19.ไม่อยากฝืนผมไม่เปิดโอกาสให้เมธได้เข้าใกล้ แม้ในช่วงโมงเรียนที่เราต้องนั่งเก้าอี้ติดกัน หรือต้องคุยกันเรื่องรายงานที่ทำคู่กันผมก็ไม่เว้นช่องให้เมธพูดเรื่องส่วนตัวได้ ผมอยากแสดงออกให้ชัดเจน ขีดเส้นระหว่างกันให้แน่ชัดว่าควรทำอะไรได้แค่ไหน จะได้ไม่ต้องมานั่งเจ็บปวดกับความใจดีที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบของเขาอีกแล้ว
ทั้งหมดก็เพื่อตัวผมเอง..
“เดี๋ยวคืนนี้เราพิมพ์เสร็จแล้วจะส่งเมล์ให้เมธตรวจดูอีกทีนะ” ผมบอกเขาขณะก้มหน้าจดทุกอย่างที่ต้องทำลงไปในสมุด “ถ้าโอเคแล้วเมธก็บอกมา เราจะได้เย็บเล่มส่ง..”
“จริง ๆ เราเดินไปดูที่ห้องปั่นเองก็ได้นะ”
“อย่าเลย..” ผมบอกทั้งที่ยังไม่หันไปสบตา “เราว่าแบบนี้สะดวกกว่า..”
“เหมือนแค่เป็นเพื่อนกันก็ยังเป็นไม่ได้แล้วนะ” ผมชะงักไปเมื่อได้ยินอย่างนั้น “แต่จริง ๆ เราก็ยังสับสนอยู่ ว่าตอนนี้เราเป็นอะไรกัน”
“...”
“เรียกว่าเลิกกันแล้วหรือเปล่า” เสียงเขาถอนหายใจ “เราอยากให้คุยกันจริง ๆ นะปั่น”
ผมหันซ้ายหันขวา มองดูเพื่อนร่วมชั้นที่ตอนนี้ทยอยออกจากห้องเรียนไปจนเกือบหมดแล้ว “เรา..”
“คุยกันสักทีเถอะปั่น”
ผมก้มหน้าลงแล้วหลับตา “เมธคงอยากได้ความชัดเจน”
“ใช่..เราอยากได้ความชัดเจน” เขาย้ำคำ “เพราะงั้นไปคุยกันเถอะนะ”
“คราวนี้เราขอเป็นคนเลี้ยงกาแฟเมธแล้วกัน”
เหมือนครั้งที่เราตกลงคบกัน..
เมื่อเริ่มต้นด้วยถุงกาแฟ ผมเองก็อยากให้มันจบลงด้วยถุงกาแฟ..
“ร้านเดิมนะ”
ผมเดินก้มหน้ามองพื้นตลอดทางกลับมาที่หอพัก มองเงาของเขาที่ทอดผ่านทับเงาของผมไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก ก่อนจะเผลอกลั้นหายใจเมื่อเห็นว่าเงานั้นหยุดนิ่งไม่เคลื่อนตามผมมาอีกแล้ว
“นึกว่าจะไม่หยุดรอแล้ว” เมื่อเห็นว่าผมหยุด เขาก็รีบเดินเข้ามาใกล้ “ขอบคุณนะ”
ผมพยักหน้ารับทั้งที่ไม่จำเป็น “เดินต่อเถอะ”
“คราวนี้เราเดินไปพร้อม ๆ กันดีกว่าไหม” ทั้งที่รู้สึกว่าเขากำลังมองมา แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะเงยหน้าไปสบตา “เมื่อกี้รู้สึกเหมือนเราไม่ได้มาด้วยกันเลย”
“อย่าใจดีกับเรานักเลย” ผมพูดเหมือนพึมพำกับตัวเองมากกว่า “เดี๋ยวเราได้ใจอีก”
“อีกสิบก้าวก็ถึงร้านกาแฟแล้วนะ” เหมือนเขาเลือกจะเมินคำพูดของผม “อยากจะเลี้ยงเราจริงเหรอ”
ผมรู้สึกหนัก ๆ ในใจ “เราอยากตอบแทนเมธบ้าง”
“คิดว่าแบบนี้มันดีแล้วจริง ๆ เหรอ”
“...”
“ถ้ามันดีจริง ทำไมเรารู้สึกไม่ดีเลยล่ะ”
“เพราะเมธเป็นคนดีไง” ผมบอกแล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง “เพราะงั้นให้เราทำดีกับเมธบ้างเถอะ”
“ปั่น..”
