┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ== [END]  (อ่าน 110124 ครั้ง)

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[4]==[P.2]== [02/03/61]
«ตอบ #60 เมื่อ05-04-2018 20:04:33 »



-5-


หลังจากวันที่ภีมภัทรเอ่ยปากขอโอกาสแล้วก็ได้รับสิ่งนั้นกลับมาตามต้องการ บรรยากาศรอบตัวของคนทั้งคู่ก็ดูดีขึ้นผิดหูผิดตา ซ้ำยังเผื่อแผ่ไปถึงคนรอบข้างจนใครๆ ต่างก็พากันอมยิ้ม วิบูลย์เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความผิดปกติก่อนใคร เขาเห็นลูกชายตัวเองดูสดใสเหมือนจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ทั้งที่ปกติมีแต่ทำหน้านิ่งต่อหน้าลูกน้องเพื่อรักษามาดอยู่ตลอด ในขณะเดียวกันชายหนุ่มบนรถวีลแชร์เองก็ดูอ่อนข้อลงไม่น้อย แม้ใบหน้าจะยังเรียบสนิท หากแววตากลับทอประกายอ่อนลงหลายส่วนยามมองภีมภัทร เพียงแค่นั้นก็ยืนยันได้แล้วว่าระหว่างคนทั้งคู่คงมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นแน่นอน

เอาเถอะ...ขอแค่ให้ลูกชายของเขาได้ผ่อนคลายบ้างก็พอแล้ว

วิบูลย์ไม่เคยตำหนิที่ลูกตัวเองเป็นคนยึดติดและไม่ไว้ใจใคร เพราะเขารู้ดีที่สุดว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร

ภีมภัทรเติบโตขึ้นมาโดยที่เขาไม่มีเวลาให้เท่าไหร่นัก ซ้ำร้ายมารดายังทิ้งไปตั้งแต่เด็กเพราะเห็นสถานการณ์ที่สวนไม่สู้ดี เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นมาด้วยความโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อนเล่นอย่างใครเขา บรรดาลูกคนงานก็เจียมเนื้อเจียมตัวไม่กล้าตีตัวเสมอ เพื่อนที่โรงเรียนเองก็แทบไม่มีเพราะไม่รู้จักเข้าหาใครก่อน นั่นทำให้เขากลายเป็นเด็กเอาแต่ใจพอสมควร วิบูลย์รู้ดีว่าลูกชายไม่ได้สนิทสนมกับเขามากนัก และเพราะความรู้สึกผิดนั้นเอง ยามเมื่อจัดการปัญหาของสวนรังสิมันตุ์ได้แล้ว เขาจึงชวนเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่เพิ่งมาไทยให้มาพักที่บ้านเพราะได้ยินว่าเพื่อนเองก็มีลูกอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน...และนั่นเป็นครั้งแรกที่ลูกของเขาได้พบกับความสุขของตัวเอง

เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาว เพียงแค่เราป้ายอะไรลงไป ผ้าผืนนั้นก็จะไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมอีก...และเขาเป็นคนป้ายสีใส่ภีมภัทรด้วยตัวเอง

เด็กคนนั้นติดจักรพรรดิมาก...มากกว่าที่เขาคิดเยอะทีเดียว

ในตอนที่เพื่อนของเขาโทรมาเล่าเรื่องของแม่จักรพรรดิให้ฟัง วิบูลย์ตกใจไม่แพ้กัน เขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเด็กชายที่เป็นเพื่อนคนสำคัญของลูกชายจะโดนมารดาบังเกิดเกล้าพาตัวไปโดยไม่มีแม้แต่คำร่ำลา วิบูลย์และคนงานหลอกล่อภีมภัทรทุกวิถีทางเพราะเด็กน้อยทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ที่พี่ชายไม่มาหา ทั้งโกหกว่าอีกไม่นานก็กลับ โกหกว่าอีกฝ่ายต้องไปเยี่ยมญาติต่างจังหวัด แต่สุดท้ายความลับก็ไม่มีในโลก ภีมภัทรเป็นเด็กฉลาด...เขารู้ในที่สุดว่าพี่ชายจะไม่มาหาตัวเองทุกวันอีกแล้ว เด็กชายร้องไห้เหมือนโลกทั้งใบจะแหลกสลาย ร้องไห้จนล้มป่วยและต้องเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลหลายวัน

นั่นคือการโกหกครั้งที่สอง...

เขาเคยโกหกภีมภัทรมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งเรื่องของมุกดา เขาบอกเด็กชายภีมภัทรตัวน้อยที่อายุเพียงสี่ขวบว่ามารดาจะไปเที่ยว เดี๋ยวก็กลับมา คิดเพียงว่าภีมภัทรจะลืม แต่กลับกลายเป็นเด็กคนนั้นจำฝังใจ ยังคงถามหาแม่อยู่ทุกวันจนไม่รู้เมื่อไหร่ที่เจ้าตัวหยุดถามไป หยุดถาม...พร้อมกับที่รู้ว่าโดนโกหก

และเพราะโดนทำซ้ำเป็นครั้งที่สอง ภีมภัทรจึงไม่เชื่อใจใครอีกเลย

จำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยทะเลาะกับลูก เหตุเพราะเด็กคนนั้นเอาแต่พึมพำเรียกหาแต่พี่จักรของตัวเอง สุดท้ายถึงได้พูดจาร้ายกาจออกไป


‘ภีมจะยึดติดอะไรนักหนา! เขาจะกลับมาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้’

‘ภีมรอได้! ขนาดรอพ่อกลับมาหาภีมยังรอได้เลย...ฮึก...ภีมรอพี่จักรได้’


วิบูลย์สูดหายใจเข้าจนสุด คล้ายเห็นภาพเด็กชายแก้มแดงตัวน้อยร้องห่มร้องไห้ยืนอยู่ตรงหน้า นับจากวันนั้นเขาสาบานกับตัวเองว่าจะไม่พูดอะไรโดยไม่คิดอีกเด็ดขาด และต่อให้ภีมภัทรยืนยันจะรอ เขาก็จะไม่ห้ามลูกอีก

“แค่ภีมมีความสุขก็พอ...” หนุ่มใหญ่ทอดสายตาอ่อนโยนมองไปยังชายหนุ่มซึ่งยืนหัวเราะอยู่นอกหน้าต่าง ข้างกายมีเจ้าของร่างสูงซึ่งนั่งอยู่บนรถวีลแชร์กำลังยิ้มบางไม่ต่างกัน





น่ามอง...

ภีมภัทรเป็นผู้ชายน่ามองโดนธรรมชาติ จักรพรรดิพอจะเดาออกว่าช่วงเวลาปกติคนตรงหน้าคงรักษามาดพอดู และในสายตาคนอื่นก็น่าจะมองว่าเจ้าตัวเป็นหนุ่มหล่อเจ้าสำอางไม่น้อย แต่สำหรับเขา...คนคนนี้ทำราวกับจะเปิดเผยเนื้อแท้ออกมาให้เห็น ราวกับยินยอมก้าวออกจากเปลือกที่หุ้มไว้เพียงเพราะอยากเดินมาหาเขาด้วยตัวเอง

“ภีมเคยสงสัยว่าดอกไม้จั๊กจี้เป็นหรือเปล่า เอาจริงๆ ร่างกายเขาก็เหมือนมนุษย์เลยนะครับ พี่ว่าไหม” ดวงตาสดใสเป็นประกายวิบวับเงยขึ้นมองเขาพร้อมชูดอกไม้ในมือให้เห็น

“หืม”

“ตรงนี้เป็นใบหน้า ส่วนตรงนี้เป็นร่างกาย...แล้วนี่ก็แขน” มือเรียวขาวแตะเบาๆ ที่กลีบดอก ไล่ลงมายังตัวก้าน จากนั้นก็สิ้นสุดที่ใบสีเขียวแก่ด้านข้าง

“หึ”

“พี่จักรไม่คิดเหมือนภีมเหรอ” ดวงตาคู่สวยแสดงความฉงนออกมาโดยไม่ปิดบัง จากนั้นก็ก้มลงมองดอกไม้ในมือต่อโดยไม่ทันเห็นสายตาเอ็นดูจากคนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์

“เด็กจริงๆ”

เดี๋ยวก็ทำตัวเป็นเด็กขี้สงสัย เดี๋ยวก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่มีสาระ...แต่ก็นั่นล่ะนะที่ทำให้คนตรงหน้าน่ามองมากขึ้นไปอีก

หลังจากเริ่มเปิดใจ จักรพรรดิยอมรับว่าเขารู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย ความใส่ใจของภีมภัทรทำให้ปราการในใจของเขาอ่อนลงเรื่อยๆ และอีกไม่นานก็คงพังทลายในที่สุด เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่มั่นใจเท่านั้นเอง...

ไม่มั่นใจว่าความรู้สึกที่จะพัฒนาไป มันจะเปลี่ยนไปในฐานะอะไร

แล้วถ้าถึงวันที่มันเปลี่ยนไปจริงๆ...

ดวงตาคมก้มลงมองขาสองข้างของตัวเองนิ่งงัน ความรู้สึกที่แปรปรวนในใจทวีคูณมากขึ้นหลายเท่าเมื่อร่างกายไม่ขยับตามที่คิด...ไม่แม้แต่จะรู้สึกอะไรด้วยซ้ำ

แบบนี้จะเอาอะไรไปเทียบ...

พิการแล้วยังไม่เจียมตัว

คล้ายรอยยิ้มเยาะจะปรากฏขึ้นบนมุมปากราวจะเย้ยหยันตัวเอง และแววตาคมกล้าดุดันนั้นเองที่ทำให้คนที่กำลังนั่งมองดอกไม้รู้สึกตัว

“พี่จักร” ภีมภัทรขยับกายเข้าหา เขาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าด้านหน้าเหมือนทุกครั้ง ดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นดึงดูดให้จักรพรรดิต้องมองตาม มือขาวๆ ที่มักจะหยิบโน่นจับนี่มาให้เขาดูวางทับเบาๆ ลงบนต้นขาของเขา และทั้งๆ ที่มันไม่ควรจะมีความรู้สึกใดๆ...หากจักรพรรดิกลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาถึงใจ

ความคิดแย่ๆ ที่บอกว่าควรหยุดอยู่แค่นี้สลายไปโดยไม่รู้ตัว

“ไม่เป็นไร” ฝ่ามือใหญ่ทว่าผอมแห้งวางทับลงบนมือขาวของภีมภัทร เขายกมุมปากขึ้นนิดๆ เป็นรอยยิ้มเพื่อให้อีกคนสบายใจ ทว่าก็ยังโดนจ้องอยู่อย่างนั้นราวกับคนมองยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ

“พี่คิดเรื่องแย่ๆ อะไรอยู่” ว่าแล้วก็ทำสีหน้าจับผิด

จักรพรรดิเลิกคิ้ว คล้ายจะตกใจและขบขันอยู่ในที ใบหน้ามุ่ยๆ เหมือนแมวไม่พอใจของภีมภัทรทำให้เขาอารมณ์ดีได้ตลอดเวลาเลยจริงๆ “อ่านใจพี่ได้หรือไง”

“อ่านใจไม่ได้หรอก แต่ภีมจับความรู้สึกของพี่ได้”

“หืม…”

“อืม...จะว่ายังไงดี” เจ้าตัวทำท่าครุ่นคิดทั้งยังเนียนพลิกมือมาจับนิ้วเขากำไว้ “เพราะแคร์มากก็เลยสังเกตมากล่ะมั้ง”

จะบอกว่าที่รู้ทุกเรื่องเพราะแคร์อยู่ตลอดสินะ...

“งั้นเหรอ”

“อื้อ”

“เนียน” จักรพรรดิพูดลอยๆ โดยไม่ได้ระบุหัวข้อ แต่ทำเอาคนเนียนที่ว่าสะดุ้งเฮือก รีบเอามือที่กำลังจับนิ้วเขาไว้ออกแบบเขินๆ พร้อมทั้งลุกขึ้นยืน

“ภีมพาพี่จักรไปเรือนกุหลาบดีกว่า ครั้งที่แล้วยังไม่ได้เข้าไปด้านในเลย”

“นั่นแก้มคนหรือมะเขือเทศ”

“พี่จักร!” คนโดนแซวชะงักเท้าจนเกือบหน้าทิ่มพื้น

ภีมภัทรในโหมดเอ๋อเหรอกับจักรพรรดิในโหมดขี้แกล้ง ภาพบรรยากาศอ่อนโยนและสนุกสนานรอบกายของคนทั้งคู่ทำให้คนงานในสวนบริเวณนั้นต่างอมยิ้มไปตามๆ กัน แบบนี้สิถึงจะเป็นนิสัยที่แท้จริงที่ไม่ต้องมีภาระหน้าที่หรือหน้ากากมาปกปิด

ราวกับบรรยากาศเก่าๆ กำลังย้อนกลับมาอีกครั้ง...

เรือนกุหลาบอันสวยงามซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยความชอบของภีมภัทรทั้งหมดถือได้ว่าเป็นเขตพักผ่อนส่วนตัวของเขาที่แทบไม่มีใครย่างกรายเข้ามา จะยกเว้นก็ตอนที่ภีมภัทรไม่ว่างเข้ามารดน้ำเองหรือตอนที่พ่อของเขาให้คนมาตามเท่านั้น

“เมื่อปีก่อนพ่อให้คนงานช่วยสร้างบ้านหลังนั้นขึ้นมา” ภีมภัทรอธิบายเมื่อเห็นคนบนวีลแชร์มองไปยังบ้านไม้หลังเล็กที่อยู่ในเขตกำแพงต้นไม้ แต่ครั้งก่อนเขาไม่ได้บอกเพราะไม่คิดว่าจักรพรรดิจะสนใจมัน “จะเรียกว่าเป็นบ้านพักส่วนตัวก็ได้ บางครั้งภีมก็วุ่นวายกับการดูแลต้นไม้ดอกไม้ในเรือนกุหลาบจนลืมเวลา จะขับรถกลับคอนโดก็ไกล จะให้ไปนอนบ้านก็ไม่อยาก พ่อเลยบอกว่าที่นี่จะเป็นบ้านอีกหลังของภีม”

“ทำไมถึงไม่อยากนอนบ้าน”

ภีมภัทรอมยิ้มให้กับคำถามนั้น จะบอกว่ารู้สึกดีที่อีกฝ่ายให้ความสนใจก็ไม่ผิดนัก เขาไม่ได้ตอบอะไรในทันที แต่เลือกที่จะพาจักรพรรดิเดินต่อเข้าไปในเรือนกุหลาบ รอจนเดินผ่านประตูเข้าไปด้านในแล้วจึงเริ่มพูดออกมาช้าๆ

“เวลานอนอยู่ที่บ้านภีมชอบฝันถึงพี่จักร...ฝันถึงเรื่องที่เราทำด้วยกัน หรือบางครั้งก็ฝันว่าจะได้เจอพี่อีกครั้ง”

แต่ตอนนี้ไม่ต้องฝันแล้ว...

“เพราะแบบนั้นถึงไม่อยากนอนบ้านเหรอ...เพราะไม่อยากฝัน”

“ไม่ใช่หรอกครับ นั่นคือเรื่องดีๆ ต่างหาก” ภีมภัทรหัวเราะ “ภีมยอมรับว่าบางครั้งก็เสียใจเวลาตื่นขึ้นมา เพราะทุกสิ่งมันเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่บางครั้งภีมก็อุ่นใจ เพราะฝันนั้นช่วยย้ำเตือนให้รู้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีคนคนหนึ่งที่สำคัญกับภีมมากขนาดไหน และเขาคนนั้นก็ยังอยู่ในใจภีมตลอดมา”

“แล้วทำไม...”

“เมื่อปีสองปีก่อนพ่อภีมเคยคิดจะแต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนหนึ่ง และถึงจะไม่ได้แต่ง แต่ช่วงเวลาที่เธอเข้ามาอยู่ในบ้านก็ไม่ใช่เวลาน้อยๆ ตอนแรกภีมยอมรับเธอเพราะคิดว่าคงรักพ่อจริง ที่ไหนได้...” ดวงตาคู่สวยที่ดูเปล่งประกายอยู่เป็นนิจฉายแววชิงชังชัดเจน โชคดีที่จักรพรรดิหันหลังให้จึงไม่ได้เห็นเขาในมุมนี้ ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงที่ใช้ก็แลดูเหยียดหยามอยู่ไม่น้อย “ก่อนวันแต่งงานผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาหาภีมถึงห้อง แถมยังทำตัวน่ารังเกียจทุเรศทุรังพยายามยั่วภีม พอไม่เล่นด้วยก็ตีบทแตกเจ้าน้ำตา ปากบอกว่าเมา ขอร้องอย่าเอาเรื่อง”

จักรพรรดิไม่ได้พูดแทรกอะไร ตามองดอกไม้ที่ปลูกอยู่สองข้างทางนิ่งงัน ทว่าสมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับเรื่องที่คนด้านหลังเล่าจนไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

“ภีมยังคิดไม่ตกว่าจะบอกพ่อยังไงให้ล้มเลิกการแต่งงาน โชคดีที่ไม่ทันได้บอกก็มีคนบุกมาประกาศแสดงตัวว่าเคยถูกแม่นั่นหลอกลวงเอาเงินกลางงานเสียก่อน สุดท้ายงานแต่งก็เลยล่มไป” ภีมภัทรกัดฟันกรอดด้วยความโมโห อีกทั้งใบหน้าขาวยังบิดเบี้ยวด้วยความรังเกียจ “แค่นึกว่าในห้องเคยมีเท้าสกปรกของผู้หญิงคนนั้นเดินไปเดินมาภีมก็รังเกียจแทบตาย พวกคนโกหกไว้ใจไม่ได้ ภีมเกลียดที่สุดเลย”

“ใจเย็นๆ” คำปลอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามสไตล์ของผู้พูดทำให้คนที่กำลังอารมณ์ขึ้นรู้สึกตัว ภีมภัทรกะพริบตาปริบๆ เพื่อปรับอารมณ์ ก่อนใบหน้าขาวจะแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือกเมื่อนึกได้ว่าเผลอใส่อารมณ์ไปตอนเล่าเรื่องมากขนาดไหน

“เอ่อ...ก็นั่นล่ะครับเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ภีมไม่ค่อยอยากนอนที่บ้านนัก” เขารีบพูดแก้เก้อ

“อืม”

“ภีมจะพาพี่จักรไปดูสิ่งสำคัญของภีมนะ” ว่าแล้วภีมภัทรก็รีบเข็นรถพาจักรพรรดิเดินไปตามทางที่มีต้นไม้ดอกไม้เรียงรายกันเป็นแถบอย่างมีระเบียบ ซึ่งส่วนใหญ่กว่าครึ่งล้วนแล้วแต่เป็นต้นกุหลาบสมชื่อสถานที่ ชายหนุ่มที่ทำเพียงนั่งเฉยๆ บนรถวีลแชร์กวาดสายตามองรอบกายเงียบๆ

กลิ่นหอมอ่อนๆ และความบริสุทธิ์ของที่นี่กำลังทำให้จิตใจผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว อีกทั้ง...

ปลายจมูกโด่งสูดลมหายใจเข้าแผ่วเบายามหันหน้าไปมองมือเรียวขาวซึ่งจับแฮนด์รถเพื่อบังคับทิศทางอยู่ข้างไหล่เขา ภีมภัทรไม่ได้มีกลิ่นกายหอมกรุ่นแต่อย่างใด แต่เมื่อได้อยู่ใกล้เขากลับพบว่ากลิ่นกายเฉพาะตัวของคนคนนี้เป็นกลิ่นกายที่สะอาดสะอ้าน บริสุทธ์ และชวนให้สบายใจเหลือเกิน

เหมือนดอกกุหลาบ...

ไม่ได้หอมเหมือนน้ำหอม แต่บริสุทธ์เหมือนดอกกุหลาบตามธรรมชาติที่ถูกดูแลเป็นอย่างดี

“ถึงแล้ว” น้ำเสียงเจือความยินดีจากด้านหลังทำให้จักรพรรดิหลุดจากภวังค์

สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้คนเย็นชาเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ความรู้สึกแปลกๆ ในอกก่อกำเนิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

กุหลาบสีน้ำเงิน...

