2
แกรก...
เสียงไขประตูมาพร้อมกับใบหน้าหล่อๆ ที่ชะโงกเข้าไปดูชั้นวางรองเท้าอย่างลุ้นระทึก ผมทนท่าทางโอเวอร์ของน้องชายไม่ไหว เลยจัดที่หลังไปหนึ่งป้าบ
“มัวแต่เล่น! หิวไม่ใช่รึไง รีบเข้าไปได้แล้ว” ดันหลังหมอกเข้าไปในห้องก่อนจะปิดประตูล็อกตามเดิม เจ้าตัวหัวเราะชอบใจ ถือสารพัดถุงไปวางไว้บนโต๊ะกินข้าวในห้องครัว
“ฮู้ว พวกเรามาถึงก่อนแหละ” หมอกพูดติดตลก ผมยิ้มเอือมๆ ก็มันแน่อยู่แล้ว ตลาดที่พวกเราไปอยู่ห่างจากคอนโดไม่เท่าไหร่ เทียบกับพี่เมฆที่ต้องนั่งรถโดยสารมาจากในเมืองน่ะมันคนละเรื่อง
ฟังไม่ผิดหรอกครับ พี่เมฆขึ้นรถโดยสารจริงๆ เพราะเจ้าตัวบอกว่า ขืนขับรถไปคงไม่ต้องทำงานกันพอดี อีกอย่าง คอนโดเราติดรถไฟฟ้า BTS แบบที่นั่งวินออกจากซอยสิบบาทก็ถึงสถานี ส่วนที่ทำงานก็อยู่ติดรถไฟฟ้าเช่นกัน ดังนั้นการใช้รถโดยสารจึงสะดวกกว่า ไม่ต้องทนรถติดด้านล่าง แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นต้องออกนอกสถานที่ พี่เมฆถึงยอมขับรถไป
ว่าแต่...นึกถึงพี่ชาย พี่ชายก็มา เสียงเปิดปิดประตูตามด้วยแรงกอดจากทางด้านหลังกับกลิ่นกายคุ้นเคยนี่ชัดเลย โดยเฉพาะปากสวยๆ กับจมูกโด่งๆ ที่หอมแก้มซ้ายขวาจนแทบช้ำ
ฟอดดด
“ไม่บุบสลายตรงไหนนะฝน เจ้าหมอกมันใช้ไม่ได้ ไปซื้อของกับเราทำไมไม่ช่วยกันดูบ้าง” ไม่พูดเปล่า ยังหอมแก้มผมไม่เลิก พอจะอ้าปากห้ามริมฝีปากก็ถูกแนบสนิทพร้อมลิ้นร้อนที่สอดเข้ามาลิ้มรสในปากอย่างจาบจ้วง อย่าว่าแต่หนีเลย โดนมือหนาล็อกเอว อีกข้างจับยึดท้ายทอยไม่อาจหนีจากการจูบสูบวิญญาณได้
“อือหือ เบาหน่อยพี่เมฆ เดี๋ยวพี่ฝนขาดใจตายพอดี” น้องชายแซวปนขำ ยักคิ้วใส่พี่คนโตแต่ไม่คิดจะมาช่วยกันสักนิด
คนเหนื่อยได้ชาร์จแบตจนพอใจนั่นแหละ ถึงยอมปล่อยปากที่เริ่มบวมเจ่ออย่างเด่นชัด ผมศอกใส่อกแน่นๆ ของพี่เมฆ แต่มีหรือเจ้าตัวจะสะเทือน ก้มหน้ามาจูบเร็วๆ อีกหนึ่งรอบแล้วถอดเสื้อนอกเหวี่ยงพาดบนพนักเก้าอี้ ขยี้หัวน้องชายคนเล็กแทนคำทักทายแล้วนั่งประจำตำแหน่งหัวโต๊ะดุจราชา