ผมเดินตรงเข้าไปสั่งกาแฟมาสองถุง ยืนรออยู่ไม่นานก็ได้มันมาอยู่ในมือ พอเหลือบตามองคนที่ยืนรออยู่ข้างกันแล้วก็ได้แต่ยิ้มให้กับตัวเองเงียบ ๆ ในใจ
ผมกำลังจะทำสิ่งที่ดีที่ถูกต้องแล้ว..
“ที่เดิมนะ” เห็นเขาเลิกคิ้ว ผมก็ขยายความ “ไปคุยกันที่เดิมนะ”
“อืม”
ผมเดินนำเขาไปยังจุดเดิม..
จุดที่เป็นจุดเริ่มต้นทุกอย่างระหว่างเรา..
“กาแฟ” เขายื่นมือมารับถุงกาแฟจากผมไปถือไว้ในมือ “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะ”
เห็นเขาเงียบ ผมเลยพูดต่อ “เรามีความสุขมากเลย”
“...”
“ทุกอย่างมันเหมือนฝันจนเรา..”
“เราไม่เคยคิดว่าจะทำให้ปั่นรู้สึกเหมือนว่าอยู่แค่ในความฝันหรอกนะ” เขาพูดแทรกขึ้นมา “สงสัยเราคงทำได้ไม่ดีพอ”
“เมธ..”
“ปั่นทำเหมือนไม่เห็นคุณค่าในตัวเองเลย” สีหน้าเขาดูแย่ลง “ในสายตาปั่น เราดูสูงส่งมากแค่ไหนเหรอ”
“...”
“ทำไมผลักเราให้ขึ้นไปยืนในที่สูงขนาดนั้น ทั้งที่เราก็แค่ผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่ง” เขาจ้องตาผม “จริง ๆ แล้วปั่นต้องการอะไรจากเรากันแน่เหรอ”
“หมายความว่ายังไง”
“เรารู้ว่าปั่นเข้าใจ”
“...”
“ปั่นรู้ว่าเราจริงจังแค่ไหนกับเรื่องของเรา”
“...”
“รู้ว่าเรารู้สึกดีกับปั่นมากแค่ไหน..”
“แต่มันก็ไม่ใช่ความรัก” ผมตัดบทเขา “และเราแกล้งมองข้ามมันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
“...” กลายเป็นเขาที่เงียบบ้าง
“ยิ่งกว่านั้นคือเราทนฟังคำถากถางของไอ้ภาคไม่ไหวแล้ว”
“...”
“เพราะงั้นเราเลิกกันเถอะนะ”
“นี่เราพยายามกันจนถึงที่สุดแล้วหรือยัง” เขาถามคำถามที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ “ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันแย่เสียจนแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วอย่างนั้นเหรอ”
“...”
“รู้ไหมว่าเรากับแนนพยายามกันมากแค่ไหนกว่าจะยอมแพ้แล้วจบความสัมพันธ์ระหว่างกันแบบนั้น”
“อย่าเอาเราไปเปรียบเทียบกับแนน” ผมรู้สึกขุ่นใจขึ้นมา “กับคนที่เมธรักคนนั้น..”
“เราแค่อยากให้ปั่นเห็นภาพ” เสียงเขาอ่อนลงเหมือนจะปลอบ “อยากให้ปั่นเข้าใจสิ่งที่เรากำลังบอก”
“...”
“เพราะงั้นช่วยฟังเราหน่อยได้ไหม”
“เราไม่อยากฟังเรื่องของคนที่เมธรัก” ตาผมพร่าลงเพราะน้ำตา “ไม่อยากฟัง”
“เราเคยรัก”
“...”
“ถ้าปั่นจะฟังที่เราพูดสักนิด”
“พอเถอะ” ผมปล่อยถุงกาแฟลงพื้น “เราเหนื่อยแล้ว”
“...”
“เราไม่ได้อยากได้ยินอะไรจากเมธเลย”
“...”
“นอกจากคำว่าเมธรักเรา”
“...”
“ซึ่งมันคงไม่มีวันนั้นใช่ไหม”
Ma-NuD_LaW
มีคนทำผิดกฎ
ไหนใครพิมพ์คำว่าสั้น หรือคำที่สื่อถึงคำว่าสั้น ต่อแถวมาจ่ายค่าปรับเดี๋ยวนี้