ต้นกุหลาบที่ถูกปลูกอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดของเรือนกุหลาบคือต้นกุหลาบสีน้ำเงินซึ่งมีดอกอยู่เพียงไม่กี่ดอก เพียงแค่เห็นกระถางแกะสลักเป็นลวดลายสวยงามก็สามารถบอกได้แล้วว่ามันได้รับความสำคัญมากเพียงใด

แต่สิ่งที่ทำให้จักรพรรดิชะงักไม่ใช่เพราะความแตกต่างของมัน...



‘พ่อบอกภีมว่าดอกไม้มีตั้งหลายชนิด’

‘หืม…’

‘ดอกไม้มีหลายชนิด’

‘พี่ได้ยินแล้ว แล้วเราทำหน้าบึ้งทำไมหืม’

‘พี่จักรบอกว่าภีมเป็นดอกไม้ของพี่จักร’

‘ใช่’

‘แล้วภีมเป็นดอกอะไรล่ะ’

‘…หึ’

‘ห้ามขำนะ!’

‘โอเคๆ งั้นเป็นดอกกุหลาบดีไหม’

‘กุหลาบเหรอ...’

‘ใช่...พี่เคยเห็นดอกกุหลาบสีน้ำเงินตอนไปเที่ยว มันสวยมากเลย’

‘พี่จักรชอบเหรอ’

‘ชอบสิ’

‘งั้นภีมเป็นกุหลาบสีน้ำเงินให้พี่จักรก็ได้!’



“เมื่อหลายปีก่อนพ่อภีมไปดูงานที่ญี่ปุ่นแล้วได้เจ้าต้นนี้กลับมา ถึงจะเป็นกุหลาบที่เกิดจากการตัดต่อพันธุกรรม แต่มันก็สมบูรณ์แบบมากเลย พี่ว่า...” ภีมภัทรชะงักกึกเมื่อหันไปสบเข้ากับแววตาอ่านยากของคนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์พอดี “พี่จักร?”

“เหมือนภีมเลยนะ”

“ครับ?”

“กุหลาบไง”

“…”

“ใช้คำพูดผิดไป” คนขี้แกล้งยังพูดต่อโดยไม่สนใจสีหน้าตกใจจนน่าตลกของภีมภัทร เขาโน้มตัวลงเก็บกลีบกุหลาบสีน้ำเงินขึ้นจากพื้น ก่อนวางแหมะลงบนหัวของคนที่นั่งยองๆ อยู่ตรงหน้า “ลืมไปว่าเป็นสายพันธ์เดียวกัน จะบอกว่าเหมือนได้ยังไง”

“พี่...พี่จักร...” หากบอกว่าตกใจจนกลายเป็นหินไปแล้วก็คงไม่เกินจริงไปนักสำหรับสภาพของทายาทรังสิมันตุ์ในเวลานี้ เขาอ้าปากแล้วหุบ อ้าปากแล้วหุบ ทำอยู่แบบนั้นจนใบหน้าเรียบเฉยของจักรพรรดิปรากฏรอยยิ้มขันขึ้นน้อยๆ

“วันนี้จะคุยกันรู้เรื่องไหม”

“พี่...พูดเหมือนจำได้” ความคาดหวังถูกส่งผ่านมาทางสายตา

“ไม่ได้ความจำเสื่อมสักหน่อย จะให้ลืมหมดเลยหรือไง”

“ก็...ก็พี่พูดเหมือน...”

เหมือนไม่มีความทรงจำต่อกันเลยนี่...

ถึงจะบอกว่าจะไม่สนใจอดีตอีก จะสร้างความทรงจำขึ้นมาใหม่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าดีใจเหลือเกินที่เขาจำได้

“เรื่องบางเรื่องมันฝังอยู่ลึกจนเราอาจคิดว่าลืมไปแล้ว...” จักรพรรดิวางมือลงบนหัวทุยก่อนจะออกแรงโคลงไปมาช้าๆ “แต่พอได้ลองเปิดใจและสัมผัสดูถึงรู้ว่าเราไม่เคยลืมมันเลย...นั่นหมายความว่าเรื่องเรื่องนั้นต้องสำคัญมากเลย ว่าไหม”

บางเรื่องอาจทำให้หดหู่หรือเศร้าใจเกินกว่าจะลืม บางเรื่องอาจมีความสุขจนต้องจดจำไว้ หรือบางเรื่อง...อาจต้องซ่อนไว้ในส่วนลึกเพื่อเก็บรักษา และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม...มันจะกลับมาเด่นชัดอีกครั้งเพื่อย้ำเตือนว่าคนในความทรงจำมีความสำคัญมากเพียงใด

“ครับ...” ภีมภัทรเงยหน้ายิ้ม ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายยิ่งกว่าทุกครั้ง เขาจับมือใหญ่บนหัวตัวเองมาแนบแก้มแล้วซุกใบหน้าเข้าหา ความสุขที่ถูกแสดงออกผ่านสีหน้าทำเอาจักรพรรดิใจกระตุกวูบ สัมผัสนุ่มอุ่นบริเวณฝ่ามือช่วยบรรเทาความหนาวเหน็บในใจโดยไม่รู้ตัว

แค่คำพูดและการกระทำไม่กี่คำของเขาสามารถทำให้คนคนหนึ่งมีความสุขได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ...

ความรู้สึกอบอุ่นใจที่ได้เป็นคนสำคัญของใครสักคนมันเป็นแบบนี้เอง นี่เขาห่างหายจากความรู้สึกแบบนี้ไปนานแค่ไหนกันนะ...

“ถ้าว่าง...ช่วยเล่าเรื่องในอดีตให้พี่ฟังหน่อยได้ไหม”

“เรื่อง...ในอดีตเหรอครับ” ภีมภัทรทำหน้าตาประหลาดใจ ก่อนเขาจะเผยรอยยิ้มกว้างเมื่อได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบ “ได้อยู่แล้ว”

พวกเขาใช้เวลาอยู่ในเรือนกุหลาบด้วยกันทั้งวันจนถึงเย็น จักรพรรดิฟังคนช่างจ้อเล่าเรื่องนั้นเรื่องให้ฟังได้ไม่มีเบื่อ เขามองปากบางที่ขยับเป็นรอยยิ้มไม่มีหุบ มองมือเรียวที่ถือสายยางรดน้ำ หรือแม้แต่มองขายาวที่ก้าวเดินไปตามจุดต่างๆ การเคลื่อนไหวทุกอย่างของภีมภัทรดูน่าดึงดูดไปหมด

เพียงใช้เวลาด้วยกันไม่นานเขาก็บอกได้ทันทีว่าคนตรงหน้ารักที่ีนี่มากขนาดไหน ทุกครั้งที่มองไปยังต้นไม้ รอยยิ้มเล็กๆ จะประดับอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายตลอดเวลา และเมื่อนึกได้ว่าลืมเขาไว้ข้างหลัง เจ้าตัวก็จะรีบวิ่งดุ๊กดิ๊กมาหาแล้วพาเขาเดินไปด้วยกัน ในความทรงจำคล้ายปรากฏภาพเลือนลางของเด็กชายตัวน้อยกำลังวิ่งเข้ามาหา รอยยิ้มสดใสเหมือนดวงตะวันเจิดจ้ายังตราตรึงอยู่ในใจไม่จางหาย

“พี่จักรดูนี่สิครับ”

‘พี่จักรดูนี่เร็ว’

ภาพของเด็กชายในความทรงจำกับภีมภัทรซ้อนทับกันชัดเจนเมื่อเจ้าตัวกำลังวิ่งเข้ามาหาเขา และบ่อยครั้งที่เท้าเล็กๆ นั่นจะสะดุดจนเขาต้องพุ่งเข้าไปรับตลอด ซึ่งดูเหมือนครั้งนี้...

“โอ๊ะ!”

จักรพรรดิเบิกตาขึ้นเล็กน้อย เขาพยายามพุ่งตัวไปด้านหน้าเพื่อเข้าไปรับร่างโปร่งที่กำลังจะล้มลงกับพื้น แต่เรี่ยวแรงที่มีเพียงช่วงตัวด้านบนและขาที่ไม่ทำตามคำสั่งทำให้กายสูงใหญ่ล้มลงไปกองกับพื้นในสภาพเดียวกัน เสียงรถวีลแชร์ที่ล้มตามกระแทกพื้นดังโครมใหญ่ หากสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือคนที่ล้มลงตรงหน้า เขารีบเงยหน้าขึ้น พอดีกับที่ใบหน้าใสเงยขึ้นมองด้วยความตกใจเช่นเดียวกัน ตาสองคู่สบกันนิ่งงันจนดูราวกับเวลารอบตัวกำลังหยุดหมุน

“…หึ…”

“อุ๊บ…”

คนทั้งคู่กลั้นรอยยิ้มที่มีต่อกันจนหน้าแดง จักรพรรดิยังดีที่เพียงยกมุมปากน้อยๆ หากภีมภัทรกลับกลั้นขำจนแก้มขาวพองลม แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นเสียงหัวเราะของคนทั้งคู่

“ฮ่าๆๆๆ”

“หึหึ”

เป็นเวลาเนิ่นนานที่เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จวบจนเมื่อจักรพรรดิหยิบผ้าเช็ดหน้าเลื่อนไปเช็ดแก้มแดงๆ นั่นแล้วเสียงหัวเราะจึงค่อยๆ เงียบลงแล้วกลายเป็นรอยยิ้มจางๆ แทน

“เลอะเทอะจริงๆ”

“พี่จักรว่าภีมได้เหรอ” คนที่โดนเศษดินเปื้อนแก้มสองข้างยิ้มกว้างจนเห็นฟันแทบทุกซี่ มือเรียวออกแรงเช็ดถูกับเสื้อตัวเองจนมั่นใจว่าสะอาด ก่อนจะยื่นออกไปเกลี่ยเศษดินบริเวณจมูกโด่งออกให้อย่างนุ่มนวล

“เจ็บหรือเปล่า”

“ภีมต่างหากที่ต้องถาม”

ไม่เจ็บหรอก...ไม่มีใครเจ็บกับเหตุการณ์นี้เลยสักคน

หรือถ้ามันเจ็บ...พวกเขาก็คงลืมมันไปหมดแล้ว

“มาครับภีมช่วย” ภีมภัทรสูงขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วค่อยๆ ประคองคนตัวโตให้ลุกตาม น้ำหนักที่เทมาทางเขาทั้งหมดทำให้รอยยิ้มสดใสจางหายไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเขาสบตากับจักรพรรดิรอยยิ้มนั้นก็กลับมาทำงานอีกครั้ง

“พี่ตั้งรถให้” จักรพรรดิเอ่ยเสียงเรียบ กายโน้มไปด้านข้างเพื่อดึงวีลแชร์ให้กลับมาตั้งเหมือนเดิม แต่เพราะน้ำหนักและส่วนสูงที่มากกว่าทำให้ภีมภัทรประคองเขาไว้ไม่ไหว ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อจักรพรรดิเซจนเหมือนจะล้มลงไปอีกรอบ

“พี่จักร!”

ร่างโปร่งดึงแขนอีกคนเต็มแรงและเป็นฝ่ายเอาสีข้างกระแทกพื้นเอง ใบหน้านิ่งเฉยของจักรพรรดิพลันปรากฏวี่แววของความตื่นตระหนก เขารีบพลิกตัวที่ทับภีมภัทรไว้ไปด้านข้าง ก่อนจะหันไปจับไหล่นั้นเต็มแรง

“เป็นอะไรหรือเปล่า!”

ภีมภัทรส่ายหัวปฏิเสธแม้จะรู้สึกปวดบริเวณสะโพกที่กระแทกพื้นไม่น้อย แต่เพียงแค่เห็นใบหน้าโทษตัวเองของคนตัวสูงเขาก็ต้องรีบกลืนความเจ็บนั้นลงไปแล้วจับมือใหญ่มาแนบแก้มตัวเองอย่างรวดเร็ว

“ไม่เจ็บเลย แค่พี่จักรทำแบบนี้ก็หายแล้ว”

“ภีม…” ดวงตาคู่คมที่ดูเจ็บปวดและทรมานทำให้หัวใจของภีมภัทรเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว

กลัว...ว่าพี่จักรจะคิดไม่ดีอีก

“พี่จักรมองภีมนะ” มือเรียวทั้งสองข้างจับแก้มซูบตอบให้เงยขึ้นมองตน ก่อนหน้าผากจะวางแนบจรดหน้าผากของอีกฝ่ายช้าๆ ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกันด้วยความรู้สึกหลากหลาย จวบจนมั่นใจว่าคนมองไม่ได้วอกแวกไปคิดถึงเรื่องไม่ดี ภีมภัทรถึงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ความเจ็บปวดจงหายไป...”


‘ฮือ….’

‘โอ๋ๆ ไม่ร้องนะเด็กดี’

‘เจ็บ...ภีมเจ็บ’

‘ภีม...มองหน้าพี่นะ’

‘ฮึก...มอง...ภีมมอง’

‘ความเจ็บปวดจงหายไป...’



ดวงตาเศร้าหมองไร้ก้นบึ้งคล้ายปรากฏประกายแสงสว่างขึ้นวูบหนึ่ง จักรพรรดิหลับตาลง เขาวางมือทาบทับมือเรียวทั้งสองข้างแล้วกดให้แนบแก้มตนเองมากกว่าเดิม หูทั้งสองข้างรับฟังถ้อยคำอ่อนโยนนั้นซ้ำไปซ้ำมาราวต้องการซึมซับมันไว้ในใจไม่ให้จางหายไปไหน

“พี่จักร...ลืมตาสิครับ”

จักรพรรดิลืมตาขึ้นช้าๆ ตามคำพูดนั้น เขามองเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนและดวงตาคู่สวยคู่เดิมที่จับจ้องมาที่เขาแต่เพียงผู้เดียว

“ภีม…”

“ทุกครั้งที่พี่ลืมตา...ภีมจะอยู่ตรงนี้”

“…”

“จะมองไปที่พี่แค่คนเดียว...”

“ภีม…” น้ำเสียงหนักแน่นราวกับคนที่ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดทำให้ใจคนฟังสั่นไหวอย่างมีความหวัง

“ครับ”

“ไปกับพี่ได้ไหม”

“ไป?”

“พี่อยากหายแล้ว”

ไม่เอาอีกแล้ว...

ทั้งที่อยู่ตรงหน้า...แต่กลับไขว่คว้ามาไว้ในอ้อมกอดไม่ได้

ทั้งที่อยู่ตรงหน้า...แต่กลับปกป้องไม่ได้

“ไปหาหมอกับพี่ได้ไหม”

ลองดูอีกสักครั้ง...

“พี่จักร...” ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มยินดีอย่างรวดเร็ว หน้าผากที่แนบกันไว้แนบสนิทจนไร้ช่องว่าง ปลายจมูกรั้นกดทับลงบนจมูกโด่งด้วยความดีใจจนถึงขีดสุด “ครับ เราไปหาหมอกันนะ ไปหาหมอกันนะ...ฮึก”

“อย่าร้อง...”

จักรพรรดิค่อยๆ เกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าได้รูปอย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยที่สะท้อนภาพของเขาเพียงผู้เดียวสั่นไหว และความอดทนของเขาก็หมดลงเมื่อได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของคนตรงหน้า แขนผอมรั้งเอวอีกคนเข้าหา ก่อนจะกอดไว้แนบแน่นเพื่อซึมซับความอบอุ่นของกันและกัน

“พี่จะพยายามอีกครั้ง...”

ตอนที่เคยเข้ารับการรักษาครั้งแรกเขาทำเพราะยอมรับความจริงไม่ได้...

เขาทำ...เพราะต้องการกลับไปยืนบนจุดสูงสุดอีกครั้ง

แต่การรักษาครั้งนี้เขาจะทำเพราะความต้องการของตัวเอง...

เขาจะทำ...เพื่อให้ตัวเองคู่ควรกับการได้ยืนเคียงข้างใครอีกคน


—————————-





TALK : กลับมาแล้วของจริงงง และจะไม่หายแล้วค่ะ ฮี่ฮี่ เจอกันตอนหน้าในไม่ช้าาาา

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
«ตอบ #61 เมื่อ05-04-2018 20:19:56 »

ได้กำลังใจที่ดี มันดีอย่างนี้นี่เอง  :o8:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
«ตอบ #62 เมื่อ05-04-2018 20:29:56 »

 :pig4:

ออฟไลน์ mpalism31

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
«ตอบ #63 เมื่อ05-04-2018 21:14:33 »

น่ารักจังเลยค่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
«ตอบ #64 เมื่อ05-04-2018 21:48:43 »

เป็นพี่จักร ที่ละมุน และอุ่นไปทั้ใจเลยค่ะ :)

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
«ตอบ #65 เมื่อ05-04-2018 22:46:17 »

ตอนนี้ทำเอาน้ำตาซึมเลยอ่ะ

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2428
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
«ตอบ #66 เมื่อ05-04-2018 23:34:59 »

กำลังใจดี ก็หายไวๆ นะพี่จักร

ออฟไลน์ Margarita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
«ตอบ #67 เมื่อ07-04-2018 13:23:15 »

 :pig4:

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 594
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
«ตอบ #68 เมื่อ07-04-2018 17:04:15 »

งุ้ย เป็นกำลังใจให้ทั้งคนเขียนทั้งภีมและพี่จักรเลย คนเขียนมาไวๆ น้าส่วนพี่จักรก็หายไวๆ  :mew1:

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
«ตอบ #69 เมื่อ08-04-2018 00:06:30 »

อ่านรวดเดียว 5 ตอนเลย ชอบมากค่ะ
น้องภีมทำให้พี่จักรพร้อมสู้แล้ว เอาใจช่วยพี่จักรให้หายไวๆเลย
รอติดตามตอนต่อไปค่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
« ตอบ #69 เมื่อ: 08-04-2018 00:06:30 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ missm2c

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
«ตอบ #70 เมื่อ08-04-2018 08:23:02 »

น้ำตานองหน้าเลยทีเดียว ฮืออ

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1296
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
«ตอบ #71 เมื่อ08-04-2018 12:08:57 »

ดีใจที่จักรพรรดิ์จะรักษาตัว และเป็นการรักษาที่มีความหมายเพื่อน้อง :katai2-1:

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
«ตอบ #72 เมื่อ11-04-2018 19:52:38 »

-6-


จักรพรรดิลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตามความเคยชิน เขาจำได้ว่าเมื่อคืนเขาหลับสนิทยิ่งกว่าทุกวัน ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะได้นอนในบ้านไม้หลังเล็กซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ หรือเพราะกลิ่นหอมเฉพาะตัวของคนที่นอนอยู่ที่พื้นกันแน่ และทั้งที่เขานอนอยู่บนเตียง ระยะห่างก็ไม่ใช่น้อยๆ แต่กลิ่นอ่อนๆ ที่แตะจมูกนั้นกลับชัดเจนในความรู้สึกมาตั้งแต่ได้กอดร่างนั้นไว้ในอ้อมแขน

เมื่อคืนหลังจากตัดสินใจว่าจะมานอนที่นี่ด้วยกัน ภีมภัทรก็ยืนยันจะนอนพื้นให้ได้ เขาจะทำหน้าดุใส่ขนาดไหนก็ไม่ยอมฟัง จักรพรรดิเองก็ไม่ได้ยอม เขาไม่เข้าใจว่าทำไมไม่นอนบนเตียงด้วยกันในเมื่อเตียงก็ออกจะกว้าง แต่แล้วเมื่อได้ยินคำพูดเพียงประโยคเดียวทุกสรรพเสียงก็เงียบกริบมาจนถึงเช้า

‘พี่อยากให้ภีมหัวใจวายตายหรือไง’

อืม...น่าคิด

“พี่จักรตื่นแล้วเหรอ” เสียงทักสดใสจากปลายเตียงทำให้คนที่กำลังเหม่อมองเพดานห้องรู้สึกตัว จักรพรรดิเหลือบตาลงมองเจ้าของเสียง ก่อนดวงตาคมกล้าจะอ่อนลงอย่างรวดเร็ว

ใบหน้าของคนที่กำลังช่วยยกขาเขาขึ้นลงเพื่อออกกำลังกายเหมือนทุกเช้าดูตั้งอกตั้งใจกว่าเดิมหลายเท่า ภีมภัทรเคยบอกว่าเจ้าตัวเรียนรู้มาจากฮ่องเต้ที่ช่วยสอนก่อนจะไปจากที่นี่ ปกติเขาไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก แม้น้องทั้งสองคนจะช่วยทำให้ตามคำสั่งหมอมาโดยตลอดก็ตาม เพราะเขาไม่มีความคิดจะรักษาอยู่แล้ว แต่ในเวลานี้กลับแตกต่างออกไป...