“รีบๆ จัดโต๊ะเร็ว พี่หิวจนจะกินฝนได้ตั้งตัวอยู่แล้ว ตอนเที่ยงก็ไม่ได้กินข้าว” พูดพลางปลดไทแต่ไม่คิดช่วยน้องชายคนเล็กที่เตรียมจานจนหัวหมุน ผมที่กำลังจะไปช่วยพอได้ยินคำพูดของพี่เมฆ ตวัดตาจ้องเขม็งทันที
“ทำไมไม่กินข้าวเที่ยง บอกแล้วใช่มั้ยว่าต่อให้ติดประชุมอะไร ยังไงก็ต้องหาเวลาว่างกิน ถ้าเกิดเป็นโรคกระเพาะขึ้นมาจะทำยังไง พี่เป็นพี่ใหญ่นะรู้จักดูแลสุขภาพตัวเองมากกว่านี้หน่อยสิ หรือต้องให้ฝนเอาไปป้อนถึงปากให้อายลูกน้องเล่นฮะ” ผมนี่ร่ายยาวเป็นชุดยิ่งกว่าท่องจำ เรียกได้ว่าเป็นระบบอัตโนมัติเลยทีเดียว
“วันนี้มีอะไรกันบ้างนะ” คนโดนบ่นเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย น้องชายก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
“หลายอย่างเลยพี่ อร่อยๆ ทั้งนั้น อะๆ พี่ฝนนั่งเฉยๆ เดี๋ยวผมบริการเอง” จับผมนั่งลงด้านขวาของพี่เมฆ ส่วนตัวเองยกจานมาเรียงราย อันไหนแกะไม่ทันก็ส่งไปให้พี่ใหญ่ช่วยแกะเทใส่จาน ไม่นานอาหารก็เต็มโต๊ะ
“กินข้าวได้” หัวหน้าครอบครัวเปิด ก็ลงมือกินทันที เรียกได้ว่าไม่เปิดโอกาสให้ผมอ้าปากเลยสักนิด แถมเจ้าหมอกยังตัดเนื้อปลาราดน้ำจิ้มอย่างดีเสิร์ฟถึงปาก เอาเข้าไป อะไรมันจะขยาดกับคำบ่นผมขนาดนั้น
“พอๆ ไม่บ่นก็ได้ กินไป ไม่ต้องหาอะไรมายัดปากพี่” โบกมือห้ามเจ้าหมอกที่คิดจะป้อนอีกคำ เจ้าตัวเลยส่งเนื้อปลาเข้าปากตัวเองก่อนโซ้ยเป็ดปักกิ่งอย่างเอร็ดอร่อย สงสัยจะอยากกินจริงๆ ส่วนพี่เมฆ ทางนั้นถ้าเอาหน้าทิ่มลงจานข้าวได้คงทำแล้วมั้ง ท่าทางหิวโซกินซะไม่เหลือมาด
จากที่ว่าจะกินของตัวเองดีๆ มันก็อดไม่ได้ ต้องตักนู่น หยิบนี่ให้พี่เมฆกับหมอกอยู่เรื่อย แต่เดิมผมไม่ใช่คนช่างดูแลหรอก เพราะเป็นผู้ชายทั้งบ้าน อายุก็ไม่ห่างกันมาก ส่วนใหญ่เลยตัวใครตัวมัน จะเป็นแม่มากกว่าที่คอยบริการทุกคนบนโต๊ะ แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อฝันร้ายของพวกเราเกิดขึ้น...
แม่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อห้าปีก่อน พวกเราเสียใจร้องไห้อย่างหนัก แต่ก็ยังพอยืนหยัดได้เพราะเรายังมีพ่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ในช่วงเวลาที่ความเศร้ายังไม่ทันจางหาย ที่พึ่งสุดท้ายก็จากพวกเราไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในวันครบรอบของแม่
การสูญเสียซ้ำๆ รังแต่จะทำให้จิตใจพังทลาย เราสามพี่น้องกอดกันในงานศพ ผมกับหมอกร้องไห้จนแทบเป็นลมมันตรงนั้น ส่วนพี่เมฆเพียงแค่กอดพวกเราไว้เอ่ยปลอบว่าไม่เป็นไร พวกเรายังมีพี่อยู่...ทั้งที่ตัวเองดวงตาแดงก่ำฝืนกลั้นไม่ให้น้ำตาออกมาแม้แต่หยดเดียว ตอนนั้นพี่เมฆอายุ 22 ผม 18 ส่วนหมอก 16
จุดพลิกผันได้เริ่มต้นขึ้น...
พี่ชายคนโตที่ต้องทำตัวเข้มแข็งเพื่อปกป้องน้องชายและทรัพย์สมบัติของพ่อจากบรรดาญาติผู้หิวโหย กลายเป็นเสาหลักคนใหม่ของครอบครัวที่ต้องแบกรับทุกความเครียด ความกดดันไว้เพียงผู้เดียว
พี่ชายคนรองที่ถูกคนรักที่คบกันมาหลายปีทิ้งไปด้วยเหตุผลที่ว่าทุ่มเทเวลาให้กับพี่น้องมากเกินไปจนไม่มีเวลาให้กับเธอ
และน้องชายคนเล็กที่ถูกเพื่อนหันหลังให้ในช่วงเวลาย่ำแย่ที่สุดของชีวิต เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะคบต่อไป เมื่อมันไม่ส่งผลดีให้กับธุรกิจของครอบครัว
สุดท้าย...ไม่ว่าใครต่างก็นึกถึงผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก
โลภมาก
เห็นแก่ตัว
ไร้หัวใจ
เชื่อใจใครไม่ได้อีก...ผู้ที่จะเข้าใจและคอยอยู่เคียงข้างในทุกช่วงเวลาของชีวิตมีเพียงครอบครัวเท่านั้น เป็นคนสำคัญที่ต้องรักษาไว้ให้ดีที่สุด คนอื่นไม่จำเป็น ขอแค่พวกเขาก็พอ...
“ฝน” เสียงเรียกช่วยดึงออกจากภวังค์ ดวงตาเหม่อมองสีหน้าเป็นห่วงของพี่คนโตกับน้องชายคนเล็กที่หยุดกินตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ผมคลี่ยิ้มบางหันไปมองกระจกดูท้องฟ้ามืดครึ้มกับเม็ดฝนที่ตกกระทบจนเกิดเสียงเหมือนการขับกล่อมจากธรรมชาติ
“ฝนตกแบบนี้แถมใกล้วันครบรอบ ผมเลยเผลอคิดถึงเรื่องเก่าๆ น่ะ” มองสบแววตาทั้งสองคู่ ที่สื่อความหมายในแบบที่มีแค่พวกเราที่เข้าใจ
หมอกเท้าคางจิ้มเนื้อเป็ดมาแกว่งไปมา “นั่นสินะ...อาทิตย์หน้าแล้ว เวลาผ่านไปเร็วจริง” พูดจบก็เอาใส่ปากเคี้ยวแบบเหม่อๆ
