37.เมธช่วยงานที่ร้านกาแฟของผม ลองชิมกาแฟและขนมหลายอย่าง ก่อนจะเปรย ๆ ออกมาว่าชอบงานแบบนี้เหมือนกัน ผมยิ้มขำตอนเขาพูดอย่างนั้น แต่ในใจกลับคิดตามว่ามันจะเป็นยังไงถ้าเขามาอยู่ด้วยกันกับผมจริง ๆ
“วันนี้ไปหาอะไรกินกันข้างนอกเถอะ” ผมเอ่ยปากชวน “อยู่แต่ในร้านแบบนี้น่าเบื่อตาย”
“เราไม่เบื่อนะ” เขาพูดแล้วสบตาผม “สนุกดี”
“แต่เราเบื่อ” เห็นเขาหัวเราะ ผมก็ถลึงตาใส่ “ไป กิน ข้าว ข้าง นอก”
“ครับ ๆ”
ผมพาเขามากินสุกี้เจ้าดังในห้างสรรพสินค้า สั่งนู้นสั่งนี่หลายอย่างเพื่อเป็นการขอบคุณที่เขาคอยมาช่วยงานที่ร้านหลายวัน เมธบอกว่าอีกสองวันคงต้องกลับบ้านแล้ว นั่นทำให้ผมรู้สึกใจหายนิดหน่อย แต่เขาก็ยังบอกว่าจะหาเวลาว่างมาเที่ยวที่ร้านผมอีกให้ได้
“มานี่บ่อย ๆ แล้วใครจะดูแลสวน”
เขายิ้ม “ถ้าสอบงานราชการได้จริง ก็ต้องทิ้งสวนอยู่ดี”
“น่าเสียดาย...”
“หรือปั่นไปเปิดร้านกาแฟในสวนเราดีไหม” ผมเงียบ เพราะไม่คิดว่าเขาจะพูดอย่างนี้ “พูดเล่นครับ”
“...”
“ปั่นไม่จำเป็นจะต้องทำอะไรเพื่อเราแบบนั้นแล้ว” เขายิ้ม และสบตาผมอย่างจริงจัง “เพราะเราจะเป็นฝ่ายทำให้ปั่นเอง”
ผมทำได้แค่หัวเราะกลบเกลื่อนไป “เราพูดจริงนะ”
“อย่าเพิ่งคิดอะไรล่วงหน้าเยอะแยะขนาดนั้นเลย” ไม่รู้ว่าทำไมต้องรีบตัดบทเขาอย่างนี้ “รีบกินก่อนเถอะ”
เขายิ้มเหมือนว่าเข้าใจดี “ทำสิ่งที่เมธอยากทำจริง ๆ ก่อนเถอะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
เราไม่ได้พูดอะไรกันอีก แต่ผมรู้ว่าเราต่างก็กำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง
“เราว่าตัวนี้เหมาะกับเมธนะ” ผมหยิบเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนตัวหนึ่งขึ้นมาทาบบนตัวเขา “ดูดีเลย”
“งั้นเราเอาตัวนี้”
“ให้เราซื้อให้นะ” ผมรีบบอก “ตอบแทนที่ช่วยงานที่ร้าน”
“เมื่อกี้ปั่นก็เลี้ยงข้าวเราแล้ว”
“เราอยากให้อีก” ผมตัดบท ก่อนจะรีบส่งเสื้อพร้อมกับเงินให้พนักงาน “เอาไว้ใส่ไปสอบก็ได้”
เขายิ้ม ก่อนบอกว่าจะซื้ออะไรสักอย่างให้ผมเหมือนกัน “งั้นเราเอานั่น”
เห็นผมชี้หมวกใบหนึ่ง เมธก็ทำหน้าแปลกใจ “จะใส่ไปไหน”
“เผื่อไปลุยสวนเมธไง” เห็นเขายิ้มกว้างกว่าเดิม ผมก็จนใจที่จะพูดอะไรอีก “เอาไปจ่ายเงินสิ”
เมธรวบถุงเสื้อกับหมวกไว้ในมือข้างหนึ่ง ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างแตะเอวผมขณะเดินออกจากร้าน ผมเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเขา จดจ่ออยู่กับความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขา แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง
มันแปลกที่มีวันนี้ แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าจะยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ
“อยากกินไอติมไหม” ผมพยักหน้าเมื่อได้ยินคำถาม “งั้นเราเลี้ยงนะ”
“อืม..”
เราไม่ได้กลับไปทำงานที่ร้านอีกในบ่ายวันนี้ แต่เลือกจะเดินดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยในห้างแบบไม่รู้จักเบื่อ เมธเล่าเรื่องอะไรให้ผมฟังหลายอย่าง ทั้งเรื่องงานและปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากพ่อแม่ของเขาเสีย ผมเงียบฟัง..แสดงความเห็นบ้างเมื่อเขาต้องการ ก่อนที่เราจะฝากท้องไว้กับมื้อเย็นในห้างอีกมื้อ
“ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้อร่อย ซื้อกลับไปฝากพี่ปูนด้วยนะ” ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับเขา “ปกติพี่ปูนกินเส้นอะไร”
“หมี่ขาว”
“พิเศษเลยเนอะ” ผมพยักหน้าอีก “แล้วปั่นเอาด้วยไหม เผื่อหิวดึก ๆ”
“พอแล้ว” ผมโบกมือปฏิเสธ “อันนี้เราจ่ายเองนะ”
“ให้เราเลี้ยงเถอะ” เขาว่าแล้วรีบลุกไปจ่ายเงินโดยไม่รอผม
“ตามใจ”
นอกจากมื้อเที่ยงกับค่าเสื้อแล้ว วันนี้ผมก็ไม่ได้จ่ายอะไรเองเลย..
คืนนั้นเรานอนคุยอะไรกันไปเรื่อยเปื่อยอยู่ค่อนคืน และมันก็ดึกมากเสียจนเมธหาวออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ผมนอนมองหยดน้ำที่ไหลออกมาจากดวงตาเขา มองแล้วก็ยื่นมือเข้าไปเช็ดออกให้
เราชะงักกันไปทั้งคู่..“โทษที” ผมบอกเมื่อตั้งสติได้ “เราเห็น..”
เมธดึงมือที่ผมใช้เช็ดน้ำตาให้เขาเข้าไปใกล้ ก่อนจะจรดริมฝีปากลงไป “เมธ..”
“จูบได้ไหม” ผมอึ้งที่ได้ยินอย่างนั้น “ถือว่าอนุญาตนะ”
แล้วเราก็จูบกัน
จูบที่ใช้เพียงแค่ริมฝีปากแตะกันเฉย ๆ
“ไม่อยากกลับแล้ว” เขาว่าแล้วขยับเข้ามากอดผม “ขออยู่ด้วยได้ไหม”
“...”
“เป็นเด็กเสิร์ฟในร้านก็ได้” เมธยังพูดไม่ยอมหยุด “หรือให้ช่วยถูพื้นเฉย ๆ ก็เอา”
“เมธ”
“เราชอบปั่นจริง ๆ นะ” เขาถอนหายใจ “ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ชอบมากขนาดนี้”
“...”
“ตอนที่คิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว”
“...”
“มันทรมานมากเลย”
ทำไมเขาไม่พูดมันให้เร็วกว่านี้นะ..
“ให้โอกาสเราหน่อยนะ”
ผมหลับตาลงเมื่อได้ยินคำนี้ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเขาขยับตัว “เมธ..”
เราจูบกันอีกครั้ง..
แต่จูบครั้งนี้ลึกซึ้งยิ่งกว่ามาก..ผมปล่อยให้เขาเลิกชายเสื้อของตัวเองขึ้นมา..
ปล่อยให้เขาใช้ปากสัมผัสไปทั่วทั้งตัว..
ก่อนจะได้สติเมื่อเขาแตะลงบนขอบกางเกง..
“เราว่า..”
พอผมทักท้วง เขาก็เหมือนได้สติกลับคืนมาด้วยเหมือนกัน “โทษที..”
“...”
“ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่าเนอะ” เขายิ้ม “เราขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน..”
“ขอโทษนะ”
เขายิ้มให้ผมอีกครั้ง “เราเข้าใจ..”
“...”
“เราจะรอนะ” ผมพยักหน้า ทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไปทำไม “เดี๋ยวเรามา”
“อืม..”
พอเขาเดินเข้าห้องน้ำไป ผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาภาค “รับสิ”
รอสายนานจนมันตัดไป ก็กดโทรซ้ำอีก “ภาค มึงรับสายกูหน่อย”
ผมสับสนตลอดเวลาที่รอสาย แต่สุดท้ายมันก็ไม่รับ ผมเลยวางโทรศัพท์มือถือกลับไปที่เดิม แล้วงอเข่าขึ้นมานั่งกอดเอาไว้ “หนาว”
ผมบ่นแล้วนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ทั้งที่รู้ดีว่าหากหยิบเสื้อขึ้นมาใส่ ผมก็จะหนาวน้อยลงแล้ว
มันหายหัวไปเลย..
มันบอกว่าจะกลับไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย..
แล้วมันก็หายหัวไปเลย..“แล้วกูต้องทำยังไงเหรอ” ผมเหลือบมองประตูห้องน้ำ ฟังเสียงหอบหายใจแผ่วเบาของเมธที่ดังลอดออกมา “กูจะทำยังไงดี”
Ma-NuD_LaW