้วยคนสิ! ”
                    เมื่อได้ยินเสียงปริศนาที่ดังมาจากทางประตูก็ทำให้อาเธอร์ลิสกับหลวงภาคินต้องหันไปมองยังต้นเสียงพร้อมกัน  ซึ่งก็พบว่าเป็นชายหนุ่มในชุดราชการ  ใบหน้าคมเข้ม  มีหนวดเคราเล็กน้อย  รูปร่างสูงใหญ่ไม่แพ้หลวงภาคินเลย  ยืนอยู่ตรงนั้นและกำลังจะเดินเข้ามาภายในห้องรับแขก
   “ หลวงเทพ! ”
                   อาเธอร์ลิสโพล่งออกไปเสียงดัง
   “...”  ไม่ได้พูดอะไร
                   หลวงภาคินได้แต่นิ่งเงียบมองคนที่กำลังเดินเข้ามา
   “ อือ!  ฉันเอง  ดีใจที่พ่ออลิสจำได้ ”
                   หลวงเทพพูดเสร็จก็เดินมาหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวข้าง ๆ อาเธอร์ลิส  ทำเอาหลวงภาคินจ้องคนมาใหม่ตาเขม็ง  แต่สหายคนสนิทกลับไม่รู้ตัวว่าตนกำลังถูกสายอาฆาตจ้องเขม็งอยู่
   “ โห!  อาหารน่ากินทั้งนั้นเลย  มากมายขนาดนี้  พ่ออลิสทำเองหรือ? ”  ถามออกไปพลางหันไปมองคนข้าง ๆ
   “ คะ...ครับ! ” ตอบกลับไปด้วยความเก้อเขิน
   “ ขอฉันทานด้วยคนสิ! ”  เอ่ยออกมาอย่างนั้นพลางยิ้มให้คนข้าง ๆ
   “ ดะ...ได้ครับ  ขอผมไปเอาจานสักครู่ ”  ว่าออกไปอย่างนั้น  พลางรีบลุกแล้วเดินไปยังห้องครัว
                    อะไรของผู้ชายคนนี้  เอาแต่พูดฉอด ๆ  อยู่ได้  ที่นั่งอยู่ไม่ได้มีเพียงอาเธอร์ลิสคนเดียวเสียหน่อย  เอาแต่สนใจแค่คนเดียว  สหายนั่งหัวโด่อยู่ทนโท่ไม่ยักจะทักสักคำ  หลวงภาคินคิดอย่างนั้น
   “ ทั้งน่ารักน่าเอ็นดู  ใบหน้าก็สวย  แถมยังทำกับข้าวเก่งอีก  จะหาที่ไหนได้อีก...”  ว่าพลางเหม่อยิ้ม  มองไปยังประตูที่คนตัวเล็กเดินออกไป
                    อะแฮ่ม!
                   หลวงภาคินแกล้งกระแอมออกมา  เมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอาแต่เหม่อมองตามหลังอาเธอร์ลิสไป
   “ ฉันก็อยู่นี่ทั้งคนนะ!  หลวงเทพ! ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
                   คนที่เอาแต่เหม่อลอยเมื่อครู่  พอได้ยินเสียงคุ้นหูเอ่ยขึ้นก็หลุดออกจากภวังค์ทันที  พลางหันมามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
   “ ขออภัย!  เพลินไปเสียหน่อย ”  ว่าพลางยกมือเกาหัวแก้เขิน
   “ ให้มันน้อย ๆ หน่อยความเจ้าชู้น่ะ!  หลวงเทพ! ” ว่าพลางจ้องอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ
   “ ฉันไม่ได้จะทำเจ้าชู้ใส่เสียหน่อย ”  ว่าออกไปพลางย่นคิ้วเข้าหากัน
   “....”  ไม่ได้พูดอะไรออกไป
   “ ฉันสนใจอลิสจริง ๆ ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ ฉันก็เห็นหลวงเทพพูดแบบนี้เสียทุกที ”
   “ โธ่! คุณหลวง!  แต่ครั้งนี้กระผมจริงจังนะขอรับ! ”  ว่าพลางทำสีหน้าจริงจัง
   “...”  ไม่พูดอะไร
                  อาเธอร์ลิสที่หายเข้าไปในห้องครัวได้สักระยะ  ก็กลับออกมาพร้อมกับจานใบใหญ่หนึ่งใบ  ขุนนางหนุ่มทั้งสองคนจึงหยุดการสนทนาลงเพียงเท่านั้น