“กินต่อเถอะ เสร็จแล้วจะได้เก็บกวาดไปพักผ่อนกันสักที” คำสั่งจากหัวหน้าครอบครัว น้องชายทั้งสองพากันขานรับคำสั่งอย่างว่าง่าย
หลังกินข้าวด้วยบรรยากาศอึมครึมแบบเดียวกับด้านนอก หมอกก็ช่วยผมเก็บล้างในขณะที่พี่เมฆไปอาบน้ำ พวกเรากลับมาคุยเล่นกันตามปกติ พอพี่เมฆอาบน้ำเสร็จก็ถึงคิวหมอก ระหว่างนั้นผมก็ปอกมะม่วงสุกมานั่งกินกับพี่เมฆ กระทั่งน้องชายออกมาก็ผมถึงคิวผมปิดท้าย
ผมปล่อยให้น้ำจากฝักบัวตกกระทบร่างเหมือนสายฝน ผมชอบความรู้สึกที่เกิดขึ้นบนผิวและอุณหภูมิเย็นชุ่มฉ่ำคล้ายได้รับการเยียวยาอย่างประหลาด แต่คงไม่เท่ากับสัมผัสจากของในครอบครัวหรอก
“ครั้งนี้ห้องใครดี” หมอกถามอย่างอารมณ์ดีหลังเห็นผมนุ่งผ้าขนหนูออกมาจากห้องน้ำ พี่เมฆที่กำลังเช็คงานในแท็บเล็ตเงยหน้ามองน้องๆ
“ห้องพี่แล้วกัน รอบก่อนใช้ห้องเจ้าหมอก เตียงแข็งปวดหลังเป็นบ้า” คนสูงวัยสุดอดที่จะบ่นไม่ได้ พลางปิดแท็บเล็ตแล้วเดินมาโอบเอวผมเข้าห้องตัวเองโดยมีน้องชายคนเล็กตามหลังมา
“เตียงพี่นุ่มไปต่างหาก เนาะพี่ฝน” หมอกหันมาหาแนวร่วม ส่วนผมกำลังเคลื่อนกายมาคุกเข่าคร่อมตักพี่ชายคนโตบนเตียงกว้าง ปล่อยให้มือหยาบกร้านลูบผ่านเรียวขาถลกผ้าขนหนูจนมาถึงสะโพก
“เตียงพี่เมฆก็เด้งดึ๋งดีออก” ผมพูดเสียงพร่าเมื่อถูกน้องชายประกบหลัง ไล่จูบตามแนวสันหลังจนถึงก้นกบสร้างความหวิวช่วงท้อง
พี่เมฆหัวเราะในคออย่างชอบใจ “เข้าใจพูดดี แบบนี้ต้องให้รางวัล อยากได้อะไรไหนบอกพี่ซิ” นิ้วยาวเชยคางมองด้วยดวงตาคมพราวระยับ
“จูบ...” ผมตอบสั้นๆ พร้อมรับรางวัลอย่างยินดี ลิ้นเกี่ยวกระหวัดพัวพัน ไล่ไปตามแนวฟันจนเผลอครางเครือในลำคอ หมอกไม่ยอมน้อยหน้า เอาแต่จูบตามแผ่นหลังจนเกิดเสียงจุ๊บๆ ในขณะที่มือเอื้อมมาด้านหน้าเล้าโลมปลุกเร้าอารมณ์พี่ชายคนรอง
พอได้ที่ก็เปลี่ยนเป็นสัมผัสเย็นจากเจลที่บีบใช้แบบไม่กลัวเปลือง ปล่อยให้เจลเย็นไหลตามร่องตามด้วยนิ้วลากวนหยอกเย้าพลางหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อผมสั่นไหวไปตามการปลุกเร้านั้น ไม่ทันได้ตั้งตัวนิ้วแรกถูกสอดเข้ามาทีละน้อย สลับดึงเข้าออกให้เริ่มคุ้นชินค่อยเพิ่มจำนวนและการรังแกที่มากขึ้น สองนิ้วงอครูดปลายผ่านจุดวาบหวานภายในทำเอาร่างกระตุกเกร็ง
ผละจากจูบหวานๆ ได้ไม่เท่าไหร่ ท้ายทอยถูกกดต่ำอยู่ตรงหว่างขาแกร่ง นิ้วโป้งสากไล้แก้มน้องชายเอ่ยกระซิบเสียงทุ้มแหบแสนเซ็กซี่อย่างล่อลวง
“เด็กดี ใช้ปากให้พี่หน่อยนะ”
แทนคำตอบ...โพรงปากอุ่นร้อนครอบส่วนตื่นตัวพลางไล้เลียตามการกระตุ้นจากทางด้านหลัง
หลังนิ้วถูกเพิ่มเป็นสาม ขยับได้ชั่วครู่ก็ถอนออกไปยุกยิกกับการฉีกซองถุงยางสวมให้กับตัวเอง ร่างสูงของน้องชายคนเล็ก โน้มคร่อมด้านหลังกระซิบชิดริมหู “จะใส่แล้วนะพี่ อย่ากัดของพี่เมฆล่ะ” น้ำเสียงพร่าเอ่ยเตือน เบื้องหลังถูกแยกออกรับส่วนร้อนที่พองขยายอย่างเต็มที่ เพราะความเจ็บร้าวผสมซ่านเสียวทำให้เผลอขบของที่อยู่ในปากจนเมฆต้องนิ่วหน้ารีบใช้นิ้วง้างปากน้องชาย
“อุก...ฝนคายออกก่อน” เจ้าของชื่อยอมคายพลางซบหน้ากอดเอวหนาอย่างต้องการที่พึ่งเมื่อด้านหลังถูกสอดลึกเข้ามาเรื่อยๆ จังหวะที่เริ่มขยับจนตัวโยก เสียงครางดังผ่านลำคอก่อนถูกปิดด้วยท่อนเนื้อร้อนอีกครั้งจนกลายเป็นเสียงอู้อี้ ทั้งยอดอก ความเป็นชายถูกเล้าโลมจากสองพี่น้อง สุขสมจนแยกเหนือใต้ไม่ถูก แล้วยิ่งส่งเสียงครางดังเมื่อด้านหลังโดนเร่งจังหวะจนเกิดเสียงหยาบโลนพร้อมความร้อนระอุที่ปลดปล่อยเข้ามาภายใน
หมอกถึงกับสูดปาก รูดให้พี่ชายเสร็จสมตามมา นึกอยากจะอิดออดอีกนิดแต่ทนสายตาร้อนแรงของพี่เมฆไม่ไหว จำต้องถอนตัวออกดึงถุงยางทิ้ง ขณะส่งอันใหม่ให้พี่ชายคนโตรับไปสวมให้ตัวเองบ้างต่อหน้าต่อตาพี่คนรองใกล้ชนิดชิดติดขอบสนาม
“ไอ้หมอกหลบ ถึงตาพี่แล้ว” ท่าทางคึกคักจนน้องชายหมั่นไส้ งานนี้ไม่ต้องให้ใครช่วยจัดท่า ฝนก็ขยับตัวขึ้นไปนั่งบนตักหนาเอนหลังพิงแผ่นอกกว้าง ใบหน้าหันจูบตามสันกรามเรียกเสียงครางต่ำในคอจากเมฆ ลำบากหมอกที่ต้องทนเห็นภาพอิโรติกแบบที่เกือบจะคลั่งตามคนโดนยั่ว
“ฮึ่ม! แสบนักนะ” เมฆคำรามช้อนข้อพับขาน้องชายยกสะโพกมนขึ้นรองรับของตัวเองบ้าง ทิ้งให้หมอกนั่งจ้องความเป็นชายที่ค่อยๆ ถูกกดหายเข้าไปภายใน รู้สึกลำคอแห้งปาก กลืนน้ำลายอึกแล้วอึกเล่า สุดท้ายก็ทนไม่ไหว
“พี่ฝน! พี่ฝนใช้ปากให้ผมบ้าง” น้องชายเริ่มงอแง พี่ชายคนโตไม่นำพา หัวเราะเย้ยในคอขยับสะโพกสวนเมื่อร่างโปร่งกดลงมาจนเกิดเสียงเนื้อกระทบปนหอบครางดังก้องไปทั่วห้องนอน หากเทียบกับความขี้เล่นของหมอกแล้ว เมฆก็คือความเร่าร้อนในระดับที่หลอมละลายให้ระทวยอยู่บนตัก
ทั้งคู่แลกจูบดูดดื่มไม่สนน้ำใสที่ไหลมุมปาก เมฆเองก็ไม่ใจร้ายพอจะทิ้งน้องชายไว้เพียงลำพัง เลยรวบขาฝนส่งสายตาแทนสัญญาณให้หมอกแทรกของตัวเองตรงโคนขาอ่อนจนเสียดสีกับส่วนตื่นตัวของฝนไม่ต่างจากการมีอะไรไปพร้อมกัน
โดยปกติพวกเขาไม่ค่อยได้ทำพร้อมกันสามคนนักด้วยห่วงสุขภาพของฝน ส่วนใหญ่จึงผลัดกันตามสะดวก ยกเว้นกรณีพิเศษอย่างวันนี้ ช่วงเวลาที่จิตใจอ่อนไหวกับสภาพอากาศที่บ่งบอกตัวตนของพวกเขา มีแค่พี่น้องตัวเองก็พอ ส่วนคนภายนอกเป็นสิ่งที่เรียกว่าการเข้าสังคมเท่านั้น
ไม่มีใครเข้ากันได้ดีเท่ากับคนที่มีสายเลือดเดียวกันเอง
แลกสัมผัส...ส่งมอบความรู้สึก...ถ่ายทอดอุณหภูมิร่างกาย หลอมรวมทุกอย่างให้เป็นหนึ่งเดียว
ร่างโปร่งหอบหายใจหลังผ่านกิจกรรมรักอันหนักหน่วง ทอดร่างนอนตรงกลางขนาบข้างด้วยพี่และน้องชาย
“เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้พี่ฝนเอง พี่เมฆไปอาบน้ำเถอะ” หมอกอาสาแล้วลุกเดินโทงๆ ไม่อายฟ้าอายดินไปหากะละมังในครัว
คล้อยหลังน้องชาย ใบหน้าคมเข้มก้มมองคนที่กำลังนอนซบอกอย่างอ่อนเพลีย “ความจริงให้พี่พาฝนเข้าไปอาบด้วยก็ได้นะ ว่าไงเราสนใจไหม” หยอกเย้าทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แก่ใจ
“อย่าหวัง หางโผล่แล้วพี่เมฆ ลุกไปเลยไป” ออกปากไล่พลางขยับตัวมานอนดีๆ เตรียมให้น้องชายเช็ดทำความสะอาดให้
“อย่าแอบทำล่ะหมอก ฝนเหนื่อยแล้วไว้ทำต่อวันหลัง” พี่เมฆเห็นหมอกหูตาแพรวพราวขณะเดินถือกะละมังเล็กเข้ามา เลยขยี้ผมพูดดักคออย่างรู้ทัน ส่วนคนแผนแตกไม่นึกสลด ผิวปากอารมณ์ดีช่วยเช็ดตัวทำความสะอาดให้พี่คนรองพร้อมเก็บซากรอบเตียงก่อนจะไปอาบน้ำล้างตัวบ้าง แล้วค่อยมานอนอยู่ใต้ผ้าห่มเดียวกันสามคน
นอนฟังเสียงฝนกระทบกระจก ชวนกันคุยเรื่องเก่าๆ ก่อนผล็อยหลับไปทีละคนโดยเริ่มจากฝนจนเหลือเมฆเป็นคนสุดท้ายที่ปิดไฟเข้าสู่นิทรา
เมื่อตื่นขึ้นมาพวกเขาก็ใช้ชีวิตตามปกติ เมฆตื่นเช้าไปทำงาน หมอกอยู่เป็นเพื่อนแล้วไปเรียนตอนบ่าย และฝนที่ออกไปหาซื้อของสดมาทำมือมื้อเย็น ภาพเหตุการณ์เดิมๆ วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาแต่พวกเขาก็มีความสุข
พอถึงวันครบรอบก็ไปไหว้อัฐิของพ่อแม่แล้วทำบุญด้วยกันเหมือนทุกปี และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป
Fin.