“หนักไหม”

“ไม่หนักเลย ขาพี่จักรเล็กนิดเดียว...ทำไมเล็กแบบนี้นะ” คนที่ช่วยบีบๆ นวดๆ ขาเขาบ่นกระปอดกระแปด “ดีที่ยังไม่ลีบมาก ภีมไปอ่านมา เห็นว่าคนที่ไม่ได้เดินนานๆ ขาจะลีบเพราะไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อ แบบนั้นแย่แน่ๆ”

“หึ”

“เออใช่...พี่จักรอย่าลืมนะว่าสัญญาอะไรไว้” ว่าแล้วก็ทำตาโตเหมือนคิดอะไรได้พร้อมทั้งหันมาหรี่ตาจ้องเขา...ส่วนมือก็ยังไม่หยุดนวดให้

ช่างเป็นภาพที่ขัดตาแต่กลับน่าเอ็นดูจริงๆ...

“สัญญา?” จักรพรรดิเลิกคิ้ว ทำหน้างุนงงเหมือนไม่รู้เรื่องทั้งที่แอบลอบยิ้มในใจ น่าสงสารก็แต่คนไม่รู้เรื่องว่าโดนหลอกที่ตอนนี้หน้านิ่วคิ้วขมวดไปแล้วเรียบร้อย

“พี่จักรรับปากว่าจะกินข้าวเยอะขึ้น”

“อ้อ…”

“รู้แล้วก็ช่วยทำตามด้วยครับ” ภีมภัทรวางขาขาวซีดของคนป่วยที่ดูเล็กกว่าคนทั่วไปลงบนเตียงเบาๆ ก่อนจะขยับมานั่งลงข้างเตียงแล้วค่อยๆ ประคองให้จักรพรรดิลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงไว้

“ไปเอามาตอนไหน” คนเพิ่งตื่นถามด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นถาดใส่อาหารพร้อมน้ำดื่มกับดอกกุหลาบสีขาวที่อีกฝ่ายวางไว้บนตัก

“ภีมไปเอามาให้ก่อนพี่จักรตื่น ส่วนดอกกุหลาบนี่ก็เข้าไปเก็บมาจากเรือนกุหลาบ เสร็จแล้วก็มาช่วยออกกำลังกายให้พี่จักรเลย”

“ตื่นเช้าไปหรือเปล่า”

“ปกติภีมก็ตื่นแบบนี้ ไม่ได้ลำบากอะไรเลย” ภีมภัทรรีบส่ายหน้าอธิบายเพราะกลัวว่าคนถามจะคิดมาก เขาเคยชินกับการตื่นมาเปิดร้านรับลูกค้าทุกวันอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อต้องตื่นมาดูแลจักรพรรดิแต่เช้าแบบนี้จึงไม่ได้รู้สึกลำบากเลยแม้แต่น้อย

และถึงจะไม่ชิน...แต่ถ้าอีกคนเป็นจักรพรรดิ เขาก็เต็มใจทำให้อยู่แล้ว

“แล้วของภีมล่ะ” น้ำเสียงที่ดูอ่อนลงมากขึ้นเรื่อยๆ ยามคุยกับเขาทำเอาคนฟังใจเต้นกระหน่ำแบบที่ไม่เคยเป็น ภีมภัทรอมยิ้ม บอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกดีขนาดไหนกับคำถามที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงนั้น

“เรียบร้อยก่อนพี่จักรตื่นแล้ว” เขาชี้นิ้วไปที่โต๊ะอีกตัวซึ่งมีจานข้าวที่ว่างเปล่าวางอยู่ “นั่นไง”

“ดีมาก” คนป่วยเอ่ยชม ขณะที่มือก็ตักข้าวต้มหน้าตาน่าทานเข้าปากไปด้วย

ตั้งแต่ที่เริ่มป่วยทั้งทางกายและใจจักรพรรดิก็ทานข้าวได้เพียงไม่กี่คำเท่านั้น เขาไม่เคยทานหมดชาม ไม่เคยเอ่ยปากบอกว่าอะไรอร่อย แต่เมื่อเห็นใบหน้าแสดงความคาดหวังจากคนข้างกาย มือก็ตักเข้าปากเรื่อยๆ จนอาหารหมดโดยไม่รู้ตัว และรางวัลที่ได้จากการกระทำนั้นก็คือรอยยิ้มกว้างกับดวงตาคู่สวยที่เป็นประกายระยิบระยับของ ‘คนทำอาหารมื้อนี้’

“น้ำครับ”

จักรพรรดิรับน้ำมาดื่มตามคำคะยั้นคะยอของคนที่ดูตื่นเต้นโดยไร้สาเหตุ เมื่อเรียบร้อยแล้วเขาจึงยื่นมือไปหยิบดอกกุหลาบบนตักภีมภัทรมาถือไว้ด้วยตัวเอง ดวงตาคมมองพิจารณาดอกไม้ในมือก่อนจะหมุนเล่นไปมา ยิ่งเมื่อเห็นภาพซ้อนทับด้านหลังเป็นใบหน้าอมยิ้มของคนซึ่งกำลังจัดการกับจานและแก้วน้ำที่เขาเพิ่งทานหมด ความน่ามองของมันก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้นไปอีก

“ทำไมถึงเป็นกุหลาบขาว”

ภีมภัทรชะงักเมื่อได้ยินคำถาม เขาหันหน้าไปมองคนบนเตียงก่อนริมฝีปากจะคลี่ยิ้มบาง คงต้องยอมรับว่าเขาชอบมากจริงๆ ยามได้ยินจักรพรรดิถามคำถามต่างๆ เพราะนอกจากจะได้พูดคุยกันบ่อยๆ แล้ว น้ำเสียงและสีหน้าเอ็นดูที่พี่จักรใช้ยังทำให้เขายิ้มได้ทุกครั้งด้วย

“ดอกไม้ทุกดอกมีความหมายในตัวเอง” ร่างโปร่งลุกขึ้นเดินกลับไปนั่งที่ปลายเตียง พร้อมกับช่วยยกขาผอมขยับไปมาอย่างคล่องแคล่ว “เมื่อก่อนภีมเคยบอกลูกค้าที่ร้านว่าดอกไม้ทุกชนิดมีความหมาย มันคือความหมายที่ใช้ในโอกาสต่างๆ ตามความเหมาะสมและมีคนบัญญัติมันขึ้นมา”

“เมื่อก่อน?”

“ใช่...เมื่อก่อน เพราะตอนนี้ภีมคิดว่าดอกไม้ทุกดอกมีความหมาย ไม่ใช่ทุกชนิด...แต่เป็นทุกดอก” มือเรียวบีบนวดบริเวณฝ่าเท้าของคนป่วยโดยใช้แรงเกือบทั้งหมด ภีมภัทรนิ่วหน้าน้อยๆ เมื่อรู้สึกว่าเริ่มออกแรงมากไปหน่อยจนเมื่อยมือ แต่เมื่อเงยหน้ามองเห็นสายตาที่จ้องกลับมา ริมฝีปากก็กลับไปอมยิ้มแล้วออกแรงนวดต่ออย่างรวดเร็ว “ความหมายของมันขึ้นอยู่กับว่าคนที่รับและคนที่ให้เป็นใครมากกว่า...”

“นั่นสินะ”

“ถ้าภีมเอาดอกกุหลาบสีน้ำเงินมาให้ก็คงไม่ใช่เพราะความหมายของมันที่มีคนบัญญัติไว้มากมาย แต่ภีมจะให้เพราะมันมีความหมายสำหรับภีมมากกว่า... น่าเสียดายที่ภีมเอามาให้พี่จักรไม่ได้เพราะมันมีน้อย ภีมเลยเอากุหลาบสีขาวมาให้เพราะอยากให้พี่จักรมองแล้วรู้สึกสบายใจเหมือนที่ภีมเป็น” ท้ายประโยคคนพูดแอบหัวเราะกับตัวเองเบาๆ เพราะคิดว่าถ้าเขามีกุหลาบสีน้ำเงินหลายต้นคงเอามาให้พี่จักรของตัวเองทุกวันจนหมดสวนแน่ๆ

“หึ...ขอบใจนะ” จักรพรรดิยกยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับเอาดอกกุหลาบสีขาวสะอาดในมือแตะเบาๆ ที่บริเวณริมฝีปากเพื่อสื่อให้รู้ว่าเขารับมันไว้แล้ว

และไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าท่าทางแบบนั้นกำลังจะทำให้มีคนตาย...

“โอ้ย...พี่จักร” ภีมภัทรกลอกตา มือเผลอปล่อยขาของคนป่วยทิ้งลงเตียงแบบที่ไม่ควรทำ “ถ้าจะทำแบบนั้นทีหลังช่วยบอกภีมก่อนนะ”

“หืม…”

“ภีมจะได้เตรียมถังออกซิเจนทัน”

“…”

การอาบน้ำในห้องน้ำที่ไม่มีอ่างทำให้จักรพรรดิต้องใช้เวลานานพอสมควรในการจัดการตัวเอง เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่ภีมภัทรยกเข้ามาให้ ก่อนจะค่อยๆ ถูสบู่และล้างน้ำโดยไม่ได้ล็อคประตู เหตุผลเพราะฝ่ายนั้นกลัวว่าถ้าเขาเป็นอะไรไปแล้วเจ้าตัวจะเข้ามาช่วยไม่ได้ จักรพรรดิได้แต่ส่ายหน้าให้กับความคิดนั้น ยิ่งยามเห็นเงาร่างของคนที่เดินไปเดินมาหน้าประตูห้องน้ำด้วยความกังวลก็ยิ่งอยากจะหัวเราะออกมาสักที

บอกให้เข้ามาด้วยกันเลยก็เอาแต่ทำหน้าแดงเป็นลูกตำลึง แถมยังดูเหมือนพร้อมจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ เห็นแล้วเขาก็สงสารจนต้องบอกว่าจะอาบเอง แล้วดูทำเข้าสิ...

“จะเข้ามาช่วยไหม” คนด้านในลองตะโกนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบทั้งที่พยายามกลั้นขำ

“ไม่...ไม่ดีกว่า พี่จักรเสร็จแล้วค่อยเรียกภีมนะ” เสียงสั่นๆ กับปฏิกิริยาตอบโต้ที่ไวจนน่าสงสัยทำให้จักรพรรดิอดยิ้มไม่ได้

“ตอบไวไปไหม”

แล้วดูนั่นสิ...พูดเสร็จแล้วยังจะสะดุ้งแรงจนเงาตัวเองกระตุกชนิดที่เขาสังเกตเห็นได้ชัดเจนอีกต่างหาก

จากสนุกเริ่มกลายเป็นสงสารหน่อยๆ เพราะดูเหมือนเจ้าของใบหน้าขาวๆ นั่นจะไม่ชินกับอะไรก็ตามที่เขาทำเสียที แล้วสีแดงๆ บนใบหน้านั่นก็ช่างมองออกได้ง่ายดายเสียเหลือเกิน กว่าจะจัดการตัวเองเรียบร้อยเตรียมออกจากบ้านเขาไม่แน่ใจนักว่าบนใบหน้านั้นเกิดริ้วแดงเป็นปืดขึ้นมากี่ครั้งแล้ว

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปทำอะไรให้เขิน...แต่ถ้าเขินแล้วจะน่ามองขนาดนั้นก็คงต้องแกล้งแบบไม่ได้ตั้งใจต่อไปล่ะนะ

“ไปกันเถอะ” จักรพรรดิเอ่ยเตือนคนที่ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองเขาไม่เลิก ไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายทำหน้าภูมิใจอะไร เพราะนอกจากเลือกเสื้อผ้าให้แล้วเขาก็ไม่ได้...

“พี่จักรดูดีมากเลย”

ได้ยินคำชมแบบไม่ปิดบังนั่นแล้วความมั่นใจก็เพิ่มมากขึ้นหลายส่วน

“นี่ภูมิใจเพราะได้เลือกเสื้อผ้าให้พี่งั้นเหรอ” คำถามตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมทำเอาคนที่กำลังยิ้มเบิกตากว้าง รอยยิ้มที่มีจางหายไปพร้อมกับที่มีริ้วสีแดงพาดผ่านที่ข้างแก้มขาวนั่นอีกครั้ง

“ปะ…”

“เปล่า?”

“ไปกันเถอะ!”

ไม่เถียงซะด้วย...

จักรพรรดิยิ้มบาง มองภาพคนเดินตัวปลิวไปเปิดประตูแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า ดูท่าคงยังไม่รู้ว่าไม่ได้เข็นรถพาเขาไปด้วยเหมือนทุกครั้ง...และเขาก็ไม่อยากเรียกให้มาช่วยตอนนี้เสียด้วยสิ

ล้อรถที่แทบไม่เคยจับหมุนให้เลื่อนไปด้านหน้าด้วยตัวเองมาก่อนให้ความรู้สึกประหลาดยามเขาแตะมัน สัมผัสสากๆ ของล้อที่ไม่ได้มีราคาสูงลิ่วทันสมัยเหมือนคันที่เขาเคยใช้ช่วงอยู่ต่างประเทศคงทำให้มือด้านได้ไม่ยาก แต่เมื่อลองคิดว่าถ้าต้องหมุนมันด้วยตัวเองทุกวัน เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งเขาก็คงจะชินไปเอง

ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้...

ฝ่ามือผอมที่ไม่เคยทำงานหนักมาก่อนจับลงไปบริเวณล้อทั้งสองข้างแล้วออกแรงเข็นให้เลื่อนไปด้านหน้าด้วยตัวเอง หากน้ำหนักที่กดทับรถและแรงที่ไม่ได้มีมากมายนักคงไม่สามารถทำให้คนที่ยังไม่ชินขยับมันไปได้โดยง่าย เขาเกร็งมือและออกแรงจนรู้สึกเจ็บ ชั่วขณะหนึ่งใจนึกอยากยอมแพ้ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นร่างสูงโปร่งของใครบางคนกำลังวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าตกใจ แรงกายและแรงใจที่ใกล้หมดกลับเพิ่มขึ้นมาเสียเฉยๆ

สุดท้ายก็ขยับไปด้านหน้าสำเร็จจนได้...

“พี่จักร!” สิ่งแรกที่ภีมภัทรทำไม่ใช่การถามคำถาม แต่เป็นการวิ่งเข้าไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าแล้วคว้ามือผอมมาจับไว้ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “แดงหมดเลย...”

“ไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไรได้ยังไง” คนพูดขมวดคิ้วฉับแล้วจ้องคนบอกไม่เป็นไรเขม็งด้วยความไม่พอใจ “รถแบบนี้ไม่ใช่สำหรับให้คนนั่งเข็นเองนะครับ ดูที่ล้อก็รู้แล้ว”

“เหรอ...” จักรพรรดิกะพริบตามองมือแดงๆ ของตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ “มีหลายแบบด้วยเหรอ คิดว่าแบ่งเป็นแบบไฟฟ้ากับไม่เป็นไฟฟ้าสองอย่างเสียอีก”

ช่วงที่เขาเกิดอุบัติเหตุใหม่ๆ และยังอยู่ต่างประเทศ ระหว่างที่ยังทำการรักษาเขาจำได้ว่าตัวเองนั่งวีลแชร์แบบไฟฟ้า แต่พอมาไทยด้วยความที่ครอบครัวฝั่งพ่อไม่ได้มีฐานะอะไรนัก อีกทั้งยังเหมือนจะมีวิกฤติการเงินอยู่พอดี รถวีลแชร์ที่เขาได้นั่งมาโดยตลอดจนถึงวันนี้จึงเป็นรถธรรมดาๆ ที่น้องสองคนซื้อให้แทน

ส่วนอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้น...เขาทิ้งมันไปทั้งหมดตั้งแต่วันที่กลับมาถึงที่นี่แล้ว

“ภีมจะซื้อวีลแชร์แบบไฟฟ้าให้พี่จักร” คนที่นั่งขมวดคิ้วลูบมือเขาอยู่ที่พื้นพูดขึ้นมาลอยๆ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เหมือนจะบอกกลายๆ ว่ายังไงก็จะซื้อแน่ๆ

“ไม่ต้องหรอก มัน...”

เปลือง...

คำพูดถูกกลืนหายเมื่อตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่าง...

นี่เขากลายเป็นคนที่เห็นคุณค่าของเงินตั้งแต่เมื่อไหร่กัน จักรพรรดิที่เคยอยู่บนบัลลังก์ ใช้จ่ายเงินโดยไม่สนใจมูลค่า มาถึงตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่บอกคนอื่นว่ามันสิ้นเปลือง

แม้ตอนที่อยู่กับน้องสองคนเขาจะไม่ได้ลำบาก แต่ก็รับรู้อยู่ตลอดว่าตนเองไม่ใช่คนมีฐานะเหมือนตอนอยู่ต่างประเทศอีกแล้ว ถึงอย่างนั้นเมื่อได้มองชัดๆ ไม่มีน้องอยู่ใกล้ๆ จึงได้รู้ว่าตัวเขาตอนนี้เรียกได้ว่าแทบจะเป็นคนหมดตัวเสียด้วยซ้ำ งานประจำก็ไม่มี ทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง แล้วคนข้างหน้าล่ะ...

ทายาทเจ้าของสวนดอกไม้ที่มีชื่ิอเสียงระดับประเทศกับจักรพรรดิตกบัลลังก์

ต่างกันราวฟ้ากับเหว...

“แต่คิดไปคิดมาแล้วไม่เอาดีกว่า”

จักรพรรดิหันไปสบตาคนพูดเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในน้ำเสียงนั้น ดวงตาคู่สวยที่จับจ้องมาที่เขาแต่เพียงผู้เดียวราวกับจะช่วยชำระล้างความคิดแย่ๆ ที่มีไปจนหมด

“แบบนี้ก็ดีแล้ว ภีมจะได้ช่วยดูแลพี่จักรตลอดเวลา แค่เปลี่ยนเป็นแบบเข็นเองได้ให้พี่จักรได้ออกกำลังบ้างก็พอเนอะ”

แววตาที่ไม่มีอะไรแอบแฝงแสดงความจริงใจออกมาจนหมด นอกจากนั้นยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกละเอียดอ่อนบางอย่างที่ทำให้รู้สึกอุ่นวาบไปทั้งใจ จักรพรรดิเผลอบีบมือเรียวของอีกคนโดยไม่รู้ตัว และนั่นทำให้รอยยิ้มสวยปรากฏขึ้นบนเรียวปากบางนั้นอีกครั้ง

“ตามใจเถอะ” ถ้อยคำจริงจังที่ไม่ได้แฝงความประชดประชันทำให้ภีมภัทรยิ้มกว้างขึ้นอีก เขารู้ดีว่าจักรพรรดิไม่ได้พูดส่งๆ แต่เพราะไม่รู้จะพูดแบบไหนให้เหมาะสม ถ้อยคำที่ออกมาจึงห้วนสั้นเป็นปกติ

อาจต้องใช้เวลาเพื่อปรับตัว...แต่เขาจะอยู่ข้างๆ ไม่หายไปไหนแน่นอน



(ต่อด้านล่าง)

.
.
.
.
.