   “ โห!  จานใหญ่ขนาดนั้น  ฉันคงอิ่มไปยังปีหน้าเลยกระมัง! ”  พูดแซวออกไปพลางยิ้มระรื่น
   “ ขอโทษด้วยครับ  ขนาดปกติผมนำมาใช้หมดแล้ว ”  พูดพลางตักข้าวใส่จานใบใหญ่
   “ ฉันแซวเล่นน่ะ!  อย่าขอโทษขอโพยเลย ”  ว่าพลางยิ้มให้คนที่กำลังตักข้าวใส่จานอยู่
   “ ได้แล้วครับ!  ข้าวของท่าน ”  ว่าพลางวางจานข้าวลงตรงหน้าคนที่นั่งอยู่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ  ก่อนจะแทรกตัวนั่งลงบ้าง
                   พอได้ข้าว  หลวงเทพก็ตักแกงฟักเข้าปากก่อนหนึ่งคำ  ก่อนจะลองตักมาราดบนข้าวบ้าง
   “ อือหือ...อร่อยมาก ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ เพิ่งรู้ว่าพ่ออลิสทำอาหารอร่อยขนาดนี้ ”  ว่าพลางหันมามองคนที่นั่งข้าง ๆ
   “ ชมเกินไปแล้วครับ ”  ตอบกลับไปด้วยสีหน้าประหม่า
   “ จริง ๆ  ไม่เกินไป ”  พูดแล้วก็ยิ้มให้คนตัวเล็กอีก
   “...”  ไม่ได้พูดอะไร
   “ คราวหน้าลองไปทำที่เรือนฉันบ้างสิ!  คุณแม่ฉันต้องชอบรสมือพ่ออลิสแน่ ๆ ”  พูดออกไปอย่างนั้น
                    แคก  แคก  แคก!
   “ คุณหลวง! ”
                  อาเธอร์ลิสโพล่งออกไปด้วยความตกใจ  เมื่อเห็นหลวงภาคิน  สำลักอาหารจนไอออกมา  จึงรีบวิ่งไปหาผ้าเช็ดปากมาให้อีกฝ่าย  พลางยกขันน้ำยื่นให้ขุนนางหนุ่มดื่ม
   “ คุณหลวงไหวไหมครับ?! ”  ถามออกไปพลางสีหน้ากังวล
   “ อือ  ฉันไม่เป็นอะไร  กลับไปนั่งที่เถอะ ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “  แต่ว่าคุณหลวง...”  พูดยังไม่ทันจบก็ต้องชะงัก
   “ ฉันบอกให้ไปนั่งที่อย่างไรเล่า! ”  สั่งออกมาจนได้
   “ ครับ ”  ขานรับอย่างหงอย ๆ
                 หลวงเทพที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่นานก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นบ้าง 
“ หลวงภาคินนี่ก็กระไร  คนเขาอุตส่าห์หวังดี  ใจร้ายไปนะ ”
   “...”  ไม่ได้พูดอะไรออกไป
                 หลวงภาคินเองก็รู้ว่าเขาพูดจารุนแรงกับอาเธอร์ลิสเกินไป  ก็จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ  ก็ปากมันไปไวเอง
                 ไม่ใช่ว่าหลวงภาคินไม่รู้จักสหายของเขาดี  ถึงขุนนางคนนี้จะเจ้าชู้ขนาดไหน  แต่ก็ไม่เคยพาใครขึ้นเรือน  ยิ่งพาไปพบคุณหญิงทิพย์ยิ่งแล้วใหญ่  แต่ครั้งนี้กลับเชิญชวนให้อาเธอร์ลิสไปที่เรือนเช่นนี้  อาจจะไม่ได้แค่หยอกเล่นเหมือนที่ผ่านมาก็เป็นได้  ยิ่งคิดแบบนี้แล้วก็ยิ่งหงุดหงิด
   “ นี่! พ่ออลิสอายุเท่าไรแล้วหรือ? ”  ถามออกไปเมื่ออีกฝ่ายกลับมานั่งข้าง ๆ
   “ ย่าง  18  ปีนี้ครับ ”  ตอบกลับไป
   “ โห!  ยังเด็กอยู่เลย  แต่เก่งงานบ้านงานเรือนขนาดนี้  หรือว่าถูกส่งไปเรียนในวัง? ”
   “ เปล่าครับ  พี่เอมีสอนผมทำครับ ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ อย่างนี้นี่เอง ”  พูดพลางทำหน้าครุ่นคิด
   “ ถ้าอย่างนั้นฉันจะเรียกอลิสว่า...น้อง...แทน...พ่อ....แล้วกัน ”  ว่าออกไปอย่างนั้น
   “ คะ...คุณหลวง! ”  อุทานออกมาด้วยความตกใจ
   “ นะ?  จะดีมากถ้าน้องเลิกเรียกฉันว่า...หลวงเทพกับคุณหลวงเสียที...”  ว่าออกไปอย่างนั้น  พลางยิ้ม
   “ ถ้าอย่างนั้นจะต้องเรียกอะไรหรือครับ? ” ถามพลางทำหน้างุนงง
   “ พี่เทพอย่างไรล่ะ! ”  ว่าออกไปอีกทั้งส่งยิ้มให้คนที่นั่งข้าง ๆ
   “ คงจะไม่ได้หรอกครับ! ”  ปฏิเสธไป
   “ อ้าว!  ทำไมล่ะ!? ”  ว่าด้วยสีหน้าตกใจ
   “ ผมอยากเรียกแบบเดิมจะสบายใจกว่าครับ ” ว่าออกไปอย่างนั้น
                ถอนหายใจยาวเฮือกออกมา  “ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจน้องก็แล้วกัน ”  พูดอย่างยอมจำนน
               หลวงภาคินเริ่มไม่พอใจกับการรุกหนักของสหายคนสนิทที่กำลังจะเกี้ยวพาราสีคู่แห่งโชคชะตาของตน  มือแกร่งจับช้อนสับข้าวในจานจนจะเละเป็นผงได้อยู่แล้วเชียว  พลางสายตาก็มองคนทั้งคู่อย่างไม่วางตา
               อาเธอร์ลิสสังเกตเห็นหลวงภาคินไม่ตักข้าวเข้าปาก  ซ้ำยังเอาช้อนสับข้าวที่เม็ดละเอียดจนจะกลายเป็นผุยผงได้อยู่แล้ว  ก็รู้สึกแปลกใจ
   “ อาหารไม่อร่อยหรือครับ? ”  ถามออกไปพลางทำหน้าหงอย
   “ ก็เปล่านี่! ”  ว่าออกไปเพียงแค่นั้น
                ได้ยินอาเธอร์ลิสถามมาเช่นนั้นจึงเลิกจ้องมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตนทั้งคู่  แล้วหันมาสนใจอาหารบนโต๊ะต่อ
   “...”
                 อาเธอร์ลิสไม่ได้พูดอะไรออกไป  เพราะอีกฝ่ายก็หันกลับไปรับประทานอาหารต่อเช่นเดิมแล้ว
   “ โห!  นี่น้องทำแกงรัญจวนเป็นด้วยรึ? ”
                หลวงเทพที่เงียบมาเสียนานก็โพล่งออกไปบ้าง  เมื่อสายตาไปสะดุดเข้ากับแกงรัญจวนที่ถูกจัดวางไว้ยังตำแหน่งตรงหน้าของหลวงภาคิน
   “ ก็พอได้ครับ  แต่คงสู้คนอื่น ๆ  ทำไม่ได้หรอกครับ ”  ตอบออกไปอย่างถ่อมตัว
   “ ไม่หรอก!  พี่ว่าต้องอร่อยกว่าของคนอื่นทำเป็นแน่ ”  ว่าพลางส่งยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
   “...”  ไม่ได้พูดอะไรออกไป
   “ พี่ขอลองชิมได้ไหม? ”  ถามออกไปอย่างนั้น
   “ กะ...ก็ได้อยู่หรอกครับ! ”  ว่าพลางเหล่ไปมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
   “ ถ้าอย่างนั้น จะชิมแล้วนะ! ”  ว่าพลางยกช้อนเตรียมจะไปตักแกงรัญจวนที่อยู่ตรงหน้าของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
                  ทันทีที่เห็นหลวงเทพจะเอาช้อนมาตักแกงรัญจวนที่อยู่ตรงหน้าของตน  หลวงภาคินก็ขยับชามที่มีแกงรัญจวนหนีมือขี้ขโมยนั้นในทันใด
   “ หลวงภาคิน!  นั่นท่านทำอะไร?! ”  โพล่งออกไปด้วยความตกใจ
   “...”  ไม่ได้พูดอะไรออกไป
   “ ฉันจะชิมแกงรัญจวนชามนั้น!  เอามาวางไว้ที่เดิมหน่อย  ฉันตักไม่ถึง ”  บอกอีกฝ่ายไป
   “ ของฉัน ”  พูดออกไปอย่างนั้น
   “ หา?  ว่ากระไรนะ? ”  ถามกลับไปด้วยความไม่แน่ใจ
   “ แกงรัญจวนชามนี้เป็นของฉัน  ฉันกินได้คนเดียว  ห้ามใครมายุ่มย่าม! ”  โพล่งออกไปอย่างนั้นพลางจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง
   “...”  พูดไม่ออก
                 อาเธอร์ลิสที่นั่งดูสิ่งที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารก็ถึงกับอึ้งกับภาพที่เห็น  ไม่คิดว่าหลวงภาคินจะชอบแกงรัญจวนมากขนาดนี้  หวงแม้กระทั่งกับสหายของตนเอง  แต่ก็เข้าใจล่ะนะว่าผู้ชายคนนี้ทำอะไรเอาแต่ใจอยู่แล้ว  คงไม่มีใครกล้าไปขัดใจเขาได้หรอก  นอกเสียจากคุณหญิงเพ็ญผู้เป็นมารดาของเขา  ซึ่งก็เอาแต่ใจเหมือนกัน  ลูกไม้คงหล่นไม่ไกลต้นอยู่แล้วล่ะ 
   “ แหม!  คุณหลวง  ฉันแค่จะชิมนิดหน่อยเอง!  ทำเป็นหวงไปได้! ”
                  หลวงเทพหลังจากที่เงียบอึ้งไปก็พูดขึ้นเชิงแซว ๆ  ออกมาอย่างนั้น
   “ อือ  ฉันหวง ”  ตอบออกไปเสียงเรียบ
   “ ขอรับ ๆ ฉันไม่ชิมแล้วก็ได้ ”   ว่าอย่างยอมจำนน
   “ อือ  ดี! ”  ตอบกลับไปเพียงแค่นั้น
        “ แกงฟักก็อร่อยเหมือนกันเนาะอลิส? ”  ว่าพลางหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้าง  ๆ
   “ คะ...ครับ! ” 
                    อาเธอร์ลิสหันไปมองหลวงภาคินที่นั่งหน้านิ่ง ๆ  ไม่พูดไม่จาอะไร  ก็ได้แต่คิดว่าตนไปทำอะไรขัดใจอีกฝ่ายอีกหรือเปล่า  หรือจะเป็นเพราะไม่พอใจที่ตนอนุญาตให้หลวงเทพชิมแกงรัญจวนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็อาจเป็นได้  เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้น
                    หลวงภาคินเห็นสายตาของอาเธอร์ลิสที่มองมาทางเขา  ไม่ต้องเดาก็รู้  คงจะคิดว่าขุนนางหนุ่มกำลังโกรธอะไรอยู่เป็นแน่  ไม่ผิดหรอก  ที่โกรธน่ะ  มันสหายหน้ามึนคนนั้นต่างหากล่ะ  ทำตัวยุ่มย่ามตั้งแต่เข้ามาแล้ว  ส่วนไอ้เด็กนี่ก็ซื่อบื้ออยู่ได้  และมิหนำซ้ำยังอนุญาตให้ขุนนางคนนั้นมายุ่งกับแกงรัญจวนอีก
                     กล้าดีอย่างไรที่ให้คนอื่นมาแตะต้องของ ๆ  ฉัน!  แกงรัญจวนของฉัน  ห้ามให้ใครมายุ่มย่าม!  รู้เอาไว้ซะ!  ไอ้คนหัวทึ่ม!
                                                                                     :กอด1:
                                                              มาต่อแล้วงับบบ  คุณหลวงคนปากไม่ตรงกับใจ
                                                 พูดคุย+ทวงนิยาย+จองหนังสือกันได้ที่  เฟสบุ๊คเพจ : KesornSama

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-12-2017 23:04:56 โดย KesornSama »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด