「 IN TIME 」• ย้อนยุค เกาหลีโบราณ • บทที่ 9 [08/10/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 「 IN TIME 」• ย้อนยุค เกาหลีโบราณ • บทที่ 9 [08/10/60]  (อ่าน 8973 ครั้ง)

ออฟไลน์ VIRIDIAN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



**********************************************




ผมถูกแทงจนบาดเจ็บสาหัสและตื่นขึ้นมาท่ามกลางอาณาจักรโชซอนในฐานะองค์ชายรัชทายาท!!
ที่บ้าไปกว่ากว่านั้น ตรงหน้าผมคือพระเจ้ายอนชาง กษัตริย์แห่งโชซอน!
ซึ่งดูเหมือนจะระแคะระคายเต็มทีว่าผมไม่ใช่องค์ชายตัวจริง


_________________________________________________




วินาทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ผมก็พบว่าตัวเองอยู่ในอาณาจักรโชซอนเมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน
หนำซ้ำยังกลายเป็น องค์ชายบยอล เจ้าของตำแหน่งองค์รัชทายาท ซึ่งเป็นความหวังของเหล่าขุนนางฝั่งใต้
ความเป็นไปเรื่องการเมืองของโชซอนยุคนั้นจึงต้องตกอยู่ในกำมือของเด็กปีหนึ่ง คณะสังคมวิทยาอย่างผมอย่างเสียไม่ได้
 
แถมคนที่ผมต้องต่อกรด้วยก็คือ พระเจ้ายอนชาง กษัตริย์ลำดับที่ 21 ของราชวงศ์
ผู้ซึ่งเป็นไอดอลที่ผมอยากจะถ่ายรูปเซลฟี่ลงอินสตาแกรมด้วยมากที่สุด T_T



_________________________________________________



แนะนำตัวละคร

*จุดประสงค์ : เนื่องจากเนื้อเรื่อง และตัวละครมีความซับซ้อน คนเขียนจึงกลัวว่าคนอ่านจะสับสน เพราะตัวละครจะค่อย ๆ เยอะขึ้นเรื่อย ๆ   (และจะค่อย ๆ ทยอยมาขยายเรื่อย ๆ หากมีตัวอื่น ๆ ผุดมาอีก 555+)
 
ปล. เรื่องนี้อิงประวัติศาสตร์ในยุคของพระเจ้ายองโจ หรือ องค์ชายยอนอิง(ลีกึม) พระโอรสของพระเจ้าซุกจง กับ พระสนมซุกบิน (ชเว ทงอี) แต่บางเรื่องก็แต่งขึ้นมาเพื่อเพิ่มอรรถรส ทว่าตัวละครและประวัติศาสตร์ที่นำมาเขียนเรื่องนี้ ไม่มีความจงใจทำให้เสื่อมเสีย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยค่ะ >.<


พระเจ้ายอนชาง (ลี อิล) : องค์ชายอิลเป็นพระราชโอรสองค์ที่สองซึ่งประสูติแต่พระเจ้าซุกจง กับ พระสนมซุกบิน (ชเว ทงอี) ตอนแรกเป็นองค์ชายอยู่วังนอกธรรมดา แต่พอพระเจ้าชินโจ (พี่ชายแท้ ๆ ขององค์ชายบยอล) เริ่มป่วย ฝ่ายตะวันตก(โนรน) ก็ได้ทูลขอให้ทรงสนับสนุนองค์ชายอิลขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการ หลังจากนั้นสี่ปีก็ทรงเสด็จสวรรคต องค์ชายอิลจึงได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน และมีรับสั่งให้คืนฐานันดร มอบตำแหน่งรัชทายาทแห่งโชซอนให้แก่ องค์ชายบยอล เพื่อไถ่บาปที่ติดอยู่ในใจของตน

องค์ชายบยอล (ลี บยอล)   : องค์ชายบยอลเป็นองค์ชายลำดับที่สาม แต่เป็นโอรสองค์ที่สองของพระเจ้าซุกจง กับ พระสนมฮีบิน (จาง อ๊กจอง) เก่งการต่อสู้ประชิดตัวชนิดหาตัวจับได้ยาก ทรงหลุดจากตำแหน่งองค์รัชทายาทเพราะพระเจ้าชินโจ(พี่ชายแท้ๆ) สนับสนุนองค์ชายอิลให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน เนื่องจากฝ่ายใต้ (โซรน) เสื่อมอำนาจมากในช่วงนั้น จึงทำให้ถูกฝ่ายตะวันตกเล่นงาน อัครมหาเสนาธิบดี หัวหน้าพรรคโนรน (ฝ่ายตะวันตก) ทูลขอให้องค์ชายอิลที่ยังเป็นผู้สำเร็จราชการในตอนนั้น เนรเทศองค์ชายบยอลไปอยู่นอกวัง จึงทำให้องค์ชายบยอลโกรธ และ เกลียดพี่ชายคนนี้มาก ถึงกับลงทุนทำตัวเป็นคนสติไม่ดี เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับเข้าไปยุ่งกับเรื่องในราชสำนักอีก

ลี บยอล : นักศึกษาสังคมวิทยา ที่หลุดเข้าไปอยู่ในยุคโชซอน ช่วงเวลาประมาณเมื่อ 300 กว่าปีที่แล้ว ในสมัยที่พระเจ้ายอนชางเพิ่งขึ้นเถลิงถวัลราชสมบัติใหม่ ๆ แต่โชคชะตากลับเล่นตลกให้บยอลดันไปมีใบหน้า และ ชื่อ เหมือนองค์ชายบยอลที่ตัวจริงหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาจึงจำเป็นต้องขึ้นรับตำแหน่งองค์รัชทายาทแทน ในขณะเดียวกันก็ต้องสืบหาสาเหตุของการหายตัวไปขององค์ชายบยอล และสิ่งที่ทำให้เขาย้อนเวลามาด้วย


พัค อินซา : ราชองครักษ์คนสนิทของพระเจ้ายอนชาง เป็นเพื่อนตั้งแต่พระเจ้ายอนชางยังเป็นองค์ชายอิลซึ่งอยู่วังนอก ฉลาด ช่างสังเกต มีเหตุผล แต่ชอบพูดจาขวานผ่าซาก ยอมหักแต่ไม่ยอมงอ มีฝีมือด้านการต่อสู้มาก จนต่อมาได้เป็นหัวหน้าองค์รักษ์ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ด้วยมีปมจากการมีแม่เป็นชนชั้นต่ำที่แต่งงานเป็นอนุของขุนนางฝั่งใต้เพราะความจำยอม จึงทำให้ไม่ค่อยสนับสนุนองค์ชายบยอลเท่าไหร่

คิม กีอุน : บัณฑิตฝั่งโซรน (ฝั่งใต้) เก่งเรื่องการต่อสู้ เป็นลูกชายของ ‘ใต้เท้าคิม’ เสนาธิบดีกลาโหม (หัวหน้าขุนนางฝั่งโซรน) กำลังจะเข้าสอบควากอเข้าเป็นขุนนางในกรมกลาโหม 

พระมเหสีซอนฮวา แห่งตระกูลฮัม : ธิดาคนเดียวของอัครเสนาธิบดีฮัม โฮมิน (หัวหน้าขุนนางฝ่ายตะวันตก) หลงรักพระเจ้ายอนชางตั้งแต่แรกเห็น และเชื่อว่าทุกสิ่งที่ตนทำ เป็นการปกป้องราชสำนักจากองค์ชายบยอลและขุนนางอีกฝ่าย

ฮัม โฮมิน : อัครเสนาธิบดี หัวหน้าพรรคอินจู ฝ่ายโนรน (ฝ่ายตะวันตก) มีฐานะเป็นพระสัสสุระ*ของพระเจ้ายอนชางอีกด้วย

ยุนซังกุง : เป็นซังกุงรับใช้คนสนิทของพระสนมฮีบินในตอนที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ภายหลังถูกเนรเทศให้ออกมาอยู่นอกวังพร้อมองค์ชายบยอล ทำให้ยุนซังกุงโกรธแค้นองค์ชายอิลที่เป็นผู้สำเร็จราชการมาก เธอจึงคอยเกลี้ยกล่อมให้องค์ชายบยอลรับราชองค์การ กลับเข้าไปรับตำแหน่งรัชทายาทเพื่อกลับไปแก้แค้นแทนพระมารดา และตัวพระองค์เองตลอดเวลา แต่องค์ชายบยอลก็ไม่เคยยอม แถมยังทำตัวเป็นคนสติไม่ดีเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าวังตลอด


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-10-2017 12:20:16 โดย VIRIDIAN »

ออฟไลน์ VIRIDIAN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
“ถ้าเป็นลูกจะเลือกยังไง ?”
 
เสียงอ่อนโยนเอ่ยถามขึ้นในขณะที่ผมกำลังจะหยิบป็อปคอร์นในโถใส่ปาก แม่เอื้อมมือไปหยิบรีโมทดีวีดีที่ถูกโยนทิ้งไว้บนโซฟาบุนวมตัวเล็กข้าง ๆ  แล้วกดหยุดมันเสีย ก่อนที่จะหันมาเลิกคิ้วใส่
 
“ว่ายังไง ลี บยอล
 
คำถามนั้นทำเอาผมชะงักไปครู่หนึ่ง รู้ตัวอีกทีก็กัดริมฝีปากไปเสียแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ที่น่าฉงนใจมากกว่า นั่นคือผมเอาแต่จ้องเข้าไปในจอทีวี ภาพของ ‘มิสเตอร์ แอนเดอร์สัน’ ตัวเอกของเรื่องกำลังทำหน้านิ่ง แต่ดวงตาของเขากลับฉายแววกระอักกระอวน
 
ผมเข้าใจเป็นอย่างดีว่าคำถามที่แม่ถามผมนั้น หมายความว่าอย่างไร... แม่กำลังถามผม ว่าถ้าหากผมเป็นคุณแอนเดอร์สัน หากมีทางเลือกสองทางมาลอยอยู่ตรงหน้าแล้ว อย่างนั้นผมจะเลือกอะไร
 
“ผมไม่ค่อยแน่ใจ...”
 
ผมได้แต่มองเจลลี่เม็ดเล็ก  2 เม็ดที่อยู่ในมือของตัวเอกอีกคน เม็ดสีน้ำเงิน...ถ้าคุณแอนเดอร์สันกินสีน้ำเงิน เรื่องนี้จะจบ เขาสามารถตื่นขึ้นมาและเชื่อ ! ในสิ่งที่เขาเชื่อ....  และเชื่อมันต่อไป
 
ทว่าสีแดง...ถ้าหากคุณแอนเดอร์สันเลือกสีแดง ทุกอย่างจะถูกรีเซ็ตใหม่หมด....และคุณ  แอนเดอร์สันจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
 
ประวัติศาสตร์จะเปลี่ยน...
 
“ผมอาจจะ....เอ่อ...ผมหมายถึง...ถ้าเป็นผมจะเลือกสีน้ำเงิน”
 
วินาทีนั้นแม่เพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ แล้วกดรีโมทเพื่อให้ดีวีดีเล่นต่อ  เราไม่ได้พูดอะไรกันอีกจนหนังจบ เสียงดนตรีประกอบในตอนท้ายดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าเราทั้งคู่ควรลุกออกไปจากตรงนี้ แล้วทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม ๆ ที่อยู่ถัดออกไปอีกห้องหนึ่งเหมือนทุกที
 
แต่วันนี้ไม่ใช่...

แม่เดินออกมาจากโซนห้องครัวพร้อมกับนมอุ่น ๆ สองแก้ว  วางมันลงที่โต๊ะเตี้ยด้านหน้าโซฟา พยักเพยิดหน้าให้ผมยกมันขึ้นมาจิบ ถึงแม้มันจะร้อนจนแทบจะลวกปากผมก็ตาม
 
“ทำไมลูกถึงเลือกสีน้ำเงินล่ะ....”
 
แม่อ้อมมานั่งข้าง ๆ ผม จิบนมรสกาแฟในแก้วใบโปรดของเธอ ทว่าดวงตาอ่อนโยนนั่นกลับจ้องผมไม่วางตา ราวกับว่าสิ่งที่ผมกำลังจะตอบออกไปสำคัญนักหนา
 
จริง ๆ มันก็แค่หนังเรื่องหนึ่ง ...หมายถึงสำหรับบ้านอื่นน่ะนะ ดูจบก็จบกันไป ไม่ต้องเอามาใส่ใจเก็บไปคิด แต่สำหรับแม่ผมมันไม่ใช่ นี่คือเวลาอันน้อยนิดที่เราสองคนแม่ลูกจะสามารถใช้ร่วมกัน และเธอก็บริหารมันได้เป็นอย่างดี โดยการใช้หนังเป็นสื่อสอนผมไปด้วยในตัว
 
เหมือนกับเรื่อง ‘เดอะแมทริกซ์’ ที่ผมเพิ่งดูจบไปเมื่อครู่ ไม่ว่ายังไงแม่ก็จะยังไม่ให้ผมนอนหากยังไม่ได้ยินคำตอบของคำถามที่ทำให้เธอสงสัย
 
“ผมคิดว่า...ไม่ว่ายังไงเราก็ไม่ควรเปลี่ยนประวัติศาสตร์ครับ...”
 
“ทำไมล่ะ...”
 
“ผมไม่ค่อยชอบการเปลี่ยนแปลง...แม่ก็รู้” ผมเม้มริมฝีปากแน่น “แล้วผมก็ไม่คิดว่าการเปลี่ยนแปลงอะไรจะเป็นเรื่องที่ดีด้วย”
 
แม่หัวเราะลั่น “ลูกหมายถึง ถ้าหากรู้อยู่แก่ใจ ว่ามันจะจบยังไง ลูกก็จะไม่เปลี่ยนใจงั้นหรอ?”
 
“ครับ...”
 
“แม้มันจะเป็นสิ่งที่ลูกไม่ต้องการน่ะหรอ ?”
 
“...เอ่อ...ผมคิดว่ายังไงก็ไม่ควรเปลี่ยนอะไร ที่มันดีอยู่แล้ว...”
 
“ทั้ง ๆ ที่ลูกสามารถเลือกได้น่ะหรอ บยอล?”
 
“แม่ ?” 
 
แม่หัวเราะเบา ๆ แล้วอมยิ้มออกมา  เธอเอี้ยวตัวไปวางแก้วใบโปรด ก่อนจะเอื้อมมือมาแตะที่หัวไหล่ของผม
 
“ฟังนะลูก...เราไม่จำเป็นต้องเซฟตัวเอง หากรู้อยู่แก่ใจว่าทางเลือกเก่ามันห่วยแตกแค่ไหน ลูกสามารถเดิมพันได้เสมอ ถ้ากล้าหาญพอ....”
 
“.....แม่ครับ...”
 
“ไปนอนกันเถอะ”  แม่ยิ้มออกมาอีกครั้ง เธอถือแก้วกระเบื้องไปแช่ไว้ในอ่างล้างจาน ก่อนจะเดินนำเข้าห้องนอนไป
 
บทเรียนทุกอย่างที่แม่เป็นคนสอนผมจำได้ขึ้นใจ บางอย่างก็ได้ใช้ บางอย่างก็ไม่ได้ใช้
 
เรื่องทางเลือกเมื่อกี้ก็เหมือนกัน เพียงแต่ ในครั้งนี้ผมแทบไม่เห็นความจำเป็นอะไรในเรื่องนี้ซักเท่าไหร่ จริงอยู่ว่าตั้งแต่เกิดคนเราต้องมีทางเลือกเป็นของตัวเองทุกคน ทว่า...อะไรที่มันดีอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว....
 
เราก็ไม่ควรจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ใช่หรือไง ?....
ก็แค่ปล่อยให้มันเป็นไป...อย่างที่มันควรจะเป็น ...

 

IN TIME
** เนื้อเรื่อง และตัวละครทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องที่ผู้เขียนจินตนาการขึ้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
______________________________
{ 1 - HOUR  }
Fate

 
 
ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนขอบฟ้า หากนักศึกษากลุ่มใหญ่ที่ปักหลักอยู่บนม้านั่งยาวในโซนตะวันตกของโรงอาหารกลับไม่กระดิกเลยซักคน แสงไฟที่เปิดขึ้นโดยอัตโนมัติพอจะส่องให้เห็นว่าคนหัวโต๊ะที่นั่งกำปึกชีทเล่มเบ่อเริ่มหน้าเครียดแค่ไหน
 
“พ่อคือพระเจ้าซุกจง...แม่คือพระสนมซุกบิน....มีมเหสีสาม...ไม่สิสอง...”
 
“แต่ไม่มีลูกกับมเหสีสักองค์ ก็เลยต้องรับสนมเข้ามาอีก...แล้วแกรู้ไหมว่าพระเจ้ายองชางมีพระสนมกี่พระองค์ ” ลี บยอล นักศึกษาปีหนึ่งท็อปประวัติศาสตร์ชาติตัวเองที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยสวนขึ้นมา ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบขนมกรุบกรอบชิ้นสุดท้ายมาใส่ปาก
 
“โอ้ย....อย่ามาถามพวกกูเลยนะบยอล  รีบ ๆ เฉลยแล้วปล่อยพวกกูไปเถิดดดด”
 
น้ำเสียงอ่อนแรงจากคนที่นั่งอยู่ด้านขวาประท้วงขึ้นมาเบา ๆ ฟังดูน่ารำคาญซะจนคนที่ ‘อุตส่าห์’ สละเวลาอันมีค่ามานั่งติวให้พวกมันฟรี ๆ ถึงกับม้วนปึกชีทแล้วตบไปแรง ๆ ที่กลางกระหม่อมคนพูด
 
“เลิกคิดไปได้เลย...ถ้ามึงยังท่องไม่ได้ครึ่งที่คนอื่นท่องได้น่ะ !”
 
แขนเรียวทำท่าจะยกปึกชีทขึ้นตีกบาลเพื่อนอีกทีสองที แค่นี้ล่ะมาทำอิดออด ทีไปกินเหล้า เคล้านารีล่ะขยันกันซะเหลือเกิน ดีนะที่จีซูมันห้ามเอาไว้ซะก่อน ไม่งั้นพ่อตีกบาลแยกแน่ !
 
ไม่เคยจะสำนึกเลยยยย ! ทุกครั้งที่เขาสละเวลาอันมีค่าที่จะต้องไปสอนพิเศษวิชาสังคม ฯ ให้น้องข้างห้อง เพี่อมาติวหนังสือให้พวกมันก่อนสอบเนี่ย มันอะไรกันนักกันหนา เรื่องที่เขาจะต้องมานั่งพร่ำพรรณายังกับเป็นแม่คนที่สองของพวกมัน
 
ทั้งกราบทั้งไหว้ ให้อ่านหนังสือกันมาก่อน จะได้ไปไว ๆ แต่พอก้มลงมองดูนาฬิกาแล้วก็ต้องท้อใจนี่ก็เกือบเที่ยงคืนกว่า... พรุ่งมีสอบตอนแปดโมงเช้า แต่นี่ยังไม่ถึงไหนเลย เพิ่งจะท่องประวัติกษัตริย์องค์ที่ 21 ได้เอง....

อยากจะบ้าตาย...
 
“อ้าว...แล้วนี่มึงจะไปไหนวะบยอล....” จินซอกที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือประวัติศาสตร์เอ่ยถามคนติวที่อยู่ ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นจากม้านั่ง
 
“ไปซื้อสเบียงให้พวกมึงไง....วันนี้คงจะถึงเช้า” เจาะจงคำพูดไปที่เจ้าคนขี้เกียจที่ตอนนี้วิญญาณออกจากร่างไปแล้ว ก่อนจะหันมาถามอีกสามคนที่เหลือ “พวกมึงจะเอาอะไรเพิ่มอีกไหม ?”

“เอาพารา” ใครบางคนในกลุ่มเอ่ยขึ้นมา  บยอลเพียงพยักหน้าเป็นอันรับรู้ แล้วรีบคว้ากระเป๋าเดินออกจากตรงนี้ เพราะรู้ว่าหากไม่รีบกลับมา เจ้าพวกนี้คงใช้โต๊ะติวหนังสือเป็นเตียงนอนชั่วคราวแน่ !


 
___________________________________________________
___________________________________________________

มีต่อ

ออฟไลน์ VIRIDIAN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
เหลืออีก 9 นาทีจะเที่ยงคืน

บยอลเดินก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือออกมาจากร้านคอนวิเนียนตรงข้ามสามแยกที่ประตูเล็กของมหา’ลัย เด็กหนุ่มหิ้วถุงสเบียงสองสามถุงที่ประกอบไปด้วย โค้ก, ลูกอม, ยาชูกำลัง, เกลือแร่, หมากฝรั่ง,ฮันนี่บัตเตอร์ชิพ*,และพารา สำหรับนักศึกษาเตรียมสอบที่ต้องเผชิญชะตากรรมอันปวดร้าว เพราะพวกเขาจำเป็นต้องโต้รุ่งกันจนกว่าจะสอบเสร็จ   
 
ขาเรียวก้าวตามจังหวะปกติ พร้อมกับฮัมเพลงโปรดท่ามกลางอากาศเย็นสบายในค่ำคืนของฤดูใบไม้ผลิ ทว่า...ถ้าฟังไม่ผิด เหมือนกับหูของเขาจะได้ยินเสียงสะท้อนของจังหวะการเดินซ้อนขึ้นมาอีก 1 จังหวะ....
 
เสียงนั่นกระตุ้นให้บยอลเม้มริมฝีปากอัตโนมัติ ไม่หรอกน่า ไม่น่าใช่ผีสางนางไม้ที่ไหน...
 
ถึงแม้จะคิดอย่างนั้นก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าจะกล้าหันกลับไปมองตรง ๆ นี่นา เด็กหนุ่มใช้มือที่ว่างล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง  เขากำไอโฟนแน่นจนมันเริ่มชื้นเหงื่อ พร้อมกับเร่งจังหวะของฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น
 
ทว่า...ยิ่งทำแบบนั้นยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าอีกคู่
ชัดเจนเสียเหลือเกิน....
 
“เฮ้ย !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” 
 
บยอลตะโกนลั่น เมื่อเขาตัดสินใจยกไอโฟนขึ้นมาในระดับสายตา แล้วมองผ่านกระจกสีดำที่สะท้อนภาพให้เห็นด้านหลังอย่างชัดแจ้ง
 
คนร้ายในชุดดำ ใส่หมวกไอ้โม่งปิดหน้าถือมีดเดินตรงเข้าประชิดตัวทันทีที่เขากลับหลังหัน เด็กหนุ่มคล้องถุงจากร้านคอนวีเนียนไว้กับแขนทั้งสองข้าง
 
“แก....อ...อย่าเข้ามานะ”
 
“มีเงินเท่าไหร่เอามาให้หมด....ไอโฟนนั่นด้วย ส่งมาเดี๋ยวนี้!!!”
 
เสียงทุ้มพูดต่ำเป็นเชิงขู่ แต่เรื่องอะไรบยอลจะยอม ! เงินในกระเป๋าตังค์ทั้งหมดเป็นค่าใช้จ่ายเดือนนื้ทั้งเดือนของเขาเลยนะเว้ย !!!  ไอโฟนก็ยังผ่อนไม่หมดเลยด้วยซ้ำ ! อยู่ ๆ มาขอกันแบบนี้มันง่ายไปรึเปล่าวะ ไอ้โจรสารเลวนี่!!!
 
“ไม่....”
 
เด็กหนุ่มตอบออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว....ขอทีเถอะ ! เรื่องทางเลือกอะไรนั่น ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังเป็นมนุษย์ที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงอยู่วันยังค่ำ ถ้าให้กระเป๋าตังค์มันไปก็ต้องไปวิ่งวุ่นทำบัตรอะไรทั้งหลายทั้งแหล่ในนั้นใหม่หมด... แถมยังต้องเปลี่ยนกระเป๋าตังอีกใช่ไหม ?
 
รู้สึกว่านี่จะหลงประเด็นไปหน่อยนะ.... แต่ช่างเถอะ
 
บยอลก้าวถอยหลังช้า ๆ ดูท่าทีของไอ้โจรห้าร้อยตรงหน้า แต่พอเห็นว่ามันคงไม่วิ่งมาแทงเข้าแน่ ๆ แล้ว ร่างโปร่งก็หมุนตัวกลับหลังหันแล้วออกวิ่งทันที
 
“ช่วยด้วยคร๊าบบบบ ช่วยผมด้วยผมโดนปล้น !!!!!!!!!!!!!!”
 
เด็กหนุ่มวิ่งร้องแรกแหกกระเชอ แหกปากให้ดังที่สุดเท่าที่จะดังได้ ทำไปพร้อม ๆ กับคอยหันไปมองไอ้โจรสารเลวที่วิ่งไล่กวดตามมาติด ๆ เวรเอ้ย ! ทำแบบนี้แล้ว นึกว่ามันจะวิ่งหนีไปแท้ ๆ
 
บยอลกลั้นใจวิ่งไปเรื่อย ๆ จนเริ่มหมดแรง ถุงในมือก็หนักเหลือเกิน จะทิ้งดีไหม เด็กหนุ่มวิ่งไปคิดไปโดยที่ไม่ทันได้มองว่าบัดนี้ โจรที่วิ่งตามตัวเองอยู่งอกมาจากไหนไม่รู้อีกคน
 
“หนอยแน่ ! แหกปากดีนักนะแก !”
 
โจรที่ถือมีดวิ่งตามหลังมาก่อนจะเข้าประชิดตัวเด็กหนุ่ม  มันใช้แรงทั้งหมดที่มีเงื้องมือขึ้นและ....
 
ซวบ!
 
เพียงปลายมีดพกแหลมคมฝังเนื้อลงไปใต้ผิวหนังที่สีข้างขวา ก็ทำให้บยอลชะงักเท้าแทบจะในทันที ร่างโปร่งเบิกตาโพลงก่อนจะทรุดลงครึ่งหนึ่ง มือเรียวข้างซ้ายเอื้อมมาแตะรอยเหวอะที่ดูเหมือนจะซึมเลือดออกมาเรื่อย ๆ ใบหน้าขาวเหยเกด้วยความเจ็บปวด  แต่ถึงอย่างนั้นดวงตาก็ยังไวพอที่จะสังเกตเห็นแสงไฟดวงเล็ก ๆ จากมอเตอร์ไซค์ที่กำลังจะขับผ่านมาทางนี้ในไม่ช้า
 
“ช่วย.......ด้.........อึก”
 
ปึก !
 
เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายที่ใช้ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือเห็นทีจะไม่ได้ผล เพราะโจรสารเลวอีกคนที่เพิ่งตามมาถึงใช้ขวดแก้วฟาดเข้าที่ท้ายทอยของร่างบางอย่างแม่นยำ จนร่างทั้งร่างนั้นล้มลงไปกองกับพื้นต่อหน้าต่อตา....
 
บยอลราวกับจะไร้ความรู้สึกไปแล้ว เขาเห็นแค่เพียงแสงไฟพร่าจากที่ไกล ๆ มันช่างเลือนรางซะจนเขาเองก็คิดว่าเป็นแค่มโนของตัวเองก่อนตาย...
 
คนที่เขากำลังจะตายคงจะรู้สึกแบบนึ้สินะ....
 
 
___________________________________________________
___________________________________________________

 
ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่วัน กี่ชั่วโมงแล้วที่เขาเอาแต่นอนนิ่ง ๆ อยู่แบบนี้  ความรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ จากรอยแผลที่ถูกแทงยังคงทรมานเขาอยู่จนทำให้นอนไม่หลับ... ทำไมสวรรค์ถึงใจร้ายกับเขาแบบนี้ จะให้ตายทั้งทีจะตายแบบไม่เจ็บก็ไม่ได้ !!!
 
เด็กหนุ่มพยายามข่มตาหลับอีกครั้ง เอาล่ะ...จริง ๆ แล้วพวกเหล่าเทพอาจจะกำลังทดสอบเขาอยู่ก็ได้  คิดอย่างนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างแรง ยกมือขึ้นมาประสานกัน จากก่อนหน้านั้นที่มือทั้งคู่ปล่อยให้มันตกอยู่ข้างลำตัว

“เฮ้ย....ไอ้หนุ่มนี่ยังไม่ตาย !!!”
 
เสียงตะโกนลั่นดังมาจากบนหัวของบยอล ทำเอาเจ้าตัวรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย ยังไม่ตายบ้าบอคอแตกอะไรกันล่ะ อย่ามาโกหกกันหน่อยเลย !   ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเขากำลังนอนรอเทพธิดาแห่งความตายมารับอยู่นี่ !!
 
“เฮ้ย !!! ยังไม่ตาย มันยังไม่ตาย !!”
 
เสียงของอีกคนดังขึ้น ทีนี้ดังมาจากที่ไกล ๆ ก่อนนิ้วของใครซักคนจะสัมผัสลงบนใต้คางเยื้องลงไปใต้สันกรามของเขา  ลีบยอลตกใจสุดขีด เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงขึ้นมาก่อนที่เจ้าของเสียงอีกคนจะวิ่งเข้ามาประชิดตัวได้
 
“เฮ้ย ! ไอ้หนุ่มนี่ ตกใจหมด!”เจ้าของนิ้วที่สัมผัสเขาว่าเสียงดัง  แถมมองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า....
 
