บทที่ 13: ตกหลุมรัก
มีใจปฎิพัทธ์ต่อท่านหมออย่างนั้นหรือ?
สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่จ้าวจื่อถงคิดไม่ตก เขาไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งใดกับบุรุษด้วยกัน แม้แต่ตอนที่ต้องออกศึกนานแรมปี เขาก็หาได้เคยทำอย่างที่แม่ทัพนายกองนายอื่นทำ ไม่เคยเข้าใกล้หรือสนิทสนมกับนายทหารชั้นผู้น้อยคนใดเป็นพิเศษให้เป็นที่ครหา อย่างที่เคยบอกว่าการกระทำเหล่านั้นล้วนแล้วเป็นการทำให้กองทัพเสียระเบียบ แต่เมื่อได้มามีความสัมพันธ์กับลีจีซอง เขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเขาไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป
วันทั้งวันเอาแต่นั่งมองลีจีซอง...
ใช่ เป็นเช่นนั้น บุรุษรูปงามผู้นั้นช่างยากต่องานละสายตาเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะเยื้องย่างไปทางใด ล้วนแล้วชวนมองทั้งสิ้น จากที่เคยเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องเพราะรำคาญใจจากการถูกสายตาของเหล่าคนไข้โรงหมอจับจ้อง บัดนี้กลายเป็นว่าเขาออกมานั่งท้าสายตาให้ใครต่อใครได้ชื่นชมความสง่างามของเขาโดยไม่แยแสต่อสิ่งใด
เพราะเขามีสิ่งที่ต้องสนใจมากกว่าสายตาของคนไข้เหล่านั้น...
นั่งมอง...ตั้งแต่เช้าจรดเย็น จนกระทั่งลีจีซองเสร็จสิ้นหน้าที่ในวันนี้ บทสนทนาของทั้งสองจึงได้เริ่มต้นขึ้น
“มีสิ่งใดอย่างนั้นหรือ เจ้าถึงได้เอาแต่นั่งมองข้าไม่วางตาเช่นนี้”
เป็นลีจีซองที่เอ่ยทักพร้อมกับเดินหอบกระบุงสมุนไพรตากแห้งสำหรับบดเข้ามาใกล้ จ้าวจื่อถงยืดตัวขึ้นเล็กน้อยก่อนส่ายหน้า
“ไม่มีสิ่งใด”
“ไม่มี? แล้วเหตุใดถึงได้มองข้าทั้งวี่ทั้งวันราวกับว่าข้าเป็นของแปลกกันเล่า”
ก็เพราะว่าท่านรูปงามเย้ายวนตา...
จ้าวจื่อถงอยากจะตอบเช่นนี้นัก แต่เห็นว่าไม่สมควรสักเท่าไร
ไม่ใช่ว่าไม่สมควรที่จะพูดให้ลีจีซองรับรู้หรอกนะ แต่เป็นเพราะมันจะทำให้เขาเสียหน้าต่างหาก ถ้าพูดไป มีหวังคนตรงหน้าก็รู้หมดน่ะสิว่าเขาหลงใหลลีจีซองเพียงใด!
“หืม? ว่าอย่างไร ตกลงแล้วเจ้ามองข้าไม่ละสายตาด้วยเหตุใด”
เห็นว่าแม่ทัพหนุ่มไม่พูดก็ถามซ้ำ จ้าวจื่อถงจึงยอมพูดออกมาจนได้
“ใช่ ข้าเป็นว่าท่านประหลาดดี ข้าก็เลยมอง”
คนฟังถึงกับร้อง ‘หืม?’ ดังขึ้นมาในลำคอ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นหัวเราะร่วนเมื่อเห็นว่าจ้าวจื่อถงแสร้งตีหน้านิ่ง
“ข้าก็หลงคิดไปว่าที่เจ้าจ้องมองข้าไม่วางตา เป็นเพราะเจ้ามีใจปฏิพัทธ์ต่อข้าเสียอีก”
เอาอีกแล้ว ว่าเย้าเช่นนี้อีกแล้ว ไม่รู้หรือไรว่าทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของคนฟังมันเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ
จ้าวจื่อถงรู้สึกร้อนผะผ่าวขึ้นมาที่ใบหน้า ถึงจะไม่แสดงสีหน้าใด แต่ความเรื่อแดงที่ค่อยๆ ฉายออกมาให้เห็นก็ทำให้ลีจีซองรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเขินอายอยู่ หากแต่ก็ไม่พูดล้อเลียนในทันที วางของในมือลงบนโต๊ะใกล้ๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างแม่ทัพหนุ่ม
“ที่เจ้าเงียบไป ไม่ตอบสิ่งใดกลับมา หรือว่าจะเป็นเพราะเจ้ามีใจให้ข้าจริงๆ?”
จ้าวจื่อถงขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปมองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังแย้มยิ้ม
“เหตุใดท่านถึงได้บีบให้ข้าพูดว่ามีใจปฏิพัทธ์ต่อท่าน?”
ลีจีซองเลิกคิ้วสูง พลันว่ากลั้วหัวเราะ “ข้าไม่ได้บีบ”
“คำก็มีใจปฏิพัทธ์ คำก็ตกหลุมรัก เมื่อครู่ก็เพิ่งพูดว่าข้ามีใจให้ท่าน อย่างนี้หรือที่ว่าไม่ได้บีบ?”
เขาไม่ได้บีบให้พูดจริงๆ เพียงแต่...พยายามปูทางให้ไปทางนั้นเฉยๆ
“แล้วเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้นหรือ”
ท่านหมอก็ยังเป็นท่านหมอ ยั่วเย้าเก่งอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น จ้าวจื่อถงชินแล้วกับความเจ้าเล่ห์แสนกลและเล่นลิ้นเก่งเช่นนี้ เขารู้ดีด้วยว่าต่อให้เถียงคอแทบแตกอย่างไร เขาก็ไม่มีวันเอาชนะบุรุษผู้นี้ได้
แม่ทัพที่เก่งกาจเรื่องกลศึกต่างๆ กลับต้องมาพ่ายให้แก่ความเจ้าเล่ห์ของหมอต่ำต้อย
ช่างน่าขำนัก!
โดยปกติแล้ว จ้าวจื่อถงไม่ยอมให้ผู้ใดมาท้าทายหรือปั่นหัวเขานักหรอก แต่ในยามนี้เขากลับศิโรราบแต่โดยดี
หาใช่เพราะลีจีซองมีพระคุณ
หาใช่เพราะว่าเขาไม่รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า
แต่เป็นเพราะ... เขาหลงใหลอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวไปแล้ว
แม่ทัพหนุ่มคิดเช่นนั้น แม้อยากจะปฏิเสธ แต่ก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ตั้งแต่เจ้ามังกรน้อยถูกระรานจนเผลอไผลมีความสัมพันธ์กัน ถึงจะเป็นเพียงแต่ภายนอก ทว่าจ้าวจื่อถงก็มิอาจสลัดลีจีซองออกจากใจได้อีกต่อไปแล้ว
บางทีเขาอาจจะตกหลุมรักท่านหมอผู้ต่ำต้อยคนนี้จริงๆ...
ดวงตาเรียวจับจ้องไปยังใบหน้าได้รูปของหมอหนุ่ม ไม่ว่าจะพินิจอย่างไร ลีจีซองก็รูปงามชวนให้หลงใหลจริงๆ นั่นล่ะ ทั้งดวงตาดุจพญาเหยี่ยว จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากหนาชวนให้ลิ้มลอง ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ยั่วยวนให้หลงใหลทั้งสิ้น
“จื่อถง... เหม่ออะไรอยู่”
จ้าวจื่อถงได้สติอีกครั้งเมื่อลีจีซองโบกมือไหวๆ ตรงหน้า เขาละสายตาจากใบหน้าของอีกฝ่ายเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหัว
“ไม่มีสิ่งใด”
เห็นอยู่ว่ามีแน่ แต่ดูท่าไม่อยากบอก ลีจีซองจึงไม่ได้ถามตรงๆ ยืดตัวขึ้นแล้วเอ่ยลอยๆ
“วันนี้เจ้าดูแปลกไปนะ”
“แปลกอย่างไร”
“เจ้าดูไม่เป็นตัวของตัวเอง”
ได้ยิน จ้าวจื่อถงก็นิ่งไป
แน่ล่ะ อันที่จริงเขาไม่เป็นตัวของตัวเองมาหลายวันแล้ว
“อาการของเจ้าดูเหมือนคนมีความรัก”
และลีจีซองก็ทำให้รอยยับย่นที่หัวคิ้วของจ้าวจื่อถงปรากฏขึ้นอีก แม่ทัพหนุ่มถึงกับว่าเสียงขุ่นทันที
“พูดจาเลอะเลือน ข้าไม่ได้มีความรักเสียหน่อย”
ยิ่งปฏิเสธก็ยิ่งหน้าแดงเรื่อ มิหนำซ้ำยังเบือนหน้า หลุบสายตาหนี
ท่าทางนั้นช่างน่าเอ็นดูนัก ลีจีซองเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหยอกเย้าตามประสา
“ข้าก็แค่ว่าไปตามจริง”
แต่ก็ใช่ว่าคนฟังจะรับความจริงได้นี่ว่ามีใจให้กับบุรุษด้วยกัน มิหนำซ้ำยังเป็นคนของแคว้นกบฏอีก!
จ้าวจื่อถงไม่พูดสิ่งใด เอาแต่ทำหน้ามุ่ย ลีจีซองจึงทำลายความเงียบอีกครั้ง
“หรือที่เจ้าเหม่อลอย จะคิดถึงแผ่นดินเกิดของเจ้า?”
จู่ๆ ก็พูดเรื่องนี้ออกมา จ้าวจื่อถงหันกลับมามองผู้พูดอีกครั้ง ก่อนจะพบกับรอยยิ้มที่ประดับพรายอยู่บนใบหน้าอีกฝ่าย
“ข้าจำได้ว่าเจ้าบอกว่าหากหายดีแล้ว เจ้าจะรีบกลับไปยังต้าหมิงทันที นี่เจ้าก็เกือบจะหายดีแล้ว เจ้าคงคิดหาทางกลับไปยังบ้านเกิดอยู่กระมังถึงได้เหม่อลอยเช่นนี้”
ไม่ใช่...
ไม่ใช่เลย...
จ้าวจื่อถงไม่ได้คิดอย่างนั้นสักนิด น่าประหลาดใจอยู่เหมือนกัน เขาเองก็ไม่คิดว่าความตั้งใจในตอนแรกจะมลายหายไป ครั้งแรกที่หมายจะอยู่ที่นี่ต่อ เป็นเพราะตั้งใจว่าจะสืบเสาะหาเบาะแสเกี่ยวกับการชิงตัวพระสนมกุ้ยเฟยเยว่ฉี ทว่าในยามนี้... เรื่องนั้นก็ไม่มีอยู่ในหัว มีแต่คิดที่จะอยู่กับท่านหมอไปวันๆ อย่างเดียวเท่านั้น
แต่...จะให้พูดไปตามตรงก็คงจะไม่ได้ เขาเป็นถึงแม่ทัพ ปฏิบัติหน้าที่ไม่สำเร็จ ซ้ำยังละทิ้งหน้าที่ บรรพบุรุษของเขาในปรโลกของร้องสาปส่งกันเสียงขรมแล้วกระมัง
“อยากกลับไปต้าหมิงแล้วใช่หรือไม่”
คำถามที่ดังขึ้นมาอีกครั้งทำให้จ้าวจื่อถงระบายลมหายใจออกมา
เห็นทีเขาคงต้องพูดอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นคงถูกถามไม่เลิกราแน่ๆ
“ข้าไม่ได้อยากกลับ”
“แล้วเจ้าเหม่อสิ่งใด”
“เป็นเพราะท่านนั่นล่ะที่ทำให้ข้าเหม่อลอย”
แล้วก็หลุดปากพูดออกมาจนได้ สิ่งนี้ล่ะที่ลีจีซองอยากได้ยินที่สุด แต่ก็แสร้งทำว่าประหลาดใจ ร้องถามอย่างไม่ประสา
“เป็นเพราะข้าอย่างนั้นหรือ”
จ้าวจื่อถงเริ่มหงุดหงิดน้อยๆ แล้ว เขาไม่ได้หงุดหงิดคนตรงหน้า แต่หงุดหงิดตัวเองที่มิอาจควบคุมอารมณ์หลงใหลที่มีต่อลีจีซองได้ต่างหาก
“เป็นเพราะท่าน”
กระนั้นก็ยอมรับโดยศิโรราบ...
“ข้าบอกแล้วว่าเจ้ามีใจปฏิพัทธ์ต่อข้า”
ลีจีซองกลั้วหัวเราะ วกกลับมาเรื่องนี้จนได้ จ้าวจื่อถงเองก็ไม่เถียง
อย่างที่คิด... บางทีเขาคงจะมีใจให้กับคนตรงหน้าจริงๆ นั่นล่ะ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงจะต้องไล่ต้อนให้เขาพูดคำนี้ออกมาจนได้
“ท่านสนุกนักหรือที่เห็นข้าหลงใหลท่าน ถึงได้ไล่ต้อนให้ข้ายอมรับเรื่องนี้ให้จงได้”
เห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของอีกฝ่าย ลีจีซองก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม
“ข้าไม่ได้สนุก”
“แล้วทำไม...”
“แต่เป็นเพราะข้าเองก็คิดเช่นเจ้า”
จ้าวจื่อถงชะงักงัน
เมื่อครู่...บอกว่าก็คิดเช่นเดียวกับเขาอย่างนั้นหรือ?
หมายถึงสิ่งใด... จ้าวจื่อถงขบคิดให้วุ่น ก่อนจะค่อยๆ รู้สึกวูบวาบในกายทีละน้อย
ลีจีซองกำลังหมายถึง...
...มีใจปฏิพัทธ์เช่นเดียวกับเขา
เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน เพราะต่อให้บทสนทนาเริ่มต้นจากการหยอกเล่น แต่น้ำเสียงและแววตาของหมอหนุ่มก็บ่งบอกชัดเจนว่าที่พูดไปเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องจริงจังอย่างถึงที่สุด
จ้าวจื่อถงเลิ่กลั่กไปทันตา ทำสิ่งใดต่อไม่ถูก แม้แต่คำพูดก็อับจนถ้อยคำ จนลีจีซองต้องเป็นฝ่ายปลอบโยน
“ตกใจอย่างนั้นหรือ”
ไม่พูดเปล่า ยังยื่นมือมาเกาะกุมฝ่ามือหยาบกร้านของอีกฝ่าย จ้าวจื่อถงเม้มริมฝีปากพลันส่ายหน้า
“หากไม่ได้ตกใจ แล้วเหตุใดเจ้าถึงนิ่งงันไปเล่า”
“เป็นเพราะข้า...ไม่ทันตั้งตัว” จ้าวจื่อถงว่าไปตามจริง ก่อนสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ “ตั้งแต่เมื่อไร”
“ตั้งแต่เมื่อไรอะไร”
“ตั้งแต่เมื่อไรที่ท่านมีใจให้ข้า”
ลีจีซองรู้ว่าจะโดนถามว่าอะไร เขาแค่อยากจะทำให้มั่นใจเท่านั้นว่าถูกถามคำถามนี้จริงๆ ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างเกลี่ยปอยผมที่ปรกใบหน้าคร้ามคมของจ้าวจื่อถง
“ตั้งแต่เมื่อไรหาได้สำคัญ สำคัญที่ว่าข้าคิดตรงกันกับใจเจ้า”
ริมฝีปากที่ขยับบอกประโยคนี้ช่างน่าสัมผัสยิ่งนัก จ้าวจื่อถงใจเต้นระส่ำราวกับกลองศึก เขาเพิ่งจะรู้ในเวลานี้เองว่าความรู้สึกของคนหนุ่มสาวยามมีความรักเป็นเช่นไร เพราะเขาเอง...ก็กำลังมีความรัก ต่อให้เป็นบุรุษด้วยกัน เขาก็ไม่สนใจเท่าไรนัก รู้เพียงแต่ว่าท่านหมอตรงหน้ากำลังปั่นหัวเขาอย่างที่สุด
“ข้าไม่คิดว่าหมอเช่นท่านจะเกี้ยวผู้ใดได้ดีถึงเพียงนี้”
จ้าวจื่อถงว่าแก้ขัดเขิน ทำเอาลีจีซองหัวเราะน้อยๆ
“ข้าก็ไม่คิดเช่นกันว่าสักวันจะได้พูดถ้อยคำเหล่านี้”
“แสดงว่าท่านหาได้เคยเกี้ยวผู้ใดมาก่อนหรือ”
ลีจีซองพยักหน้า “เจ้าคือคนแรก”
คนแรก...
เหตุใดคำคำนี้ถึงได้ทำให้ในอกชุ่มฉ่ำถึงเพียงนี้กันนะ
จ้าวจื่อถงถึงกับยอมวางทิฐิลง ก่อนหน้านี้ที่เคยผลักไสหรือไม่ยอมรับความรู้สึกนี้ บัดนี้ล้วนแล้วยอมรับโดยดุษณีทั้งสิ้น
เขาตกหลุมรักคนตรงหน้าจริงๆ ด้วย...
ตั้งแต่เมื่อไรนั้น...เขาเองก็มิอาจรู้ได้เช่นกัน รู้เพียงแต่ว่าคนตรงหน้าทำให้เขาอยากจะละทิ้งหน้าที่ทุกอย่าง แล้วอยู่เคียงข้างกับคนผู้นี้ตราบชีวิตจะหาไม่ แม้จะต้องอยู่บนแผ่นดินโชซอน เขาก็ยินดียิ่ง ต่อให้ถูกตราหน้าว่าละทิ้งแผ่นดินเกิด เขาก็ไม่อยากจะสนใจ ขอเพียงให้ได้อยู่กับอีกฝ่ายเท่านั้น
รู้ว่าเป็นความคิดโง่งม แต่จ้าวจื่อถงก็มิอาจปฏิเสธความรู้สึกในจิตใจได้ เขากระชับมือที่กำลังจับตนอยู่แน่น พลันขยับใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่ายจนปลายจมูกอยู่ห่างกันเพียงช่วงนิ้วเดียว
“ข้าตกหลุมรักท่าน”
แม่ทัพหนุ่มสารภาพออกไปอย่างสัตย์ซื่อ
เขายอมแล้ว...
ยอมรับและยอมศิโรราบ...
เขาตกเป็นทาสของท่านหมอผู้นี้แล้ว
ลีจีซองยิ้มอย่างพึงใจ ประคองใบหน้าของจ้าวจื่อถงให้เข้ามาใกล้กว่าเดิม
“ข้ารอให้เจ้าพูดคำนี้มานานแล้ว”
เขากระซิบเสียงพร่า สิ้นเสียงก็บรรจงจุมพิตลงมายังริมฝีปากหนา
จุมพิตในครั้งนี้ช่างเย้ายวนใจ ต่างฝ่ายต่างค่อยๆ ลิ้มชิมรสของกันและกัน ครั้นประกบแนบแน่นก็สอดแทรกปลายลิ้น เกี่ยวกระหวัดโรมรันราวกับหมายจะเป็นหนึ่งเดียว
เนิ่นนาน...และลึกซึ้ง...
จ้าวจื่อถงเกือบลืมหายใจ เมื่อผละออกจากกันก็ล้วนแล้วเป็นไปอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาที่สบประสานเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะพรรณนา ชั่วแวบหนึ่งจ้าวจื่อถงก็รู้สึกตัวขึ้นมาว่าแม่ทัพที่ไร้ซึ่งผู้ใดในสกุลให้ปกป้องเช่นเขา บัดนี้มีคนตรงหน้านี่ล่ะที่เขาอยากจะปกป้อง ก่อนที่ทั้งคู่จะรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูของใครบางคน
“เอ่อ...”
บุรุษทั้งสองหันไปยังต้นเสียงก็พบว่าเป็นยองแจที่ยืนเงอะๆ งะๆ อยู่ตรงหน้า
“คือว่า...ใต้เท้าคิมมาขอพบน่ะขอรับ”
ยังไม่ทันจะได้ถาม ยองแจก็รีบบอกออกมาแล้ว พูดไป หน้าก็แดงแจ๋ไป ดูท่าคงจะเห็นภาพของคนทั้งคู่เต็มสองตา
“ใต้เท้าคิมอยู่ไหนล่ะ”
เป็นลีจีซองที่เบี่ยงเบนความสนใจ ยองแจชี้นิ้วไปทางหน้าโรงหมอที่ปิดอยู่ เท่านั้นท่านหมอออกคำสั่ง
“ไปเชิญเข้ามา ประเดี๋ยวข้าตามไป”
ยองแจไม่อยู่ให้ถูกไล่ไปทำหน้าที่อีกครั้ง รีบก้าวออกไปจากตรงนั้นด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้ลีจีซองได้ล่ำลากับจ้าวจื่อถง
“ไว้คืนนี้ ข้าจะไปหาที่ห้อง”
สิ้นเสียงก็ประทับจูบลงบนหน้าผาก ก่อนจะผละจากไปพบกับใต้เท้าคิมที่ปรากฏกายในโรงหมอ
จ้าวจื่อถงมองตามแล้วก็เผลอยกยิ้มที่มุมปาก
ไม่ต้องให้มาหาที่ห้องหรอก เพราะเขานี่ล่ะที่จะเป็นฝ่ายอดใจไม่ไหวแล้วไปหาถึงที่ก่อน
เห็นทีราตรีนี้คงไม่ได้นอนหลับง่ายๆ อย่างแน่นอน
________________________
มาๆ หายๆ 555 หลังนี้คงมาถี่ๆ ได้แล้วค่ะ งานราษฎร์จบละ เหลือแต่งานหลวง
ฝากกำลังใจไว้ด้วยนะคะ