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[5]==[P.3]== [05/04/61]
«ตอบ #73 เมื่อ11-04-2018 19:53:00 »




ภีมภัทรเดินทางไปถึงโรงพยาบาลในช่วงบ่ายตามที่เขาได้นัดเวลาเอาไว้แล้ว ตลอดทางที่เขาขับรถพาจักรพรรดิเข้ามาในเมือง อีกฝ่ายเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างคล้ายกำลังนึกถึงอะไรบางอย่างอยู่ ใจหนึ่งเขาก็อยากชวนคุยเพราะกลัวว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นเจ้าตัวอาจกำลังนึกถึงเรื่องไม่ดีอยู่ แต่อีกใจก็กลัวว่าจะทำให้รำคาญ สุดท้ายบรรยากาศจึงเงียบกริบจนมาถึงจุดหมาย

“ค่อยๆ นะครับ” ภีมภัทรรีบเอาวีลแชร์ออกมาวางข้างรถ ก่อนจะพยายามพยุงจักรพรรดิออกมาด้วยตัวเอง ขนาดตัวที่ใหญ่กว่าทำให้ทุกอย่างดูลำบากไม่น้อย แต่เขาก็ไม่คิดเรียกคนมาช่วยเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคงไม่ชอบแน่ ขนาดตอนจะพาขึ้นรถแล้วให้คนงานมาช่วย เจ้าของดวงตาคมกริบยังขมวดคิ้วจนแทบติดกัน ทำเอาเขาหาข้ออ้างให้ลุงสินกลับไปทำงานแทบไม่ทัน

“เมื่อยหรือเปล่า”

“อะไรนะ”

“ขับรถตั้งนาน เมื่อยไหม” จักรพรรดิถามซ้ำ มองคนอมยิ้มแก้มปริเหมือนดีใจที่เขาห่วงแล้วก็อดยิ้มบางตามไม่ได้

“ไม่เลย ไม่เมื่อยแม้แต่นิดเดียว”

“ดีแล้ว”

คนอารมณ์ดีสองคนพากันเข็นรถเข้าไปในตึกของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ภีมภัทรอธิบายว่าตึกนี้เป็นตึกใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อต้นปี มีชั้นหนึ่งใช้สำหรับให้บริการด้านกายภาพบำบัดโดยเฉพาะ เนื่องจากโรงพยาบาลแห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านนี้เป็นอย่างมาก พอจักรพรรดิถามว่าทำไมรู้ดี อีกฝ่ายก็เพียงพูดเสียงอ่อยๆ ว่าแอบศึกษาล่วงหน้ามานานแล้ว ทั้งยังมีคนรู้จักอยู่ที่นี่ด้วย

“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวหน้าตาสะสวยที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ยิ้มต้อนรับ และดูเหมือนนั่นจะเป็นการดึงสติของชายหนุ่มสองคนให้กลับออกมาจากโลกที่มีเพียงสองเรา จักรพรรดิกลับไปตีหน้าตายเหมือนเคย ในขณะที่ภีมภัทรยิ้มการค้าหากนัยน์ตานิ่งสนิท

“สวัสดีครับ” ภีมภัทรขยับไปยืนด้านข้างรถวีลแชร์ มือเรียววางลงบนเคาน์เตอร์ราวกับจะดึงความสนใจของพยาบาลคนสวยให้กลับมาจดจ้องที่ตนเองแทนที่จะเป็นคนป่วยข้างกาย

นี่ขนาดป่วย แถมแต่งตัวก็ธรรมดา ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหายดีกลับไปใส่เสื้อผ้าเนี้ยบๆ จะโดนจ้องขนาดไหน แค่คิดก็คันยุบยิบที่ใจจนอยากจะหุบยิ้มแล้ว...

“ผมนัดนักกายภาพบำบัด...”

“ภีม!”

เสียงเรียกด้วยความตื่นเต้นทำให้ทุกสายตาในบริเวณนั้นหันไปมองต้นเสียงพร้อมกัน ที่ตรงนั้นมีชายหนุ่มหน้าตี๋กำลังยืนยิ้มจนตาปิด ข้างกายคือหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งที่กำลังส่ายหน้าหน่ายให้คนข้างกาย

“วิทย์ มีน” ภีมภัทรยิ้มตอบบางๆ แต่ก็ไม่คิดจะเดินเข้าไปหาเพื่อน เขารอจนทั้งคู่เดินเข้ามากอดตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ก่อนจะวางมือลงบนรถวีลแชร์เพื่อให้คนที่กำลังนั่งเงียบรู้ว่าเขาไม่ได้ลืมอีกฝ่าย

ภีมภัทรแคร์ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพี่จักรของเขา...

“กว่าจะเจอตัวนะคุณชาย ไม่ได้เจอกันมากี่ปีแล้ววะเนี่ย กูตกใจแทบแย่ตอนมึงโทรมาถามว่าทำงานที่นี่ใช่ไหม” วิทยาบ่นกระปอดกระแปดไม่หยุดจนมีนาที่อยู่ข้างๆ ต้องหยิกแขนคนรักอย่างแรงเป็นการเตือน

“พูดไม่หยุดอย่างนี้จะให้ภีมตอบทันได้ยังไงวิทย์”

“โธ่...มีน ก็วิทย์ดีใจที่ได้เจอมันอีกนี่นา” วิทยาทำหน้าตางอแงอ้อนคนรัก กว่าจะยอมหยุดก็ตอนที่สัมผัสได้ถึงสายตาของใครคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก

ผู้ชายตัวสูงทว่าดูผอมกว่าที่ควรกำลังมองมาที่เขาด้วยดวงตาคมกริบไร้อารมณ์ ใบหน้านั้นถึงจะซูบไปเสียหน่อยแต่ก็ยังเป็นใบหน้าแบบที่ใครๆ ต่างก็ต้องอิจฉา และแม้ว่าคนคนนั้นจะแต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าธรรมดา ทั้งยังนั่งอยู่บนรถวีลแชร์ มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนป่วย ทว่าก็ยังไม่อาจกลบออร่าของความสูงส่งที่แผ่ออกมาได้เลย

“มีน วิทย์ นี่พี่จักร...” ภีมภัทรละสถานะไว้เมื่อไม่รู้ว่าควรแนะนำว่าอย่างไร แต่เพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนของเขาตั้งแต่สมัยมัธยมย่อมรู้ดีว่าพี่จักรที่ว่าหมายถึงใคร

อย่างน้อยก็รู้ว่าเป็นคนที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา...

วิทยาและมีนาเป็นเพื่อนสนิทของภีมภัทรตั้งแต่สมัยมัธยม เป็นเพื่อนที่สนิทมากพอที่จะรู้จักพี่จักรของเขา และถึงแม้ว่าภีมภัทรจะไม่ได้ตั้งใจเล่าให้ฟัง แต่การที่ครั้งหนึ่งชายหนุ่มยอมเมาจนเล่าเรื่องของตัวเองออกมาก็เป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขาไว้ใจเพื่อนสองคนนี้มากพอสมควร

“พี่จักรครับ นี่มีนากับวิทยาเพื่อนภีมเอง”

ไอ้สองมาตรฐาน!

วิทยาถลึงตาใส่เพื่อน เห็นแล้วหมั่นไส้จนอยากจะถามเหลือเกินว่าไอ้สายตาอ่อนโยนเหมือนโลกใบนี้มีเพียงเราสองคนนั่นคืออะไร

“สวัสดีค่ะคุณจักรพรรดิ” โชคดีที่หญิงสาวเพียงคนเดียวในที่นั้นไม่ได้รับผลกระทบจากท่าทีที่แตกต่างจากปกติของเพื่อนชายมากนัก

มีนายกมือไหว้ด้วยความเคารพและใช้คำเรียกขานแบบเป็นทางการ แม้ตอนนี้คนตรงหน้าจะเป็นจักรพรรดิตกบัลลังก์ แต่ความน่าเกรงขามในฐานะของนักธุรกิจระดับสูงก็ยังไม่จางหาย เธอตกใจเพียงแค่ตอนแรกเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มในใจภีมภัทรคือคนเดียวกับชายที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังในต่างประเทศสมัยที่เธอไปเรียนที่นั่น แต่เมื่อเห็นใบหน้าอ่อนโยนของเพื่อนรัก ความรู้สึกตกใจหรือคลางแคลงใจก็จางหายไปจนหมด

“อืม” จักรพรรดิเพียงส่งเสียงตอบรับเบาๆ ไม่ได้ส่งยิ้มเป็นมิตรอะไรให้ ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าเป็นกังวลของภีมภัทรเขาก็เปลี่ยนใจกะทันหัน... “สวัสดี”

แค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่ากำลังกังวลว่าเขาจะไม่ชอบเพื่อนตัวเอง...

“อะ...สวัสดีด้วยคนครับ” วิทยาที่เพิ่งรู้สึกตัวรีบหันมายกมือไหว้ตามแฟนสาวซึ่งตอนนี้เบิกตาโตด้วยความตกใจไปแล้ว

“วิทย์ๆ” มีนาสะกิดคนข้างกายโดยไม่ลืมผงกหัวเป็นเชิงขออนุญาติแล้วรีบลากวิทยาให้หันหน้าไปอีกทาง “คุณจักรพรรดิเขาสวัสดีเราด้วยแหละ”

“แล้วมันแปลกตรงไหน”

“นั่นคุณจักรพรรดิเชียวนะ”

“หา…”

เสียงกระซิบกระซาบที่ไม่ได้เบาเท่าไหร่นักทำให้ภีมภัทรต้องส่ายหน้าหน่าย เขาลอบมองผู้ที่อยู่ในบทสนทนานั้นเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นจักรพรรดิไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาก็ลอบถอนหายใจโล่งอกแล้วปล่อยให้เพื่อนนินทาระยะเผาขนต่อไป

“จริงดิ!” วิทยาตะโกนเสียงดังก่อนจะรีบปิดปากตัวเอง ชายหนุ่มหันหน้ามามองจักรพรรดิอีกครั้งเมื่อเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น แต่ก็ยังไม่วายหันไปถามแฟนสาวเพื่อย้ำความมั่นใจอีกที “เขาคือคนที่มีนเคยเล่าให้ฟังตอนไปนอกเหรอ”

“ใช่...แต่ดูเปลี่ยนไปเยอะเลย”

“โห…”

“นักกายภาพบำบัดวิทยา พยาบาลมีนา วันนี้ไม่มีงานเหรอคะ” เสียงพูดแทรกที่ดังจากหน้าเคาน์เตอร์ทำให้สองสามีภรรยาหยุดชะงัก วิทยาหันมาหัวเราะเสียงแห้งเมื่อเห็นว่าคนที่พูดคือใคร

“คุณหมอดวงใจ สวัสดีครับ”

หญิงสาววัยกลางคนท่าทางเข้มงวดในชุดแพทย์เต็มตัวหรี่ตามองวิทยากับมีนาด้วยสายตาเหนื่อยใจ และเธอคนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน...

“มีนเจอเพื่อนเก่าก็เลยเพลินไปหน่อย ขอโทษด้วยนะคะคุณแม่” มีนาเข้าไปเกาะแขนออดอ้อนมารดาแล้วรีบเปลี่ยนท่าทีให้ดูจริงจังมากขึ้น “คุณแม่ยังไม่ถึงเวลาเข้าเวรใช่ไหมคะ มีนมีเรื่องจะคุยด้วยพอดีเลย”

“เรื่องคนไข้ที่ตาวิทย์เกริ่นให้แม่ฟังเมื่อวานใช่ไหม” ดวงใจพยักหน้าเข้าใจ “ไปคุยที่ห้องตรวจเลยแล้วกัน”

แพทย์หญิงดวงใจเดินนำกลุ่มคนไปที่ห้องตรวจของตน พื้นที่ในห้องขนาดย่อมดูเล็กลงไปมากเมื่อมีคนอยู่ในห้องถึงห้าคน ภีมภัทรนั่งลงบนเก้าอี้เคียงข้างจักรพรรดิที่อยู่บนรถวีลแชร์ ฝ่ามือเรียวไม่ยอมละออกจากเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว แม้จะไม่ได้จับมือกันไว้ แต่การวางมือลงบนที่พักแขนของจักรพรรดิตลอดเวลาก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าสถานะของทั้งคู่คงไม่ใช่เพียงคนรู้จัก

“คุณแม่ยังจำภีมได้ไหมคะ คนที่เมื่อก่อนคุณแม่เคยบอกว่าดูดีกว่าวิทย์ตั้งเยอะ” มีนารีบพูดเข้าเรื่องเพราะรู้ดีว่ามารดาไม่ชอบอะไรอ้อมค้อม

“จำได้สิ”

“พอดีว่าภีมอยากจะให้พวกเราช่วยดูแลคุณจักรพรรดิให้น่ะค่ะ เห็นว่าไม่ได้รับการรักษาแบบต่อเนื่องมานานแล้ว มีนเลยอยากให้คุณแม่ช่วยด้วยอีกแรง”

“เรื่องนั้นแม่ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ยังไงเป็นหมอก็ต้องรักษาคนไข้” แพทย์หญิงตอบกลับโดยไม่หยุดคิด “มีนไปเอาเอกสารประวัติมาให้คนไข้กรอก ส่วนตาวิทย์ไปทำงานได้แล้ว แม่ตรวจเสร็จแล้วจะให้มีนพาไปส่งเอง”

“ค่ะคุณแม่”

“ไว้เจอกันไอ้ภีม”

เมื่อคนทั้งคู่ออกไปแล้วบรรยากาศภายในห้องจึงกลับมาดูเงียบเชียบอีกครั้ง ดวงใจมองสำรวจชายหนุ่มสองคนด้วยสายตาของผู้ใหญ่ มองเพียงแวบเดียวก็รับรู้ได้ถึงสายสัมพันธ์อันไม่ธรรมดาของคนทั้งคู่ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องยุ่ง ดังนั้นแพทย์หญิงจึงทำเพียงส่งยิ้มบางเพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลายกว่าเดิมเท่านั้น

“หมอชื่อดวงใจนะคะ เป็นแม่ของยัยมีน เราคงได้เจอกันอีกนาน เพราะงั้นถ้ามีอะไรก็บอกหมอได้ทุกเรื่องนะ”

“ขอบคุณมากครับคุณหมอ” ภีมภัทรตอบแทนคนที่ยังนั่งเงียบ

“พวกคุณอาจสงสัยว่าทำไมต้องเจอหมอ ทั้งที่ไปหานักกายภาพบำบัดเลยน่าจะถูกทางกว่า เพราะงั้นถึงได้ติดต่อวิทยาไปใช่ไหมคะ”

“ใช่ครับ” ภีมภัทรพยักหน้าเพราะเขาคิดแบบนั้นจริงๆ

“จริงๆ สิ่งที่นักกายภาพบำบัดดูแลคือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้กล้ามเนื้อ การฟื้นฟูเรี่ยวแรงต่างๆ ซึ่งเดี๋ยววิทยาคงจะอธิบายต่อไป แต่นอกเหนือจากเรื่องของการพยายามทำให้คุณจักรพรรดิกลับมาเดินได้แล้ว สุขภาพของเขาก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน ยิ่งเป็นคนที่ไม่ได้รับการรักษามาอย่างต่อเนื่องก็ยิ่งน่าเป็นห่วง พูดง่ายๆ ก็คือหมอจะเป็นคนดูแลเรื่องสุขภาพโดยรวมและการจัดยาให้คนไข้เอง ส่วนเรื่องการฟื้นฟูขาของคนไข้ วิทยาจะเป็นคนจัดการค่ะ”

“หมายความว่าผมต้องพาพี่จักรมาตรวจกับคุณหมอทุกครั้งใช่ไหมครับ”

“คงไม่ได้บ่อยเท่ามาทำกายภาพค่ะ แต่หมอจะนัดเป็นช่วงๆ เพื่อเช็คร่างกายและความเปลี่ยนแปลง เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง หมอจะนัดเวลาล่วงหน้าโดยอาจจะนัดเดือนละครั้งเพื่อตรวจร่างกายโดยรวมและจัดยาให้คนไข้ค่ะ” ดวงใจอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทีเป็นห่วงใยของคนถาม ทั้งที่คนไข้ที่นั่งนิ่งแลดูไม่สนใจสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิด

ก๊อก ก๊อก

“เชิญค่ะ” แพทย์หญิงกล่าวอนุญาตเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู และวินาทีถัดมามีนาก็เดินตรงเข้ามาพร้อมเอกสารในมือ

“คุณจักรพรรดิช่วยกรอกประวัติหน่อยนะคะ หรือถ้าภีมรู้ดีจะกรอกให้ก็ได้นะ คิกๆ”

ภีมภัทรหลบสายตาล้อเลียนของเพื่อนโดยอัตโนมัติ ก่อนเขาจะเบิกตาโตเมื่อกระดาษและปากกาถูกยื่นมาให้โดยคนป่วยจริงๆ พอหันไปมองก็เห็นเพียงสายตาขบขันจากเจ้าของใบหน้าคมคายที่ยังไม่ยอมพูดอะไรสักคำ

“พี่จักรกรอกเองสิ” คนที่เริ่มหน้าแดงกระซิบกระซาบ

“หึ” จักรพรรดิหัวเราะในลำคอเหมือนจะแซวแต่ก็ยอมดึงกระดาษกลับมาเขียนด้วยตัวเอง

“เอ่อ...แล้วคุณหมอจะตรวจอะไรบ้างเหรอครับ เป็นไปได้ไหมที่จะให้เขาตรวจทั้งหมดเลย”

“เปลี่ยนเรื่องนี่นา...”

“มีนา กลับไปทำงานได้แล้ว เดี๋ยวหมอเอาเอกสารออกไปเอง”

“โธ่...คุณแม่” มีนาทำหน้าตาบึ้งตึงเมื่อโดนมารดาขัดจังหวะ เธอได้แต่มองค้อนแล้วหันกายเดินจากไปตามคำสั่ง

แพทย์หญิงยิ้มพลางผงกหัวตอบรับเมื่อเห็นสายตาเหมือนจะขอบคุณของภีมภัทร ดวงตาเข้มงวดลอบสังเกตลักษณะภายนอกของคนไข้เงียบๆ และเมื่อเห็นฝ่ามือผอมแห้งกับใบหน้าซูบตอบชัดๆ สีหน้าของเธอก็เริ่มเคร่งเครียดตามไปด้วย

“เรื่องการตรวจร่างกายสามารถตรวจทั้งหมดได้ค่ะ แต่ตอนนี้ขอหมอตรวจเบื้องต้นก่อนนะ”

ภีมภัทรคอยฟังคำถามแบบถามคำตอบคำจนเวลาผ่านไปพักใหญ่ เขามองดูก็รู้ว่าพี่จักรไม่ชอบให้ใครแตะตัวเท่าไหร่นัก เห็นพอคุณหมอทำท่าจะจับก็ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจแบบเห็นได้ชัด แต่คุณหมอเองก็ดูจะมองออก ถึงจะเลี่ยงไม่ได้แต่ก็ไม่ได้จับเต็มไม้เต็มมือหรือยาวนานเท่าไหร่

“โดยรวมแล้วคงต้องบอกว่าร่างกายอ่อนแอพอควร คนไข้ต้องหมั่นทานอาหารให้ครบห้าหมู่และทานข้าวให้เยอะกว่าเดิม เรื่องการออกกำลังกายอาจทำไม่ได้มาก แต่เดี๋ยวได้ทำกายภาพควบคู่ไปด้วยอะไรๆ คงดีขึ้น และที่สำคัญที่สุดต้องพยายามอย่าคิดมากหรือเครียดจนเกินไป มันส่งผลต่อสุขภาพจิตและกระทบมาถึงสุขภาพกายได้ เดี๋ยวหมอจะจัดยาให้แล้วจะพาไปตรวจร่างกาย เสร็จแล้วค่อยพาไปหานักกายภาพบำบัดให้รับช่วงต่ออีกทีนะคะ” แพทย์หญิงก้มหน้าลงขีดเขียนกระดาษเพื่อสั่งยา และเป็นเวลาเดียวกับที่มีนาเดินเข้ามาในห้องพอดี “หมอจะเขียนเวลานัดไว้ให้เป็นต้นเดือนหน้า เอาไว้เจอกันนะ”

“ขอบคุณมากครับ” ภีมภัทรยกมือไหว้ขอบคุณจากใจก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเข็นรถพาจักรพรรดิเดินตามมีนาออกไปด้านนอก

“โอเคนะภีม แม่ไม่ดุใช่ไหม”

“ไม่เลย ขอบใจมากนะมีน” ภีมภัทรยกยิ้มเพื่อสร้างความมั่นใจให้เพื่อนสาว ไม่รู้ว่าเธอจะกลัวอะไรเหมือนกัน แต่สงสัยว่าหมอดวงใจคงจะดุน่าดูในเวลาปกติ

“ท่านเอ็นดูภีมมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่นา นี่วันก่อนมีคนไข้มาเหวี่ยงใส่ แม่ตอกกลับจนหน้าหันเลยนะ”

“เหรอ...”

จักรพรรดิฟังสองเพื่อนซี้คุยกันโดยไม่เอ่ยอะไรแทรกแม้แต่คำเดียว ดวงตาคมมองไปทั่วบริเวณเพื่อสังเกตสิ่งต่างๆ ตามความเคยชิน ก่อนคิ้วเข้มจะขมวดน้อยๆ เมื่อหางตามองเห็นชายคนหนึ่งทำลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงประตูโรงพยาบาล

“พี่จักร...”

แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ใส่ชุดสูทเหมือนปกติ แต่จักรพรรดิไม่มีทางจำคนผิด

“พี่จักรครับ”

ดวงตาคมทอประกายแข็งกร้าวน่ากลัว มือที่วางอยู่บนตักตนเองกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว และยิ่งเห็นว่าฝ่ายนั้นเดินหลบออกไปด้านนอกเหมือนจะรู้ว่าเขาเห็น ดวงตาคมกริบก็ยิ่งคุกรุ่นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

“พี่จักร!”

เสียงเรียกด้วยความตกใจพร้อมสัมผัสอุ่นๆ ของฝ่ามือที่ทาบลงมาบนแก้มทั้งสองข้างทำให้จักรพรรดิรู้สึกตัว เขาคลายมือที่กำออก ก่อนจะมองใบหน้าเป็นกังวลของภีมภัทรด้วยสายตาอ่อนลง

“โทษที” ดวงตาคมหลับลงเพื่อปิดกั้นไม่ให้เจ้าของฝ่ามืออ่อนโยนมองเห็นความน่ากลัวภายในใจของเขา

“พี่จักรเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ไม่...ไม่เป็นไร”

“แต่ภีมเห็น...”

เสียงสั่นเครือหยุดลงเมื่อฝ่ามือเย็นเฉียบยกขึ้นดึงมือเขาไปกุมไว้ ภีมภัทรมองคนที่เพิ่งลืมตาขึ้นมาด้วยความไม่เข้าใจ เขาใจหายแทบตายตอนเห็นสีหน้าน่ากลัวของจักรพรรดิ ทว่าเมื่อมองตามไปก็ไม่เห็นอะไรสักอย่าง

เขากลัว...กลัวเหลือเกินว่าพี่จักรจะเปลี่ยนใจไม่ยอมรับการรักษาแล้ว

“ไม่เป็นอะไรจริงๆ ไปต่อเถอะ” ประโยคตัดบทและแววตานิ่งๆ ที่ส่งไปให้มีนาทำให้หญิงสาวรู้สึกตัว เธอสะกิดไหล่เพื่อนตัวเองก่อนจะทำตามคำสั่งที่แฝงมาทางดวงตาคู่นั้นโดยไม่รู้ตัว

“ภีม...ไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันไปหาวิทย์นะ”

จักรพรรดิจับจ้องไปยังจุดจุดเดิมที่มองเห็นคนคนนั้นอีกครั้ง เขามองนิ่งอยู่เช่นนั้นจนมั่นใจว่าจะไม่มีเงาร่างนั้นโผล่ขึ้นมาอีกจึงยอมละสายตากลับมา ทว่าภายใต้ใบหน้าเย็นเยียบไร้ความรู้สึก...ภายในใจกลับลุกไหม้ไปด้วยเพลิงอารมณ์ที่พร้อมเผาพลาญทุกสิ่งที่เข้ามาใกล้

ราชาก็คือราชา...

แม้ไม่มีบัลลังก์ประดับอำนาจ...แต่ถ้ากล้ามาบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของเขาก็จะได้เห็นดีกัน


---------------------



ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[6]==[P.3]== [11/04/61]
«ตอบ #74 เมื่อ11-04-2018 20:08:42 »

ใครฟ่ะที่โผล่มาทำให้ 'รมณ์เฮียบ่จอย  :hao4:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[6]==[P.3]== [11/04/61]
«ตอบ #75 เมื่อ11-04-2018 20:35:56 »

ใครส่งสายสืบมาอ่ะ น่าจะไม่ตายดี

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[6]==[P.3]== [11/04/61]
«ตอบ #76 เมื่อ11-04-2018 22:34:17 »

ใครกันที่โผล่มา

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[6]==[P.3]== [11/04/61]
«ตอบ #77 เมื่อ18-04-2018 18:06:58 »

-7-


ภีมภัทรนั่งมองพื้นด้วยสายตาเหม่อลอยขณะที่กำลังรอจักรพรรดิตรวจร่างกาย เขาไม่แน่ใจนักว่าพี่จักรของตัวเองเป็นอะไร แต่หลังจากที่อีกฝ่ายมีท่าทีแปลกไป จักรพรรดิก็เอาแต่เงียบไม่ยอมพูดกับใครอีก แม้แต่ตอนเข้าไปตรวจร่างกาย จากที่ปกติจะแค่มองแล้วขมวดคิ้ว กลับกลายเป็นพูดออกมาเต็มปากเต็มคำจนหมอกับพยาบาลเหวอกันทั้งแถบ

‘ถ้าไม่จำเป็นกรุณาอย่าแตะตัว’

เอาแค่สายตาเขาก็กลัวกันหมดแล้ว นี่มาเป็นประโยคใครจะกล้ายุ่งด้วย...

“ภีม ลาเต้จ้ะ”

“ขอบใจนะมีน” ภีมภัทรยิ้มขอบคุณก่อนจะรับแก้วลาเต้มาถือไว้

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า”

“นี่ภีม...เราเป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้ว ทำไมมีนจะไม่รู้ว่าเพื่อนเป็นอะไร” มีนาถอนหายใจยาวเหยียดเมื่อเห็นเพื่อนยังคงนิ่งไม่ยอมรับ เธอสังเกตเห็นตั้งแต่เริ่มมาตรวจแล้วว่าภีมภัทรดูแปลกไป ซึ่งต้นเหตุก็คงหนีไม่พ้นคนที่กำลังเข้าเครื่องตรวจร่างกายอยู่

“…แค่ไม่เข้าใจว่าพี่จักรเป็นอะไรน่ะ” สุดท้ายคนปากแข็งก็พูดออกมาเบาๆ เพราะไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง “เรากลัวว่าเขาจะกลับไปเป็นแบบเดิมอีก”

เพราะเห็นว่าพี่จักรอ่อนโยนด้วยแล้วถึงได้ชะล่าใจ...

“ภีม…”

“เรากลัวว่าเราจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาไม่สบายใจ”

มีนามองใบหน้าหมองๆ ของเพื่อนด้วยความสงสาร เธอไม่เคยเห็นภีมภัทรเป็นแบบนี้มาก่อน ภีมภัทรที่เธอรู้จักคือคนเข้มแข็งที่มักจะปั้นยิ้มเดินเข้าหาปัญหาอย่างไม่เกรงกลัว ทว่ายามนี้เขาดูเหมือนคนที่กำลังได้รับบาดเจ็บและพร้อมจะล้มลงตลอดเวลาเพียงเพราะใครคนหนึ่งมีท่าทีแปลกไป

“ตอนที่มีนกับวิทย์แต่งงานกัน ภีมรู้ไหมว่าเราทะเลาะกันตั้งแต่วันแรกเลยนะ”

“วันแรก...”

“ใช่จ้ะ” มีนาอมยิ้มเมื่อเห็นว่าเพื่อนรักเงยหน้าขึ้นมองและให้ความสนใจในสิ่งที่เธอพูด “เราทะเลาะกันเพราะเราไม่คุยกันให้เข้าใจ มีนไม่ถาม วิทย์ไม่พูด และปัญหามันก็เกิดจากการที่มีนคิดไปเองคนเดียว แต่หลังจากผ่านปัญหานั้นมาได้มีนถึงรู้ว่าถ้าเราสงสัยอะไรที่มันเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของคนสองคน การพูดคุยและการถามกันตรงๆ คือทางออกที่ดีที่สุด”

“งั้นเหรอ...”

“แล้วภีมรู้อะไรไหม...ทั้งๆ ที่ไม่ผิด แต่ตอนนั้นวิทย์น่ะเป็นคนสังเกตเห็นและเข้ามากอดมีนไว้ก่อนเลยนะ”

“วิทย์มันรักและแคร์มีนมาก ยังไงก็ต้องสังเกตเห็นอยู่แล้ว”

“ใช่จ้ะ เพราะรักและแคร์มากถึงได้สังเกตเห็นแม้ว่าจะเป็นท่าทีเล็กๆ น้อยๆ” มีนายิ้มสวยก่อนจะลุกขึ้นยืน “มีนต้องไปทำงานแล้ว เดี๋ยวคุณแม่จะดุเอา ภีมจำแผนกกายภาพที่มีนชี้บอกได้ใช่ไหม ไปถึงแล้วก็ถามหาวิทย์ได้เลยนะ”

“จำได้สิ ขอบคุณที่มาอยู่เป็นเพื่อนนะ”

“ไว้เจอกันจ้ะ”

ภีมภัทรลุกขึ้นยืนส่งจนเพื่อนสาวเดินจากไป ใบหน้าที่เคยหมองถูกปรับเปลี่ยนให้ดูสดใสมากขึ้นกว่าเดิมเพราะไม่อยากให้ใครอีกคนสังเกตเห็นความผิดปกติทางอารมณ์ของตัวเอง

“ภีม…”

ภีมภัทรฉีกยิ้มโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขารีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งเข้าไปหาจักรพรรดิที่มีนางพยาบาลช่วยเข็นรถออกมานอกห้องให้ หลังจากขอบคุณเธอแล้วภีมภัทรก็เข้าไปทำหน้าที่เข็นรถต่อ เขาพาจักรพรรดิไปหยุดอยู่บริเวณเก้าอี้ที่ตัวเองเคยนั่ง ก่อนจะหยิบน้ำเปล่าที่ซื้อเตรียมไว้ยื่นให้

“น้ำครับ”

“…”

“พี่จักร?” ดวงตาคู่สวยทอประกายงุนงงเมื่อถูกจับจ้องไม่ละสายตา มือที่ถือขวดน้ำลดต่ำลงเรื่อยๆ เพราะคนตรงหน้าไม่ยอมยื่นมือมารับไปเสียที

เผลอทำอะไรให้ไม่พอใจอีกหรือเปล่านะ...

“…ของภีม”

“ครับ?”

“พี่อยากกินแก้วภีม” ไม่ว่าเปล่า คนพูดใช้ดวงตาคู่นั้นกดดันด้วยแววตาอ่อนโยนจนภีมภัทรเผลอหยิบแก้วลาเต้ของตัวเองยื่นให้โดยไม่รู้ตัว และในวินาทีถัดมาฝ่ามือเย็นเฉียบคู่นั้นก็ประกบทับลงมาบนมือเขาแล้วดึงเข้าไปดูดน้ำหน้าตาเฉย

“พะ...พี่จักร”

“จืดไปหน่อย”

“...”

“ไปกันเถอะ เดี๋ยวเพื่อนจะรอ” จักรพรรดิไม่ได้ละสายตาไปไหน เขาเพียงพูดเปลี่ยนเรื่องออกมาง่ายๆ จากนั้นก็แค่ยกยิ้มมุมปากรอดูท่าทีของคนเอ๋อ

“เพื่อนไหน…” ภีมภัทรกะพริบตาปริบๆ เหมือนยังจับทิศทางอะไรไม่ได้ แต่แล้วเมื่อเห็นสายตาล้อเลียนของคนต้นเรื่อง ใบหน้าใสก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อน่ามอง คำพูดเหมือนไม่รู้สึกตัวเมื่อครู่หากให้แก้คงไม่ทัน เจ้าตัวจึงทำได้เพียงตั้งสติ พยายามทำหน้าให้นิ่งที่สุด ก่อนจะเดินไปประจำตำแหน่งแล้วออกแรงเข็นรถโดยไม่เอ่ยปากอะไรอีก

น่าอับอายที่สุดในสามโลก…

“เพื่อนมาได้ยินเข้าคงเสียใจแย่ที่โดนลืม…”

นี่ก็ย้ำจัง!

จักรพรรดิอยากจะหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเสียงฟึดฟัดเหมือนไม่พอใจปนทำอะไรไม่ถูกจากทางด้านหลัง ทว่าสุดท้ายเขาก็ทำเพียงยกยิ้มนิดๆ เพราะกลัวจะโดนโกรธ

บางทีภีมภัทรอาจมีพลังพิเศษ...ที่ช่วยสลายความขุ่นมัวในใจเขาได้เพียงแค่ยิ้มให้

คนคนนี้ไม่เหมาะกับใบหน้ากังวลใจเหมือนตอนที่เขาเห็นเมื่อออกมาจากห้องตรวจเลยแม้แต่นิดเดียว...ทำให้ยิ้มได้ก็ดีแล้ว

“ถึงแล้ว” เสียงพึมพำจากด้านหลังดังขึ้นเบาๆ ขณะที่รถถูกเข็นเข้าไปในแผนกกายภาพบำบัดของโรงพยาบาล

พื้นที่ด้านในมีความกว้างขวางและแบ่งเป็นโซนอย่างชัดเจน จักรพรรดิมองเครื่องช่วยเดินรวมถึงอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ ด้วยแววตาเฉยชา ช่วงเวลาหนึ่งเขาก็เคยเห็นอุปกรณ์เหล่านี้มาก่อน เพียงแต่ตอนนั้นเขาจ้างวานนักกายภาพบำบัดให้ไปช่วยดูแลที่บ้าน อุปกรณ์ต่างๆ ที่เขาใช้จึงมีเพียงไม่กี่อย่าง

‘ถ้าฉันไม่หาย นายตกงาน’

จำได้ว่าเขาเคยพูดออกไปแบบนั้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา ร่างของนักกายภาพบำบัดชาวต่างชาติที่ถูกจ้างวานมาคนนั้นสั่นงกๆ น่าสงสาร จวบจนเมื่อผ่านไปไม่นาน เมื่อเขาทนไม่ไหว รับสภาพที่ตัวเองเป็นอยู่ไม่ได้ พร้อมกับที่แม่บังเกิดเกล้าไม่อยากรออีกต่อไป เวลานั้นการรักษาถูกหยุดลง...จักรพรรดิไล่นักกายภาพคนนั้นออกไปให้พ้นสายตา แต่ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น เพราะอำนาจของเขาแทบไม่มีเหลืออีกแล้ว

หุ่นเชิดที่ผุพัง...ใครกันจะอยากเก็บเอาไว้

“รบกวนคุณจักรพรรดิช่วยตอบคำถามผมตามความจริงด้วยนะครับ” วิทยาในชุดของนักกายภาพบำบัดเต็มตัวนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ ท่าทางคล้ายกำลังจะสัมภาษณ์คนใหญ่คนโต เรียกได้ว่าดูเกร็งเสียจนน่าขำ ทว่าดูเหมือนจะเป็นข้อดี...

เพราะท่าทางแบบนั้นทำให้ภีมภัทรหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ และการที่ภีมภัทรหัวเราะ...ส่งผลให้คนบางคนหลุดออกมาจากภวังค์ที่แสนมืดมนได้ในที่สุด

“จะเกร็งอะไรขนาดนั้นวะ พี่จักรไม่ใช่ผีเสียหน่อย” ภีมภัทรส่ายหน้าหน่าย ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอารมณ์ดี เขาขยับรถจักรพรรดิให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างโดยมีโต๊ะตัวหนึ่งกั้นกลางระหว่างพวกเขากับวิทยาเอาไว้

“มึงไม่มีทางเข้าใจหรอกไอ้ภีม” วิทยาเถียงเสียงค่อย อยากจะบอกไอ้เพื่อนตัวดีเหลือเกินว่าแววตาของคนข้างๆ มันสามารถฆ่าคนตายได้ชัดๆ ตัวเองได้สิทธิ์พิเศษถึงได้ไม่รู้ แต่ขืนพูดออกไป นอกจากจะตายแล้ว ท่าทางเขาจะไม่เหลือศพด้วยล่ะมั้งเนี่ย

“อะไรจะขนาดนั้น”

“เรื่องอื่นไว้ทีหลังน่า ตอนนี้ขอกูดูสภาพร่างกายคุณเขาก่อน” นักกายภาพบำบัดวิทยารีบเปลี่ยนเรื่องด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากคุยเล่นกับเพื่อนต่อ แต่เพราะเห็นคิ้วเข้มของใครบางคนเริ่มขมวดเหมือนจะไม่พอใจ เขาถึงต้องรีบตัดบทก่อนจะโดนฆ่าเข้าจริงๆ “ก่อนอื่นผมต้องประเมินสภาพร่างกายของคนไข้ก่อนการรักษานะครับ เวลามีการเปลี่ยนแปลงเราจะได้เห็นภาพชัดเจน ระหว่างที่ตรวจผมจะอธิบายเรื่องต่างๆ ที่จำเป็นไปด้วย ถ้าคุณจักรพรรดิหรือภีมมีอะไรสงสัยสามารถสอบถามได้ตลอดเวลานะครับ”

“เข้าใจแล้ว” ภีมภัทรตอบรับแทนเมื่อเห็นอีกคนยังนั่งนิ่ง ซึ่งดูเหมือนวิทยาเองก็เข้าใจอุปนิสัยของจักรพรรดิดีอยู่แล้วเขาจึงไม่ได้ท้วงอะไร เพียงแค่หยิบกระดาษขึ้นมาจดบันทึกและอธิบายต่อ

“ขั้นตอนการประเมินร่างกายจะเป็นการทดสอบหรือตรวจร่างกายโดยรวม แต่จะไม่ใช่การตรวจแบบที่คุณหมอตรวจให้เมื่อครู่ ถ้าคุณหมอคือคนดูแลสุขภาพโดยรวม ดูแลเรื่องยาต่างๆ ผมจะทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการทรงตัว การเคลื่อนไหว เรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับกายภาพของคนไข้ อย่างตอนนี้ผมจำเป็นต้องตรวจดูก่อนว่าคุณจักรพรรดิมีเรี่ยวแรงแค่ไหน ตรงไหนมีแรงหรือไม่มีแรงบ้าง ถ้ายังไงผมต้องขอรบกวนแตะตัวคุณหน่อยนะครับ”

ภีมภัทรที่กำลังตั้งใจฟังกะพริบตาอย่างงุนงงเมื่อสายตาสองคู่หันมามองเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ หรือถ้าจะพูดให้ถูก ต้องบอกว่าวิทยาหันมามองเขาราวกับจะรอคำตอบเพราะจักรพรรดิหันมามองก่อนต่างหาก ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไร สุดท้ายจึงทำได้เพียงมองสบดวงตาคมคู่นั้นแล้วยิ้มบางให้ เพียงแค่นั้นจักรพรรดิก็หันหน้ากลับไปแล้วพยักหน้าให้วิทยาในทันที

“ขออนุญาตครับ” นักกายภาพบำบัดหนุ่มเดินอ้อมโต๊ะมาคุกเข่าลงตรงหน้าผู้ป่วย มือถกขากางเกงขึ้นเพื่อตรวจสอบขาทั้งสองข้างที่มีปัญหา เขาแตะไปมาอย่างเบามืออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามอง “รู้สึกอะไรบ้างไหมครับ”

“ไม่” จักรพรรดิตอบสั้นๆ

“แล้วถ้าแบบนี้รู้สึกไหมครับ” วิทยาขยับมือขึ้นไปที่ต้นขาทั้งสองข้างแล้วออกแรงกดเต็มที่

“ไม่”

“ไม่ทราบว่าคุณจักรพรรดิควบคุมระบบขับถ่ายเองได้เป็นปกติหรือเปล่าครับ”

“อืม”

ถามคำตอบคำของจริงเป็นอย่างไร ภีมภัทรได้รู้ในวันนี้เอง...

ชายหนุ่มหันไปสบตาเพื่อนราวกับจะขอโทษแทน ดีที่วิทยาเข้าใจอยู่แล้วเลยไม่ได้คิดอะไรมาก เขาเพียงแค่ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปเท่านั้น หลังจากถามคำถามเพิ่มและให้ทดสอบร่างกายโดยละเอียดเรียบร้อยแล้ว นักกายภาพบำบัดหนุ่มก็เดินกลับไปนั่งประจำที่และอธิบายต่อช้าๆ

“โชคดีที่ระบบขับถ่ายยังทำงานได้อยู่ แสดงว่าอาการบาดเจ็บตอนเกิดอุบัติเหตุไม่ได้ร้ายแรงจนถึงจุดนั้น แค่ตัดการเชื่อมต่อกับบริเวณขาจนไร้ความรู้สึก แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ...ถึงจะขาดการรักษาไปพักใหญ่แต่ยังมีโอกาสหายดีอยู่แน่ๆ” ว่าจบแล้วเขาก็หยิบกระดาษออกมาวาดรูปลงไปบนนั้นแล้วเลื่อนมาให้ดูประกอบการอธิบาย “ส่วนเรื่องขาลีบที่ไอ้ภีมแอบกระซิบถามผมตั้งหลายครั้ง จริงๆ แล้วต้องบอกว่าคนทุกคนมีโอกาสเป็นแบบนี้หมดถ้าไม่ได้ใช้งานกล้ามเนื้อเลย ในส่วนของคุณจักรพรรดิถ้ากล้ามเนื้อขามีอยู่สิบส่วน คุณยังเหลืออยู่ประมาณห้าถึงหกส่วน น่าจะเป็นผลมาจากการที่มีคนช่วยทำกายภาพที่ขาให้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นเรื่องดีมากจริงๆ ครับ”

จักรพรรดิรับฟังถ้อยคำเหล่านั้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย หากในใจกลับนึกไปถึงน้องชายสองคนที่คอยช่วยเหลือมาโดยตลอดตั้งแต่ที่เขากลับมาไทย จำได้ว่าวันนั้นที่ลงมาจากเครื่องพ่อของเขาก็มารับเหมือนกัน แต่เพราะต้องเดินทางบ่อยทำให้ไม่ได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันมากนัก มีเพียงฮ่องเต้และประมุขที่คอยผลัดกันมาทำกายภาพให้เขาทุกเช้า แล้วก็อีกคน...

“แล้วต้องใช้เวลานานขนาดไหนกว่าจะเห็นผลเหรอ ต้องมาบ่อยหรือเปล่า” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลและความคาดหวังราวกับเป็นตัวเองที่ต้องรับการรักษาทำให้ผู้ป่วยตัวจริงหลุดยิ้มบาง

ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงที่นี่ เขาก็มีคนคนนี้คอยอยู่เคียงข้างและคอยดูแลมาโดยตลอด...

ราวกับรับรู้ได้ว่าถูกจ้องตาไม่กะพริบ ภีมภัทรหันหน้ากลับไปมองคนด้านข้างโดยอัตโนมัติ เขาเลิกคิ้วเหมือนจะถามว่ามีอะไรหรือเปล่า ทว่าคำตอบที่ได้รับมีเพียงรอยยิ้มจางเท่านั้น ชายหนุ่มทำหน้างุนงงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมหันหน้ากลับไปฟังวิทยาพูดต่อเมื่อเห็นว่าจักรพรรดิหันกลับไปแล้ว

“นั่นขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการรักษาด้วย ตรงนี้ต้องขึ้นอยู่กับผู้ป่วยว่าต้องการรับการรักษาแบบไหน จะมาที่โรงพยาบาลหรือจ้างนักกายภาพไปที่บ้านก็ได้ ส่วนเรื่องความถี่ก็แล้วแต่คนไข้เช่นกัน เพราะบางคนอาจไม่ได้มีเวลาว่างมากนัก แต่ถ้าอยากให้เห็นผลไว ยิ่งถี่เท่าไหร่ก็ยิ่งดี”

“แล้วมาที่นี่กับจ้างไปที่บ้านแตกต่างกันมากไหม” ภีมภัทรถามต่อทันควัน ไม่ปล่อยให้คนที่พูดยาวเหยียดหยุดพักหายใจ ขนาดวิทยาจะหยิบน้ำมาดื่มยังอุตส่าห์ยื่นมือไปดึงแก้วออกให้ แน่นอนว่าเป็นเพื่อนสนิทกันย่อมไม่จบที่คำด่าเพียงคำเดียว ทว่าก่อนจะได้อ้าปาก ดวงตาคมกริบของคนที่นั่งเงียบกลับตวัดมาหาเหมือนจะสั่งให้เงียบ ทำเอาคนเตรียมอ้าปากจะด่ากลืนน้ำลายลงคอแทบไม่ทัน

“เอ่อ...” นักกายภาพบำบัดที่เคยรักษาคนไข้มาหลายสิบคน ในเวลานี้กลับติดอ่างแค่เพราะโดนจ้องมอง มีนารู้เมื่อไหร่คงหัวเราะจนได้ยินทั่วโรงพยาบาลแน่ ชายหนุ่มคิดในใจก่อนจะรีบรวบรวมสติแล้วพูดต่อ “ถ้าไม่พูดถึงเรื่องเงิน ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดคือเรื่องของอุปกรณ์ ส่วนตัวผมคิดว่ามาที่โรงพยาบาลดีกว่า เพราะนอกจากจะมีอุปกรณ์ช่วยเหลือหลายอย่างแล้ว ความปลอดภัยก็มากกว่าเช่นกัน วันหนึ่งอาจจะใช้เวลาแค่สองสามชั่วโมงเท่านั้น แต่ถ้ามีเวลามาทุกวัน ทำทุกอย่างอย่างสม่ำเสมอ เดือนสองเดือนต้องเริ่มเห็นผลแน่นอน”

“มาที่นี่ห้าวัน อีกสองวันจ้างมึงไปที่บ้าน แบบนั้นได้ไหม” ในสายตาของภีมภัทร เขาต้องการแค่ให้จักรพรรดิหายเร็วๆ อยากใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่าที่สุด แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะลืมไปแล้วว่าคนที่ต้องตัดสินใจไม่ใช่ตัวเอง

“ได้อยู่แล้ว กูเพิ่งปิดงานล่าสุดไป แต่มึงจะเอาแบบนั้นแน่ใช่ไหม”

“แน่”

“ถามคุณเขาหรือยัง” วิทยาพยักพเยิดไปทางคนที่ว่าโดยไม่หันไปมอง แต่เพียงแค่นั้นก็มากพอจะทำให้ภีมภัทรตาโตเพราะลืมไปเสียสนิท

“พี่จักร...”

“เข้...เสียงอ่อนเป็นเต้าหู้”

“ไอ้วิทย์...” เสียงเรียกนั้นไม่ได้ดุดันอะไร มันเป็นเพียงเสียงเรียบๆ ตามสไตล์ของคุณชายภีมภัทรที่วิทยาเคยรู้จักก่อนจักรพรรดิจะเข้ามาก็เท่านั้น

“ครับๆ ไม่พูดแล้วครับผม” มีหรือคนกลัวเพื่อนอย่างวิทยาจะสู้ได้ เขายกมือยอมแพ้ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น เห็นแบบนั้นแล้วภีมภัทรจึงยอมละสายตาออกมาจ้องมองคนที่จ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว

“พี่จักรโอเคหรือเปล่าครับ ถ้าจะมาที่นี่ห้าวันแล้วให้วิทย์ไปที่บ้านสองวัน”

“แล้วแต่ภีม” จักรพรรดิตอบสั้นๆ “แต่พี่ขอออกเงินเอง”

“แต่ว่า...”

“พี่ไม่ได้เอาอะไรมาจากที่นั่นก็จริง แต่ระยะเวลาหนึ่งหรือสองปีที่พี่กลับมาอยู่ที่นี่ พี่ไม่ได้อยู่เฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไรหรอกนะ”

“ภีมไม่ได้...” ภีมภัทรเม้มปากแน่นเมื่อเห็นแววตารู้ทันของคนด้านข้าง ถ้าเขาพูดออกไปพี่จักรก็คงรู้อยู่ดีว่าโกหก เพราะเขาไม่เคยโกหกคนคนนี้ได้เลย ภีมภัทรยอมรับว่าเขาคิดว่าจักรพรรดิคงไม่ได้มีเงินเท่าไหร่นักแล้วก็คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ทำงานอะไรด้วย แต่เขาไม่เคยดูถูกเลยแม้แต่น้อย จักรพรรดิยังคงเป็นคนที่เขาเคารพรักเสมอมา ทว่าความคิดเหล่านั้น... “ภีมไม่ได้ดูถูกพี่จักร”

“พี่รู้”

“แต่ความคิดภีมมัน...”

“พี่เข้าใจ” จักรพรรดิไม่ใช่คนชอบอธิบาย แต่เมื่อเห็นใบหน้าหงอยๆ ของเด็กตัวน้อยข้างกายแล้วจะให้หยุดพูดก็ทนไม่ได้ เขาจึงยื่นมือไปแตะฝ่ามือขาวที่วางอยู่บนหน้าตักตัวเองเบาๆ ให้อีกฝ่ายหันมามองก่อนจะพูดต่อ “พี่พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง อาศัยทำงานที่บ้านในช่วงที่ไม่ได้อารมณ์แปรปรวน ถึงจะน้อยถ้าเทียบกับที่ภีมมี แต่พี่ก็อยากพึ่งตัวเองก่อน แค่ภีมพักงานเพื่อมาดูแลพี่ก็มากพอแล้ว”

“พี่รู้ได้ยังไง” ภีมภัทรเบิกตากว้างด้วยความตกใจ จริงอยู่ที่เขาไม่เคยปิดบังว่าตัวเองหยุดงาน เพราะแทบทั้งวันก็ใช้เวลาอยู่กับจักรพรรดิเท่านั้น เพียงแต่เขาไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะให้ความสนใจกับเรื่องของเขาจนสังเกตเห็นเรื่องนี้ด้วย

“เรื่องงานในร้านดอกไม้น่ะเหรอ”

“ทำไม...”

“มีคนบอกมา”

“ป้าน้อย...” นอกจากป้าน้อยที่เคยช่วยเขายกอาหารไปให้พี่จักรก็ไม่มีใครอีกแล้ว ภีมภัทรเผลอกัดริมฝีปากตัวเอง ไม่รู้ว่าโดนเผาเรื่องอะไรไปบ้าง แต่ถ้าเป็นเรื่องน่าอายขึ้นมาล่ะก็...เขาจะกล้ามองหน้าพี่จักรได้ยังไงกัน

จักรพรรดิใช้ช่วงเวลาที่อีกคนกำลังนั่งจมอยู่กับความคิดตัวเองหันหน้าไปหาวิทยา เขาไม่ได้สนใจนักเมื่อเห็นว่าที่นักกายภาพบำบัดของตัวเองสะดุ้งจนตัวโยน น้ำเสียงราบเรียบเพียงพูดประโยคบอกเล่าธรรมดาออกมา หากในความคิดของวิทยามันกลับเหมือนประโยคคำสั่งที่ห้ามปฏิเสธ

“เอาตามที่ภีมว่า แต่เรื่องค่าใช้จ่ายฉันจะรับผิดชอบเอง ห้ามรับเงินจากภีมเด็ดขาด”

“รับทราบครับ” วิทยาพยักหน้าหนักแน่น เขามองเมินแววตาเข้มๆ ของเพื่อนตัวเองก่อนจะพูดต่อ “นอกจากเรื่องของการทำกายภาพขาแล้ว คุณต้องออกกำลังที่แขนให้มากด้วยนะครับ จุดมุ่งหมายสำคัญของเราคือการช่วยให้คนไข้พึ่งพาตัวเองได้ แล้วมันยังส่งผลไปถึงเรื่องกำลังแขนที่ต้องใช้พยุงตัวเองตอนฝึกเดินในอนาคตด้วย เพราะงั้นอย่าลืมออกกำลังแขนเยอะๆ นะครับ”

“อืม”

วิทยายังอธิบายเรื่องต่างๆ ต่ออีกสองสามเรื่อง เมื่อเข้าใจตรงกันแล้วเขาจึงขอเริ่มสาธิตการออกกำลังขาให้ดูในเบื้องต้น ชายหนุ่มสำรวจขาของคนไข้ในความดูแลอย่างละเอียด ค่อยๆ ยกขึ้นลงอย่างมีระบบ ลืมเลือนทุกความเกร็งที่เคยมีเมื่อต้องปฏิบัติหน้าที่ของจริง ความเป็นมืออาชีพของนักกายภาพบำบัดที่ได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาจากมหา’ลัยชื่อดังทำให้จักรพรรดิพอใจไม่น้อย เขายอมให้วิทยาแตะตัวทั้งที่ไม่ชอบ ส่วนหนึ่งเพราะความเป็นการเป็นงานที่เห็น และอีกส่วน...เป็นเพราะคนที่กำลังทำหน้าตาเป็นห่วงอยู่ด้านข้าง

“ในช่วงที่อยู่ที่บ้านคุณต้องพยายามช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด พยายามเคลื่อนไหว เคลื่อนย้ายตัวเองหรือทำอะไรที่จำเป็นต้องทำในชีวิตประจำวันด้วยตัวเองดู ให้คนช่วยตอนที่คิดว่าไม่ไหว มันถือเป็นการฝึกกล้ามเนื้ออย่างหนึ่งที่มีความสำคัญมาก อีกอย่างคุณจะได้ดูแลตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องให้คนมาคอยช่วย ต่อให้ยังไม่หายก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองได้”

ภีมภัทรจ้องมองสิ่งที่วิทยาทำและฟังสิ่งที่เขาพูดด้วยความตั้งใจ เผลอๆ จะตั้งใจฟังมากกว่าจักรพรรดิที่ไม่ยอมพูดอะไรสักคำเสียอีก เขาไม่อยากพลาดรายละเอียดอะไรแม้แต่นิดเดียว ถ้าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่พลาดไปคือเรื่องที่สามารถช่วยจักรพรรดิได้ เขาคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่

“เวลาออกกำลังกายอย่างการเหยียดขาหรือชันเข่าในท่าต่างๆ ช่วงแรกคุณอาจจะยังทำเองไม่ได้ก็ให้คนช่วยยกก่อน หลักๆ แล้วเป็นหน้าที่ผม แต่ถ้าอยู่ที่บ้านหรือผมไม่ได้อยู่ด้วยก็สามารถทำได้เหมือนกัน ที่สำคัญคือพยายามเกร็งตามด้วยนะครับ มันจะช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ” นักกายภาพหนุ่มกวักมือเรียกเพื่อนให้ไปยืนอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะพูดต่อ “มึงดูไว้แล้วกัน เผื่อเอาไปใช้ด้วย”

“โอเค”

“เวลางอขาให้จับแบบนี้ ค่อยๆ ยกไม่ต้องรีบ”

“ต้องออกแรงมากไหม”

“เหมือนยกขาเป็นปกติเลย ใช้แรงในการยกเฉยๆ ไม่ต้องฝืนอะไร”

“กูขอลองได้ไหม”

“เอาดิ”

“แบบนี้เหรอ”

“ช้าๆ หน่อย ให้เวลาคนไข้พยายามเกร็งตามด้วย”

“ได้”

จักรพรรดิไม่รู้เลยว่าเขามองภาพของคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าแบบไหน เขารู้เพียงใบหน้าตั้งอกตั้งใจนั้นดึงดูดสายตาของตัวเองไปได้จนหมด มือเรียวขาวที่เคยสัมผัสมาแล้วว่าไม่ได้นุ่มแต่ก็ไม่ได้หยาบเกินไปนักกำลังจับขาเขาไว้แล้วยกขึ้นลงตามคำสอนอย่างเคร่งครัด ปากบางๆ ที่ชอบพูดจ้อให้ฟังทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่คนพูดเก่งกำลังพึมพำนับเลขตามจังหวะที่เพื่อนบอกอย่างมีสมาธิ แม้แต่ดวงตาคู่สวยนั่นยังทอประกายอ่อนโยนและเป็นกังวลเหมือนกลัวว่าจะทำให้เขาเจ็บ ทุกๆ การแสดงออกของคนตรงหน้าจุดประกายแสงแห่งความหวังที่เคยมอดไปแล้วให้กลับมาสว่างอีกครั้ง

“โอเค สรุปว่าพรุ่งนี้เก้าโมงนะ”

“ตามนั้น”

“งั้นไว้เจอกันภีม”

เสียงร่ำลาของคนสองคนทำให้ผู้ที่สติไม่อยู่กับตัวมานานรู้สึกตัว จักรพรรดิพยักหน้ารับไหว้ของวิทยา รอจนอีกฝ่ายเดินจากไปแล้วร่างโปร่งของคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นจึงลุกขึ้นยืน ทว่าดูเหมือนจะนั่งนานเกินไปภีมภัทรถึงได้ตัวเซเหมือนจะล้ม คนที่มองอยู่เกือบยื่นแขนออกไปคว้าตามสัญชาติญาณ และอีกฝ่ายก็ให้ความร่วมมือโดยการคว้าจับแขนเขาไว้ก่อน จักรพรรดิเกร็งแขนจนเส้นเลือดขึ้น ใจคิดเพียงไม่ต้องการให้คนข้างกายเจ็บ และความพยายามของเขาคุ้มค่า...

“ขอโทษครับ” มันเป็นคำขอโทษที่ไร้ซึ่งความรู้สึกผิดโดยสิ้นเชิง เพราะนอกจากจะไม่จริงใจแล้วคนพูดยังหัวเราะออกมาเสียงใส ดวงตาคู่สวยเป็นประกายระยิบระยับอย่างคนอารมณ์ดีิิ และมันเป็นสิ่งที่ทำให้คนมองยิ้มตามได้อย่างเช่นตอนนี้

“อารมณ์ดีอะไร”

“ภีมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ว่าแล้วก็ฉีกยิ้มกว้าง “น่าจะดีใจที่วันนี้ผ่านไปได้ด้วยดีล่ะมั้ง”

“หืม”

“ว่ากันว่าถ้าครั้งแรกผ่านไปได้ด้วยดี ครั้งต่อๆ ไปก็จะดีเหมือนกัน”

“งั้นเหรอ”

“ใช่แล้ว” คนอารมณ์ดีตอบกลับขณะเดินไปประจำตำแหน่งเพื่อเข็นรถไปด้วย “ภีมว่าจะเข้าไปที่ร้านก่อน พี่จักรไปด้วยกันนะ”

“อืม”

“เสร็จแล้วเราไปหาอะไรกินกันดีไหม”

“ตามใจ”

“จะเข้าร้านทั้งที คงต้องแวะซื้อของฝากไปให้คนที่ร้านสักหน่อย ภีมไม่ได้กลับไปมาสักพักแล้ว ทางนั้นคงเหนื่อยน่าดู...แต่พี่จักรไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ร้านภีมกว้าง มีที่ให้พี่จักรนั่งรอนอนรอถมเถเลย แล้วก็ตกแต่งแบบสบายตาด้วยนะ ทำเลก็ดีด้วย ภีมเลือกเองกับมือ ถ้าหิวก็ให้คนไปซื้อข้าวจากร้านตรงหัวมุมให้ก็ได้ ตรงแถวนั้นมีร้านค้าเป็นสิบร้าน ของอร่อยเยอะแยะเต็มไปหมดจนเลือกกินไม่ไหวแน่ๆ” ได้ทีคุณเจ้าของร้านก็ร่ายยาวไม่หยุดพักเหมือนเด็กที่อยากอวดให้ผู้ใหญ่ดูความสำเร็จของตัวเอง คนฟังเดาได้ไม่ยากเลยว่าถ้าไปถึงร้านแล้วจะโดนอวดหนักขนาดไหน ถึงอย่างนั้นจักรพรรดิก็ทำเพียงพยักหน้าแล้วรับฟังอย่างตั้งใจ

“อืม”

ก็เสียงอวดๆ นั่นมันน่าฟังน้อยเสียเมื่อไหร่...

“เดี๋ยวเราคงเข้าเมืองกันบ่อยๆ วันหลังภีมจะพาไปเที่ยวนะครับ ต้องสนุกแน่ๆ”

“…”

ใครกันจะสนุก...ดูจากเสียงคนชวนก็น่าจะรู้

“เออใช่...ภีมบอกไอ้วิทย์แล้วว่าให้หาวีลแชร์ให้ใหม่ ส่วนนี้ภีมขอออกเงินนะครับ เพราะมันเป็นความต้องการของภีม”

“รู้แล้ว”

“ขอบคุณครับ”

ใครกันแน่ที่ต้องขอบคุณ...

คนที่มีแต่ได้คิดในใจ เจ้าตัวคนพูดคงไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าตัวเองมีแต่เสียทั้งนั้น แล้วเรื่องที่จะพาเขาไปโน่นไปนี่อีก จะรู้ตัวหรือเปล่าว่าเขาไปก็เหมือนภาระเพราะตัวเองต้องคอยเข็นรถให้ ไม่รู้ทำไมยังทำเสียงเหมือนดีใจได้ทุกครั้งที่เขาตอบตกลง

“วันนี้เป็นวันดีจริงๆ ด้วย” คนช่างพูดพึมพำเบาๆ ทั้งรอยยิ้ม ในขณะที่จักรพรรดิไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่มุมปากปรากฏรอยยิ้มจางที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเมื่ออยู่ใกล้ใครบางคน

นั่นสินะ...

วันนี้เป็นวันดีจริงๆ นั่นล่ะ


—————————-


ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2428
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
«ตอบ #78 เมื่อ18-04-2018 18:43:31 »

ต้องหายเร็วแน่ๆ เลย พยาบาลดีอย่างนี้ สู้ๆ นะพี่จักร น้องภีมดูแลดีมากกก :katai2-1:

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 594
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
«ตอบ #79 เมื่อ18-04-2018 18:54:13 »

อบอุ่นใจ //กุมอก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
« ตอบ #79 เมื่อ: 18-04-2018 18:54:13 »





ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
«ตอบ #80 เมื่อ18-04-2018 19:05:15 »

ต้องหายเร็วๆนะอยากให้พี่จักรรุกจีบภีมเร็วๆ

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
«ตอบ #81 เมื่อ18-04-2018 19:12:25 »

น้องภีมดูแลดีแบบนี้ พี่จักรหายไวแน่นอน  :katai2-1:

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 687
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
«ตอบ #82 เมื่อ18-04-2018 20:22:50 »

พี่จักรต้องไม่ยอมแพ้นะ สู้ๆๆๆๆๆๆๆ ทนรอให้หายไม่ไหวแล้ววว

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
«ตอบ #83 เมื่อ18-04-2018 20:49:09 »

มีนายพยาบาลประจำตัว มันดีอย่างนี้นี่เอง  :o8:

ออฟไลน์ Margarita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 85
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
«ตอบ #84 เมื่อ19-04-2018 23:49:27 »

ภีมน่ารักกก

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
«ตอบ #85 เมื่อ20-04-2018 11:29:59 »

คนดูแลดีแบบนี้อีกแปปเดียวเดี๋ยวก็หาย

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
«ตอบ #86 เมื่อ22-04-2018 00:20:00 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1296
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
«ตอบ #87 เมื่อ22-04-2018 08:23:51 »

ขอให้จักพรรดิ์มีกำลังที่เข้มแข็งเพื่อตัวเองและเพื่อภีม

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[7]==[P.3]== [18/04/61]
«ตอบ #88 เมื่อ25-04-2018 17:32:14 »

-8-


ร้านดอกไม้ที่ภีมภัทรไม่ได้กลับมาเยี่ยมนานยังคงดูสะอาดตาดั่งเช่นทุกครั้ง อีกทั้งพื้นที่ด้านในยังกว้างขวางและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้หลากหลายชนิดกระจายอยู่ทั่วทำให้คนที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกอดมองไปรอบๆ ด้วยความสนใจไม่ได้ จักรพรรดิไม่เคยเข้าร้านดอกไม้มาก่อน และแน่นอนว่าไม่เคยคิดจะเข้า เขาไม่ใช่ผู้ชายโรแมนติก ไม่เคยซื้อดอกไม้ให้ใคร รวมถึงไม่คิดว่าตัวเองจะชอบดอกไม้ด้วย แต่ไม่รู้เพราะอะไรตั้งแต่ได้ไปที่สวนรังสิมันตุ์เขาถึงเริ่มสนใจมันขึ้นมา ถึงอย่างนั้นก็เดาได้ไม่ยากว่าเหตุผลหลักๆ คงเป็นเพราะคนที่กำลังก้มหน้าดมกลิ่นดอกอะไรสักอย่างอยู่ไม่ไกล

“ไม่เห็นมีใคร”

ตั้งแต่มาถึงที่นี่จักรพรรดิยังไม่เห็นคนงานเลยสักคน ภีมภัทรที่นั่งอยู่ข้างเขาก็ดูท่าทางงงงวยไม่แพ้กัน เมื่อมั่นใจว่าคงไม่มีใครอยู่เป็นแน่ เจ้าของร้านจึงควักกุญแจออกมาจากกระเป๋าแล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูร้าน ก่อนจะเดินกลับมาช่วยพยุงเขาออกจากรถโดยไม่ลืมบอกให้ลองเกร็งตัวพยายามออกแรงเองตามคำสอนของนักกายภาพบำบัด แต่พอเห็นคนป่วยเกร็งจนหน้าแดงเข้าหน่อยคุณคนสั่งก็อดใจไม่ไหวบอกให้พอเสียอย่างนั้น

เหนื่อยมันก็เหนื่อย แต่ขำหน้าตาของคนที่ดูลุ้นในทุกๆ เรื่องมากกว่า...

“ภีมเพิ่งนึกออกว่าวันนี้เป็นวันหยุดพนักงาน” คนพูดเงยหน้าจากดอกไม้แล้วหันมายิ้มแห้ง “ท่าทางเราต้องจัดการขนมเองแล้วล่ะ พี่จักรช่วยภีมด้วยนะ”

“หือ” จักรพรรดิเลิกคิ้ว ใบหน้าคมคายดูผ่อนคลายขณะมุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง “ซื้อเองก็ต้องรับผิดชอบเองสิ”

“เดี๋ยวก่อน พี่เป็นคนบอกภีมให้ซื้อเยอะๆ ไม่ใช่เหรอ”

“ก็เห็นคนบางคนกินเยอะ”

“ภีมไม่ได้กินเยอะนะ” ภีมภัทรหน้าบูด ปากเถียงทั้งที่มือเปิดถุงขนมอยู่ “ไม่ได้กินบัวลอยเจ้านี้มาตั้งนาน ทองหยอดกับฝอยทองนี่ก็ด้วย”

“นี่หิวใช่ไหม”

“เปล่านะ” ปฏิเสธทั้งที่มือเริ่มจิ้มทองหยอดเข้าปาก “อร่อย...พี่จักรลองเร็ว”

“หึ”

“อ้าปากๆ”

จักรพรรดิมองทองหยอดที่ถูกยื่นมาตรงหน้าด้วยสายตาพิจารณา แค่เห็นสีก็รู้แล้วว่าต้องหวานมากแน่ๆ แล้วเขาใช่คนชอบกินหวานเสียที่ไหนกัน ตอนทำงานอยู่ต่างประเทศแค่เลขาชงกาแฟติดหวานมาให้ยังเขวี้ยงทิ้งมาแล้ว นับประสาอะไรกับขนมตรงหน้า

“กินแล้วจะได้อะไร”

“แค่กินขนมหวานคำเดียวต้องขออะไรด้วยเหรอ” น้ำเสียงงุนงงจริงจังของคนถามเกือบทำให้คนขี้แกล้งหลุดขำ ภีมภัทรมองดวงตาคมเป็นประกายวาววับแล้วก็เสียวสันหลังแปลกๆ มือที่จิ้มทองหยอดค้างไว้ลดต่ำลงโดยไม่รู้ตัว ทว่าก่อนจะได้ปฏิเสธออกไปตามสัญชาตญาณ มือของคนรู้ทันก็คว้าจับข้อมือของเขาไว้อย่างแน่นหนา

“ไม่ทันแล้วเด็กน้อย” จักรพรรดิจ้องตาคนที่เขาสถาปนาให้เป็นเด็กน้อยของตัวเองนิ่งงัน ก่อนทองหยอดที่หวานจนเลี่ยนจะถูกงับเข้าปากไปอย่างรวดเร็วทั้งที่สายตายังไม่ละออกจากกัน

“ภะ...ภีมเด็กกว่าแค่สองปีเองนะ” ภีมภัทรหลบสายตาเมื่อรู้สึกเหมือนความร้อนกำลังแพร่กระจายไปทั่วใบหน้า เขาไม่เคยทานทนกับสายตานั้นได้เสียที ตอนเย็นชาก็เย็นชาจนน่าใจหาย แต่ตอนขี้แกล้งกลับทำให้หน้าร้อนจนอยากจะบ้าตาย ขืนจ้องต่อไปหน้าคงไหม้แน่ๆ

“เด็กน้อย”

“เหมือนตรงไหน”

“ยังจะถามอีกเหรอ”

“ภีมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

คนไม่รู้ตัวเลิกคิ้วงุนงง มือจิ้มขนมเข้าปากไม่หยุด ขณะที่ในใจนึกครุ่นคิดว่าตัวเองไปทำอะไรเหมือนเด็กน้อยตอนไหน ภีมภัทรมั่นใจว่าเขารักษาภาพพจน์ได้ดีมาโดยตลอด ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นคนหน้าตึงและไม่เคยยิ้ม แต่เมื่อโตขึ้นถึงได้รู้ว่ารอยยิ้มคือสิ่งสำคัญในหลายๆ สถานการณ์ หลังจากนั้นมาตัวตนใหม่จึงถูกสร้างขึ้น ภีมภัทรคนใหม่เคยได้รับการโหวตให้เป็นคุณชายในฝันของสาวๆ สมัยยังอยู่มหา’ลัยในต่างประเทศ รอยยิ้มการค้าที่ทำอย่างไรก็ไปไม่ถึงดวงตายังคงใช้ได้ตั้งแต่ตอนนั้นจนมาถึงตอนนี้ ทว่าเมื่อได้เจอคนสำคัญของชีวิต...ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

จะว่าไป...

ทำตัวเหมือนเด็กน้อยตอนไหน...

ร้องไห้ใส่ อยากให้กอดปลอบ อ้อนให้กินขนม ยิ้มแฉ่งจนตาปิด หัวเราะตอนอารมณ์ดี...

คุณชายภีมภัทรกลายเป็นเด็กน้อยเวลาอยู่ต่อหน้าพี่จักรของตัวเองไปแล้วจริงๆ ด้วย

“โอย…”

“เป็นอะไร” จักรพรรดิกลั้นหัวเราะ ตามองคนที่ทรุดตัวลงไปนั่งยองๆ แล้วเอามือปิดหน้านิ่งๆ

แล้วแบบนี้จะบอกว่าไม่ใช่ได้ยังไง...เด็กน้อยชัดๆ

“พอ!” เสียงห้ามดังนำก่อนเจ้าตัวจะรีบลุกขึ้นยืน หน้าที่เคยขาวแดงก่ำเป็นมะเขือเทศ ขณะที่ดวงตาคู่สวยไม่ยอมมองคนต้นเหตุเลยแม้แต่นิดเดียว “ภีมไปเช็คหลังร้านก่อน พี่จักรกินขนมไปเลย”

“เดี๋ยวสิ...ยังไม่ได้ให้อะไรพี่เลยนะ” จักรพรรดิแกล้งหยอก มือยื่นไปจับข้อมือเล็กล็อคไว้ไม่ให้หนี

“ภีมไม่ได้บอกว่าจะให้สักหน่อย” ฟึดฟัดเสร็จแล้วก็แกะมือเขาออกเบาๆ เหมือนกลัวทำให้เจ็บ

จะงอนทั้งทียังไม่กล้าสะบัดมือ...น่าเอ็นดูจริงๆ

จักรพรรดิมองตามแผ่นหลังของคนขี้อายไปจนลับสายตา ทว่าเมื่อภีมภัทรหายไปแล้ว รอยยิ้มที่เคยมีมาตลอดก็จางลงตามไปด้วย ใช่ว่าเขาลืมเลือนเรื่องคนที่เห็นตอนอยู่โรงพยาบาล แต่เพราะไม่อยากให้คนข้างกายคิดมากจึงพยายามยิ้ม และภีมภัทรก็มีพลังพิเศษในการสลายความกังวลของเขาได้จริงๆ ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามไปได้

มือผอมแห้งถูกยกขึ้นมองเหมือนเช่นทุกวัน จำได้ว่าครั้งหนึ่งมือของเขาเคยใหญ่กว่านี้ มันคือมือที่กอบกุมไว้ทั้งเงินตราและอำนาจ แค่นิ้วเดียวก็สั่งการคนได้นับพัน แต่อุบัติเหตุในครานั้นคร่าทุกอย่างไป มือของเขาไม่ได้ใหญ่เหมือนเดิมแล้ว มันผอมแห้ง เล็กลง…

เล็กลงงั้นเหรอ

คล้ายเห็นภาพฝ่ามือขาวสะอาดของใครบางคนวางซ้อนทับลงมาบนมือตัวเอง ในเวลานั้นเองที่รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายอีกครั้ง

มือเขาไม่ได้เล็กลง...มันไม่มีทางเล็กลง...ในวันหนึ่งมันจะกลับไปใหญ่เหมือนเดิม

เพียงแต่ครั้งนี้สิ่งที่ต้องคว้าจับไว้ไม่ใช่เงินตราหรืออำนาจอีกแล้ว

“ภีม…” นิ้มผอมถูกรวบกำเข้าหากัน ความมั่นใจที่เคยจางหางถูกเติมเต็มอีกครั้ง

จักรพรรดิหยิบโทรศัพท์ที่เขาไม่เคยคิดใช้ขึ้นมากดไล่หารายชื่อที่มีอยู่เพียงไม่กี่ราย เขามองจนแน่ใจว่าคนที่อยู่ด้านหลังร้านจะไม่ออกมาในเร็วๆ นี้ เสร็จแล้วจึงกดโทรออกไปยังเบอร์ที่ต้องการ ใช้เวลาไม่นานนักปลายสายก็กดรับด้วยความรวดเร็ว

[จักร...นั่นลูกเหรอ] เสียงทุ้มต่ำเจือความดีใจชัดเจนของฝ่ายนั้นทำให้มุมปากของคนฟังปรากฏรอยยิ้มเหยียดขึ้นวูบหนึ่ง จักรพรรดิไม่สนใจคำทักทายของบิดาบังเกิดเกล้า เขาพูดเข้าเรื่องด้วยความรวดเร็วเพื่อเตือนให้รู้ว่าตนไม่ต้องการพูดคุยเรื่องไร้สาระ

“ผู้หญิงคนนั้นส่งคนมาที่นี่”

[ลูกหมายถึง...]

“ภรรยาเก่าของคุณ คนที่ทำให้ผมเกิดมา” น้ำเสียงเย็นเยียบนั้นดูราวกับไม่ได้พูดถึงมารดาผู้ให้กำเนิด ดวงตาคมที่อ่อนโยนเสมอยามจับจ้องไปที่ภีมภัทรในยามนี้แข็งกร้าวน่ากลัว เล็บที่ไม่ได้ตัดมาพักใหญ่จิกลงบนเนื้อขาที่ไร้ความรู้สึกอย่างแรงตามอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูง ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังควบคุมตัวเองได้เมื่อรู้ว่ากำลังคุยเรื่อง ‘ผลประโยชน์’ อยู่

[พ่อจะไปคุยกับแม่ลูกให้] คนปลายสายรีบพูดด้วยความร้อนรน

“คุณคิดว่าเธอจะเชื่อคุณหรือไง”

[พ่อ…]

“กับคนที่เคยใช้ประโยชน์มาหลายปีอย่างผมยังทิ้งได้ แล้วคุณที่โดนทิ้งไปเป็นสิบยี่สิบปีจะสำคัญอะไร”

ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ดังขึ้นหลังจากจักรพรรดิพูดจบ แต่เขาก็รู้ดีว่าผู้เป็นพ่อไม่มีทางตัดสายตัวเองก่อนเป็นแน่ ดังนั้นชายหนุ่มจึงรอเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมแม้แต่คำเดียว ท้ายที่สุดแล้วผู้เป็นพ่อที่เงียบไปนานก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ เหมือนจะหมดแรง

[จักรจะให้พ่อช่วยอะไรใช่ไหม]

“ใช่” เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา “ผมต้องการเบอร์โทรส่วนตัวของเกรย์”

[เกรย์? ลูกหมายถึงคุณเกรย์ลูกชายของท่านทูตฟรานซิสงั้นเหรอ]

“อืม” จักรพรรดิคิดจะตอบเพียงเท่านั้น ทว่าเมื่อไตร่ตรองดูแล้วเขาจึงอธิบายเพิ่มเติมเพราะไม่ต้องการให้คนคนนี้เข้ามายุ่งในภายหลัง “เกรย์เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่ผมไว้ใจ คุณเองก็รู้ดีว่าผู้หญิงคนนั้นยึดทุกอย่างของผมไปหมดแล้ว แม้แต่โทรศัพท์ก็ไม่ให้มา ถึงขนาดส่งคนมาตามดูเสียด้วยซ้ำ ทางเดียวที่ผมจะติดต่อกับเกรย์ได้คือการโทรคุยเท่านั้น”

[ถ้าไม่ได้ยินเสียงหรือเห็นหน้า คุณเกรย์จะไม่มีทางหลงเชื่อเรื่องอะไรก็ตามที่บอกไปสินะ]

“ใช่...และหน้าที่ของคุณคือการเอาเบอร์เขามาให้ผมโดยไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นรู้”

[พ่อถามได้หรือเปล่าว่าลูกกำลังจะทำอะไร]

“…” ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนั้น จักรพรรดิรับฟังเสียงถอนหายใจจากปลายสายโดยไม่ได้ว่าอะไร สิ่งที่เขาต้องการคือคำตอบสำหรับคำถามที่เขาถามเพียงอย่างเดียว

[พ่อจะจัดการให้]

“อืม”

[จักร...]

“…”

[เดือนหน้าพ่อจะไปเชียงใหม่ ถ้ายังไงเราไป...]

“ผมไม่ว่าง” คำพูดไร้เยื่อใยคงทำให้คนฟังเจ็บช้ำไม่มากก็น้อย หากมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ ชายหนุ่มดึงโทรศัพท์ออก ทำท่าคล้ายจะวางสายโดยไม่ฟังคำตอบ แต่แล้วเมื่อเห็นเจ้าของใบหน้ายิ้มแย้มเดินมาจากหลังร้านและกำลังจะอ้าปากเรียก เขาก็ตัดสินใจเอามันมาแนบหูอีกครั้ง

[ไม่เป็นไร]

“ถ้า…” แววตาที่เคยเย็นชาอ่อนลงขณะมองคนที่กำลังเม้มปากแน่นกลั้นเสียงตัวเองเมื่อเห็นว่าเขาคุยโทรศัพท์อยู่ “ถ้าประมุขกับฮ่องเต้มาด้วย คุณจะมาก็มา”

เพียงเท่านั้นสายก็ถูกตัดไป จักรพรรดิคงไม่รู้เลยว่าในยามนี้ผู้เป็นพ่อที่อยู่อีกฝั่งกำลังยิ้มกว้างด้วยความดีใจขนาดไหน

“คุยเสร็จแล้วเหรอครับ” ร่างโปร่งนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างก่อนจะส่งแก้วน้ำมาให้ จักรพรรดิรับไปแล้วจ้องมองน้ำเปล่าในมืออยู่ครู่หนึ่ง ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายถามเขาก็เอ่ยปากขึ้นก่อน

“ฟังตั้งแต่แรกเลยใช่ไหม”

คนฟังหน้าบึ้ง ปากกลายเป็นสระอิ คล้ายจะไม่คิดปกปิดท่าทางเหมือนเด็กน้อยของตัวเองอีกแล้วเมื่อโดนรู้ทัน

“เบื่อคนฉลาด”

“เข้าไปตั้งนานกลับออกมาพร้อมน้ำเปล่าแก้วเดียว แถมไอ้หน้าตาอยากรู้อยากเห็นที่ปิดไม่มิดนี่อีก” เขายื่นมือไปดึงแก้มขาวๆ อย่างอดใจไม่ไหว เมื่อเห็นว่าเป็นรอยแดงแล้วจึงยอมปล่อยให้เจ้าของแก้มเอามือปิดไว้แต่โดยดี

“เจ็บนะ” ภีมภัทรร้องโอดโอย ครั้งนี้เขาเจ็บจริงแบบไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิด เพราะคนแรงเยอะเล่นบีบเสียเต็มแรงเหมือนจะไม่ยอมปล่อยถ้าแก้มเขายังไม่แดง แต่ยังไงก็ตามความอยากรู้อยากเห็นที่มีมากเกินไปก็ทำพิษอยู่ดี

ยอมเจ็บก็ได้ถ้าจะทำให้พี่จักรยอมบอกเรื่องของตัวเองมากขึ้น...

“พี่จักร...”

อยู่ๆ คนแก้มแดงก็เรียกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้าเคร่งเครียดแบบที่ไม่ได้หาได้บ่อยๆ ของภีมภัทรทำให้จักรพรรดิยอมจริงจังตาม เขาวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะข้างตัว มือทั้งสองข้างประสานกันไว้บนหน้าตัก ลักษณะเหมือนกำลังจะเจรจาธุรกิจ แต่คนมองกลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนแกล้งอยู่ยังไงก็ไม่รู้

“ที่โรงพยาบาล...” ภีมภัทรกลืนความสงสัยที่สำคัญน้อยกว่าลงไปแล้วพูดเรื่องที่สำคัญกว่า “ทำไมพี่จักรถึงดูน่ากลัวแบบนั้น เกิดอะไรขึ้นใช่ไหม”

“ช่างสังเกตจังนะ”

“ก็บอกแล้วว่าแคร์มากไง” เหมือนคนพูดจะไม่พอใจอยู่หน่อยๆ เพราะคิ้วนั้นขมวดมุ่นจนแทบเป็นปม ลำบากคนมองต้องยื่นมือไปจิ้มให้มันคลายออก ไม่รู้ว่าคนงอแงกลัวเขาเปลี่ยนเรื่องหรือกลัวเขาไม่เชื่อที่ตัวเองเคยบอกกันแน่ แต่เท่าที่สังเกตดูแล้วจักรพรรดิคิดว่าน่าจะเป็นทั้งสองอย่าง

“ไปล็อคร้านก่อนไป”

“หือ...” ภีมภัทรทำหน้าตาสงสัย ทว่าขากลับเดินไปทำตามคำสั่งอย่างง่ายดาย เขาจัดการล็อคประตูร้าน ปิดผ้าม่านทั้งหมด เสร็จแล้วจึงเดินกลับมาพาจักรพรรดิเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวด้านหลังที่กว้างขวางพอสมควร

ห้องทำงานนี้เป็นห้องทำงานที่เชื่อมกับห้องนอนซึ่งเขาตกแต่งเอง เพราะตั้งใจทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่พักผ่อนไปในตัว แม้จะไม่ได้ใหญ่โตนักแต่ก็มากพอจะแบ่งให้เป็นสองห้องย่อย ช่วงเวลาที่ไม่ยอมกลับบ้านและต้องเข้ามาทำงานที่ร้าน เขาก็อาศัยนอนเอาที่ห้องด้านในตลอด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีเตียงนอนหรือชุดโซฟาอยู่ในห้องนั้นด้วย

“พี่จักรนั่งเก้าอี้คงเมื่อยแล้ว เข้าไปนั่งบนเตียงด้านในแล้วเราค่อยคุยกันดีกว่า”

ภีมภัทรยังคงใส่ใจสุขภาพและความสะดวกสบายของจักรพรรดิมากกว่าเรื่องใด เขาพาคนป่วยเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง ช่วยพยุงจนอีกฝ่ายนั่งพิงหัวเตียงแล้วจึงดึงผ้าห่มมาคลุมไว้ให้

“พี่เห็นของคนมินตราที่นั่น”  แม้จะเป็นการเกริ่นออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทว่าภีมภัทรกลับเข้าใจได้เป็นอย่างดี เขาจึงทำเพียงนั่งนิ่งแล้วรับฟังต่อ “มินตรา...คือแม่ของพี่”

“แม่ของพี่...”

แม้แต่คำว่าแม่ยังไม่อยากเรียก...ต้องเกลียดมากขนาดไหนกัน

“ที่ผู้หญิงคนนั้นส่งคนมาตามดูพี่ ไม่ใช่เพราะเป็นห่วง แต่เพราะกลัวว่าพี่จะเล่นตุกติก”

“แต่พี่จักรออกมาจากที่นั่นตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ” จากที่ฮ่องเต้บอกมา จักรพรรดิหยุดรักษาตัวไปเป็นปีแล้วนับจากกลับมาจากต่างประเทศ นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของทางนั้นมาเป็นปีเช่นกัน แต่ทำไม...

“พี่เคยอยู่ที่นั่นในฐานะหุ่นเชิด แต่ถึงจะเป็นหุ่นเชิดก็ยังได้ชื่อว่าเป็นประธานบริษัท เส้นสายและเพื่อนพ้องทั้งหมดที่มีคือตัวอันตราย แม้พี่จะไม่ได้มีชื่อเป็นเจ้าของสินทรัพย์หรือมีแค่เพียงในนาม แต่ถ้าคิดจะดึงอำนาจมาไว้ในมือก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้”

พูดง่ายๆ...ถ้าเขาคิดจะหักหลักแม่ตัวเองแล้วดึงทุกอย่างมาไว้ในกำมือล่ะก็ มันง่ายดายเสียยิ่งกว่าอะไร และมันก็ไม่ใช่แค่ ‘ถ้า’...เพราะจักรพรรดิไม่คิดจะอยู่ใต้เงามารดาแต่แรกแล้ว

“ตอนที่พ่อกับแม่ของพี่เลิกกัน พวกเขาแยกกันไปคนละทาง พ่อลำบากหาเลี้ยงพี่กับน้อง ส่วนแม่ไปได้สามีใหม่เป็นมหาเศรษฐีที่ต่างประเทศ จริงๆ เราแทบไม่ต้องเกี่ยวข้องกันเลยด้วยซ้ำ ผู้หญิงนั่นไม่ได้อยากเอาใครไปเป็นตัวถ่วง เราควรจะแยกกันไปแล้วไม่มีวันกลับมาพบเจอกันอีก...แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นเพราะแม่นั่นโลภมากไม่รู้จักพอ”

ตลอดเวลาที่จักรพรรดิพูดออกมาน้ำเสียงของเขามีเพียงความเรียบเฉยไร้อารมณ์ หากภีมภัทรกลับสัมผัสได้ถึงบรรยากาศกดดันน่าอึดอัดที่กระจายอยู่โดยรอบ เขาทำได้เพียงรับฟัง หากไม่อาจออกความเห็นอะไรได้เลยแม้แต่อย่างเดียว เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะพูดอะไรออกไป

“พ่อเลี้ยงเป็นคนเจ้าชู้ มินตราคิดว่าสักวันคงมีใครสักคนเดินมาบอกว่าท้องกับเขาแล้วมาแย่งทรัพย์สมบัติทุกอย่างไป เพราะงั้นถึงได้กลับมาเพื่อเอาตัวพี่ไปอยู่ที่นั่นในฐานะลูก และโชคร้าย...ที่พ่อเลี้ยงดันชอบความฉลาดของพี่และมอบทุกอย่างให้พี่จริงๆ ผู้หญิงคนนั้นสอนให้พี่เข้าใจถึงแก่นแท้ของเงินตราและอำนาจ แต่สุดท้าย...หลังจากเกิดอุบัติเหตุจนเดินไม่ได้ก็เขี่ยพี่ทิ้ง”

หุ่นเชิดที่พังแล้วจะเก็บไว้ทำไมให้รก...

เขายังจำคำพูดนั้นได้ดี

“คงเพราะกลัวว่าพี่จะแว้งกัดถึงได้ส่งคนมาตาม”

“แล้วพ่อเลี้ยงพี่ล่ะครับ”

“ตายแล้ว” จักรพรรดิตอบเสียงเรียบ “เขาอยู่กับพี่ตอนเกิดอุบัติเหตุ”

“หมายความว่า...” ภีมภัทรเบิกตากว้าง หัวใจสั่นระรัวด้วยความตกใจและหวาดกลัว

“ไม่ใช่หรอก” ราวกับจะรู้ว่าอีกคนคิดอะไร จักรพรรดิส่ายหน้าก่อนจะยื่นมือไปลูบหัวเด็กน้อยของเขาเบาๆ ให้คลายกังวล “ถึงจะโลภมากขนาดไหนแต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้กล้าพอจะวางแผนฆ่าใครหรอก วันนั้นฝนตกหนัก พ่อเลี้ยงของพี่ขับรถเอง เขาขับเร็วมากจนรถพุ่งชนเสาไฟฟ้าข้างทาง ส่วนมินตราก็แค่โชคช่วยเท่านั้น”

“ตกใจหมดเลย” ภีมภัทรถอนหายใจเฮือกใหญ่ สงสัยจะดูหนังมากเกินไปหน่อยถึงได้คิดเป็นตุเป็นตะไปหมด “แล้วพินัยกรรมล่ะครับ คนระดับนั้นน่าจะมีไม่ใช่เหรอ”

“ดูเหมือนก่อนตายพ่อเลี้ยงจะบอกทนายไว้แล้วว่ายังไม่ให้เปิดพินัยกรรม พี่ก็ไม่รู้ว่าเงื่อนไขคืออะไร แต่อำนาจในบริษัททั้งหมดจะตกเป็นของพี่ไปก่อนตามที่พ่อเลี้ยงเคยมอบหมายตำแหน่งประธานบริษัทให้ โชคร้ายที่พี่กลายเป็นคนพิการแบบนี้แล้วยังกลับมาอยู่ที่ไทย มันเลยเหมือนเป็นการสละสิทธิ์ให้มินตราก้าวเข้าไปรับช่วงแทน...ยังดีที่ก่อนเปิดพินัยกรรมไม่มีสิทธิ์ยุ่งกับสมบัติของพ่อเลี้ยงนอกจากการบริหารงาน ไม่อย่างนั้นแม่นั่นคงผลาญเงินไปจนหมดแล้ว”

“แล้วคนชื่อเกรย์...” เมื่อตั้งสติได้แล้วภีมภัทรก็รีบถามถึงเรื่องที่สงสัย ตอนที่แอบฟัง...หมายถึงได้ยินโดยบังเอิญ เขาได้ยินคำว่า ‘เกรย์’ ชัดที่สุด ยังไงคนคนนั้นก็ต้องเกี่ยวข้องกับพี่จักรไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่

“เกรย์เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่พี่ไว้ใจ” จักรพรรดิอธิบาย ทว่าแววตาทอประกายรู้ทันชัดเจนจนคนมองต้องหันหน้าหนี “เราจะติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์หรือเจอหน้ากันโดยตรงเท่านั้น โชคร้ายที่ตอนกลับมาที่นี่มินตรายึดทุกอย่างของพี่ไปหมด แล้วพี่ก็ไม่คิดจะเอาอะไรมาจากที่นั่นด้วย พอต้องการจะติดต่อทั้งที พี่เลยจำเป็นต้องขอให้พ่อที่ทำงานอยู่ต่างประเทศช่วยหาเบอร์เจ้านั่นมาให้”

“จะว่าไปภีมก็ไม่ได้เจอคุณลุงเลย ท่านทำงานอะไรเหรอครับ” ภีมภัทรจำได้ว่าเขาเคยเจอพ่อของสามพี่น้องตั้งแต่เด็ก แต่ตอนพี่จักรมาที่นี่ เขากลับไม่เห็นคุณลุงมาส่ง มีแค่ฮ่องเต้กับประมุขเท่านั้นที่มา

“ทำงานออฟฟิศธรรมดา แต่เพราะอยู่สาขาต่างประเทศเลยไม่ค่อยมีเวลากลับบ้าน”

“อ๋อ…”

“ทำหน้าอะไร” หน้าตาเหมือนกำลังสงสัยขั้นสุดและอยากถามเต็มแก่แบบนั้น เห็นแล้วไม่รู้จะหัวเราะดีหรือเปล่า

“ภีมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมคนดีๆ แบบพี่จักรต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย”

“…” คล้ายถูกเขย่าตัวจนได้สติ จักรพรรดินิ่งไปนาน แววตาคมมีประกายน่ากลัววาบผ่าน หากเพียงครู่เดียวมันก็จางหายไปจนใครอีกคนไม่ทันสังเกตเห็น

“พี่จักรแค่อยากติดต่อคุณเกรย์เพราะเป็นเพื่อนจริงๆ เหรอ”

“เปล่า” เขาตอบตามตรง ริมฝีปากยกยิ้มบางเมื่อเห็นสายตาคาดหวังของเด็กน้อย “แต่ภีมอย่าเพิ่งรู้เลย”

“อ้าว...ไม่ได้นะ บอกมาขนาดนี้แล้ว” ภีมภัทรหน้าเหวอ เสียงคล้ายจะงอแงก็ไม่เชิง แต่ที่แน่ๆ คือหน้าตึงไปแล้วเรียบร้อย ในขณะที่คนมองได้แต่หัวเราะเบาๆ อย่างผ่อนคลาย เขาโคลงหัวไปมา ทว่าแววตาจริงจังขึ้นหลายส่วน

“รอให้พร้อมแล้วจะบอกเอง”

“สัญญานะ”

“อืม”

ขอเวลาอีกนิด...

‘พี่จักรใจดีที่สุดในโลกเลย!’

เขายังไม่อยาก...ทำลายความเชื่อของเด็กคนนี้







หลังจากทานข้าวที่ภีมภัทรสั่งมาส่งที่ร้านเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มทั้งสองคนก็ตกลงกันว่าจะนอนที่นี่ ภีมภัทรโทรไปบอกบิดาเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงมานั่งพูดคุยกับจักรพรรดิอยู่นานเรื่องการทำงานของตัวเอง เพราะดูเหมือนพี่จักรจะอยากให้กลับมาทำงาน ได้ยินแบบนั้นแน่นอนว่าชายหนุ่มต้องรีบปฏิเสธ ภีมภัทรอยากให้พี่จักรอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับดอกไม้เยอะๆ จะได้มีกำลังใจในการรักษา แต่แค่โดนตอกกลับมาประโยคเดียวเขาก็เถียงไม่ออกอีกต่อไป

‘กำลังใจของพี่คือภีม ไม่ใช่ดอกไม้หรือบรรยากาศดีๆ อะไรทั้งนั้น ถ้ากังวลนักเราอยู่ที่นี่ด้วยกันก็ได้ ยังไงก็ใกล้โรงพยาบาลมากกว่า แล้วเสาร์อาทิตย์​ค่อยกลับสวน’

เอาแค่ประโยคแรกก็ตายสนิทแล้ว...จะเอาอะไรไปเถียงกัน

ภีมภัทรมองคนที่กินยาและหลับไปก่อนด้วยแววตาอ่อนโยน เขารู้สึกเหมือนความสัมพันธ์ของตัวเองกับพี่จักรดีขึ้นทุกวัน และถ้าไม่ได้เข้าข้างตัวเองมากเกินไป ดูเหมือนพี่จักรเองก็คิดไปในทิศทางเดียวกัน แต่เพราะอะไรบางอย่างมันทำให้ภีมภัทรกังวลมากมายเหลือเกิน...

เขาไม่เกี่ยงเรื่องที่ต้องรอ...ไม่ว่าจะให้รอนานแค่ไหน ต้องให้มั่นคงอีกเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร แต่ความรู้สึกแย่ๆ ยามได้ยินว่าแม่ของอีกฝ่ายส่งคนมาตามดูกลับไม่จางหายไปเสียที

ผู้หญิงคนนั้นอาจจะร้ายกาจตามที่จักรพรรดิบอก...เธอเคยมาเอาตัวพี่จักรไปแล้วครั้งหนึ่ง แล้วถ้าครั้งนี้เธอจะเอาตัวเขาไปอีก ภีมภัทรจะทำอย่างไร

“ไม่ได้...” เธอเป็นคนไม่ดี ไม่สมควรจะมายุ่งกับพี่จักร ยังไงก็ให้มายุ่งไม่ได้เด็ดขาด

ในฐานะที่เป็นทายาทรังสิมันตุ์ เรื่องเกี่ยวกับเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าและภีมภัทรไม่มีคืออำนาจ แล้วต้องทำอย่างไรเขาถึงจะปกป้องจักรพรรดิได้ ต้องทำอย่างไรถึงจะได้อยู่เคียงข้างกันตลอดไป

ดวงตาคู่สวยทอประกายดุดันและจริงจังราวกับเขากำลังกลับไปเป็นคุณชายภีมภัทรผู้สุขุมอีกครั้ง สิ่งที่ต่างไปจากเมื่อก่อนคงมีเพียงมือเรียวขาวซึ่งกำลังจับมือของคนที่กำลังนอนหลับไว้แน่นและไม่มีวันปล่อยไปอีก

“ภีมไม่ให้พี่ไป”

ไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น...

ครืด ครืด

ภีมภัทรรีบหยิบโทรศัพท์ที่สั่นอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่ามันจะทำให้คนบนเตียงตื่น โชคดีที่เจ้าของมือที่เขาจับไว้ยังไม่รู้สึกตัว ชื่อที่ปรากฏบนจอทำให้มุมปากบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มด้วยความมาดหมาย

[ภีม?]

“เต้”

[ผมแปลกใจสุดๆ เลยตอนเห็นนายโทรมา โทษทีนะที่เมื่อวานไม่ได้รับ เพิ่งได้ดูโทรศัพท์เมื่อกี้เอง]

ปลายสายหัวเราะเบาๆ ก่อนจะมีเสียงดังตึงตังตามมาเหมือนคนพูดกำลังเดินไปที่ไหนสักแห่ง

“ไม่เป็นไร”

[มีอะไรหรือเปล่าภีม ปกติถ้าไม่ใช่ผมหรือมุขโทรไปถามเรื่องพี่จักร ยังไม่เคยเห็นนายโทรมาเลยนะ]

ฮ่องเต้เป็นคนฉลาดและมองคนขาด ภีมภัทรรู้เรื่องนั้นดีเพราะเคยได้ยินจักรพรรดิพูดอยู่ครั้งหนึ่ง ฝ่ายนั้นคงไม่รู้เลยว่าตัวเองพูดถึงน้องชายด้วยสีหน้าภูมิใจขนาดไหน ซึ่งเขาก็เห็นด้วยในทุกเรื่อง เพราะตั้งแต่เด็กๆ ฮ่องเต้มักจะเป็นคนที่รู้เรื่องก่อนใครแทบทุกอย่าง ต่างจากน้องชายคนเล็กโดยสิ้นเชิง

“จริงๆ เมื่อวานผมจะโทรไปบอกว่าพี่จักรยอมรับการรักษาแล้วน่ะ”

[จริงเหรอภีม!]

น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจของฮ่องเต้ทำให้ภีมภัทรหลุดยิ้ม เขามองหน้าคนหลับอีกครั้งเพื่อยืนยันกับตัวเองว่ามันคือเรื่องจริง เสร็จแล้วจึงพูดย้ำด้วยความหนักแน่น

“จริงสิ”

[คิดไม่ผิดจริงๆ ที่พาพี่จักรไปหานาย ขอบใจมากนะภีม]

“ผมเต็มใจ”

[ว่าแต่...คงไม่ได้อยากคุยแค่เรื่องนี้ใช่ไหม]

“ฉลาดอีกแล้ว” เขาหัวเราะเบาๆ เช่นเดียวกันกับปลายสายที่ไม่ปฏิเสธอะไรสักคำ “เต้...”

[ฟังอยู่]

“แม่ของพวกนายส่งคนมาตามดูพี่จักร”

[…]

เพียงเท่านั้นเสียงหัวเราะที่มีก็จางหายไปแทบจะทันที ความตึงเครียดที่แม้ไม่เห็นหน้าก็สัมผัสได้ครอบคลุมไปทั่วบริเวณ และมันใช้เวลาเนิ่นนานกว่าฮ่องเต้จะกลับมาพูดอีกครั้ง

[นายรู้แค่ไหนภีม]

“ไม่ละเอียดเท่าที่นายรู้...พี่จักรไม่อยากพูดถึง และผมก็ไม่อยากกดดันเขา”

[อาทิตย์หน้าผมกับมุขรวมถึงพ่อจะไปหาที่นั่น...เราน่าจะต้องมาคุยกันหน่อย]

“ได้ ผมจะจัดการเรื่องที่พักให้”

[ภีม]

“หืม”

[ช่วยรับปากอย่างหนึ่งได้ไหม]

“…” ภีมภัทรไม่ได้ตอบรับในทันทีเมื่อได้ยิน เขาเพียงเงียบเพื่อรับฟังเป็นเชิงบอกว่าหากเป็นเรื่องที่รับปากได้ก็จะไม่ลังเล แต่หากทำไม่ได้ตนเองจะไม่มีวันพูดอะไรออกไปเด็ดขาด

[ได้โปรด...อย่าทิ้งพี่จักร]

“…”

[เขาไม่เหลือใคร...ไม่สิ...ต้องบอกว่าเขาไม่เคยมีใครอยู่เคียงข้างเลยต่างหาก]

คนฟังสูดหายใจเข้าจนสุด สายตาไม่ละไปจากใบหน้าซูบเซียวของคนป่วยเลยแม้แต่วินาทีเดียว น้ำเสียงเจ็บปวดของฮ่องเต้บาดลึกลงไปในใจ และมั่นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคนบนเตียงผ่านเรื่องราวเลวร้ายมามากมายขนาดไหน

“ผมรับปาก”

จะไม่มีวันทิ้งไปไหนเด็ดขาด...

ต่อให้ต้องทำอะไรแย่ๆ ต้องเห็นแก่ตัวมากขนาดไหน จากนี้จะไม่มีวันปล่อยมืออีกแล้ว...

‘ภีมของพี่เป็นเด็กดีที่หนึ่งเลย’

ถ้าภีมไม่ใช่เด็กดี...พี่จักรจะทิ้งภีมไปหรือเปล่า


————————





ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: ┌▼3KINGS▲┘==จักรพรรดิ==[8]==[P.3]== [25/04/61]
«ตอบ #89 เมื่อ25-04-2018 18:04:49 »

ยัยแม่ร้ายอ่ะ :serius2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด