ผลประโยชน์ทับซ้อน
By: Dezair
………………….
ตอนที่ 12
อรรณพ นิสิตปีสี่ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือที่ใครๆก็รู้จักกันดีในนาม ‘พี่เวฟ’ ก้าวเท้าออกจากโรงอาหารโดยมีจุดหมายปลายทางที่ห้องสมุด ชีวิตนิสิตปีสี่ไม่ค่อยวุ่นวายอีกแล้ว แต่...ก็ยังมีน้องรหัสที่ต้องคอยดูแล ชีวิตของอรรณพก็เลยยังคงวนเวียนเช้า สาย บ่าย เย็นที่คณะอยู่ดี
“พี่เวฟ...” เสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาชายหนุ่มปีสี่ต้องหันมอง หญิงสาวร่างเล็กป้อมผมหยิกวิ่งดุ๊กๆมาหาเขา
“วันนี้มีเรียนเหรอพี่ เข้าคณะด้วย?” ทิฆัมพรตั้งคำถามเมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้า หล่อนเป็นน้องรหัสของสิตางศุ์ หรือนับง่ายๆก็เป็นหลานรหัสของเขาเอง
“เปล่า แต่ตอนเย็นจะไปช่วยติวน้องปีหนึ่ง”
ช่วงนี้ใกล้ปลายภาคเข้าไปทุกทีแล้ว โครงการพี่ติวน้องของคณะรัฐศาสตร์กลับมาอีกครั้ง อรรณพย่อมต้องแวะมาสอดส่องดูแล ตามประสา ‘ผู้มีบารมีแห่งรัฐศาสตร์’
หญิงสาวปีสองยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เห็นว่าเพิ่งจะบ่ายโมงตรง
“ติวน้องปีหนึ่งมันห้าโมงไม่ใช่เหรอ”
“เออ...” ใจอยากตอบแค่นั้น แต่สายตาของน้องในสายรหัสทำเอาอรรณพพ่นลมหายใจแล้วยอมพูดต่อ “...แต่จะไปหาไอ้โซ่ที่ห้องสมุดก่อน พักนี้ลางไม่ดี รู้สึกเหมือนมีคนจ้องจะงาบมันอยู่” คราวนี้ทิฆัมพรหัวเราะร่วน
“ใครๆก็จ้องพี่โซ่ทั้งนั้นแหละ พี่รหัสฟางน่ะเขาสเป็คสาธารณะ”
“รู้ว่าไอ้โซ่มันสเป็คสาธารณะ แต่คราวนี้แม่งมากกว่าทุกที คนแรกก็ไอ้กอล์ฟ ปกครอง รุ่นเรานั่นแหละ ไอ้นี่จ้องไอ้โซ่มาตั้งแต่ปีก่อนแล้ว ส่วนอีกคน...ยังไม่แน่ใจ แต่รู้สึกว่าจะเจอมันบ่อย...”
ตัวละครลับที่อรรณพยังไม่อยากฟันธงแต่ซุ่มสังเกตการณ์อย่างเงียบๆนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ ‘โจ๊ก ปกครอง’ แต่...ใครๆก็ว่ามันไม่ค่อยสนใจอะไร อรรณพก็อยากให้มันไม่มาสนใจน้องรหัสของเขาเหมือนกัน แต่ไม่รู้ทำไม พักหลังมานี่ เขาถึงเห็นมันวนเวียนอยู่รอบตัวสิตางศุ์บ่อยเหลือเกิน!
“อาจจะเนื้อคู่พี่โซ่ก็ได้นะ”
“จะเนื้อคู่เนื้อคี่ ไอ้โซ่ก็ยังไม่พร้อมอยู่ดี ยิ่งใกล้ปลายภาคแบบนี้ มันจะแดกชีทแทนข้าวแล้วมั้ง แล้วนี่เราจะไปไหน” อรรณพวกกลับมาถามเรื่องของหญิงสาวตรงหน้าแทน
“ไปกับพี่เวฟ” หนุ่มรุ่นพี่ปีสี่เลิกคิ้วเล็กน้อย แต่พอเจ้าหล่อนยิ้ม เขาก็ไม่ถามอะไรต่อ ก้าวเท้าเดินตรงไปยังห้องสมุด มีหญิงสาวร่างป้อมตามไปด้วย
ไม่ใช่แค่เรื่องลางสังหรณ์เกี่ยวกับน้องรหัสอย่างสิตางศุ์หรอก แต่เขาก็ชักเอะใจพฤติกรรมของหลานรหัสอย่างทิฆัมพรเช่นกัน พักหลังมานี่หล่อนตามติดเขาแจ
“พี่เวฟจะไปนั่งกับพี่โซ่ใช่มั้ย เดี๋ยวฟางตามไปนั่งด้วยนะ” หล่อนหันมาบอก ตอนเข้ามาในห้องสมุดแล้ว
สิตางศุ์สเป็คสาธารณะนั่งอยู่เพียงลำพังที่โต๊ะขนาดสี่ที่นั่ง ไม่มีคนเข้าไปนั่งด้วย แต่...หลายสายตามองตรงไปที่คนผิวขาวจัดรายนั้น
อรรณพพยักหน้า แยกกับหลานรหัสที่เลี้ยวเข้าซอกระหว่างตู้หนังสือ ส่วนตนเองตรงดิ่งไปหาสิตางศุ์ สายตาหลายคู่ที่มองมา พากันหลบวูบเมื่อเขาปรากฏตัว
“อ้าว พี่เวฟ” ส่วนคนที่เอาแต่อ่านหนังสือจนไม่รับรู้สายตาใครเงยหน้าขึ้นมามองเขาแล้วส่งยิ้มอ่อนๆมาให้ ช่วงใกล้สอบ ใกล้ส่งเปเปอร์ก็แบบนี้ สิตางศุ์คนขยันแทบไม่ละไปจากหนังสือที่ต้องอ่านสอบและใช้ประกอบการทำรายงานเลย
อรรณพทรุดตัวลงนั่งร่วมโต๊ะด้วย กวาดตามองสารรูปน้องรหัสเป็นอย่างแรก
“แดกข้าวรึยัง”
“กินแล้ว แต่...ไม่ค่อยเยอะ กินไม่ค่อยลง เปเปอร์อาจารย์พุธยังไม่เสร็จเลย” เจ้าตัวสารภาพ หรือต่อให้ไม่สารภาพ อรรณพก็คิดว่าน้องรหัสของเขาดูซูบลงไปเยอะทีเดียว
“เปเปอร์แม่งก็ไม่มีทางเสร็จอยู่แล้วเปล่าวะ ถ้ามึงไม่ตัดใจส่ง”
“ผมส่งไม่ได้นี่นา รู้สึกว่ามันยังไม่ดีพอ”
“แต่ยังไงมึงก็ต้องส่งอยู่ดี แล้วเดธไลน์เมื่อไร”
“หลังไฟนอลวันสุดท้าย 7 วัน” อรรณพพยักหน้ารับรู้ เรื่องเปเปอร์ของนิสิตคณะรัฐศาสตร์ล้วนเป็นของคู่กันจนไม่ต้องให้กำลังใจกันและกันอยู่แล้ว คราวนี้เขาก็เลยเหลือบมองไปซ้ายบ้างขวาบ้าง พบว่าไอ้พวกหนุ่มๆทั้งหลายที่เคยนั่งอยู่ใกล้ๆโต๊ะของสิตางศุ์หายหัวไม่เหลือแม้แต่เงา!
แต่...มีใครบางคนไม่หายไปไหน มันยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างหลังของสิตางศุ์ อรรณพจำได้ว่าตั้งแต่เขานั่ง ก็ไม่มีใครเดินมานั่งแถวนี้อีก แสดงว่า... ‘มัน’ นั่งอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่แรก และพอเขามา ‘มัน’ ก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม ทำเป็นก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์
“มองไรเหรอ” สิตางศุ์เห็นสายตาพี่รหัสก็เอี้ยวตัวไปด้านหลัง เห็นเพื่อนร่วมคณะแต่ต่างภาควิชานั่งอยู่เพียงลำพังและดูเหมือนจะไม่สนใจใครด้วยซ้ำ นอกจากโทรศัพท์ในมือ
“โจ๊กนี่...นั่งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
“มึงไม่รู้เหรอ ว่ามันนั่งข้างหลังมึง” คนเป็นพี่รหัสที่มีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีเอ่ยปากถาม สิตางศุ์หันกลับมาแล้วส่ายหน้า
“ไม่รู้หรอก อ่านชีทอยู่” แล้วก็ยกเอกสารในมือให้ดู เห็นพฤติกรรมการอยู่ในโลกที่มีแต่หนังสือและการเรียนของน้องรหัสแล้ว อรรณพก็ไม่อยากจะถามอะไรอีกเลย แต่...ทิฆัมพรก็เป็นน้องในสายรหัส มีอะไรก็น่าจะช่วยกันดู ช่วยกันสังเกต
“แล้วมึงรู้เรื่องไอ้ฟางบ้างมั้ย” เขาตั้งคำถาม ทำเอาคนที่กำลังจะก้มหน้าอ่านเอกสารประกอบการเรียนต้องเงยหน้ามอง
“ฟางทำไม?”
“กูรู้สึกว่าพักนี้มันตามกูตลอด กูไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกนะ แต่กูว่ามันหลุกหลิก”
“ยังไง”
“เหมือนหนีใครแล้วเอากูมาบังหน้า” สิตางศุ์กะพริบตาปริบๆ
“น้องจะหนีใครล่ะ? หรือมีคนจะทำร้าย?!”
“กูก็ไม่รู้” สิตางศุ์เองก็จนปัญญาได้แต่ส่ายหน้าเช่นกัน
“ถามปกดีมั้ย ปีหนึ่งกับปีสองน่าจะเจอกันบ่อยกว่าพวกเรา ปกอาจจะรู้” อรรณพพยักหน้าเห็นด้วย สิตางศุ์เลยวางเอกสารในมือลงแล้วหันไปวุ่นวายอยู่กับการติดต่อน้องรหัสปีหนึ่งอย่างปกฉัตร คนเป็นพี่เลยมีโอกาสมองไปที่โต๊ะด้านหลังอีกครั้ง
‘โจ๊ก ปกครอง’ ยังคงนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่เหมือนเดิม ก้มหน้าก้มตาเหมือนไม่สนใจโลก
แต่...โทรศัพท์น่ะ เล่นที่ไหนก็ได้ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมต้องมานั่งเล่นข้างหลังสิตางศุ์
อรรณพหรี่ตาอย่างจับผิด แต่อีกฝ่ายก็นิ่งเกินกว่าเขาจะจับสังเกตใดๆได้ แต่ถึงจะจับสังเกตไม่ได้ พี่รหัสที่ตามดูแลสิตางศุ์มาตั้งแต่น้องเข้าปีหนึ่งก็ต้องคอยกันเอาไว้ดีกว่ามาตามแก้ทีหลัง!
“โซ่ เดี๋ยวเย็นนี้มึงอยู่ดูติวน้องกับกูนะ เสร็จแล้วกูจะพาไปกินข้าวแล้วพาไปส่ง!”
ตัดกำลังคู่ต่อสู้ในทุกๆทางคืองานของอรรณพ ไม่ว่า ‘โจ๊ก ปกครอง’ จะคิดอะไรกับน้องรหัสของเขาหรือไม่ แต่เขาก็ต้องประกาศให้มันรับรู้ว่าถ้า ‘นายอรรณพ’ ยังอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็มายุ่งกับสิตางศุ์ไม่ได้เป็นอันขาด!
...........................
โครงการพี่ติวน้องยังคงเหมือนเมื่อตอนกลางเทอม สนับสนุนการติวโดยรุ่นพี่หัวกะทิในระดับปีสอง ปีสาม และปีสี่ อันที่จริง สิตางศุ์เป็นนิสิตระดับหัวแถวของคณะและภาควิชา แต่อรรณพไม่อนุญาตให้น้องรหัสสภาพสะโหลสะเหลไปสอนไปติวใครอีกแล้ว นอกจากแวะมานั่งดูเฉยๆ
ส่วนปีหนึ่งอย่างปกฉัตรที่เข้าร่วมโครงการนี้ก็บอกเจตน์เอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเขาต้องติวกับเพื่อนๆและจะเลิกค่ำ รายนั้นไม่ถาม ไม่ห้าม พยักหน้าอย่างเดียวแล้วบอกว่าจะไปรอที่ห้องสมุดคณะรัฐศาสตร์
กว่าจะเลิกติวก็เกือบทุ่มตรง สภาพนิสิตปีหนึ่งแต่ละคนที่เรียนตั้งแต่คาบเช้าจนถึงคาบติวพิเศษในตอนค่ำนั้นดูใกล้จะสลบเหมือดกันไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นปกฉัตรก็ยังอาศัยแรงฮึดสุดท้ายกวาดหนังสือและเอกสารทั้งหมดเก็บลงกระเป๋าเป้แล้วบอกลาเพื่อนๆในห้อง ก่อนจะรีบก้าวเท้าออกมา
...เพราะพี่รออยู่...
คำสั่งเดียวในสมองตอนนี้คือต้องรีบไปห้องสมุดเพราะเจตน์รอที่นั่น จนทำให้เขาไม่ทันสังเกตสิ่งรอบตัวเลยสักนิด
“จะไปไหน” เสียงทุ้มดังขึ้นเมื่อเขาเดินผ่านใครบางคน ร่างโปร่งชะงักแล้วหันกลับไปมอง ก็พบว่าคนที่ออกปากว่าจะรอที่ห้องสมุด ตอนนี้ยืนพิงเสาอยู่ที่โถงตึกที่เขาเพิ่งเดินผ่าน
“อ...อ้าว...ไหนพี่ว่าจะรอห้องสมุด”
“กูเห็นว่ามันจะทุ่มแล้ว เลยเดินมาดู มึงติวเสร็จแล้วเหรอ” แม้จะค่ำแล้ว แต่ที่โถงตึกก็เปิดไฟสว่างโร่ เจตน์เห็นสีหน้าอ่อนล้าของคนตรงหน้าแล้วก็นึกเป็นห่วง
“ครับ อ่ะ...เอ่อ...ผมถือเองก็ได้...” ปกฉัตรรีบบอก เพราะอีกฝ่ายดึงกระเป๋าเป้ของเขาไปถือ
“หน้าซีดๆแบบมึงน่ะเดินอย่างเดียวก็พอ ไป...เดี๋ยวกูพาไปแวะกินข้าวแล้วจะพาไปส่งบ้าน มึงจะได้อ่านหนังสือ” เจตน์เอ่ยปากแล้วเดินนำ แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นการเดินนำที่คอยหันกลับมามองข้างหลังตลอดเวลา และบ่อยครั้งที่คนเดินไวยอมก้าวให้ช้าลงเพื่อที่จะให้ปกฉัตรเดินตามทัน แล้วในที่สุด...ตอนที่เดินผ่านจุดซึ่งแสงสว่างจากเสาไฟเข้าไม่ถึง เจตน์ก็คว้าแขนปกฉัตรไปจับเอาไว้
“เดินดีๆ ตรงนี้มันมืด”
ทว่า...พอพ้นจากจุดมืด มือของเจตน์ก็ยังจับอยู่แบบนั้น ปกฉัตรก้มลงมองมือใหญ่ที่จับแขนของเขาเอาไว้แล้วยิ้มจางกับตนเอง
...เรียนหนักมันก็เหนื่อยจริงๆนั่นแหละ แต่พอเห็นพี่ก็หายเหนื่อย...
...แล้ว...พอพี่ดูแลกันดีแบบนี้ ก็ชัก...อยากจะทำเป็นเหนื่อยต่ออีกสักหน่อย...
เดินมาจนถึงรถ เจตน์ก็เปิดประตูหลังโยนกระเป๋าเป้ของคนรักเข้าไปในนั้น เขาเห็นปกฉัตรเดินไปเปิดประตูนั่งที่นั่งข้างคนขับแล้ว ก็เลยเดินไปขึ้นตำแหน่งคนขับบ้าง ชายหนุ่มดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด ปากก็เอ่ยถามคนที่นั่งข้างๆ
“มึงอยากกินอะไร เดี๋ยวกู...” เจตน์พูดไม่ทันจบก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ข้างกายเอนศีรษะพิงเบาะแล้วหลับตา หัวใจของผู้ชายตัวใหญ่อย่างกับหมีถึงกับอ่อนยวบ
“ปก...” เขาเรียกเเผ่วเบา
เสียงของเขาทำให้ร่างโปร่งลืมตาขึ้นมอง ความมืดสลัวของยามค่ำทำให้มองไม่ออกว่าหน้าซีดหรือไม่ แต่ที่เขารับรู้คือความเหนื่อย...ปกฉัตรทั้งเหนื่อยทั้งล้า
“ไปหาหมอมั้ย” เขาถาม ทาบหลังมือกับหน้าผากของคนรัก ทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้าเล็กน้อย
“ผมแค่เหนื่อย ไม่ได้เป็นอะไรหรอก ของีบสักพักได้รึเปล่า”
ขอมาแบบนี้ มีหรือเจตน์จะไม่อนุญาต เขาพยักหน้ารัวๆ อยากบอกว่าถ้าปกฉัตรอยากจะหลับในรถของเขา ชายหนุ่มก็เต็มใจจะขับรถวนกรุงเทพฯสักรอบก็ได้ เพื่อให้อีกฝ่ายมีเวลาพักนานขึ้น
...ไม่สิ มันยังไม่ได้กินข้าว ควรจะหาอะไรทานแล้วจะได้นอน ตื่นขึ้นมาอีกทีจะได้มีแรงอ่านหนังสือต่อ...
ทว่าเจตน์ไม่ทันได้พูดอะไรอีก ปกฉัตรก็พิงศีรษะกับเบาะอีกครั้งแล้วหลับตาลง เจ้าของรถไม่อยากรบกวนอีกฝ่าย จึงยืดตัวข้ามไปกดปรับเบาะให้
“อ๊ะ..” เสียงจากคนที่ถูกเขายืดตัวคร่อมดังขึ้นเบาๆ เจตน์เหลือบตาลงมองคนที่เมื่อครู่นี้หลับตา แต่ตอนนี้ลืมตามองเขาอย่างตื่นๆ
“กูปรับเบาะให้ จะได้นอนสบาย”
“ข...ขอบคุณครับ” เพราะจู่ๆระหว่างพวกเขาก็ใกล้ชิดกัน ปกฉัตรก็เลยได้แต่อ้อมแอ้มพูดเบาๆแล้วไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายอีก
เบาะถูกปรับให้เอนราบลงอีกหน่อย เจตน์ก็ถึงขยับไปนั่งที่นั่งของตนเองตามเดิม คนข้างกายหลับตาไปแล้ว ไม่รู้จะได้ยินในสิ่งที่เขาจะพูดไหม แต่ร่างสูงก็ยังเอ่ยปาก
“เดี๋ยวกูแวะซื้อข้าวต้มให้นะ”
หลังจากนั้้นรถหรูก็เคลื่อนตัวออกจากที่จอดรถ คนขับหันไปสนใจกับถนนข้างหน้าแล้ว และไม่รู้ตัวสักนิดว่าคนที่เขาคิดว่าหลับ ลืมตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองเขา
รอยยิ้มจางปรากฏบนใบหน้าอ่อนเยาว์ ก่อนที่จะหายไปเมื่อเจ้าตัวหลับตาลง
...............................
ปกฉัตรไม่ได้หลับจริงอย่างที่อีกฝ่ายคิด เขาแค่หลับตานอนนิ่งๆ รับรู้ว่ารถของเจตน์กำลังเคลื่อนตัวไปบนถนน แต่ก็ไม่รู้ว่าเคลื่อนตัวไปทางไหน
ช่วงหนึ่งรถจอดที่ริมฟุตบาธ คนขับดับเครื่องยนต์ กดหน้าต่างลงนิดหน่อยแล้วลงจากรถ ก่อนจะล็อกเอาไว้ คนที่แกล้งทำเป็นหลับเลยลืมตาขึ้นมองรอบตัวก็พบว่ารถมาจอดที่หน้าร้านข้าวต้มเจ้าดังที่มีลูกค้ามากมาย หนึ่งในคนเหล่านั้นคือผู้ชายตัวใหญ่อย่างเจตน์ที่ยืนรออยู่หน้าร้าน ครู่ใหญ่ๆ ถึงเดินกลับมาที่รถพร้อมด้วยข้าวต้มหลายถุงในมือ ปกฉัตรแกล้งหลับตาต่ออีกครั้ง
รถเคลื่อนตัวออกสู่ถนนอีกหน ขับต่อไปอีกพักหนึ่ง รถก็เลี้ยวซ้ายแล้วจอดสนิท ร่างโปร่งยังหลับตา จนกระทั่งแรงสะกิดที่ไหล่ของเขา
คนแกล้งหลับทำเป็นลืมตาตื่น
“ถึงแล้วเหรอ” เขาลุกขึ้นนั่ง แต่พอมองออกไปนอกรถก็พบว่านี่ไม่ใช่ละแวกบ้านของเขาเลย
“คอนโดกูเอง คืนนี้มึงค้างที่นี่แหละ” ปกฉัตรชะงัก หันมองคนพูดเพราะไม่เชื่อหูกับประโยคหลัง
...ค้างที่นี่...พี่ชวนให้ค้างที่คอนโดของพี่...
มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยแถมหัวใจยังเต้นถี่ด้วยความดีใจ โชคดีที่รอบตัวมืดสลัว ไม่อย่างนั้นเจตน์คงรู้แน่ว่าเขาอยากนอนที่นี่ขนาดไหน
“เอ้อ...กู...กูเห็นว่าสภาพมึงเป็นแบบนี้ กูไม่อยากให้มึงกลับไปนอนที่บ้านคนเดียว แล้ว...แล้วมึงก็ขนหนังสือมาแล้วใช่มั้ยล่ะ คืนนี้ก็...อ่านหนังสือห้องกูนี่แหละ” เจตน์ไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดว่าเขาพามาค้างที่ห้องของเขาเพราะหวังอย่างอื่น นอกจากเป็นห่วง
ทว่าสำหรับปกฉัตรผู้ซึ่งเต็มใจจะค้างคอนโดของเจตน์มานานแล้วต้องพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ใต้สีหน้าเรียบเฉย แล้วทำเป็นก้มหน้าจนคางชิดอกเหมือนกำลังตกประหม่า
...ก็ประหม่าจริงๆนั่นแหละ ครั้งที่ 2 เองนี่นาที่จะได้ค้างห้องของพี่...
“แต่ว่า...ผมไม่มีเสื้อผ้า...” ปกฉัตรก็ยังทำเป็นถามเหมือนจะหาข้ออ้างที่จะไม่ค้างที่นี่
...โชคดีจริงๆ...ที่พี่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วคิดอะไร...
“เสื้อผ้ากูไง แล้วชุดนิสิตที่จะใส่พรุ่งนี้ ก็ชุดที่มึงใส่อยู่ เดี๋ยวกูซักปั่นแล้วรีดให้”
“พี่หมายถึง...พี่จะซักรีดให้ผมเหรอ”
“ก็เออสิ มึงคิดว่าว่าจะมีร้านไหนเปิดทำให้มึงด่วน ส่งซักวันนี้พรุ่งนี้ได้ใส่เหรอ”
ยิ่งกว่าโชคสองชั้น เพราะนอกจากจะค้างที่นี่แล้ว เจตน์ยังจะเอาเสื้อผ้าไปซักรีดให้อีกต่างหาก
หัวใจของปกฉัตรเต้นรัว ยิ่งเต้นเท่าไรก็ยิ่งพูดไม่ออกมากเท่านั้นเพราะเกรงว่าเสียงที่ส่งออกไปจะทำให้ถูกจับได้ว่าแท้จริงแล้วไม่ได้อยากจะกลับบ้านเลยสักนิด
...ใจแทบจะขึ้นไปรอหน้าประตูคอนโดของพี่อยู่แล้ว...
“เอาไง ค้างมั้ย ถ้ามึงไม่อยากค้าง กูก็จะพาไปส่งที่บ้าน” เจตน์เห็นอีกฝ่ายเอาแต่เงียบก็ชักกังวล กลัวจะถูกคนรักมองว่าตนเองหาเหตุผลมาหวังรวบหัวรวบหาง ถึงใจจะเป็นห่วง แต่...ถ้าไม่อยากค้างที่นี่ จะพาไปส่งที่บ้านก็ได้! แล้วจะขอค้างที่บ้านด้วย!
“ค...ค้าง...ที่นี่ก็ได้ พี่จะได้ไม่ต้องขับไปบ้านผมอีก...” พอร่างโปร่งตัดสินใจอย่างนั้น เจตน์ก็ไม่พูดอะไรอีก เขาเปิดประตูลงจากรถ ช่วยหิ้วกระเป๋าและถือถุงข้าวต้มเดินนำเข้าไปในอาคารสูง
เป็นอีกครั้งที่ปกฉัตรยิ้มเพียงลำพังโดยที่คนรักไม่ทันเห็น
...เหนื่อยแล้วแกล้งหลับมันดีแบบนี้เอง...
..............................