ทั้งคู่ทำหน้าเหมือนเห็นผีเมื่อมองมาทางเขา  บยอลนึกในใจว่าน่าจะเป็นเขามากกว่าที่ควรจะตกใจ ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้เขาควรจะตายไปแล้วไม่ใช่หรือไง ? แล้วทำไมอยู่ดี ๆ ถึงได้มีผู้ชายชุดตำรวจในสมัยโชซอนมายืนเสนอหน้าจังก้าปาทังก้าอยู่หน้าเขากันล่ะเนี่ย...
 
แถมรอบ ๆ ตัวตอนนี้ก็มีแต่คนใส่ชุดฮันบกเดินไปเดินมาในตรอกเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นตลาด นี่มันไม่ใช่วันสำคัญอะไรไม่ใช่หรือไง ? แล้วทำไมมาเดินขวักไขว่อะไรกันอยู่ได้....
 
หรือว่า....
 
“กล้องอยู่ไหน !....พี่บอกผมมาเถอะว่ากล้องอยู่ไหน เลิกแกล้งผมเถอะนะ แล้วช่วยพาไปส่งที่โรงพยาบาลที”
 
พูดไปพูดมาก็พาลเจ็บแผลขึ้นมาอีก เด็กหนุ่มขอร้องแกมบังคับพลางเอื้อมมือไปกดที่ปากแผลตรงบั้นเอวด้านหลังของเขา โลหิตแดงฉานทะลักออกมาจนเปรอะมือไปหมด ต้นเหตุจากกลิ่นคาวคลุ้งถูกยื่นไปตรงหน้าเจ้าหน้าที่กรมตำรวจสองคนทันที
 
“มันพูดอะไรไม่รู้เรื่องรู้ราว แถมยังแต่งตัวประหลาดอีก สงสัยจะไม่แคล้ว ต้องเป็นคนบ้าแน่ ๆ...แต่ข้าว่ารีบพามันไปส่งที่โรงหมอเถอะ ก่อนที่มันจะตายซะก่อนจะได้สืบสวนอะไร” 
 
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น”
 
เจ้าหน้าที่กรมตำรวจทั้งสองนายค่อย ๆ พยุงร่างบางขึ้นจากพื้น  แต่ก่อนจะได้พยุงกันเข้าไปข้างทาง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดเสียก่อน   
 
“ข้าได้ยินเสียงเอ็ดตะโร...มาจากด้านใน ”
 
หญิงสาววัยกลางคนในชุดซังกุงสีเขียวเข้มเดินนวยนาดออกมาจนพ้นประตูไม้บานใหญ่ของบ้านฝั่งตรงข้ามตลาด  หล่อนสาวเท้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ บยอลเห็นแค่นั้นแหละ เพราะเจ้าหน้าที่สองนายถึงกับทิ้งเขาลงกับพื้นทันทีที่ผู้หญิงในชุดซังกุงคนนั้นมาประชิดถึงตัว
 
“นายหญิง”
 
ตำรวจสองนายโค้งคำนับหญิงสาวในชุดซังกุงทันที  หล่อนเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ เท่านั้น ก่อนดวงตาประดุจเหยี่ยวจะหยุดลงตรงที่มนุษย์ประหลาดนั่งก้มหน้าอยู่ เด็กหนุ่มที่ตำรวจสองนายทิ้งลงกับพื้นเมื่อครู่ช่างติดใจหล่อนยิ่งนัก...
 
“กำลังจะพาเขาไปไหน....” เจ้าของน้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยถามขึ้น
 
“โรงหมอขอรับ...เจ้าหนุ่มนี่บาดเจ็บมา....”
 
“ผ..ผมจะไม่ไหวแล้วนะ....”
 
ไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรต่อบยอลก็สวนขึ้นมาทันทีเพราะเริ่มจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าทำไมผู้กำกับไม่สั่งคัตซักที  นี่คนทั้งคนกำลังจะตายต่อหน้าต่อตาแล้วนะ ยังมายืนเล่นละครย้อนยุคอะไรกันอยู่ได้....
 
“สามหาว ! เจ้าบ้านี่ นายหญิงยังไม่ได้สั่งให้พูด เจ้าพูดแทรกขึ้นมาได้ยังไง!” ตำรวจหนุ่มตวาดลั่น
 
“แต่ผม...จะตายแล้ว...ไม่ไหวแล้ว เจ็บ....เจ็บมาก ได้โปรดบอกผู้กำกับคัตเถอะนะครับ...” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากพื้น
 
“หุบปากเดี๋ยวนี้นะเจ้าค...../ เจ้านั่นแหล่ะหยุดเดี๋ยวนี้ !”  ไม่ทันที่นายตำรวจอีกคนจะได้พูดจบ ‘นายหญิง’ ที่พวกเขาเรียกก็ตะโกนสวนขึ้นมาทันที !
 
ลีบยอลเงยหน้ามองผู้หญิงในชุดซังกุงด้วยความไม่เข้าใจ ว่าอยู่ ๆ ทำไมตอนที่หล่อนเห็นหน้าเขาเมื่อครู่ เพิ่งจะเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ ...ทำไมหล่อนถึงได้ร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ แต่ก่อนจะได้พูดอะไรดวงตาก็เหมือนจะพร่าลงอีกครั้ง.... 
 
ความมืดเข้าทดแทนทุกสิ่ง ยกเว้นเสียงเซ็งแซ่ที่ดังอยู่ข้างหูตลอดเวลา.....
และสิ่งสุดท้ายที่เขาได้ยินนั่นก็คือ...
 
“อย่าเป็นอะไรนะเพคะ”

“...”

“องค์ชายบยอล !!”

 
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> TBC


ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ
เกาหลีย้อนยุคอ่านไม่ยากน้า 
จริงๆเป็นฟิคมาก่อน (ตั้งแต่ปี  56 ) แต่ตอนนี้ไม่ได้เขียนฟิคแล้ว
แต่อยากจะสานต่อให้เรื่องนี้จบ ก็เลยเอากลับมาเขียนต่อเป็นเวอร์ชั่นนิยาย

ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะค๊า



ออฟไลน์ VIRIDIAN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1

“....ยอล”
“....บยอล”
“ฟื้นเถอะนะบยอล”
 
เสียงเรียกดังผะแผ่วประสานกับสายลม พัดอ่อน ปะทะใบหน้าของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนฟูก ก่อนมือเรียวจะเริ่มกำหมัดแน่นจนสะท้านไปทั้งแขน อาการกระสับกระส่ายที่ดูท่าไม่ค่อยจะดีนักทำให้หญิงวัยกลางคนตัดสินใจลุกออกจากเบาะรองนั่งทันที
 
“แม่ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
 
 
 
IN TIME
** เนื้อเรื่อง และตัวละครทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องที่ผู้เขียนจินตนาการขึ้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
______________________________
{ 2 - HOUR  }
PRINCE

 
 
 
 
เฮือก !!!!!
 
วินาทีแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ลีบยอลรู้สึกได้ถึงเหงื่อกาฬที่ชื้นอยู่ตามไรผม ถึงแม้หูของเขาจะไม่ได้ยินเสียงของแม่อีกแล้วก็ตาม แต่มันยังคงดังก้องอยู่ในใจ เขาจำได้ดี วิธีการเรียก น้ำเสียงสั่นเครือแบบนี้ แม่กำลังร้องไห้อยู่แน่ ๆ...
 
แล้วทำไมแม่ต้องร้องไห้ด้วยล่ะ...
 
ร่างโปร่งขมวดคิ้ว พยายามตั้งสติให้อยู่กับเนื้อกับตัว ใบหน้าขาวหันซ้าย หันขวาสำรวจห้องที่เขาอยู่ แล้วก็พบกว่าไม่มีใครในนี้นอกจากตัวเองอีก  เด็กหนุ่มค่อย ๆ พยุงตัวให้สามารถนั่งขัดสมาธิได้ ทว่าบาดแผลที่ได้รับมานั้นทำให้เขารู้สึกไม่อยากนั่งต่อไปอีกแม้ซักนาที เพราะมันตึงไปหมดจนเริ่มปวด....
 
บยอลทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง ดวงตากลมมองเพดานด้านบน ไล่มาจนถึงผนังดิน หน้าต่างกระดาษสา แล้วก็ข้าวของที่วางกองกันอย่างเป็นระเบียบอยู่บนพื้นทั้งหลาย และที่น่าแปลกใจคือแสงสว่างภายในห้องมาจากการจุดเทียนแทนที่จะเปิดไฟทั้งสิ้น
 
นี่มันประหลาดมาก ๆ เขาเคยได้ยินมาจากเพื่อนที่ทำงานในกองถ่ายว่า สตูดิโอที่ถ่ายทำละครย้อนยุค ถึงแม้จะถูกตกแต่งให้เหมือนกับของโบราณยังไง ก็ต้องมีเต้าไว้ให้ เสียบปลั๊กสปอร์ตไลท์บ้างล่ะ
 
บยอลล้วงไอโฟนที่ผ่อนมาด้วยน้ำพักน้ำแรงขึ้นมาส่องหน้า ก่อนจะกดปลดล็อค แล้วก็ต้องพบกับความจริงที่ว่าที่นี่มันทุรกันดารมากแค่ไหน แค่สัญญาณโทรศัพท์มือถือยังเข้าไม่ถึง แล้วเขาจะโทรหาแม่ให้มารับได้ยังไงกันล่ะเนี่ย...
 
“องค์ชายบยอลทรงฟื้นแล้ว”
 
ทว่าน้ำเสียงตื่นตระหนกที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งตกใจจนไอโฟนเครื่องโปรดหลุดมือกลิ้งลุน ๆ ไปหยุดอยู่แทบฝ่าเท้าของผู้ที่เข้ามาใหม่
 
หญิงวัยกลางคนในชุดซังกุงวางถาดโจ๊กหอมกลุ่นลงกับพื้น ก่อนจะถลาเข้ามาทำท่าจะหยิบไอโฟนของเขา แต่ร่างโปร่งรีบตะโกนห้ามไว้ก่อน พออีกฝ่ายหยุดนิ่งไม่ไหวติง บยอลจึงไถลตัว ใช้สองมือถัดตัวเองไปจนถึงที่  ก่อนจะเอื้อมแขนไปหยิบมันมาซ่อนเอาไว้ด้านหลัง...
 
ว่าแต่จะซ่อนทำไมล่ะเนี่ย....
 
“องค์ชาย....”
 
หล่อนพูดพร้อมทำหน้าหน่ายใจ แต่เด็กหนุ่มหาสนใจไม่ ร่างโปร่งกลิ้งตัวเองไปอยู่บนฟูกเสียดิบดี นอนกระพริบตามองอีกฝ่ายปริบ ๆ
 
“องค์ชายเพคะ เสวยอะไรสักหน่อยนะเพคะ บรรทมไปสามวัน ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ร่างกายจะไม่มีแรงสมานแผลนะเพคะ”

บยอลเม้มริมฝีปากแน่น เขาชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองอยู่ที่ไหนกันแน่ ไอโฟนก็ไม่มีสัญญาณ แถมคนที่นี่ก็แต่งตัวในชุดประจำชาติเดินขวักไขว่ไปไหนมาไหนกันเป็นเรื่องปกติ แล้วที่สำคัญที่สุดคือ...ผู้หญิงคนนี้รู้จักเขา ! แถมเอาแต่เรียกเขาว่าเจ้าชาย องค์ชายอะไรนั่นมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว....
 
บยอลขมวดคิ้ว จ้องลึกเข้าไปในดวงตาอีกฝ่าย และเมื่อเห็นว่าเขามองหล่อนด้วยสายตาอย่างไร ผู้หญิงในชุดซังกุงก็ถึงกับกลืนก้อนสะอึก ! หยาดใสจากน้ำในแก้วตามันคลออยู่ที่ในเบ้านั้น! 

“อย่าทรงประท้วงด้วยการทำร้ายตัวเองถึงเพียงนี้เลยนะเพคะ....” หล่อนเอ่ยเสียงแผ่วพลางเลื่อนชามโจ๊กมาทางเขา “เสวยสักนิดก็ยังดีเพคะ อย่าให้หม่อมฉันต้องระทมใจไปกว่านี้เลย” 

บยอลไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์นี้คืออะไร เขายังคงหันซ้ายหันขวามองหากล้องถ่ายทำภาพยนตร์สักตัวเพื่อคอนเฟิร์มว่าสิ่งที่เขากำลังคิดเล่น ๆ อยู่นี่ไม่ใช่เรื่องจริง.... ใช่ สิ่งประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเริ่มทำให้เขาคิดตลก ๆ แล้วว่า—

เขาอาจกำลังเดินทางย้อนกลับมาในปีใดสักปีของยุคโชซอนก็ได้...
แต่ไม่หรอกมั้ง จะเป็นอย่างนั้นได้ไง? เรื่องแบบนั้นมันมีแต่ในละครเท่านั้นแหละ

“ป้าครับ...นี่เราไม่ได้กำลังถ่ายหนังกันอยู่ใช่ไหม?” 

ถามย้ำเพื่อความมั่นใจอีกที แต่คำตอบที่ได้จากใบหน้าฉงนสงสายจากอีกฝ่ายกลับทำให้บยอลหนาววาบไปทั้งหลัง เท่านั้นเด็กหนุ่มก็ลุกพรวดขึ้นจากฟูกโดยไม่สนอาการเจ็บแปลบใด ๆ รีบถลาไปเปิดประตูฟางที่ปิดสนิทอยู่ และพบกับความจริงที่ว่า...

ด้านนอกไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งทันสมัยเลย...

ล้อเล่นแน่ ๆ นี่อาจจะเป็นรายการสาระแนโชว์ก็ได้

ถึงจะพยายามคิดปลอบใจตัวเองอย่างนั้นก็เถอะ แต่บรรยากาศภายนอกที่เห็นเมื่อครู่ไม่มีอะไรบอกบยอลเลยว่านี่คือยุคปัจจุบัน ไม่มีเสาไฟฟ้า ไม่มีตึกรามบ้านช่อง ไม่มีรถที่ขวักไขว่ ไม่มีสัญลักษณ์อะไรยืนยันได้เลยว่าเขาไม่ได้หลงยุคมา

บยอลเดินเซกลับมาที่ฟูกผืนเดิม เขาทรุดตัวลงนั่งช้า ๆ เพราะคิดอะไรไม่ออก แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปากถามอะไร ซังกุงคนเดิมก็ถอนหายใจ ปาดน้ำตาแล้วเอี้ยวตัวหันไปหยิบกล่องปริศนามาวางไว้ตรงหน้าเขา
 
“นี่อะไรครับ ?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน  แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ จากซังกุงที่นั่งอยู่ตรงหน้า หล่อนเพียงแค่ยกฝาเปิดมันออก เผยให้เห็นเครี่องทรงผ้าไหมสีกรมท่ามันวับ ที่ปักตรามังกรด้วยดิ้นสีเงิน ความสง่างามของตราประจำราชวงศ์ที่เคยเห็นแต่ในหนังสือมันกระแทกเข้าลูกกะตาบยอลอย่างจัง
 
“หม่อมฉันจะขอร้องกับพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย...หากไม่ทรงคิดถึงตัวพระองค์เอง ก็ขอให้นึกถึงพระมารดาที่ต้องเจ็บปวดและอับอาย”
 
“......” ฟังเท่านั้น บยอลก็ลุกขึ้นมานั่งนิ่งฟังอีกฝ่ายอย่างให้เกียรติ เขาไม่เถียง หรือถามอะไรออกมาซักคำ เขาแค่เงียบ แล้วรอให้ซังกุงตรงหน้ากลืนก้อนสะอึกลงคอ และจัดการกับหยดน้ำตาที่รินออกมาอาบแก้มหล่อนอีกรอบเสียก่อน
 
“ขอได้โปรด เอาคืนพวกมันให้สาสมกับที่เคยทำไว้กับพระมารดาของพระองค์ด้วยเถอะนะเพคะ”
 
“เอาคืน ?” บยอลทวนคำ
 
“ได้โปรดเสด็จกลับเข้าวังเพื่อรับตำแหน่งเป็นรัชทายาทของประเทศนี้ด้วยเถิดเพคะ”
 
“อะไรนะ? ระ...รัชทายาท !!!!!!” เด็กหนุ่มตะโกนลั่น ดวงตาเบิกโพลงเท่าไข่ห่าน
 
วินาทีที่หล่อนก้มลงคำนับเขากับพื้นนั้นทำให้บยอลเริ่มจะสำนึกได้ว่านี่มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ซะแล้ว... เด็กหนุ่มเริ่มออกอาการรนรานทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะเอามือทั้งสองข้างของเขาไปไว้ที่ไหน เพราะตอนนี้มันเกะกะไปซะหมด
 
“เอ่อ...ผมไม่ใช่คนที่ป้าคิดนะครับ ผมเป็นนักศึกษา เป็นแค่นักเรียนปีหนึ่งเอง”  บยอลพยายามจะอธิบาย ชักไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องล้อเล่นงี่เง่าแล้ว

“องค์ชาย...ขอได้โปรดเถอะเพคะ...ได้โปรดกลับมาเข้มแข็ง และเป็นกำลังสำคัญให้กับขุนนางฝ่ายใต้ด้วยเถอะเพคะ...อย่ามัวเล่นละครเป็นคนสติไม่เต็มเต็งเหมือนแต่ก่อนเลย...ตอนนี้คือโอกาสที่พระองค์จะได้เอาคืนแทนพระมารดาแล้วนะเพคะ”
 
หล่อนไม่เพียงไม่ฟังเขา แต่ยังพูดสวนขึ้นมาเป็นชุด เพราะอย่างงั้นบยอลจึงหมดคำจะพูด เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาหลับตาปี๋ คิด คิด คิด ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ต่อไป 
 
ใช่แล้ว ! อย่างน้อยเขาควรจะรู้เสียก่อนว่านี่เป็นรัชสมัยของพระเจ้าอะไรสินะ !!!
 
“เอ่อ...ป้าซังกุงครับ...ไม่ทราบว่า...นี่เป็นรัชสมัยของกษัตริย์องค์ไหนหรอครับ ? ” บยอลกลั้นใจถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ อย่างน้อยเขาก็มีสิทธิ์ที่จะรู้บ้างสิ !  แต่คำตอบที่ได้กลับทำให้เขาฉงนหนักเข้าไปใหญ่...
 
“...พระองค์ทรงลืมคนที่พระองค์โกรธแค้นได้ยังไงกันเพคะ?”

โว้ย ถามป้าเนี่ย ไม่ใช่ให้ป้ามาถามต่อนะ! นี่มันเรื่องอะไร แล้วเจ้าองค์ชายบยอลอะไรนี่ไปโกรธใครที่ไหนกันล่ะวะ ! เขาจะไปรู้เรื่องได้ยังไงเนี่ย... บยอลเกาหัวแกรก ๆ  ก่อนจะเอ่ยถามทวนที่อีกฝ่ายพูด “โกรธแค้น ?....โกรธใคร ?” 
 
“ก็โกรธพระเจ้ายอนชางยังไงละเพคะ...”  ซังกุงตอบเสียงเรียบ ในตาดวงนั้นมีแววอาฆาต “องค์ชายบยอลทรงลืมไปแล้วหรือเพคะ? ทรงลืมคนที่แย่งตำแหน่งพระราชาของแผ่นดินนี้จากพระองค์ได้อย่างไร”
 
“เอาจริงดิ”  บยอลไหล่ตก อุทานเป็นภาษาวัยรุ่นเสียงแผ่ว ลมแทบจับ เอาจริงๆ เขาแทบไม่รู้แล้วว่าป้าซังกุงนี่คิดอะไรต่อจากสีหน้าท่าทางของเขา แต่พระเจ้ายอนชางงั้นหรอที่องค์ชายบยอลคนนี้รังเกียจ... เอาจริงดิ นี่จะเล่นตลกกันเกินไปแล้วนะครับ สวรรค์
 
บยอลไม่รู้หรอกว่าคนอื่นมีความหลังกันมายังไง ถ้าหมายถึงองค์ชายบยอลที่ป้าซังกุงนี่ยัดเยียดให้เขาเป็นก็อาจจะจะเป็นไปได้ แต่สำหรับลีบยอล นักศึกษาคณะสังคมวิทยาอย่างเขาคนนี้ไม่มีทาง ! บอกได้เลยว่าที่เขาตัดสินใจเลือกเรียนเอกวิชา ประวัติศาสตร์ก็เพราะพระเจ้ายอนชางเนี่ยแหละ !!!!
 
พระองค์ทรงเป็นพระไอดอลในใจเขาเลย... ทั้งพระราชกรณียกิจทั้งหลายที่ทรงงานอย่างหนัก อีกทั้งยังห่วงใยประชาชน ออกเยี่ยมราษฎรที่ตกทุกข์ได้ยาก ลดความหรูหราในราชสำนักเพื่อลดค่าใช้จ่ายในวัง กับภาษีของพวกชนชั้นต่ำ  ทศพิธราชธรรมมา 10 เต็ม 10 อย่างนี้จะไม่ให้รักได้ยังไงกัน !
 
โอ...แต่พอวนกลับมา สิ่งที่เขากำลังจะต้องเผชิญทำเอาแทบจะเป็นลมทั้ง ๆ ที่ยังนั่งอยู่ไปอีกรอบ...
 
สรุปเลยแล้วกัน...ถ้าเป็นอย่างที่ป้าซังกุงพูดมาจริง ๆ งั้นตอนนี้เขากับพระเจ้ายอนชางก็ไม่ต่างอะไรกับศัตรูกันดี ๆ นี่เอง...
 
โธ่....เป็นศัตรูกันแล้วเดินถือไอโฟนไปขอถ่ายรูปด้วยได้ยังไงกันล่ะเนี่ย... เอ๊ะ...ชักจะหลงประเด็นไปรึเปล่านะ...แต่ช่างเถอะ T_T

“ป้าชื่ออะไรนะครับ” ถึงจะรู้ว่าเป็นคำถามที่ไม่ควรถาม แต่เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วยังไงก็ต้องถาม  บยอลจ้องหน้าอีกฝ่ายที่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบเมื่อต้องตอบคำถามเรื่องชื่อสกุล ทั้งที่องค์ชายบยอลก็รู้จักหล่อนมาตั้งเกิด  พาลคิดไปว่าองค์ชายอาจจะเสียพระสติจริงๆแล้วก็เป็นได้

“ยุนเพคะ...ยุน ด็อกฮวา หรือยุนซังกุงไงเพคะ”
 
“อ่าครับ ป้ายุน”  เด็กหนุ่มเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะกระซิบพูดเสียงแผ่ว  “...ผมปวดหัวครับป้ายุน ยังไงช่วยออกไปจากห้องนี้ก่อนได้ไหมครับ ผมอยากคิดอะไรคนเดียวสักพัก”  พูดจบก็ซบหน้าลงกับมือด้วยความห่อเหี่ยว ยังแอบช็อก ยังรับกับชะตากรรมที่ตัวเองต้องเผชิญต่อไปในภายภาคหน้าไม่ได้
 
“ขออภัยด้วยเพคะองค์ชาย ถ้าอย่างนั้นพระองค์เข้าที่บรรทมเถอะเพคะ พรุ่งนี้ขบวนรับเสด็จกลับวังจะมากันแต่เช้า...”
 
พูดจบหล่อนก็ปิดฝากล่องที่วางอยู่ตรงหน้า แล้วยกมันไปไว้บนหัวนอนของเขา จัดเตรียมเสื้อผ้าชุนผ้าใหม่ให้ ก่อนจะบรรจงลุกขึ้น ไล่เป่าเทียนให้ดับทีละดวง ทีละดวงจนห้องทั้งห้องมืดสนิท
 
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่บยอลนอนลืมตาครุ่นคิดกับสิ่งที่ป้าซังกุงเสี้ยมเขาเมื่อกี้... มันก็น่าคิดอยู่นะว่าพระเจ้ายอนชางตกลงเป็นคนยังไงกันแน่ และถ้าคนที่เขามาสวมรอยนั้น เป็นเจ้าชายที่กำลังจะขึ้นเป็นองค์รัชทายาทจริง ๆ แล้วทำไมถึงได้อยู่ในบ้านดินต่ำต้อยแบบนี้กัน....แทนที่จะเป็นบ้านไม้หลังใหญ่ หรือ วังด้านนอกให้สมศักดิ์ศรี?
 
อีกอย่างคือ... ทำไมถึงต้องรับองค์ชายบยอลกลับไปเป็นรัชทายาทด้วย...
ทำไมกันนะ....
 
“โอ้ยยย นอนไม่หลับโว้ยยยยย” นอนกลิ้งไปมาในความมืดอย่างหงุดหงิดก็เป็นอันต้องลุกขึ้นมานั่ง เจ็บแผลก็ยังเจ็บ แต่ปกติตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลานอนของเขาซักหน่อย อีกอย่าง เขาเพิ่งจะเคยมาโชซอนเป็นครั้งแรก(แล้วใครเขามาหลายครั้งกัน=_=) ก็จะต้องเข้าวังแล้ว ?  แล้วถ้าเข้าวังจะได้ออกมาอีกไหม...   

จะได้ลองเที่ยวตลาดย้อนยุคอย่างที่เคยเห็นในหนังสือรึเปล่า
 
ทันใดนั้นเองที่สายตาไวกว่าความคิด เด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นชุดผ้าใหม่สีเขียวใบเตยกับคัด* ที่วางอยู่ข้าง ๆ กัน...ดูเอาก็รู้ว่าน่าจะเป็นขององค์ชายบยอลคนก่อน....
 
ถ้างั้น...ขอหม่อมฉันยืมไปใส่ไปเดินเล่นในตลาดก่อนแล้วกันนะองค์ชาย.....   
แล้วสัญญา...ว่าจะเอามาคืนแน่ ๆ !
 
___________________________________________________
*คัด –เป็นหมวกสำหรับผู้ชาย
ลักษณะเป็นสีดำโปร่ง ทรงสูง และมีสายผูกใต้คาง

___________________________________________________

ออฟไลน์ VIRIDIAN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
แสงนวลของดวงจันทร์คืนนี้ ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับแสงไฟจากร้านค้าที่เรียงตัวกันในตลาดหัวค่ำตรอกเล็ก ๆ ที่แตกแขนงยาวไปถึงกำแพงหินของวังหลวงช่างสั้นยิ่งนักหากเทียบกับที่ดินในเขตพระราชวังเคียงบก
 
แต่ละย่างก้าวจำเป็นต้องเดินไปด้วยความระมัดระวัง หากเรียวขาแกร่งของคนในชุดขุนนางสูงศักดิ์ที่อยู่ตรงหน้ากลับเดินไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย ไม่ได้อยากได้อะไรเป็นพิเศษ แค่อยากมาดูความเป็นอยู่ของคนธรรมดาที่ตนเองไม่เคยได้สัมผัสมานานแล้ว
 
อย่างน้อย ๆ ก็ยังอยากให้ตัวเองมีกลิ่นอายของมนุษย์หลงเหลืออยู่บ้าง สมัยก่อนตอนที่อยู่ข้างนอกกับท่านแม่มีความสุขแค่ไหนยังจำได้ ร้านพลุที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมตรอกแรกของจัตุรัสเมืองก็ยังคงอยู่ที่เดิม สถานที่แห่งความทรงจำทุกที่ยังเหมือนเดิม
 
มีแต่เขาเท่านั้นที่เปลี่ยนไป...
 
“ฝ่าบาท....ขอประทานอภัย”

เสียงจากด้านหลังเรียกเขาให้ตื่นจากภวังค์ ร่างสูงหันไปมองตามที่องครักษ์คนสนิทชี้ ภาพของคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอก่อนเวลาอันสมควรปรากฏขึ้นตรงหน้า เจ้าของใบหน้าหวานที่สมัยก่อนมีแต่รอยบูดบึ้ง ขุ่นเคืองส่งมาให้เขาบัดนี้กำลังทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อมีคนแปลกหน้ายืนล้อมอยู่อย่างหาเรื่อง

“ข้าคิดว่าเราควรเข้าไปช่วย...องค์ชายบยอลน่าจะเสียเปรียบอยู่นะ เจ้าว่าไง” 

หลังจากมองอย่างสังเกตการณ์พระราชาแห่งโชซอนก็เอ่ยออกมายิ้ม ๆ หากว่ากันตามจริงคงไม่มีทางเป็นอย่างที่พระองค์ตรัสอยู่แล้ว ทว่าสถานการณ์ตรงหน้าก็ดูเป็นอย่างที่ทรงว่าจริง ๆ
 
“แต่เข้าไปช่วย...จะดีหรือพะย่ะค่ะ....นั่นคือองค์ชายบยอลนะพะย่ะค่ะ”
 
พัค อินซารั้งพระราชาของประเทศเอาไว้ด้วยถ้อยคำน่าคิด ซึ่ง ลี อิลเข้าใจดีที่องครักษ์คนสนิทพูดแบบนั้น... เพราะว่าเป็นองค์ชายบยอลคนนั้น ลำพังคนแค่ห้าคนอาจยังไม่พอเป็นคู่ซ้อมของพระองค์เลยก็ว่าได้ ก็องค์ชายบยอลน่ะ เชี่ยงชาญด้านการต่อสู้เสียจนสมัยเขาเป็นเด็ก เสด็จพ่อยังเคยตรัสเล่น ๆ ว่าจะให้นำทัพทางหัวเมืองเหนือ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกองทัพของเราเลยด้วยซ้ำ

ทั้งที่คิดอย่างนั้นแท้ ๆ ทว่าภาพต่อมากลับทำให้เขาประหลาดใจ...
 
