#1
ฟิวส์ผมเริ่มขาด
ผมไม่ใช่คนใจเย็น
และแน่นอนผมก็ไม่ใช่คนใจร้อนจนเกินเหตุ
แต่ถ้าคุณมาเจอคนแบบพันวาคุณจะรู้ว่าแค่หมอนี่กระดิกเท้าก็หน้าโมโห
“คิดว่าจะเลือกคู่แบบไหนให้พี่ล่ะ”
“มันก็แล้วแต่คุณ ผมมีหน้าที่แค่พิจารณาความเหมาะสมตามประเพณี ยังไงคู่ครองของคุณก็คือผู้ที่จะมาปกครองเราภายในอนาคตเพราะแบบนั้นจึงต้องทำให้ผมซึ่งเป็นตัวแทนของสาขาอื่นๆพิจารณาว่าทางนั้นจะเห็นชอบ”
“พูดเป็นพิธีเชียว”
เขายิ้มอีกครั้ง แต่กลับกันผมกลับกรอกตาไปมารอบทิศ
“มันเป็นงานนี่ครับ”
“ไม่พูดเป็นพิธีขนาดนั้นก็ได้” พันวายิ้ม “เรียกเราว่าพี่และแทนตัวเองว่าผมก็พอ”
แต่ผมกลับผิดคาดเพราะนายพันวานี่พูดสุภาพมากกว่าที่ผมคิด แต่ท่าทางแม่งสวนทางลิบลับ
เพราะอาจจะเห็นผมนิ่งเฉยพันวาจึงว่าต่อ “คิดว่ามันเป็นคำสั่งจากฉันสิ”
“ไม่ได้ครับ” ยังไงก็ต้องปฏิบัติตามกฎอยู่ดีไม่ใช่หรอ
“งั้นเรียกแบบนี้ตอนอยู่ในบ้านก็พอ พอออกงานสังคมก็ค่อยพูดสุภาพแทน”
“คิดว่าคงไม่มีวันนั้น”
“เป็นคำสั่งจากพี่นะ” นำเสียงแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์เหมือนกำลังขู่มาที่หมาป่าไม่มีทางสู้แบบผม “มันเป็นผลดีต่อตัววาเอง”
เมื่อกี้เขาเรียกผมว่า วา สินะ
“...”
“ว่าไงล่ะ”
“เป็นคำสั่งไม่ใช่เหรอครับ”
“หึ” ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจกว่าที่คิด “เอาเป็นว่าพี่ให้วาไปจัดการธุระของตัวเองให้เสร็จก่อนแล้วกัน เจอกันมือเย็น”
เขาเดินออกจากห้องออกไป
ผมได้แต่ถอนหายใจ มาเหยียบที่นี่ได้ไม่ถึงวันก็เจอตัวปัญหาเสียแล้ว
รีบทำงานแล้วกลับบ้านจะดีกว่า
ผมตามหาชินและติดต่อให้เขาบอกรายละเอียดเรื่องห้องพักของผมการปฏิบัติตัวและกิจวัตรประจำวันของตระกูลหลักเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในหน้าที่
พอทราบรายละเอียดต่างๆผมก็ขอตัวมาจัดของในห้องพัก ห้องไม่ได้ใหญ่มากไปก็เหมาะกับคนที่มาพักอาศัยไม่นานแบบผม
ฟึบ!!
ผมสะดุ้งเมื่อสังเกตเห็นหมาป่าตัวใหญ่กระโดดผ่านหน้าต่างห้องตัวเองไปเมื่อครู่ มันเร็วมากจนผมตกใจกำลังขาของหมาป่าตัวนั้นต้องแข็งแรงขนาดไหนกัน
“คุณเทวาคะ?” เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงของผู้หญิงดังอยู่หน้าประตู พอผมเดินออกไปเปิดก็พบกับแม่บ้านของที่นี่ยืนรออยู่หน้าห้อง
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“พอดีว่าเห็นหมาป่าสีเงินตัวใหญ่ๆผ่านมาแถวนี้รึเปล่าคะ”
หมาป่าสีเงิน?
ตัวใหญ่?
“ก็แว็บๆแถวหน้าต่างน่ะครับ”
“เฮ้อ...อีกแล้วสินะ” ผมแอบได้ยินเธอพึมพำ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คือว่า..”
“บอกมาเถอะครับ เผื่อมีอะไรที่ผมพอช่วยได้”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกค่ะ แต่หมาป่าที่คุณเทวาเห็นเมื่อกี้นี้น่ะเป็นคุณพันวาเองค่ะ”
“ครับ?”
“คุณพันวาเธอชอบแปลงเป็นร่างนั้นแล้วแอบหนีออกจากบ้านไปบ่อยๆน่ะค่ะ จะตามกลับก็ตามไม่ได้ฉันสู้ความเร็วของคุณพันวาไม่ได้หรอกค่ะ จะไหว้วานคนอื่นก็ลำบากอีก...” เดาง่ายๆเลยคือหมอนั่นสร้างความลำบากให้เธอคนนี้ไม่น้อยสินะ
แล้วลูกชายผู้นำแอบหนีออกไปแบบนี้คนอื่นๆไม่กังวลอะไรกันบ้างหรือไง
หากเกินเหตุอันตรายขึ้นมาล่ะ..
เฮ้อ...
“เอาเป็นว่าผมไปตามเขากลับมาให้แล้วกันนะครับ”
“จริงหรอคะ!”
“ครับ” เธอทำหน้าดีใจและก้มหัวขอบคุณผมไปหลายที สุดท้ายหมอนั่นก็สร้างความลำบากให้ผมจำได้
ผมเปิดหน้าต่างและปีนขึ้นเกาะอยู่บนนั้น พริบตาร่างกายมนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นร่างหมาป่าสีขาว
“หมาป่าสีขาว..” ผู้หญิงแม่บ้านคนนั้นพูดอะไรสักอย่างแต่ผมได้ยินไม่ชัดนัก
“จะกลับมาให้ทันมื้อเย็นนะครับ”
“คะ...ค่ะ”
ผมไม่มีเบาะแสอะไรเลยนอกจากลิ่นหมอนั่น ไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหนถึงจะเจอเขา ตามกลิ่นไปเรื่อยแบบนี้มีหวังได้คลาดกันแน่ๆ
ผมตามกลิ่นของเขามาจนถึงสวนของบ้านตระกูลหลัก ขอแค่ไม่ออกไปนอกบริเวณของบ้านแห่งนี้ก็ถือว่าโอเคแล้ว
ทำไมน่ะเหรอ
ก็เพราะแค่ในบ้านผมยังหาตัวปัญหาไม่เจอเลยเนี่ยสิ!
“เทวา” ผมสะดุ้งเมื่อเสียงอันคุ้นชินดังขึ้นจากด้านหลัง “อะไรกันหางตั้งหูตั้งแบบนั้น”
“คุณนั่น...พี่นั่นแหละทำไมถึงโผล่มาแบบนี้” สายตาดุดันจากหมาป่าสีเงินตัวใหญ่ข่มขู่มาให้ผมเปลี่ยนสรรพนามโดยพลัน
“ก็วาไม่ใช่เหรอ สะกดรอยตามพี่มา”
“ก็แม่บ้านเขาตามหาพี่อยู่”
“เฮ้อ..”
“อะไรอีก..”
“พี่ก็แค่แอบออกมาให้เวลากับตัวเองน่ะ ถ้าเธอเป็นคนของตระกูลรองก็น่าจะรู้ภาระงานที่เธอต้องรับไว้นะ”
ผมหยุดชะงักไป มันก็จริงตามที่เขาพูด
ถึงจะเป็นตระกูลรองที่งานที่ได้รับนั้นก็ไม่น้อยไปกว่าทางตระกูลหลักเลย
“ที่นี่ไม่ค่อยมีใครมากันเพราะมันค่อนข้างรกน่ะ”
“มันก็น่าอยู่หรอก”
พริบตาร่างหมาป่าสีเงินตัวใหญ่ตรงหน้าก็กลายร่างเป็นชายหนุ่มใบหน้ายียกวนบาทาเหมือนเดิม
เมื่อเห็นแบบนั้นผมจึงแปลงกลับเป็นร่างมนุษย์เหมือนเดิมเช่นกัน เพราะอมนุษย์แบบเราสามารถแปลงร่างได้ทั้งมนุษย์และสัตว์ด้วยเหตุพวกนี้จึงทำให้อมนุษย์แบบพวกผมจำเป็นต้องอยู่ในกรอบระเบียบมากกว่าพวกมนุษย์
“มานั่งนี่สิ” พันวากวักมือเรียกผมไปนั่งที่ม้านั่งข้างๆศาลา บริเวณนั้นเป็นสวนดอกไม้ที่ค่อนข้างรกร้างไม่ได้มีทัศนะอันน่ามองเสียเท่าไหร่
“ตอนพี่เด็กๆสวนนี่สวยมาก แต่พองานของตระกูลเริ่มมากขึ้นสวนจึงถูกละเลยแล้วปล่อยรกล้างขนาดนี้ พี่คิดว่าอยากจะมาดูแลมันให้เป็นเหมือนเดิมแต่ก็ทำไม่ได้เสียที” ผมนั่งฟังคนตัวสูงกว่าเล่า สายตาเขาทอดมองไปยังสวนดอกไม้นั่นน้ำเสียงดูอ่อนลงกว่าทุกที
“ทำไมไม่ให้พวกคนสวนมาจัดการล่ะครับ”
“อยากอยู่หรอก แต่เพราะงานประเดประดังเข้ามาจนลำบากใจไม่กล้าไปบอกน่ะ”
“ของแบบนี้แค่พี่เอ่ยปาก สวนนี่ก็ถูกเนรมิตใหม่แล้ว”
“เหรอ” น้ำเสียงของเขาดูเลื่อนลอยอย่างบอกไม่ถูก ไม่เหมือนกับคนยียวนเมื่อกลางวันเลย
“มัวแต่มานั่งเหงาแบบนี้นี่น่ะเหรอการให้เวลาตัวเองของพี่”
“...”
“อย่างกับนั่งปลดทุกข์หลังตกงาน”
“...”
“ให้เวลาตัวเองก็ควรที่จะทำให้ตัวเองมีความสุขไหมละ”
ผมไม่รู้หรอกว่าที่ผมพูดไปจะทำให้อีกฝ่ายโกรธหรือไม่ แต่ไอ้ท่าทางขัดหูขัดตาไม่สมเป็นพันวาแบบนั้นผมไม่ชอบเลย
แค่เห็นก็เคืองลูกตาแล้ว
ที่สำคัญคนบ้าอะไรบอกให้เวลากับตัวเองแต่กลับนั่งถอนหายใจจิตตกแบบนี้
นั่นควรเป็นผมด้วยซ้ำที่ต้องทำ
“แบบไหนล่ะ”
“กับอีแค่คำตอบของคำถามเด็กๆแบบนี้พี่ยังหาคำตอบไม่ได้ พี่แม่งผู้นำตระกูลคนต่อไปจริงไหมวะ?”
“...”
“ทำอะไรแล้วตัวเองมีความสุขก็ทำไปสิครับ”
“อืม ขอบคุณ”
ผมเริ่มจะไม่สบอารมณ์ท่าทางแบบนั้นของเขาเต็มที่
“งั้นหอมแก้มวาได้ใช่ไหม”
“หะ!..” ผมได้แต่ตกใจ ไม่ทันได้รู้ตัวริมฝีปากของคนข้างๆก็ประทับลงบนแก้มผมมันไม่ได้แรงถึงขนาดจมลงไปกับแก้มผม มันเพียงแค่สัมผัสแผ่วเบาที่ประทับอยู่บนแก้มเท่านั้น
ผมตกใจรีบถอยออกห่างจากพันวาทันที
“ทำไมอะไรของคุณ!!”
“ก็ว่าบอกทำให้ตัวเองมีความสุข”
“มันใช่แบบนี้ไหม!”
“เหรอ” รอยยิ้มนั่นกลับมาอีกแล้ว
ผมเกลียดมันชะมัด
“ผมกลับละ หวังว่าคุณจะรีบกลับไปให้ทันมือเย็น” ผมรีบเดินหนีตัวปัญหาออกมาทันที หมดอารมณ์จะใช้สรรพนามแบบนั้นกับคนอย่างพันวาแล้ว
ไม่ปฏิเสธหรอกว่าผมก็ไม่ได้รังเกียจ แต่มันก็กะทันหันเกินไป
ผมก็แค่คนที่รู้จักได้ไม่ถึงวัน
เหอะ
ผ่านไปหนึ่งวันตั้งแต่ผมมาอยู่ ณ บ้านตระกูลหลัก ผมได้เรียนรู้กิจวัตรของคนในบ้านนี้ไปพอสมควรจากชิน และได้ดูแลความเรียบร้อยของเอกสารการเตรียมการต่างๆของพิธีเลือกคู่อีกด้วย
ถึงจะยุ่งยากแต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไร
ผมเข้ากับคนที่นี่ได้ดีโดยเฉพาะชิน เขาอายุมากกว่าผมอยู่โขแต่เราก็คุยถูกคอกันพอสมควรทีเดียว การวางตัวของเขาดีมากต่างจากลูกชายของผู้นำลิบลับ
“วาชอบดอกไม้ไหม”
ตอนอารมณ์ดีก็กลับมายียวนเหมือนเดิม
แต่พอบางทีก็เปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างเช่นตอนนั้น
แปลก
“ผมจำเป็นต้องตอบหรือครับ”
“พี่ให้พูดใหม่”
“ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบ”
“คุณแม่พี่ที่เสียไปน่ะชอบดอกไม้มากๆ” ผมแอบปรายตาไปมองคนตัวสูงที่หลังจากทำงานของตัวเองจนเสร็จสรรพดีก็เอาแต่ชวนคุยนั่นคุยนี่ไม่หยุด “ท่านชอบดอกไฮเดรนเยียมากๆ สวนเมื่อวานนี้ก็เป็นสวนของคุณแม่น่ะ แต่เสียดายนะที่ท่านแพ้เกสรดอกไม้จึงอยู่กับพวกมันไม่ได้”
น้ำเสียงเริ่มอ่อนลงอีกแล้ว
โหมดไหนของเขาอีก
“พี่พันวา ผมว่าเราไปตรวจดูสถานที่จัดงานกันดีกว่านะครับ”
ผมตัดสินใจเปลี่ยนบทสนทนา มีหวังคุยกันต่อไปอาจจะโยงดราม่าเปล่าๆ
ผมสบตากับพันวา แววตาของเขาว่างเปล่าแถมยังดูเศร้าสร้อยจนผมตกใจเล็กน้อย
ผมสังเกตมาตั้งแต่ได้คุยกับเขา ภายในดวงตาของเขาถึงมันจะฉายอารมณ์ออกมาแต่ภายในนั้นมันกลับดูว่างเปล่า เหมือนอารมณ์ที่แสดงออกมานั้น..
มันไม่ได้ออกมาจากข้างใน
ข้างในของเขา
“เอาสิ”
พันวาลุกขึ้นเดินนำผมออกไป แผ่นหลังกว้างที่ดูโดด
เดี่ยวนั่นก็เหมือนกัน
ถึงจะไม่แสดงออกมาโดยตรง แต่ผมก็พอจะรับรู้อะไรบางอย่าง
อะไรบางอย่างที่ฝังรากอยู่ในตัวเขา
ไปดูสถานที่จัดงานนานอยู่พอสมควรเพราะต้องจัดเช็คสถานที่ให้เรียบร้อย งานพิธีจะเป็นงานปิดซึ่งรู้กันภายในตระกูลหมาป่าภายในประเทศเท่านั้น
เหล่าทายาทที่พามาคู่ของพันวาในงานนี้คัดเลือกจากฐานะ บุคลิก ใบหน้า และกระจุบกระจิบอีกไม่น้อย
ผมเห็นรายชื่อพวกนั้นแล้วก็ได้แต่ยิ้มแหยง
มีคู่มาให้เลือกถึงตรงหน้าขนาดนี้ สบายดีแท้
พันวาขอตัวออกไปก่อนเพราะต้องไปทำงานที่ชินมามอบหมายให้ใหม่ ทำให้ตอนนี้ผมได้มีโอกาสคุยกับชินอีกครั้ง
“เอ่อ..คุณชินครับ”
“ครับ”
“คือขอเวลาคุยด้วยสักครู่ได้หรือเปล่าครับ”
“ตามที่คุณเทวาสะดวกเลยครับ”
“คือว่า...ขออนุญาตถามนะครับ” ผมอ้ำอึ้งอยู่สักพัก “คุณพันวาเขามีปมอะไรในวัยเด็กหรืออะไรเทือกๆนั้นที่ทำให้เป็นปมมาถึงปัจจุบันไหมครับ”
ชินตาโตขึ้นเล็กน้อยก่อนตอบ “เรื่องแบบนั้นไม่มีหรอกครับ”
เขายิ้ม
“จริงๆไม่เรียกว่าปมหรอกครับ คุณพันวาเขาเสียคุณนายไปตั้งแต่เด็ก คุณท่านก็ไม่มีเวลาว่างพอจะมาเล่นกับคุณพันวา คนที่เหลือในบ้านไม่เว้นแต่ผมก็เหมือนกัน ทำให้คุณพันวาจะติดนิสัยขี้เหงาหน่อยๆ รักอิสระ เพราะไม่มีใครเป็นที่พึ่งให้เขาเลยตั้งแต่เด็ก...สายตาของเขาเลยอาจจะดูโดดเดี่ยวน่ะครับ”
อา..เรื่องมันเป็นนี้สินะ
“เพื่อนๆของเขาก็ต่างจะเข้าหาเขาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองกับครอบครัว คุณพันวาเลยแทบจะไม่มีเพื่อนเลย”
พูดตรงๆก็โดดเดี่ยวมาโดยตลอดสินะ
“เวลาคุณพันวาเหนื่อยๆก็จะแอบหนีไปที่สวนน่ะครับ และจะนั่งอยู่ที่นั่นเงียบๆจนไม่มีใครกล้าเข้าไปเรียกแม้แต่ผมเองก็...”
“ขอบคุณมากๆนะครับ” ผมก้มหัวให้ทำเอาชินรีบก้มตอบ
“คุณเทวา..”
“ผมรับรู้แล้วล่ะครับ” ผมยิ้มและเดินจากชินไป
เพราะแบบนั้นพันวาถึงได้เป็นแบบนี้สินะ
ตัวปัญญาหาแบบนี้ก็มีเรื่องน่าทุกข์ใจเหมือกัน
ถึงจะแอบยุ่งยากก็เถอะ แต่ยังไงผมก็ทำงานอย่างสุขใจไม่ได้ถ้าเจ้านายที่ต้องดูแลเอาแต่รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวอยู่แบบนี้
“หมาป่าขาวเนี่ย เป็นแบบนี้ทุกตัวเลยรึเปล่านะ...” ชินที่แอบมองตามได้แต่ยิ้มบางๆให้กับแผ่นหลังของผู้มาเยือนใหม่
ปั่นไปจนใกล้จะจบ เพิ่งรู้ว่าลืมเอามาลง อุ่ย......
ไหนน้องวาบอกจะไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นไง ลูก....
พี่วาก็แอบเหงาเหมือนนะ กระซิก.... กระซิก