องค์ชายบยอลทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากหลบหมัด ไม่มีท่าทางของคนที่คล่องแคล่วในด้านการต่อสู้เลยซักนิด แม้แต่ท่วงท่าในการตั้งรับยังผิดพลาดไปหมด ราวกับจงใจเปิดทางให้ศัตรูทำร้ายตัวเองได้อย่างง่ายดาย
 
“ฝ่าบาท !!!!!”
 
เห็นท่าทีเสียเปรียบอย่างนั้น คนเป็นพี่อย่างพระองค์ก็อดไม่ได้ จึงตัดสินใจวิ่งฝ่าเข้ามาในวงล้อม คนที่ตัวเล็กกว่าเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาฉงนสงสัย น่าแปลกใจที่ไม่มีร่องรอยแห่งความไม่พอใจเคลือบไว้อย่างแต่ก่อน
 
“อินซา  พาบยอลไปยังที่ปลอดภัย !” ทรงรับสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าองครักษ์คนสนิทยังคงลังเล ก่อนจะตัดสินใจทำตามคำสั่งของเขาอย่างเสียไม่ได้
 
ลูกหลานของขุนนางชั้นสูงที่ยืนประจันหน้ากัน จ้องมองเขาอย่างเอาเรื่อง หนึ่งในนั้นเริ่มเปิดฉากโดยเหวี่ยงหมัดมาทางเขา หากร่างสูงทำแค่ยกมือขึ้นปัดหมัดนั้นออกอย่างง่ายดาย ก่อนจะเอ่ยชะงักการต่อสู้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เดี๋ยวก่อน”
 
“อะไรของเจ้า! เจ้าสามัญชนชั้นต่ำ!”


“ก่อนที่เราจะสู้กัน...ข้ามีเรื่องให้พวกเจ้าตัดสินใจ” แน่นอนว่า อิลคิดว่าตัวเองใจเย็นมากแล้วที่มายืนทำอะไรแบบนี้
 
ทว่าคนตรงหน้าหัวเราะเสียงดัง ทำราวกับว่าเขากำลังพูดอะไรที่น่าขันเสียเต็มประดา เจ้าของร่างท้วมทำหน้าตาล้อเลียน ก่อนเอ่ยคำปรามาสออกมาเสียงดัง
 
“ข้าไม่คิดว่าคนอย่างเจ้าจะมีสิทธิ์อะไรที่จะยื่นข้อเสนอให้พวกเราหรอกนะ....นอกจากเจ้าจะยอมให้พวกเราอัดซะดี ๆ”
 
“ช่าย....ข้อหาที่เจ้าเอาตัวเองเข้ามาแส่แทนเจ้าหนุ่มนั่น !”คำพูดงี่เง่ายังคงดังผ่านหูร่างสูงอย่างต่อเนื่อง หากคู่ต่อสู้ของพวกมันกลับสงบนิ่ง ไม่แสดงทีท่าว่ากลัวหรือเกรงพวกมันเลยแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้พวกมันเกิดบันดาลโทสะมากขึ้นกว่าเดิม
 
“อ่า พวกเจ้าพูดจบรึยัง...”
 
“ยัง !...พ่อของข้าคือเสนาธิบดีฝ่ายซ้ายของพระราชา...ทีนี้รู้รึยังว่าข้าใหญ่แค่ไหน”
 
อินซายืนมองลูกชายของเสนาธิบดีฝ่ายซ้ายที่โอ้อวดสรรพคุณตัวเองด้วยความสงสาร ตัวเองจะหัวหลุดจากบ่าแล้วยังไม่รู้ตัว ตอนนี้เขาห่างออกมาจากวงล้อมพร้อมด้วยองค์ชายบยอลที่มองตามอย่างสนพระทัย ไม่รู้ว่าฝ่าบาทตรัสอะไรกับคนพวกนั้นบ้าง รู้แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้เริ่มจะสลับกันแล้ว
 
“อ๋อ ลูกของท่านจองกิลเองงั้นรึ....” ร่างสูงตรัสพลางพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ  ก่อนแววเนตรคู่คมจะตวัดมองคนทั้งห้าอย่างเหี้ยมเกรียมทั้งที่มุมโอษฐ์ยังคงแย้มยิ้ม “...งั้นก็คงจะรู้ดีสินะ...ว่าตราสัญลักษณ์นี่หมายความว่ายังไง....”

หัตถ์แกร่งทำเพียงแค่ล้วงตราสัญลักษณ์ประจำตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาเท่านั้น ตรามังกรสีทองอร่ามสะท้อนกับแสงจันทร์สว่างกระแทกเข้าตาลูกชายของเสนาธิบดีฝ่ายซ้ายเข้าเต็มสองลูกกะตา ตราสัญลักษณ์รูปสลักมังกรทองที่มีเพียงคนเดียวในประเทศเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ครอบครอง แล้วยังพระนามที่เด่นหลา ถูกสลักเอาไว้ถัดลงมาว่า...
 
‘ยอนชาง’

ตราพระนามาภิไธย!
 
“ว่าอย่างไร? ทีนี้ยังอยากจะอัดข้าอยู่อีกรึเปล่า....” 
 
คำถามเจือเสียงหัวเราะของพระราชาแห่งโชซอนทำเอาลูกขุนนางใหญ่ทรุดลงกับพื้นทั้งหมด ทุกคนลงไปคำนับกับพื้นเพื่อร้องขอชีวิต แต่หัวใจของประเทศก็จิตใจดีพอที่จะละเว้นชีวิตของพวกโอ้อวดตนในวันนี้ ร่างสูงแค่ตักเตือนพวกเขาอีกเล็กน้อยแล้วเดินฝ่าวงล้อมออกมาในขณะที่คนพวกนั้นยังนั่งก้มอยู่กับพื้นไม่ขยับไปไหน
 
“องค์ชายบยอล....”
 
เอ่ยทักทายคนที่ยืนอยู่ข้างองครักษ์คนสนิททันทีที่เดินเข้ามาประชิดถึงตัว แต่ดูเหมือนเจ้าของชื่อจะสับสนอะไรอยู่เล็กน้อย ที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือ ยิ่งใกล้กันเท่าใดก็ยิ่งเห็นว่าคนตรงหน้าแสดงท่าทีราวกับว่าเราไม่ใช่คนรู้จักกัน
 
“....อ...เอ่อ...ขอบใจนายมากนะ...ว่าแต่เราเคยเจอกันมาก่อนหรอ ?”
 
 
___________________________________________________
___________________________________________________
มีต่อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-09-2017 16:26:57 โดย VIRIDIAN »

ออฟไลน์ VIRIDIAN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
บยอลงง....
 
เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากเลย เมื่อกี้เขาเดินเล่นอยู่ดี ๆ ก็มีคนมาเดินชนแล้วก็หาเรื่องจะต่อยเขา พูดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้านักหนา ทำตัวกร่างซะเต็มประดา แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดศึกอะไรกัน ก็มีคนร่างสูงในชุดชนชั้นสูงวิ่งเข้ามาขวาง แล้วบอกให้เพื่อนตัวเองพาเขาออกมาจากวงล้อมนั้น
 
เขายืนมองคนที่มาช่วยตัวเองอยู่นานสองนาน ไม่มีใครต่อยใคร แต่ที่น่าขันคือ ผู้ชายที่มาช่วยเขาไว้นั้นคงจะใหญ่คับฟ้ากว่าไอ้คนที่กร่างหาเรื่องเขาอยู่มาก รายนั้นแค่พูดคำสองคำ ทั้งหมดที่ยืนล้อมอยู่ก็ทรุดกับพื้นเหมือนคนหมดแรง
 
“องค์ชายบยอล...”
 
เจ้าของใบหน้ายิ้มแย้มเอ่ยทักเขาด้วยน้ำเสียงเรียบ ไอหยา !! นี่อาจจะเป็นคนรู้จักขององค์ชายอะไรนี่ก็เป็นได้....  ตายล่ะหว่า เราไม่เคยรู้จักหน้าคน ๆ นี้เลยด้วยซ้ำ...แต่ถึงจะเป็นขุนนางสูงศักดิ์ยังไง แต่ในหนังสือประวัติศาสตร์ที่เขาเรียนก็ไม่ได้บันทึกรูปขุนนางหนุ่มรูปงามแบบนี้ไว้เลยนี่
 
ใบหน้าขาวใสกิ๊ง ไม่มีสิวซักกะเม็ด ดวงตาสองชั้นกลม แต่แฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม จมูกได้รูปดูเป็นสันสวยงาม ริมฝีปากบางเชียบ หน้าตาดีไม่มีที่ติ คนอะไรหน้าตาดีเป็นบ้า ถ้าอยู่ในยุคปัจจุบันมีหวัง SM จับไปทำไอดอลแล้ว !
 
“....อ...เอ่อ...ขอบใจนายมากนะ...ว่าแต่เราเคยเจอกันมาก่อนหรอ ?”แววตาของคนตรงหน้าสั่นไหวนิดนึง ก่อนจะทำหน้าเหมือนไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดซักเท่าไหร่
 
“พระองค์จำกระหม่อมไม่ได้ ?” ดูเหมือนอีกฝ่ายจะหยั่งเชิงองค์ชายบยอลนี่เต็มที่ คิ้วคู่สวยขมวดกันเป็นปม “จำไม่ได้จริง ๆ น่ะหรือ....”
 
“หะ...มะ...ไม่...”
 
 “จริงหรือ?”
 
เด็กหนุ่มเอ๋อแดก งงเป็นไก่ตาแตก แล้วก็ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมขุนนางผู้นี้ถึงจะต้องขยั้นคะยอ พยายามจะให้เขานึกให้ออก บยอลส่ายหน้ารัว ไม่รู้จักก็คือไม่รู้จักสิวะ !
 
ร่างสูงนิ่งไป ไม่ทำสายตาคุกคามเขาอย่างเมื่อครู่ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะพยามใจเย็นมากกว่า “เราเคยเจอกัน....เมื่อสองวันก่อน ที่ร้านพลุไงพะย่ะค่ะ”
 
“.....”
 
“ที่หม่อมฉันยืมเงินพระองค์ไปซื้อพลุน่ะพะย่ะค่ะ”
 
ลีบยอล ถลึงตา  นี่ยังไม่จบใช่ไหม.. ยังไงก็จะให้รู้จักกันให้ได้เลยใช่ไหม !
เอาก็เอาวะ...
 
“อ่อ.....คนนั้นนั่นเอง ! จ.....จำได้สิ....จำได้...เอ่อ...เจ้าสบายดีนะ” เด็กหนุ่มทักทายกลับไป ทำให้เหมือนว่าตัวเองจำได้เต็มทื แต่จริง ๆ แล้วเขามันเด็กเลี้ยงแกะ นี่มันพูดปดคำโต อ๋อ เอ๋อ อะไรกัน สองวันก่อนยังไปเรียนคลาสภาษาจีนของอาจารย์เจินอยู่เลย... T_ T
 
“พะย่ะค่ะ....”
 
ดูเหมือนคำตอบที่ได้จะทำให้บรรยากาศกับคนตรงหน้าต่างไปจากตอนแรกแปลก ๆ ใบหน้าคมนิ่งลงยิ่งกว่าเดิม ท่าจะกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ด้วย แต่ใครสน เขาอยากจะออกจากตรงนี้ไปซักที มันจะอะไรกันนักกันหนาเนี่ยยยยย
 
“ถ้างั้นผมไปได้รึยัง...”
 
“เชิญพะย่ะค่ะ”
 
ร่างสูงผายมือเชิญ ระบายยิ้มบางเท่านั้น บยอลพยักหน้ารัว ในที่สุดก็ยอมปล่อยซะที รู้อย่างนี้ไม่ออกมาจากบ้านก็ดี มีแต่เรื่อง เกือบเอาตัวไม่รอดแล้วไหมล่ะ...
 
ดวงเนตรคมอ่อนแสงลง ทอดพระเนตรตามส่งจนร่างเล็กกว่าหายไปจากกรอบสายตา ก่อนจะหมุนตัวเองกลับมาหาองครักษ์คนสนิท ที่กำลังมองพักตร์พระองค์ แววตาคู่นั้นก็คงเป็นเช่นเดียวกับเขาในตอนนี้นั่นล่ะ
 
“เป็นไปได้ไหมพะย่ะค่ะ...ถ้าองค์ชายจะทำเป็นไม่รู้จักพวกเรา....”
 
องครักษ์สันนิษฐาน เป็นไปได้ไหม...นั่นย่อมได้... หากแต่ดวงตาคู่นั้นมันช่างดูลนลาน ผิดวิสัยขององค์ชายบยอลที่ไม่เคยยอมแพ้ใคร แถมยังไร้ร่องรอยของความขุ่นเคืองเขาที่เคยมีมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต คนผู้นั้นมองมาทางเขาด้วยสายตาของคนแปลกหน้าอย่างบริสุทธิ์ใจจริง ๆ
 
แต่มีหรือที่องค์ชายบยอลจะจดจำใบหน้าของเขา ผู้ที่ซึ่งตัวเองประกาศเอาไว้ว่าจะไม่มีวันลืมไม่ได้
มีหรือที่องค์ชายทิฐิมากคนนั้นจะจำเขาไม่ได้...
 
ใช่....ไม่มีทาง

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> TBC


บยอลโก๊ะ ๆ  :really2:

ออฟไลน์ VIRIDIAN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1

หอนางโลมจันทราวันนี้คลาคลั่งไปด้วยเหล่าขุนนางมากหน้าหลายตา แม้จะไม่ใช่เรื่องแปลกที่สามารถพบเจอบุคคลคนสำคัญอันดับต้น ๆ ของประเทศได้ในหอคีแซง* แต่ที่น่าประหลาดใจคือวันนี้ ห้องพิเศษที่เจ้ากรมที่ดินมักจะจองเอาไว้เพื่อชมดนตรี ฟังกวีของเหล่าคีแซง กลับไม่มีสาว ๆ ไว้คอยให้ใช้บริการเลยซักคน

*หอคีแซง –  หรือกิแซง หรือบางครั้งคนเกาหลี อาจจะเรียกว่า คิเนียว คือหญิงผู้ให้ความบันเทิงชาวเกาหลี ที่คล้ายคลึงกับเกอิชาของญี่ปุ่น กีแซงไม่ใช่โสเภณี แต่เป็นศิลปินผู้อุทิศตัวเพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้อื่น เช่น ขุนนางและกษัตริย์
 
เมื่อความเงียบโรยตัวลงรอบ ๆ ไอสัมผัสแห่งความตรึงเครียดจึงปรากฏตัว มันครอบคลุมไปทั่วทั้งบริเวณห้องจัตุรัสที่ถูกตกแต่งอย่างงดงามด้วยไม้สลัก ไม่มีใครเอ่ย และคิดจะพูดอะไรกัน ขุนนางและเหล่าบัณฑิตไม่ต่ำกว่าสิบคนทำเพียงแค่จิบเหล้ารสเลิศในจอกของตัวเองต่อไป
 
แต่ทันใดนั้นเอง เมื่อประตูไม้ลายหงส์ถูกเลื่อนออก เผยให้เห็นว่าใครที่อยู่หลังบานประตู เสียงในห้องก็ดังขึ้น อื้ออึงไปหมดทั้งบริเวณปีกขวาฝั่งตะวันตก
 
“ท่านโฮมิน !”
 
ทุกคนยืนขึ้นทำความเคารพอัครมหาเสนาธิบดี ผู้เป็นหัวหน้าใหญ่ที่สุดของเหล่าขุนนางที่พากันเรียกตัวเองว่ากลุ่ม “โนรน” หรืออีกชื่อนึงคือ “ขุนนางฝั่งตะวันตก” ชายชราในชุดผ้าไหมสูงศักดิ์ระบายยิ้มบาง เขาผายมือออก เพื่อเชื้อเชิญให้คนอื่น ๆ นั่งลงประจำที่ตน
 
“ท่านโฮมิน......เรื่องนั้น...”
 
หนึ่งในบัณฑิตที่นั่งเยื้องไปทางซ้ายของคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยขึ้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล และ หนักใจกับเรื่องที่ตนได้ยินมา หากขุนนางชราเจ้าของชื่อเพียงยกมือขึ้นโบกไปมาพลางหัวเราะในลำคอเบา ๆ
 
“เรื่องนั้นท่านสบายใจได้...กลุ่มนักฆ่าของเราได้ยืนยันมาแล้ว....”  ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยรอยกระยกขึ้นลูบเคราสีเงินของตน “...ไม่ว่ายังไง...องค์ชายบยอลก็ไม่มีทางรอด...”
 
“ตะ....แต่ว่า ข้าได้ยินที่ตลาดเขาลือกันว่าพรุ่งนี้จะมีขบวนมารับเสด็จกลับวังนะท่าน...ถ้าองค์ชายบยอลตายแล้วจริง...แล้วเขาจะมารับใคร ?” เจ้ากรมที่ดินเสริมขึ้น  ทุกเสียงในห้องจัตุรัสอื้ออึงอีกครั้ง ก่อนจะต้องเงียบลงเพราะเสียงฝ่ามือที่ตบหนักลงบนโต๊ะไม้ของหัวหน้ากลุ่มโนรน
 
 “ขอให้พวกท่านอยู่ในความสงบ...ไม่ว่ายังไงองค์ชายบยอลก็ไม่มีทางเข้ารับตำแหน่งองค์รัชทายาทได้”  น้ำเสียงเยือกเย็นกล่าวขึ้น ชายชราระบายยิ้มอ่อน “นั่นเป็นเพราะว่า.....”
 

“...”

“องค์ชายบยอลได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว.....”
 
 
 
 
 
 
IN TIME
** เนื้อเรื่อง และตัวละครทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องที่ผู้เขียนจินตนาการขึ้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
______________________________
{ 3 - HOUR  }
 

MY KING



บยอลไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองทุเรศทุรังได้ขนาดนี้...
 
เด็กหนุ่มยืนถอนหายใจใส่กระจกตรงหน้าเป็นครั้งที่ร้อย ชุดในราชพิธีที่ต้องใส่เข้าวังมันก็ไม่ได้ใส่ยากใส่เย็นไปกว่าเสื้อผ้าธรรมดาซักเท่าไหร่ แต่ทำไมไอ้หมวกขุนนางนี่มันถึงเก็บผมเข้าไปไม่ได้ซักที ทั้ง ๆที่เขาพยายามเป็นอย่างมากที่จะหลิ่วตาตามเมืองตาหลิ่วแล้วแท้ ๆ
 
ในยุคนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนตัดผมสั้นกันหรอก เพราะมันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาเนิ่นนานที่ผู้ชายจะต้องไว้ผม และหนวดเครายาว ๆ เพื่อแสดงถึงบารมีของตน ดังนั้นจึงไม่สามารถให้ใครรู้ได้ ว่าผมของเขามันสั้นจุ๊ดจู๋เหมือนหนูแทะ แถมทำสีน้ำตาลอ่อน ๆ อีก...
 
เฮ่อ...แต่ถ้ามันยากเย็นขนาดนี้แล้วล่ะก็...
 
“ไม่รับตำแหน่งได้ไหมเนี่ย....” พึมพำกับตัวเองเบา ๆ
 
สบู่ ยาสระผม โฟมล้างหน้า ยาสีฟัน ก็ไม่มีให้ใช้ซักอย่าง ขยะแขยงตัวเองเป็นบ้า เมื่อเช้าได้แต่เอาใยบวบมาขัดหน้าขัดฟันไปพลาง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เหอะ อย่างน้อย ๆ ก็ยังดีที่มีรางวัลปลอบใจเป็นถุงคอนวีเนียนที่ข้ามภพข้ามชาติมากับเขาด้วย
 
แน่นอนว่าลีบยอล รู้สึกดีมาก ที่อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีโค้กให้กิน.... T__T
 
“องค์ชาย ขบวนรับเสด็จมารอนานแล้วนะเพคะ...ทรงทำอะไรอยู่ ให้หม่อมฉันเข้าไปได้ไหมเพคะ”
 
เสียงเรียกร้อนรนของป้าซังกุงดังทะลุประตูเข้ามา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้อนุญาตอะไร หล่อนก็เปิดประตูเข้ามาทันที
 
“ว้าย!! องค์ชาย!!!”
 
ยุนซังกุงถลาเข้าไปหาองค์ชายน้อยของเธอทันที องค์ชายบยอลอยู่ในสภาพดูไม่เรียบร้อยเลยสักนิด แถมผมเผ้าทรงประหลาดมนุษย์ก็ยังฟูฟ่องยากที่จะจัดทรงให้ดูดีสมพระเกียรติได้ นึกถูกแล้วที่หยิบ ‘มัน’ ติดมือมาด้วย
 
“เฮ้ย !!  ป้าซังกุงนั่นอะร้ายยยย !! อ้ากกก !! จะทำอะไรกับหัวผม !”
 
บยอลตาโตเท่าไข่ห่าน เมื่อเห็นว่าป้าซังกุงควักอะไรออกมาจากกล่องไม้ทรงสี่เหลี่ยม และร้องดังขึ้นอีกเมื่อหล่อนไม่รอช้าเลยซักนิดที่จะโป่ะมันลงบนหัวของเขา
 
“นี่ขี้ผึ้งเพคะ....จะช่วยพลางทรงผมของพระองค์ให้เรียบร้อยเวลาที่ต้องอยู่ต่อหน้าพระพักตร์” ยุนซังกุงออกแรงกดหัวไหล่ขององค์ชายคนเล็กให้นั่งลง เพื่อที่ว่าเธอจะได้จัดการกับรังนกบนศีรษะของเจ้านายได้ถนัด
 
“ต่อหน้าพระพักตร์....?” บยอลทวนคำ
 
“ได้ยินพวกนางกำนัลที่อยู่ในขบวนเสด็จของพระองค์พูดกันว่าฝ่าบาทจะมารับองค์ชายด้วยองค์เองเพคะ....”
 
“ห๊า.....ม...หมายถึงพระเจ้ายอนชางน่ะหรอครับ !”
 
“เพคะ...”
 
บยอลยกมือขึ้นแปะหัวตัวเองแรง ๆ นี่เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ? การที่พระเจ้ายอนชางให้ความสำคัญกับการเข้าวังของเขาขนาดนี้ ถ้าจะสำคัญตัวเองซักนิดจะผิดรึเปล่านะ ?
 
“เสด็จเถอะเพคะ...”
 
ยุนซังกุงเดินไปเลื่อนบานประตูให้เปิดกว้างออก เผยให้เห็นขบวนรับเสด็จที่ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ เหล่าขุนนาง นางกำนัลมากกว่าสิบคน เกี้ยวนั่งอันใหญ่ ทหารม้า องครักษ์ และ ขันที นั่นทำให้ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าจริง ๆ แล้วคนที่สำคัญไม่ใช่ลีบยอนคนธรรมดาคนนี้....
 
หากแต่เป็นองค์ชายบยอล แห่งโชซอน ต่างหาก...
 
เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น... อันที่จริงเขาออกจะอึดอัดกับการที่จะต้องมาใช้ชีวิตผิดที่ผิดทางแบบนี้ เขายังเป็นห่วงแม่และกลัวว่าท่านจะเป็นห่วง แต่ในขณะนี้ที่เขาอยู่ในฐานะขององค์ชายบยอล ไม่ว่าจะเป็นเพราะโชคชะตา หรือเคราะห์กรรมอะไรบันดาลก็แล้วแต่...
 
เขาจะทำหน้าที่แทนองค์ชายที่หายไปให้ดีที่สุดแล้วกัน...
 
“องค์ชาย....”  เสียงเรียกจากยุนซังกุงพาให้ตื่นจากภวังค์ บยอลสะดุ้งเล็ก ๆ ยกมือขึ้นเกาศีรษะ เด็กหนุ่มก้มลงยกถุงพลาสติกที่พามาด้วยขึ้นจากพื้น มองบ้านดินหลังนี้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตัดสินใจกลับหลังหันเดินออกมา
 
‘ไม่เป็นไร...ยังไงเรื่องนี้ต้องมีทางออก...ยังไงก็ต้องได้กลับบ้าน’ ร่างโปร่งปลอบใจตัวเอง...
 

___________________________________________________
___________________________________________________

 
“ฝ่าบาท”
 
“ว่าอย่างไร?”

ริมโอษฐ์ตรัสเสียงแผ่วขณะหัตถ์แกร่งม้วนแผ่นฎีกาที่พวกบัณฑิตส่งมาร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องตำแหน่งองค์รัชทายาท เก็บมันเข้ากล่องรวมไว้กับของที่อ่านแล้ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนมาใหม่
 
“ทหารที่อารักขาองค์ชายบยอลกำลังเตรียมตัวอฃอกจากวังแล้วพะย่ะค่ะ...”
 
แม้ใบหน้าองครักษ์คนสนิทของพระองค์จะดูเรียบเฉย แต่ในฐานะของเพื่อนสนิทที่อยู่ด้วยกันมากว่าสิบปี มีหรือจะไม่รู้...ว่าแววตาคู่นั้นกำลังสั่นไหว
 
“ถึงตอนนี้แล้ว...เจ้ายังไม่ยอมรับในสิ่งที่ข้าตัดสินใจอีกหรือ...พัค อินซา?”
 
ทอดเนตรมองเพื่อนสนิทที่ยืนก้มหน้าอยู่ตรงหน้า ก่อนจะสรวลออกมาเบา ๆ ทว่าด้านคนฟังฟังแล้วไม่ตลกด้วยซักนิด พัคอินซาหลุบตาต่ำลง เขาไม่คิดว่าเรื่องที่ตนคัดค้านเกี่ยวกับตำแหน่งรัชทายาทนั้นจะมีค่าพอให้พระราชาเก็บมาคิดมาก เพราะหากเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทแล้ว ตัดสินพระทัยเรื่องไหนแล้ว ก็ยากที่จะมีใครค้านได้
 
ทว่า..ตั้งแต่ก่อนที่พระเจ้ายอนชางจะเถลิงถวัลยราชย์ขึ้นเป็นกษัตริย์ลำดับที่ 21 แห่งโชซอนนั้น ไม่มีใครในวังไม่ทราบเรื่องความบาดหมางระหว่างพระมารดาขององค์ชายบยอล กับ พระสนมซุกบินผู้เป็นพระมารดาของพระองค์ ข่าวคาวมันแพร่สะพัดออกไปยิ่งกว่าควันไฟที่ไหม้ฟาง แม้จะจับต้องไม่ได้ ไม่รู้สึกร้อน หากแต่ทิ้งแผลเป็นเอาไว้ไม่จางหาย ยังคงเหลือร่องรอยแห่งความเจ็บปวดเอาไว้ให้ได้ดูต่างหน้า
 
แม้ในภายหลังองค์ชายบยอลผู้อาฆาตจะถูกเนรเทศไปอยู่วังข้างนอก ด้วยเพราะอำนาจของขุนนางฝ่ายตะวันตกแล้วก็ตาม แต่มันสมควรแล้วหรือ ที่ฝ่าบาทยังมีรับสั่งให้องค์ชายรรีบเสด็จกลับมาทันทีที่พระองค์มีอำนาจเหนือเหล่าขุนนางแล้ว... อินซารู้สึกว่า นี่ช่างไม่ต่างอะไรจากเรื่องชาวนากับงูเห่า เขาไม่อาจทราบได้ว่าฝ่าบาททรงคิดอะไรอยู่เพราะพระองค์ไม่เคยตรัสอย่างอื่นนอกจากอยากให้องค์ชายบยอลกลับคืนสู่ฐานันดรเดิม

“หากในฐานะของหัวหน้าองครักษ์...หม่อมฉันไม่มีความเห็นอันใด....แต่หากทรงถามในฐานะของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง...ข้าไม่เห็นสมควรเลยสักนิด....” อินซาเงยหน้าขึ้นจากพื้น นั่นทำให้เขาเห็นได้ชัดมากยิ่งขึ้นว่าเพื่อนสนิทในฐานะพระราชากำลังทำหน้าแบบไหน พระองค์เพียงแค่แย้มโอษฐ์ยิ้มสรวลเท่านั้น ราวกับจะบอกใบ้เป็นนัย...
 
หากเกิดอะไรขึ้น...เราก็ได้เตรียมใจเอาไว้แล้วเช่นกัน


___________________________________________________
___________________________________________________


สายลมเย็นกับแดดอุ่น ๆ ของฤดูใบไม้ผลิพัดเอื่อย ราวกับจะปลอบให้คนในเกี้ยวรู้สึกสดชื่นมากขึ้น ทว่าแม้จะรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายเหล่านั้น แต่ก็ยังไม่วายเป็นกังวล บยอลก้มลงมองมือทั้งสองข้างที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อของตนด้วยความวิตก
 
จะทำหน้าแบบไหน จะวางตัวยังไงดี... เด็กหนุ่มมองมือตนเองแล้วคิ้วขมวด ริมฝีปากบางเม้มแน่น เมื่อรู้สึกตัวได้ว่า บัดนี้เกี้ยวที่ตนนั่งวางลงแตะพื้นเรียบร้อยแล้ว
 
ขุนนางชั้นสูง บัณฑิต  ซังกุง และ นางกำนัลมากมายที่มองปราด ๆ จากหน้าต่างในเกี้ยวนั้น ดูทุกคนจะยินดีที่องค์ชายคนนี้กลับคืนสู่วัง แต่ก็ใช่ว่าทั้งหมดจะเป็นแบบนั้น เด็กหนุ่มเห็นขุนนางสองสามคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งทำหน้านิ่ง ดวงตาคมราวกับเหยี่ยวจ้องเขาที่ถูกบังด้วยม่านในเกี้ยวอย่างไม่วางตา...
 
“เชิญเพคะองค์ชาย”  ป้าซังกุงเรียกเสียงเบา หล่อนเอื้อมมือเข้ามายกม่านของเขาขึ้น
 
“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยขอบคุณทันที่ก้าวออกจากเกี้ยวมายืนเต็มตัว มือชุ่มเหงื่อกำไอโฟนคู่ใจแน่น...
 
โอย อยากถ่ายรูป อยากอัพทวิตเตอร์....อยากประกาศให้โลกรู้ว่าข้าอยู่โชซอน...
แต่แล้วบยอลก็ต้องสะบัดหน้า ไม่ ๆ !!  แกต้องทำใจดี ๆ ไว้ ลี บยอล...แกต้องเข้มแข็งสิ..ขืนเดินถือไอโฟนโล่ ๆ คนพวกนี้ได้หาว่านายเป็นตัวประหลาดกันพอดี
 
“องค์ชายเพคะ”
 
เสียงเรียกของยุนซังกุงปลุกบยอลให้ตื่นจากภวังค์อีกรอบ  ดูเหมือนองค์ชายของเธอหลังกลับมาจากที่หายตัวไปสามวันจะทำตัวประหลาดขึ้นทุกวัน ทั้งสีหน้า และวีธีการพูดคุย แล้วยังสรรพนามที่ใช้เรียกหล่อนอีก โดยเฉพาะคำว่า ‘ป้าซังกุง’ อะไรนั่นน่ะ ช่างหยาบคายแลประดักประเดิดแท้   
 
“ฝ่าบาทเสด็จ !!!”
 
แต่ไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ขันทีในชุดผ้าแพรเขียวที่ยืนอยู่หน้าประตูวังก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง เรียกให้ทุกคนที่อยู่หน้าเกี้ยวองค์ชายกลับเข้าประจำที่ บยอลขมวดคิ้วเป็นโบ แต่พอเห็นว่าคนรอบ ๆ พากันก้มหัวให้กษัตริย์แห่งโชซอนเด็กหนุ่มก็รีบก้มตามทันที บริเวณรอบ ๆ ตอนนี้เงียบซะจนได้ยินเสียงลมพัดใบไม้ปลิว ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาซักคนจนเสียงหัวเราะของใครบางคนดังขึ้นมาเบา ๆ
 
“องค์ชายบยอล...เงยหน้าขึ้นเถิด..”
 
บยอลพอเห็นรองเท้าผ้ากำมะหยี่สีดำมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา เสียงนั่นดังอยู่บนหัว ไม่ผิดแน่...พระเจ้ายอนชางตัวเป็น ๆ ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว !....ว่าแต่...ถ้าขอถ่ายรูป...จะได้ไหมนะ ?
 
คิดได้เช่นนั้นก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองช้า ๆ ทว่าพอมองได้เพียงริมโอษฐ์ของฝ่าบาทเท่านั้นก็รู้สึกว่าตาพร่าแปลก ๆ  หน้าตาล่ะ...หน้าตาเป็นยังไงกันนะ ทำไมแสงแดดที่ส่องลงมาเข้าตามันถึงจ้าแบบนี้ พระพักตร์พระยอนชางมืดไปหมดแล้ว.....ทำไมดำมืดกันไปหมดซะล่ะ.....
 
อา...หน้าพระเจ้ายอนชางย้อนแสง....ย้อนแสงแบบนี้จะเห็นได้ยังไงกันนะ.... 
 
“ว้าย องค์ชายบยอลเพคะ!!!!!”
 
“อง...องค์ชาย !!!!!”
 
เสียงอะไรกันนะ ทำไมเอะอะโวยวายกันไปหมด แถมยังดังไกลออกไปเรื่อย ๆ....
 
ภาพองค์ชายบยอลล้มลงทั้งยืนโดยไม่มีสาเหตุทำให้ทุกคนตกใจจนเผลอเปล่งเสียงดังต่อหน้าพระพักตร์ ไม่มีใครสักคนที่คิดจะถลาเข้ามารับ ทว่ายังดีที่องค์สูงใหญ่ที่ประทับอยู่ตรงหน้าเอื้อมหัตถ์เข้ามารับไว้ได้ทัน พระเจ้ายอนชางทรงทรุดองค์ลง พยุงศีรษะของคนที่ได้ชื่อว่าพระอนุชาต่างมารดาให้หนุนพระพาหาของพระองค์ ก่อนองค์ชายบยอลในอ้อมแขนจะค่อยๆ ปรือตาแล้วหมดสติไปทั้งท่านั้น
 
เร็วเท่าความคิด พระราชาของประเทศตะโกนลั่น... 
 
“รออะไรอยู่ ไปตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้ !!!”
 
 
___________________________________________________
___________________________________________________
 


“ท่าน—เห็นเหมือนที่ข้าเห็นใช่ไหม”[/i]
 
คนพูด พูดเหมือนไม่เชื่อสายตาตนเอง แต่ถึงอยากนั้นคนฟังก็ไม่มีเวลามานั่งคิดอะไรจุกจิกอีกแล้ว เขารู้เพียงแต่ว่าจะต้องก้าวให้เร็วเท่าไร จึงจะสามารถถึงตำหนักของพระมเหสีเร็วที่สุด
 
ขุนนางชั้นสูงสองคนหยุดเท้าลงตรงหน้าซังกุงคนสนิทของพระมเหสี ไม่ต้องเอ่ยอะไร...เพียงแค่เห็นพวกเขา หล่อนก็รีบตาลีตาลานเข้าไปทูลแม่ของแผ่นดินทันที
 
“ท่านพ่อ....”
 
“พระมเหสีฮวาซอน....”
 
อัครเสนาธิบดีโฮมินเรียกชื่อตำแหน่ง ก่อนจะโค้งคำนับลูกสาวของเขาทันทีที่เธอปรากฏตัว หญิงสาวในชุดของราชวงศ์เดินเข้ามาหาพร้อมใบหน้าอิดโรย ดวงตาคู่นั้นหม่นแสง.... เห็นได้ชัดว่าไม่มีร่องรอยแห่งความสดชื่นอยู่เลย ฮวาซอนของเขาเหมือนดอกไม้หลวงที่แห้งเหี่ยวลงทุกวัน เพราะไม่ได้รับน้ำและปุ๋ยชั้นดีจากพระราชา
 
“ท่านพ่อ....”  พระมเหสีตรัสเรียกพระสัสสุระเสียงแผ่ว  พระอัสสุชลคลอเนตร
 
“พระมเหสี...องค์ชายบยอล--”  อัครเสนาธิบดีผ่อนลมหายใจออกอย่างขัดใจ “องค์ชายบยอลยังไม่สิ้นพระชนม์พะย่ะค่ะ” 
 
ไม่มีเวลาจะมานั่งร่ำไรซักเท่าไหร่ โฮมินจึงต้องรีบแจ้งจุดประสงค์ที่เขามาที่นี่โดยเร็ว เพียงแค่ที่ตำหนักคโยแทจอน* แห่งนี้เท่านั้นที่เขาจะสามารถพูดได้ เรื่องนี้จะไม่มีวันถูกแพร่งพรายออกไป เพราะนางกำนัลทั้งหมดของที่นี่ต่างก็เป็นคนจากฝ่ายตะวันตกทั้งสิ้น


ตำหนักคโยแทจอน* - เป็นตำหนักสำหรับพระมเหสี เป็นหนึ่งในตำหนักกลางคู่กับตำหนักแทจอน ของพระราชา

“อะไรนะ...ล...แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะท่านพ่อ”
 
“ใจเย็น ๆ....ไม่ว่ายังไงฝ่าบาทก็จะไม่มีทางระแคะระคายเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้....”
 
“ล...แล้ว หากองค์ชายบยอลเกิดรับสั่งเรื่องนี้ขึ้นมา...เรื่องที่พวกเราทำลงไปทั้งหมด...”
 
ราวกับเหงื่อเย็นไหลซึมไปทั่วทั้งองค์ พระมเหสีฮวาซอนทรงขบริมโอษฐ์แน่น พระพักตร์ซีดเผือดลงไปถนัด

 ไม่ว่ายังไง...ไม่ว่าจะต้องทำอะไร ก็จะให้ฝ่าบาทสืบรู้ไม่ได้... ไม่ว่ายังไงหล่อนก็จะต้องดำรงตำแหน่งผู้หญิงของฝ่าบาทต่อไปให้ได้...


ด้านผู้เป็นพ่อ เมื่อเห็นลูกเครียดตึงขึ้นมาเพียงเพราะได้ทรงสดับสิ่งรบกวนพระทัย ก็เผลอกำหมัดแน่นขึ้นมา อัครเสนาธิบดีเฒ่าเอ่ยปากให้คำสัญญา
 
“พระมเหสีเบาพระทัยเถิด...”

“...”

“พ่ออจะรีบทำให้ทุกอย่างจบภายในวันนี้... องค์ชายบยอล...จะไม่มีทางฟื้นขึ้นมารับสั่งอะไรได้อีก.....”
 

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> TBC

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
น่าติดตามค่ะ
องค์ชายบยอลตัวจริงตายแล้วเหรอ แล้วที่แม่เรียกให้ตื่นนั่นล่ะ


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
สนุกจ้า รอตอนต่อไป สู้ๆ  o13
 :3123:  :pig4:  :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl
โอ๊ยย ชอบเรื่องแบบนี้ สนุกค่ะ รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ PAtxxkMxxn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
สนุกค่ะ

ออฟไลน์ VIRIDIAN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
สายลมเย็นพัดผ่านใบหน้าไปแผ่ว ๆ แม้จะยังหลับตาอยู่ แต่บยอลก็มั่นใจว่าตัวเองได้กลิ่นดอกไม้ มันหอมหอมเกินไป  หอมซะจนรู้สึกปวดจมูก ร่างโปร่งผุดลุกขึ้นจากผืนหญ้าเขียวขจีเมื่อคิดว่าเขาไม่สามารถข่มตานอนได้อีกต่อไป และทันทีที่ลืมตาขึ้น ก็ปรากฏร่างของชายคนหนึ่งยืนหันหลังอยู่ตรงหน้า
 
‘ลี บยอล’
 
‘เหวอ !!’
 
เด็กหนุ่มร้องเสียงหลง เมื่อกลับหลังหันไปเห็นเจ้าของเสียงเรียก ! ชายหนุ่มในชุดผ้าแพรสีกรมท่า สวมหมวกคัดส่งยิ้มกลับมา แต่บยอลกลับยิ้มไม่ออก แถมไม่รู้ด้วย ว่าควรจะทำหน้ายังไงในสถานการณ์อย่างนี้
 
ก็คน ๆ นั้น.....
หน้าตาเหมือนเขาทุกระเบียดนิ้ว !
 
‘หรือว่าท่าน.....คือองค์ชายบยอล !? ’
 
รอยยิ้มบางผุดขึ้นที่มุมปากของคนที่หน้าเหมือนเขา  ดูท่าฝ่ายนั้นจะพอใจกับคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เจ้าของตำแหน่งองค์รัชทายาทตัวจริงสาวเท้าเข้ามาใกล้ ๆ หากแต่ไม่สามารถมาถึงจนประชิดตัวได้เพราะมีแสงสีทองของบางอย่างที่เขาก็ไม่สามารถอธิบายได้ กั้นระหว่างเราเอาไว้
 
‘ไม่มีเวลาแล้ว จงฟังข้าให้ดี...’ เจ้าชายตัวจริงเงยหน้ามองต้นเหตุของแสงสีทองที่ส่องลงมาจากฟากฟ้า ‘เจ้าจะต้องทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วง...’
 
‘หน้าที่...อะไรคือหน้าที่ของผมกันล่ะ’  บยอลขมวดคิ้ว
 
‘จงเป็นกำลังสำคัญให้ประเทศชาติ เป็นมือขวาให้พระราชา เพราะมีแต่เจ้าเท่านั้นที่จะช่วยพระองค์ได้’

‘...แต่ผมจะเป็นได้ยังไง ในเมื่อผมเป็นคนของอนาคต ขอร้องล่ะ ให้ผมได้กลับไปหาแม่เถอะองค์ชายบยอล ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก... ขอร้อง ได้โปรด’

สาบานว่าตั้งแต่วินาทีที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดอย่างนั้น หัวใจของบยอลก็ตกลงไปอยู่ตาตุ่ม ขนที่หลังลุกซู่เมื่อนึกว่าตนเองจะต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต ลำพังความเป็นอยู่อย่างลำบากแบบคนในอดีตไม่ได้ทำให้เขาอึดอัดใจเท่ากับรู้ว่าตนเองกำลังจะไม่ได้กลับไปหาแม่อีกแล้ว...

ตลอดชีวิต?...

‘ได้กลับสิ ’ ราวกับอ่านใจเขาออก องค์ชายบยอลเอ่ยขึ้นหลังจากมองเข้ามาในแววตาของเขา เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ก่อนจะกลืนก้อนสะอึกลงคอ ‘เพียงแต่ร่างของเราในเวลานี้ ยังสลับกันไม่ได้ หากภารกิจไม่ได้เป็นไปตามที่สวรรค์ต้องการ’

‘...’

‘ร่างของข้าจะรออยู่ที่นั่น แทนที่เจ้า และจะแหลกสลายเมื่อเจ้าเข้าใจความหมายของการมีอยู่ซึ่งกันและกัน ของเจ้า และข้า’

‘...’

‘ข้าคงต้องไปแล้ว มีเวลาเพียงเท่านี้ ขอโทษเจ้าด้วยที่ทำให้ต้องลำบาก’ เมื่อเอ่ยจบ ภาพองค์ชายบยอลก็ค่อย ๆ เลือนรางลงไปต่อหน้าต่อตา จนสุดท้าย สิ่งที่เหลือมีเพียงแค่เสียงแผ่วเบา ที่ลอยละล่องมาเข้าโสตประสาทของคนที่ยืนนิ่งอยู่

‘และได้โปรด...ฝากเจ้าขอโทษพี่ชายข้า แทนข้าด้วย’
 
 
 
 
IN TIME
** เนื้อเรื่อง และตัวละครทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องที่ผู้เขียนจินตนาการขึ้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
______________________________
{ 4 - HOUR  }
DESTIY

 

ลีบยอลรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เย็น ๆ แปะลงบนหน้าผากของเขา แค่ชั่ววูบก็ดันคิดไปได้ว่านี่อาจจะเป็นเจลที่แม่เอามาแปะหัวเขาเวลาที่ไม่สบายก็เป็นได้ แล้วพอลืมตาตื่นขึ้นมา แม่ก็จะต้มโจ๊กเป๋าฮื้อใส่เม็ดแปะก๊วยที่เขาชอบมาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง
 
ทุกอย่างทีเกิดขึ้นจะเป็นแค่เรื่องฝันไป....
เพี้ยง ! ขอให้เป็นแค่เรื่องฝันไป !!
 
“รู้สึกพระองค์แล้ว !!.....องค์ชายรู้สึกพระองค์แล้ว !!”
 
เสียงตะโกนดังขึ้นบนหัวทันทีที่เขาค่อย ๆ กระพริบตาเพื่อปรับแสง ออกจะผิดหวังซักหน่อยที่ยังอยู่ในโลกแห่งความฝันแบบนี้ แต่ก็แอบดีใจ ที่อย่างน้อย ๆ มนุษย์คลั่งประวัติศาสตร์อย่างเขาจะได้มีโอกาสเห็นพระเจ้ายอนชางตัวเป็น ๆ
 
แถมยังตอนที่เป็นหนุ่มอยู่ด้วยน่ะ....
 
“องค์ชายบยอล”
 
ใบหน้าของป้าซังกุงที่นั่งชุดเขียวอยู่ข้างประตูเลื่อนไม้สลักดูผ่อนคลายเมื่อขึ้น หล่อนเรียกเขาเสียงหลง บยอลคิด น่าสงสารจริง ๆ.... คงจะเป็นห่วงมาก...
 
“โอ้ะ....ปวดหัว”
 
อาจเป็นเพราะกระเด้งตัวลุกขึ้นมาเร็วเกินไป อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงจึงแล่นปราดไปทั่วทั้งหัวสมอง เวลานี้บยอลรู้สึกเหมือนมีใครเอาค้อนหินมาทุบกะโหลกเขาจนแทบแตกเป็นเสี่ยง ๆ เด็กหนุ่มยกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมศีรษะของตน แล้วล้มตัวลงนอนไปบนฟูกดังเดิม
 
“โอ้ยยย...ปวดหัวเป็นบ้า”
 
ร้องโอดครวญเสียงดังซะจนคนอื่นทำอะไรไม่ถูก  แอบเห็นป้าซังกุง กับใครไม่รู้ที่ใส่ชุดสีแดงกับหมวกแบบหมอเหมือนในเรื่องแดจังกึมทำหน้าเครียดแล้วมันตลกเป็นบ้า อนุมานเอาว่าเป็นหมอหลวงแล้วกัน ดูเอาเถอะว่าเครียดแค่เพราะเขากำลังร้องงอแง ซึ่งปกติถ้าไม่สบายแล้วโวยวายเอาแต่ใจละก็ป่านเขาโดนแม่ตบบ้องหูไปนานแล้ว...
 
แต่ตอนนี้เขาเป็นถึงองค์ชายเชียวนะ....เขาคือองค์ชายบยอล !!!
แม่ก็แม่เหอะ....ถ้าเป็นตอนนี้ก็คงไม่กล้ามาตบหรอก
เฮ่อ ว่าแต่..คิดถึงแม่จัง
 
อยู่ ๆ ร่างโปร่งที่บ่นกระปอดกระแปดเมื่อครู่ก็นิ่งชะงักไป แต่แทนที่คนเฝ้าอาการจะเย็นใจ กลับร้อนรุ่มเหมือนมีไฟสุม  องค์ชายแน่นิ่งไปอย่างนี้สงสัยพระอาการจะไม่ดีซะแล้ว ! หมอหลวงรีบเอื้อมมือไปเปิดกล่องผ้าแพรที่บรรจุเข็มสำหรับการรักษา หยิบมันขึ้นมาเพื่อจะได้ถวายการรักษาต่อ
 
“เฮ้ย !!! ลุงจะทำอะไรอะ”
 
บยอลสะดุ้งเฮือก ร่นตัวถอยห่างจากหมอหลวงพร้อมตะโกนลั่น ถึงจะเห็นอยู่ว่าที่ลุงหมอถือมันคือเข็มไว้สำหรับฝังแบบในหนังก็เหอะ แต่ขอโทษที! ชีวิตเขาไม่ถูกกับของมีคมอะไรทั้งสิ้นบนโลกมาตั้งแต่เกิดแล้ว !!! เพราะงั้นถึงให้ตายก็ไม่ฝัง !! ไม่ฝังงงงงงงงงงง
 
“องค์ชาย...ได้โปรดให้ท่านหมอหลวงทำการรักษาด้วยเถอะเพคะ” ป้าซังกุงพูดหน้านิ่ง คณะหมอทั้ง 4 ก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่ใครจะยอมกันเล่า ! ให้เอาเข็มมาปัก ๆ ไว้บนตัว เกิดเป็นแบบในไฟนอล เดสติเนชั่น 5 ขึ้นมาใครจะรับผิดชอบชีวิตนักศึกษาตาดำ ๆ คนนี้กัน T_T
 
“ไม่ !”
 
“ขอได้โปรดด้วยเถิดพะย่ะค่ะ” ใต้เท้าหมอหลวงก้มลงคำนับองค์ชาย น้ำเสียงเว้าวอนนั่นเกือบทำให้คนฟังใจอ่อนซะแล้ว แต่...
 
“ไม่...ไม่เอาเข็ม...ไม่มีวิธีอื่นที่จะรักษาผมแล้วหรอ” บยอลอยากจะร้องไห้ ตอนนี้เลย! ใครก็ได้...หาหัวหอมมาให้ที
 
ทว่า ถึงจะดีดดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผลเห็นอย่างนั้น หมอหลวงฮวังก็ยิ่งส่ายหน้า “การฝังเข็มจะช่วยกระตุ้นให้พระองค์รู้สึกสดชื่น และมีพละกำลังมากยิ่งขึ้นในเวลาอันรวดเร็วนะพะยะค่ะ”
 
“พละกำลัง” ได้ฟังเท่านั้นร่างโปร่งก็ทวนคำ ก่อนจะถลึงตา หันรีหันขวางหาของที่ฝากป้าซังกุงถือมา “ป้า..ป้าซังกุงครับ...ถุงพลาสติกที่ผมฝากป้าถือมามันอยู่ที่ไหนครับ !!”
 
ยุนซังกุงขมวดคิ้ว...ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าอะไรคือ ‘พลา-สือ-ตี-กือ’ ที่องค์ชายว่า แต่เธอก็พอจะเดาออกว่ามันอาจจะเป็นหอบที่ใส่ของประหลาดมากมายที่องค์ชายวานให้เธอถือก็เป็นได้
 
“อยู่ด้านหลังพระองค์เองเพคะ...”
 
จบคำบยอลก็หันไปคว้าถุงมาไว้ที่ตักอย่างเร็ว มือเรียวควานหาสิ่งที่ต้องการ ก่อนจะกระแทกมันลงตรงหน้าใต้เท้าหมอหลวงที่นั่งงงเป็นไก่ตาแตก
 
“...ขอประทานอภัย...นี่คือ...”
 
“นี่น่ะหรอ....หึ” บยอลกอดอก เชิดหน้าอย่างภูมิใจ “มันก็คือ....ยาชูกำลังยังไงล่ะ !!!”
 
“โอ้....!!!!!” ทุกคนในห้องแตกฮือ...  แค่คำเดียวเท่านั้น ‘ยาชูกำลัง’ ของบยอลก็กลายเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจทันที
 
“แค่ผมกินนี่...ผมก็จะมีพละกำลังมหาศาลแล้ว ! ไม่นอนทั้งคืนก็ยังได้....”  บยอลรีบพรีเซ็นยาชูกำลังยี่ห้อโคถึกด้วยความภูมิใจราวกับเป็นคนผลิตมันขึ้นมาเองเพราะไม่ต้องการฝังเข็ม หากเขาทำให้ใคซักคนนี้ยอมดื่มมันได้ เขาก็อาจจะรอดพ้นจากการรักษาแบบโบราณในหนนี้!
 
“โอ....” หมอหลวงมองมันตาเป็นประกายวิบวับ เขาอุทานออกมาเบา ๆ  “มันคือยาประเภทเดียวกับโสมสีทองใช่ไหมพะย่ะค่ะ”
 
แม้บยอลจะไม่ค่อยชอบกินโสมสีทอง แต่เขาก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนในที่นี้ต่างรู้สึกประหลาดใจที่ องค์ชายบยอลผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ อยู่ ๆ ก็มีความรู้ด้านการแพทย์เพิ่มมาด้วยซะอย่างงั้น และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา บยอลจึงหยิบมันขึ้นมา บิดเกลียวเปิดฝาขวดทันที
 
“ในนี้มีใครพักผ่อนน้อยบ้าง”  เด็กหนุ่มถามออกไป กวาดสายตามองคนอื่น ๆ ที่กำลังทำท่าผงะกับเสียงเปิดฝาขวด
 
“เอ่อ.....”  คณะหมอหลวงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนผู้เสี่ยงตายคนแรกจะยกมือขึ้น เห็นดังนั้น บยอลจึงกวักมือเรียกหมอหลวงในชุดผ้าแพรสีน้ำเงินที่นั่งอยู่ไกลที่สุดให้เข้ามาใกล้ ๆ
 
“กินนี่ซะ....แล้วบอกทุกคนว่าลุงรู้สึกยังไง !”
 
หมอหลวงคนนั้นทำหน้าราวกับเสียไม่ได้ ราวกับองค์ชายมีรับสั่งให้ไปกินยาพิษอะไรแบบนั้น แหม ทำเป็นทำหน้าทำตากล้า ๆ กลัว เชื่อเหอะบยอลคนนี้เหอะ....พอกินเสร็จแล้วจะต้องอยากกินอีกแน่ ๆ
 
ในด้านของหมอหลวงใหญ่นั้นกำลังจ้องลูกน้องของตัวเองไม่วางตา จริง ๆ แล้วเขาอยากจะเป็นคนทดลองมันซะเองด้วยซ้ำ แต่ก็กลัวผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกาย เพราะงั้นเป็นหมอหลวงปาร์คก็คงจะเหมาะสมแล้ว
 
“โอ่ะโม่ะ....”
 
ทว่าเพียงแค่คำแรกเท่านั้น คนเสียสละที่เป็นหนูทดลองยาก็คำรามขึ้นมาเสียงดัง ดวงตาของเขาเป็นประกายแวววาว ความรู้สึกมันล้นปรี่ซะจนควบคุมไม่ไหว ต้องอุทานคำว่า ‘โอ่ะโม่ะ’ ออกมา...
 
“ไงลุง....อร่อยไหม?”  บยอลยักคิ้ว มองลุงหมอหลวงชุดน้ำเงินกระดกยาชูกำลังจนหมดในรวดเดียว แถมยังแอบเห็นเพื่อนหมอหลวงด้วยกันกลืนน้ำลายซะเสียงดัง...
 
“ทรงพระปรีชาสามารถยิ่งนัก !!!!” กระดกจนหมดขวดหมอหลวงชุดน้ำเงินก็ก้มลงคำนับองค์ชายบยอลจนหัวแทบติดพื้น ก่อนจะเงยขึ้นมาทำหน้าปิติเหมือนได้เกิดใหม่อีกรอบ  “รสชาติมันดีมากพะย่ะค่ะ ดีกว่าโสมสีทองเป็นไหน ๆ....มันเปรี้ยว หวาน กำลังดี...รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเป่าขึ้นมาเลยพะย่ะค่ะ !!!!”
 
บยอลอมยิ้ม แล้วหันไปหาหมอหลวงใหญ่ “เป็นไงล่ะ ผมบอกแล้ว....”
 
“ทรงพระปรีชาสามารถยิ่ง”  หมอหลวงฮวังก้มลงอย่างนอบน้อม ขณะที่ในใจก็แอบรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เป็นคนลองมันซะเอง
 
“ฮ่าฮ่าฮ่า.....”  ได้ฟังเท่านั้นบยอลหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น  ทำเอาทุกคนในตำหนักพากันหัวเราะไปด้วยเพราะความสดใสขององค์ชายบยอล นางในคนอื่น ๆ ก็ก้มหน้าหัวเราะกันคิกคักพลางแอบคิดว่าองค์ชายบยอลเองก็ไม่ได้ดูเย็นชาอะไรมากออกจะเป็นกันเองด้วยซ้ำ ไม่เห็นเหมือนคำร่ำลือที่นางในรุ่นพี่คนอื่น ๆ ที่เคยกล่าวถึงว่าทรงถือยศ ถือศักดิ์จนคล้ายกับจะรังเกียจทุกคนที่ต่ำกว่าตนเอง แต่เหตุการณ์ที่เห็นอยู่ตรงหน้านี่ ก็มิเห็นได้มีนิสัยเจ้ายศเจ้าอย่างแบบที่คนอื่นว่าเลยแม้แต่น้อย 

บรรยากาศในห้องสนุกสนานกันอยู่ได้ไม่นาน เด็กหนุ่มที่นำทีมหัวเราะก็ต้องผงะ เพราะการมาของชายหนุ่ม ตาโต ผมดำขลับในชุดขุนนางที่ยืนอมยิ้มอยู่หลังยุนซังกุง

“พวกเจ้าหัวเราะอะไรกัน เสียงดังเอะอะไปถึงข้างนอก”
 
คนมาใหม่เปล่งเสียงถาม  ก่อนจะเดินอาด ๆ เข้ามาหยุดตรงหน้าบยอล ก่อนจะนั่งลงอย่างไม่เกรงอกเกรงใจใครในที่นี้แม้สักคน มันน่าแปลกมาก บยอลคิด แปลกตรงที่ทำไมทุกคนถึงได้พร้อมใจกันลุกขึ้นค้อมคำนับให้ชายในชุดขุนนางผู้นี้อย่างเกรงอกเกรงใจทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังนั่งหัวเราะกับเขาอยู่เลย 


“นาย...คนซื้อพลุ?” ลีบยอลยกมือขึ้นชี้คนมาใหม่ที่ไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าสำหรับตน อย่างน้อยเขาก็ยังจำหน้าคนที่เคยช่วยให้ตัวเองพ้นดงเท้าลูกขุนนางชั้นสูงเมื่อคืนก่อนมาได้ ว่าแต่หมอนี่มาที่นี่ทำไมกันล่ะเนี่ย 
แถมบรรยากาศในห้องยังอึมครึมจนเด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกเย็นหลังแปลก ๆ คิดจะเอ่ยถามออกไปก็กลัวว่าจะเป็นที่ประหลาดใจของคนอื่น จึงยังนั่งนิ่ง ทำเป็นดูท่าทีคนรอบ ๆ ตัวทั้งที่ก้อนเนื้อในอกมันเต้นโครม ๆ

“นี่เจ้าหายประชวรแล้วหรือ องค์ชายบยอล” นอกจากไม่ตอบรับคำทักทายของบยอลแล้ว ชายคนนั้นยังถามเสียงนุ่มและรอยยิ้มเวรี่ไนซ์มาให้ บยอลจึงจำต้องพยักหน้ารับแบบเสียไม่ได้ นี่เขาอยู่ในวังหลวงไม่ใช่หรอ....แล้วทำไมราษฎรถึงเข้านอกออกในวังหลวงมาเยี่ยมเขาง่าย ๆ แบบนี้กันล่ะ ถึงจะเป็นลูกขุนน้ำขุนนางก็เหอะ

เอ หรือว่าหมอนี่จะเป็น...
ขุนนางชั้นสูง?
 
“คุณเป็นขุนนางหรอกเหรอ คุณคนซื้อพลุ?”  เอาวะ ถามก็ถาม ขี้เกียจมานั่งเดาสุ่มสี่สุ่มหาเอาเองแล้ว ในใจบยอลตอนนี้คิดว่า ใช่แน่ ๆ ต้องใช่แน่ ๆ หน้าใสเป็นตูดเด็กแบบนี้...ยังไงก็น่าจะเพิ่งกินตำแหน่งได้ไม่นานหรอกมั้ง ว่าแต่ถ้าหมอนี่อยู่ในยุคของเขานะ ปากนิดจมูกหน่อยแบบนี้มีหวังได้ไปเล่นหนัง ไม่ก็ต้องไปอยู่ในวงบอยแบนด์ใดซักวงของค่ายดังแน่
 
“หืม...ขุนนางงั้นหรือ” ทว่า คำถามของบยอลกลับทำให้คนฟังหน้าเหวอไปนิดนึง เขาก้มลมมองตัวเองตั้งแต่อกจรดปลายเท้า “ฮ่าฮ่าฮ่า  งั้นรึ ข้าเหมือนขุนนางอย่างนั้นรึ”
 
ได้ฟังอย่างนั้นบยอลก็ยิ่งไม่เข้าใจไปกันใหญ่...ไม่รู้ว่ามีส่วนไหนของคำถามที่มันน่าตลกกัน ทำไมร่างสูงตรงหน้าถึงได้ขำไม่หยุดในขณะที่คนอื่นนั่งเกร็ง ขำแบบไม่เกรงใจซังกุง กับ หมอหลวงที่หนังเหงื่อตกรอกันเลยซักนิด... ว่าแต่เหงื่อตกทำไมกันเนี่ย !
 
“ว่าแต่ อาการขององค์ชายบยอลเป็นยังไงบ้างใต้เท้าฮวัง” ขำเสร็จคนมาใหม่ก็ถือวิสาสะถามใต้เท้าหมอหลวงที่นั่งอยู่ด้านหลัง สาบานได้ว่าบยอลแอบเห็นลุงหมอหน้าซีดเผือดไปเลย 
 
“ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้วพะย่ะค่ะ...แค่ทรงหน้ามืดเพราะพักผ่อนน้อย กับระบมบาดแผลที่เกิดมาก่อนแล้วหน้านี้”
 
“ดี...ดีมาก” ร่างสูงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ว่าแต่  บาดแผลอะไรกันใต้เท้าฮวัง ?”
 
 ก็ไม่รู้ว่าขุนนางหน้าใสหัวใจว้าวุ่นนี่มีสิทธิอะไรมากมายนักหนา ถึงสามารถถามซ่อกแซ่กเรื่องอาการของเขาได้หน้าตาเฉย แล้วแถมหมอหลวงก็ดูเหมือนจะเกรงใจหมอนี่มากเสียด้วย แต่ก็เอาเถอะ...องค์ชายบยอลผู้ยิ่งใหญ่คนนี้จะยอมคบค้าสมาคมเป็นเพื่อนคนแรกในโชซอนให้แล้วกันนะ ในฐานะที่หวังดีต่อกันมากตั้งขนาดนี้
 
“ดูเหมือนจะเป็นแผลที่เกิดจากของมีคมพะย่ะค่ะ” จบคำดวงตาคู่คมก็ตวัดมามองทางเจ้าของแผลทันที อยู่ ๆ บยอลก็รู้สึกเหมือนกับขนลุกชันไปทั้งตัว ตาคู่นั้นมันดูทรงอำนาจอย่างบอกไม่ถูก...แต่ก็แค่วูบเดียวเท่านั้นแหละ แววตาก็เปลี่ยนกลับมาเป็นอ่อนโยนยังกับเป็นคนละคน
 
“ข้าอยากให้องค์ชายบยอลมีพลานามัยแข็งแรงที่สุดในวันขึ้นรับตำแหน่งรัชทายาท” ขุนนางหนุ่มอมยิ้ม “เพราะอย่างนั้น...เพื่อให้องค์ชายบยอลได้คลายเครียด...ในวันอีกห้าวันข้างหน้า ข้ากับองค์ชายบยอลจะออกไปล่าสัตว์ด้วยกัน....”

“...”

“ใต้เท้าฮวังจะสามารถฟื้นกำลังให้องค์ชายหายทันการณ์ใช่หรือไม่?” ร่างสูงคนนั้นพูดเองเออเองซะหมด แถมหันไปมองหน้าป้าซังกุงที่ดูแลเขาเป็นเชิงถามซะด้วย รายนั้นที่ปกติดุเขาอย่างกับอะไร อยู่ ๆ ก็พยักหน้ารับอย่างง่ายดายเฉยเลย...ไม่แค่นั้นสิ ไอ้คำพูดที่ดูเหมือนจะข่มขู่หมอหลวงเบา ๆ นั่นก็ทำให้คนโดนขู่ถึงกับต้องรีบพยักหน้ารับแทบไม่ทัน

แล้วล่าสัตว์อะไร มีอำนาจบาตรใหญ่อะไรมาสั่งให้เขาทำโน่นทำนี่ซะมากมาย...
 
“งั้นข้ากลับล่ะ...ยังไงก็ดูแลองค์เองด้วย”  บยอลทนมานานแล้ว หมอนี่มาถึงก็พูด ๆ สั่ง ๆ เสร็จแล้วก็ไปง่าย ๆ แบบนี้มันใช้ได้งั้นเหรอ... อย่างน้อย ๆ ก็ขอให้ได้รู้ชื่อซักหน่อย รอให้เขาได้เจอพระเจ้ายอนชางก่อนเถอะ จะฟ้องให้สอบควากอ*ไม่ได้เลย
 
“เดี๋ยวก่อน !” บยอลตะโกนรั้งคนที่กำลังจะก้าวผ่านบานประตูเลื่อนไป ร่างสูงชะงักเท้า แต่ก็หันหลังกลับมา ดวงตาคู่คมฉายแววฉงนสงสัยในตัวเขา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสั่นระริกเพราะคำถามที่เขาเพิ่งจะตัดสินใจพูดออกไป
 
“คุณ-- ไม่สิ....เจ้าชื่ออะไร”  บยอลจงใจใช้สรรพนามเหมือนในละครจัก ๆ วงศ์ ๆ ที่เขาดูในตอนเช้าวันเสาร์-อาทิตย์เพื่อให้เริ่มกลมกลืนไปกับคนพื้นที่ แต่คำตอบจากสีหน้าของอีกฝ่ายที่ได้มากลับทำให้เขาไม่มันใจ  และไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ทำไมคนโชซอนถึงได้เส้นตื้นขนาดนี้ นี่แค่ถามชื่อนะ..กลั้นขำยังกับว่าเขากำลังเล่นตลกคาเฟ่ให้ดูยังไงยังงั้น
 
 “นามของข้าน่ะหรือ” ร่างสูงทวนคำ
 
“ก็ใช่น่ะสิ !” บยอลแหว
 
คนถูกถามก็พอจะรู้สึกได้ถึงรังสีอาฆาตขององค์ชายผู้สูงศักดิ์ ร่างสูงกระแอมไอเสียงดัง กลั้นใจกลืนก้อนขำลงคอไป ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอมยิ้ม มองหน้าองค์ชายบยอลนิ่ง...
 
“นามของข้าคือ อิล...ลีอิล”


“...”

“หรือนามาภิไธยว่า ยอนชาง ยังไงล่ะ”
 
_____________________________
*ควากอ / ควาจอ – การสอบคัดเลือกขุนนางพลเรือนเข้ารับราชการ คล้ายๆ จอหงวน  จะสอบโดยวัดความในวิชาขงจื๊อ การเขียนบทกวี และ หลักการปกครอง
_____________________________

 
สำหรับพัค อินซาแล้ว...ภาพที่เขาไม่ได้เห็นมานานที่สุดก็คือรอยยิ้มของเพื่อนสนิท เพื่อนคนเดียวที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมานานเหยียบสิบปี ตั้งแต่เล็กจนโตคน ๆ นั้นก็มักจะมีรอยยิ้มที่สดใสเสมอ ทว่านับตั้งแต่เพื่อนสนิทคนเดียวของเขาขึ้นเป็นพระราชาของประเทศแล้ว รอยยิ้มที่พิมพ์ออกมา ก็ไม่ต่างอะไรจากรอยยิ้มของรูปปั้น อินซารู้สึกเพียงความเย็นเยียบเหมือนผิวสัมผัสของหินที่นำมาสลักขึ้นรูป หากรอยยิ้มนั้นหาใช่ของจริงไม่
 
แต่ทว่า...วันนี้มีอะไรที่เปลี่ยนไป
 
“ท่านหัวหน้าองครักษ์” ร่างสูงเอ่ยทักขึ้นทันทีที่เข้าประชิดถึงตัว อินซาน้อมศีรษะเพื่อรับคำทักทายจากอีกฝ่าย “ฝ่าบาท...”
 
รอยยิ้มนั้นยังไม่จางหายไป และดูเหมือนว่า วันนี้พระราชาจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษอีกด้วย นั่นทำให้เขาสงสัยขึ้นมา ว่าในตำหนักขององค์ชายบยอลมีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษรึเปล่า
 
แต่ดูเหมือนคนข้างตัวจะไม่ทำให้เขาต้องสงสัยนาน ร่างสูงชะงักฝีเท้าลง ดึงหมวกคัดที่ใส่คู่กับชุดสามัญลงมาปิดหน้า ก่อนจะจงใจพูดออกมาเสียงดัง ดังซะจนขบวนนางกำนัลห้องเครื่องที่เพิ่งเดินผ่านไป หูผึ่งขึ้นมาเพราะความสนใจ
 
“วันมะรืนพระราชากับองค์ชายบยอลจะไปล่าสัตว์กัน....ท่านพัค อินซาจะไปด้วยรึเปล่า”
 
อินซาขมวดคิ้ว...ก่อนจะพยักหน้าอย่างเร็วเพราะเริ่มจะเข้าใจสาเหตุของการขยิบตาของพระราชาขึ้นมาบ้างแล้ว
 
“ดีจริง ๆ เลยนะ ข้าก็อยากจะไปด้วยเหมือนกัน....แต่เห็นว่าองค์ชายบยอลยังไม่หายประชวรดีเลยน่ะสิ...ถ้าเกิดทรงเป็นอะไรขึ้นมากลางทาง จะไม่เป็นไรงั้นหรอ”
 
 อินซาส่ายหน้าเป็นคำตอบ...
 
“ข้าก็คิดว่าอย่างนั้นเช่นกัน....ถ้างั้นเราไปกันเถอะท่านองครักษ์”
 
พูดจบคำพระราชาในคราบขุนนางหนุ่มก็สาวเท้าออกจากที่ตรงนั้นทันที ลีอิลไม่คิดว่าตัวเองจะต้องอยู่รอดูผลลัพท์อะไร เพราะในการปล่อยข่าวลือนั้น ตัวแปรที่สำคัญที่สุดในการกระจายข่าวลือนั่นก็คือ....
 
เพศหญิง

และที่บริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยนางในซึ่งกำลังพยายามสอดส่องในตำหนักองค์ชายบยอลอย่างสุดความสามารถ
 
___________________________________________________
___________________________________________________
 

 
“เจ้าว่าอะไรนะ...ฝ่าบาทจะออกล่าสัตว์กับองค์ชายบยอลอย่างนั้นหรือ ...”
 
เสนาธิบดีกลาโหม ซึ่งสนับสนุนขุนนางฝั่งใต้ทวนคำเสียงดัง เมื่อใต้เท้าซินที่เป็นคนดูแลห้องเครื่องพูดจบ ชายชราในชุดผ้ามัสลินพยักหน้าเครียด
 
“มีเรื่องอย่างนี้ได้ยังไง...ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะทรงทำอะไรกันแน่”
 
ใครซักคนในที่ประชุมเอ่ยขึ้นเพราะเป็นกังวลกับเรื่องที่ได้ยินมา ฝ่าบาทน่าจะรู้ทั้งรู้ว่าองค์ชายบยอลทรงเห็นพระองค์เป็นปรปักษ์ แต่ก็ยังชวนออกไปล่าสัตว์ แถมยังเป็นวันก่อนวันแต่งตั้งองค์รัชทายาทก่อนหนึ่งวันเสียด้วย...
 
“หรือที่ฝ่าบาททรงเรียกองค์ชายกลับมา แท้จริงแล้วทรงคิดจะปลงประชนม์องค์ชายบยอล ?”
 
 ดูเหมือนความคิดเห็นของคนฝ่ายใต้จะเป็นไปในทิศทางเดียวกันเกือบทั้งหมด ใต้เท้าคิมเม้มริมฝีปากแน่น “ไม่ว่ายังไง ข้าก็จะไม่ยอมให้องค์ชายบยอลเป็นอะไรไปเด็ดขาด เพราะองค์ชายเป็นความหวังเดียวที่จะทำให้ฝั่งใต้เราได้กลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง ”
 
“ล-- แล้วท่านจะทำยังไง...ท่านใต้เท้าคิม ข้าเคยได้ยินพวกชาวบ้านในตลาดเขาลือกันให้แซ่ด ว่าองค์ชายบยอลสติไม่ค่อยสมประกอบ...ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ ความหวังที่ฝ่ายใต้จะได้คืนซึ่งอำนาจก็จบกันน่ะสิ”
 
เสนาธิบดีกลาโหมฟังความกังวลของขุนนางคนอื่น ๆ นิ่ง ก่อนจะหันไปทางลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่นั่งอยู่ข้างท้าย ห่างจากวงสนทนาที่สุด
 
“เช่นข้าจะส่งกีอุนลูกชายของข้าไป...พร้อมกับทหารในค่าย...ที่เราเตรียมการกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว”

“...”

“หากพระราชาทรงคิดจะทำอะไรเกินเลยขึ้นมาเช่นที่พวกท่านว่าจริง ๆ”

“...”

“เราอาจต้องเป็นฝ่ายลงมือบ้าง”

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> TBC

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
แหมะองค์ชาย? น่ารักเชียว ไม่ได้เข้ากะสถานะการณ์ของพวกขุนนางเลย เครียดกันใหญ่
 :3123:  :pig4:  :3123:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อ้าว ยังไม่รู้อีกเหรอว่าคุยอยู่กับใคร ฮา

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ VIRIDIAN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1

“ออกล่าสัตว์ !”
 
พระสุรเสียงของสตรีอันดับหนึ่งแห่งโชซอนที่ตะเบ็งขึ้นมา ดังจนทำเอาซังกุงกับนางกำนัลที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องพากันอกสั่นขวัญแขวนไปหมด นี่คงเป็นเรื่องใหญ่มากจริง ๆ ไม่เช่นนั้น พระมเหสีฮวาซอนผู้สงบเสงี่ยมคงไม่กริ้วปังออกมาอย่างนี้
 
“เพคะ พระมเหสี”
 
ซังกุงสูงสุดแห่งห้องเครื่อง คนของฝ่ายตะวันตกเร่งนำความมาบอกเจ้านายของหล่อนทันทีที่รับได้รับข่าว แน่นอนว่าฮวาซอนตรองเป็นอย่างดีแล้วว่าคงไม่ใช่เรื่องเท็จเป็นแน่ เพราะนางกำนัลคนนั้น บอกว่าเห็นท่านพัค อินซาองครักษ์คนสนิทของพระราชากำลังคุยกับขุนนางคนสนิทอีกท่านกับตา
 
“พระราชา--พระราชาทรงคิดอะไรอยู่...”  พระสุรเสียงที่สั่น แลถ้อยคำกระอักกระอวนของเจ้านายทำเอาบ่าวใจไม่ดีไปตาม ๆ กัน
 
“....ไปเรียกท่านพ่อมาหาข้า...เดี๋ยวนี้เลย...”
 
เป็นอันรู้ว่า พระราชาองค์ปัจจุบันนั้น ที่พระองค์สามารถขึ้นครองราชย์ได้ ก็ด้วยอำนาจของฝั่งตะวันตก เพราะอย่างนั้นศัตรูจากฝั่งใต้อย่างองค์ชายบยอลจึงไม่น่าไว้ใจเลยแม้แต่น้อย ถึงจะบอกว่าเป็นองค์ชายที่เสียพระสติก็เถอะ ! ยิ่งไปด้วยกันแค่สองคน กับองครักษ์เพียงหยิบมือ จะไปพออะไร หากฝ่ายใต้บุกมาลอบปลงพระชนม์พระราชา แต่ครั้นจะให้หล่อนไปห้ามเอง ก็ใช่ว่าพระสวามีจะทรงฟังเหตุผลร้อยแปดประการจากหล่อนที่ไหน เพราะตัวหล่อนเองนั้นเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งของพ่อและพระราชา

หล่อนรู้ดี....รู้ดีที่สุด...ว่าพระราชาไม่เคยมองมเหสีคนนี้เลยแม้แต่หางตา  หล่อนไม่มีค่า ไม่มีความหมายใดใด เป็นเพียงเครื่องมือทางการเมืองก็เท่านั้น...
 
ฮวาซอนพรูพระปัสสาสะออก แต่ก็ช่างปะไร...สักวันหนึ่งพระองค์คงจะเห็นได้ถึงความรักที่หล่อนถวายให้ทั้งหมด ทั้งตัวและหัวใจ เพราะงั้นหล่อนจึงต้องเข้มแข็งเอาไว้ จะต้องปกป้องพระราชา ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม หล่อนจะไม่ให้พระองค์ตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด...
 
แล้วซักวันหนึ่ง....
ซักวันที่พระราชาจะเห็นค่าความรักจะมาถึง....
 
 
 
 
 
IN TIME
** เนื้อเรื่อง และตัวละครทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องที่ผู้เขียนจินตนาการขึ้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
______________________________
{ 5 - HOUR  }
Secret Garden
 

 
บยอลนอนไม่หลับ
 
กลิ้งไปทางซ้าย... ย้ายไปทางขวา หมุนหน้ากลับมา ตีลังกาอีกสามที...
 
ก็ยังไม่หลับ
 
ก็ไม่ใช่จะแปลกที่หรืออะไรหรอกนะ คนอย่างเขามันง่าย ๆ สบาย ๆ อยู่แล้ว นอนไหนก็ได้ ขนาดไปกินเหล้า เมาเหมือนหมาเพื่อนลากไปนอนข้างหมาหน้าเซเว่น ยังนอนอ้วกพุ่งอยู่ข้าง ๆหมาเลย...
 
แต่วันนี้มันไม่หลับ...ข่มตาลงยังไงก็ไม่หลับ
 
เพราะอะไรน่ะหรอ ? ไม่เห็นต้องถามเลย ก็ไอ้...ไม่สิ...ก็คนเมื่อตอนบ่ายที่มีน้ำใจมาเยี่ยมเขาถึงที่นี่ ดันเปิดตัวว่าเป็นพระราชาของประเทศน่ะสิ !!! ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อ บยอลผู้นี้ลมแทบจับ โทษทุกคนที่ขวางหน้า ว่ายืนนิ่งเป็นพริตตี้เฝ้าเสาเฝ้าคานพระตำหนักกันอยู่ได้ มีอะไรไม่เคยบอกกันก่อน ทิ้งให้เขาปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่ม !
 
เออ...พระเจ้ายอนชาง มายไอด้อลของเขานั่นแหล่ะ ดึกแล้วไม่ยอมนอน มาวิ่งเล่นในหัวสมองคนอื่นอยู่ได้ ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยรึไงกัน....
 
นี่ก็ไล่แล้วนะ แต่ก็ไม่ยอมไปไหน...พอเขานับแกะก็ขี่แกะมาให้นับด้วย พอเปลี่ยนไปนับปลาโลมา ก็ดันนนน โต้คลื่นมานับด้วย... นี่ก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว สงสัยอย่างเดียว ตื่นมาพรุ่งนี้จะโดนลากไปประหารโทษฐานพูดจาไม่ดีกับพระราชาด้วยหรือไม่...
 
“ฮ่วย !”
 
เด็กหนุ่มบอกตัวเองว่านี่มันหมดเวลากับการพยายามข่มตาให้หลับแล้ว ! ถึงได้กระเด้งตัวลุกขึ้นจากฟูกนิ่ม พาตัวเองออกไปทั้งชุดนอน เดินเอื่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ ให้ซังกุงกับนางกำนัลในตำหนักเดินเมื่อยเล่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถพาตัวเองออกไปได้ไกลถึงนอกตำหนักได้แต่นิ่งงันอยู่อย่างนั้น....
 
เพราะเสียงตะโกนที่ดังลอยลมมากระแทกหูเขานั่น...ทำเอาหัวใจแทบวาย !!
 
“พระราชาเสด็จ !!!”
 
สิ้นเสียงขันที พระราชาตัวเป็น ๆ ก็เดินหน้าระรื่นนำมาแต่ไกล ร่างสูงนั่นสาวเท้าเข้าประตูตำหนักมาอย่างเร็ว คราวนี้ใส่ชุดฮงรยงโป*เต็มยศซะมาด้วย สงสัยจะกลัวเขาทักผิดอีกล่ะมั้ง...
 
“องค์ชายบยอล”
 
พระราชาเอ่ยทักพร้อมอมยิ้มมุมปากน้อย ๆ ผิดกับองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างหลัง ทำหน้ายังกะจะกลืนเขาลงท้องยังไงอย่างงั้น นี่ถ้าหัวของเขาเป็นจุ๊ปปาจุ๊บล่ะก็ คงแกะห่อแล้วอมหัวกันตรงนี้เลยล่ะมั้ง
 
“พอดีเลย...เจ้ายังไม่นอน....”
 
“เอ่อ...แล้วทำไม...คุณ...เอ้ย...พระเจ้ายอนชางยังไม่นอนล่ะครับ ?”
 
คนฟังอมยิ้มกับสรรพนามแปลกๆ ที่ถูกร่างเล็กกว่าสรรหามาเรียกใหม่ “ข้าจะมาชวนเจ้าไปเดินเล่น...”
 
“เดินเล่น ?”  บยอลขมวดคิ้ว เดินเล่น...ตอนนี้น่ะนะ ? แล้วทำไมมาชวนเขากันล่ะเนี่ย ยิ่งไม่อยากจะเจออยู่... มีมเหสีแล้วทำไมไม่ไปชวนมเหสีมาเดินกินลมชมวิวกันล่ะคร๊าบบบบ มายไอดอลของผมมมม
 
“ข้ามีอะไรจะให้เจ้าดู....” คำพูดเดียวหยุดความคิดเพ้อเจ้อของบยอลได้ชะงัด “เดินตามข้ามาสิ...”
 
เป็นเพราะพระสุรเสียงกับแววเนตรที่ทรงดูตื่นเต้นหรอกนะ เขาถึงได้เดินตามมา แต่เชื่อเหอะว่าบยอลนึกโทษตัวเองอยู่ซ้ำ ๆ ว่ารนหาที่อยู่เรื่อย ลำพังอยู่ในตำหนัก แกล้งทำเป็นหลับซะ ก็จะได้ไม่ต้องมาเจอไอดอลให้เสี่ยงกับการถูกซักไซร้ไล่เลี่ยงก็ดีอยู่แล้ว แต่นี่....
 
นี่.....
 
“นี่มัน....สวยมาก......”
 
ไม่รู้จะอุทาน หรืออธิบายอะไรออกมาเป็นคำพูดได้มากกว่านี้ เมื่อสถานที่ ที่พระราชาภูมิใจนำเสนอนักหนา ถึงขนาดลงทุนพาเขาเดินมากลางดึกที่ท้ายวัง มันเจิดจรัส ส่องประกาย งดงามหาที่เปรียบไม่ได้จนต้องอ้าปากหวออย่างนี้....
 
ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วจริง ๆ.....
 
บยอลยืนตะลึงกับทุ่งดอกโบตั๋น ที่ทอดยาวไปจนตีนเขาเกือบถึงกำแพงวังหลัง ดอกไม้ลักษณะคล้ายดอกคาเนชั่นแต่ใหญ่กว่ามาก พร้อมใจกันผลิบานราวกับจะยิ้มต้อนรับองค์ชายคนสำคัญที่กลับวังมาได้อย่างปลอดภัย แล้วยังสีชมพูระเรื่อ ที่เท่ากันทั้งทุ่งนั่นอีก...
 
สวยจนน้ำตาจะไหล....
ขอแชร์นะครับ....     
 
“มันจะบานเฉพาะคืนวันเพ็ญเท่านั้น เพราะอย่างนั้นข้าถึงต้องรบกวนเจ้ามากลางดึกอย่างนี้”  ร่างสูงเงยหน้ามองดวงจันทร์สีทองอร่าม มองตามแสงนวลที่ทอดส่องลงมากระทบใบหน้าขาวของคนตัวเล็กกว่า
 
“ข--ขอบคุณครับ” ด้านบยอลนั้น ยังคงตะลึงอยู่กับทุ่งดอกโบตั๋นจนไม่รู้จะกลั่นกรองอะไรออกมาเป็นคำพูดดี จึงได้แต่ยกมือยกไม้ชี้สุ่ม ๆ ไปตรงหน้า “ดอกโบตั๋นพวกนี้...มันขึ้นเองหรอครับ ?”
 
บยอลกระซิบถาม เพราะสายตายังจดจ่ออยู่กับทุ่งดอกไม้ที่สวยงามราวกับอยู่บนสวรรค์ จำได้ว่าที่เคยเรียนมา ดอกโบตั๋นเป็นดอกไม้ของจักรพรรรดิ ยิ่งในรัชสมัยนี้ ไอ้เจ้าดอกไม้นี่ มีค่ายิ่งกว่าทองคำเสียอีก
 
“ทุ่งดอกโบตั๋นนี้ ข้าเริ่มปลูกสมัยที่สำเร็จราชการแทนพระเจ้าชินโจใหม่ ๆ” พระราชาของประเทศตรัส เด็กหนุ่มละความสนใจจากทุ่งดอกไม้ มาสบตากับเหนือหัวที่ประทับอยู่ข้างตนชั่วคราว

“แล้วทำไมถึงได้ปลูกมากมายขนาดนี้ล่ะครับ....”
 
กลั้นใจถามออกไป ถึงแม้อยากจะเสวนากับพระราชาให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็เถอะ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าใครกันนะ ที่พระราชาลงทุน นำเข้าเมล็ดดอกโบตั๋นที่แพงแสนแพงเข้ามาปลูกตั้งเยอะตั้งแยะขนาดนี้
 
“ข้าปลูกให้เจ้า....”
 
“ปลูกเป็นทุ่งเนี่ยนะ !!!”  บยอลตะโกนลั่นด้วยความตกใจ ทั้งอึ้ง ทั้งทึ่ง ก่อนจะตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน ท่าทีของคนตัวเล็กกว่าทำให้ร่างสูงแย้มสรวลออกมา
 
“ทั้งทุ่งโบตั๋น...และตำแหน่งรัชทายาท รับมันไว้แทนคำขอโทษจากข้าได้ไหม ?”
 
“แต่...เอ่อ...นี่มันมากไป..ผม..เอ่อ...ข้ารับมันไม่ไหว”
 
แน่นอนว่า พระพักตร์ของพระเจ้ายอนชางเปลี่ยนไป ในแววเนตรคู่นั้นฉายแววว่าทรงเจ็บปวด  ถึงแม้จะแย้มพระโอษฐ์อ่อนโยนก็ตามที ซึ่งอากัปเหล่านี้มีแต่บยอลเท่านั้นที่มองเห็นมัน....ไม่สิ...พระราชาจงใจให้เขาเห็นเท่านั้น...
 
แค่เขาคนเดียว...
 
“ม....ไม่รับไม่ได้เหรอครับ” อย่างไรเขาก็ไม่ใช่ตัวจริงอยู่แล้ว อยู่ๆจะให้ถือสิทธิ์ครองประเทศ ชุบมือเปิบไปได้ยังไง
 
“ไม่ได้หรอกองค์ชายบยอล.....”
 
“...” 

เชื่อเถอะว่าบยอลมองไม่เห็นพระราชาผู้มีดวงเนตรเศร้าอีกแล้ว เวลานี้เขาเห็นแต่ ไอดอลของเขากลับมาอมยิ้มแบบที่เดาอารมณ์ไม่ถูก
 
“เพราะนี่คือคำสั่งของพระราชายังไงล่ะ.....”
 
 
_____________________________
ชุดฮงรยงโป* - เครื่องทรงสีแดง ปักด้วยตราประจำราชวงศ์ สงวนเฉพาะจักรพรรดิเท่านั้น
_____________________________

 สองเท้าก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างคนไม่มีแรง  ตั้งแต่เมื่อครู่ที่แยกตัวออกมาจากขบวนเสด็จของพระราชาจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เลิกเกร็งเลยซักนิด ถ้าจะโทษใครได้ ก็คงต้องโทษพระราชาของระเทศนี้ล่ะมั้ง นอกจากจะหลอกหลอนกันในหัวแล้วยังไม่วายตามมาหลอกกันถึงตำหนัก  พระเจ้ายอนชางทรงไม่รู้จักตำแหน่งรัชทายาทหรือไง? ไม่เข้าพระทัยหรอว่าคนที่ได้ครองตำแหน่งนี้จะต้องสืบราชบัลลังก์ต่อจากตัวเอง

บยอลมุ่ยหน้า  หรือจริงๆแล้ว เรื่องทั้งหมด คนที่ไม่เข้าใจใครเลยจริงๆ อาจจะเป็นเขาก็ได้ เขาต่างหากที่ไม่รู้อะไรเลย ทั้งเรื่องของพระราชา องค์ชายบยอลตัวจริง  แล้วยังทุ่งดอกโบตั๋นนั่นอีก มันมีอะไรซับซ้อนเกินกว่าเขาจะเข้าใจ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะให้เด็กผู้ชายที่ยังไม่มีแม้กระทั่งแฟนเป็นตัวเป็นตนต้องมาแบกรับความหนักอึ้งแบบนี้ไว้นะ
 
“แม่จ๋า....ผมอยากกลับบ้านแล้ว.....”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นบอกกับท้องฟ้า บอกโชคชะตาที่กลั่นแกล้งกันจนต้องระหกระเหินมาอยู่แปลกที่แปลกยุคแบบนี้ เขาสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะตั้งใจเร่งฝีเท้ากลับตำหนัก  แต่ไม่ทันที่จะได้ก้าวขาออกพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างไหว ๆ อยู่หลังพุ่มไม้...

เด็กหนุ่มหรี่ตามอง....  นั่น...อะไรวะ...

ร่างโปร่งค่อย ๆ เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ไปหาพุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งเป็นอย่างดีนั่น และเมื่อมองไปด้านหลัง.....

ไอ้หยา...ตำหนักร้าง....

สาบานได้ว่าไม่เคยใจเต้นแรงขนาดนี้ ขนาดที่ว่ายังไม่แรงเท่าตอนโดนแม่จับได้ว่าแอบเอาใบเกรดไปซ่อนเลย บยอลหลับตาปี๋ รีบกลับหลังหันทันที พอจะเข้าใจแล้วว่าไอ้ไหวๆ ที่เขาสงสัยอยู่เมื่อครู่อาจจะแค่มีพลังงานบางอย่างก็เป็นได้...

หรือว่าเขาจะฆ่าลูกตัวเองทิ้งในห้องน้ำบ่อยไปนะ ถึงได้มีกรรมกับอะไรพวกนี้จัง....
กลับถึงโซลคงจะต้องรีบติดต่อรายการคนอวดผีแล้วล่ะมั้ง

เด็กหนุ่มรีบกลั้นใจสาวเท้าออกมาจากพุ่มไม้นั้น แต่ไม่ทันแรงฉุดจากทางด้านหลัง ! มีบางอย่าล็อคคอเขาเอาไว้ แถมจงใจกระชากให้กลับไปเข้าใกล้พุ่มไม้นั้นอีก !

บยอลได้ยินมันชัดเจน เสียงลมหายในที่เป่ารดข้างหูของเขา ร่างบางพยายามดิ้นออกจากเรียวแขนหนา แต่ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ จนอีกฝ่ายกระชากดาบออกมาจากฝัก หันด้านคมจ่อคอหอยเขาเท่านั้นแหละทั้งมือทั้งขาก็เหมือนจะหมดแรงไปในที่สุด...

 “องค์ชายบยอล!!”  ทว่า นาทีที่กำลังจะหมดหวังแล้วนั้น เสียงของราชองครักษ์ก็ตะโกนลั่นเข้าโสตประสาทมาให้บยอลรู้สึกใจชื้น

 พัคอินซาที่แฝงตัวอยู่หลังพุ่มไม้อีกด้านปรากฏตัวขึ้น นับว่าพระราชาทรงคาดการณ์ไว้ไม่มีผิดที่มีกระแสรับสั่งเขาให้ตามมาส่งองค์ชายจนถึงตำหนัก ชายชุดดำดูท่าจะตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเขา แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นแหละ ร่างสูงโปร่งกำดาบในมือแน่นเมื่อเห็นว่าองค์ชายบยอลกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตรา เพราะชายชุดดำนาบดาบคมกริบไว้บนลำคอขาวโดยที่เจ้าตัวไม่คิดจะดิ้นรนสักนิด

เวลานี้บยอลคิดอะไรไม่ออกแล้ว ทำได้แค่คุมลมหายใจให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะพยายามกลืนก้อนแข็งลงคอไปยังหวั่นใจว่าจะมีส่วนใดของดาบบาดโดนผิวเนื้อหรือไม่ วินาทีที่ชีวิตอยู่ตรงกลางระหว่างความเป็นกับความตาย พอมาเจอจัง ๆ แบบนี้ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน….

ราชองครักษ์เม้มปากเข้าหากันแน่น มือข้างที่กำดาบชุ่มไปด้วยเหงื่อ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรอการเคลื่อนไหวจากเขาเช่นกัน ถึงได้ยังไม่ลงมือทำอะไร  แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายด้อยฝีมือกว่า ไอสังหารที่เขาสัมผัสได้มันรุนแรงนัก อีกทั้งยังคงสติเอาไว้ได้ทั้ง ๆ ที่อยู่ในฐานะผู้บุกรุก ถ้าเป็นคนอื่นคงจะลนลานจนทำอะไรไม่ถูกไปแล้ว...

ไม่ผิดแน่....ต้องมีคนในวังอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้...
เดาได้ไม่ยาก

“ช่วยด้วย”  บยอลส่งเสียงผะแผ่วขอความช่วยเหลือจากท่านราชองครักษ์ในขณะที่ภาพตรงหน้าเลือนรางลงเต็มที  ไม่รู้ว่าน้ำใส ๆ รื้นอยู่ในดวงตาได้อย่างไร  รู้แต่ว่าเขากลัวจับใจ... ยิ่งดาบคมเคลื่อนเข้าใกล้ลำคอมากขึ้นเท่าไหร่ ร่างบางยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองใกล้จะหยุดหายใจมากขึ้นเท่านั้น

“...”
 
อินซาหลับตาลง  ถึงแม้จะตะขิดตะข่วงใจที่องค์ชายบยอลผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ ไม่สามารถป้องกันตัวเองจากชายชุดดำได้ แม้จะคิดว่านี่อาจเป็นกับดัก ทว่าเมื่อเป็นรับสั่งของพระราชาแล้ว มีหรือที่ราชองครักษ์อย่างเขาจะไม่ปฏิบัติตาม

แต่ระยะทางขนาดนี้ คงไม่สามารถไปถึงตัวองค์ชายบยอลได้ทันก่อนที่ดาบเล่มนั้นจะปลิดลมหายใจได้แน่เขามั่นใจ ว่าเมื่อไหร่ที่เขาเริ่มเคลื่อนไหว อีกฝ่ายจะต้องลงมือทันที…. คิดได้ดังนั้น อินซาจึงรวบรวมลมหายใจทั้งหมดไปไว้ที่ปลายดาบ หากครั้งนี้เขาพลาด ก็เท่ากับว่าหาเรื่องบั่นคอตัวเอง .....

 เคร้ง !! 

เสียงดาบตก ตามมาด้วยเสียงต่อสู้ดังอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่กลับเนิ่นนานเหลือเกินสำหรับบยอล ร่างโปร่งทรุดตัวลงกับพื้นทันทีที่หลุดจากคมดาบ  ความเจ็บแสบแล่นปราดไปทั่วทั้งซีกหน้าด้านซ้าย ช็อกจนขยับตัวไปไหนไม่ไหว ได้แต่ก้มหน้ามองพื้นดินอยู่อย่างนั้นทั้ง ๆ ควรจะรีบพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด

เด็กหนุ่มรู้สึกตัวอีกที ก็เมื่อเห็นหยาดเลือดสีแดงฉานหยดแหมะลงกับพื้นดินตรงหน้า
ไม่ใช่เลือดของใคร.... มันคือเลือดของเขาเอง....

 “องค์ชายบยอล” น้ำเสียงสุขุมกระซิบเบา ๆ ก่อนจะพยุงเขาขึ้นจากพื้น บยอลมองหน้าของชายที่เพิ่งช่วยชีวิตตนเองเมื่อครู่ ก่อนจะหันรีหันขวางมองหาคนที่ประทุษรายตัวเอง ก่อนจะพบว่าผู้ร้ายชายชุดดำนั่นหายไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงปลอกดาบเล่มยาวที่เพิ่งเอามาจ่อคอหอยเขาเมื่อครู่ 

บยอลสาบานได้ว่าหากเป็นเวลาปกติ เขาคงด่าท่านองครักษ์พัคอินซาจนลืมทางกลับบ้านไปแล้วด้วยซ้ำ !  ก็มีอย่างที่ไหนกัน...แทนที่จะช่วยกันดี ๆ หมอนี่เล่นปาดาบพุ่งหลาวมาทางเขา ! ทำยังกับเล่นปาลูกดอกอยู่อย่างงั้นแหละ ! นี่ถ้าพลาดเป้าอีกแค่นิดเดียว ไม่ใช่แค่แก้มเขาที่จะเป็นรอยบากเท่านั้น มันอาจจะหายไปทั้งซีกหน้าเลยก็ได้ !!!

แต่ถึงจะนึกอย่างนั้น ก็พูดออกมาเป็นอีกอย่าง

“นึกว่าจะปล่อยให้ผมตายซะแล้ว”   เด็กหนุ่มพูดตัดพ้อเสียงแผ่ว เอามือทาบที่หัวใจตอนนี้มันยังเต้นระรัวอยู่เลย ความเจ็บตรงแก้มยังน้อยกว่าในหน้าอกด้วยซ้ำ.... ใครจะนึกว่าชีวิตขององค์ชายมันจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแบบนี้กัน... แถมยังกะอยู่ในหนังกำลังภายในตลอดเวลา ภัยคุกคามร่างกายมีอันตรายทุกนาทีไม่ได้หยุดแบบนี้ ถ้าทำประกันชีวิตเอาไว้แม่เขาคงรวยเป็นหลักล้าน....

“ขออภัย....แต่กระหม่อมคิดว่าพระองค์จะทรงป้องกันองค์เองได้” บยอลถอนหายใจออกมาอย่างแรง ให้ตายเหอะ อย่าบอกว่าที่รี ๆ รอ ๆ นี่คือคิดว่าเขาจะลุกขึ้นมาบู๊เองสินะ

“ช่างมันเถอะท่านองครักษ์ ว่าแต่หมอนั่นมันจะกลับมาอีกไหม” 

“อาจจะกลับพะย่ะค่ะ ดังนั้นกระหม่อมคิดว่าพระองค์ควรจะรีบกลับตำหนักให้เร็วที่สุด--”

“งั้นรีบไปให้ไวเลยครับ” บยอลตอบสวนขึ้นมาทันที

ได้ยินอย่างนั้นองครักษ์คนสนิทของพระราชาก็ค้อมศีรษะลงเป็นมารยาท แต่ใบหน้าคมนั่นยังเฉยชาไม่เปลี่ยน ร่างสูงโปร่งก้มลงหยิบปลอกดาบของคนร้ายติดมาด้วยเพื่อเป็นเบาะแส ก่อนจะเงยหน้ามององค์ชายผู้สูงศักดิ์ที่ยืนตัวสั่นงันงก หันซ้ายหันขวา ดูหวาดผวา อยู่ข้าง ๆ

จะเป็นกับดักของฝ่ายใต้ที่ตั้งใจจะให้องค์ชายแกล้งเป็นทำอ่อนแอหรือเปล่าก็ไม่รู้....
หากใช่....องค์ชายบยอลก็เล่นละครตบตาได้สมจริงกว่าที่เขาคิดไว้
แต่หากไม่...ประเทศนี้จะต้องแขวนอยู่บนไหล่ขององค์รัชทายาทผู้ไร้พระสติจริง ๆ น่ะหรือ? 

___________________________________________________
___________________________________________________
มีต่อ

“เจ้าคิดยังไง? อินซา”

พระสุรเสียงหนักแน่นเอ่ยถามขึ้น เมื่อได้ยินจากคนของตนว่าองค์ชายบยอลถูกลอบทำร้ายถึงในวัง ดวงเนตรคมทอดมองปลอกดาบที่ถูกตีขึ้นจากโลหะหนักราคาถูก เพราะไม่มีลวดลายอะไรแสดงถึงสังกัดของผู้บุกรุก นั่นจึงสร้างความหนักพระทัยให้ไม่น้อย เมื่อนึกไปถึงความปลอดภัยของอีกฝ่าย...

“หม่อมฉันคิดว่าเป็นฝีมือของคนในวังพะย่ะค่ะ....”

ใบหน้าเรียบเฉยเอ่ยตอบ พลางนึกไปถึงแววตาอาฆาตของคนร้าย นับว่าดาบที่เขาตัดสินใจปาออกไปได้ผลไม่น้อย เพราะอีกฝ่ายถึงกับเสียหลักและผละออกไปอย่างง่ายดาย แต่ถึงอยากนั้นก็ยังประมาทไม่ได้ เป็นเพราะเขาเองที่สะเพร่า ปล่อยให้คนร้ายลอยนวลไปได้...

 “ต่อจากนี้ไปให้เจ้าติดตามดูแลองค์ชายบยอลอยู่ห่าง ๆ...ถ้าเป็นไปได้ ก็จงอย่าคลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว...”

แม้จะไม่เห็นด้วยกับกระแสรับสั่งของพระราชา แต่รับสั่งก็ต้องเป็นรับสั่ง  พัคอินซาหลุบตาลงทันทีที่ดวงตาคมนั่นปราดมองมาที่เขาราวกับจะรู้ว่าคิดอะไร ร่างสูงก็ล้มองค์ลงเอนบนพระบรรทม แย้มโอษฐ์บางมุมจับ ก่อนจะสรวลออกมาเบา ๆ

“ข้าดูแลตัวเองได้...อีกอย่าง คนที่อยู่ในอันตรายตอนนี้ไม่ใช่ข้า...”

“แต่ฝ่าบาท....”

 “ข้ามั่นใจ ว่าจะต้องมีการเคลื่อนไหวมากกว่านี้แน่ หากเจ้าอยากช่วยข้าจัดการอะไรให้ลงรูปลงรอย ก็จงทำตามคำสั่งข้าเถิดอินซา”

“...”

“แล้วเราจะได้รู้กันเสียที ว่าสิ่งที่ข้าคิดอยู่นั้นจะเป็นจริงได้หรือไม่”   

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> TBC


ขอบคุณที่อ่านและให้กำลังใจนะค๊า ><
นึกว่าจะไม่มีใครสนใจพีเรียดเกาหลีละ 5555

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 o13  เขียนได้น่าอ่านน่าติดตามมากครับ  :katai2-1:


 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จะขยาดก็เพราะความดราม่าหนักนั่นละค่ะ ฮา
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ lovetogether

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุกมากกกกกกกกก เราเข้ามาดูทุกวันเลย เราชอบเรื่องแนวนี้มากกกกกกกก
เป็นกำลังใจให้นะ สู้ๆๆๆๆ มาต่อเร็วๆนะ  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
ตื่นเต้นดีค่ะ รออ่านตอนต่อไปจ้า สู้ๆ  o13
 :3123:  :pig4:  :3123:

ออฟไลน์ VIRIDIAN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
ว่ากันว่าในคืนวันเพ็ญมักมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น...

ดั่งเสียงกระซิบกระซาบที่ดังเลือนรางมาจากสวนหย่อมก็อาจจะนับเป็นหนึ่งในนั้นได้เช่นกัน ถ้าไม่ติดว่านั่นเป็นน้ำเสียงที่คุ้นเคย นายหญิงแห่งตระกูลฮัมอย่างหล่อนจะไม่มีทางออกมาสำรวจด้วยตัวเองคนเดียวแบบนี้เป็นอันขาด แม้จะฉงนสงสัยก็ตามที....

เรียวมือบอบบางคว้าชุดสำหรับใส่ออกข้างนอกมาสวมทับซับในสีขาวบริสุทธิ์ หล่อนบรรจงเลื่อนบานประตูห้องนอนของตนให้เบาที่สุด ก่อนจะค่อย ๆ จรดฝีเท้าลงบนพื้นไม้ ลงทุนอ้อมตัวบ้าน ทั้ง ๆ ที่ก็สามารถเดินตัดส่วนของห้องรับรองแขกไปถึงสวนหย่อมได้เช่นกัน 

ภาพตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่หล่อนคุ้นเคยดีที่สุด...  ใต้เท้าโฮมิน สามีของหล่อนนั่นเอง  ทว่า...ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ท่านพี่ยังต้องมีธุระกับใครที่ไหนอีก แล้วยังคู่สนทนา ที่มองยังไงก็ไม่ใช่ขุนนาง หรือ บัณฑิตที่เข้านอกออกในบ้านนี้ ไม่ใช่คนที่เห็นหน้ากันบ่อย ๆ

 “....พลาดงั้นหรือ...”

“....ขอรับ...”  ชายชุดดำค้อมศีรษะลงรับผิด

“มีใครที่รู้เห็นเรื่องนี้บ้าง...” ระบายลมหายใจออกมาอย่างเก็บอารมณ์ นายใหญ่ของบ้านแสดงท่าทีลนลานออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“....หัวหน้าองครักษ์ขอรับ....”

“บัดซบ!”

ผั่วะ !

แรงกระแทกจากฝ่ามือของท่านพี่กระทบใบหน้าของชายชุดดำเข้าอย่างจัง !  แต่ไม่มีทีท่าว่าชายชุดดำจะตอบโต้อะไรแม้สักนิด....  อีกฝ่ายทำเพียงแค่ก้มหน้าลง สำนึกผิดให้มากยิ่งกว่าเก่า....

“...เจ้าคิดว่าข้าจะเรียกนักฆ่ามือหนึ่งจากเมืองจีนมาเพื่ออะไร.....ในเมื่อเจ้าทำงานไม่ได้เรื่องอย่างนี้...”

“...ขออภัยขอรับ...”

“ข้าจะให้โอกาสเจ้าแก้ตัวอีกครั้ง ลู่เหวิน”  แววตาเหี้ยมเกรียมอย่างที่ไม่เคยแสดงให้เห็นปรากฏบนใบหน้าของสามีหล่อน “แต่ถ้าพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง--”

“จะไม่มีครั้งที่สองขอรับ” ชายชุดดำเอ่ยสวนขึ้นมาทันทีที่ได้รับโอกาส  ก่อนจะคุยกันอีกสองสามประโยค ก็คำนับอีกฝ่าย เป็นอันลา ส่วนสามีของหล่อนก็กลับหลังหันเดินเข้าตัวบ้านไปอย่างไม่มีอะไรทุกข์ร้อน  ที่นิ่งงันอยู่คนเดียวนั้นคงจะเป็นหล่อนกระมัง... ความรู้สึกที่ราวกับชาไปทั้งตัว เมื่อนึกไปถึงชายชุดดำคนเมื่อครู่....

ลู่เหวิน นักฆ่าจากเมืองจีนงั้นหรือ....

ท่านพี่วางแผนอะไรอยู่

 
 
IN TIME
** เนื้อเรื่อง และตัวละครทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องที่ผู้เขียนจินตนาการขึ้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
______________________________
{ 6 - HOUR  }
COCA COLA

“....เพคะ”

“....บาท เพคะ”

“ฝ่าบาทเพคะ....เครื่องเสวย...ไม่ถูกพระทัยหรือเพคะ”

น้ำเสียงตื่นตระหนกจากชองซังกุง เรียกให้อิลจำต้องตื่นจากภวังค์ ใบหน้าของหล่อนดูราวกับจะร้องไห้ออกมาก็ไม่ปาน สาเหตุเพราะอะไรคงไม่ต้องถาม ในฐานะของซังกุงสูงสุดแห่งห้องเครื่องซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบมื้ออาหารในแต่ละวันของพระราชา หากทำรสชาติไม่ถูกปาก หรือมีส่วนผสมเป็นพิษที่ทำให้พระราชาเกิดประชวรขึ้นมาล่ะก็อาจจะโดนลดขั้นหรือ มากหน่อยก็อาจจะโดนปลดเลยก็เป็นได้....   

“ไม่เป็นอะไร...ข้าแค่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ....” หัตถ์แกร่งกำขึ้นเหนือพระอุระ ก่อนอิลจะทรงกระแอมไอออกมาเบา ๆ “ไหนดูซิ....วันนี้เจ้าทำอะไรมาให้ข้ากิน....”

 แสร้งทำเป็นเอื้อมหัตถ์ไปเปิดผอบอาหารแต่ละอย่างออก ก่อนที่ซังกุงลิ้มรสจะเริ่มตรวจสอบอาหารโดยค่อย ๆ ชิมทีละจาน หากพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยจึงค่อยบรรจงคีบให้อิลได้ชิมบ้าง....

 ริมโอษฐ์แย้มสรวลที่มุม ทั้ง ๆ ที่ใช้ชีวิตแบบนี้มาก็ตั้งสามปีกว่าแล้ว ทำไมยังไม่รู้สึกชินเสียที วิถีชาววังแบบที่เขาไม่ได้ถูกปลูกฝังมาแต่เล็กทำให้เขาออกจะรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อยเมื่อต้องสวมบทพระราชา มีนางในคอยปรนนิบัติจนแทบไม่ได้หยิบจับอะไรเองอยู่อย่างนี้....

 “ชองซังกุง....นี่คืออะไร....” 

อิลพยักพเยิดพักตร์ไปที่จานที่ซังกุงลิ้มรสเพิ่งคีบมาให้ ความหวานเมื่อได้สัมผัสกับปลายลิ้น ความอ่อนนุ่มเมื่อได้เข้าถึงโดยการเคี้ยว ทำให้พระองค์ทรงประหลาดพระทัยกับอาหารจานนี้เป็นอย่างมาก รสชาติดีทีเดียว....

 “เนื้อซี่โครงตุ๋นน้ำผึ้งเพคะ...”

 “ดี....ดีมาก...สั่งให้ห้องเครื่องทำไปให้ตำหนักคโยแทจอนด้วย....ข้าได้ข่าวว่าหมู่นี้มเหสีไม่ค่อยเจริญอาหาร....”

 ใช่ว่าจะไม่แยแสสตรีอันดับหนึ่งแห่งโชซอนเสียเมื่อไหร่ มีบ้างที่เขารู้สึกอยากจะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับนาง ทว่าบางเรื่อง... แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจ รู้สึกว่ายังไม่ใช่เวลาที่เขาควรจะแบ่งปันความรู้สึกกับใคร แม้นางจะเป็นมเหสี เป็นภรรยาที่ถูกต้องตาม....

 “เพคะ ฝ่าบาท”

 ชองซังกุงค้อมศีรษะลง ก่อนจะทูลลาเพื่อไปทำการตามที่พระราชาสั่ง ร่างสูงเสวยมื้อเช้าของวันอีกแค่สองสามคำ รับสั่งกับขันทีคนสนิทอีกเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเสด็จกลับตำหนักไปเตรียมองค์ ผลัดภูษาเพื่อว่าราชการในเช้าวันนี้กับพวกเสนาธิบดี 

ส่วนหัวข้อการประชุมก็ซ้ำ ๆ เดิม ๆ  เรื่องขัดผลประโยชน์ทางการค้ากันบ้างล่ะ เรื่องที่ดินของเจ้ากรมคนโน้น คนนี้บ้างล่ะ เรื่องที่ขอให้ผูกขาดสินค้ากับตระกูลของขุนนางบางคนบ้างล่ะ...

 แต่ไม่เคยมีเรื่องฏีกาความทุกข์ร้อนของประชาชนมานานแล้ว ไม่มีมาตั้งแต่สองสามเดือนที่ผ่านมา ทั้งเรื่องที่พระองค์สั่งให้เปิดยุ้งหลวงนำอาหารไปแจกจ่ายประชาชน ก็ไม่เคยมีรายงานส่งมาถึงมือ.. สำหรับอิลตอนนี้ หน้าที่พระราชาสำคัญที่สุด ในแต่ละวันเขาคิดเพียงแต่ว่าจะทำอย่างไร และ จะทำยังไงให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีกว่านี้

ซึ่งคำตอบมันก็มีให้เห็นอยู่แล้ว...... 

 ฟังดูไม่ยาก...แต่กลับเป็นเรื่องที่บรรพบุรุษของพระองค์พยายามกันมาในทุกรัชสมัย... นั่นคือรวมขุนนางให้เป็นหนึ่ง ทำอย่างไรก็ได้ให้ไม่เกิดการแบ่งแยกของราชสำนัก...เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะหากว่าผู้บริหารประเทศมัวแต่แก่งแย่งชิงดีกันเองอยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีวันที่ประชาชนของเขาจะได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่...

หนทางเดียวในตอนนี้สำหรับอิลคือองค์ชายบยอลเท่านั้น
หากสามารถรวบรวมบัณฑิต และขุนนางในฝั่งขององค์ชายบยอลให้เป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่เขามีอยู่ในมือได้ล่ะก็...

___________________________________________________
___________________________________________________
 

“โอ้ย...อิ่ม.....จุก....”

เสียงครวญครางดังมาจากว่าที่องค์รัชทายาทที่เกลือกกลิ้งอยู่ข้างโต๊ะหลังจากเพิ่งเสวยมื้อเช้าเสร็จ เด็กหนุ่มนอนอยู่อย่างนั้นได้ซักพักก็เป็นอันต้องกระเด้งตัวขึ้นมา เพราะสายตาดุ ๆ จากป้าซังกุงที่ส่งมาให้ บอกเป็นนัยว่าเขาทำตัวไม่มีมารยาทเลยแม้แต่น้อย...

 “องค์ชายเพคะ”

บยอลเบ้ปากเมื่อป้ายุนซังกุงถลึงตาใส่เขา  แต่ใครสนกันล่ะ... เมื่อคืนเขาเกือบจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ!!! นอนไม่หลับทั้งคืน กลัวก็กลัว หวาดระแวงไปหมด....โทรศัพท์มือถือก็เล่นเกมในไลน์ไม่ได้.... ต้องลุกขึ้นมาจิบน้ำชาทนหิวอยู่ทั้งคืนเพราะไม่รู้จะบอกใครแบบนี้....

T_T ชีวิตองค์ชายมันช่างลำบากซะจริง...
แบบนี้ต้องโค้กเย็น ๆ ซักอึก...ให้หายเซ็งกันไปข้าง...

ร่างโปร่งเอนตัวไปหยิบกระป๋องน้ำอัดลมจากถุงที่เขาอุตส่าห์หิ้วมาจากโลกอนาคต รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโดราเอม่อนก็ไม่ปาน... ที่เที่ยวเอาสิ่งของแปลกประหลาดมาให้คนในยุคนี้ได้แปลกใจกันเล่น แต่ผิดกันเล็ก ๆ ตรงที่ว่าของที่เขาเอามามันมีประโยชน์กับเขาแค่คนเดียวเท่านั้นนั่นเอง...

นิ้วเรียวดันที่เปิดกระป๋องหมายมั่นว่าจะได้ดื่มด่ำกับโค้กเย็นๆ .... แต่ก็ต้องรู้สึกผิดหวังขึ้นมาซะได้ เพราะโค้กที่เขาถืออยู่นี่มันไม่เย็นเลยซักกะติ๊ด... เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างเศร้า ๆ ในยุคนี้คงไม่มีน้ำแข็งหรอกใช่ไหม.... แถมนี่ก็ยังไม่ใช่หน้าหนาวอีกด้วย... 

 “ป้าซังกุงครับ....”

 “เพคะ ?”

“คือถ้าอยากจะให้ไอ้นี่เย็นๆ...”  มือเรียวชูกระป๋องโค้กขึ้นมาสูงเท่าระดับใบหน้าของตัวเอง.... “จะเอาไปแช่ได้ที่ได้บ้างครับ?...”

___________________________________________________
___________________________________________________
 

สองเท้าย่ำมาหยุดตรงหน้าประตูพระราชวังเคียงบก จำได้ว่ามาที่นี่ครั้งสุดท้ายก็เมื่อตอนที่สอบควากอ.... นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้เข้ามา  ริมฝีปากหนาผ่อนลมหายใจออกมา อมยิ้มเล็ก ๆ เมื่อนึกถึงเรื่องสนุกที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ก่อนจะก้าวอาด ๆ แทรกแถวยาวที่เรียงคิวกันตรวจสัมภาระก่อนจะเข้าวัง มือหนาคว้าป้ายหยกขาวที่สลักชื่อของตนออกมา ก่อนจะวางลงบนโต๊ะของผู้ตรวจการ...

 “คิม กีอุน” ผู้ตรวจการตาโต “ท่านคิม....เชิญขอรับ...” 

ร่างสูงจุดยิ้มข้างเดียวที่มุมปากเมื่อเห็นผู้ตรวจการรีบกุลีกุจอเมื่อรู้ว่าเขาเป็นใคร ทหารสองนายที่ยืนเฝ้าประตูวังรีบคับนับก่อนหนึ่งในนั้นจะรีบเดินนำเขาเข้าตัวพระราชวังอย่างง่ายดาย.. กีอุนนึกหัวเราะสมเพชตัวเองในใจ มีเชื้อสายคนใหญ่คนโตมันก็ดีแบบนี้  จะทำอะไรยังไง จะลัดคิวใครก็ได้....  ดีจริงๆ...ที่เกิดมา...

ประชดประชันชาติกำเนิดตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ตาคมก็เหลือบไปเห็นใครบางคนบนลานกว้าง  ร่างโปร่งในชุดราชองครักษ์เต็มยศกำลังเดินตรวจการแต่งกายของทหารในสังกัดอย่างเคร่งครัด รูปหน้าไข่ กับสีหน้าเคร่งขรึมของท่านราชองครักษ์ ไม่สิ...น้องชายต่างมารดาของเขา ทำให้อยู่ ๆ เกิดคิดถึงวันคืนเก่า ๆ  ขึ้นมาเสียดื้อ ๆ คิดถึงซะจนอดไม่ได้ที่จะต้องเข้าไปทำการทักทายภาษาคนบ้านเดียวกัน

 “ท่านพัคอินซา” กีอุนผละจากทหารนำทางทันที ตะโกนเสียงดัง เดินยิ้มระรื่นเข้าไปในลานฝึกที่มีทหารองครักษ์ยืนต่อแถวรอคำสั่งจากท่านหัวหน้า   คนถูกเรียกชื่อดูจะตกใจไม่น้อย เมื่อหันมาตามเสียงเรียกแล้วต้องพบกับคนเคยคุ้นอย่างร่างสูง...

คนที่ไม่เคยคิดอย่างจะพบอีก...
ไม่ว่าชาติหน้า...หรือชาติไหนก็ตาม...

 ร่างโปรงชะงักงันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาทำหน้าที่ของตนเองต่อ...ไม่สนใจสักนิด แม้คนที่เรียกชื่อเขาจะเดินเข้ามาใกล้ มาพูดอะไรเพ้อเจ้อเป็นแมลงหวี่แมลงวันอยู่ข้างหู....

“ไม่คิดจะทักทายกันบ้างหรือไง....” 

ทั้ง ๆ ที่คิดว่าจะไม่ทักตอบแล้วด้วยซ้ำแต่อินซาก็ค้อมศีรษะลงพอเป็นพิธี “คิม กีอุน”

 “ไม่เจอกันตั้งหลายปี...” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ใช้สายตาคมไล่มองร่างโปร่งตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “ดูสิ...เดี๋ยวนี้แค่ป้ายหยกพระราชทานของท่านอันเดียว....ก็แพงกว่าเสื้อผ้าข้าทั้งตัว...”

ร่างสูงหัวเราะออกมาเสียงดัง ไม่รู้สึกว่าที่ตนเองกระทำลงไปเป็นการรบกวนอีกฝ่ายเลยซักนิด กีอุนยังคงถือวิสาสะ เดินตามร่างโปร่งไปทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ถูกรับเชิญเลย  ตั้งใจจะยั่วโทสะอีกฝ่ายให้ถึงขีดสุดเต็มที่ แต่ดูเหมือนว่าแค่เห็นหน้าเขาคงจะบันดาลโทสะไม่มากพอสินะ...

 “นี่อินซา” จงอินจงใจพูดเสียงดัง... นับไว้ได้ผล ร่างโปร่งหยุดชะงักนิ่ง  “กลับมาเยี่ยมท่านพ่อของเราที่บ้านบ้างสิ.....น้องรัก

 “อย่าเหมารวมข้ากับครอบครัวของท่าน”

อินซาสวนกลับออกมาแทบจะในทันที  ก่อนจะรู้ตัวอีกทีว่าถูกปั่นหัวเข้าให้เสียแล้ว.... ชายหนุ่มหลุบตาลง พยายามไม่มองอีกฝ่ายที่กลั้นขำแทบเป็นแทบตายอยู่ข้าง ๆ ตกหลุมพรางเข้าให้อีกแล้ว...  ยิ่งโมโหก็ยิ่งรู้สึกเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้...

“อย่างน้อย ๆ ....เจ้าก็ควรไปไหว้หลุมศพของ--”

“หากท่านยังไม่หยุดพูดล่ะก็— ” ร่างโปร่งกลับหลังหันมาหาเตรียมชักดาบออกจากฝักทันทีที่พูดจบ แววตาเจ็บปวด กับสีหน้าจริงจังนั่น บอกกีอุนว่าวันนี้เขาควรพอเสียก่อน...

 อีกหน่อยก็จะได้เข้ามาทำงานในวังนี้แล้ว...
จะกระตุกหนวดแมวอีกเมื่อไหร่ก็ย่อมได้....

___________________________________________________
___________________________________________________
 
           

           
ขุด....ขุด...ขุด...
เรามาขุด ขุด ดินกันเถอะ...
ขุดแล้วอย่าทำเลอะเทอะ...
ขุดดินกันเถอะ ร่างกายแข็งแรง =_=

ภาพตรงหน้า กับเสียงฮัมเพลงเบา ๆ ในลำคอของคนที่นั่งยอง ๆ กับพื้นดิน ทำเอาขบวนนางในเด็กเล็กถึงกับต้องหยุดสนใจอยู่นาน นานจนนางในพี่เลี้ยงต้องตะโกนว่ามาจากหัวแถว พวกนางถึงมีกะใจเดินต่อได้...  แต่คนที่ขุดดินอยู่สนใจอะไรที่ไหน ร่างโปร่งสนใจแค่ว่าจะขุดไปให้ลึกเท่าไหร่มันถึงจะเย็นอย่างที่ซังกุงบอกซักที....

‘บริเวณที่หมักเครื่องปรุงเพคะ.... ดินแถวนั้นเป็นดินร่วนซุยระบายอากาศได้ดี เพื่อเหมาะแก่การฝังไหดินเผาเอาไว้หมักเครื่องปรุงนานาชนิด อีกทั้งยังมีแมกไม้คอยบดบังแสงแดด ไม่ให้ไอความร้อนแผ่ถึงไหเครื่องปรุงที่หมักเอาไว้ เพราะฉะนั้นเครื่องปรุงที่ฝังไหหมักจากบริเวณนั้นจึงเย็น และไม่เสียรสชาติด้วยเพคะ....’

พอได้ยินที่ป้าซังกุงบอกมาอย่างนั้น เขาก็รีบบึ่งมาที่หลังครัวของพระราชวังทันที แล้วก็นั่งลงขุดดินแบบนี้มาเป็นครึ่งชั่วโมงแล้ว... แต่ไม่ว่าจะขุดยังไงก็ไม่เห็นจะรู้สึกว่าดินมันจะเย็นตรงไหน... 

บยอลโยนจอบไม้ไว้ข้างตัว ก่อนจะนั่งลงอย่างหมดแรง

 “..แค่อยากกินโค้กเย็น ๆ ก็ไม่ได้หรอครับพระเจ้า...ทำไมต้องแกล้งกันขนาดนี้ด้วย...”

 “ใครแกล้งพระองค์หรือพะย่ะค่ะ....?”

เสียงจากข้างกายดังขึ้นมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับกระเด้งตัวออกอย่างอัตโนมัติ ใบหน้าขาวที่แสดงอารมณ์ตกใจสุดขีดขององค์ชายว่าที่รัชทายาท ทำให้คนมาใหม่ถึงกับต้องขำออกมาอย่างเสียมารยาทเพราะไม่สามารถกลั้นอยู่

บยอลมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ... หน้าตาดีใช้ได้ แต่งตัวแลดูมีสกุลรุนชาติ ผิวแทนดูสมเป็นชาย...เกือบจะดีทั้งหมดอยู่แล้วถ้าไม่ได้กำลังนั่งขำหน้าของเขาอยู่....

 “นายเป็นใคร....”  เอ่ยถามออกไปทันที ซึ่งคนฟังก็ไม่ได้แปลกใจในคำถามอยู่แล้ว ถึงแม้จะเคยเจอหน้ากันสองสามที แต่นั่นก็เมื่อหลายปีก่อน แถมคนข้างนอกเขาลือกันให้แซ่ดว่าองค์ชายบยอลพระสติไม่ค่อยเต็มเต็งเท่าไหร่ เพราะอย่างนั้นก็คงไม่แปลก หากอีกฝ่ายจะจำหน้าเขาไม่ได้

 “คิมกีอุน...กระหม่อม...” 

ทักทายกันพอเป็นพิธีเด็กหนุ่มก็หันกลับมาให้ความสนใจกับหลุมขนาดใหญ่ที่เขาทุมเทขุดเป็นเวลานานอีกครั้ง พอแล้วล่ะ...แค่นี้ก็คงพอ... เด็กหนุ่มบรรจงหย่อนโค้กลงไปในหลุมลึก...

 “สิ่งนั้นคืออะไรหรือพะย่ะค่ะ”

กีอุนยังคงไม่ขยับไปไหน แถมยังลืมธุระสำคัญที่ต้องมาเจรจากับองค์ชายบยอลเรื่องการไปล่าสัตว์ในอีกห้าวันเสียซะสนิท ร่างสูงนั่งมองเด็กหนุ่มอย่างสนอกสนใจ...

 “นี่น่ะเหรอ...มันคือโค้กน่ะ”   บยอลหันมาตื่นเต้นกับคนชื่อคิมกีอุน

 “โค...กือ...?....คืออะไรหรือพะยะค่ะ”

 “อา จะอธิบายยังไงดีนะ” กีอุนมององค์ชายบยอลทรงพยายามจะกลั่นกรองสิ่งที่อยู่ในพระทัยออกมาเป็นคำพูด “มันเป็นเครื่องดื่ม....แต่ต้องกินเย็น ๆ นะถึงจะชื่นใจ....”

ร่างสูงเลิกคิ้วมอง เฝ้าดูการกระทำของอีกฝ่ายที่ค่อย ๆ กลบหลุมใหญ่หลังจากหย่อนเจ้าสิ่งของรูปร่างหน้าตาประหลาดไว้ในดิน องค์ชายบยอลนั่งลงที่เดิม ก่อนจะทรงพรูพระปัสสาสะออกมาเบา ๆ

 “เมื่อไหร่มันจะเย็นกันนะ ?”

 “เย็น?...หมายถึงเจ้าสิ่งนั้นหรือพะย่ะค่ะ”  กีอุนพยักเพยิดไปทางหลุมที่เพิ่งกลบ “ถ้าจะหมักให้เย็น อย่างน้อย ๆ คงจะซักเดือนสองเดือน....”

 “ห๊ะ!!!! เดือนสองเดือนเลยงั้นหรอ”  บยอลหน้าเสีย...โอ้ยเดือนสองเดือนอะไรกันเล่าป้าซังกุง !โกหกเขาชัด ๆ ขืนปล่อยไว้เดือนสองเดือน ไม่ต้องกินกันพอดี มีได้ขึ้นสนิมแน่ ๆ !

ร่างสูงขมวดคิ้วอีกครั้งเมื่อองค์ชายบยอลทรงลุกขึ้นมา เอาจอบขุดดินที่เพิ่งกลบไป อย่างที่คนอื่นเขาว่ากันจริง ๆ คนสติไม่สมประกอบมักจะทำอะไรประหลาด ๆ แบบนี้สินะ...กีอุนยกมือขึ้นปรบเป็นจังหวะเพื่อเอาใจช่วยคนที่กำลังขุดดินอยู่ข้าง ๆ

บยอลปาดเหงื่ออย่างท้อแท้ เมื่อขุดหลุมไปถึงโค้กที่เขาเพิ่งกลบไปเมื่อครู่ เด็กหนุ่มเอื้อมไปหยิบกระป๋องน้ำอัดลมเจ้าปัญหาขึ้นมา ใช้ผ้าแพรชั้นดีที่ตนเองสวมใส่อยู่เช็ดกระป๋องอย่างทะนุถนอม...

ป๊อก !

มือบางยกกระป๋องโค้กขึ้นจรดริมฝีปาก ลิ้มรสของความซาบซ่าผ่านลำคอ.... อาห์...ฟิน  ร่างสูงยืนมองเด็กหนุ่มที่กระดกบางอย่างลงคออย่างกระหาย ก่อนองค์ชายบยอลจะหยุดดื่ม แล้วยื่นมันมาทางเขาบ้าง 

 “ไม่ล่ะพระองค์...”   กีอุนยิ้มแหย ๆ ก่อนจะมองตรงไปข้างหน้าแทนที่จะสนใจองค์ชายสติไม่สมประกอบ

ขบวนเสด็จของพระเจ้ายอนชางตรงออกมาจากท้องพระโรง เห็นได้ลาง ๆ เมื่อนั่งอยู่ตรงนี้ คิมกีอุนอมยิ้มเล็ก ๆ ก่อนจะลุกขึ้นปัดเศษดินออกจากตัว โดยไม่ลืมที่จะหันไปบอกลาองค์ชายบยอลที่ยังสนใจอยู่กับเจ้าสิ่งของประหลาดนั่น

 “องค์ชาย....ข้าคงต้องขอตัวแล้ว”

 “อ๋อ...งั้นบายล่ะ...” อีกคนยังคงไม่ให้ความสนใจกับคำบอกลาของเขา  ถ้าเป็นคนอื่นคงจะโมโหไปแล้ว แต่นี่เพราะเป็นเขายังไงล่ะ... ใต้เท้าคิมผู้ใจกว้างประดุจดั่งแม่น้ำฝั่งตะวันออก

ร่างสูงที่เกือบจะหน้าตาดีคนนั้นเดินออกไปแล้ว  เพราะงั้นบริเวณนี้ทั้งหมดเป็นขององค์ชายบยอลคนนี้แต่เพียงผู้เดียว   ฮ่าฮ่าฮ่า....  เด็กหนุ่มเอนกายลงกับพื้นดิน วางกระป๋องโค้กไว้เลยศีรษะไปเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ง่ายต่อการหยิบ  ใช้แขนเป็นหมอนรองหนุน นอนลืมตามองเจ้าต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมบริเวณรอบ ๆ กว่าจะรู้ตัวอีกที ดวงตาเรียวก็หรี่ลงจนแทบจะปิดเสียแล้ว...

เย็นสบายดีจัง...
ขอนอนซักงีบแล้วกันนะ.....
.
.
.
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว รู้แต่ว่าตอนนี้รู้สึกได้ถึงไอร้อนที่แผ่อยู่ข้าง ๆ แถมด้วยสายตาที่จับจ้องอยู่ ว่ากันว่าถึงแม้จะปิดตา แต่คนเราก็สามารถรับความรู้สึกไอ้ประเภทที่ถูกแอบมองได้ ก็อย่างที่บยอลเป็นอยู่ตอนนี้  เด็กหนุ่มนอนกระสับกระส่าย เอามือเกาพุงก็แล้ว ตะแคงข้างก็แล้ว...แต่ก็ไม่สามารถกำจัดความรำคาญนั่นได้... จนต้องลืมตาขึ้นมาในที่สุด...

 “เฮ้ย !......พะ....” เด็กหนุ่มกระเด้งตัวขึ้นมาทันที อ้าปากค้างไว้อย่างนั้นเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าคนที่นั่งจ้องหน้าเขาอยู่เป็นใคร ! โอ้ยยยย ....มายไอดอลเขาทำหัวใจแทบวายอีกแล้วไหมล่ะ !

 “องค์ชายบยอล”

สายลมแผ่วปะทะผ่านหน้าไปเบา ๆ ตอนที่พระเจ้ายอนชางแย้มพระสรวลแล้วทรงเรียกชื่อเขาเบา ๆ จาก เด็กหนุ่มได้อึ้งแต่อ้าปากค้าง กว่าจะพูดอะไรออกมาได้ทำไมมันยากเย็นแบบนี้นะ มันตะกุกตะกัก น่ารำคาญไปซะหมดเลยยยยยย

“เอ่อ...พระ....เอ้ย...เออ....เสด็จมาได้ยังไงครับ”

ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องนึกขำเสียทุกทีเวลาที่ได้ยินสรรพนามแปลก ๆ จากองค์ชายบยอล ถึงจะไม่ค่อยแน่ใจถึงเจตนาที่อีกฝ่ายทำเป็นแกล้งบ้าก็ตามทีเถอะ

 
“ข้าเห็นเจ้านอนอยู่ตรงนี้ก็เลยเดินมาน่ะ”

บยอลเม้มปาก.... ไม่ค่อยจะกวนเลยนะครับ ที่เขาถามออกไป เขาแค่อุทานมันหมายถึงว่าคนเขานอน ๆ อยู่ แล้วพระองค์ก็แว้บมาแบบนี้ มันก็ต้องตกใจกันเป็นธรรมดา ไม่ใช่ถามว่ามายังไง แบบว่าให้ตอบว่านั่งเกี้ยว หรือ วิ่งมาประมาณนั้น

โอ้ย...ยิ่งคุยกับตัวเองยิ่งงง
ไอดอลชักจะทำให้เขารู้สึกเหมือนประสาทจะกินอยู่ตลอดเวลาไม่ได้นะครับ ; A;

“ทำไมเจ้ามานอนอยู่ตรงนี้....ไม่ต้องเตรียมตัวไปล่าสัตว์หรือ”

 บยอลทำหน้างง....  นี่สรุปเขาต้องไปออกล่าสัตว์จริง ๆ ใช่ไหม....จะต้องควบม้ายิงธนูใส่กวางเหมือนกับในหนังด้วยรึเปล่า ? แล้วถ้าจะไปแค่เป็นพิธี ไปถึงแล้วไปนั่ง ๆ นอน ๆ เล่นอยู่เฉย ๆ ก็ไม่ได้อีกใช่ไหม....

 “เตรียมตัว....ยังไงน่ะครับ...” พระเจ้ายอนชางสรวลขึ้นมาอีกแล้ว คราวนี้สรวลเสียงดังเสียด้วย “ช่างเถอะ...ข้าไม่ควรถามเจ้าแต่แรกสินะ...ข้าสิต้องเป็นคนเตรียมตัว...”

 “ห๊ะ....”

 “...จำได้ไหม...สมัยก่อนเวลาที่พวกเราออกไปล่าสัตว์กับเสด็จพ่อทีไร....ข้ากับพระราชาองค์ก่อนมักจะล่าสัตว์แพ้เจ้าทุกที....” 

 “อะไรนะ....!!” บยอลอยากจะตบหน้าผากตัวเอง ตบให้เจ็บให้เป็นไข้ไปเลย.... บ้าชะมัด... ทำไมองค์ชายบยอลอะไรนี่จะต้องเก่งกาจไปซะทุกเรื่องด้วยเนี่ย...  แค่ล่าสัตว์จะล่าให้มันแพ้คนอื่นบ้างไม่ได้รึไง ทำไมต้องเอาชนะชาวบ้านเขาไปซะหมด....

 แล้วถาม ! ความซวยมาตกที่ใคร...
ก็ลีบยอล นักศึกษามหาลัยโซลคนนี้นี่ไง ; A  ;

 “ว่าแต่ ที่เจ้าถือนั่นคืออะไร...”

พระเจ้ายอนชางนับเป็นคนที่สองของวันที่สนใจกระป๋องโค้กของเขา บยอลจึงเอื้อมไปหยิบกระป๋องโค้กที่อยู่ข้าง ๆ ตัวมายื่นให้คนที่อยู่ข้าง ๆ

 “โค้กครับ...ลองชิมดู....”

 “โค...กือ?.....” ร่างสูงรับมันขึ้นมาไว้ในมือ ก่อนจะตั้งท่ากระดกมันลงคอ...  เด็กหนุ่มพยักหน้าเชียร์

 “ฝ่าบาท ไม่ได้นะพะย่ะค่ะ....”  ท่านขันทีในชุดผ้าแพรสีเขียวที่ยืนอยู่กับขบวนนางกำนัลห่างไปไม่ไกลตรงรี่มาทางพวกเขาทันทีที่เห็นพระเจ้ายอนชางตั้งท่าจะกินของจากมือเขา เด็กหนุ่มลืมไป! ก่อนพระราชาจะกินอะไรจะต้องมีพวกซังกุงลิ้มรสมาตรวจสอบพิษก่อนสินะ....

แต่โค้กของเขามันไม่มีพิษนี่นา.....ถ้ามีเขากินเข้าไปก็คงตายไปแล้ว....

“ไม่เป็นไรหรอกซุนมิน”  ร่างสูงโบกมือก่อนจะกระดกโค้กเข้าปากทันที กลืนมันลงคอ ก่อนจะตาโตด้วยความประหลาดใจ แล้วยกมันขึ้นกระดกอีกครั้ง “อร่อย.....”

บยอลหัวเราะออกมาเหมือนเด็ก ๆ “ผม....เอ้ย...ข้า...ว่าแล้วว่าไอด้อ....เอ้ย....พระเจ้าชานยอลจะต้องลิ้นถึง”

 “องค์ชายบยอล!”

เสียงขันทีคนเดิมเอ็ดเป็นเชิงห้ามปรามองค์ชายบยอลไม่ให้ลามปามพระราชาดังขึ้นเบา ๆ แต่พระราชาแห่งโชซอนกลับยกมือขึ้นโบกเป็นเชิงไม่เป็นไร แย้มพระโอฐษ์ และสรวลออกมาเสียงดังลั่น นับว่าเป็นภาพที่เห็นได้ยากยิ่งสำหรับคนในวัง เพราะนับตั้งแต่วันที่นั่งบัลลังก์ก็ไม่เคยมีใครได้เห็นเรื่องน่ายินดีแบบนี้อีก.... นับว่าเป็นบุญตายิ่งนัก.... 

นับว่าวันนี้พระเจ้ายอนชาง ไอดอลของเขาคุยง่าย ยิ้มง่ายกว่าวันอื่น ๆ  แล้วยังไม่ซักไซร้ไล่เลี่ยงเรื่องที่เขากลัวอีก จึงนับว่าเป็นเรื่องดี ๆ ที่เขามีโอกาสได้ยิ้ม ได้หัวเราะกับไอดอลของตัวเองตัวเป็น ๆ รู้ตัวอีกทีบรรยากาศรอบ ๆ ตัวก็เปลี่ยนเป็นสีส้มไปซะแล้ว...   

“ฝ่าบาท...ได้เวลาแล้วพะย่ะค่ะ...”

ท่านขันทีก้าวเข้ามากระซิบเบา ๆ กับร่างสูง พระเจ้ายอนชางไม่ได้ทรงตอบอะไร เพียงแค่พยักหน้าสองสามที แล้วหันมาอมยิ้มให้เขา พลันดวงเนตรคู่นั้นก็โตขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือมาสัมผัสที่ตรงขมับด้านซ้ายของเขาเบา ๆ ...

พระพักตร์ของพระเจ้ายอนชางใกล้เข้ามาอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนพระองค์จะพยายามอย่างมากที่จะปัดบางอย่างให้ออกจากขมับของเขา  ก่อนเจ้ากลีบดอกไม้สีชมพูอ่อนจะถูกยื่นมาให้ตรงหน้า ทำให้เด็กหนุ่มต้องรับมันมาจากนิ้วของพระราชาอย่างเสียไม่ได้

 “ขอบคุณครับ....” 

บยอลยังนั่งมองกลีบดอกไม้ที่รับมาอยู่อย่างนั้น ถึงแม้เจ้าของรอยยิ้มตอนที่เขากล่าวขอบคุณจะนำขบวนออกไปจากตรงนี้แล้ว เด็กหนุ่มหันไปมองกระป๋องโค้กที่วางอยู่ข้าง ๆ ตัว... ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในนั้นแล้ว....นิ้วเรียวเขี่ยเจ้ากลีบดอกไม้ให้แปะอยู่บนกระป๋องโค้ก ก่อนจะยกมันขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาแล้วยิ้มบาง ๆ ออกมา

 
จะเก็บเจ้ากระป๋องกับกลีบดอกไม้นี้ให้ดีที่สุดเลย....
อย่างน้อย ก็ถือว่าในเรื่องร้าย ๆ...ก็ยังมีเรื่องดี ๆ บ้างล่ะนะ...

 
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> TBC

เหมือนจะเกี้ยวกัน แต่ยังไม่ได้เกี้ยวเลย แค่ปัดดอกมงดอกไม้ออกจากหัวให้แค่นั้นเอง 
ปล. แง้ว คุณ sirin_chadada  ไม่ดราม่ามากค่า ไม่บีบมาก ถ้าจะดราม่าเดี๋ยวจะบอก 55
ปลล. ขอบคุณ ommanymontra ,sirin_chadada, lovetogether, suikajang ขอบคุณทุกท่านเลยนะคะ


ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
พระราชาคงรู้สึกว่าองค์ชายตลกดีสินะ แถมบางทีก็ชอบทำอะไรแปลก ๆ ด้วย

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
 o22 ดราม่าขอเบาๆ นะคะ จะบีบจะไรก็ขอนิดๆ  :ling3:
แต่ถ้าเรื่องฟินๆ น่ารักๆ ขอหนักๆ เลยค่ะ
 :3123:  :pig4:  :3123:

ออฟไลน์ VIRIDIAN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1

เสียงแตรงวงช้างเป่าลากยาวฟังดูฮึกเหิม และเมื่อผสานกับจังหวะกลองจากหนังสัตว์ที่ตีดังกระหึ่มไปทั่วทั้งบริเวณ บรรเลงกันอยู่นานตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน อันที่จริงที่เขาตื่นมาก็เพราะเสียงนี้นั่นหละ แต่ตอนตื่นมันยังไม่น่าสะดุ้งเท่ากับตอนนี้ ตอนที่แต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จแล้วมายืนรอเข้าขบวนแห่แบบนี้ ยิ่งฟังทำให้ช่วงกลางท้องรู้สึกเบาโหวง ริ้วขบวนไกลลิบค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ทั้งขันที ทหารองครักษ์ และอีกมากมายกำลังตรงมาทางเขา....

วันนี้เป็นวันแรกของการล่าสัตว์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะออกไปล่าทำไม ในเมื่อหมูหมากาไก่ก็เยอะแยะเต็มวังจนกินกันแทบไม่หวาดไม่ไหว จริงๆ แล้วบยอลไม่ได้อยากไปร่วมวิ่งไล่หมูป่าหรือกวางเรนเดียร์ด้วยเลยแม้แต่น้อย แต่เพราะเขากำลังอยู่ในตำแหน่งที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะงั้นเขาถึงมายืนแต่งชุดล่าสัตว์เต็มยศอยู่หน้าตำหนักตัวเองแบบนี้

...ตื่นเต้นเป็นบ้า เคยเห็นเขาล่าสัตว์กันแต่ในหนัง ต้องมีขี่ม้าวิ่งไล่กวาง ยิงธนู อะไรเทือกๆนั้นด้วยใช่ไหม.... 

.....แต่ว่าเขาทำไม่เป็นซักอย่างเลยนะ
ทั้งขี่ม้า...แล้วก็ยิงธนู....

“องค์ชายบยอลเพคะ”

เด็กหนุ่มหันไปตามเสียงเรียก ป้าซังกุงเดินเข้ามาใกล้ๆ ค้อมหัวคำนับเขาอย่างนอบน้อม แล้วเดินนำขึ้นตำหนักของเขา  นางปิดประตูลงกลอน มองจนแน่ใจว่าไม่มีใครที่อยู่ในบริเวณนี้อีกถึงค่อยเดินมาทรุดตัวนั่งตรงหน้า ยุนซังกุงก้มลงหาอะไรบางอย่างในตัว ก่อนจะหยิบมีดพกเล่มเล็กๆขึ้นมาวางบนโต๊ะที่กั้นระหว่างกันไว้

“ขอได้โปรด....”  น้ำเสียงป้าซังกุงฟังดูเศร้าๆพิลึก “แก้แค้นให้พระมารดาด้วยนะเพคะ”

“ป้า!!!!”  บยอลตะโกนลั่น ถอยออกจากมีดพกเล่มที่ยุนซังวางไว้...นี่มันอะไรกัน หมายความว่ายังไง!  ให้ตายเถอะ ยัยป้าคนนี้ตั้งใจจะให้เขาทำอะไร เด็กหนุ่มส่ายหน้ารัวๆ “ไม่ ผมไม่พกอะไรทั้งนั้นแหละ”

“แต่พระองค์ต้องทำเพคะ” ป้าซังกุงเอื้อมตัวเข้ามาใกล้กว่าเดิม “การล่าสัตว์ครั้งนี้สำคัญกับฝ่ายใต้ของเรามาก ท่านพี่ของหม่อมฉันเตรียมการทุกอย่างเอาไว้เพื่อพระองค์หมดแล้ว...เหลือแค่ลงมือ”

“ลงมืออะไรกันฮะป้า!”  บยอลตาโต มองเจ้ามีดพกเล่มนั่น ไม่ยอมเอื้อมมือไปแตะราวกับมันเป็นของร้อน แค่มีดพกเล่มเล็กๆกับเจตนาไม่ดีที่แสดงชัดเจนของป้าซังกุงนี่ อาจจะทำให้เขาอยู่ในวังลำบากมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมเป็นหลายเท่าตัว

“...การล่าสัตว์ครั้งนี้...จุดประสงค์หลักไม่ใช่สัตว์ที่ถูกล่าเพคะ”

“....หมายความว่า....” บยอลสบตากับยุนซังกุง เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงหัวใจของตัวเองที่เต้นเร็วขึ้น มือทั้งมือชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทั้งๆที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม... “พระเจ้ายอนชาง...?”

“เพคะ...พระองค์ต้องล่าบัลลังก์ของพระองค์คืน” 


IN TIME
** เนื้อเรื่อง และตัวละครทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องที่ผู้เขียนจินตนาการขึ้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
______________________________
{ 7 - HOUR  }
R E V O L T : 1
 



“ไม่สบายหรือ....องค์ชายบยอล?”

เสียงเรียกดังมาจากด้านข้าง ถึงแม้จะไม่ได้ตะโกนแต่ก็ทำให้บยอลสะดุ้งสุดตัวได้เหมือนกัน เป็นครั้งแรกที่เขาเหม่อนานขนาดนี้ หลังจากคุยกับป้าซังกุงก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกพามาอยู่ในขบวนเสด็จประพาสป่าได้ยังไง ยังงงๆอยู่ แต่พอหันไปเจอพระเจ้ายอนชางที่ประทับอยู่บนเกี้ยวหันมาส่งยิ้มให้ความขุ่นใจก็เหมือนจะละลายลงไปนิดๆ  ถ้าเป็นปกติบยอลก็อยากจะยิ้มตอบไอดอลของตัวเองหรอกนะ แต่มันต้องไม่ใช่เวลานี้

ตอนนี้! ที่เขาเพิ่งรับรู้ว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นกบฏในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า...

แล้วก็ไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิด หรือตัวหมากในเกมส์ธรรมดาๆนะ นี่เพิ่งเริ่มเข้าวงการก็โดนแต่งตั้งเป็น             แอดมินเลย....เป็นบอสของทีมที่ง่อยมาก ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทุกคนจัดการให้หมด! ไม่คิดจะมาถามไถ่อะไร ไม่เคยมาถามว่าอยากครองราชย์ไหม ไม่เคยมาถามว่าเขาอยากฆ่าไอดอลของตัวเองรึเปล่า ...

ไม่มีใครมาสนใจความรู้สึกของเขาซักคน....

เอาจริงๆแล้ว พอถึงตอนนี้ ก็เพิ่งจะเริ่มเข้าใจความรู้สึกขององค์ชายตัวจริงที่อยากจะหนีไปจากที่นี่ให้พ้นๆซะแล้วล่ะ...

เหนื่อยแล้วนะ....นี่บอกเลย 
คิดถึงแม่ด้วย....


“องค์ชายบยอล?”

“อะ....ห๊ะ...อ๋อ....”  โดนเรียกอีกครั้งก็ลนซะจนทำอะไรไม่ถูก ทว่าคราวนี้ไม่ใช่เสียงของไอดอลแต่อย่างใด แต่เป็นเสียงของใต้เท้าตัวคล้ำๆที่เจอกันเมื่อวาน

“เชิญองค์ชายบยอล”  กีอุนผายมือออกเผยให้เห็นอาชาพันธุ์ดีที่กำลังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า บยอลตาโต กลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อกใหญ่ ....จะบ้าตาย นี่เกิดมาไม่เคยขี่ม้าเลยด้วยซ้ำ แล้วจะทำยังไง มันขึ้นยังไงวะเนี่ย!

“ต้องการให้หม่อมฉันอุ้มไหมพะย่ะค่ะ” อาจจะเพราะเห็นองค์ชายบยอลยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงหน้าม้านานจนเกินไป คิมกีอุนถึงได้เผลอพูดอะไรแบบนั้นออกมา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักหนา เพราะงั้นเขาจึงดิ่งเข้าไป สอดมือใต้รักแร้ของอีกฝ่าย แล้วออกแรงยกส่งตัวร่างบางให้ขึ้นนั่งบนหลังม้าอย่างรวดเร็ว

บยอลรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กเล็กๆที่ทำอะไรไม่ได้เลย เด็กหนุ่มหันไปมองพระเจ้ายอนชางที่ทรงโน้มองค์รับสั่งกับองครักษ์คนสนิทพัคอินซา กว่าจะรู้ตัวอีกที หมอนั่นก็จ้องกลับมาด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อแบบนั้นอีกแล้ว... 

เสียงกลองก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนหูเริ่มอื้อ เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงแรงเคลื่อนไหวใต้ร่างตัวเอง ม้าที่เขานั่งอาจะกำลังคึกคักมาก ไม่ใช่กับตัวเขา  สองมือกำเชือกคล้องม้าแน่นจนเหงื่อซึม มองลงไปข้างล่างอย่างหวาด ๆ ถ้าขี่ๆอยู่ม้าเกิดเป็นบ้าขึ้นมาจะต้องทำยังไง ใครก็ได้ช่วยเขาด้วย!!

“ออกเดินทาง”

เสียงพลทหารม้าขบวนหน้าสุดตะเบ็งดังขึ้นพร้อมๆกับใต้เท้าตัวคล้ำที่ชื่อกีอุนโหนตัวไปนั่งอยู่บนม้าตัวข้าง ๆ ก่อนจะเอื้อมมือหนามาตบเบาๆที่สะบักของเจ้าตัวที่เขานั่งอยู่

“หน้าตาพระองค์เหมือนคนไม่สบาย” บยอลหันขวับไปทางต้นเสียง แต่มือก็ยังจับเชือกแน่นเพราะว่ากลัวตก นึกคำจะพูดสารพัด แต่พอหันไปเห็นประตูวังหน้าที่ค่อย ๆ แง้มออก ผู้คนเป็นพันยืนเต็มสองฝั่งข้างทาง ไกลจนสุดลูกหูลูกตาค่อย ๆ ย่อตัวต่ำลง ก้มหน้าทำความเคารพขบวนของพวกเขาแล้วถึงกับพูดอะไรไม่ออก...

“ขอจงทรงพระเจริญ!”
“ขอจงทรงพระเจริญ!”


อยู่ดีๆก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ มันรื้นล้นขึ้นมาเต็มสองตาเมื่อเห็น และได้ยินว่าประชาชนเคารพรักไอดอลของเขา ไม่น้อยไปกว่าคนในโลกปัจจุบันอย่างเขา ที่ชื่นชมและเคารพรักกษัตริย์องค์นี้เลย... เพราะงั้นเขาถึงไม่เขาใจ ไม่เข้าใจทั้งป้าซังกุง ฝ่ายใต้ที่เขาอยู่ จิตใจของคนพวกนั้นคิดอะไร ทั้งๆที่พระองค์เป็นที่รักขนาดนี้ ทำไมถึงต้องตั้งตัวเป็นกบฏด้วย....

ทำไมต้องยัดเยียดให้เขาทำสิ่งที่มันร้ายแรงขนาดนี้ด้วย....
เขาทำไม่ได้....ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ทำ...

.
.
.

“องค์ชายบยอล....ราวกับคนไม่เคยขึ้นม้า”

พระสุรเสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้น พระเนตรทอดมองไปยังคนร่างบางที่นั่งอยู่บนม้าทรง ท่าทางราวกับคนไม่เป็นนั่น อาจจะเพราะองค์ชายบยอลเคยได้รับบาดเจ็บ และข่าวลือเรื่องคนร่างบางสติไม่ค่อยเต็มเต็งก็หนาหูอยู่ แต่นั่นจึงไม่ได้ทำให้เขาประหลาดใจเรื่องนี้ซักเท่าใด

ทว่าพอเห็นอย่างนี้แล้วก็อดห่วงไม่ได้ หากการล่าครั้งนี้เกิดอะไรขึ้นอย่างที่คาดใจไว้ บางทีอินซาอาจจะรับภาระนี้คนเดียวไว้ไม่ไหวก็เป็นได้ 

“อย่าลืมที่ข้าเคยบอก” หันไปกำชับองครักษ์คนสนิทว่าอย่าลืมสัญญาที่เคยให้ไว้ ก่อนเกี้ยวจะค่อย ๆ ยกสูงขึ้น พัคอินซาหลุบตาลงอย่างเสียไม่ได้ จำเป็นต้องรับองค์ชายที่รู้แก่ใจว่าเป็นตัวอันตรายต่อนายของตนไว้ในการดูแล ถึงแม้มันจะเข็ญใจนัก แต่หากเป็นคำร้องขอจากผู้มีพระคุณแล้ว เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้

ที่ทำได้ก็เพียงแค่จับตาดูอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น...
หวังว่าการล่าสัตว์ครั้งนี้ จะไม่ใช่การเริ่มต้นของการนองเลือดที่เขากลัว...

___________________________________________________
___________________________________________________
 

ขบวนเสด็จประพาสป่าของพระราชาเดินทางมาถึงเขตหวงห้ามสำหรับล่าสัตว์ของราชวงศ์โดยสวัสดิภาพ  ทุกคนดูแฮปปี้ดี้ด้ากันมาก ทั้งทหารที่เพิ่งตั้งกระโจมเสร็จกำลังจับกลุ่มคุยเรื่องกระต่ายป่า หรือนางกำนัลที่บ่นๆว่าอยากเห็นดอกไม้พันธุ์โน้นพันธุ์นี้ จะมีแต่ตัวเขานี่ล่ะที่ไม่เอ็นจอยตาม ก็คนเพิ่งลงจากหลังม้าได้ แล้วคิดดูว่าเขานั่งเกร็งตูดมาบนอานอยู่กี่ชั่วโมง พอลงมาแล้วก็เหมือนกับเป็นพิการ ความรู้สึกเบาโหวง ชาวาบแผ่ซ่านไปทั่วทั้งก้น แถมแข้งขาก็อ่อนแรงไปหมด...

“ว่าแต่นาย...ไม่มีอะไรทำแล้วหรอ”

หันไปถามใต้เท้าตัวคล้ำที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เดินขบวน อุ้มเขาขึ้นม้า แล้วยังอุ้มลง ตอนนี้หมอนี่ก็ยังไม่ไปไหน ยังเดินติดสอยห้อยตามอยู่ใกล้ๆ จากที่ไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้ก็เริ่มอึดอัดขึ้นมาเล็กๆแล้ว

“กระหม่อมแค่ทำตามหน้าที่....” กีอุนยักไหล่  ก่อนจะผายมือไปทางกระโจมที่พักขององค์ชายบยอล “ตอนนี้ได้เวลาเปลี่ยนฉลองพระองค์แล้ว...เพราะอีกซักพักพวกเราต้องออกล่าสัตว์กัน”

เด็กหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ จนได้ยินคำว่า ‘ล่าสัตว์’ ขึ้นมาอีกรอบนั่นแหละ

“ล่าสัตว์!...งั้นก็ต้องขี่ม้าอีกแล้วน่ะสิ!!!” 

“ถ้าไม่อยากขี่ม้า พระองค์จะเดินไปก็ตามพระทัยเถิด”

“จริงหรอ ไม่ขี่ก็ได้ใช่ไหม!” เด็กหนุ่มดีใจจนออกนอกหน้าคิดว่าสวรรค์เข้าข้างตัวเองแล้วแท้ ๆ แต่ความดีใจก็อยู่ด้วยแค่ไม่นาน เมื่อใต้เท้าตัวคล้ำเริ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมา 

“....ไม่จริงหรอก กระหม่อมถวายเป็นความเท็จ” 

บยอลนึกอยากจะเอาดาบที่อีกคนสะพายอยู่แทงเจ้าของมันให้มิดด้ามไปเลย มาพูดให้คนเขาดีใจ อุตส่าห์เบาใจแล้วแท้ๆว่าจะไม่ต้องไปนั่งเกร็งตูดอีก แล้วทีนี้จะทำยังไง ก้นเขายังไม่หายชาเลยด้วยซ้ำ!

“ยังไม่แต่งตัวอีกหรอองค์ชายบยอล”

เสียงนุ่มทุ้มที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ผู้คนรอบๆข้างเขาก้มโค้งลงอย่างนอบน้อม ไอดอลนี่ก็อีกคน ชอบมาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ไม่ให้ทันได้ตั้งตัวเลย แต่ถึงไม่อยากจะคุยด้วยยังไงก็ต้องหันไปทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้

ก็คนมันเขินนี่นา!!!

“สวัสดีครับ...เอ่อ พระเจ้ายอนชาง” เด็กหนุ่มกล่าวทักทาย แต่ก็ต้องสะดุดเมื่อร่างสูงในชุดพร้อมออกล่าสัตว์เผยบางอย่างที่ซ่อนไว้ด้านหลัง ห่อผ้าแพรสีม่วงเข้มถูกยื่นมาตรงหน้าให้เขาต้องยื่นมืออกไปรับมันมาไว้กับตัว

“เปิดดูสิองค์ชายบยอล”  บยอลมองสบตาพระเจ้ายอนชางที่ยืนอมยิ้มอยู่ สีหน้าของพระราชาองค์ที่21 ดูตื่นเต้นอย่างกับเวลาให้ของขวัญวันคริสมาสต์ใคร แล้วรอให้เขาเปิดกล่องออกมาเซอร์ไพรส์อะไรแบบนั้น 

“ธนู?”  บยอลเปิดห่อผ้าแล้วก็ต้องพบกับคันธนูไม้อันใหญ่ ลวดลายวิจิตรของมันบ่งบอกว่ามันถูกสร้างขึ้นเพื่อใครซักคนโดยเฉพาะ น้ำหนักก็เบามือดี แต่ทุกอย่างดูแข็งแรงไม่เปราะง่าย ท่าทางจะแพงระยับเลยนะนั่น...

ดวงหน้าคมพยักเนิบ ๆ  “ใช่ คันธนูนี้....จำได้ไหม”

จำได้ไหม.... มาถามว่าจำได้ไหม ถามว่าเคยเห็นไหมน่าจะตอบง่ายกว่านะมายไอด้อล T_T

“เอ่อ....” 

“คันธนูชีลีของเสด็จพี่ที่องค์ชายเคยเอ่ยขอไว้อย่างไร”

บยอลกระพริบตาปริบ ๆ “....เอ่อ...อ้อ....อันนี้น่ะเอง...ใช่เลยพระเจ้ายอนชาง มันสวยมากซะจนต้องขอเลยนะเนี่ย......” รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเป็นบ้า...ยังกับโดนจับผิดอยู่ตลอดเวลายังไงอย่างงั้น เพราะงี้เขาถึงต้องเล่นไปตามน้ำก่อน....

“ข้าให้...” เสียงสรวลดังขึ้นเบา ๆ ก่อนจะเรียกทหารที่ยืนถือกระบอกลูกธนูให้เดินไปทางเด็กหนุ่ม “เอาไว้แข่งล่าสัตว์ด้วยกันในวันนี้”

“แข่ง......ล่าสัตว์?...” บยอลกระพริบตาปริบ ๆ ยืนงงเป็นสติกเกอร์น้องเอ๋อแบบในโปรแกรมแชท....แข่ง...ยังต้องแข่งอะไรอีก แพ้เลยได้ไหม....

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะไปเตรียมตัวบ้าง...ยังไงก็รีบหน่อย...ข้าจะรอ”  ร่างสูงพูดจบก็นำขบวนไปทางกระโจมที่อยู่อีกฝั่งของตน มายไอดอลนะมายไอดอล ทำไมถึงทำกันได้ลง แล้วอย่าบอกนะว่านี่ต้องขี่ม้าล่าสัตว์แบบหนังจีนกำลังภายใน วิหคเหิรหาว ท้ายพยัคฆ์ยังต้องสยบเทือกนั้น... โอ... ขอเป็นลมไปเลยตอนนี้ได้ไหม

“อย่าเพิ่งเป็นลมนะพะย่ะค่ะ....งานช้างยังรอพระองค์อยู่”

อย่างกับรู้ทัน ใต้เท้าตัวคล้ำที่ยืนสงบนิ่งอยู่นานก็ก้าวเข้ามากระซิบเบาๆที่ข้างหู  บยอลหันขวับไปหาทันที นี่หาเรื่องกันหรือยังไง จะหนีทหารไม่ได้เลยใช่ไหม ! แล้วมาทำเป็นรู้มากอีก...อย่าให้เขาทำอะไรได้บ้างนะ จะส่งหมอนี่ไปอยู่กับจางหลงจ้าวอู่ ให้มีจั่นเจาเป็นองครักษ์พิทักษ์ไปเลย

___________________________________________________
___________________________________________________
 

“อีกชั่วยามจะมีการออกล่าสัตว์แล้วขอรับ”

ชายชราในชุดพร้อมออกรบยังคงยืนมองท้องฟ้าสดใสในวันเสด็จประพาสป่าของพระราชาอยู่อย่างนั้น ไม่ได้สนใจจะละสายตาไปจากมันเลยแม้แต่น้อย  มือแกร่งทำเพียงโบกไล่ชายชุดดำที่เพิ่งกลับมาจากเฝ้าสังเกตการณ์ความเป็นไปของเขตหวงห้าม

“ถ้าอย่างนั้นให้เจ้าอยู่ที่นั่น เฝ้าดูองค์ชายบยอลให้ดี” ชายชราหันมาพยักเพยิดหน้า นัยน์ตาเต็มไปด้วยชัยชนะที่เห็นกันอยู่ไม่ไกล ไม่เสียแรงที่ตนอุตส่าห์สร้างกองทัพเอาไว้ ในที่สุดก็ได้มีโอกาสลงมือเสียที 

“อีกชั่วยามข้าจะตามไปสมทบ”  สิ้นเสียงก็หันกลับไปอีกครั้ง ทว่าภาพที่มองไม่ใช่ท้องฟ้าแต่อย่างใด หากแต่เป็นพลทหารนับร้อยที่กำลังยืนเข้าแถวเป็นระเบียบเพื่อรอคำสั่งเดินหน้าจากผู้นำทัพ

“ลู่เหวิน”   

“ขอรับ...”

“....แต่หากเจ้าสบโอกาส....” 

“.......”

“ก็อย่าให้พลาดอย่างคราวที่แล้ว....”

___________________________________________________
___________________________________________________
 


บยอลไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไร....
ทั้งๆที่นั่งอยู่บนม้า แต่ก็ไม่กล้าให้มันวิ่ง....

“ฝ่าบาท...ทางนั้น...กวางพะยะค่ะ” 

ใต้เท้าซินที่กำลังควบม้าชี้ไปทางซ้ายให้พระเจ้ายอนชางดูกวางตัวใหญ่ ที่กำลังก้มลงจิบน้ำในลำธาร พวกเขาจับกลุ่มกันอยู่กลางป่าแล้วตอนนี้ แบ่งเป็นสามกลุ่ม กลุ่มของพวกเขากับขุนนางที่มาด้วย กลุ่มนางกำนัลและกลุ่มทหารที่ลาดตระเวนตามที่ต่าง ๆ

พระเนตรของพระเจ้ายอนชางสั่นระริก ดูน่าสนุกซะเต็มประดา บวกกับพวกขุนนางที่เริ่มออกเสียงเสี้ยมให้พระราชาออกไปล่ากวางตัวนั้นให้ได้ บยอลก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ ถ้าพวกนั้นไม่ได้เสนอชื่อของเขาให้ร่วมแข่งขันล่ากวางกับพระเจ้ายอนชางไปด้วย

“องค์ชายบยอล” ร่างสูงควบมามาหยุดอยู่ข้าง ๆ “พร้อมหรือยัง”

สภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกตอนนี้มันน่าอึดอัดสุดๆ ทุกสายตากำลังจับจ้องมาที่เขาอย่างคาดหวังว่าจะได้เห็นว่าที่องค์รัชทายาทกับพระราชาล่ากวางกันเป็นขวัญตา แล้วจะปฏิเสธยังไง ถ้าพวกนั้นรวมถึงพระเจ้ายอนชางเอะใจขึ้นมาว่ามันน่าประหลาดถ้าองค์ชายบยอลจะล่าสัตว์ไม่เป็นทั้งๆที่เคยล่าเก่งมาก......

เพราะงั้นก็เลยต้องพยักหน้ารับ....ปล่อยไปตามน้ำอีกแล้ว....

“ดี...ดีมาก...ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้ารออยู่ที่นี่” ร่างสูงหันไปบอกพวกขุนนาง รวมถึงองครักษ์คนสนิทด้วย

“แต่....” 

“ไม่มีแต่อินซา...ข้ากับองค์ชายบยอลจะล่ากวางแค่สองคนเท่านั้น” 

ถือเป็นคำขาดของพระราชาที่คนฟังไม่สามารถค้านได้ เพราะอย่างนั้นองครักษ์โอจึงยอมถอยให้ แต่ดวงตากล้าแข็งนั้นก็ยังคงจ้องมาเหมือนกับไม่ไว้ใจเขา บยอลอยากจะบอกจากใจว่า คนอย่างเขาไปทำร้ายใครไม่ได้หรอก แค่จับดาบยังจับไม่ไหวเลย แล้วจะให้ไปทำอะไรใครได้

ร่างสูงออกแรงหวดสะบักม้าทรง ก่อนจะควบนำออกไป ทิ้งให้บยอลนั่งงงๆอยู่บนหลังม้าอย่างไม่รู้จะทำยังไง แต่ไม่ทันจบความคิด เสียงแส้ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“เหวออออออออออออ”

ม้าทรงสูงใหญ่ร้องคำรามก้อง ก่อนจะถลาตัวไปข้างหน้าสุดแรง บยอลไม่รู้อะไรแล้ว ได้แต่หลับตาปี๋กอดคอม้านั่งเกร็งขา เกร็งตัวกลัวว่าจะตกสุดฤทธิ์ แต่ที่ร้ายกว่านั้น เขาไม่รู้วิธีหยุดม้าบ้านี่ นี่มันวิ่งไปถึงไหนนะ ทำไมเขาได้ยินเสียงน้ำ เสียงลมกระหน้ากระแทกหูดังไปหมด

“หยุดนะ หยุด หยุดเดี๋ยวนี้!!!!!” 

สติสตังไม่อยู่กับตัวแล้ว ได้แต่ร้องแหกปากเสียงดังหวังให้มันเข้าใจ บยอลไม่รู้วิธีหยุดม้า เพราะงั้นถึงได้ทำใจกล้า ลืมตาขึ้น มือนึงก็กอดคอม้า ส่วนอีกมือก็เอื้อมไปกำเชือกแน่น...ถ้าไม่ลงมือทำอะไรซักอย่างไอ้ม้าบ้านี่อาจจะพาเขาไปตายก็ได้ !!

“อ๊ากกก หยุดเซ่!!!!!!!” 

บยอลออกแรงเอาเชือกหวดคอม้าเหมือนในหนัง แต่ดูเหมือนจะแรงเกินไป นั่นทำให้เจ้าม้ายิ่งวิ่งแรงขึ้น แถมยังเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจนสมองเบลอไปหมด และภาพสุดท้ายก่อนจะหลับตา ด้านหน้าเขาคือเจ้ากวางตัวใหญ่ที่พระเจ้ายอนชางวิ่งไล่นำไปเมื่อครู่ !

“ช่วยด้วย ช่วยด้วย!!” 

ร่างสูงควบม้าตามร่างบางที่นั่งกอดคอม้าแน่นอยู่บนอานทันที  นาทีนี้เขาไม่ได้สนใจกวางแล้ว จะกลับไปเรียกทหารหรือก็มาไกลเกินกว่าจะกลับ เพราะงั้นการควบตามและพยายามกล่อมให้องค์ชายบยอลมีสติจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

“องค์ชายบยอลอยู่นิ่งๆ อยู่นิ่ง ๆ!!” 

บยอลได้ยินเสียงทุ้มตะโกนไล่หลังมาก็จำได้ว่าเป็นเสียงของใคร เดาว่าพระเจ้ายอนชางที่กำลังซุ่มจะยิงเจ้ากวางคงจะเห็นเขาแล้ว เพราะว่าเขาเสียงดังขนาดนั้น แถมม้ายังวิ่งไปใส่เจ้ากวางนั่นอีก เพราะงั้นภาระกิจครั้งนี้ไม่ใช่การล่ากวางอีกแล้ว

“ฮี้ !!!!!!” 

ม้าที่องค์ชายบยอลนั่งถลาไปไกล แล้วยังเลี้ยวเข้าป่าไปอีก นั่นทำให้ร่างสูงต้องเร่งตามอย่างสุดกำลัง ทว่าเมื่อตามเข้ามาในป่าแล้ว กลับมองไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น ทั้งในป่านี้ยังรกชัด ต้นไม้ใหญ่ทำให้ทัศนะในการมองลำบากมากยิ่งขึ้น....

“อ๊ากกกกก” 

เสียงตะโกนลั่นดังอยู่ไม่ไกล ร่างสูงเร่งควบม้าคู่ใจไปตามเสียงทันที แต่ยังไม่ทันที่ม้าของเขาจะได้ถลาออกไปไกล อะไรบางอย่างก็ตรงดิ่งเข้ามา ทั้งรวดเร็ว และรุนแรง ...

“ฮี้!!!!!!!!!!!”   

เจ้าม้าคู่ใจร้องอย่างเจ็บปวด มันยกขาสะบัดร่างของเขาให้ตกจากอานอย่างง่ายดายก่อนมันจะวิ่งเข้าป่าไป แรงกระแทกทำให้รับรู้ว่าตนได้ตกถึงพื้นแล้ว ทว่าร่างของเขาเจ็บเกินกว่าจะสามารถหยัดตัวขึ้นได้ในคราวเดียว

หากแต่สัมปะชัญญาะของเขารวดเร็วยิ่งนัก อิลได้ยินเสียงบางอย่างแหวกอากาศเข้ามาใกล้ เขาชักดาบคู่ใจขึ้นมาสกัดบางอย่างได้ทันเวลา....  ลูกธนูอาบยาพิษตกลงเป็นสองท่อนที่ข้างตัว ในขณะที่เสียงหวีดหวิวของสายลมพัดพาเสียงซวบซาบจากการย่องบนเศษดินและใบไม้แห้ง....มันดังเข้ามาใกล้ ๆ อย่างช้าๆ

.....พวกมันมีไม่ต่ำกว่าสามคน....
และหากคาดไม่ผิด....



พวกมันเป็นนักฆ่า.....   




>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> TBC

เป็นองค์ชายอยู่ดีๆก็กลายเป็นกบฏซะงั้น
เอาใจช่วยองค์ชายเด๋อๆคนนี้ด้วยนะค๊า ><
ขอบคุณค่า

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
มีแต่พวกขุนนางโลภมากนั่นแหละ เห็นแก่พวกพ้องของตัวเองมากกว่าชาติบ้านเมือง ทั้งพระราชาทั้งองค์ชายไม่มีใครอยากแย่งบัลลังก์ที่คนครองต้องแบกรับภาระหนักอึ้งหรอก ตั้งแต่ดูซีรีส์มาจนอ่านนิยายเกาหลีย้อนยุคนี่สิ่งที่เกลียดที่สุดก็พวกขุนนางนี่แหละ เอาแต่กดดันพระราชากับบรรดาราชวงค์อยู่ได้
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ lovetogether

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ไม่นะ ไรต์ อย่าทิ้งคนอ่านค้างอย่างนี้ๆๆๆๆๆๆๆ มาเร็วๆนะ โอ้ย นายเอกจ้าทำไมบื้อและซื่อขนาดนี้  ไรต์ได้โปรดอย่ามาม่ามากนะ คนอ่านใจไม่ดี :ling3:

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด