〖New!〗Falling in ✓♥ หลุมพรางหัวใจ ของนายหน้านิ่ง Chapter:53〖13/02/61〗
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 〖New!〗Falling in ✓♥ หลุมพรางหัวใจ ของนายหน้านิ่ง Chapter:53〖13/02/61〗  (อ่าน 29329 ครั้ง)

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ thitema3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
Failing In Love 

เริ่มใหม่


จากหนึ่งเป็นสองจากสองเป็นสาม เวลาผ่านล่วงเลยไปหลายอาทิตย์ ตอนนี้สภาพร่างกายของผมเหมือนคนที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่. ผมรู้สึกเป็นคนใหม่ อารมณ์ใหม่บรรยากาศใหม่ๆ และผู้คนรอบข้างที่คุ้นเคยก็ยังเป็นคนใหม่ ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยเสียงนาฬิกาปลุกไม่สิต้องเรียกว่าเสียงสั่นๆที่หัวเตียงต่างหาก

เช้าวันนี้เป็นวันเสาร์ที่ดูสดใส ผมมองออกไปข้างนอกหน้าต่างเพื่อรับแสงอาทิตย์และวิตามินในยามเช้า ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันและรีบลงไปช่วยงานพี่ริวกับอาม่าข้างล่าง

"อ้า อา ตี๋เล็ก ลื่อจะรีบลงมา ทำไมอ่า เดี๋ยวอาการก้อแย่เอาได้อ่า"เสียงอาม่ากล่าวทักทายในตอนที่ผมก้าวขาลงมาจากบรรไดชั้นสองเพียงไม่กี่ก้าว

"ผมหายดีแล้วครับม่า ว่าแต่  พี่ริวไปไหนหรอครับ"เพราะปกติเวลาแบบนี้ พี่ริวคงจะกำลังวุ่นๆอยู่กับการจัดของในร้านหรือไม่ก็ยืนรดน้ำให้ดอกกล้วยไม้อยู่

"อ๋อ อาตี๋ใหญ่ อีออกไปซื้อของให้ม่า อ่า พอดีของในร้านมันหมด "

"อ๋อ  ครับ"

"แล้วนี้ลื้อหิวรึป่าวอ่า จะกิง อาไร ก่อง มั้ย"อาม่าถามผมด้วยรอยยิ้ม

"ยังดีกว่าครับม่า เดี๋ยวรอพี่ริวกลับมา เราค่อยกินพร้อมกัน"ผมพูดบอกพร้อมกับเดินไปช่วยอาม่าจัดโต๊ะวางของจนคนก่อนที่อาม่าจะแยกเข้าไปในครัว ส่วนผมกลับขึ้นมาบนห้อง เพราะพึ่งนึกลางๆได้ว่าตัวเองลืมพับผ้าห่ม จึงถือโอกาสนี้ จัดห้องไปด้วยเลย


หลังจากที่จัดห้องเสร็จก็ใช้เวลาไปเกือบๆชั่วโมงผมกับมานั่งพักอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ สายตาผมก็บังเอิญป๊ะ เขากับโน๊ตบุ๊ค Acer. ของพี่ริวเลยถือโอกาสเสียมารยาท ตวรจสอบความเป็นอยู่ของตัวเองหน่อยแล้วกัน


แต่พอกำลังจะกดเข้าแอพพิเคชั่นตัว "F"สีฟ้าผมก็นึกขึ้นได้


"กูลบแอคเค้าท์ไปแล้วนิ่หว่า" ผมยกมือขึ้นตีกระโหลกไปหนึ่งทีเพื่อเรียกสติตัวเอง ก่อนจะรีบบึ่งลงมาข้างล่าง เพราะเหมือนเมื่อครู่ผมจะได้ยินเสียงรถของพี่ริวขับเข้ามาที่ร้านแล้ว

ช่วงบ่ายๆผมขออาม่ากับพี่ริว ออกมาข้างนอกบ้านบ้างเพราะรู้สึกว่าหลายสัปดาห์มานี้ ผมจะเอาแต่หมกตัวอยู่บ้านจนลืมบรรยากาศภายนอกไปหมดแล้ว

ไอตอนแรกพี่เขาก็จะไม่ยอมให้ผมออกมาหรอก บอกกลัวผมหายไปอีก ผมก็พยายามหาเหตุผลร้อยแปด ขึ้นมาพูดจนในที่สุดพี่เขาก็ยอม ให้ผมออกมา


กริ๊งๆ ! เสียงกริ่งของรถขายไอศครีมกะทิขับผ่านไปผมรีบวิ่งตามก่อนจะตะโกนบอกให้ลุงคนขาย เขาจอดก่อน


"เอาอะไรดี ไอหนุ่ม" ผมอึ้งไปแปปนึงเพราะลุงคนที่ขายไอศครีมคือคนเดียวกันกับที่ผมเจอหน้าร้านโจ๊ควันนั้น

"นี้ลุงเป็นสายสืบรึไงครับ ไปตรงไหนก็เห็นแต่หน้าลุงเนี้ย"ผมพูดหยอกล้อลุงแบบไม่คิดอะไร


"หึ "ลุงขำหึในลำคอ

"เอ็งก็ว่างมากนักสิ มายืนบ่นคนแก่เนี้ยเรียกให้จอดแล้วเอ็งจะซื้อรึไม่ซื้อ"ลุงแกพูเเสียงแกมๆหงุดหงิดแต่หน้าแกก็ยังคงยิ้มอยู่

"ขายยังไงอะลุง "ผมยื่นหัวเข้าไปใต้ร่มใบใหญ่ก่อนจะเอ่ยปากถาม

"เอาตังมาเอา ไอติมไป"ดู๊ดูลุงแกตอบผมสิ

"นี้ทั้งวันลุงยังขายไม่ได้เลยใช้มั้ยนี้ดูทรงแล้ว"

"เฮ้ยไอหนุ่มเอ็งรู้ได้ไง"ลุงแกแกล้งเอามือทาบอกเหมือนตกใจที่ผมดำมั่วแต่เสือกถูก

"ก็ปากอย่างงี้ใครเขาจะซื้อลุงกันละ"ทั้งผมและลุงหัวเลาะชอบใจ แต่เมื่อกี้ผมจำได้ลางๆว่าผมไม่ได้ชมนะเว้ย ทำไมลุงแกถึขำวะ ชักงงๆ

"อะนี้ " อยู่ๆลุงแกก็ตักไอติมใส่ในลูกมะพร้าวยื่นมาให้ผม

"ผมยังไม่ได้เลือกเลย"ผมร้องตอบลุง

"ก็ไม่ได้ให้เลือกนิ อันนี้ข้าให้เอ็งให้"สีหน้าลุงดูจริงจังกับคำพูดของตัวเองมาก

"ได้ไงครับลุง ของซื้อของขายให้ฟรีงี้ขาดทุนกันพอดี"

"เอาเถอะน่า วันนี้ลุงถูกหวย"

"วันนี้วันที่14 ลุงจะมาถูกหวยอะไรวันนี้อย่ามาอำผม"

"เอาน่ารับไว้เถอะน่า น้ำใจคนเฒ่าคนแก่ หรือเอ็งรังเกียด"

"ป่าวๆครับลุงผมไม่ได้รังเกียด "ผมรีบพูดตอบลุงเพราะกลัวแกเข้าใจผิด

"ผมแค่เกรงใจลุงเฉยๆ"

"...."ลุงแกเงียบครับ..สงสัยงอล

"ลุงโกรธผมป้าวเนี้ย"ทั้งๆที่ก็ไม่ค่อยสนิทกันแต่ทำไมผมถึงต้องตามง้อลุงแกด้วยวะผมยังไม่เข้าใจตัวเองเลย


"อะๆแค่รับก็พอใช่มั้ย"ลุงแกยิ้มร่าทันทีในตอนที่ผมรับไอติมมาถือไว้ในมือ

ผมรีบจ้วงไอติมเข้าปากเพื่อให้แกสบายใจ

"แล้วนี้ลุงจะปั่นไปแจกไแบบนี้ทั้งวันเลยหรอ"ผมถามลุงด้วยความสงสัย

"ถูกชะตากับใครข้าก็ให้ไม่ถูกข้าก็ขาย" พูดจบลุงแกก็ตั้งท่าปั่นจักรยานพ่วงรถไอติมต่อแต่ผมรีบเรียกลุงแกไว้

"ลุง" ลุงแกหันมามองสายตานิ่งๆ

"ขอบคุณสำหรับไอติมนะครับ ผมรู้สึกดีเพราะไอติมของลุงเลยนะ เนี้ย"พูดจบลุงแกก็ยิ้มที่มุมปากก่อนจะยกมือขึ้นโบกไปมาเหมือนตอบผมเป็นนัยๆว่าๆมาเป็นไร ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาปั่นต่อไป


ถ้าหากผมได้เจอคนแบบลุงอีกสัก คนก็คงดี...ผมได้แต่ถามอยู่ในใจก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้าต่อพร้อมกับไอติมมะพร้าวอันใหญ่ๆที่อยู่ในมือ

พรึ่บ!  ไอติมมะพร้าวที่อยู่ในมือผมหล่นลงพื้นผมก้มลงมองอย่างนึกเสียดายก่อนจะหันไปสบตากับไอคนที่พึ่งจะเดินชนผมไปเมื่อตะกี้


"ขอ.โทษทีครับ พอดีผมเหม่อๆหน่ะผมไม่ได้ตั้งใจนะ"คำด่าที่อยู่ในปากผมถูกหยุดลงเพียงเพราะคำพูดของคนตรงหน้า

"ม..ไม่เป็นไรครับ แต่ที่หลังก็มองทางหน่อยละกัน"ผมว่ากล่าวบอกคนตรงหน้าที่ดูๆแล้วน่าจะเด็กกว่าผมอยู่หลายปี ก่อนที่เขากำลังจะก้ม ลง ..เฮ้ยย!!ผมรีบดึงตัวเขาขึ้นเพราะคิดว่าน้องจะกราบตีนผม(แต่แป่ว)เขาก้มเก็บหนังสือต่างหากหลังจากที่กำลังกอบกู้เสดหน้าที่ฝแตกเกลื่อนไปทั่วถนน ผมก็รีบก้มลงช่วยไอน้องคนนี้เก็บของที่ตกอย่างช่วยไม่ได้


"เมื่อกี้คิดว่าผมจะ...."ผมรีบพูดแทรกขึ้นก่อนเพราะผมรู้ว่าไอเด็กนี้มันจะพูดอะไร ห่านจะล้อเลียนกูละสิ

"เอ่อ ทีหลังก็เดินระวังๆหน่อยละกัน"ผมเบือนหน้าหนีกลบเกลือนความอายก่อนจะรีบเดินชิ่งออกมา

พรึ่บ อีกแล้ว รอบนี้อะไรอีกวะ ผมร้องบ่นในใจอย่างอดไม่ได้ก่อนจะรีบใช้มือปัดอะไรสักอย่าง ที่ติดอยู่บนหน้า

ผ้าพันคอที่เกี่ยวอยู่บนกิ่งไม้ ผมหันมองซ้ายขวาไม่เห็นใครอยู่บริเวณนี้เลย อ่อ สงสัยจะลอยมาละมั้ง จะว่าไปช่วงปลายๆปีแบบนี้ถึงแม้จะมีแสงแดดในช่วงบ่ายแต่มันก็ยังมีลมเย็นผสมลอยมาด้วย และพอผมพึ่งนึกได้ ขนแขนเจ้ากรรมก็ดันลุกซู่ ด้วยความเย็นที่ลอยไปทั่วชั่นบรรยากาศ ผมรีบแกะผ้าพันคอมี่พันเกี่ยวกับกิ่งไม้มาวางไว้บนมือก่อนจะเดินกลับบ้านไปด้วยความหนาวเย็นที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


จะว่าไปสภาพอากาศของเมืองไทยบ้านเรานี้ก็แปลกนะครับนึกอยากจะร้อนก็ร้อนซะจนตับแทบแตกส่วนไอจะหนาวก็หนาวแบบไม้มีปี่ไม่มีขลุ่ยอะไรเลย รวมถึงตอนนี้ด้วย ผมกลับมาถึงร้านพี่ริว. ในตอนที่ลูกค้าพึ่งเดินออกจากร้านพอดีและก็เป็นเรื่องดีที่ผมจะได้ช่วยงานพี่เขาด้วย


และระหว่างที่กำลังก้มๆเงยๆเก็บจานอยู่นั้นเองสายตาผมก็บังเอิญไปเห็นเอกสารวางอยู่บนโต๊ะ จึงรีบบอกกับพี่ริว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2017 23:16:48 โดย thitema3 »

ออฟไลน์ thitema3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2

"พี่ว่าคงเป็นพวกโปรชัวร์แนะนำนั้นแหละมั้ง ทิ้งไปเถอะ"ในเมื่อพี่ริวพูดขนาดนี้ปล้วนิเนอะผมก็เลยขยำๆทิ้งลงถังขยะไปแต่มันเหมือนมีอะไรมาดลใจให้ผมหันหลังกลับไปเก็บกระดาษแผ่นนั้นมาและคลี่อ่านออกด้วยความตั้งใจ

"ด้วย บริษัท Tnk software. ได้มีแนวทาง....ตื่ดๆๆๆ ...ที่จะตื้ดดๆๆๆ ...หาแนวร่วมสร้างธรุกิจกลุ่มใหญ่โดยมีแนวคิด ....ตื้ดดๆๆๆ (ยาวไปไม่อ่าน)  ทั้งนี้เราอยากขอเชิญ ผู้ที่มีความคิด  ความกล้า ความมั่นใจและมีแนวคิดอะไรใหม่ๆ มาร่วมเป็นครอบครัวในการสร้างธุระกิจ ซอรฟ์แวร์ ...."เฮ้อ...ผมวางใบโปรชัวร์ลงที่โต๊ะพร้อมกับถอนหายใจออกมาเสียงดัง. ขนาดพี่ริวที่ยืนวุ่นๆอยู่หลังร้านยังออกมาถามผมด้วยความเป็นห่วง

"เป็นอะไรรึเปล่าเจ"พี่ริวถามผมพร้อมกับเอามือลูบหัวผมเบาๆ

"ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย"

"คิดเรื่องอะไรอยู่ละเรา"

"ผมเองยังไม่รู้จำทำไงต่อกับชีวิตเลยอะพี่"

"หืม"พี่ริวขยับเข้ามานั่งข้างๆผมก่อนจะหยิบโปรชัวร์ที่ผมพึ่งขยำคลี่ออกมาอ่าน

"ผมไม่อยากใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยแบบนี้อะครับ ผมอยากทำอะไรอย่างคนอื่นเขาบ้าง "

"เช่น"พี่ริวถามขึ้น

"ตื่นเช้าไปทำงาน กลับบ้านมาทำงานอีกนิดหน่อย กินข้าวแล้วก็นอนหลับแล้วก็ตื่นเช้าไปทำงานอีก"

"นั้นมันมนุษย์เงินเดือนชัดๆ ชีวิตอย่างนี้มันน่าเบื่อนะ เจไม่เห็นตอนพี่กลับมาทุกวันหรอ สภาพพี่ยังกับศพ"มันเป็นเรื่องจิงที่ผมเห็นเกือบทุกวันพี่ริวทำงานหนักจนบางทีผมตื่นมาในตอนเช้าก็ยังเห็นพี่เขานั่งทำงานหัวผงกอยู่เลย

"แต่ผมอยากเรียนรู้นิครับ"

"เจมั่นใจหรอว่าจะรับไหว" พี่ริวถามผมเสียงหนักแน่น

"ไหวไม่ไหวผมก็อยากลองดูอะครับ เกิดมาครั้งเดียว อยากลองอะไรให้มันครบ"พี่ริวหลุดหัวเราะออกมาในตอนที่ผมพูดตอบ

"งั้นก็ลองไปสมัครนี้ดูสิ "พี่ริวพูดพร้อมกับยื่นใบโปรชัวร์ที่ผมพึ่งขย้ำไป

"ผมไม่มีความรู้ด้านนี้อะพี่ ไปสมัครยังไงเขาก็คงไม่รับ"

"เราอ่านดูครบรึยังละ"เป็นเพราะพี่ริวพูดผมถึงต้องดึงใบกระดาษมาอ่านอีกรอบให้ถ้วนถี่

ตรงวงเล็บด้านล่างมันเขียน ตัวอักษรสีแดงๆไว้ว่า

"ไม่จำกัดวุฒิและไม่เน้นประสบการณ์" และยังมีต่ออีกนิดๆว่า

"เพราะเราจะเรียนรู้มันไปพร้อมๆกัน "ลงชื่อ Tnk software

"เฮ้ย อย่างงี้ผมก็สมัครได้อะดิ่"ผมร้องุถามพี่ริวที่นั่งอยู่ข้างๆ

"ก็แน่ละสิ น้อยบริษัทนะที่จะมีข้อจำกัดแบบนี้"ผมรีบโถมตัวเข้าไปกอดคนข้างๆรับรู้ถึงความเกร็งแปลกๆอยู่ที่ตัวพี่เขา

"อ..เอ่อ..ยังไงก็สู้ๆนะ"พี่ริวพูดจบก็เดินเหม่อลอยขึ้นห้องไปโดยไม่ได้หันมาคุยอะไรกับผมอีก... สงสัยอากาศคงหนาวละมั้ง...


......................

เช้าวันถัดมา. วันนี้เป็นวันที่ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแถมในความตื่นเต้นนั้นยังแฝงไปด้วยความประหม่านิดๆอยู่ด้วย

ช่วงเวลาเช้าๆแบบนี้สภาพอากาศก็เริ่มหนาว..ไม่สิหนาวมาตั้งแตีเมื่อคืนแล้ว


ผมไม่ลืมที่จะพกเสื้อกันหนาวและผ้าพันคอผืนใหม่(ที่พึ่งเก็บได้)พกติดตัวมาด้วย อย่างน้อยก็ขอให้ความอบอุ่นเล็กๆน้อยๆนี้ช่วยทำให้อาการตื่นกลัวผมลดลงได้บ้าง ถึงจะน้อยนิดเดียวก็เถอะ..


ณ .ตึก  TNK Software

โอ้โห อือหือ อู้หู้ ผมไม่รู้จะบรรยายเกี้ยวกับสถานที่นี้ยังไงดี คือดีไซน์ตึกมันสวยมาก รวมไปถึงการตกแต่ง อถมความสูงนี้ก็ใช่เล่น ถ้าให้ผมเดาๆน่าจะเกือบ 20ชั้นได้มั้ง


แต่ประเด็นสำคัญมันไม่ได้อยู่แค่ตรงนั้นครับ

ผู้คนที่เดินไปมาถือซองเอกสารสีน้ำตาลคงไม่ต้องเดาให้ยากครับ มาสมัครงานกันแน่ๆแต่คือจำนวนคนมันเยอะมาก ความประหม่าของผมมันเลยทวีคูณเพิ่มเป็นเท่าตัว..เรื่องเสียงหัวใจนี้ไม่ต้องสืบครับเต้นรัวยิ่งกว่าจังหว่ัสามช่าอีก กว่าที่ผมจะก้าวขาแต่ละก้าวได้นี้ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก ผมเดินเข้าตึกไปซึ่งมีพนักงานคอยต้อนรับผมด้วยรอยยิ้ม. แถมแอร์ด้านใน

ยังเปิดซะเย็นจนไข่สั่นไปหมดโชคดีของผมหน่อยที่พกเสื้อคลุมมาด้วยเลยช่วยบรรเทาความหนาวได้บ้าง


"มาติดต่อเรื่องสมัครงานใช่มั้ยคะ"พี่พนักงานตรงเคาท์เตอร์ถามผมที่ยืนเหวอๆมองบรรยากาศโดยรอบอยู่..


"ค..ครับ"


"นำเอกสารมาด้วยรึเปล่าค่ะ"

"เอ่อสักครู่นะครับ"ผมก้มลงหยิบเอกสารในซิงก่อนจะยื่นให้พี่เขา


"ยืนรับบัตรคิวตรงนี้แล้วก็นั่งรอ ให้คนมาเรียกชื่อนะคะ"ผมยิ้มตอบก่อนจะหยิบบัตรคิว

แม่จ้าว!  คิวที่ 360 ระหว่างที่ว่างๆผมเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมพลางๆ

"เชิญรอด้านนี้ก่อนเลยนะค่ะ เดี๋ยวจะมี อีกคนเรียกชื่อแล้วก็รอเข้าห้องสัมพาทได้เลยคะ"

"ขอบคุณมากครับ"


"เอ่อ ที่ตรงนี้ว่างมั้ยครับ "เสียงของใครก็ไม่รู้แต่เหมือนเขาจะคุยอยู่กับผมนะ "

"ว่างครับนั่งได้เลย "ผมพูดตอบแต่สายตากำลังจ้องเกมส์ในมือถืออยู่..แต่ผ่านไปได้พักนึงคนข้างๆก็ุถามผมต่อ

"มาสมัครงานเหมือนกันหรอครับ"ผมกรอกตามองบนอย่างเสียอารมณ์ที่ถูกรบกวนสมาธิในกานตีป้อมก่อนจะหันมาตอบ

"ทุกคนที่มาที่นี้ในวันนี้ก็มาสมัครงานกันทั้งนั้นแหละครับ"น้ำเสียงผมกัดฟันกรอด..แต่เอ๊ะไหงไอคนนี้หน้าถึงดูคุ้นจังเลยนะ แต่ช่างมันเหอะผมขอตัวตีป้อมก่อนละกัน และหวังว่าไอคนข้างๆผมมันคงจะไม่นึดสงสัยุามอะไรต่อนะ..

ระหว่างนั้นเองเสียงเรียกชื่อแต่ละคยก็ดังต่อไปเรื่อยๆจนในที่สุด...

"คุณ เจตรินทร์ หมายเลข 360 คุณ.......ตื้ดๆๆ คุณ กิตติทัศน์หมายเลข 365 เชิญเข้าห้องสัมพาทค่ะ"ผมรีบขานรับโดยอัตโนมัติรีบปิดเสียงโทรศัพท์ในมือก่อนจะเดินนำ คนจากอีกสี่หมายเลขเข้าห้องไป

ในห้องนั้นเอง...

"คุณเจตรินทร์จากที่อ่านประวัติของคุณมาคร่าวๆแล้ว คุณมีประสบการณ์ในการทำงานเยอะเลยนะครับ"คือจะบอกว่าไงดีไอใบที่เขาให้กรอกมามันไม่มีช่องไหนให้ผมติ๊กว่าไม่เคยเลย เขามีแต่เขียนบอกว่าให้เขียน ประวัติในการทำงานที่ผ่านมาผมก็เลยร่ายยาวไปตั้งแต่ทำงานอยู่สมัยปีหนึ่งนู้นแหนะ..ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับซอรฟ์แวร์อะไรเลยจริงๆ

"เคยโปรโมทสินค้าด้วยเหรอค่ะ "เสียงของผู้หญิงท่าทางเย้อหยิ่งถามขึ้น ดูท่าเธอคงจะมีอำนาจในทีนี้ไม่น้อยผมจึงไม่รีรอที่จะตอบเธอกลับไป

"เคยครับตั้งแต่สมัย ฝึกงานช่วงแรกๆ"เธอพยักหน้าเอือมๆแต่ก็ยอมรับฟัง

"อย่างงี้ก็เคยทำการตลาดมาแล้วสินะคะ"เออถึงจุดนี้ผมควรตอบไงดีนะ คือแค่ไปเป็นลูกมือช่วยเขานิดๆหน่อยๆนี้ถือว่าเป็นการตลาดมั้ยอะ แต่ด้วยสปิริทที่แรงกล้าผมจึงตอบเธอกลับไป

"ผมเคยทำงานในเป็นผู้ช่วยในทีมการตลาดมาเมื่อปีก่อนเองครับ"ไหลไปอีกมึงเจ

"ทั้งฝึกงานและโปรโมทสินค้ามาก็เคยแล้วครับ"คณะกรรมการดูมีสีหน้าอึ้งๆในตอนที่ผมพูดตอบ  แต่..แต่มันยังไม่จบแค่นี้ครับ.ผมยังแถได้อีก

"ระหว่างในการทำงานผมได้เข้าถึงและเรียนรู้ถึงใจของผู้คน มันถือได้ว่าเป็นรางวัลให้กับชีวิตของผมที่เคยได้รับมาเลยครับ"

"หึ"เสียงพูดผมหยุดชะงักเพราะเสียงใครคนนึงที่ดึงขึ้นมาแทรกจังหว่ะ ผมเลยหันไปมองหมายเลข 365ถึงรู้ว่าเขาเป็นคนขำ (ไอคนที่กวนสมาธิผมตะกี้นิ่)

"อ่า..พูดได้ดีนะคะ"เป็นคณะกรรมการอีกคนที่พูดขึ้นทำให้ผมเลิกสนใจไอคนที่เขาและมาสนใจงานต่อ

"จากประวัติที่เขียนล่าสุด งานที่ทำ คือเป็นผู้ช่วยในการช็อปปิ้งใช่มั้ยคะ "

"ใช้ครับ"ผมตอบด้วยความมั่นใจ

"อ๋อ งั้นจากประสบการณ์ของคุณ อยากรบกวนให้คุณช่วยแนะนำแฟชั่นที่เหมาะกับตัวดิชั้นหน่อยได้มั้ยคะ"ผมมองเธออึ้งๆ คือเอาจริงๆมั้ย ผมก็เป็นแค่เซลล์ขายของดีๆเองนี้แหละแต่แค่เขียนเว่อร์ไปเท่านั้น(ตามคำแนะนำของเชี้ยวิน)

"แต่ถ้าจะทำแบบนั้นคุณคงต้องรู้ว้าดิฉันเป็นคนยังไงก่อนใช่มั้ยค่ะ"เธอถามผมยิ้มกรุ่มกริ่ม ผมหน้าเสียเล็กน้อยแต่ก็ต้องอดทนฮึดสู้ต่อ

"ดูจากบุคลิคภายนอกแล้ว. คุณเป็นคนเก่ง ที่รู้ว่าอะไรเหมาะกับตัวเองดีอยู่แล้ว คุณเป็นคนมีไหวพริบ การที่คุณเอาผ้าพันคอมาปิดริ้วรอยที่คอ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและเหมาะมาก คุณปกปิดจุดบกพร่องด้วยเครื่องประดับที่ลงตัว แถมการแต่งตัวของคุณยังดูไม่เหมือนใครอีก ผมว่าการแต่งตัวสไตน์แบบนี้เหมาะกับคุณที่สุดแล้วละครับ"สาบานได้ผมจำประโยคพวกนี้มาจากหนังเรื่องนึง แต่โชคดีไปอย่างทีมันดันบังเอิญตรงกับที่ผมพูดออกไปแบบเป๊ะๆ เธอเองก็ดูท่าทางจะพอใจกับคำพูดของผมมากถึงขนาดแสะยิ้มออกมาที่มุมปาก

แต่แล้วอยู่ๆ ไอคนข้างๆผมมันก็ดันพูดแทรกขึ้นอีกทำเอาผมที่กำลังยิ้มด้วยความดีใจต้องหันไปถลึงตาใส่แทน



"ผมว่ายังมีอีกครับ"ไอคนข้างๆพูดขึ้น

"เชิญออกความเห็นค่ะ"คนที่ผมพึ่งจะวิจารณ์เธอไปพูดขึ้น

"จากความยาวของคอทั้งหมด คุณโชวมาแค่เศษหนึ่งส่วนสี่เท่านั้น ผมคิดว่าการเปิดเผยอีดนิดหน่อยมันอาจจจะเพิ่มแรงดึงดูดให้กับตัวคุณเองกับเพศตรงข้ามได้มากขึ้นนะครับ"เธอเองที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบก้มหน้ายิ้มๆเขียนเอกสารเหมือนกำลังให้คะแนนประเมินอยู่แต่ให้ตายสิ มันแย่งซีนผมอะ ...


แล้วหลังจากนั้นการถามคำถามก็ยังเป็นไปด้วยความดุเดือดแต่ ผมก็โดนขัดคอทุกทีด้วยฝีมือคนเดิมๆ

"ในตอนนี้ทุกคนก็ได้ตอบคำถามกันหมดแล้วนะคะ เพราะชะนั้นดิฉันก็จะขอกล่าวสรุป ว่าจริงๆแล้ว ประสบการณ์ที่พวกคุณได้หรอกมามันเป็นเพียงตัวช่วยให้พวกคุณได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วดิฉันก็ไม่รู้ว่าประสบการณ์พวกนั้นจะช่วยอะไรคุณในบริษัทนี้ได้มั้ยนะคะแต่ยังไงก็ขอขอบคุณที่มาร่วมกันแสดงความคิดเห็นนะคะ หวังว่าภายภาคหน้าเราอาจจะได้ทำงานร่วมกับพวกคุณทุกคนอีก สำหรับวันนี้ขอบคุณจริงๆค่ะ

เสียงพูดของเธอจบพร้อมกับเสียงปิดประตูที่ดังออกไป ทุกๆคนภายในห้องถยอยกันเดินออกไปรวมถึงตัวผมที่รู้สึกๆม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

ระหว่างที่ออกมานั้นเอง

"นี่นาย!"ผมตะโกนเรียกไอตัวที่ที่ทำเอาผมเฟลตั้งแต่ก่อนเข้ายัยตอนออกโดยไม่แคร์สายตาของใครหลายคนที่มองมาทางนี้เลย ไอตัวสูงหันมามองผมเหมือนสงสัย ก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

"นายนั้นแหละ"

"มีธุระอะไรกับผมหรอ"มันถามหน้านิ่ง

"ทำไมถึงต้องคอยขัดเวลาคนอื่นพูดด้วยละ "ผมถามสีหน้าเคร่งเครียดแต่เจ้าตัวกับยืนทำหน้านิ่งเหมือนไม่รู้สึกผิดอะไีร

"ผมเปล่าขัดนะ อีกอย่างผมชื่อชมคุณจะตาย คุณพูดดีมากนะ"ชื่นชมกับผีกูนิ

"แล้วเวลาชื่นชมใครนายก็ทำแบบนี้ตลอดเลยรึไงไม่รู้หรอว่ามันเป็นเหมือนการหักหน้าคนพูดขนาดไหน มันเกือบจะดีอยู่แล้วเชียวถ้านายไม่ดันมาขัดมันซะก่อน "อีกฝ่ายดูอึ้งๆแต่คำพูดผมมันยังไม่จบ

"ถึงช่วงนี้งานมันจะหายากแค่ไหนแต่ก็ไม่ควรทำอย่างนี้กับคนอื้นสิ"และในตอนนั้นเองอีกฝ่ายก็พูดแทรกขึ้น

"นี้พี่คนสวยครับ"ผมยังงงๆแต่ก็ลองหันมองด้านหลังอยู่ก็ไม่มีใคร

"ว่าอะไรนะเมื่อกี้"ผมถามย้ำเพราะเผื่อหูตัวเองจะฝาดไปแต่คำถามยังเสือกเหมือนเดิม


"คนสวยไง"อีกฝ่ายตอบหน้านิ่งพร้อบกับชี้นิ้วมาที่ผ้าพันคอขอผม

"นั้นน่ะของผม" ผมพ่นลมใส่ผมม้าตัวเองก่อนจะเริ้มพูด


"นี้ไอหนู..ก็เข้าใจนะ ว่าสมัยนี้เงินทองมันหายากแต่ก่อนจะพูดอะไรช่วย ดูดีๆก่อนนะว่ามันใช่ของตัวเองรึเปล่าๆไม่ใช่มาพูดสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้"ผมบ่นๆปนสอนเล็กน้อย

"ผมดูดีแล้ว ที่พี่ใส่อยู่อะของผม "

"ทำไมถึงมั่นใจนัก"ผมถามกลับ

"ไม่เชื่อพี่ก็ลองพลิกด้านหลังดูสิตรงปลายๆ จะมีชื่อสลักว่า Zg."และด้วยความลังเลผมเลยลองพลิกตามที่ไอเด็กนี้มันบอกแล้วก็ต้องหน้าชาเมื่อมันมีชื่อสลักไว้จริงๆ ผมกระแอ่มเสียงเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินไปกดลิฟฟ์แก้วที่อยู่ตรงหน้า

"โอ้ยเปิดสักทีสิวะ"ผมได้แต่ล่นกับตัวเองเบาๆพร้อมกับเสียงขำหึๆที่ลอยลอดผ่านเข้ามาในหู

ใจจริงอยากจะรีบคืนผ้าพันคอให้ไอเด็กนี้มันไปๆซะนะ แต่ทำไงได้อะ หน้าผมแตกหมอไม่รับเย็บเลย แค้จะยื่นหน้าไปมองมันตอนนี้ก็ยากแล้ว ไว้โอกาศหน้าแล้วกันนะไอหนู.....

ปิ๊ง! เสียงลิฟฟ์เปิดเป็นเหมือนเสียงสวรรค์ที่ผมรอคอยผมไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปในลิฟฟ์


แต่แล้วทุกการระทำของผมก็ถูกหยุดลง เพียงเพราะเจอเข้ากับใครคนนึงเข้า

มันเหมือนมีภูเขาหิมะขนาดใหญ่กำลังหล่นลงมาทับอยู่ที่ตัวผม ขาผมแข็งไปหมด ผมก้าวเดินไม่ออก ลำคอแห้งฝืด ขนาดเสียงที่จะพูดผมยังเปร่งไม่ออกเลย...

ใครคนนั้นที่ผมพูดถึงมันคือคนที่ผมเคยรักสุดหัวใจ คนที่ผมยอมทิ้งทุกอย่างได้เพื่อมัน และเป็นคนเดียวกับที่ผมยอมทิ้งความสุขทั้งหมดได้เพียงเพราะมันคนเดียว ใครคนนั้น ก็คือ


กาย...


TBC...

อย่าพึ่งหายกันไปน้า  *  "  *


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ thitema3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
มีพักนึงที่เงียบหายไปขอโทษด้วยนะครับตอนนี้จะกลับมาอัพให้ตามปกติแล้ว  อย่าพึ่งหายกันไปน้า   '.'

ออฟไลน์ thitema3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
Falling in love

ข่าวดี

หลังจากที่ผมยืนอึ้งหันหลังให้ลิฟฟ์อยู่นาน  ผู้คนด้านในก็เดินออกกันไปหมดแล้ว ตอนนี้เลยเหลือแค่ผมกับกายเพียงสองคนด้านใน


ไม่มีเสียงพูดคุยหรือเสียงพูดคุยอะไรออกจากสียงของลมหายใจของเราทั้งสองคน ใบหน้าเคร่งตรึงที่จ้องมองมาผมมองเห็นได้จากเงาที่สะท้อนผ่านกระจกสีใส  ผมไม่สามารถเดาทางและอารมณ์ของอีกฝ่ายได้เลย

ผมควรทำลายบรรยากาศมาคุ ด้วยวิธีไหนดี จะเดินออกไปเลยก็ไม่ได้ จะรอลิฟฟ์เปิดก็อีกตั้งสี่ชั้น หรือจะชวนมันคุยดี ..ใช่ ชวนคุยว่าแต่ผมควรจะชวนมันคุยเรื่องอะไรดีละ ..อืม..เรื่องงานละกัน..หวังว่ามันคงจะไม่เงียบใส่ผมหรอก..ใช่มั้ย..ผมเองชักไม่แน่ใจ..




ปิ๊ง! ระหว่างที่กำลังคิดหาประโยคขึ้นมาพูดประตูลิฟฟ์เปิดออก


เวร ชั้นล่างสุดแล้วหรอทำไมไวงี้วะ..


หมับ...

คำพูดในหัวผมดับวูบ ทันทีที่มีมือของกาย จับมือของผมไว้และเป็นฝ่ายเดินนำออกไปด้านนอก ซึ่งเป็นจุดที่ไม่ค่อยจะมีคนนัก


"กายปล่อย..."จบคำพูดผมมันปล่อยมือผมในทันที ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าที่กระเป๋าเสื้อสูตของมันมาเช็ด....ผมมองตามสิ่งที่คนตรงหน้าทำแล้วรู้สึกใจตัวเองกระตุกวูบ ..เหมือนมีอะไรที่แหลมคมผ่านเข้ามาทิ่มแทงหัวใจผมด้วยความเร็วสูงแล้วมันก็ลับหายไป..


"ก็ไม่ได้อยากจะจับมากนักหรอก.."อีกฝ่ายพูดด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไรแต่คนฟังนี้สิ..รู้สึกเต็มๆ

"พาออกมามีเรื่องอะไรจะพูดรึไง"ผมเป็นฝ่ายขึ้นเสียงบ้างเพราะถ้าหากผมเงียบก็เท่ากับว่าผมยังแคร์มันอยู่ทั้งที่จริงๆแล้วไม่เลย..

"มาทำไม"เป็นคำถามที่คนฟังอย่างผมถึงกับต้องทำหน้างง

"ถามแปลก มาบริษัทกูคงมาวิ่งเล่นกับป้าๆแม่บ้านมั้ง"

"หึ"อีกฝ่ายกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะเสหน้ามองไปทางอื้นแต่หางตาก็ยังเหล่ๆมาทางผมอยู่

"มีบริษัทอยู่เป็นร้อยเป็นพันที่แต่ทำไมมึงถึงต้องมาบริษัทนี้...ทำไมต้องเป็นบริษัทของกูด้วย.."ผมเงียบ..ฉับ ตอนที่ได้ยินประโยคสุดท้าย..สาบานได้ผมๆมาเคยรู้มาก่อนว่าบริษัทนี้เป็นของมันมาก่อน


"เอ่อ.."คำพูดที่ผมเตรียมจะพูดเมื่อกี้ พากันลอยหายไปพร้อมกับลมหนาว. ในหัวว่างเปล่าไปหมด แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมเองก็ต้องรีบกู้ข้อมูลเก่าๆกลับมสพร้อมกับเปลี้ยนสีหน้าซึมๆของตัวเองให้ดูเป็นปกติอีกครั้ง


"ก็..บริษัทนี้ เขาบอกว้ารับ คนแบบไม่จำกัดวุฒิ ไม่จำกัดความสามารถ  แถมยังไม่มีเส้นสายอีก ถ้าจะให้ไปสมัครเขาก็คงไม่รับหรอก..แล้วอีกอย่างนะ ถ้ากูได้ประสบการณ์จากที่นี้จนพอแล้ว กูจะขอลาออกไปทำงานที่อื่น. ไม่ต้องรอให้คนอย่างมึงมาไล่กูหรอก."

"นั้นมันเรื่องของตัวมึงเอง .."อีกฝ่ายหันมาจ้องหน้าชัดๆก่อนจะเริ่มพูดน้ำเสียงจริงจัง

"กูเกลียดมึงและไม่อยากเห็นหน้ามึงอีก รู้ไว้ด้วย และก็ไม่ต้องลำบากมาส่งเอกสารนะ เพราะยังไงกูก็ๆไม่รับมึงเข้าทำงานเเน่นอน"พูดจบเจ้าตัวก็รีบเดินหมุนตัวสวนทางกับผมไป..แต่ผมรีบชิงพูดขึ้นมาก่อน

"ใจแคบขนาดนั้นเลยหรอ อย่าใช้ความรู้สึกส่วนตัว เข้ามายุ่งกับเรื่องงานสิ แต่ก่อนมึงไม่ใช่คนแบบนี้ไม่ใช่แบบนี้"ผมพูดตอกกับพร้อมกับคิดอะไรเดัยวในใจ..

"พูดออกไปขนาดนี้แล้ว เดี๋ยวมันก็คงใจอ่อน ระบเราเข้าทำงานเองนั้นแหละ ขอนับถอยหลังรอเลยแล้วกัน

3...2...นนน..นึ่..และ

"ไม่ละ..อดีตมันจะเป็นยังไงไม้สำคัญหรอกตอนนี้. ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ดี มาก! "มันเน้นคำว่ามากใส่หน้าผม อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาทำตามกับอะไรที่มันเึยเป็นอดีตแล้วละ"ผมรู้สึกหน้าชาเล็กน้อยในหัวเริ่มกลับมาตื่ออีกครั้ง กายมันทำท่าหันหลังเดินจากไปอีกครั้งแต่คราวนี้ผมรีบเดินไปจับมือมันเพื่อพูดอะไรบางอย่างแต่กลับถูกสบัดแขนออกอย่างแรง

"แล้วจะต้องให้ทำยังไง ต้องนั่งขุกเข่าขอโทษเลยมั้ย"ผมพูดประชด

"ก็เอาสิ"ผมตกใจมากที่ได้ยินคำตอบจากปากมันแบบนี้แถมสายตามันยังบอกกับผมอีกว่ากำลังรอดูในสิ่งที่ฒพึ้งจะพูดไปว่าจะทำจริงๆรึเปล่า


"ทำไมละ ทำไม่ได้หรอ...ถ้าทำได้อาจจะคิดใหม่เรื่องรับเข้าทำงานก็ได้นะ"อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่คนฟังแบบผมถึงกับพูดอะไร ไม่ออก


ผมกำหมัดแน่นแนบไว้ข้างลำตัวในใจมีแต่คำถาม ว่าผมควรจะทำจริงๆหรอวะ


แต่เหมือนตัวผมจะไปไวกว่าความคิดเสมอในเมื่อมันอยากเห็นผมก็จะทำดู..แต่ทำไมรู้สึกว่าขาตัวเองมันหนักอึ้งอย่างนี้วะ. คุกเขาสิ ขุกเข่าสิ ...


ขาผมกำลังจะถึงพื้น แต่อีกฝ่ายเดินหมุนตัวกลับไป แล้วไม่หันกลับมามองที่ผมอีกเลย


ไรของแม้งวะ..แม้จะรู้สึกตะหงิดๆ บวกกับเจ็บแปลบในตอนแรกนิดๆแต่ตอนนี้ผมกับมันเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว ผมจะไม่ปล่อยให้อดีตเก่าๆมาทำลายชีวิตปัจจุบันของผมอีก ที่ผ่านมาผม คงคิดผิดที่โทดตัวเองฝ่ายเดียวและก็คงไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะเกลียดผมเข้าไส้ขนาดนั้น แต่นั้นมันก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วจะยังนึกถึงทำบ้าอะไร...ถึงผมจะยังไม่ลืมเรืองที่เคยผ่านมา แต่เชื่อเถอะ...ผมเป็นได้อีกไม่นานหรอก..คอยดูนะผมจะพิสูทให้ทุกคนเห็นว่าผม ไม่ได้รู้สึกอะไรกับมัน แล้ว


สัญญากับตัวเองพร้อมกับหมุนตัวกลับ

"ขอกูไปตั้งหลักก่อนละกัน เราคงได้เจอกันบ่อยขึ้นนะ ไอประธาน"


..................


พาท ของกาย

 

โว้ยยยยยๆๆ!!!! 

ผมร้องตะโกนอยู่ที่ห้องทำงานชั้นบนสุด ด้วยอารมณฺ์ไหนผมเองก็อธิบายไม่ถูกแต่ที่รู้ๆคือหงุดหงิดเข้าขั้นรุนแรง..

"พี่กาย ผมเอารายชื่อคนที่มาสัมพาทงานงันนี้มาให้ครับ ขอเข้าไปนะ"เสียงไอปอนรุ่นน้องคนสนิทสมัยตอนอยู่มหาลัยของผมเองครับมันเป็นเด็กนิสัยดีขยันทำงาน แถมยังไว้ใจได้ด้วย ผมขอดึงตัวมันมาในตอนที่มันพึ่งเรียนจบหมาดๆ และอาจเป็นเพราะด้วยความสนิทกันมานานผมก็เลย อณุญาติให้มันเรียกผมเหมือนที่เคยพูดคุยกันมันสมัยก่อน ถึงในตอนนี้จะมี คำว่าประธาน ค้ำหัวอยู่แล้วก็ตามที


"เออเข้ามา"ผมบอกอนุญาติไอปอนมันเลยเดินเอาเอกสารมาวางไว้ให้ที่โต๊ะ

"แล้วนี้ คุณไพโรจน์ฝากมาให้ครับ"

"เอาไปทิ้งและคราวหน้าคราวหลังไม่ต้องรับมาอีก"ผมบอกมันเสียงแข็ง

"แต่..."

"หรือมึงอยากจะตามเขาไปห้ะ"ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ นักถ้าจะถามว่าทำไมผมถึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแบบนี้นะหรอ คงต้องท้าวความสมัย ทำบริษัทช่วงแรกๆเลย ไอวิโรจน์เนี้ย ผมขอพูดแบบไม่ให้เกียติแล้วกันนะ


เขากับผมเคยร่วมกันทำธุรกิจในช่วงแรกๆด้วยกัน เริ่มๆมันก็ดีนั้นแหละครับแต่พอมาถึงช่วงกลางๆปัญหาก็ตามมา บริษัทเกือบปิดตัวลง  แล้วไอวิโรจน์เนี้ย รีบชิ่ง ถอนหุ้นทั้งหมดของมันออกไปจนหมดก่อนจะนัดออกไปคุยบอกว่า จะขอเลิกลงทุนกับผมเหตุเพราะกลัวผมล้มละลายแต่ นึกแล้วก็ขำนะครับ ล้มละลายมันใช้กับผมไม่ได้หรอก เพราะถึงต่อให้ผม จะพบเจอทางตันเข้าจริงๆผมก็ยังมีเงินสนับสนุนจากคุณแม่อีกเพียบซึ่งไม่ต้องกลัวเลยว่าจะมีปัญหา แต่เหมือนเขาคนนี้จะกลัวไง เลยรีบทิ้งผมในช่วงที่เราลำบาก ปล่อยให้ผมทำแก้ปัญหาอยู่แค่คนเดียว จนเมื่อเวลาผ่านไปปัญหาทั้งหมดของผมมันก็ค่อยๆคลี่คลาย ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมสเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง...และครั้งนั้นเองถึงทำให้ผมได้รู้ว่าใครจริงใจกับผมบ้าง...


"โหพี่ งานช่วงนี้ยิ่งหายากๆอยู่ อย่าไล่ผมออกเลยนะพี่นะ"มันพูดพร้อมกับเดินมาทำท่าจะเลียขาผมให้ได

"พอๆไอสัดกูไม่ไล้มึงออกหรอก เสร็จงานแล้วใช่มั้ย เสร็จแล้วก็ไปสิ"ผมปัดๆมือไล่มัน

"พี่ไม่คิดจะดูหน่อยหรอ..คนที่มาสมัครอะ คราวนี้จะให้ผมเอาเอกสารไปวางไว้เฉยๆอีกแล้วใช่ปะ"ที่มันต้องพูดเพราะมันคือความจริงครับ ผู้สมัครรอบที่แล้วนี้มีแต่พวก คนไม่มีพื้นฐานกันแล้วทั้งนั้นเลย..แต่ลูกพี่ลูกน้องผม อย่างพี่เอื้อยนี้สิ ดันไปเขียน ว่ายินดีต้อนรับทุกๆคนแม้จะไม่มีประสบการณ์ก็ตาม ผมละชักเริ้มจะปวดหัวกับพี่ตัวเอง จนถึงตอนนี้ผมเองก็ยังหาตัวเธอไม่พบอีกตามเคย สงสัยจะอยู่เลี้ยงน้องฟ้าใสอยู่บ้านก็เป็นได้

อ่อผมลืมบอกอีกอย่างพี่เอื้อยพี่ลูกแล้วนะครับ ชื่อน้องฟ้าใส ตอนนี้อายุก็ราวๆ 6-7ขวบได้แล้ว


"มึงยังอยู่กูไม่มีสมาธิ  ดู"

"ไม่เกี่ยวอะเอาจริงๆผมอยู่ไม่อยู่พี่ก็ไม่ดูเหมือนเดิม"และด้วยความลำคาณผมเลยลองเปิดๆดูหน้าเว้นหน้า ก่อนจะเจอเข้ากับใบสมัครของใครคนนึงเข้า

"เจตรินทร์"ผมแสะยิ้มมุมปาก บ่นพึ่มพัมเบาๆคนเดียว

"เป็นไงพี่ มีเข้าตาสักคนมั้ย "ผมเงยหน้ามองไอปอนก่อนจะตอบ


"เข้าตาหรอ..มีสิ"ผมกัดฟันพูดพร้อมกับหยิบใบเอกสารตรงหน้ามาขยำทิ้งแล้วเควี้ยงใส่ถังขยะไป

ตอนแรกก็นึกว่ามาเล่นๆแต่นี้มีใบสมัครทิ้งไว้ด้วย แต่ฝันไปเถอะว่าผมจะรับ ผมจะไมมีวันกลับไปรู้สึกแบบเดิมๆอีกเด็กขาดไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามแต่ที่กลับมาหาผมแล้วจะหวังหาประโยชน์เข้าตัวละก็นะ ผมว่าเขามาผิดที่แล้วละ และแทบไม่ต้องเสียเวลาต่อมเลยเดิน หน้าตึงๆออกไปสูบบุหรี่ที่บนดาดฟ้าเพื่อระบายความเครียดแทน


.............

พอกลับมาถึงบ้านพี่ริวผมก็เจอเซอร์ไพทร์ใหญ่เลยครับ เซอรฺไพทร์ที่ว่าก็คือ.....


"อิเจ  กรี๊ดทำไม่ได้เจอกันนานหล่อขึ้นเยอะเลยเพื่อนฉัน"จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอิกี้เพื่อนสนิทในคณะของผมเอง


"มึงมาได้ไงอะ.."

"ถามสามีหลวงมา"คงหมายถึงเชี้ยวินสินะ ลืมบอกไปครับว่าอิกี้มันคลั่งไอวินเพื่อนเอามากๆ

"อ๋อเหรอแล้วหายหน้าหายตาไปไหนมาตั้งนาน ขาดการติดต่อไปเลยเน้อพวกเราตั้งแต่เรียนจบ". อิกี้มันรีบหันมาถลึงตาใส่ผมก่อนจะหยิกทีาข้อมือผมจนเจ็บไปหมด


"เจ็บ หยิกทำห่าไรเนี้ย"

"หยิกเรียกสติมึงนะสิคะ  อิดอก  อยู่ๆ ก็หายจากโลกโซเชียลกูกับอิเบนเทนนิต้องรีบตามหามึงกันซะยกใหญ่ เป็นเหี้ยไรค่ะ ดราม่าผัวทิ้งหรอ". พอกี้มันพูดขึ้นอารมณ์ดีๆของผมก็จบลงทันที

"เจ ... เรื่องจริงดิ"มันคงพอจะเดาออกผ่านสีหน้าและแววตาผมมั้ง

"เฮ้ยกูตกใจนะเนี้ย มันมีอะไรเกิดขึ้นในช่วงสองปีที่แล้วบ้างเนี้ย ไหนมึงลองเล่าแบบละเอียดยิบให้กูฟังทีสิ"จากใบหน้าทะเล้นของมันในตอนแรกก็เปลี่ยนมาเป็นสีหน้าจริงจังขึ้นทันที ผมถอนหายใจเสียงดังก่อนจะเริ่มเล่าทุดอย่างให้มันฟังอย่างไม่มีปกปิดเลยสักนิดเดียว

พอมันได้ฟังเรื่องราวของผมมันก็ถึงกับร้องไหสะอื้น ออกมาเสียงดัง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-11-2017 14:56:07 โดย thitema3 »

ออฟไลน์ thitema3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
"ฮึก...อิเจ..กูสงสารมึงอ่า..ฮือ..กู..ขอกอดมึงหน่อย..."พูดจบมันก็อ้าแขนรอผม ผมเลยขยับชิดเข้าไปกอดตามึำขอของมัน  แปลกแต่จริงพอเวลาผมได้เล่าอะไรๆที่มันค้างคา. ในใจผมก็เริ่มรู้สึกสบายผ่อนคลายขึ้นมาทีละนิดๆ

"ยิ่งกว่าละครเลยใช่ปะละ"ผมพูดให้เรื่องทุกอย่างมันดูตลกทั้งทีใจจริงๆแล้วมันเป็นตลกฝืดๆ

"มึงเขัมแข็งมากนะเจ อิเหี้ย มึงนี้ยังกับนางเอก ส่วนฝั่งพระเอกนั้นก็ไม่รู้ถึงห่าอะไรเลย แล้วทีนี้มึงจะเอาไงต่อ. จะปล่อยให้มันจบไปแบบเข้าใจกันผิดๆแบบนี้อะหรอ"อิกี้หยุดร้องไหเช็ดน้ำตาที่แขนเสื่อก่อนจะถามผม

"มึงคิดว่ากูจะทำอะไรได้อีกละ กายมันแต่งงานแล้ว ส่วนกูก็เลิกกับมันมาตั้งนานแล้ว ต่อให้มันรู้ความจริงยังไงตอนนี้แม้งก็สายไปอยู่ดี ..."ผมพูดน้ำเสียงสบายๆเหมือนไม่รู้สึกอะไรแต่แปลก ที่ผมไม่กล้ามองหน้าเพื่อนตัวเองตอนพูดได้เลย ..กลัวมันจับได้ ว่าผมโกหก


"ให้กูช่วยมั้ยกูช่วยได้นะ"คำพูดของไอกี้ทำเอาใจผมชื้นขึ้นมาเล็กน้อย


"หยุดเสือกสักเรื่องแล้วเอาเวลา ที่จะมาช่วยกูเนี้ยไปหาผัวตัวจริงของมึงให้เจอดีกว่า"

"เจ็บกว่าโดนอิเบนตบอีกนะคำพูดมึงเนี้ย ..เออแล้วตอนนี้ได้งานทำยังว่างงานอยู่รึเปล่า"สีหน้ามันดูกระตือรือร้นแปลกๆ

"ก็มีไปสมัครไว้หลายที่นะ วันนี้ก็ไปสมัครมา"

"ที่ไหน"

"Tnk.  Software"

"เชี้ย!!!!"อยู่ๆมันก็ร้องเสียงหลง

"เป็นห่าอะไร"ผมถามมันด้วยความเป็นห่วง


"นั้นบริษัทผัวมึงนิ่.."ผมชะงักเล็กน้อย

"มึงรู้?"

"อย่าบอกนะว่ามึงก็รู้..."ผมทำหน้าหงอยแทนคำตอบ

"เชี้ยแล้วไง เสือกดันไปทำงานอยู่บริษัทผัวเก่า ถามจริงตอนไปสมัคร นี้มึงไม่รู้จริงๆหรอว่าใคนเป็นเจ้าของ"ผมส่ายหน้าดิก


"แล้วมึงก็ยังนะ...โอ้ยกูยอมใจ..แล้วเจอเขามั้ย..."

"เจอใคร"

""โอ้ยจะใครละก็ผัวเก่ามึงอะ"ผมพยักหน้าเบาๆ


"แล้วเขาทำอะไรมึงบ้างปะ..."ผมลองนึกตามถึงหลายชั่วโมงที่ผ่านมา

"จับมือ"อิกี้ทำหน้าเคอะเขิน"สบัดทิ้งเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดที่มือมัน จากนั้นมันก็ตะโกนใส่หน้าบอกว่าจะๆม่มีวันรับกูเข้าทำงานเด็ดขาด"ผมบอกน้ำเสียงปกติ

"โอ้ยเว้นวรรคซะห่างไกล สรุปคือเขาไม่ชอบมึงแล้วว่างั้น"ผมทำสีหน้าไม่ถูกเมื่อมันถามแบบนี้

"คงงั้นมั้ง"

"ทำไมมึงดูชิวจัง ไม่แคร์เขาหน่อยหรอ  แบบ รู้สึกผิดไรเงี้ย"จะว่าไป..


"ก็มีนะแต่แค่แปปเดียวอะ กูเฉยๆแล้วกูโอเค"ผมพูดบอกตามความจริงจากก้นบึ้งของหัวใจตัวเองเลย

"เฺฮ้อแบบนั้นมันก็ดี แต่กูเสัยดายวะๆ หรอรวยๆการศึกษาดีขนาดนั้นใครได้เป็นผัวคงโชคดีแบบสัดๆ"พูดจบมันก็หันมามองผมแบบยิ้มๆ

"อะไร มึงจะล้ออะไรกู จะบอกว่ากูโชคร้ายว่างั้น"ยิ่งพอมันเห็นผมหงุดหงิดมันยิ่งมีความสุข อิบ้านิ

"เออมันก็ดีแลเวที่ถอยออกมา เพราะดูๆแลเวกูว่างานบริษัทคงไม่เหมาะกับมึงเท่าไหร่"อิกี้มันอมยิ้มตอนพูด

"แล้วกูเหมาะกับงานอะไรวะ"ผมถามเพื่อนตัวเองด้วยความอยากรู้

"บริการไงค่าา"จบคำพูดผมรีบลุดวิ่งไล่มันไปทั่วบ้าน ด้วยความโมโห มันหาว่าผมเหมาะกับงานอย่างว่าอะ หึ้ย คิดแล้วหงุดหงิดแต่จะว่าไปการกลับมาของอิกี้ครั้งนี้ก็ดีเหมือนกันนะ อย่างน้อยผมก็ยังมีเพื่อนที่คอยรับฟังผมอยู่ ...ขอบใจนะมึงที่กลับมา


วันถัดมาด้วยความที่ไม่อยากคาดหวังอะไรล้มๆแรงๆผมเลยเดินทางไปสมัครงานอีกหลายที่โดยมีพี่ริวคอยหาสถานที่และเบอร์โทรติดต่อให้

ที่แรก

"ประวัติและการทำงานของคุณไม่เพียงพอสำหรับเรา ต้องขอโทษด้วยนะคะ เราคงรับคุณไม่ได้


ที่ๆสอง

"จากประวัติการทำงานของคุณใช่ได้เลยนะครับ..แต่มันคนละสายงานกันผมคงรับคุณไม่ได้ ขอโทษด้วยจริงๆ


และที่สุดท้าย เป็นที่ๆเกือบดีแต่ก็ไม่ดี


"ประวัติใช้ได้เลยครับน้อง น่าตาน้องก็โอเคเลยพี่ว่า น้องไม่ต้องเข้าบริษัทบ่อยๆหรอก อยู่บ้านพี่เฉยๆรับรองมีเงินใช้ทุกๆเดือน ไม่มีลำบากแน่นอน "และในตอนที่มันกำลังจะลวนลามผมในตอนนั้นเอง ผมก็รีบลุกขึ้นและซีดป๊าปเข้าที่หน้ามันไปหนึ่งที


"นี้สำหรับที่ทำให้กูเสียเวลา"และป๊าปที่สองเข้าที่ขมับของมันเต็มๆ


"นี้สำหรับที่มึงดูถูกกู. ไอควาย กูมาทำงานแลกเงินใช้ความคิดไม่ได้ใช่ร่างกาย หัดจำใส่สมองมึงไว้ด้วย"พูดจบผมก็หันหลังหนี

"กูจะจะบอกตำรวจให้เอามึงเข้าคุกขอหาทำร้ายร่างกาย"มันนอนพะงาบๆบอกกับผมอยู่ที่พื้น ผมแสะยิ้มที่มุมผากก่อนจะหันไปตอบมัน

"ลุกได้เมื่อไหร่ ก็ค่อยไปฟ้องแล้วกันนะ อ่อ แต่อย่าลืมเล่าถึงเหตุผลที่โดนต่อยด้วยละ"พูดจบผมก็ผิดประตูดังปั้งก่อนจะเดินออกมาจากบริษัทส้นตีนนั้น


ที่บ้านพี่ริว

"กูว่าถ้ากูไปเป็นอย่างที่มึงบอกนี้น่าจะรุ้งเน้อะ"ผมร้องบอกอิกี้ที่กำลังนั้งส่องดูรูปผู้ชายในไอจี ระหว่างนั้นก็มีสายโทรศัพทฺจากเบอร์ที่ไม่คุ้นโทรเข้ามา ผมชั่งใจพักนึงก่อนจะกดรับ

"คุณเจตริทร์ใช่มั้ยครับ"สงสัยแก้งคอลเซนเตอร์ดีเลยโทรมาได้เวลาพอดีกูยิ่งคันปากอยากด่าคนมาสักพักแล้วด้วย มากูพร้อมแล้ว


"เออ ทำไมมีอะไร"ผมตอบเสียงโคตรห้วนและชวนกินตีนมากกะว่าถ้ามันอ้างเรื่องบัตรเคดิตอะไรขึ้นมาผมจะด่ามันให้ลืมบ้านเกิดเลยคอยดู

"เราโทรมาจากบริษัท Tnk....นะครับเราขอแสดงความยินดีกับคุณด้วย คุณผ่านการสัมพาทครับ"หลังจากได้ยินทุกประโยคจากปลายสาย ผมรีบวางโทรศัพท์ลงไว้ข้างตัวก่อนจะหันไปมองอิกี้ที่กำลังนั่งดูรูปผู้ชายอย่างเมามันส์

"อะไร.."อิกี้ถามผม"ทำไมมองกูแบบนั้น มึงมีอะไรเนี้ย"นั้นสิผมเป็นอะไรวะ

"กี้"

"หือ"

"ตบหน้ากูที"

"ห้ะ!"

"ตบกูที"

"เพื่ออะไรละ"

"ช่วยตบแล้วบอกกูทีว่ากูไม่ได้ฝันไป"

"ทำไมมีเรื่องอะไรงั้นหรอ"ผมเลยยื่นโทรศัพท์ให้อิกี้คุยต่อเพื่อไขข้อสงสัย พอมันคุยจบจนวางสายแล้วมันก็มีอาการแบบนี้ครับ..



"กรี๊ด อิเหี้ย ..มึงได้งานแล้ว แถมยังเสือกได้ทำงานในบริษัทผัวเก่าอีก เย้ๆๆๆ"มันดีใจจนออกนอกหน้า

"เดี๋ยวๆกูสิต้องดีใจไม่ใช่มึง"ผมร้องบอกเรียกสติมันที่กำลังหลุดออกไปเรื่อยๆ

"แล้วเอาไงต่อ"มันถามผมยิ้มแกล้มปลิ

"เอาไงไรวะ"

"ก็เรื่องไปทำงานอะ"แล้วมันอยากให้ผมทำอะไรวะ

"เออก็ไปไง"

"ไม่ใช่"เอ้าแล้วมันหมายถึงเรื่องอะไร

"กูหมายถึงมึงจะทำตัวยังไงถ้ามึงเจอ. ผัวเก่า"อ๋อที่แท้ก็เรื่องนี้

"เฉยๆดิ "

"มันเรียบไป เป็นเพื่อนกูต้องร้ายคะ อย่านางเอก"

"แล้วจะให้กูทำไงอะ"ผมถามด้วยความอยากรู้

"แก้เผ็ด"

"ไอกายอะนะ"

"ก็เออนะสิ นี้มันทิ้งเพื่อนกูไปแต่งงานกับชะนีเลยนะค่ะ มึงควรร้อนีนบ้างอะไรบ้าง..."

"แต่ที่มันทำแบบนั้นก็เพราะกูปะวะ"ผมเอาเหตุผลขึ้นมาพูดบ้าง

"ใครสนค่ะ เกลียดคือเกลียด กูเกลียดใครมึงก็ต้องเกลียดด้วย "ตักกะเหี้ยอะไรเนี้ย


"กูไม่เอาด้วยอะ"ผมพูดตามใจคิด

"แต่มึงต้องทำ"มันยังยืนยันในสิ่งที่มันคิด

"เพื่ออะไรวะ"ผมถามเพราะอยากรู้เหตุผล

"ทดสอบไง"

"ทดสอบไรวะ"

"ความรู้สึก ทั้บกับมึงแล้วก็มัน"

"เฮ้ยบ้าน่า กูไม่อะไรแล้วจริงๆ"แม้ในใจจะมีอยู่นิดๆก็เถอะ

"มึงหลอกกูได้ แต่มึงไม่สามารถหลอกใจของตัวเองได้หรอก เจ"มันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

"แล้วจะให้กูทำไง"ในที่สุดผมก็เริ่มสนใจคำพูดของอิกี้จนได้..แต่มี่ผมยอมทำไม่ใช่เพื่อสนองนีดของอิกี้แต่ผมทำตามเสียงเรียกร้องในใจผมต่างหากละ


เพราะถ้าหากผมยังคงสงสัยกับความรู้สึกลึกๆของตัวเองอยู่ ....


จิตใต้สำนึก  มันจะคอยบอกกับผมเอง..


ว่าผมควรทำอย่างไร


TBC....


มาม่ามาสักพักแล้วขอพักมาสายคอมมาดี้หน่อยก็แล้วกัน อย่าพึ่งหายกันไปน้า ทุกคน!  >.<


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ thitema3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
Falling. In. Love.

ข้อยกเว้น

(คืนที่เจ ไปสัมภาษณ์) ณ ชั้นที่สูงที่สุดของตึก Tnk ซึ่งเป็นบ้านส่วนตัวของประธารบริษัท


"แล้วจะต้องให้ทำยังไง ต้องนั่งขุกเข่าขอโทษเลยมั้ย"ผมรู้สึกตกใจนิดๆ ในตอนที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้มาจากปากของมัน

ผมจำได้ว่าตั้งแต่สมัยที่ผมกับมันรู้จักกันมัน มันไม่ใช่คนที่จะยอมจนตรอกกับอะไรง่ายๆ เพราะฉะนั้นผมจะลองเรียงลำดับจากข้อที่หนึ่งถึงข้อที่ สามให้ฟังก็แล้วกัน

หนึ่ง

มันเป็นพวก อ่อนนอกแข็งในจนบ้างครั้งคนรอบตัวอาจจะเข้าใจไปอีกแบบที่ตรงข้ามกับความรู้สึกของตัวมันเอง


สอง

มันเป็นพวกปากกับใจไม่ค่อยตรงกันซึ่งก็เหมือนกับข้อแรก ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่

และข้อที่สาม ถือว่าเป็นข้อที่ผมคิดหนักมาก

เพราะมันเป็นคนที่รักศักดิ์ศรีของตัวเองมาก มันจะไม่ยอมให้ใครมาทำให้ศักดิ์ศรีของมันป่นปี้เป็นอันขาด ตลอดเวลาผมผ่านอะไรกับมันมาก็หลายอย่างทำไมผมจะไม่เคยเห็นละว่ามันเป็นยังไง


และในวันนี้ผมก็เห็นแล้ว

ว่ามันยอมลดศักดิ์ศรีที่ตัวเองหวงแหนนักตอหน้าผมเพียงเพราะต้องการแค่ทำงานทีนี้ ..


แค่นั้นจริงๆหรอกับอีแค่รับเข้าทำงานจำเป็นที่มันต้องลงทุนนั่งขุกเข่าในที่กว้างอากาศหนาวๆแบบนั้นด้วยหรอ..แต่เดี๋ยวนะนี้ผมเป็นห่วงมันอยู่หรอ...ไม่สิผมก็แค่สงสาร หรือสมเพทก็ไม่รู้นะ


ขณะที่ดังดูทีวี ที่ช่องอะไรก็ไม่รู้

"คุณมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างค่ะตอนทราบข่าวว่าที่นี้เฺปิดรับสมัคร ให้บุคคลภายนอกเข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจนี้บ้างค่ะ"เสียงนักข่าวสาวกำลังสัมภาษณ์ ผู้ที่มากรอกเอกสารใบสมัคร ที่บริษัทผมเมื่อเช้า และหนึ่งในนั้นก็มีมันอยู่ด้วย

"ก็ดีนะครับผมว่าประธานเขาใจกว้างดี ขนาดผมจบมาคนละสายงานเขายังต้อนรับเลยครับ"ต้อนรับกับผีนะสิถ้าผมรู้ว่ามันจะมาก่อนหน้านะผมปิดบริษัทหนีมันแล้วจริงๆ

"แล้วคาดหวังไว้เยอะมั้ยค่ะว่าจะได้ร่วมงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้"

"ถามว่าหวังมั้ยก็หวังนะครับ ประมาณ70-30เลยละ จริงๆผมก็ไปสมัครมาหลายที่นะครับแต่เหมือนเขาจะรับแต่คนที่จบด้านนั้นๆมาโดยเฉพาะคนว่างงานอย่างผมก็เลยต้องดิ้นลนมาหางานอยู่แบบนี้"พูดไปทำหน้าเศร้าไปดูก็รู้ว่าแม้งโกหกทั้งเพ ตั้งแต่ทิ้งกูไปคบกันไอเวรนั้นชีวิตมึงคงตกต่ำมากเลยงั้นสิ ยิ่งนึกแล้วยิ่งโมโหถึงผมจะไม่อะไรแล้วก็เถอะ  แต่พอพูดถึงแล้วมันก็คิดตามทุกทีเลย

"คนนี้ใช้มั้ยแฟนเก่าพี่"ไอปอนที่วันนี้ทะเลาะกับเด็กมันก็ขอมานอนด้วยกันกับผมบนตึก ก็อย่างที่ผมบอกนั้นแหละครับไอปอนมันรู้เรื่องของผมทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องนี้ด้วย

ผมแค่พยักหน้าตอบ

"พี่ไม่เป็นอะไรแน่หรอ"มันวางขนมในมือก่อนจะหันมาถามผม

"สบายอยู่แล้วแค่ไม่ด่ากูออกสื่อก็ดีแค่ไหนแล้ว"แต่เหมือนผมจะคิดผิดไป

"แสดงว่าชีวิตที่ผ่านมาคงเจอเรื่องร้ายๆมาตลอดเลยหรอคะ"

"ใช่ครับ ถึงจะเรียนจบมาแต่เกรดก็ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่นักแถมแฟน..เอ่อผมหมายถึงอดีตคนรักยังหนีไปแต่งงานกับคนอื้น ...ฮึก..ผม..ถ้าย้อนไปได้ผมก็ไม่อยากรู้จักกับคนแบบนั้นแน่นอนครับ ขออย่าให้เจอกันอีกเลยดีกว่า"

. แต่เดี๋ยวๆ มึงเป็นฝ่ายทิ้งกูก่อนไม่ใช่หรอ. อีกอย่างเรื่องแต่งงานมัน...เฮ้อ ช่างเถอะทำไมผมต้องมาอธิบายอะไรคนเดียวในใจด้วยวะไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ

แล้วก็อีกอย่างนะ ข่าวบ้าบอที่ไหน ถึงสัมภาษณ์แบบนี้กันแถมยังไม่เซนเซอร์คำพูดพูดนี้ด้วย เดี๋ยวๆเถอะสักวันผมจะฟ้องให้ช่องยุบเลยคอยดู

"พี่คุยคนเดียวอีกแล้วใช่ปะ"ผมสะดุ้งตัวเล็กน้อย มันรู้ได้ไงวะ

"เหมือนเขาจะหมายถึงพี่นะ "ไอปอนหันมาตอกย่ำผมพร้อมกับหยิบขนมขึ้นมากินอย่างอารมณ์ดี

"เหอะบ้าบอนะ กูออกจะแสนดีหล่อเลือกได้ขนาดนี้ไม่มีทางที่มันจะด่ากูแน่นอน"ผมตอบเสียงหนักแน่น

"ผมว่าพี่กำลังหลอกตัวเองอยู่แน่ๆ ต้องใช่แน่ๆ "ปอนมันทำหน้าเอือมๆ ผมกำลังจะง้างมือไปซัดหัวมันแต่มันดันพูดขึ้นก่อน




"เออสรุป เรื่องรับเด็กฝึกงานใหม่ว่าไงพี่เลือกได้รึยัง พรุ่งนี้ก็ถึงวันเปิดตัวกลุ่มตลาดใหม่แล้วด้วยนะ ไม่มีที่เข้าตาพี่สักคนเลยหรอ"เออวะผมลืมเรื่องนี้ไปซะชิบ

แต่แปปๆผมก็เริ่มนึกถึงประโยคที่ได้ยินเมื่อครุ่

"ถ้าย้อนไปได้ผมก็ไม่อยากรู้จักกับคนแบบนั้น ขออย่าให้เจอกันอีกเลยดีกว่า " หึขออย่าให้เจอหรอ เกลียดหน้ากูนักใช่มั้ย  ได้ กูจะทำให้มึงเบื่อจนต้องมายื่นซองขาวให้กับกูเลย ไอ ชั้นใน

ผมรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเปิดประตู แต่ไอปอนมันก็เรียกผมไว้ซะก่อน

"จะไปไหนอะพี่"

"ตามหาลูกน้องมาเป็นเพื่อนมึงไง"พูดจบผมก็ปิดประตูเดินลงมาชั้นถัดมา ที่เป็นห้องทำงานส่วนตัวของผมเอง ผมกลับมาคุ้ยถังขยะโชคดีหน่อยที่แม่บ้านยังไม่เอาขยะไปทิ้ง (ผมควรเอ็ดแม่บ้านดีมั้ย) แต่เรืองนั้นช่างมันก่อน เอาเรื่องปัจจุบันก่อนละกัน


ผมคลี่กระดาษใบสมัครของไอชั้นในก่อยจะแสะยิ้มร้ายๆ(เลวๆ)ที่มุมปากอย่างชอบใจ

เกลียดกูนักใช่มั้ย  ได้...  เดี๋ยวรู้กัน...



................

เช้าวันหนึ่ง (ในการมาทำงานวันแรก)

ตื่นเต้น


ตื่นเต้นโว้ยยยย

ผมบอกกับตัวเองแบบนี้ก่อนจะออกมาจากบ้านอิกี้ (อ๋อผมลืมบอกตอนนี้ผมย้ายสมโนครัวมาอยู่กับอิกี้สองคนแล้วครับเหตุเพราะผมเกรงใจอาม่ากับพี่ริว แต่จริงๆผมบอกกับแค่อาม่าอะนะ เพราะพี่ริวติดไปประชุมงานที่ต่างประเทศอยู่ผมเลยไม่ได้บอก ไว้รอพี่เขากลับมาก่อนละกัน หวังว่าตอนนั้นพี่เขาคงจะไม่โกรธผมนะ

อะเข้าเรื่องต่อ...


ตอนนี้ผมมายืนอยู่หน้าตึก Tnk. ที่ใหญ่แบบหมึมาใหญ่เว่อร์วัง อลังการงานสร้างออสสก้าจ้ามากเลยละครับคุณผู้อ่าน ใจผมนี้เต้นรัวถี่ยิบ ยังกะวิ่งจากเชียงใหม่มากรุงเทพ 

ในตอนที่เท้าก้าวเข้ามาในตึกและระหว่างที่ยืนรอลิฟฟ์อยู่นั้นเองบทสนทนาระหว่างกลุ่มสาวๆก็เริ่มขึ้น

"นี้เธอ เมื่อวานตอนมีคนโทรมาหา ฉันเนี้ยนะโหยแบบ ตื่นเต้นมากไม่คิดว่าประธานจะเลือก ฉัน"นางสาวเอ(นามสมมุติ)พูดขึ้น

"หืมฉันได้ข่าวว่าเขารับเด็กฝึกแค่สามสิบคนเองนะจากหกร้อยคนอะ "นางสาวบีพูดตอบ แต่เมื่อกี้ว่าไงนะ คัดจากหกร้อยเหลือสามสิบเนี้ยนะ ผมติดหนึ่งในนั้นได้ไงวะ  ชักงงๆปนตกใจเล็กๆ

"จริงหรอแก..พวกเรานี้ก็โชคดีเนอะที่โดนเลือกกัน"นางสาวบีและซีพยักหน้าเห็นด้วย

"แต่ฉันได้ข่าวมานะแก.."จู่ๆนางสาวซีที่เงียบก็พูดขึ้น

"เรื่องอะไรหรอ.."นางสาวเอขยับหน้าเข้าไปถามนางสาวซี

"ท่านประทานไง. "

"ทำไมท่านประทานทำไมหรอ"

"โสดนะสิ"หืมผมขมวดคิ้วตามด้วยความอยากรู้

"บ้าน่าข่าวมั่วแล้วมั้ง หล่อรวยขยันขนาดนี้ถ้ายังไม่มีแฟนนี้ก็บ้าแล้ว"ถึงมีแฟนมันก็บ้าเพราะมันเป็นหมาบ้า จนถึงวันนี้ผมก็ยังแค้นรอยแผลที่คอไม่หาย

"มั้วอะไรกันละนี้จริงที่สุดแล้ว..ตอนแรกนะท่านประทานเคยเกือบจะได้แต่งงานแล้วด้วย"เกือบจะได้แต่หมายความว่าไงวะ ผมขยับไปใกล้ๆกลุ่มสาวๆที่กำลังซุบซิบกันอยู่ด้วยความอยากรู้เต็มพิกัด

"เกิดอะไรขึ้น"ทั้งนางสาวเอและบีหันไปหานางสาวซี

"งานล่มนะสิ ได้ข่าวมาว่า ท่านประทานกำลังคบกับแฟนคนนึงอยู่แต่ก็เลิกกันหลังจากนั้นก็ถูกคลุมถุงชน..แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด งานล่มซะก่อน"งั้นก็หมายความว่าที่ผมเคยรู้มามัน....ไม่สิผมจะสนใจทำไมวะมันจะแต่งไม่แต่งแล้วเกี่ยวอะไรกับผมที่ไหนละ


ท่องไว้ไอเจ มีงมาทำงานๆ


ผมบอกตัวเองพลางเงี่ยหูฟังสาวๆเผาเรื่องไอประธานต่อแต่ยิ่งฟังแล้วก็ยิ่งหมั้นไส้จนเผลอหลุดปากไป..

"ที่เห็นๆนะเฟคทั้งนั้น"จบคำพูดผมนางสาวเอบีและซีต่างพากันหันมามองผมตาขวางกันอย่างพร้อมเพียง

"เมื่อกี้พูดอะไรนะ"นางสาวเอถามขึ้น

"คงไม่ได้หมายถึงท่านประธานของเราหรอกใช่มั้ย"อันนี้เสียงนางสาวบี ผมกลืนน้ำลายไปหลายอึกก่อนจะเริ่มพูดต่อ

"อ๋อผมดูละครเมื่อคืนมานะ ตัวเอกที่เป็นประธานมันชอบเฟคอะผมเลยหงุดหงิด"ทั้งสามสาวหรี่ตามองผม

"งั้นก็แล้วไป.."อีกสองคนที่เหลือเลยหันหลังตาม โชคดีของผมหน่อยที่ครองสติทันไม่งั้นคงเผลอพลั้งปากพูดอะไรออกไปแน่


ระหว่างทึ่ผมและพวกแก้งสาวๆสามคนอยู่ในลิฟฟ์ก็มีผู้หญิงคนนึงที่ดูท่าทางสง่าเดินเข้ามาอีกคน

เธอหันมามองผมกับสามสาว แล้วยิ้มๆก่อนจะเริ่มพูดขึ้น

"เด็กฝึกงานล็อตใหม่ใช่มั้ยเนี้ย "แก้งสาวสาวกลับเงียบมีเพียงแต่ผมที่ตอบพี่เขา

ออฟไลน์ thitema3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
"ครับ พึ่งมาเริ่มวันนี้วันแรกเอง"

"หรอ งั้นดีเลยเดี๋ยว น้อง เอ่อเฉพาะน้องคนเดียวนะ ตามพี่ขึ้นมา. พี่จะพาไปรู้จักเพื่อนร่วมงานที่เหลือ"พี่เขาส่งยิ้มเป็นมิตรให้ผมแต่ถลึงตามส่สาวๆสามคนนั้นอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

"ก่อนไปผมขอทราบชื่อพี่ก่อนได้มั้ยครับ ผมจะได้เรียกถูก"

"พี่ชื่อเกด เป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาด ที่จะคอยสอนงานพวกพนักงานใหม่ๆ"เชื่อมั้ยครับจบคำพูดพี่เกดสาวๆสามคนนั้นต่างพากันเบิกตากว้างก่อนจะรีบส่งยิ้มให้พี่เกด แต่ผมว่าคงไม่ทันแล้วละครับเพราะพี่เขา หันไปทางอื่นเรียบร้อยแล้ว

ณ ห้องทำงาน

หู้ ผมอยากจะอุทานลากยาวตั้งกูแต่กรุงเทพไปเชียงใหม่ คือห้องทำงานมันกว้างมา ถ้ามองจากภายนอกคนส่วนใหญ่จะเห็นว่ามันแคบแต่จริงๆแล้วไม่เลยพื้นที่จับจ่ายใช้สอยได้อีกเป็นวา แถมยังมี  อุปกรณ์อิเลกทรอนิก รุ่นล่าสุดให้กับพนักงานทุกคนอีกด้วย


ผมเดินตามหลังพี่เกดมาโดยมีสามสามขี้นินทาพ่วงมาด้วย

"เอาละทุกคนมารวมกันตรงนี้หน่อย"  แม้จะเป็นเสียงที่เบาๆเหมือนกระซิบแต่ทุกคนกลับได้ยินกันทั้งห้องและรีบมายืนรวมตัวกันเป็นกลุ่มทันที ผมหันมองซ้ายขวาก็เห็นพนักงานใหม่ที่ห้อยป้ายเหมือนกันกับผมทั้งนั้น ท่าทางผมคงจะหาเพื่อนร่วมงานได้ไม่ยาก

"ตอนนี้เรามี เพื่อนร่วมงานคนใหม่อยากมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักนะ "พี่เกดพูดพร้อมกับผายมือ เรียกให้คนที่กำลังยืนกดน้ำอยู่ที่ตู้ต้องรีบวิ่งมาหน้าตาตื่น

"ผม ซีเกมครับ ยินดีที่ได้ร่วมงานกับทุกคนนะครับ"เป็นคำพูดที่ดูเรียบง่ายแต่กลับเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาวๆได้เป็นแถบๆ ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้มาเจอไอเด็กที่เรียกผมว่าพี่คนสวยที่นี่ด้วย ใครเป็นคนคัดเลือกให้มันผ่านวะผมละอยากโบกหัวมันสักที

(ในอีกด้านนึง)

"ฮัดเช่ยย. โอย ใครบ่นคิดถึงแต่เช้าวะ" จบ..


ตัดภาพมาที่ฝั่งของเด็กฝึกงานสามสิบชีวิต

"ดิฉัน เกดสรินทร์ เป็นหัวหน้าทีมการตลาดและคอยให้คำปรึกษาแก่เด็กฝึกงานทุกคนคะ ดิฉันยินดีเป็นอย่างมากที่จะได้พวกคุณมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมเราแต่ ในระหว่างนี้ ดิฉันอยากขอให้พวกคุณทำความรู้จักกันให้ดีซะก่อนเพราะ ที่นี่ มีการแบ่งงานตำแหน่งหน้าที่ให้แต่ละคนที่ต่างกัน บางงานอาจทำแค่คนเดียว ส่วนบางงานอาจจะเป็นคู่รึกลุ่มก็ขึ้นอยู่กับงานในชิ้นนั้น ซึ่งในแต่ลำกลุ่มก็จะมีผู้ช่วยคอยให้คำแนะนำในแต่ละด้าน  คนแรกนะคะ "พี่เกดยิ้มให้พี่ผู้ชายอีกคนก้าวเข้ามาข้างหน้าเพื่อแนะนำตัว

"ผมชื่อแชมป์นะครับ เป็นผู้ช่วยด้านการวางแผนหากมีข้อสงสัยหรืออะไรที่ไม่เข้าใจสามารถสอบถามได้ตลอดเลยนะครับ..อ่อ..แต่ต้องอยู่ในช่วงเวลางานด้วยนะ"พอพี่เขาพูดจบก็มีเสียงหัวเราะๆเล็กๆดังขึ้น

"ส่วนพี่ชื่อปลายนะ อยู่ทีมเดียวกับคนเมื่อกี้แหละถ้าสงสัยอะไรก็ถามคนเมื่อกี้เอาละกัน"แม้หน้าจะดูสวยแต่จากคำพูดคำจาของเธอแล้ว..ผมว่าไม่ไหวนะ


"เอาละ ตอนนี้ทุกคนก็ได้รู้จักหัวหน้าในที่ทำงานทั้งหมดแล้ว ตอนนี้ดิฉันอยากให้พวดคุณทั้งสามสิบคนทำความรู้จักกันให้ดี ..อย่าลืมว่าการทำงานพวกคุณต้องทำกันเป็นทีม เพราะถ้าหากขาดคนใดคนนึงไป..พวกคุณทั้งหมดจะถูกตัดสิทธิ ออกทันที..เสียงเรียบๆของพี่เกดทำเอาคนในห้องหลายคนถึงกับหันมาจ้องกันด้วยสีหน้าหวั่นๆ แปลกแต่จริงนะ ภายนอกพี่เขาก็ดูเป็นคนเรียบร้อย(จริงๆก็เรียบร้อยนั้นแหละ)แต่วิธีพูดของพี่เขาเด็ดขาดมากครับ แม้จะเป็นเสียงที่ดูปกติสบายๆ แต่ก็ทำให้คนฟังถึงกับขนลุกขนพองได้ผมว่า ไม่ธรรมดาแล้วนะ  หึหึ

หลังจากที่พี่เกดเดินออกจากห้องไป ทุกๆคนก็จับกลุ่มกัน ผมพยายามทำตัวเฟรนรี่แบบสุดๆแลเวแต่ไม่ยักจะมีใครต้อนรับผมเลยแหะ


หมับ มือใครคนนึงจับผมไว้ ผมหันไปมองก็พบ ไอเด็กผีนี้อีกแล้ว

"ผมไม่มีกลุ่ม"มันพูดบอกผม

"เออแล้วไง"

"พี่มาคู่กับผมมั้ย"ผมส่ายหน้าดิกแบบทันทีเลย

"ทำไมอะ พี่ก็ยังไม่มีคู่เหมือนกันไม่ใช่หรอ"มันยู่ปากเหมือนกำลังนอยๆ

"เพราะมึงกวนตีนไง ตั้งแต่วันสัมภาษณ์แล้ว " เป็นเรื่องจริงที่ทำผมคับแค้นใจจนในบัดนี้ผมเองก็ยังไม่ลืม

"โหยเจ้าคิดเจ้าแค้นวะ "ผมเสหน้ามองไปทางอื่นเพื่อหาคนที่ยังไม่มีคู่..แต่เหมือนเขาจะยืนกันเป็นกลุ่มจนครบแล้วนะ..


"พี่ไม่อยากคู่ผมจริงๆหรอ"มันถามย้ำ แต่ผมยังไม่ทันตอบมันก็ชิงเดินหนีไปแซะกับกลุ่มสามสาวซะก่อน


"สาวๆครับถ้าไม่ว่าอะไรผมอยากที่จะ..."ผมไม่ปล่อยให้มันพูดต่อครับเพราะรู้ดีว่ามันจะพูดอะไร

"เออคู่ก็ได้"ผมเอามือเกาะแขนมันแน่น ชนิดที่ว่า สบัดยังไงก็ไม่หลุด

"ทีเมื่อกี้ละทำเก๊ก "เก๊กห่าไรละ กูก็แค่คิกถึงเรื่องเก่าๆที่มึงเคยเกือบทำให้กูตกงานก็แค่นั้น..ผมได้แต่คิดอยู่คนเดียวในใจ เพราะถ้าเกิดเผลอพูดไปรับลอง มันได้หนีเข้ากลุ่มสาวๆแน่ครับ


หลังจากเวลาผ่านมาจนถึงช่วงสายๆ

"ด้านนี้ครับโต๊ะทำงานของพวกคุณทั้งสองคน"พี่ผู้ชายคนนึงท่าทางใจดีเดินนำผมกับไอซีเกม มาที่โต๊ะทำงานของตัวเองก่อนทีพี่เขาจะเดินลับหายไป ขณะที่ผมกำลังนั่งลองเก้าอี้ตัวใหม่ คนที่นั่งโต๊ะข้างๆก็ถามขึ้น

"ผมว่าเราน่าจะมีการตกลงกันก่อนนะ เพราะว่าเราอยู่ทีมเดียวกัน และก็คิดว่า นิสัยของเราสองคยเข้ากันได้  เพราะฉะนั้น เรามาทำงานให้ดีที่สุดร่วมกันนะ"ไอซีเกมเอ่อผมขอเรัยกมันว่าเกมเฉยๆละกันนะ มันยื่นมือข้ามโต๊ะมาข้างหน้าผมเพื่อหวังให้ผมจับมือตอบตกลง

"เชิญตามสบายเลยครับน้องพี่ชอบลุยเดี่ยว"ผมตอบน้ำเสียงนิ่งๆเอาเข้าจริงๆไอเด็กนี้มันก็ไม่ได้กวนตีนอะไรผมถึงขนาดนั้นหรอก ผมแค่แหย่มันเล่นแกล้งกวนตีนมันกลับแค่นั้นเอง


มันทำหน้าเอือมๆก่อนจะดึงมือของตัวเองกลับไปนั่งอยู่กับที่ ...แม้ในตอนนี้ผมจะรู้สึกดีอยู่แปลกๆที่อยู่ๆตัวเองก็ได้มาทำงานในสถานที่ๆไม่คาดคิดว่าจะได้มาทำ ..ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะ..ว่าเพราะอะไรทำไมผมถึงได้มาอยู่ที่นี้ตอนนี้และในเวลานี้ แต่สิ่งนึงที่ผมพอจะรู้สึกได้ก็คือ..มันต้องมีเรื่องวุ่นวาย ตามมาหลังจากนี้แน่ๆ ผมมั่นใจ


.....................
ณ ห้องำงานส่วนตัวของประธาน


"นี้"ผมตะโกนเรียกไอปอนเลขาส่วนตัวคนสนิทเพื่อเรียกสติมันที่กำลังจดจออยู่กับการเล่นเกม Rovอย่างเมามันส์

"ว่าไงพี่พูดมาเลยผมตีป้อมอยู้.."

"ปฐมนิเทศพนักงานใหม่กี่โมงนะ"

"น่าจะสักสิบโมงนะ ตอนนี้พวกเขาน่าจะแนะนำตัวกันเสร็จแล้วคงจะรวมตัวอยู่แถวหน้าล็อบบี้.."มันเบนสายตาจากเกมมามองผมก่อนจะรีบพูดต่อ.."ทำไม พี่อยากไปดูหรอ"

"กูเนี้ยนะ เหอะๆ ทำไมกูถึงต้องอยากไปที่นั้นด้วยละ"ปากพูดอย่างแต่ใจผมกับคิดอีกอย่าง. มันส่งยิ้มล้อเลียนผมก่อนจะก้มหน้าตั้งใจเล่นเกมของมันต่อ

"เล่นเกมของมึงไปเถอะ "ระหว่างนั้นสายตาของผมก็เอาแต่มแองดูนาฬิกาอีกสิบนาทีก็จะสิบโมงแล้ว ถ้าลงลิฟฟ์ไป 2-3นาทีก็น่าจะถึง..แต่เดี๋ยวนะ ทำไมผมถึงต้องนับเวลารอด้วยละ...ผมเองชักเริ่มสงสยตัวเอง..แต่ยืนงงได้ไม่นาน ตอนนี้ตัวผมก็เดิเข้ามาในลิฟฟ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว..

...............

ล็อบบี้


ปิ๊ง เสียงลิฟฟ์ดังขึ้นทำเอาบริเวณโดยรอบถึงกับพากันเงียบสงัด..บุคคลที่เดินออกมาพร้อมกับบริวารนับสิบไม่ใช่ใครที่ไหนครับ ไอประธานของทุกคนไง


เวลามันเดินผ่านใครทุกคนก็พร้อมโค้งหัวคำนับให้มัน


"โช ออฟ ชิบหาย เลยเว้ย" ผมพูดกับตัวเองในใจ

"คุณเกดครับ"เสียงพี่แชมป?พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ

"เอ่อๆไม่ต้องหรอก ทำตัวตามสบาย .."หลังจากนั้นมันก็เดินผ่านกลุ่มเด็กฝึกงาน หน้าใหม่ทุกคนที่กำลังโค้งคำนับให้มันอยู่ แล้วจู่ๆสายตามันก็จับจ้องมาที่ผมๆไม่ได้คิดไปเองใช่มั้ยว่ามันกำลังจ้องผมพร้อมกับส่งยิ้ม ..เดี๋ยวนะ ยิ้มหรอ..   หึ สงสัยคงจะรู้สึกผิดเรื่องที่พูดกับผมเมื่อวานสินะ มันคงจะเพิ้งรู้สึกตัวได้ละมั้ง ว่า ตัวเองผิดถึงได้มาทำดีกลบเกลื่อนลบล้าง ความผิด


ภายหลังจากที่มันเดินจนออกจากบริษัทไปผมก็แอบแสะยิ้มอย่างผู้ชนะพร้อมกันกระตุกไหล่อยู่คนเดียว อีกฝ่ายหันกลับมามองและไม่แน่ใจว่าใช้ผมมั้ยนะแต่สามสาวหน้าใหม่นี้ยืนกรี๊ดเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ หึ นึกว่าตัวเองหล่อมากนักสิ ..เออกูยอมรับก็ได้มึงมันหล่อ...


"ไอหน้าหม้อเอ้ย"ผมพึมพัมคนเดียวเบาๆ


"ว่าอะไรนะ"แล้วก็เป็นอีกครั้งที่แก้งสามสาวพร้อมใจหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก


ตกเวลาบ่ายๆ งานชิ้นแรกของวันก็มาเยือนถึงตัวผมเลยครับ

"เออ น้องคะ ช่วยไปยก ถังน้ำตรงนู้น เอามาเติมทีนะพี่ยกไม่ค่อยไหวอะ"เสียงพี่สาวหัวน่างานอีกคน ยังจำกันได้มั้ยครับ คนที่ท่าที่หยิ่งๆอะ

"ค..ครับ"ผมเองก็พอจะรู้สึกได้นั้นแหละว่าพี่เขาก็ไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่  นัก

ผมเดินตามที่พี่คนนั้นเขานำทางมา ก็เจอขวดน้ำถังใหญ่ราวๆหกถังได้

"หมดนี้เลยหรอครับ"เพราะเท่าที่สังเกตุมีตู้ที่ต้องเปลี่ยนแค่ สองสามตู้เอง

"ใช้ ในห้องนี้สาม  แล้วก็ ชั้น4 อีก2 "เดี๋ยวๆนะนี้กะจะให้แบกขึ้นชั้นสี่ไปเลยละรึไง ถึงมันจะมีลิฟฟ์ก็เถอะแต่มะนก็อยู่ห่างจากตัวห้องอยู่นะครับ

"ทำไม่ได้หรอค่ะ? ถ้าทำไม่ได้จะได้เรียกคนอื่นเขามาทำ"

"ด..ได้ครับทำได้"

"ดีงั้นก็รีบคะ งานยังมีรออีกเยอะ"พูดจบเธอก็โดนสบัดตูดหนีผมไป เฮ้อ ชาติก่อนผมไปเผาบ้านเจ้แกรึไงนะ ชาตินี้ถึงตามมาจิกกัดผมจริง


ผมเดินยกเติมน้ำในห้องสามขวดเสร็จก็มองบรรยากาศภายในห้อง  ด้วยความสงสัย ว่าทำไมถึงมีผมคนเดียวที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ ทั้งๆที่คนอื่นก็ไม่ได้ทำอะไรเลยน้องจากนั่งคุยกันเฉยๆ อยู่ภายในห้องตากแอร์เย็นๆ ต่างจากผมที่แม้ภายในห้องตะเย็นแต่ตัสผมกลับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ช่างแม้งเถอะวะ ผมบอกดับตัวเองก่อนจะอุ้มน้ำขวดที่สี่เดินออกจากห้องไป

หน้าลิฟฟ์

โอย ผมขอถามตัวเองอีกครั้งว่าทำไมผมต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ งานมันช่วยจะใช้ความคิดสิไม่ใช่ใช้แรงแบบนี้


ผมบ่นพึมพัมคนเดียวตลอดทางที่เดินมาและกำลังจะวางขวดน้ำลงเพื่อกดลิฟฟ์ให้เปิดออกแต่ในตอนนั้นเองผมก็รู้สึกว่าขวดนำมันเบาหวิวๆ เพราะมีมือใครอีกคนเข้ามาช่วยถือเอาไว้

"มาผมช่วย เห็นพี่แบกแล้วเหมือนคนแคระอุ้มสโนวไวท์เลยวะ"มันยกขวดน้ำไปถือพร้อมกับหันมาพูดกับผมด้วยท่าทีปกติ  เหี้ย ทำไมมันชิวจังวะ

"กวนตีน แล้วนั้นไม่หนักรึไง เอามานี้มาเดี๋ยวทำเอง"ผมยื่นมือจะขอถังน้ำคืนแต่อีกฝ่ายกับถอยหนี

"ผมว่าอย่างพี่ไม่เหมาะกับงานใช้แรงหรอก นั่งสวยๆไปแหละดีแล้ว"เดี๋ยวๆพูดซะกูดูตุ๊ดเลย

"เออว่าแต่จะเอาไปชั้นไหนเนี้ย.."

"ชั้น4"

"อ่อห้องประชุม อะนะ"

"ไปดูมาแล้วหรอ ทำไมถึงรู้"ขนาดผมเองยังเดินไม่ทั่วชั้นที่กำลังยืนอยู่นี้เลย แถมวันนี้ยังเป็นการทำงานวันแรกด้วยมันคงแปลก ถ้าไอเด็กนี้รูั

"เอ่อ..ผมก็แค่เดาๆอะแฮ่ๆ"พิลึกคนแหะ

"หมดรึยังอะมีแค่ถังเดียวหรอ"

"มีอีกถังอะอยู่ข้างใน"

"ไปเอามาดิ เดี๋ยวผมถือให้"

"เห้ยบ้า เดี๋ยวถือเอง มึงไปก่อนเลยดิรู้ทางไม่ใช่หรอ"ผมร้องบอกมัน

"ถ้าผมไปก่อนแล้วพี่จะตามมาถูกมั้ยอะ"เออวะผมเองก็ลืมคิดไป

"เอองั้นรอแปปนึง"พูดจบผมก็วิ่งยังกะเดอะแฟลชก่อนจะถือถังน้ำเดินตามตูดมันมา

ตอนอยู่ในลิฟฟฺผมรู้สึกหายใจไม่ออกยังไงไม่รู้แต่ท่าทีไอเด็กนี้มันดูสบายเหลือเกิน สบายบนใบหน้าเครียดๆของกูเนี้ยหึ้ย

ชั้นสี่


"โอ้แม่เจ้า"ผมร้องตะโกนออกมาจนไอเด็กนี้มันอดขำไม่ได้ ชั้นสี่นี้เป็นอะไรที่ดูเป็นการเป็นงานมากครับ ผู้คนเดินกันพลุกพล่าน แถมพวกคนที่เดินออกมาจากห้องประชุมยังมีท่าที่ขรึมๆ เหมือนที่ผมเคยเจอในละครอีกด้วย

โห มันรู้สึกเหมือนผม ได้มายืนอยู่ๆจุดๆนึงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเลยแหะ (ถึงจะเป็นแค่เด็กส่งน้ำก็เถอะ)

"นี้"ไอเด็กข้างๆดีดนิ้วเรียกสติผม

"ห..ห้ะ ว่าไง"ผมหันเหม่อลอยมองไปที่มัน

"ห้องประชุมอยู่ตรงโน้น"มันชี้บอกทางผม

"อือๆ "พูดจบผมก็เดินนำมันไปจนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูและในจังหวะนั้นเองบานประตูก็ถูกเปิดออกพร้อทกันคนที่ผมไม่คิดว่าจะเจอมันในเวลาแบบนี้

ฟึบ เพล๊ะ!  ถังน้ำที่ถืออยู่ร่วงลงพื้น ไม่สิโดนนิ้วตีนผมเต็มๆ ผมรีบก้มมองที่เท้าของคนตรงหน้าก่อนเท้าของตัวเองอีก

"ทำอะไรเนี้ย!"ผู้ชายดูมีอายุหน่อยที่ยืนอยู่ด้านหลังของประธานหันมาตะโกนพูดกับผมเสียงดัง

"ข..ขอโทษครับ"ผมร้องบอกด้วยความรู้สึกผิด

"ซุ่มซ่ามแบบนี้ ควรทำยังไงดีครับ คุณทินกร"อีกฝ่ายหันไปถามประธาน

แต่ไม่ยักจะมีเสียงใดหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่ายเลยนอกซะจาก..

"เช็ด.."คนตรงหนัาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง"

"เอ่อ..ครับ."เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกผิดกับคนตรงหน้าเอามากๆเลยรีบก้มเพื่อหวังจะเช็ดให้ แต่อีกฝ่ายกับขยับเท้าหนีพร้อมกับพูดำๆึงที่ทำเอาคนฟังอย่างผมถึงกับจุกๆอยู่ในใจ

"ไม่ต้องแล้ว ขี้เกียจไปซื้อใหม่ เดี๊ยวจะสกปรกเอาป่าวๆ"ผมมองลงพื้นพร้อมกับกำหมัดแน่น ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะได้มายินคำพูดอะไรแบบนี้

"มันไม่เกินไปหน่อยหรอ"เด็กซีเกมที่ยืนอยู่ด้านหลังผมถึงกับต้องวางขวดน้ำและรีบเดินมาขว้างหน้าผม

ผมรีบลุกขึ้นยืนเก็บอาการ ก่อนจะรีบดึงตัวน้องมันออกมา

"อะไรของพี่เนี้ย มันว่าพี่อยู่นะ"เกมมันหันมากระซิบคุยกับผม

"ช่างมันเถอะ.."ผมร้องบอกท่าท่างของ มันดูใจเย็นลงผมเลยเดินไปอยู่ข้างหน้ามันบ้าง

"ขอโทษด้วยนะครับเพราะผมซุ้มซ่ามเอง ".

"ช่างมันเถอะ ไปกันเถอะครับ "เสียงประทานบอกให้ทุกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังตามออกไป ผมได้แต่ยืนก้มหน้าจนคนพวกนั้นเดินลงไปจากชั้นนี้กันหมดแล้ว

"อะไรอะ ทำไมพี่ยอมง่ายจังวะ"เกมมันดูหงุดหงิดมากกว่าผมอีกนะ. ผมเลยรีบเก็บสีหน้าซึมๆของตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาคุยกับมัน

"เราผิดเองนี้หว่า อยู่ๆ ก็เดินมาสาดน้ำใส่เขา เป็นกูกูก็โกรธแหละ. "ผมพยายามฝืนยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ตัวเอง


"แต่คำพูดมันนี้ไม่ใช่เลยนะ พี่แปลไม่ออกหรอ มันดูถูกพี่อยู่นะ "

"ก็แค่คำพูดปะวะ จะแคร์ทำไม" ผมหัวเราะกลบเกลื่อน

"แต่ผมว่าพี่แคร์วะ  สายตา สีหน้า ของพี่เมื่อกี้ ผมดูออกหมดอะ แล้วผมก็รู้ด้วย ว่าพี่ยังคิดมากเรื่องนี้อยู่  แถมยังแกล้งทำตัวปกติเพื่อปกผิดความรู้สึกจริงๆของตัวเองอีก"เชี้ย พึ่งรู้จักกันไปถึงวันทำไมมันถึงมองผมออกทะลุปุโปร่งแบบนั้นวะ

"มั้วละมึง ไปเอาน้ำเข้าห้องไป"ผมยื่นมือไปตีบ่ามันไปๆมาๆ ผมเริ่มกลับมาอารมณ์ดีจริงๆแล้ว


"หึ ตีผมแล้วอารมณ์ดีขนาดนั้นเชียว "มันก็เสือกมองออกอีก

"เออดิได้ตบมึง กำไรจะตาย". ไอเด็กนี้มันส่งยิ้มโชวฟันครับสามสิบสองใส่ผม  โห เชี้ยตอนยิ้มมันหล่อมากครับคุณผู้ชม คือปกติเบ้ามันก็ดีอยู่แล้วด้วยไง แต่พอยิ้มทีนี้หืม

แต่เดี๋ยวนะ นี้ผมกำลังแอบชมไอเด็กนี้อยู่รึไง..บ้าแล้วบ้าไปแล้ว


กว่าจะเติมน้ำเสร็จก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง และพอลงกลับมาที่ห้องผมก็โดนเช่นนี้ครับ


"นี้ไปเติมน้ำอยู่ยอดเขาเอเวอร์เรสกันมาหรอ ทำไมมันถึงได้นานขนาดนี้ "มาถึงแทนที่จะได้พักผมกลับโดนเจ้แกด่าหูไหม้ซะนี้

"อย่าโทษพี่เขาเลยครับโทษผมดีกว่าผมชักช้าเอง"

"หึ คุณกิตติทัศน์ คะ ถ้าที่หลังจะช่วยใครแล้วมันลำบากตัวเองก็อย่าช่วยเลยนะคะ เดี๋ยวจะโดนดึงเข้าไปเจอเรื่องแย่เปล่าๆ"เธอพูดจบก็เดินออกจากบริเวณไป

"พี่โอเคนะ"มันยังมีกะจิตกะใจมาห่วงผมอีกเว้ย

"อืม แค่คำพูดเองปะวะ"

"ไม่ ผมหมายถึงเท้าพี่อะ ต้องทายามั้ย"แปลกที่มันสังเกตุ

"ทาทำบ้าอะไร แค่บวมๆนิดหน่อยเอง เดี่ยวก็หาย"ผมพูดแบบขอไปที แต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดอย่างนั้นนะสิ

มันเดินอ้อมาที่โต๊ะผมก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นและจับตีนผมขึ้นมาดู

"โอ้ย!"ผมร้องเสียงหลงตอนที่ไอเด็กนี้มันเอามือมาจับที่เล็บ

"ไหนบอกไม่เจ็บ แล้วเมื่อกี้ร้องทำไม"มันจับเท้าผมพลิกไปมาด้วยความสนุก สัดกูเจ็บ

"มียามั้ยเนี้ย"มันเงยหน้าถามหลังจากที่มองตีนผมเสร็จ

"ใครจะไปมีละ ไม่ได้รู้ซะหน่อยว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น"แต่ถ้าจะโทษก็ต้องไปโทษไปประธานหน้าเลือดนั้นเอาละกันเพราะมันคนเดียวเลยจริงๆ

"งั้นเดี๋ยวผมมา "พูดจบมันก็ลุกขึ้นเดินออกไปเลย ไปไหนของมันกันนะ

สิบนาทีให้หลัง


"กลับมาแล้ว.."มันเดินยื่นถุงมาตรงหน้าผม

"อะไรอะ "ผมทำหน้างงใส่มัน

"ยาแก้ปวด แล้วก็ขนม"

"ที่หายไปนานนี้คือ  ไปซื้อไอพวกนี้มาให้อะหรอ"ผมอดตกใจไม่ได้เลยจริงๆ

"อือ แต่มีรองเท้าแตะด้วยนะ ผมซื้อมากลัวพี่ ใส้คัทชูแล้วนิ้วมันบวมอะ"เป็นอีกครั้งที่มันทำผมอึ้งครั้งที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ มันเป็นคนดี หรือแค่เฟรนรี่เกินไปนะ ผมแยกสองคำนี้ไม่ออกเลย

"ขอบใจนะ ว่าแต่กี่บาทอะเดี๋ยวคืนให้"ผมรับถุงฝนมืมันก่อนจะถามกลับ

"ไม่ต้องอะ แค่พี่เอาผ้าพันคอที่พี่พันอยู่คืนผมมาก็พอ"ผมรีบมองที่ต้นคอตัวเองทันที


"แหมะ ก็ว่าจะหาโอกาศคืนอยู่นั้นแหละ ไม่ได้คิดจะเอาไปซะหน่อย"

"หรา ถ้าผมไม่ทักนี้พี่คงใส่ยาวเลยงั้นสิ"พูดอีกก็ถูกอีก

"อะๆคืนๆ แหม่หวงจังนะกับอิแค่ผ้าพันคอเนี้ย"ผมพูดหยอกก่อนจะส่งคืนผ้าพันคอให้น้องมัน


"มันไม่ใช่แค่ ผ้าพันคอนะ แต่มันคือความทรงจำในวัยเด็กของผมต่างหาก"คำพูดของมันทำเอาผมต้องรีบหุบยิ้มทันที สีหน้าที่นิ่งๆนั้นบ่งบอกๆด้ถึงอารมณ์ดราม่าที่กำลังจะตามมาหลังจากนี้เลย

"เห้ย ขอโทษ  "ผมละอยากตีปากตัวเองแรงๆสักที

"ผมไม่โกรธพี่หรอก ก็พี่ไม่รู้นิ "มันมองผมพร้อมยิมเจื่อนๆ เป็นร้อยยิ้มที่ดูเศร้ามากเลยแหะ

"โอเคปะเนี้ย"ผมถามพร้อมกับเอามือแตะที่บ่า

"..."น้องมันไม่ได้ตอบผมแต่พยักหน้าแทนเพื่อให้ผมสบายใจ หน้าเศร้าๆไม่เหมาะกับไอเด็กนี้เลยจริงๆ ผมควรหาวิธีทำให้มันอารมณ์ดี ขึ้นดีมั้ยนะ

"มึง"เกมมันเก็บสีหน้าเศร้าๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม

"ไปกินข้าวกัน" น้องมันขมวดคิ้ว

"เอ่อผม.."

"เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง "

"โอเครเลยพี่ ^•^". จะว่าไปไอเด็กนี้มันก็มีส่วนเหมือนผมมากอยู่เหมือนกันนะ

โดยเฉพาะเรื่องกินเนี้ย


TBC....

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ thitema3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
Falling in love

แค่ลองทำ

หลังจากที่ผมพาไอเด็กซีเกมนั้นไปกินข้าวที่ตึกข้างล่างใกล้ๆกลับที่ทำงานเสร็จผมก็ มายืนรอรถเมลกับกลุ่มคนที่พึ่งจะเลิกงานกัน อย่างคับคลั่ง. ใช้เวลานั่งเพียงไม่นานก็ถึงที่หมาย

พอมาถึงคอนโดอิกี้ ตอนนี้เจ้าตัวมันไม่อยู่ครับโชคดีหน่อยที่มันทิ้งกุญแจสำรองไว้ให้ ไม่งั้นผมคงต้องนั่งรอมันทั่งคืนแน่ๆ

หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็เปลี่ยนเสื้อผ้าล้มตัวลงนอน ที่เตียงขนาดใหญ่ ระหว่างนั้นก็มีข้อความจากแอพพิเคชั่นไลน์เด้งขึ้นมา

Z-game :  ถึงห้องรึยังพี่ "ไอเด็กนี้มันมีไลน์ผมได้ไงวะ ไลน์ที่ผมพึ่งสร้างเมื่อวันก่อนมีแค่ไม่กี่คนเองนะที่รู้

J.jatarin:มึงมีไลน์กูได้ไง"อดแปลกใจปนตกใจไม่ได้จริงๆ

Z-game:ก็กดดูเอาในโทรศัพท์พี่อะ (สติ๊กเกอร์ หมี ไอเลิฟยู)"เวรกรรมและนั้นพึ้งทำให้ผมนึกออกว่าตัวเองลืมสร้างรหัสความปลอดภัยของเครื่องแล้วก็ไลน์

J.jatarin: เร็วนักนะมึง กุเผลอเข้าห้องน้ำแปปเดียว"

Z.game: พี่ไม่รอบคอบเองนินา "มึงตั้งหากที่เสียมารยาทไอเด็กเวร

J.jatarin: มึงต่างหากที่เสียมารยาท ไอเด็กผี"

Z.game:  ฮ่าๆ (สติ้กเกอร์หมีแลบลิ้น)"

J.jatarin: ดึกป่านนี้แล้วทำไมถึงยังไม่นอน "จะว่าไปเวลาหนึ่งวันที่ผมได้รู้จักกับไอเด็กนี้ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นคนนิสัยดีน่าคบด้วยคนนึงเลยนะ

Z.game:  พี่เป็นห่วงผมหรอ ดีใจวะ"

J.jatarin:  กูแค่ถามมั้ยละห่า อย่าเข้าใจกูผิด"

Z.game:  เฮ้อเป็นห่วงก็บอกเป็นห่วงอย่าปากแข็งดิ.."

J.jatarin:  เอาที่มึงสบายใจแล้วกัน (สติ๊กเกอร์มูนเบื่อหน่าย)"

Z.game:  แกล้งพี่ให้หงุดหงิดแล้วรู้สึกดีวะ"เพราะ มึงมันโรจิตไงละ

Z.game:  พรุ่งนี้เข้างานกี่โมงอะพี่

"...."  ผมลองแกล้งเงียบปล่อยให้มันคุยคนเดียว

Z.game:  ฮัลโหลว เฮ้ หลับแล้วหรอ พี่ พี่เจๆวู้ หู้". แต่เหมือนยิ่งปล่อยไว้นานผมนี้สิที่จะลำบากเลยต้องจำใจตอบๆมันไป จะได้เลิกฟลัดข้อความมาหาผมสักที

J.jatarin:  กูง่วงจะนอนแล้ว. "ผมบอกแค่นั้นก่อนจะรีบวางโทรศัพท์ไว้หัวเตียง


ครืดๆๆๆ ขนาดปิดเสียงแล้วแต่แรงสั่นที่หัวเตียงมันยังดังไม่หยุด  ผมเลยต้องหยิบมันขึ้นมาเปิดดูอีดรอบ แล้วก็เป็นมันคนเดิม ที่ทักผมมา


J.jatarin:  ฟลัดหาพ่อง โทรศัพท์กูลวน ไอหรรม"จากที่พยายามใจเย็น อยู่นาน ในที่สุดผมก็เหลืออดกับไอเด็กนี้จนได้..

Z.game:อย่าพึ่งนอนดิคุยกับผมก่อน "มันยังตื้อผมไม่เลิก

J.jatarin: แต่กูง่วงแล้วขี้เกียจพิมพ์"

Z.game:  งั้นผมคอลไปนะ พี่จะได้ไม่ต้องพิมพ์"ผมกำลังจะพิมพ์ด่ามันแต่อีกฝ่ายมันโทรมาไลน์มาไวรึเกิน

ผมกดรับสายก่อนจะรีบเก๊กหน้าขรึมๆมองมัน

"เป็นส้นตีนอะไรกับกูนักหนาห้ะ  กูบอกกูจะนอนแล้วไง"อีกฝ่ายมันจ้องผมและเอาแต่ยิ้ม

"ไหนบอกจะคุยไง ห่ามีอะไรก็รีบพูดกูจะได้เข้านอนซักที"แต่มันก็ยังนิ่งแถมยังยิ้มหนักกว่าเก่าอีก

"ไม่คุยงั้นกุวาง"ผมกำลังจะกดปุ่มวางสายแต่อีกฝ่ายก็เริ่มพูดทันที

"เห้ย ใจเย็นๆ ผมแค่อึ้งๆ"มันตอบผมแต่ก็ยังคงยิ้มอยู่

"อึ้งอะไรมึง"ไอเด็กนั้นมันรีบหุบยิ้มก่อนจะเก๊กหน้าขรึมใส่ผม


"เปล่าๆ ไม่มีอะไร ครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะได้เจอกันอยู่ใช่มั้ย"พูดงี้มันหมายความว่าไงฟร้ะ

"ถ้ายังไม่ตายก็คงได้เจอกัน"

"พรุ่งนี้พี่มาไงอะให้ผมไปรับมั้ย"ไอเด็กนี้มันทำหน้าเหมือนรอลุ้นว่าผมจะตอบอะไรมัน

"ไม่ต้องอะเดี๋ยวมีคนไปส่ง"

"ใครอะ"

"เสือก"

"ฮ่าๆ"

"ขำ?"

"ขำพี่นั้นแหละ พี่รู้ปะพอเวลาพี่ทำหน้าตึงๆหน้าพี่แม้งอย่างฮา"นั้นปากหรอนั้น- -"

"จ้า พ่อคนหล่อ หล่อเหลือเกิน หล่อตายละมึง"ระหว่างนั้นผมก็ได้ยินเสียงตะโกนดังลอดปลายสายเข้ามา

"(นี้ เจ้าเกมดึกขนาดนี้แล้วทำไมถึงยังไม่นอน ห๊า)
กำลังจะเข้านอนแล้ว ปู่เองก็รีบเข้าไปนอนเถอะ  "

"ไงละมึง ฮ่าๆเห็นมึงโดนด่าแล้วกูรู้สึกดีวะ5555"

"โรคจิตวะพี่ (นี้เจ้าเกม ที่พูดนะได้ยินมั้ย) ได้ยินแล้วคร้าบกำลังจะปิดไฟนอนแล้วเนี้ย"เสียงของไอเด็กนี้ร้องตอบอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

"กูว่ามึงรีบไปนอนเถอะ เดี๋ยวเขาก็มาแหกอกมึงอีกหรอก"ผมเตือนมันด้วยควาทหวังดี

"เอางั้นก็ได้พี่ ..แต่ก่อนจะไป.."มันกดตัดสายผม ก่อนจะส่งข้อ รูปๆนึงตามมาติดๆ พอผมเปิดเข้าไปดู ก็ต้องร้องอุทานคนเดียวดังๆว่า


"เชี้ย!! "ผมรีบพิมพ์ด่ามันในทันที

"รูปกูโคตรเหวอ..."เป็นรูปที่ผมกำลังจะจามในร้านข้าวแล้วแม้งดันแอบถ่ายเอาไว้ บอกได้คำเดียวครับ ..เลว


"ฝันดีนะครับ พี่(สติ๊กเกอร์หมีห่มผ้า)"หลังจากนั้นมันก็ไม่ได้ตอบอะไรผมอีกซึ่งผมคาดว่ามันคงจะเข้านอนจนหลับไปแล้วแต่ผมนี้สิกลับตาสว่าง ขึ้นทันตาด้วยความโมโหทักไปก็ไม่ตอบไอเด็กเวร

..............

เช้าวันถัดมา ผมปรื่อตาตื่นขึ้นด้วยความตกใจแบบสุดขีด แต่ที่ตะลึงนี้ไม่ใช่เห็นผีนะครับ แต่เป็นนาฬิกาต่างหาก  ชิบโด้ ผมตั้งปลุกไว้ตอนหกโมงแต่ขณะนี้เวลาแปดนาฬิกา กับอีกยี่สิบ ยี่สิบเอ็ด ยี่สิบสอง แต่เดี๋ยวนะ แล้วไหงตัวผมุถึงได้มานั่งใจเย็นนับวินาทีเล่นอยู่อย่างนี้ละเอ๊อ!
ยัง
ยังไม่รีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานอีก คิดได้ดังนั้นผมก็แทบจะบินเหาะเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันด้วยความเร็วแสงก่อนจะรีบแต่งตัวไปทำงานแบบลวกๆ และก่อนไปก็ไม่ลืมสายคล้องคอประจำตำแหน่งเด็กฝึกงานหน้าใหม่ เพราะขืนลืมมีหวังได้ติดแหง็กนั่งคุยจ้อกับพี่กาด ข้างล่างแน่ครับ


และระหว่างที่นั่งรถเมลไปทำงานด้วยความใจเย็นนั้นเองผมก็พึ่งจะนึกออกถึงสาเหตุที่ ทำให้ไม่ตื่น นั้นก็คือ กูปิดเสียงไว้ ครับ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้นเหตุมันมาจากใครถ้าไม่ใช่ไอเด็กผีเวรนั้น  หึหึ ไปถึงเมื่อไหร่กูจะโบกให้หน้าคะมัมเลยคอยดู

ออฟไลน์ thitema3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ณ ตึก Tnk.

ผมถึงที่ทำงานในเวลาเกือบๆ จะเก้าโมง ด้วยความเร่งรีบผมเลยรีบวิ่งไปรออยู่หน้าลิฟฟ์ และด้วยความใจเย็น หนักจากที่รออยู่นานลิฟฟ์แม้งก็ยังไม่ลงมาสักทีเลยถือโอกาศหยิบโทรศัพท์ที่สั่นๆในกระเป๋ากางเกงออกมาดู

"ไอเด็กผี"ผมเปลี่ยนชื่อไลน์มันเป็นที่เรียบร้อย. ชื่อเพราะดีเหมาะกับหน้าและนิสัยของมันจริงๆ

"ประธานกำลังลงมาข้างล่างพี่มัวทำอะไรอยู่เนี้ย"ตอนแรกในความคิดผมกะจะด่ามันให้หายเคืองแต่เรื่องนั้นคงต้องเอาไว้เคลียหลังจากผมโผล่หน้าไปให้ไอประธานมันเห็นก่อนละกัน


...

และด้วยความที่ลิฟฟ์ เลื่อนลงในชั้นที่ผมอยู่ยังกับเต่าคลานผมเลยตัดสินใจเลี้ยวซ้ายเดินขึ้นบรรไดแทน  โหะ ด้วยความที่ออกกำลังกายทุกวัน(มโน). ผมเลยไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว .... โอเค พูดความจริงก็ได้ ว่ามันเหนื่อย ถึงจะเป็นแค่ชั้น เดียวก็เถอะ ...

ทันทีที่ผมมาถึงห้องทำงาน. ทุกสายตาก็จับจ้องมาที่ผมเป็นตาเดียว โชคยังดีหน่อยที่ไอประธานมันยังมาไม่ถึง. ผมเลยไม่โดนตำหนิอะไร ..

ทันทีที่มาถึงโต๊ะประจำตำแหน่ง


"ตื่นสายหรอ"ไอเด็กผีมันหันมาถามผมยิกๆแต่ผมแกล้งไม่ได้ยิน

"นี้"มันพยายามส่งเสียงให้ดังขึ้นแต่ผมก็ยังไม่หันไปคุยกับมันอยู่ดี

"พี่เจ!"คราวนี้มันตะโกนเลยครับ แม่เจ้าโว้ย ขนาดพี่เกดที่ยืนอยู่ไกลๆยังหันหลังกลับมามองว่าเกิดอะไรขึ้น

"ตะโกนทำเชี้ยไรเนี้ย"ผมหันไปมองค้อนไอเด็กนั้นหนึ่งทีใจจริงอยากเดินไปโบกหัวมันด้วยซ้ำถ้าไม่ติดที่ว่าคนอยู่เยอะนะมืงงง

"ก็ผมเรียกแล้วพี่ไม่ตอบอะ"

"มีอะไร "ผมพยายามถามมันเสียงเบาๆ

"ทำไมถึงมาสาย"

"...."

"ไม่ตอบผมตะโกน...."และไม่ต้องรอให้มันอ้าปากผมก็รีบตอบกลับมันในทันที

"กูตื่นสาย"

"แล้วทำไมถึงตื่นสายอะ"ก็เพราะมึงไงกูถึงต้องปิดเสียงโทรศัพท์จนนาฬิกาที่ตั้งไว้มันไม่ยอมดังนะสิ ไอห่า แต่ด้วยความที่ไม่อยากคุยยาวผมเลยตอบแบบขอไปที

"นอนดึก"

"แล้วกินไรมายัง"มันถามยิ้มๆใส่ผม



"สายขนาดนี้มึงคิดว่สกูกินรึยังละ"ถามมาได้


"เออนั้นสินะ"ระหว่างนั้นเสียงประตูห้องก็เปิดดัง ปึ้งๆ สร้างความตกใจให้คนในห้องอยู่ไม่น้อย 

และบุคคลที่เดินเข้ามาใหม่จะเป็นใครไม่ได้นอก จากไอประธานขี้เก๊กของสาวๆ เกือบทั้งตึกที่วันนี้มันแต่ง ตัวค่อนข้างดูดี. เหมาะกับทรงผมทึ่เซ็ทเปิดเหม่งไปทางซ้าย คาดว่าถ้าเปลี่ยนสีกางเกงออกสีแสบๆตาหน่อยกับเน็กไทน์หลากสี ผมจะชวนมันเขาวงหมอลำเลยนะเออ

ตึบ เสียงรองเท้าคัทชูคู่หนาเดินมาหยุดลงอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานผม คนร่างสูงจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาที่แม้แต่ผมก็ยังเดาทางไม่ออกว่ามันคิดอะไรอยู่

"ตามไปพบที่ห้อง"เสียงเรียบนิ่งของมันเล่นทำเอาขนด้านหลังของผมถึงกับชูชันขึ้นมา บรรยากาศโดยรอบ เกิดความเงียบ ขึ้นมา และในทันทีที่มันพูดจบประโยคมันก็หมุนตัวกลับเดินออกจากห้องไปหน้าตาเฉย

คือ มึงลงมา แค่เรียกกูไปพบเนี้ยนะ??

ผมละยอมใจในความเล่นใหญ่ของมัน และด้วยความที่ผมเป็นลูกน้อง(ขี้ข้า) ผมเลยต้องรีบแบกสังขาร ของตัวเองวิ่งตามไอประธานมันออกไป แต่พอออกมากลับไม่เห็นเงาหัวของมันเลย แล้วสรุปจะให้กูไปพบที่ไหนกันละเนี้ย

ด้วยความไม่รู้ผมเลยเดินกลับเขามาในห้องก่อนจะเดินไปหาพี่เกดเพื่อถามทางไปห้องของไอประธานบ้านั้น แต่เหมือนพี่เขาจะติดธุระคุยโทรศัพท์อยู่ ผมเลยได้แต่ยืนรออยู่ห่างๆ ระหว่างนั้นเองไอเด็กผีซีเกมมันก็เดินมาสะกิดไหล่ผมยิกๆ

"ยืนรออะไรอะทำไมไม่รีบขึ้นไป เดี๋ยวก็โดนไอประธานมันเล่นเอาหรอก"ใจจริงพี่ก็อยากไปนะไอหนูแต่กูไม่รู้ทางครับไม่รู้จะถามใครดี

"ออกไปกูก็ไม่เห็นมัน..เอ่อหมายถึงประธานอะ "

"ก็ตามขึ้นไปสิ"คือถ้ารู้ว่ามันอยู่ตรงไหนกูจะมารอถามพี่เกดเขามั้ยอะ

"ก็ไม่รู้ว่าไอ้.เอ่อ.ประธานอยู่ชั้นไหนไง"

"น่าจะขึ้นห้อง ไปแล้วมั้ง อยู่ชั้นสิบสี่ห้องขวามืออะ ให้ผมพาไปมั้ย"

"ขอบใจ แต่ไม่ต้องอะ "

"ตามนั้นละกัน ได้เรื่องไงมาบอกผมด้วย ถ้าประธานมันนินทาลูกน้องอย่าลืมมาบอกผมด้วยละ"ผมพยักหน้าให้มันก่อนจะรีบเดินขึ้นลิฟฟ์ไปที่ชั้นสิบสี่ตามที่ เด็กผีมันบอก


ปิ๊ง!  ลิฟฟ์เปิดผมรีบเดินออกมามองทางด้านขวา มองตรงประตูที่มีป้ายแขวนไว้ว่า private. เอาไว้ น่าจะเป็นห้องนี้นั้นแหละ ผมยืนถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่กลายทีก่อนจะรีบเคาะประตูสามครั้งจนได้ยินเสียงอนุญาติจากอีกฝ่ายผมจึงค่อยเดินเข้าไป..



ทันทีที่ผมเข้ามาด้านไหน กายมันก็มีแขกอยู่แล้วเป็นสาวสวยคนนึงในชุดเดรส สีแดงสด บวกกับสีผมและสีปากที่ดูจัดจ้านไม่แพ้กัน

เธอกำลังนั่งอยู่ข้างๆกับไอกายบนโซฟา ทั้งคู่หันมามองผม แวบนึงก่อนจะหันไปคุยกันอย่างออกรสออกชาติ.

เวลาผ่านไปสิบนาทีผมได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าขัดจังหวะการพูดคุยของทั้งสองเลยได้แต่ยืนรอให้คนได้คนนึง ทักผมสักที แต่ก็ยังไม่มีใครให้ความสนกับผมอยู่ดี

สิบห้านาทีผมยืนมองึนตรงหน้าด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่ค่อยๆผุดขึ้นมาที่ละนิดๆ

ยี่สิบนาทีผ่านไป

  พอ ผมไม่ทนแล้ว ใครจะว่าผมเสียมารยาทยังไงผมไม่แคร์ในหัวของผมตอนนี้มีแต่ความไม่เข้าใจเต็มหัวไปหมด สรุป มีธุระจะคุยหรือจะให้กูมาดูฉากเรท อะไร ใครก็ได้ช่วยบอกผมที

"เอ่อมีธุระอะไรหรอครับ ถึงเรียกผมขึ้นมา"ผมโพล่งถามขึ้นทำเอาสองคนที่นั่งคุยคลอเคลียกันต้องหันกลับมามอง

"ตอนแรกว่าจะฝากงานแต่ตอนนี้มีคนทำเสร็จไปแล้ว งั้น..."   แล้ว เรียกกูมาทำส้นตีนอะไรครับ??  ผมรีบขมวดคิ้วให้มันรู้ตัวในทันทีว่ากูไม่พอใจอย่างแรงกับการกระทำของมึง

"กลับลงไปก่อนไว้มีงานเดี๋ยวจะฝากงานกับคุณเกดไปให้"จบประโยคของไอปรประธานหัว...นั้นผมถึงกับกำหมัดแน่นด้วยอารมณ์โกรธที่พร้อมจะระเบิดทุกเมื่อ นี้ถ้าไม่มีใครอยู่ผมมั่นใจแน่ๆว่าผมคงรีบพุ่งตัวเข้าไปซัดมันสักทีให้หายเคือง  ไอซัซ มีที่ไหน เรียกให้กูมาดูมึงสวีทกัน เหอะ
ผมรีบเดินตึงตังออกมาจากห้องพร้อมกับปิดประตูใส่มันเสียงดังปึ้ง ก่อนจะรีบขึ้นลิฟฟ์ลงไปที่ชั้นล่างด้วยอารมณ์หงุดหงิดถึงขีดสุด

............  อีกด้านนีง

"อะไรของมึงเนี้ยกาย "เสียงเพื่อนผู้หญิงคนสนิทของผมเองครับเธอมีชื่อว่าเก๋ เราสองคนรู้จักกันตั้งแต่สมัยเด็กๆแล้วแต่พึ่งได้กลับมาเจอกันเมื่อหลายเดือนที่แล้วในตอนที่ผมยังอยู่ที่ต่างประเทศ

"อะไรของมึงนี้คือยังไงวะ"

"ก็ที่มึง พยายามสะกิดขาไม่ให้กูคุยกับคนเมื่อกี้อะ"มันคงหมายถึงเรื่องเมื่อกี้แน่ ก่อนอื่นเลยผมต้องขอท้าวความย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืนก่อน

......


"พี่ ผมถามจริงๆนะทำไมอยู่ๆพี่ถึงรับแฟนเก่าพี่เข้ามาทำงานในบริษัทอะ"เป็นคำถามที่คนฟังอย่างผมถึงกับสะอึกเมื่อได้ยินประโยคนี้จากปากไอปอน


"ก็แค่รับคิดไรมากวะ มันกล้ามาสมัคร กูก็รับมันเข้าทำงานก็แค่นั้น"ไอปอนเหล่ตามองผมเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก

"ก็ถ้าเขาไม่ใช่แฟนเก่าพี่ผมจะไม่ถามแบบนี้เลย แต่คือมันใช่ไงผมก็เลยสงสัย"

"สงสัยห่าอะไร"

"สงสัยว่าพี่ ยังมีความรู้สึกดีๆให้กับพี่คนนั้นอยู่อะดิ"ผมเนี้ยนะ จะมีความรู้สึกดีๆหลงเหลือ  เหอะ ความรู้สึกดีๆ ที่ผมเคยมีให้กับมันหมดลงไปตั้งแต่วันที่ผมเห็นมันจูบกับไอห่านั้น ในวันนั้นแล้ว แถมยังมีเรื่อง เงินสิบกว่าล้าน ที่พ่อผมเสนอให้อีก คงจะเปรมอยู่กับมันจนมีความสุขเลยสิท่า แต่ไหงวันนี้ถึงกับมาซมซานหาผมได้ อ่อ สงสัยจะโดนไอห่านั้นทิ้งเขาให้แล้วละสิ ถึงได้กลับมา แต่ขอบอกก่อนเลยว่า ต่อให้มันมา. ขอร้องอ้อนวอนแค่ไหนความรู้สึกดีๆที่ผมเคยมีให้มันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ทุกอย้างมันพังไปหมดแล้ว พังลงไปแบบไม่เหลือชิ้นดี ด้วยฝีมือ ของตัวมันเอง

"ประสาทแดกหรอ มึงก็รู้ว่ามันเป็นคนยังไง มึงจำเรื่องสองปีก่อนที่กูเคยเล่าให้ฟังไม่ได้หรอ มึงก็เห็นแล้วนิ ว่ามัน ทำอะไรกับกูไว้บ้างแล้วจู่ๆจะให้กูกลับมารู้สึกดีกับคนที่ทำให้กูเจ็บแบบนี้อะหรอ เหอะฝัน "

"แต่ผมว่าคำพูดกับการกระทำพี่นี้มันขัดแย้งกันมากโขอยู่นะ"

"ยังไง"ผมถามด้วยความอยากรู้

"ก็ เท่าที่ฟังมา เหมือนพี่จะเกลียดเขามาก "พูดอีกกูถูกอีกผมรีบพยักหน้าใส่ไอปอนยิกๆ

"พี่คงจะโกรธ ที่เขาทิ้งพี่ไปมีคนใหม่" เรื่องนี้ฝังใจกับผมหนักมาก แต่ผมก็ยังพยักหน้าตอบไอปอน

"แล้วตอนนี้พี่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาแล้ว แม้แต่นิดเดียว"

"ใช่" ผมยิ้มยืนยันในความคิดของตัวเองอย่างหนักแน่น

"แต่พี่ก็เลือกรับเขาเข้าทำงาน ทั้งๆที่รู้ว่าเขาเป็นคนทำให้พี่เจ็บ"รอยยิ้มของผมค่อยๆหุบลงทีละนิดๆ

"พี่เลือก เขาทั้งๆที่พี่มีสิทธิที่จะไม่รับเขาเข้าทำงานก็ได้แต่พี่ก็ดันรับ ผมไม่เข้าใจตรงส่วนนี้อะ มันดูขัดแย้งยังไงไม่รู้"แม้แต่ผมเองยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้เลยว่าสิ่งที่ผมทำไปนั้นมันคืออะไร

"เอางี้ พี่มั่นใจ ว่าพี่ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเขาแล้วใช่มั้ย "

"ก็....เออดิ  ทำไม มึงคิดจะทำอะไรไอปอน"และแน่นอนว่ามันต้องไม่ใช้เรื่องดี

"พรุ่งนี้พี่เก๋จะกลับมาไทย คุยเรื่องธุรกิจกับบริษัทเรา "

"แล้วยังไง"

"พี่ลองเล่นละครตบตาดูสิ"ผมขมวดคิ้วมองมัน

"ตบตาใครวะ "

"ก็แฟนเก่าของพี่ไง"

"แล้วทำไมกูถึงต้องลงทุนทำเรื่องแบบนั้นด้วยวะ "

"เพื่อคำตอบไง"

"คำตอบอะไร"

"คำตอบที่พี่เองก็รู้อยู่แก่ใจ ผมไม่พูดหรอกไว้ถึงเวลาพี่ก็จะรู้เอง"ผมละอยากจะตบกะบาลเรียกสติมันสักทีแล้วถามไอปอน ว่ามันกำลังคิดจะให้ผมทำเรื่องบ้าอะไรอยู่

"พี่เคยบอกกับผมเองไม่ใช่หรอ ว่าเขาเป็นฝ่ายทิ้งพี่ งั้นก็แสดงว่าเขาต้องไม่มีความรู้สึกอะไรกับพี่แล้วแน่ๆ "

"มึงกำลังหมายถึง"

"เออก็อย่างที่พี่คิดอะแหละ ถ้าเขาไม่เหลือเยื้อใยกับพี่จริงๆเขาจะไม่รู้สึกอะไรเลยแต่ถ้ามี..พี่ก็จัดการส่วนนั้นเอาเองละกันนะ เพราะผมไม่รู้ว่าลึกๆแล้วพี่รู้สึกยังไงอยู่กันแน่...แต่ผมมีเรื่องสำคัญอยากจะขอย้ำพี่ไว้..

"เีรื่องอะไรอีก"นี้ผมเผลอไหลตามคำพูดไอปอนตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี้ย..

"ถ้าเมื่อไหร่ ที่หัวใจของพี่มันไม่ยอมบอก ความเจ็บปวดมันจะกลายมาเป็นคำตอบให้พี่เอง ผมจะบอกแค่นี้แหละ ฝันดี"พูดจบมันก็เดินตัวปลิวล้มตัวลงนอนทีโซฟาไม่มีทีท่าว่าจะหันมาคุยกับผมอีกเลย...

แม้ปากจะบอกออกไปว่าไม่รู้สึกอะไรแล้วก็ตามแต่ทำไมผมถึงต้อง มีความรู้สึกผิดในใจลึกๆแบบนี้ด้วยนะ

"กาย เฮ้ เป็นไรเนี้ยเหม่อๆนะ"เก๋ดีดนิ้วเรียกสติผม

"ห้ะ อะไรๆ"เมื่อกี้มันพูดอะไรกับผมวะไม่ทันฟัง

"กูรู้สึกผิดแปลกๆวะ"

"เรื่องอะไรวะ"

"สีหน้าคนที่เดินเข้ามีเมื่อกี้อะ"

"แล้วมันทำไมละ"

"มันมีมากกว่าความหงุดหงิดที่ต้องยืนรอ"เก๋มันกำลังจะสื่ออะไรให้ผมฟังวะ


"สายตาที่เขามองมึง กูรู้สึกได้วะ แต่ปกติกูจะเห็นในมุมของผู้หญิงด้วยกันแต่เมื่อกี้ดันเป็นผู้ชายนะสิ"

"มึงเห็นอะไร"

"ก็...มันเหมือนๆ..หวงผัว"ห้ะ หวงอะไรนะ

"หวงผัว ? มีงมั่วละเก๋"

"กูไม่ได้มั่ว กูพูดจริงๆ กูรู้สึกแบบนั้น ออร่าความเป็นเมียเขามีสูงมากมึง "

"มึงกลับๆไปได้แล้วไปกูว่ามึงลืมเวิ่นเว้อแล้วเก๋"ผมรีบโบกมือไล่เพื่อนอย่างไม่สบอารมณ์นัก

"เออกูไปก็ได้ค่ะ..แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะมาใหม่"

"มาทำไม่อีกวะธุระก็คุยกันรู้เรื่องแล้ว"เพราะเมื่อกี้ผมพึ่งคุยเรื่องธุระกิจกับพ่อของเก๋ไปสดๆร้อนๆเอง

"แล้วใครบอกว่ากูมาเรื่องงาน"อ้าวแล้วมึงจะมาทำไมบ่อยๆละครับ


"กูจะมาเสือกเรื่องของมึงต่างหากละ"

"เสือกเรื่องกูเนี้ยนะ "

"เรดาร์กูมันบอกว่ามึงต้องมีซัมทิงอะไรบางอย่างที่ยังไม่ได้บอกกูแน่ๆ"

"มั่วใหญ่แล้วมึง กูไม่มี"

"ไว้กูจะมาดูด้วยตัวของกูเองละกัน...ไปนะบาย"มันไม่ได้ตอบอะไรผมอีก แถมยังเสือกทิ้งระเบิดตูมนึงเอาไว้ให้ผมอีก เห้อ บางที่ผมก็เหนื่อยนะ ที่มีเพื่อนแบบมันเนี้ย..

.............

หลังเลิกงานผมก็นั่งรถเมล์กลับอิลอบเดิม เพิ่มเติมคือมีไอเด็กผีมันนั่งมาด้วยเหตุผลที่มันบอก คือกลัวผมเลยป้ายที่จะลง เลยต้องมานั่งเฝ้าชนิดที่ว่าถ้าขี่คอผมได้มันคงทำไปแล้ว


พอมาถึงหน้าหอไอเดฺกผีมันก็ขอตัวกลับก่อน. เห็นมันบอกว่า คุณปู่มันมีเรื่องจะคุยด้วย ซึ่งผมเองก็อยากจะไล่มันไปตั้งนานแล้วแหละ ในที่สุดก็หาเหตุไล่มันได้สักที ท่าทีมันก็ดูจะไม่ได้อิดออดอะไร และก่อนที่มันจะนั่งแท็กซี่กลับไปผมก็หยิบขนมในถุงเซเว่นให้มันหนึ่งห่อไว้กินระหว่างทาง

ก่อนจะรีบเดินขึ้นมาบนห้องผมก็เจออิ กี้กำลังนั่งพอกหน้าเขียวอยู่ที่หัวเตียงในห้องของมันที่เปิดอ้าซ่าเอาไว้

"กลับมาแล้วหรอมึง " ถามขึ้นทั้งๆที่ผมก็มานั่งเสนอหน้าใกล้ๆกับมันแล้ว .ยอมใจ

"ไม่มีเรื่องอะไรจะเล่าให้กุฟังเลยหรอ"อิกี้มันถามแต่สายตาก็ยังมองกระจกอยู่

"มึงรู้ได้ไง"ผมว่าก็ทำตัวปกติสุดแล้วนะ


"หน้ามึง.."ทำไมหนัากูมันทำไม

"เหมือนมึงแบกทุกข์เอาไว้ทั้งหน้า..."หน้าผมมันออกอาการขนาดนั้นเลยหรอวะ. ว่าแล้วก็รีบดึงกระจกที่อิกี้มันส่องอยู่มาดูหน้า ผมที่ไม่ว่าจะหันซ้ายหันขวายังไงก็ไม่ยักจะรู้สึกถึงอะไรอย่างที่มันบอกเลยสักนิด


"มึงหลุดแล้ว อิเจ" ผมรีบวางกระจกลงกับเตียงแล้วมองหน้ามันอีกที

"หลุดอะไรมึงวะ"

"อาการมึงไง กูแค่แซวขำๆ แต่มึงเสือกทำท่าจริงจังนั้นแหละกูถึงรู้ ..รีบพูดมาอย่าให้กูเค้น" เฮ้อ แต่แล้วที่สุดความลับมันก็ไม่มีในโลกสินะ สุดท้ายผมเลยต้องจำใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้อิกี้มันฟัง


"เลว"คือประโยควลีที่ผมได้ยินมันพูดบ่อยที่สุดในเวลานี้

"คือจะเอากันแล้วเรียกมึงเขาไปดู  เหอะ อิดอก ถึงมึงจะเป็นเมียเก่ามันก็เถอะ แต่แบบนี้มันเกินไปอะ "ผมหลุดสึกอึกตรงนี้นิดหน่อย

"แต่มันทำอย่างนี้หมายความว่าไงวะ "พอเห็นกี้มันอารมณ์เดือดปุดๆผมก็รีบพูดปรามมันเอาไว้เพราะอินี้มันมีคติที่ว่า การกระทำของมันจะไวกว่าความคิดเสมอ

"กูอาจเข้าไปผิดจังหว่ะเองก็ได้ "

"จังหว่ะห่าอะไรจะเหมาะเจาะขนาดนั้นอิดอก ถ้าเป็นกูนะกูจะตบทั้งผัวเก่าและเมียใหม่มันเลยหมันไส้ แล้วมึงละยืนดูเขา จะล่อกันเฉยๆ อยู่อย่างนั้นไม่ทำเชี้ยอะไรเลย..
"มันพูดพร้อมกับทำท่าทางประกอบเพิ่มความหมันไส้ใส่ผม

"กู...เฮ้อช่างมันเถอะ..กูผิดเองที่กูคิด"ถ้าจะมีใครผิดก็น่าจะเป็นผมเองนี้แหละที่เข้าไปไม่ดูเวลา

"เดี๋ยวๆนะ เมื่อมึงพูดว่าอะไรนะ..."ผมขมวดคิ้วมิงมันก่อนจะตอบประโยคเดิม

"กูผิดไง"

"ไม่ๆอีกประโยคนึงอะ"

"ที่กูคิด?"

"มึงคิด..คิดอะไร  คิดมาก น้อยใจ หรืออะไร"เอาจริงๆผมก็ตอบคำถามนี้ให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าสรุปไอสิ่งทีผมเก็บมาคิดเนี้ยมันเป็นความรู้สึกแบบไหนอยู่กันแน่

"กู...ไม่.."ผมกำลังจะตอบแต่อิกี้มันก็พูดแทรกขึ้นมา

"เอาตรงๆนะ มึงยังชอบมัน อยู่ใช่มั้ย"จบประโยคผมอึ้งไปสามวินาที

"ชอบไหนชอบใคร อะไร บ้าแล้ว กูไม่..."

"มึงชอบ แล้วก็ยังรักมันอยู่ด้วย "ผมได้แต่นั่งนิ่งพูดอะไรไม่ออกจนอิกี้เดินกลับเขาห้องไปพร้อมกับ หยิบกล่องใบนึงซึ่งใส่ความทรงจำของผมกับกายไว้ในกล่องนั้นด้วยรูปภาพและของแทนใจอยู่หลายชิ้น กี้มันเลือกหยิบรูปๆนึงที่แอบถ่ายกายตอนมันเผลอ นั้นเป็นรูปแรกที่ผมมีตั้งแต่คบกันมา..

"ฉีกสิ จะเผาก็ได้แล้วแต่มึงเลย "ผมหยิบรูปนั้นมาไว้ในมือมองดูรูปไปนั้นย้อนหวนไปถึงวันที่ผมเคยมีมันอยู่ข้างๆก่อนจะวางรูปลงไว้กับตัว..พร้อมกับแรงสั่นๆที่มือ

"กูทำไม่ได้"ผมตอบจากใจ

"ถ้ามึงไม่รู้สึกอะไร มึงจะไม่ลังเลเลยเจ " ผมได้แต่นิ่งไม่รู้จะตอบมันยังไง...

"กูอยากจะช่วยมึงนะเจ แต่บางครั้งกูก็คิดว่าเรื่องบางเรื่องมึงควรจะสะสางด้วยตัวของมึงเอง เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอง ปัญหาอะไรที่ทำค้างไว้ ก็รีบสะสางให้มันจบ มึงจะได้ไม่ต้องมานั่งเศร้าคิดมากคนเดียวแบบนี้ไง"คำพูดของอิกี้ทำให้ผมคิดตามจนไม่อาจห้ามหยดน้ำตาให้ไหลรินได้

"ถ้ามันเจ็บก็อย่าฝืน ลาออกมาเถอะ อย่างน้อยก็เพื่อตัวมึงเอง ทำตามที่ใจของมึงต้องการกูว่าดีสุดละ"..

"สองเดือน..."

"อะไรคือสองเดือน"

"กูมีเวลาอยู่ที่นั้นอีกแค่สองเดือนก่อนะหมดช่วงทดลองงาน "

"แล้วมึงคิดจะทำอะไร"

"กูอยากไถ่โทษที่เคยทำไม่ดีกับมัน"

"ด้วยการ ไปยื่นโง่ให้ตัวเองเจ็บใจเล่น แบบนั้นอะหรอ"

"กูจะพูดขอโทษมัน"

"เพื่ออะไรวะเจ กูไม่เข้าใจมึงเลย"

"เพื่อความสบายใจของตัวกูเองไง มึงบอกเองไม่ใช่หรอว่าให้กูทำในสิ่งที่ใจของกูต้องการ"

"มึงต้องการเจ็บ...อย่างงั้นหรอ?"

"ใครๆก็ไม่อยากเจ็บหรอก แต่กูเหมือนยังติดค้างอะไรกับมันอยู่กูถึงยังปล่อยวางไม่ได้ไง มึงคิดว่าการที่กูลาออกมาแล้วทุกๆอย่างมันจะจบจริงหรอวะ"กี้มันเงียบได้แต่นั่งฟังผมนิ่งๆ

"กูยังติดค้างอะไรมันอยู่หลายอย่าง กูขอให้กูได้ทำสิ่งๆนั้นก่อนได้รึเปล่าวะ"กี้มันก็ยังเงียบ

"อย่างน้อยก็ขอให้กูได้ลองทำ และไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง กูมั่นใจว่ากูสามารถตัดมันออกจากชีวิตได้"

"มึงมั่นใจ"

"กูมั่นใจ..ถึงแม้วันนี้มันอาจจะโกรธกูเกลียดกูไปแล้วก็เถอะ แต่อย่างน้อยกูขอให้ได้ทำอะไรเพื่อมันสักอย่างเพื่อให้ความผิดของกูมันลบเลือนไปได้ กูก็พร้อมจะทำ..."เสียงหนักแน่นถูกเปร่งออกมาจากภายในจิตใจของผมทุกคำที่พูดล้วนเป็นความจริงและความรู้สึกของผมทุกอย่าง และไม่ว่าเรื่องของผมมันจะจบด้วยการที่เราสองคนเกลียดกันหรือไม่มองหน้ากันอีกต่อไป ผมก็พร้อมจะยอมรับและพร้อมที่จะเผชิญต่อสิ่งเหล่านั้น..ด้วยตัวของผมเอง


.....

TBC......


ขอโทษที่หายไปหลายวันนะครับ   ตอนนี้กลับมา  แว้ว  อย่าพึ่งหายกันไปน้า  @_@
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-11-2017 16:40:49 โดย thitema3 »

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ thitema3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
Falling in love

เรื่องดีๆ


วันนี้เป็นเช้าอีกวันที่ท้องฟ้าสดใสแต่ในหัวใจผมมันกลับหม่นหมอง

ผมเดินทางมาที่ทำงานด้วย แรงใจเพียงแค่สิบเปอรเซ็นต์ เพราะที่เหลือมันมหายหายไปตั้งแต่เมือคืนแล้ว


ผมเดินเข้าตึกสวัสดีพี่ๆกาดหน้าเดิมๆพร้อมกับส่งถุงน้ำเต้าหู้ในมือให้ก่อนจะรีบขึ้นไปที่ห้องทำงานของตัวเอง..

"จ๊ะเอ๋!!!"อยู่ๆเด็กซีเกมมันก็โผล่มาจากด้านในร้องตะโกนเสียงดังแต่แปลกที่ผมกลับไม่ตกใจเลยสักนิด..

"ไม่ตกใจหน่อยหรอ แบบว่าสักนิดก็ยังดี"เด็กนั้นมันหน้าเสียไปนิดผมเลยแกล้งๆเอามือทาบอกทำท่าตกใจให้มันดู

"เฮ้อ ถ้าแบบนี้อย่าทำเลยพี่เฟลหนักกว่าเก่าอีก..แล้วเป็นอะไรถึงไม่ยอมตอบไลน์ผม แบตหมดรึไงกัน"แบตไม่หมดหรอกแต่ผมแค่มัวแต่เหม่อลอยมากไปก็เท่านั้น

.......

ช่วงสายๆเด็กฝึกงานมากันครบแล้ว พี่เกดเลยเดินมาหาผมที่โต๊ะและมอบงานๆนึงให้

"พี่อยากให้เรา ช่วยหาช่องทางการตลาดโฆษณาให้กับบริษัท โดยหัวข้อหลักๆคือทำยังไงก็ได้ให้เขาสนใจในบริษัทของเราและถ้ามีส่วนลดหิ้วมาด้วยจะดีมากเลย"พี่เกดพูดเสียงเรียบนิ่งแต่ผมฟังนี้ต้องอ้าปากหวอตาม ..ระหว่างนั้นผมก็ได้ยินเสียงๆแว่วๆ จากโต๊ะข้างๆพูดคุยกัน

"ปกติงานแบบนี้เขาให้แต่พนักงานไปทำกันไม่ใช่หรอ ทำไมถึงมามอบงานใหญ่ๆให้กับเด็กฝึกงานละ"

"สงสัยคงอยากจะบีบให้ออกละมั้งถึงทำแบบนี้"

และเสียงอื่นๆอีกนาๆประโยค แต่แล้วก็มีเสียงนึงแทรกขึ้นเล่นทำเอาใจผมชื้นขึ้นมาทันที

"ผมขอไปด้วย .."คนที่พูดขึ้นก็คือไอเด็กผีข้างๆผมนี้เอง

"แต่งานมันค่อนค้างใหญ่นะ จะทำกันไว้หรอ"แต่พี่ก็มอบงานใหญ่ให้ผมทำแค่คนเดียว แต่ทำไมถึงไม่ถามความเป็นอยู่ของผมบ้างเลยละผมเองก็ชักงงๆ

"เอาจริงๆพี่ก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอกนะแต่เบื้องบนเขาสั่งมาแล้วเขาก็ยังกำชับด้วย ว่าต้องให้เจทำคนเดียวด้วยแต่เอาเป็นว่าพี่จะให้ซีเกมไปช่วยเจอีกแรงนะ"ผมได้แต่พยักหน้าหงึกๆตอบตกลงทั้งที่ในหัวตอนนี้มีแต่ความว่างเปล่าไปหมด...

..........

ตกช่วงบ่ายผมขอไอเกมมันทำงานอีกนิดหน่อยก่อนจะตามลงไปข้างล่างเพื่อไปทำธุระตามที่เบื้องบนเขาได้บอกไว้ แต่พอมาถึงผมกับเจอไอเด็กเกมมันกำลังยืนคุยจ้อกับสาวสวยอยู่...

"เราขอโอกาสได้มั้ยเกม ขอให้เราได้แก้ไขในสิ่งเคยทำผิดพลาดสักครั้งนะ"เสียงพูดของหญิงสาวดูหดหู่แบบสุดๆดูก็รู้ว่าคงจะรู้สึกผิดอยู่แน่ๆและถ้าเดาไม่ผิดผมว่าเธอคนนั้นน่าจะเป็น แฟนของไอเด็กซีเกมมันละมั้ง

"โอกาสเราให้ออยมาเยอะแล้ว นะแล้วทุกครั้งมันก็จบแบบเดิมทุกที เราไม่อยากเสียใจแล้ววะ เลิกยุ่งกับเราเถอะนะ..."โหคนจริงวะ ถ้าเป็นผมนะมีสาวๆมาอ้อนขอร้องแบบนั้นต่อให้เธอเคยเผาบ้านผมก็ให้อภัย

และระหว่างที่กำลังแอบฟังอย่างเมามันโทรศัพท์ผมก็เกิดแรงสั่นๆแถวๆกางเกง

"พี่เกด"ผมรีบกดรับสายในทันที

"ครับพี่เกด"

"เจกับซีเกมอยู่ไหนกันแล้ว.."และในตอนนั้นเองผมก็พึ่งนึกถึงจุดประสงค์ที่พี่เกดโทรมา

"อ่อใกล้จะถึงแล้วครับตอนนี้รอเกมมันทำธุระอยู่.."

"อ่อโอเค พี่ก็แค่โทรมาถามดูอะกลัวลืมกันยังไงก็สู้ๆนะ มีอะไรโทรมาปรึกษาพี่ได้.."พี่เกดพูดแค่นันก่อนจะวางสายไป และมันคงจะไม่เสียมารยาทใช่มั้ยถ้าผมจะขอพาตัวไอเด็กนี้ออกจากสาวน้อยคนนั้นก่อน. พูดแล้วก็เดินไปยืนขนาบข้างแม้งเลย


ไอเด็กเกมมันหันมามองผมด้วยความงง ๆแต่ก็แค่แปปเดียวอะหลังจากนั้นมันก็ยิ้มกริ่มเลวๆที่มุมปาก ไม่ยิ้มเฉยๆด้วยจ้า มือไม้นี้เลื้อยจนจะพันคอกูอยู่แล้ว

"เพราะอะไรอะเกม"เสียงสาวน้อยถามไอเด็กผีที่ยืนอยู่ตรงหน้า

"เพราะเรามีคนใหม่แล้วนี้ไง"แจ็คพอตมาที่กูครับหันหน้ามาหากูด้วย..

"ห...หา"ผมอ้าปากหวอพูดอะไรไม่ออก

"ใช่มั้ยครับ  พี่เจ"ส่งสายตาหวานมาหากูด้วยครับบักห่า ไม่ถงไม่ถามสุขภาพกูซักคำและด้วยที่มันพยายามๆกระพริบตาถี่ๆยิบผมถึงเข้าใจในสิ่งที่มันกำลังจะสื่อ ...เฮ้อ บทแฟนกำมะลออีกแล้วสินะ...เอาก็เอาวะ นี้เห็นแก่ที่ต้องบากหน้าไปทำงานด้วยกันหรอกนะผมถึงช่วย ว่าแล้วก็รีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มทันที

"พี่บอกเรากี่ครั้ง. แล้วว่าอย่าไปบอกเรื่องของเรากับคนอื่นทำไมถึงไม่ฟังกันบ้าง หืม"ไม่พูดเปล่าครับมือไม้ผมเริ่มลูบไล้ไปที่หัวและหน้าของมัน ด้วยความเอ็นดู ไอเด็กซีเกมหน้ามันเสียไปเลยคงไม่คิดว่าผมจะยอมเล่นใหญ่ขนาดนี้

"ไม่จริง  ไม่จริงใช่มั้ย เกมไม่ใช่แบบนี้สิ  ออยไม่เชื่อ"แล้วเธอก็หมุนตัวเข้าลิฟฟ์เดินยกมือป้องปากไปตลอดทางผม ยืนมองจนเธอลับหายตาไปก่อนจะเริ่มพูด

"กุดูใจร้ายไปมั้ยวะ"ผมพูดขึ้นลอยๆแอบดราม่าอยู่ๆลึกๆนะไม่คิดไม่ฝันว่าผมจะทำให้สาวน้อยน่ารักคนนึงเสียใจได้ขนาดนี้

"ฮือ ไม่หรอกน่าอย่าคิดมาก"มันพูดขึ้นพร้อมกับโอบไหล่ผมให้แนบชิดกับอกของมัน

"มืออะมือ "ผมว่าปรามมัน

"เดี๋ยวดิ่ เผื่อเขายังไม่ไป"ก็ที่พึ่งวิ่งออกไปเมื่อกี้ไม่ใช่น้องเขารึไงวะ

"หนึ่ง"

"นับทำไมอะพี่"

"สอง"...สามเมื่อไหรกูถีบมึงแน่..

"สา...."

"อะๆ "มันดึงมือของมันกลับไปไว้กับตัวก่อนจะฉีกยิ้มจนเห็นฟันครบสามสิบสองคงจะเดาออกละมั้งว่าผมจะทำอะไรหลังนับสาม

"ทำไมมึงไม่ลองฟังเหตุผลเขาหน่อยละ เผื่อบางที..."ผมกำลังจะเอ่ยปากพูดแต่อีกฝ่ายกับแทรกขึ้นมาซะก่อน

"ผมรู้พี่จะพูดอะไร ..แต่ผมทนกับความรู้สึกพวกนั้นมามากพอแล้ว..ผมไม่อยากเสียใจแล้วอะพี่"แม้น้ำเสียงมันจะดูปกติแต่สีหน้าและท่าทางมันก็บางบอกอะไรหลายอย่างได้เป็นอย่างดี

"เออเอาน่า มีอะไรให้กูช่วยก็บอก..ไม่ต้องเกรงใจ"ผมพูดยิ้มๆเอามือตบไหล่ไล่ความรู้สึกเศร้าๆออกจากตัว ผมเคยพูดมั้ยนะว่าสีหน้าเศร้าๆมันไม่เหมาะกับไอเด็กนี้เลยจริงๆ

"ยิ้มสิ เอ้ายิ้มมมม"ผมยิ้มทำแบบตัวอย่างให้ดูมันแค่หันมาจ้องมองผมและขมวดคิ้ว  ผมเลยยื่นมือไปฉีกยิ้มให้มันค้างไว้อยู่อย่างนั้น

"เออ ทำหน้าให้มันดีๆหน่อย"และในที่สุดมันก็ยิ้มออกมาให้ผมเห็นอีกครั้ง

"แต่เวลาพี่ยิ้มผมว่าน่ารักกว่าเยอะเลย"พูดจบก็ยื่นมือเข้ามาบีบแก้มกูทั้งสองข้างเลยครับ ห่าสนุกมากเลยสิมึง


"เห้ย ไอขยะมาวะ ". สายตาผมเหลือบไปมองผู้ชายสองคนที่กำลังยื่นรอลิฟฟ์อยู่ข้างๆ เมื่อกี้เขาพูดอะไรขยะๆนะผมฟังไม่ค่อยชัด

ผมเลยลองหันไปมองที่ด้านหลัง ก็พบกับ เจ้าของคนร่างสูงตัวขาวหุ่นกำยำที่ควบตำแหน่งประทานบริษัทอยู่. แต่ที่เรียกขยะนี้หมายถึงมันใช่มั้ยผมเองยังงงๆอยู่เลย..

กายมันมายืนหยุดอยู่ตรงหน้าผมกับไอเด็กเกมที่ตอนนี้ปล่อยมือออกจากหน้าของกันและกันแล้ว

มันเดินเข้ามาแหวก ใช่ครับฟังไม่ผิดมันเดินมาแหวกกลางระหว่างผมกับไอเด็กเกมจนผมกับมันกระเด็นห่างกันไปคนละทิศละทางแถมไม่ยอมพูดอะไรด้วย

และก่อนที่มันจะกดลิฟฟ์ลงไปก็ยังยืนจ้องหน้าผมเขม้ง ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันสงสัยเป็นเพราะอากาศมันร้อนละมั้ง โรคหมาบ้ามันเลยกับเริบ
.....

ผมใช้เวลาในช่วงบ่ายกับการทำงานตามหาร้านที่สนใจลงโฆษณา ช่วยโปรโมทในสื่อต่างๆ ซึ่งตอนแรกผมก็คิดว่ามันจะง่ายแต่เปล่าเลยจ้า ขณะนี้ผมโดนถีบส่งมาสามสี่ร้านแล้วเหตุผลหลักๆของคนพวกนั้นก็คือ

"ไม่ต้องมีโฆษณา ร้านของผมยังไงก็อยู่ได้" ร้านแรกซอรฟ์ๆแต่เสียเซลหน่อยไม่เป็นไรไว้ค่อยลองใหม่

"โถ่คุณร้านผมนะ ในซอยนี้มีใครไม่รู้จักบ้างละ"ร้านที่สองผมยังคงถือคติใจดีสู้เสือเข้าไว้บอกกับตัวเองว่าต้องทำให้ได้


"ปกติแถวนี้ก็มีลูกค้าเยอะอยู่แล้วอะคะ ดิชั้นคงไม่จำเป็นต้องรบกวนพวกคุณหรอกค่ะ"ความมั่นใจที่ผมเตรียมมาค่อยๆดับวูบทีละนิดๆ

จนถึงร้านสุดท้ายนี้หนักสุดครับถึงขนาดโดนราดน้ำใส่เลย คือผมก็อยากจะตะโกนบอกลุงเจ้าของร้านดังๆเลยนะว่ากูมาเรื่องงานครับไม่ได้มาขายประกันห่าน สาดมาได้ โดนมือผมเต็มๆเลย ร้อนชิบ!

และในตอนนี้ผมก็กำลังนั่งงงงวยกับไอเกมอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อระแวกนั้น บอกได้คำเดียวครับ


พัง..

"มือเป็นไงมั้ง"มันถามห้วนๆกับผมจริงๆก็อยากจะต่อปากต่อคำด้วยะแต้ไว้รอจากเสร็จงานก่อนละกัน

"ก็ดี"

"ดีที่ไหนละแดงขนาดนี้ไปหาหมอมั้ย"ตอนมันถามผมสีหน้ามันดูเป็นกังวลเอามากๆ

"กูถึกตายยากเว้ย"จริงๆผมกฺ็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่รู้สึกแสบๆเวลาสัมผัสโดนก็เท่านั้น

"ผมขอโทษนะ"ผมรีบหันขวับมองหน้าไอเด็กนี้ในทันที

"เรื่องอะไร"ตั้งแต่มามันก็ยังไม่ได้กวนตีนผมสักนิดเลยด้วย

"ก็เรื่องที่ผมช่วยอะไรพี่ไม่ได้เลยไง ผมรู้สึกผิดวะพี่"โถ่มันคิดไปถึงไหนกันละเนี้ย ผมเกือบจะยิ้มหัวเราะกับความคิดของมันแต่ก็ตัองข่มอารมณ์ไว้เดี๋ยวมันจะหาง่าผมเยาะเย้ยมันอีก

"ฟังกู...เออ"ไหนๆจะสอนแล้วลองพูดดีๆกับมันสักหน่อยแล้วกัน

"คือพี่ไม่รู้นะ "แค่ประโยคแทนตัวว่าพี่เกมมันก็หันมาจ้องหน้าผมแล้วมันคงจะตกใจอะที่อยู่ๆผมก็พูดดีๆกับมัน

"ว่าเกมกำลังคิดมากไปถึงเรื่องไหน พี่แค่อยากจะบอกว่า เรื่องบางเรื่องเราก็ควรปล่อยวางมากกว่าเก็บมาคิดนะ คือจริงๆมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ตอนนี้ไม่มีพรุ่งนี้ก็อาจจะมีก็ได้ใครจะไปรู้ ทางที่ดีๆเลิกเก็บมาคิดเล็ดคิดน้อยเถอะวะ เชื่อพี่ ทำในสิ่งที่เรารักและชอบที่จะทำมันแบบนั้นพี่ว่าดีกว่าตั้งเยอะ..."ผมบ่นพรรณณายาวไปลุ่มน้ำอเมซอนแต่คาดว่าสิ่งที่ผมพูดไปคงไม่ได้แทรกเข้าไปในแกนสมองมันเลยสัดติ๊ด

เพราะหลังจากที่ผมพูดจบมันก็เอานิ้วมารูดปากผมเฉย หาว่าผมพูดมากเหมือนกับคนแก่

กูน่าจะรู้ตัวให้เร็วกว่านี้

ว่าการสอนควายให้เป็นคนนั้น มันเป็นเรื่องที่ยากมาก จริงๆ

.......... 

เช้าของอีกวันผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับข่าวดีครับพี่น้อง   ไม่ใช่ดีธรรมดานะมันแบบว่าดีมากๆด้วยละ มีโรงแรมที่ไหนสักที่นี้ละติดต่อมา แต่ผมจำชื่อไม่ค่อยได้นะเพราะมันยาวเกิน ก็นั้นแหละครับ โทรมาจ้ะเอ๋กับผมตั้งแต่เช้ามืด แถมเขายังมีส่วนลดและโปรโมชั่นพิเศษแถมมาอีกด้วย เรียกได้ว่าพอจะมีเรื่องดีแล้วมันก็ดีต่อกันหลายเรื่องจริงๆ

พอไปถึงที่ทำงานผมก็บอกข่าวนี้ให้กับพี่เกดฟังพี่เกดยังอึ้งเลย ว่าผมไปคุยยังไงทางนั้นเขาถึงตอบตกลง ร่วมงานกับเราได้เร็วขนาดนี้ ทั้งที่ความจริงแล้วผมแค่ไปยื่นเอกสารขอเข้าพบกับเจ้าของโรงแรมเท่านั้นเอง  ไม่คิดไม่ฝันว่ามันจะลงเอยด้วยดีแบบนี้


แต่จะว่าไปวันนี้ผมยังไม่เห็นคู่หูของผมเลยแหะปกติมันมาเช้ากว่าผมอีกนะแต่ไหงวันนี้ถึงไม่เห็นหัวมันในที่ทำงานเลยนะ

......

ตกเย็นผมก็เจอมันอยู่ที่หน้าตึกนี้แหละครับและก็เป็นโอกาศดีที่ผมจะลากมันไปร่วมงานฉลองให้กับงานชิ้นแรกของเราโดยที่มีเจ้ามืออันทรงเกียรติอย่างพี่เกด คอยสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายให้พวกผมทุกบาททุกสตางค์กันเลยทีเดียว


ณ ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งใกล้ที่ทำงาน

จะบอกว่าบรรยากาศข้างในนี้ดูแพงมากครับ มองไปทางไหนก็ดูญี่ปู๊นญี่ปุ่นไปหมด อาหารแต่ละอย่างก็สดน่ากินไปเสียหมดแต่ผมก็ต้องโบกมือลาน้องแซวม่อนพวกนั้นเพราะตัวเองดันไม่ชอบกินอะไรดิบๆ สุดท้ายก็เลยต้องสนองด้วยการสั่งราเมงชามไม่ใหญ่มากนักมานั่งกินอย่างเหงาหงอยคอยนั่งมองดูพีๆที่ทำงานคนอื่นยัดปลาดิบเข้าปากกันอย่างเอร็ดอร่อย

เวลาแห่งการฉลองผ่านไปเร็วมากและแน่นอนว่าทุกงานฉลองจะต้องมีแอลกอลฮอลเข้ามาเกี่ยวข้อง  และก็เหมือนเคยครับไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ผมก็ยังเมาง้ายเหมือนเดิมแต่วันนี้ผมมีสติพอดีจะบอกปัดๆได้บ้างแม้จะเพียงไม่กี่ช็อตแต่ตอนนี้ผมก็เริ่มรู้สึกมึนๆที่หัวขึ้นมานิดๆแล้วละ

"เอาละ ในฐานะที่พี่มาทำงานที่นานพอสมควรแล้วนะ ..ฮึก..พี่ก็มีเรื่องๆนึงอยากจะเล่าให้พวกน้องทุกคนได้ฟังและรับรู้ไปพร้อมๆกัน"เสียงพี่เกดพูดขึ้น ท่ามกลางเสียงคนคุยกันที่ไม่ดังมากนักแต่นั้นก็ทำให้ผมที่กำลังวุ่นๆอยู่กับการครองสติถึงกับต้องเงี่ยหูขึ้นมาฟัง

ออฟไลน์ thitema3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
"ประธาน.ฮึก..ทุกคนรู้จักชื่อกันดีใช่มั้ย"ทุกคนพยักหน้าแต่ผมนี้กลับส่ายหัวไม่รู้เพราะเมาหรืออะไร

"จริงๆแล้ว ไอประธานบ้านั้นมันมีอีกชื่อนึง นะ ชื่อที่พวกที่อยู่มานานจะรู้กันดี"

"ชื่ออะไรหรอครับ "ไอเด็กซีเกมที่นั่งแดกถั่วและเป็นคนเดียวในกลุ้มที่ยังมีสติครบร้อยเปอร์เซ็นต ทำท่าตั้งใจฟัง คือพร้อมเสือกเลยว่างั้น +•+

"ขยะ"จบคำพูดพี่เกดเกือบทุกคนต้องสบัดหัวเพื่อเรียกสติก่อนจะหันมาฟังใหม่อีกที

"แต่ไม่ใช่ขยะธรรมดานะ มันเป็นขยะพรีเมี่ยมเลยด้วย"ทุกคนต่างพากันหัวเราะออกมาเสียงดังรวมถึงพี่เกดเองด้วย ซึ่งสาเหตุที่มันได้ชื่อนี้มาเพราะการทำตัวล้วนๆครับ ชอบทำหน้านิ่งๆกวนส้นทีน. วางอำนาจ ไม่สนใจโลกห่าอะไรเลยสักอย่าง ผู้คนต่างๆในบริษัทเลยพากันขนานนามของประธานบริษัทว่า "ขยะ"

แต่ที่ต้องเติมพรีเมี่ยมเพราะรสนิยมมันดีครับ เรียนเก่งแถมยังจบมาสูง แต่ดันเสือกทำตัวขยะซะนี้ อ้าวแล้วไหงผมถึงติดเรียกชื่อนี้ด้วยวะ สงสัยกุจะเมาเม็ดถั่ว

"แต่ก็นะ..ก่อนที่ขยะ จะมาเป็นขยะในวันนี้ มันก็มีสาเหตุมาก่อน"ผมยกแก้วเบียร์ขึ้นมาจิบก่อนจะตั้งใจรอฟังในสิ่งที่พี่เกดกำลังจะพูด

"สาเหตุอะไรหรอคะ"เด็กฝึกงานผู้หญิงอีกคนโพล่งถามขึ้น

"ก็เพราะ...แฟนเก่าไอขยะ....มันมีมีชู้นะสิ ...ได้ข่าวว่าคบทีสามสี่คนเปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่น"จบคำพูด ของพี่เกดหัวกูนี้ร้อนเลยครับ ตั้งแต่ผมคบกันมันมามีตอนไหนบ้างวะที่กูคบซ้อนไม่มีเหอะ..ข่าวแม้งมั่วชิบหาย แล้วดูสิทุกคนทำหน้าเหมือนเชื่อกันไปซะหมด

"หึ มันไม่ได้มีแค่นั้นไง ..ผมเนี้ยเมื่อก่อนสนิทกับประธานมากไง..เลยได้รู้เรื่องๆนึงมา"พี่แชมป์เองก็ไม่ยอมพี่เกดครับหาเรื่องยกหัวข้อนู้นนี้นั้นมากันเต็มไปหมดจนมาหยุดที่หัวข้อสุดท้ายซึ่งึนที่ตั้งหัวข้อนี้ไม่ใช่ใครอื่นครับ  ไอเด็กผีซีเกมนี้เอง

"แต่จริงๆแล้วผมรู้มาอยู่เรื่อนึงครับ"อะไร๊ มึงรู้อะไรกันมาอี๊กแค้นี้กูก็สะเทือนร่องไตจนต้องยกแก้วขึ้นมากระดกเป็นรอบที่ร้อยแล้วมั้ง..


"แฟนเก่า ท่านประธานนะ ...อัปลักษณ์มากแบบ โคตรของโคตรขี้เหล่เลย.."โหยเรื่องอื่นกูก็พอยอมได้แต่เรื่องนี้มันทนไม่ได้เลยโว้ยย!!!

แต่ท้ายที่สุดก็ได้แต่โมโหอยู่คนเดียวในใจเพราะที่ทำได้จริงๆก็แค่นั่งนิ่งๆจิบเหล้าเบียร์ที่ๆพี่ๆต่างพากันเสริฟกันมายังกับแจกฟรี จนถึงแก้วสุดท้ายภาพทุกอย่างมันก็ตัดไป

รู้สึกตัวอีกทีก็นู้นตอนถึงคอนโดนู้นน่ะ

"พี่เจ กุญแจอยู่ไหน..."เหว่ยใครมาขอประจงประแจอะไรกูไม่มี.เว้ยย

"อะไรกันใครมาเอะอะ  อะไร อุ้ยว้ายย อิเจ "หือ ถ้าหูผมไม่เพื้ยนนี้ คือเสียงอิกี้เพื่อนผมใช่มั้ย แผล่บๆเมาแล้วลิ้นพันกันไปหมด

"เออผมเป็นเพื่อนที่ทำงานพี่เขาอะครับพอดี พี่เจเขาเมาผมก็เลย..."

"อู้ย ไม่เป็นไรจ้ะเข้ามาก่อนเร็ว " และหลังจากนั้นผมก็ไม่รู้ว่าทั้งสองคุยอะไรกันอีกเลยพอหัวถึงหมอนผมก็หลับเป็นตายไปจนถึงเช้านู้น

.......... รุ่งเช้า


"อือ..."เสียงใครมาครางอะไรใกล้ๆหูกูฟร้ะว่าแล้วก็ลืมตาขึ้นมามองดูรอบๆ วี๊ดดด ไอเด็กผีนี้มานอนอยู่บนเตียงผมได้ไง แล้วเสื้อมัน ละ เสื้อมันหายไปไหน เฮ้ยอย่าบอกนะว่า เมื่อคืน  มัน...ม้ายยยย นี้กูทำอะไรลงป๊ายย


"พี่เจ...เป็นไร..ทำหน้ายังกับเห็นผี"มึงนี้แหละครับผีไอห่า

"มึง..มึง..."

"มันไม่มีอะไร และผมก็รู้ว่าพี่จะพูดอะไร "ไอเด็กนี้มันทำหน้าเหมือนรู้ทันผม

ผมค่อยๆครองสติหยิบผ้านวมมาคลุมตัวก่อนจะเอ่ยปากถามมันต่อ

"แล้วเมื่อคืน...มันเกิดอะไรขึ้นอะ"จำได้แค่ว่าโดนพี่ๆที่ทำงานพูดพาดพิงถึงแฟนเก่าไอประธานจนแสบทรวงจากนั้นผมก็ดื่มเอาเป็นเอาตาย แล้วจู่ๆทุกอย่างมันก็วูบไป...

"พี่เมาจนหลับไปผมก็เลยพาพี่กลับมาที่ห้อง แต่พี่สาวคนสวยบอกว่ามันดึกแล้ว ก็เลยบอกให้ผมนอนกับพี่ที่นี้ อีกอย่างผมนอนข้างล่าง"พูดพลางชี้นิ้วไปที่ผ้านวมผืนใหญ่ที่กองอยู่ข้างล่าง เอออันนี้กูเชื่อก็ได้..

"แล้ว...ทำไมมึงต้องถอดเสื้อด้วย"จะว่าไปผมก็พึ่งสังเกตุ หุ่นไอเด็กนี้ดีเป็นบ้าเลยคิดแล้วอิจฉาแบบสัดๆแต่เดี๋ยวๆกูหลุดประเด็นครับไม่เอาๆ

"ก็ตอนแรกในห้องมันเปิดแอร์แต่พี่บอกหนาวผมก็เลยปิด...ตกดึกมาผมร้อนก็เลยถอดเสื้อ เรื่องมันก็มีเท่านี้นั้นแหละ"มันทำหน้าเบื่อหน่ายใส่ผมด้วยอะ..

"ก...ก็แล้วไป.."

"นี้พี่คิดว่าผม..."มันแอบยิ้มกรุ่มกริ่มที่มุมปาก

"พอๆ ช่างมันเหอะไม่มีอะไรก็ดีแล้ว"

"หรือจะมีดี"

"ไปอาบน้ำแล้วกลับบ้านมึงไปเลยไป ก่อนที่กูจะถีบ เร็ว เดี๋ยวก็เข้างานสายหรอก"แต่มันก็ยังมีหน้าส่งยิ้มกวนตีนให้ผมอีก


กว่ามันจะสเด็จไปอาบได้นี้ใช้เวลานานมากครับ โชคดีหน่อยที่วันนี้รถไม่ติดเท่าไหร่ผมเลยมาถึงที่ทำงานไว ระหว่างมาผมก็เตรียมคำด่ามันเต็มหัวไปหมดเลยครับ เหตุผลอะหรอ ไม่เก็บที่นอนไงไอเด็กผี มานอนห้องคนอื่นเขาแล้วยังต้องให้เจ้าของห้องตามเช็ดตามล้างให้มันอีกคิดแล้วแค้นครับคุณผู้อ่าน สาบานได้เลยว่าถ้าผมเจอมันพ่อจะโบกเข้าสักทีแล้วค่อยด่า ...


อ่ะ อ๊า นั้นไงไอตัวการ ผมเห็นมันยืนคุยกับใครไม่รู้เพราะต้นเสาบังอยู่ แต่กูไอโด้นแคร์ครับผมตะโกนด่าให้มันรู้ตัวซะเลย


"นี้ไอเด็กผี ทำไมเมื่อเช้าลุกมาแล้วไม่เก็บที่นอนให้มันเรียบร้อยห้ะ ทำไมถึงต้อง..."คำพูดที่กำลังจะหลุดจากปากของผมถูกหยุดแทบจะทุกประโยค เพียงเพราะดันมาเจอใครคนนึงเข้า


"ไอขยะ"


"หมายความว่าไง"มันไม่ได้ถามผมครับแต่ถามคนตรงหน้ามัน


"ก็ตามนั้นแหละ "แล้วมันก็ยังมีหน้าเดินถอยหลังเอามือมาโอบไหล่ผมยิ้มๆเหมือนมันเป็นเรื่องสนุก


สีหน้าของไอประธานขยะดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมากซึ่งผมเองก็ไม่รู้หรอก..ว่ามันไปกินรังแตนมาจากไหนแต่สิ่งๆนึงที่อยู่ในหัวของฒตอนนี้คือ อธิบาย ใช่ผมต้องอธิบาย..เผื่อมันเอาไปคิดผมก็เสียหายอะดิ..

แต่แล้วก็มีความคิดนึงแทรกขึ้นมาก่อนที่ปากผมจะง้างออก

"ทำไมต้องอธิบายวะ"เป็นคำถามในหัวซึ่งแม้แต่ตัวผมเองยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เลย...

เพียงแค่อีกฝ่ายเดินกระฟัดกระเฟียดหันหลังไปทำไมใจผมมันถึงต้องกระตุกวูบเหมือนคนรู้สึกผิดด้วยนะ  ทำไม เพราะอะไร



ผมไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้เลยจริงๆ



วายยยยยยยย???



..........

ที่ห้องทำงาน

เวลาแบบนี้อันที่จริงผมต้องไปเดินแบกน้ำแบกปูนไปโบกจึกที่ชั้นสี่แต่ด้วยเหตุที่ว่า ข้างบนนั้นไม่มีการประชุมอะไรผมถึงได้อินดี้นั่งเล่น โปเกม่อนโกอย่างสบายใจเชิบ

ปึง!"

อย่างที่มีคนเคยกล่าวเอาไว้ ว่าเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปไวเสมอ ผมเหล่ตามองดูบุคคลที่เข้ามาใหม่ ซึ่งก็คือพี่เกด ที่กำลังเดินปึงปังมาที่โต๊ะผมอีกเช่นเคย

แต่แปลกที่วันนี้สีหน้าของพี่เกดไม่ได้เคร่งเครียดอะไรติดจะยิ้มๆด้วยซ้ำ

พี่เขาวางแฟ้มอันหนาไว้ตรงหน้าพร้อมกับยักคิ้วใส่ผม...

"เอ่อ...นี้งานอะไรหรอครับ..."ผมถามอย่างกล้าๆกลัวๆเกิดเป็นงานช้างเหมือนคราวที่แล้วผมก็ตายน่ะสิ

"ไม่ใช่งานหรอก..แต่พี่อยากให้เจช่วยเลือก"... ความคิดเห็นของผมมันมีน้ำหนักมากถึงขนาดนั้นเลยหรอพี่เกดเขาถึงลงทุนมาถามผมเนี้ย


ผมลองคลี่แฟ้มเปิดดูก็เห็นเป็นพวกภาพรีสอรท์ต่างๆประมาณสามสี่ที่ ซึ่งดูๆแล้วราคาก็น่าจะพอตัวอยู่เหมือนกัน

"ชอบแบบไหน"พี่เกดยิ้มๆถามผม


"เอ่อ.."จริงๆมันก็สวยทุกอันนะแต่ผมเลือกไม่ถูกอะมันดีกันคนละแบบ และด้วยความที่ไม่อยากให้พี่เกดรอนานผมเลยชี้สุ่มๆไป

"อันเนี้ยครับ .."พูดจบผมก็ปิดแฟ้มลง

"โอเค ตามนี้นะ"แล้วพี่เกดก็เก็บแฟ้มเดินถอยออกไป เฉยเลย

จริงๆมันก็มีข้อสงสัยอยู่ในหัวผมเยอะนะๆ แต่พอมาคิดๆดูแล้วอย่ารู้เลยดีกว่า หนักหัวเอาเปล่าว่าแล้วก็หยิบโทรศัพทืขึ้ยมาเล่นเกมส์ตอนจนเวลา ล่วงเลยไปเกือบจะถึงเวลาเลิกงาน

คืออยากจะบอกว่าวันนี้เหมือนผมมานั่งเฉยๆอะเอาจริงๆมั้ย เด็กฝึกงานคนอื่นเขาก็มีการเดินไปถามหางานทำกันเพราะกลัวว่างส่วนผม อะหรอ หึหึ นอนฟุบอยู่กับโต๊ะทำงานของตัวเองนี้แหละ..


จึกๆ

 ใครเอาอะไรมาสะกิด ฟร่ะ ว่าแล้วก็เลยเงยหน้าขึ้นมองถึงรู้ว่าคือไอเด็กผี ซีเกมนั้นเอง

"อือ มีไรทำไมมึงยังไม่กลับ"ผมถามเสียงอ้อยอิ่งเพราะเริ่มรู้สึกงัวเงีย อยากจะหลับตอนนี้ซะให้ได้

"รอพี่นั้นแหละ คนอื่นเขากลับกันหมดแล้วเหลือก็แต่พี่เนี้ย จะอยู่เฝ้าแผนกรึไง"ผมลองมองดูรอบๆก็เป็นอย่างที่มันบอกจริงๆครับคนในแผนกหายกันไปหมดแล้วจะเหลือก็แต่ผมกับไอเด็กนี้ๆแหละที่ยังอยู่..

"เออๆกลับๆ "ว่าแล้วก้รีบลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเป๊ตัวเองและรีบเดินออกมาจากห้องในทันที

ระหว่างทางที่เดินมานั้น ไอเด็กผีมันก็ชวนผมคุยจ้อ ไปเรื่อยจนมาหยุดอยู่ที่ประเด็นสำคัญ..

"พี่รู้เรื่องพรุ่งนี้รึยัง ที่ประธานมัน จะส่งพวกเราไปรีสอรท์อะ"ผมหันควับมองมันในทันที


"ไหงกูไม่รู้วะ "

"นอนเล่นเกมทั้งวันขนาดนั้นคงจะรู้หรอก " สึดเหมือนถูกเด็กด่า แต่จริงๆก็โดนด่านั้นแหละ --'

"ก็วันนี้ไอประธานมันนัดเด็กฝึกงานให้ไปเข้าร่วมประชุม แล้วก็บอกรายละเอียดบลาๆ ผมก็มองหาพี่อยู่ ตอนแรกนึกว่าพี่ไม่มาทำงาน"เรื่องนี้ผมจะไม่โทษใครละกัน

"แล้วไอประธานมันด่าอะไรกูมั้ยวะ" กลัวสุดก็เรื่องนี้หล่ะไอบ้านี้มันยิ่งชอบนินทาผมอยู่

"ไม่เห็นพูดอะไรนะ"เฮ้อโล่งอก


"แล้วมึงเตรียมตัวยังอะ"

"หึ"

"เอ้าไอ้ผี แล้วมันจะทันมั้ยละ ไปๆรีบกลับบ้านไปจัดของไป"

"คงไม่ต้องจัดหรอก"

"อ้าวทำไมละมีงเตรียมพร้อมแล้วหรอ"ไอเด็กนี้มันกระตือรือร้นชิบ

"มันไม่ให้ผมไป"หา...


"ไหงเป็นงั้นไป ก็ไหนมันบอกว่าให้เด็กฝึกงานไปหมดไง ถ้ามึงอยู่นี้แล้วจะรู้เรื่องอะไรกับเขามั้ยละ"

"ก็มันบอกมางี้ผมทำอะไรได้ละ ยังไงพี่ก็ช่วยส่งข่าวมาบอกผมด้วยละกันนะเผื่อมันถามผมจะได้ตอบถูก"ผมละไม่เข้าใจจริงๆว่าในหัวมันกำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่


"งั้นกูก็ไม่ไป "ผมพูดออกมาน้ำเสียงหนักแน่น

"เฮ้ยได้ไงพี่ เดี๋ยวก็ซวยหรอก ไปเหอะ"

"มึงอยู่นี้แต่จะให้กุทิ้งมึงไว้แล้วไปคนเดียวเนี้ยนะ หึ กูไม่ทำ"

"โห โคตรซึ่ง พี่เป็นห่วงว่าผมจะเหงานั่ง ทำงานอยู่ที่นี้คนเดียวใช่ปะ พี่แม้งโคตรเป็นคนดีอะ"

"เปล่าอะ กูกลัวว่ามึงจะนั่งสบายอยู่ที่นี้คนเดียว กูเลยอยากอยู่ ด้วย"

"สัด"

"มึงพูดอะไรนะตะกี้"ฟังไม่ทันเหมือนได้ยินอะไรปัดๆ

"เปล่าๆ ผมเปล่าพูด  ว่าอยากกินสลัดผัก" หลังจากนั้นผมก็เดินเถียงกับมันจนถึงด้านล่างถึงได้แยกทางต่างคนต่างกลับ และระหว่างที่ผมกำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คความเคลื่อนไหวอยู่นั้นเอง ก็มีแมสเสทแปลกๆจากแอพพลิเคชั่นไลน์เด้งขึ้นมา

"พรุ่งนี้มาให้เช้าๆละอย่าให้ต้องรอ"เท่านั้นแหละครับผมอ๋อถึงบางอ้อเลย เชี้ยประธาน แต่ที่ตกใจหนักกว่า


คือมันมีไลน์ผมได้ยังไง ต่างหากละ...


TBC.......  ;  )


ออฟไลน์ thitema3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
Falling in love

Chapter:52

หลังจากที่นั่งรถเมล์มาครึ่งค่อนชั่วโมง เหตุเพราะรถติด ผมก็ค่อยๆแบกร่างของตัวเองที่เหมือนจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่กลับมาที่ห้อง

แล้วก็ดันมาบังเอิญเจ๊อะเข้ากับไอวินที่กำลังนั่งอี๋อ๋อทำหน้าไม่รับแขกอยู่ที่ห้องนั่งเล่น กีบอิกี้สองคน

"เชี้ยเจ ช่วยกูด้วย"มันร้องตะโกนโหวกเหวก ในตอนที่เห็นหน้าผมก่อนจะรีบกระโจนเข้ามาเกาะแขนผมยังกับพึ่งเจอผีมาสดๆร้อนๆ

"ลมอะไรหอบมึงมาเนี้ย"ผมหันไปถามมันที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆ

"คือจริงๆกูมีข่าวดีกับข่าวดีมากจะมาบอก มึงอยากฟังเรื่องไหนก่อน"แหนะจะบอกแล้วยังเจือกมีช้อยให้กูเลือกอีก

"งั้นเอาข่าวดีมากก่อน.." วินมันปล่อยแขนจากไหล่ผมก่อนจะมายืนประจันหน้าและทำท้าทางกรุ่มกริ่ม


"ฟังกูดีๆนะ"

"อือ"ผมแอบทำหน้าเหวอนิดๆ

"คือสิ่งที่กูจะบอกมันค่อนข้าง.."

"โอ้ย ถ้าจะลีลางั้นกูไม่ฟังและเสียเวลา"และในจังกว่ะที่ผมหันหลังกลับไอวินมันก็พูดขึ้นมา เล่นทำเอาคนที่ได้ยินอย่างผมถึงกับต้องรีบหันกลับไปจนคอแทบเคล็ด

"บ้าน ของมึงถูกซื้อคืนแล้วนะ.."อเกนพลีสส เมื่อกี้มันว่าไงนะ

"มึง..ว..ว่าไงนะ"

"ก็ร้านเก่าพี่อินอะถูกซื้อคืนแล้ว.."เรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่โคตรเซอร์ไพทร์สำหรับผมมาก แต่ในอีกมุมนึงผมก็เริ่มเอะใจ

"แล้วใครเป็นคนซื้อวะ"

"พ่อมึง" เอ้าไอนี้

"กูถามดีๆเสือกด่าพ่อกูอีก"

"กูไม่ได้ด่า..ไอห่ากูหมายถึงพ่อมึงจริงๆ"

"พ่อกู..เนี้ยนะ"ผมยังคงไม่ปักใจเชื่อเต็มร้อยเท่าไหร่

"เออพ่อมึงนั้นแหละ"แล้วป๊าไปเอาตังมาจากไหนวะหรือเพราะเล่นหวยจนรวยเล๊ะ

"แล้วเรื่องดีอีกเรื่องละ"ผมไม่ลีรอรีบถามอีกข่าวดีจากมันทันที

"พ่อมึงส่งพี่ชายมึงกลับมาด้วยแถมคราวนี้คงอยู้ด้วยกันกับมึงอีกยาว"เชี้ย มันใช่เรื่องดีที่ไหนกันละ

"ทำไมพ่อไม่กลับมาเองวะ กูไม่อยากอยู่กับเจมส์สองคนเลย กูกลัว มึงก็รู้ว่าตอนที่กูกับเจมส์อยู่ด้วยกันสองคนพี่น้องทีไร แม้งเป็นเรื่องทุกที"ถ้าจะให้เล่าถึงอดีตเราสองคนพี่น้องคงต้องย้อนความกันไปอีกยาวแต่เอาเป็นว่า มันไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีละกันหึหึ



"เอาน่าๆ พี่เจมส์เขาโตแล้วเขาคงไม่เล่นอะไรปัญญาอ่อนเหมือนมึงหรอก"สึด..ไปๆมาๆก็เข้าตัวกูซะงั้น


"หมดเรื่องแล้วใช่มั้ย"ที่ผมถามมันเพราะจะรีบกลับเข้าไปทึงหัวตัวเองในห้องเรียกสติตัวเองกลับมาหลังจากที่มันเจิงลอยไปถึงเชียงใหม่

"ยัง..กูมีอีกเรื่องที่ต้องบอก.."น้ำเสียงไอวินมันดูสั่นๆ รึมีเรื่องอะไรไม่ดีวะ

"เรื่องอะไรอีก.."

"พี่เจมส์" อย่าบอกนะว่า

"เจมส์มันทำไม นี้มึงอย่าบอกนะว่าเจมส์มันจะไม่กลับมาไทยแล้วอะ โห เชี้ยวิน ต้มกูซะเปื่อยเลยนะมึง กูก็นึกว่ามึงจะพูดจริงซะอีกที่ไหนได้..."

"ไอแคระ!!"แคระ...แคระหรอ...ผมไม่ได้หูฝาดไปจริงๆใช่มั้ย เพราะสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ที่เรียกผมว่าแคระมีแค่.....ผมฝืนใจตัวเองหันหลังกลับไปมองแล้วก็ป๊ะเข้ากับ....โถ...กูอยากร้องไหออกมาเป็นสายเลือด


"เจมส์"ไอนี้ไงละ

"เออกูเอง มึงคงผิดหวังมากนักสิที่เห็นกูอะ แต่ไม่ต้องร้องให้เสียแรงไปนะเพราะเดียวคืนนี้มึงได้ร้องทั้งคืนแน่ มานี้เลยไอตัวดี.."

ผมบอกพวกคุณๆแล้วใช่มั้ย ว่าเจมส์มันชอบทำยังไงกับผมตอนที่พ่อไม่อยู่ด้วย..เนี้ย ก็เป็นแบบที่คุณๆเห็นพร้อมกับผมนี้ละ..ตอนอยู่กับพ่อก็ดูเป็นพี่ชายที่แสนดีอยู่หรอก แต่พอลับหลังก็เหี้ยดีๆนี้เอง


"ขอบใจมากนะคนสวยที่อุตส่าห์รับมันมาเป็นภาระ แต่เดี้ยวที่เหลือ พี่จัดการเอง"

"ได้เลยคะ ได้เลยย...เชิญพี่เอ่อ.."

"เจมส์"

"ค่ะเชิญพี่เจมส์ เอามันไปชำแหละได้ตามสบายเลยนะคะเดี้ยวหนูช่วยปิดข่าวให้เอง..."โถ่..อิกี้แทนที่มึงจะช่วยกูเจือกเกิดบ้าผู้ชายขึ้นมาซะงั้น.."และหลังจากที่เจมส์มันชุดกระชากลากถูผมมาจากคอนโดอิกี้ตอนนี้ผมก็กลับมาอยู่บ้านของตัวเองแล้ว...บ้านหลังเดิมที่ผมยังคงคิดถึงบรรยากาศอยู่ตลอด แต่พอกลับมาในวันนี้บรรยากาศและหลายสิ่งรอบๆตัวผมมันกลับไม่เหมือนเดิม..

"ไอแคระมึงจะไปไหน"เจมส์มันเรียกรั้งท้ายผมในตอนที่ผมเดินสำรวจดูในบ้านรอบๆ

"จะไปชั้นบน "กะจะไปดูห้องเก่าๆบรรยากาศเดิมในสมัยตอนที่ผมยังคงอยู่ แต่พอเดินขึ้นมาถึงห้องนอนตัวเองก้ต้องแปลกใจ เพราะภายในไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย นอกจากหยักไย้ที่ขึ้นตามฝ้าและเพดานเกาะกันเป็นกลุ่มใหญ่

ผมเดินสำรวจดูภายในห้องสักพักสายตาก็ดันบังเอิญไปเห็นรูปถ่ายใบหนึ่งตกลงอยู่ที่พื้น

และพอหยิบขึ้นมาดู ผมก็ถึงกับต้องสะอึกเพราะมันเป็นภาพสมัยตอนที่ผมพึ่งจะรู้ตัวว่าชอบมันในตอนแรกๆ ถึงขนาดต้องให้อิกี้ไปแอบถ่ายรูปของกาย เพื่อแลกกับการได้อยู่กับไอวินสองต่อสอง

พอได้มาเห็นอะไรแบบนี้ก็เล่นทำเอาความรู้สึกๆเก่าๆมันหวนกลับมาอีกครั้งและผมก็ต้องรีบสบัดหัวไล่ภาพบ้าๆพวกนั้นออก เพราะปัจจุบัน ผมกับกายเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว

ปึงๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหว่ะในระหว่างที่ผมกำลังคิดฟุ้งซ่านอะไรอยู่คนเดียว

"ไอแคระมึงทำอะไรอยู่ แล้วนี้จะล็อคห้องทำเตี่ยอะไรเนี้ย รีบมาเปิดประตูดิ้"เสียงบ่นด่าปนสาปแช่งดังกังวาลไปทั่วทั่งบ้าน นี้แหละครับตัวจริงของ พี่เจมส์สุดหล่อ(กัดฟัน) ที่สาวๆเฝ้าใฝ่ฝันผมละอยากจะรู้จริงๆว่าสาวโชคร้ายคนไหนจะได้เจมส์มันเป็นแฟน..อ่อ พี่อิน ไงละสาวโชคร้ายคนนั้น

แต่ในเรื่องร้ายมันก็มักจะมีดีปะปนกันอยู่เสมอ จากที่ไม่เคยสนิทกันถึงขั้นเกลียดขี้หน้าอย่างเจมส์กับพี่อินที่เมื่อก่อนเคยเป็นคู่กัดที่อยู่ข้างๆบ้านเจอกันทีไรก็เป็นอันต้องมีเรื่องทะเลาะ กันทุกที แต่พอมาวันนี้ยังกับฟิลม์คนละม้วน จากคู่ทะเลาะกลายเป็นคู่รัก และก็มาจบที่คู่ชีวิตในที่สุด แปลกแต่จริง คนที่เกลียดหน้ากันเกือบทุกคู่ล้วนวนลูปกลับมาพบเจอกันอยู่แค่นี้ผมเข้าใจดีไอ ทฤษฎี โลกกลมบ้าบอนั้น แต่ที่ยังแอบเอะใจอยู่นะ ว่าทำไมความสมหวังถึงไม่เกิดที่คู่ของผมบ้างเห้อ


เล่าไปเล่ามานี้ก็เริ่มออกทะเลไปไกล จากเรื่องของเจมส์ก็กลายมาเป็นเรื่องของผมได้ยังไงก็ไม่รู้เน้อ

"เฮ่ยย มึงได้ยินกูป่าวเนี้ยแคระ".

"เออ ได้ยิน กำลังลุกไปเปิดเดี้ยวนี้แหละ"พูดจบผมก็เดินไปเปิดประตูให้มันอย่างเร็วรี่เพราะขืนช้ามีหวังมันได้พังประตูเข้าห้องผมเป็นแน่แท้


"มีไร"ผมถามเจมส์มันเสียงติดห้วนๆหน่อย อาจเป็นเพราะเราสนิทกันเกินกว่าจะมาเรียก พี่เจมส์ครับ พี่เจมส์ขา (คือบ้านกุสายฮารด์คอร์ไง)

"มึงขึ้นมาทำอะไรตั้งนานสองนาน เรียกตั้งนานแล้วพึ่งเสือกตอบกูเนี้ย"

"ก็ขึ้นมาดูห้องปกติ สงสัยอะไรเนี้ย"

"กูอะไม่แต่พ่อมึงอะมี  อะ คุยซะ"พุดจบมันก็ยื่นไอโฟนเครื่องหรูที่ไม่มีปุ่มกดว้าววๆๆ เล่นของใหม่ซะด้วยพี่กู

พอรับโทรศัพท์มาแนบหูกำลังจะเอ่ยปากทักทายปลายสายก็จัดคอมโบการทักทายในฉบับพ่อลูกมาให้ผมหนึ่งดอกเต็มๆ

"ไอหมา มึงเปลี่ยนเบอร์ทำไมไม่บอกกู ไม่บอกพี่ชายมึงห้ะ ไอห่า รู้มั้ยว่าคนทางนี้เขาเป็นห่วงมึงกันขนาดไหน ....."ว่าแล้วลุงแกก็เล่นบ่นยาวไปเกือบๆครึ่งชั่วโมงช่วงแรกๆก็ด่าผมเละซะแบบหูดับตับไหม้แต่พอมาช่วงหลังๆก็เริ่มดร่าม่าใส่ลูกซะงั้น

"มึงนี้มัน ลูกขอทานจริงๆ ไม่มีจะกินทำไมไม่โทรมาขอเงินกูไปลำบากอยู่บ้านเพื่อนมึงทำไม"

"โถ่ มันชุกลหุกนี้ป๊า อีกอย่างตอนนั้น โทรศัพท์ก็ไม่มีด้วย จะโทรไปหาก็จำเบอร์ไม่ได้.."

"เจริญดีๆจริงๆลูกกู แล้วไอหนุ่มนั้นเป็นไงมั้ง มันยังสบายดีอยู่มั้ย.."ไอหนุ่มที่ป๊าพูดถึงคงเป็นลูกชายคนที่สามของบ้านอย่างไอกายสินะ

"ก็...ดีมั้ง"ผมพูดเสียงตะกุกตะกักเพราะไม่อยากให้ป๊าเอะใจเกี่ยวกับเรื่องผมและกับกายมัน

"ตอบกูดีๆ อย่าให้กูต้องตามไปเค้นปากมึงถึงไทยนะไอหมา"ด้วยความที่พ่อผมมันเป็นคนจริงไง พูดอะไรคิดอะไรก็ทำตามแบบที่พูดเป๊ะๆ ผมเลยไม่ค่อยกล้ามีความลับกับพ่อของตัวเองเท่าไหร่นัก

"ไม่รู้ดิ่ป๊า จบมาก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย"โกหกพ่อตัวเองจะตกนรกมั้ยวะกู

"มึงแน่ใจ?"แล้วไอน้ำเสียงที่สื่อสองแง่สองง่ามนี้มันคืออะไรกัน รึน้ำเสียงผมดูร้อนรนไปวะ ก็ไม่นิ น้ำเสียงผมดูปกติดี

"อือ ดิ "

"ไม่ใช่ว่ามันทิ้งลูกชายกูแล้วไปหาเมียใหม่มันหลอกหรอ"สตั้น คือคำเดียวที่บ่งบอกถึงตัวผมในตอนนี้. ป๊า...รู้เรื่องของผมกับกายได้ยังไงในเมื่อผมยังไม่เคยได้เปิดอกโชวนมคุยกับป๊าเลย



ออฟไลน์ thitema3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
"อย่าโมเมหนวด มั่วแล้ว"

"น้องมึงบอกกูมา ไอหมา ยังจะมีหน้ามาแถกูอีก"ยายยยเอินนนนนนนนน ยัยน้องบ้า..ดันไปบอกเรื่องที่ไม่ควรจะบอกกับป๊าไปซะได้ แล้วทีนี้จะเอาไงต่อ จะโกหกต่อไปก็ไม่ได้แล้ว  ผมเลยเลือกที่จะพูดความจริงกับป๊าทุกอย่างที่ป๊าถามมาผมก็ตอบตามที่ผมรู้ออกไปทั้งหมด

"สรุป มึงก็ดันเสือกกลับไป ให้มันช้ำใจเล่น ด้วยการไปทำงานที่บริษัทมันเนี้ยนะโถ่ ลูกกูกินข้าวรึกินหญ้าฟางวะเนี้ย เฮ้อ เอาไว้กูกลับไป กูจะเล่นแม้งให้ขอหาทำให้ลูกกูเสียใจ"เชี้ยยเอาแล้วไงพ่อผมจะทำอะไรไอกายมันวะ

"ป๊าจะทำอะไรมันอะ"ผมถามด้วยท่าทีดูร้อนรน

"เดี๋ยวกลับไปมึงก็รู้เองไอหมา เรียกพี่มึงมาคุยต่อสิ"และด้วยความที่ไม่อยากยืดเยื้อ ผมเลยจำใจต้องส่งโทรศัพท์คืนให้เจมส์ กลับคืนไป เจมส์มันนั่งมองดูผมจากปลายเตียงได้พักใหญ่ ก่อนที่มันจะเดินออกไปตอนเวลาเกือบๆตีหนึ่ง และกว่าที่ตัวผมจะได้อาบน้ำนอนก็นู้นเกือบๆตีสาม เพราะกว่าจะเก็บข้าวของเข้าตู้ให้เป็นนะเบียบก็กินเวลามากโขอยู่ และด้วยความเพลียทีสั่งสมมาทั้งวัน พอหัวถึงหมอนผมก็พล้อยหลับไปดุจได้กินแอปเปิ้ลอาบยาพิษเข้าไปแล้วก็หลับเป็นตายไปทั้งคืน


เช้าวันถัดมา

เวลา 08.00  น. เออดีเตรียมตัวเคารพธงชาติไทย..แต่เดี๋ยวนะ!!!!!! แปดโมง โอ้ววซ่าร่า กูตื่นสายครับ สายชนิดที่ว่าไม่น่าให้อภัยแถมอาจจะโดนส้นตีนของไอประธานให้จงได้ ก็วันนี้ผมมีนัดไปดูงานและพักผ่อนที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง ซึ่งต้องไปให้ถึงที่ทำงานก่อนเวลา 06.00น. แต่นี้คือแปดโมงเช้าแบบเป๊ะๆ เสียงเด็กข้างๆบ้านที่ยืนขายกล้วยแขกทอดยังยืนร้องกันเสียงดังแจ๊วอยู่เลย แต่ตัวกู พึ่งตื่นครับ เฮี้ยดี มั้ยลัะชีวิต ผมรีบติดสปีดลุกออกจากที่นอน ด้วยความเร็วแสงก่อนจะรีบล้างหน้าแปรงฟันและแต่งตัวให้รวดเร็วสุดๆไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ ผมใช่เวลาในการอาบน้ำและแต้งตัวไม่ถึงสิบนาทีตอนนี้ผมก็รีบวิ่งดิ่ง

ลงมาด้านล่าง เพื่อให้ไปทำงานอย่างเร็วรี่ ถ้าไม่มีคำๆนี้ลอยเข้าหูมาซะก่อน

"ไอแคระนั้นมึงจะไปไหน"พี่กุเองครับ

"ไว้ค่อยทะเลาะนะเจมส์ตอนนี้รีบ"ผมไม่ได้หันไปต่อปากต่อคำอะไรมากเพราะตัวเองกำลังรีบมากอยู่

"เดี๋ยวกูไปส่ง"คำพูดที่ดูเรียบเฉยของเจมส์กลับทำให้ร่างกายของผมชะงักไปแวปนึง

"เฮ้ย..อย่าลำบากเลยเจมส์แดดข้างนอกม้นร้อนเดี๋ยวผิวก็เสียเอาหรอก"ผมพยายามพูดหาข้ออ้างหว่านล้อมให้มันเปลี่นใจ แต่ผมก็ดันลืมไปว่าทั้งป๊าและเจมส์ มันเป็นคนจริงกันทั้งคู่

"จะไปดีๆหรือให้กูลากมึงไป"สายตาเจ้าบงการมาแล้วนั้นไงและด้วยความกลัวบวกเร่งรีบผมเลยตอบตกลงแต่โดยที่และมีข้อแม้ว่าต้องจอดในที่ๆผมบอกให้จอดเท่านั้นซึ่งเจมส์มันก็ทำหน้าเข้าใจดีรีบขับพาผมมาที่บริษัท

"เดี้ยวตอนเย็นกุจะมารับ เสร็จแล้วโทรมาบอก รีบๆด้วยนะมึงไอแคระ"

"เออ รีบไปได้ละ"ผมรีบโบกมือไล่พี่ชายตัวเองก่อนที่จะมีใครมาเห็น

จะมาบอกว่าการมาวันนี้เล่นทำเอาใจผมเต้นตุ่มๆต่อมๆก็แหม่วันนี้เล่น มีนัดสำคัญแต่ผมดันมาสายซะนี้ ผมกล้ารับรองเลยว่าถ้าไอประธานมันเห็นผมเมื่อไหร่ละก็..หึหึเละเมื่อนั้น


ว่าแล้วผมก็ค่อยๆเดินย่องๆทำตัวหน้าสงสังเหล่ซ้ายเหล่ขวาแต่ก็ยังมิวายมีมือของใครมาแตะที่ไหล่ผมปุๆ

ผมพยายามกลืนน้ำลายตั้งสติให้มั่นก่อนจะหันหลังกลับไปดู...ปัตโถ่...ไอเด็กผี..

"เดินย่องๆมองๆทำไมอะพี่ทำอะไรผิดมารึเปล่า"เด็กผีมันถามผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

"ป่าวเว้ย..แต่มึงนี้ก็แปลกชอบมาไม่ให้ซุ้มให้เสียงอยู่เรื่อย"

"อ้าวอยากให้ผมเสียงดังหรอได้..เอ้าพี่เจ!! มาทำงานแล้วหรอครับ โอ้โห แต่วันนี้พี่มาทำ..อุก...อัก.."

"มึงจะแหกปากทำสากอะไรละครับ"ผมรีบชิงยื่นมือไปปิดปากมันก่อนที่มันจะทำเสียงดังไปมากกว่านี้

"ก็พี่บอกผมชอบมาๆเงียบๆไง นี้ก็โวยวายให้แล้วนะ.."โถ่..เรื่องอื่นมึงจริงจังแบบนี้มั้ยละหืมม

"อะๆช่างเรื่องนั้นมันก่อนเถอะ แล้วพวกคนอื่นๆไปไหนกันหมดอะ.."

"เขาไปกันหมดแล้ว..เออจะว่าไปผมก็พึ่งสังเกตุพี่ไม่ได้ไปกับพวกพี่เกดหรอ"ถ้าไปทันแล้วกูจะมายืนหน้าสะหล่อนแบบนี้มั้ยละหือ

"กูตื่นสาย แล้วไอประธานละ มันได้ไปด้วยปะ"ถ้ามันไปผมจะได้โล่งอกแล้วเลิกทำตัวลับๆล่อๆสักที


"ผมไม่รู้อะ..แต่เดี๋ยวผมโทรถามให้"ว่าแล้วมันก็หยิบไอโฟนของมันขึ้นมาเตรียมจะกดโทรออกแต่ผมรีบลิบมันมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อซะก่อน

"จะโทรให้มันมาเฉ่งหัวกูรึไงเล่าเข้าห้องไปได้แล้ว..."ตกบ่ายวันนั้นเองที่ผมใช้เวลาอยู่ในที่ทำงานเพียงสองคนกับไอเด็กผีเพราะเด็กฝึกงานคนอื่นๆก็พากันไปดูงานนอกสถานที่ ทั้งห้องตอนนี้เลยเหลือเพียงผมกันมันแค่สองคน เงียบเหงาดีชิหาย


"มึง"ผมหันไปคุยกับไอเด็กผี ที่กำลังนั่งงุ่นๆพิมพ์อะไรของมันสักพักใหญ่ๆแล้ว

"ครับ พี่มีอะไรหรอ"ปากมันพูดแต่สายตาก็ยังมองที่จอคอมอยู่..

"กูเหงาอะ " บรรยากาศโคตรจะเปลี่ยวเลย ไม่รู้ว่าทั้งตึกมีผมแค่สองคนรึเปล่าเนี้ย



"แล้ว?"

"ชวนกูคุยหน่อยดิ.."

"ผมทำงานอยู่.."แต่กูเหงาอะดิ แบตโทรศัพท์ก็จะหมดแล้วด้วย"


"ยืมที่ชาตแบตก็ได้"

"วางอยู่บนพีซีอะ พี่ดึงของผมออกแล้วเสียบของพี่เลย"ว่าจบผมก็รีบดึงน้องโฟนเจ็ดของมันออกก่อนจะเสียบตูดน้องโฟนหกผมต่อแทน นั่งรอสักพักใหญ่ขาผมก็กระดิกเท้าไปเรื่อย ไอผมมันก็เป็นพวกเด็กไฮเปอรฺไงอยู่นิ่งๆไม่ค่อยได้ต้องคอยหาอะไรมาให้ทำอยู่ตลอด แต่คือมันไม่มีไง งานเก่าผมก็เคลียร์หมดแล้ว ..จะออกไปเดินเล่นข้างนอกก็กลัวมีใครเห็น แล้วรายงานไอประธานอีก. โถ่ กูเบื่อโว้ยย

"พี่เจ.."ในระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆไอคนข้างๆผมมันก็พูดขึ้น

"อือ"

"ผมมีเรื่องจะถามอะไรพี่อย่าง."เด็กนั้นมันละสายตาจากคอมก่อนจะหันเก่าอี้และขยับมาใกล้ๆจนจมูกผมกับมันเกือบจะชนกันอยู่แล้ว

"เออ..ก็ถามมาดิ่..แต่ก่อนจะถามช่วยเขยิบหน้ามึงออกไปไกลๆด้วยครับ"ว่าพลางใช่นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าผากและดันออกห่าง

"พี่กับประธาน...เคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่า.."..ผมรู้สึกตกใจอยู่เล็กน้อย ทำไมอยู่ๆมันถึงถามคำถามนี้ขึ้นมาละ

"ก็..."จะบอกว่าไงดีละเคยสนิทสนมกันเมื่อนานมาแล้วแต่ตอนนี้..ความสัมพันธ์มัน..เฮ้อ..

"ผมอาจจะถามอ้อมไปเอาใหม่ๆ พี่กับประธาน.."มันค่อยๆเขยิบหน้าเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง

"เคยเป็นอะไรกันมาก่อน.."ผมสตั้นไอประมาณศูนย์จุดสามวิ แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไรเสียงประตูห้องก็ถูกเปิดออกและด้วยความเร็วเหนือแสงผมเลยรีบมุดลงไปซ่อนอยู่ใต้หว่างขาของไอเด็กผีนี้แทนและเหมือนมันจะรู้งานครับรีบเลื่อนเก้าอีกเข้ามาจนตัวผมเข้าไปซ่อนอยู่ใต้โต๊ะคอมอย่างแนบเนียน...

"มึงเห็นมันรึเปล่า"ทำไมเสียงพูดมันดูคุ้นๆหูวะ

"มันนี้หมายถึงใครละ"คราวนี่เป็นฝ่ายที่ไอเด็กผีตอบกลับคนที่ถามมันบ้าง

"ก็ไอเตี้ยที่นั่งข้างๆมึงนี้ไงวันนี้มันไปไหนทำไมถึงไม่ไปสัมนา"ชัดเจน...เสียงนี้คำพูดนี้มีคนเดียว..ไอกาย..โอ้ยยตัวผมนี้สั่นเป็นจ้าวเข้าอยู่ใต้โต๊ะเลย..

"จะรู้ได้ไงละตัวไม่ได้ติดกันซะหน่อย อยากรู้ก็โทรถามเองดิ"จะว่าไปผมก็เพิ่งจะสังเกตุ ทำไมไอเด็กผีซีเกมมันุถึงพูดจาห้วนๆกับไอกายจังวะ

Trrrr...นั้นไงเสียงๆสั่นๆเสือกดังขึ้นมาอีกบัดซบดีจริงๆ

"ไหงโทรศัพท์มันถึงมาอยู่นี้..."ผมใช้นิ้วสะกิดที่ขาอ่อนเป็นเชิงบอกให้มันช่วยตอบคำถามไอประธานแทนผมหน่อยโอ้ยย..ลุ้นครับลุ้น..

"ก็....."บ้างทีมึงก็เว้นช่วงนานไป. กุชักเริ่มหงุดหงิดแทนแล้วเนี้ย

"ก็?"

"เขามาฝากไว้เมื่อวานนี้ไงเออใช่ๆเขามาฝากเอาไว้นี้ก็พึ่งนึกออกก็เลยเอาออกมาชาตให้เขาไง "

"งั้นหรอ.."ทำไมน้ำเสียงมันดูเหมือนไม่เชื่อวะ

"ก็เออดิ จะโกหกให้มันได้อะไรอะ"

"อืม ก็ดี งั้นเดี๋ยวโทรศัพท์มันกูจะเก็บไว้ให้เองเอาไว้มึงเจอมันเมื่อไหร่ก็บอกให้มันเข้าไปเอาที่ห้องกูแล้วกัน"เชรี้ยย กูไม่รู้จะอุทานคำไหนได้ดีเท่ากับคำนี้เลย แล้วในที่สุดไอประธานมันก็เดินปิดประตูดังปึ้งออกไปผมเลยค่อยๆไต่ตัวไอเด็กผีนั้นขึ้นมาเพื่อมองดู แต่แล้วอยู่ๆประตูแม้งก้เสือกเปิดอีก ด้วยความตกใจของผมด้วยไงเลยรีบฟุบลงไปด้วยความเร็วสูงจังหว่ะที่ก้มลงนั้นเอง หัวผมไปกระแทกโดนอะไรซักอย่าง แต่รู้สึกไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่แหะ

"กุลืมบอก แม่บอกให้มึงกลับไปเยี่ยมคุณตาบ้าง ท่านฝากบอกมา.."

"อ...เออ...ด..เดี่ยว..กู..ไป"

"เป็นเชี้ยอะไรทำเสียงแปลกๆ..."เสียงไอกายถามมัน


"เรื่องของกูน่ามึงรีบไปได้แล้วว...."หลังจากนั้นผมก็นั่งนับรอหนึ่งถึงสิบก่อนจะชะโงกหัวขึ้นมาดูจนแน่มาว่าไอประธานมันไปแล้วผมถึงได้ลุกขึ้นมานั่งที่โต๊ะเหมือนเดิม

"เป็นอะไรเนี้ย."ผมถามมันที่เอาแต่ทำหน้าไม่รับแขกอยู่ที่เก้าอี้

"ไข่..."

"อะไร ไข่มัน ทำไม มึงอยากกินไข่หรอ..."

"ไข่ผม...นี่แหละ...พี่ชนมันเต็มๆเลย"อ้าวเวรกรรม ไอผมเองก็พึ่งจะรู้ตัว อ่อไอนิ่มๆเมื่อกี้นี้คือเจ้าโลกของมันเองสินะ หึหึ

"เฮ้ย โทดๆ ไม่ได้ตั้งใจเว้ย เป็นไงจุกมากรึเปล่า"

"พี่มาลองดูมั้ยละ โถ่...."

"เอาน่าๆ มันเป็นอุบัติเหตุนี้หว่า ..เออใช่...เมื่อกี้ทำไมมึงคุยกับไอประธานแบบกันเองจังวะ เห็นขึ่นมึงๆกูๆด้วย"ผมมั่นใจว่าหูผมไม่ได้ฝาด

"ก็....หูพี่คงฝาดไปเองมั้ง..."นั่นไงมาลูกนี้คิดจะชิ่งคำถามกูละสิ


"อย่ามาแหลกูอัดเสียงไว้"

"ไว้ในไหน?"มันทำหน้าไม่กลัวผมเลยเว้ย

"โทรศัพท์"มึงนิ่งมาก็นิ่งกลับมั้งเดี๋ยวแม้งไม่เท่

"เครื่องไหน?"

"ก็เครื่อง...."ผมรีบคำปุๆหาตามตัวเพื่อแสดงหลักฐานเท็จแต่เยดแหม่ ลืมไปว่า ไอกายมันหยิบของผมไปด้วยเมื่อตะกี้...


" ; )" ยื้มแห้งใส่เลยกู อย่างนี้แม่งก็รู้หมดว่ากูแหลอะสิ

"ขี้โกหกวะ คบไม่ได้ๆ "

"ไม่รู้ละ บอกมาก่อน กูสงสัย ไม่งั้นคืนนี้กูคงนอนไม่หลับแน่ๆ"เรื่องเสือกขั้นแอดวานซ์ไว้ใจผม

"บอกเรื่องที่ผมถามพี่มาก่อนสิ" มันถามอะไรผมวะลืม

"เรื่องอะไรวะ"ผมถามกลับคือนี้ไม่ได้จะกวนตีนหรือทำแถ คือลืมจริงๆ

"พี่กับมันเป็นอะไรกัน..."ไอบรรยากาศมาคุรอบๆนี้มันคืออะไรกันแถมไออาการกระวนกระวายนี้อีก....ผมควรทำไงดีวะ ควรบอกหรือเลี่ยงที่จะบอกดี

"คือ..จริงๆแล้ว"โอ้ยเอาไงดีบอกดีมั้ยวะ

"????"เอาวะไหนๆเรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้ว

"คือจริงๆแล้วกูกับมันเราเคยเป็น.."

"เจตริทร์!"

"ใช่ เราสองคนเคยเป็นเจตะ......"อะไรนะ...ไอเสียงขรึมๆที่บ่งบอกถึงความเก็กหน้านี้ดังมาจากที่หน้าประตูใช่มั้ย แล้วถ้าเดาไม่ผิดผมคิดว่ามันคือ...อื้อหือ..ชัดเจน...


"ประธาน"

............

(ณ ห้องส่วนตัว ของประธานบริษัท)


"ไหนลองบอกเหตุผลที่ไม่ไปสัมนามาสิ..."คือหลังจากที่โดนไอประธานหัวเห็ดนี้จับกระชากลากถู มันก็พาผมมาขังไว้ที่ห้องเชือดเพื่อเค้นความจริงบางอย่าง

"ก็...."ทำไมกูต้องติดอ่างเวลานี้ด้วยวะ...ไม่เข้าใจตัวเอฃเลยจริงๆ

"ตอบมา!!"

"ก.กกก็ตื่นนนน..ตื่นสาย"

"ตื่นสาย..มันใช่เหตุผลมั้ย.."เอ้าไอนี้ นี่กูก็พูดความจริงที่สุดแล้วเนี้ยทำไมมันถึงไม่เชื่อผมวะ


"อุตส่าห์จะให้ไปดูงานสบายๆไม่ชอบๆลำบากนักใช่มั้ย ได้ "ว่าเสร็จมันก็หมุนตัวสามร้อยหกสิบองสาไปหยิบแฟ้มเอกสารเล่มหนึ่งที่บรรจุดระดาษไว้แบบ(โคตรรร)หนามาวางตรงหน้า ผมมองแฟ้มสลับกับมองหน้ามัน.. นี้อย่าบอกนะว่า

"ในเมื่อชอบความลำบาก ก็เอานี้ไป"...

"อะไร.."น้ำเสียงผมเริ่มสั่นๆนี้มันคิดจะแกล้งอะไรผมอีกวะ

"ไปพิมพ์ มาใหม่ แปลทั้งภาษาไทยและอังกฤษ"

"หา...หมดนี้เลยหรอ.."ถ้าให้เดาๆก็หลายร้อนแผ่นเลยนะเว้ยย

"ใช่...ชอบมากไม่ใช่หรอความลำบากนี้ไงจัดให้แล้ว  อ่อ แล้วก็ให้ส่งภายวันศุกร์นี้ ก่อนห้าโมงเย็น...ถ้าชาแม้แต่วินาทีเดียว...เละ"คือวันนี้วันพุธและมีเวลาแค่สองวันไอห่า ไม่รู้ว่าไอที่เละนี้เป็นเอกสารรึผมนะแต่ผมขอเดาว่าเป็นตัวผมเองแล้วกัน ฮือ... ไม่หน้าตื่นสายเลยกู... :hao5:

ออฟไลน์ thitema3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2

(หลังจากเลิกงาน)

ผมก็มายืนรอไอพี่ชายตัวดีอยู่ที่หน้าบริษัทนานนับสิบนาทีก็ยังไม่เห็นวี่แววแม้แต่เงาหัวมันผมก็ยังไม่เห็น หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมผมถึงไม่โถ่หาแล้วบอกให้มันมารับ มีสองช้อย คือหนึ่ง ผมไม่รู้เบอร์ และสอง ผมไม่มีโทรศัพท์ ใช่ครับ ไอกายมันไม่ยอมคืนน้องโฟนให้ผม มันบอกว่าถ้าอยากได้คืนให้ผมเอางานไปส่งให้มันก่อน

เฮี้ยดีมั้ยละ ไม่เลวจาก กมลสันดานทำไม่ได้จริงๆนะเนี้ย พูดแล้วก็ขึ้น...

ผมยืนรออยู่ที่หน้าบริษัทร่วมชั่วโมงเจมส์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมาผมเลยตัดสินใจเดินเท้าแม้งนี้แหละถึงจะนานหน่อยแต่ก็ถึงเหมือนกัน


ผมเดินตามทางเท้ามาเรื่อยๆจนถึงป้ายรถเมลแต่ก็ต้องสะอื้นอีกรอบที่สองเมื่อกระเป๋าตังลูกรักเสือกลืมหยิบมาจากห้องทำงานไอกาย เพราะมันคนเดียว..ถ้ามันไม่ด่าผมหูดับตับไหม้ขนาดนั้นผมก็คงไม่ลืมกระเป๋าเป๊ไว้หรอก เฮ้อ ผมเซ็งกับมันเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้ววะเนี้ย


สรุปก็คือต้องเดินตีนเปล่าไปอีกสิบกว่ากิโล  คือ ท้องลูกรักนี้ก็ร้องดีจริงวันทั้งวันเสือกไม่หิวด้วยนะ มาร้องได้ตรงจังหว่ะดีจริงๆ  อ่อแล้วไม่ต้องไปจินตนาการกันนะครับว่าชีวิตจะเหมือนในละคร นางเอกเดินตามทางถนน อยู่ลำพังแล้วจู่ๆพระเอกก็ขับรถตามมาแล้วบอกให้ขึ้นไปด้วยกัน หึหึ นี้ชีวิตจริงนะครับฮัลโหล


อีกอย่างพระเอกในชีวิตจริงมันมีที่ไหนกันละ มีแต่ ขยะ ดีๆแค่นั้น...โอ้ย ยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิด..


[พาทของกาย]

"พี่นี้ก็นะ ว่างมากรึไงถึงไปแกล้งเขาอยู่ได้"เสียงของไอปอนน้องคนสนิทของผมเองไอนี้ก็เหลือเกินชอบเขาข้าง มันตลอด

"กูเป็นพี่มึงนะ มึงควรจะเห็นใจกู"

"โถ่พี่ แต่คืองานพิมพ์แบบนั้นมันงานจุกจิกนะพี่ แถมต้องนั่งแปลไทยเป็นอังกฤษอีก เออแล้วก็อีกอย่าง ไอเอกสารที่พี่ให้เขาไปนั้นมันของเมื่อปีที่แล้วไม่ใช่หรอ?"บางทีผมก็เกลียดไอปอนทึ่มันเสือกรู้ทันผมทุกๆเรื่อง

"ก็..กูจะดูใหม่ไง มีปัญหาอะไรรึเปล่าละ ถ้าอยากช่วยนักก็ไปเอากลับคืนมาทำเองซะสิ". ว่าจบมันก็เดินมานั่งเก้าอี้ข้างหน้าผม

"พี่ อันนี้กระเป๋าเป๊ใครอะ"มันว่าพลางชูเป๊ใบนั้นขึ้น ลักษณะ คล้ายๆของไอเตี้ยเลยแหะ สงสัยมัยคงจะลืมไว้

"ดีเลยไหนๆ ก็ลืมแล้ว ผมละอยากรู้จริงๆว่าน่ารักแบบพี่เขาจะพกอะไรไว้ในกระเป๋าบ้าง"คนอย่างมันเคยพกอะไรไว้ในกระเป๋าบ้างนอกจาก  สมุด ปากกา กระเป๋าตัง และโทรศัพท์...แต่เดี๋ยวนะ ..โทรศัพท์มันอยู่ที่ผม..แล้วกระเป๋าตังละมันได้เอาไปด้วยมั้ย ว่าแล้วก็รีบแย่งเป๊ในมือไอปอนมาค้นดูแล้วก็เจอทุกอย่าง เหมือนเมื่อก่อนเปี๊ยบ

"แล้วมันจะกลับยังไงวะ"ผมบ่นคนเดียวเบาๆ

"พี่ในนี้มีรูปพี่กับพี่เขาด้วยอะ"ผมรีบดึงสติก่อนจะหันไปมองรูปในมือตามที่มันพูด แล้วก็เจอเขากับรูปใบนึง..

รูปที่ผมเป็นคนถ่ายเองกับมือ และผมก็ยังจำความรู้สึกในวันนั้นได้ดี
......

"เตี้ย มึงได้หยิบ หูฟังมาด้วยปะ"ผมถามมันในตอนที่เรามาถึงสวนสาธารณะ วันนี้เป็นวันที่เรานัดหมายออกมาฉลองให้กับวันครบรอบหนึ่งปีของผมกับมัน

"เออวะ  ลืม ก็มึงอะเร่งจนกูลืมเลย.."นี้ขนาดผมก็ข้อความไปย้ำแล้วย้ำอีกนะว่าอย่าลืมแต่มันก็ยัง เฮ้อ

"บอกไปแล้วไม่ใช่หรอ ข้อความก็อ่านนิ ทำไมยังลืมอีกวะ"ผมแกล้งๆงอลมันโดยการหันไปสนใจสิ่งอื่นรอบตัวแทนการมองหน้ามัน

"กาย...ฮือ..ขอโทษ คราวหลังจะไม่ลืมแล้ว สัญญาดีกันน้าๆๆ หายโกรธเดี๋ยวให้รางวัล"ผมนี้รีบหันควับกลับหามันเลยในทันที

"ไหนๆ"

"ห่านิ แกล้งงอลหรอเดี๋ยวกูตบคว้ำ "แหงะสุดทิายมันก็หลอกผมอีกตามเคย

"ก็มึงอะเป็นแบบนี้ทุกที มันสมควรงอลป่าวละหึ อีกหน่อยคงลืมกูอะ"พูดไปก็พลางน้อยใจไปด้วย

"ที่หลังวีดีโอคอลมาละกัน พอเวลาเห็นหน้ามึง กูจะได้ไม่ลืม.."เออวะเป็นความคิดที่ดี แถมถ้าบางทีมันแต่งตัวอยู่ผมอาจจะได้เห็นอะไรดีๆขึ้นมาก็ได้  หึหึ

"งั้นเอางี้"ผมยกมือถือเปิดกล้องก่อนจะขยับเข้าไปกอดคอใกล้ๆกับมัน

"จะทำอะไร..คนอยู่เยอะไม่เห็นหรอ"มันว่าปรามพลางตีมือผมที่กอดคอมันอยู่


"มึงแคร์คนอื่นรึแคร์กู.."คำถามผมทำเอาเจมันนิ่งไว้หลายวินาที จนในที่สุดมันก็กลายเป็นฝ่ายถือกล้อง และเขยิบหน้าเข้ามาหอมแก้มที่ด้านซ้ายของผมก่อนจะกดชัตเตอร์


"จำไว้นะกาย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน กูอยากให้มึงรู้ไว้นะ ว่ากูแคร์แค่มึง แล้วก็ไม่ต้องเสือกถามคำถามนี้อีกละ เพราะต่อให้มึงจะถามกูอีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง คำตอบมันก็ยังเป็นมึง..."เป็นคำพูดที่ผมสัมผัสและรู้สึกได้ถึงสิ่งทึ่เจมันพูด คำพูดรอยยิ้ม และการกระทำของมันบ่งบอกแบบนั้นจริงๆ

"เดี๋ยวพอโกรธ มึงก็ลืม เชื่อกู"

"เอางี้ นะกูจะไปล้างรูป ทีนี้ก็เอาติดตัวกันไว้คนละใบ ใส่ไว้ที่ไหนก็ได้เอาแบบที่มึงไม่ลืมอะ มันจะได้เหมือนกับการมีตัวตนของใครอีกคนในทุกๆที เวลามึงเหงาก็แค่เปิดรูปมามองหน้ากู เวลามึงเศร้า ท้อแท้ หมดกำลังใจ ก็ขอให้รูปใบนี้เติมเต็มความอ้างว้าง พวกนั้น ให้มึงเวลาเห็นได้บ้าง...อ่อแล้วก็อีกอย่าง .."


"อะไรอีก"

"ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไงมึง ห้ามทิ้งรูปนี้นะ .. แต่ถ้าวันไหน ความรู้สึกของมึง ที่มีต่อกูมันหมดไปแล้วจริงๆมึงจะทิ้งมันก็ได้นะ ..กูเข้าใจ....

..........


"พี่กาย !"

"ฮ้ะ..อะไรๆใครเป็นอะไร"


"พี่อะเป็นอะไร มองรูปแล้วก็นั่งเหม่อ ผมเรียกตั้งนานแล้วเนี้ย สติหลุดไปไหนละนั้น รึพี่ไม่สบาย..."มันว่าพลางยื่นมือมาแตะที่หน้าผากผม


"กูโอเคน่า มึงเองนี้ก็ขี้เสือกดีเหมือนกันนะ ไงละเสือกพอรึยังถ้าพอแล้วก็เก็บของเข้ากระเป๋าคืนได้ละ ยกเว้นรูปนี้ กูจะเก็บไว้เอง"ถึงในตอนนี้จะมีคำถามอยู่มากมายก็เถอะ แต่ผมจะเก็บมันไว้ภายในใจก่อนก็แล้วกัน


"แล้วจะเอาไงต่อ จะให้ผมรีบเอากระเป๋าไปคืนพี่เขาให้มั้ย"

"ใช่เรื่องกระเป๋าใครก็ให้มันมาเอาเองสิ"

"เขาอาจไม่รู้ตัวก็ได้มั้ง เอาไปคืนเหอะผมว่า กระเป๋าตังเขาก็อยู่ในนี้ด้วยนิเผื่อบางทีเขาอาจต้องใช่ก็ได้นะพี่"

"แลมึงนิห่วงมันจริงๆนะ ชอบมันรึไง"อดถามถึงความห่วงเกินหน้าเกินตาของมันไม่ได้จริงๆ


"เดี้ยวไอเกมก็ไปส่งมันเองนั้นแหละจะห่วงอะไรนัก.."ถึงผมจะไม่ค่อยชอบให้มันสองคนอยู่ด้วยกันก็เถอะ แต่ก็เห็นมันดูสนิทเข้ากันได้อยู่..ระหว่างนั้นเองเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นและปรากฎบุคคลๆที่พึ่งจะถูกพาดพิงไปเมื่อครู่



"ไปยังละ วันนี้กูไม่ได้เอารถมา กูไปกับมึงละกัน"ห้ะ ไม่ได้เอารถมา

"เออ แล้วพี่เจละ เขากลับไปแล้วหรอ กุว่าจะเอาไฟล์งานให้เขาซะหน่อย "


"อ้าว เจมันไม่ได้อยู่กับมึงหรอ..."ผมถามมันด้วยท่าทีร้อนรน

"ถ้าอยู้จะตามขึ้นมาถามแบบนี้มั้ยละหืม ตอนที่มึงพาตัวเขามานั้นแหละครั้งสุดท้ายที่กูเห็น แต่มันก็พึ่งออกจากห้องผมไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วเอง ถ้าผมตามไปก็คงจะทัน

"แล้วนั้นพี่จะไปไหน"

"มึงจะไปไหนกาย"

"ไปตามหาคน.."พูดจบผมก็เดินหยิบเป้ของมันรีบลงมาที่ชั้นล่าง ขับรถตามหามันจนทั่ว ระหว่างนั้นเสียงไลน์ก็เด้งๆมาไม่หยุดหย่อน ส่วนรายชื่อที่ทักมานั้น เล่นทำเอาเกร็ง ขึ้นมานิดๆ

Jame.

"มึงอยู่ไหนแล้วไอแคระ โทดทีกูคุยกับเมียเพลิน "

"ฮัลโหลให้ไปรับมั้ยตอบบ"

"เงียบ กูไม่ไปละนะ"

ผมอ่านข้อความไปจิตใจก็เริ่มเป็นกังวนขึ้นมาเรื่อยๆ  โทรศัพท์ก็อยู่นี้ ส่วนเงินก็ไม่มี เฮ้อ แล้วมันจะทำยังไง จะกลับบ้านยังไง จะมีใครทำอะไรมันรึเปล่า

แล้วตอนนี้ละ ตัวผมเป็นอะไร ผมบ่นถึงมันทำไม เป็นห่วงมันหรอ...เออ!ใช่ ยอมรับก็ได้ ว่าโคตรเป็นห่วง แม้งจะกี่ปีๆก็ชอบทำตัวให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่เรื่อยนี้แหละครับข้อเสียของตัวมัน

ผมขับรถเลี่ยงออกมาจากตึก ได้ไม่ไกลก็แวะเข้าไปถามยามซึ่งคำตอบของยามก็เล่นทำเอาผมร้อนรนมากขึ้นไปอีก เพราะยามบอกว่าเห็นมันเหมือนยืนรอใครอเป็นชั่วโมงจนในที่สุดมันก็เดินหายไปสักพักใหญ่ๆแล้ว

ผมขับรถไปที่ป้ายรถเมล์ถามคนแถวๆนั้น คำตอบก็ทำเอาผมหัวหมุน บางคนบอกทางนี้ส่วนอีกคนก็บอกทางนั้นสรุปคือ ผมเองก็ต้องเดาสุ่มและเชื่อในสันชาตญาณของตัวเอง ด้วยการขับตรงไปเรื่อยๆเกือบๆ
ยี่สิบนาทีฝนเจ้ากรรมก็ดันตกซะนิ   แต่ที่ซวยหนักกว่านั้นคือทางข้างหน้าดันเกิดอุบัติเหตุรถก็ติดกันเป็นแถบ เวลาเย็นเลิกงานแบบนี้หลายคนก็คงจะเดินทางกลับที่พักกัน แต่ใันจำเป็นต้องมาประจบเหมาะกับเวลาที่ผมเร่งรีบแบบนี้มั้ยละ  เฮ้อ อยากจะเดินลงแล้วเดินไปให้รู้แล้วรู้รอด

ผมนั่งรออยู่ในรถด้วยความกระวนกระวายใจระดับสิบ ในระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่เคลียร์เส้นทางอยู่นั้นเสียงเติอนจากแอพพิเคชั่นไลน์ ก็ดังขึ้น ซึ่งคนทักมาก็คือคนเดิม

"Jame"

"กูอยู่หน้าบริษัทแล้วมึงอยู่ไหน ". เฮ้อเรื่องมันซวยเพราะผมจริงๆ ถ้าผมคืนโทรศัพท์มันไปตั้งแต่แรกก็คงดี

ปี๊ปป!!!  เสียงบีบแตร์รถดังมากจากด้านหลัง

"นี้คุณทางข้างหน้ามันว่างตั้งนานแล้วทำไมยังไม่ขยับอีก"ว่าแล้วผมก็ลองหันมองดูที่ด้านหน้า ที่ตอนนี้ บนถนนได้เคลียร์เส้นทางหมดแล้ว

"ขอโทษนะครับ"ว่าแล้วผมก็รีบขับรถตามทางไปเรื่อยๆอีกเช่นเคยแถมยังพยายามขับชลอเพื่อมองตามข้างทาง ผมขับหาอย่างนั้นเป็นชั่วโมงก็ไม่ยักจะเห็นมีใครเดินอยู่ริมถนนสักคนเลยตัดสินใจโทรกลับไปหาไอเกมเพื่อถามที่อยู่ของไอเตี้ยมัน

"เออขอบใจ"หลังจากวางสายก็เลี้ยวขวาตรงไฟแดงเพื่อยูเทินกลับไปที่ตั้งคอนโดที่พึ่งผ่านมา

.......

"306 ห้องนี้สินะ"ผมเดินขึ้นลิฟฟ์มาตามชั้นและห้องที่จดใส่กระดาษ หายใจเข้าออกนับหนึ่งุึงสามเก็กหน้าขรึมก่อนจะค่อยๆยื่นมือไปเคาะประตู


"ค่า!!อุ้ยย" คนที่เดินมาเปิดไม่ใช่ไอเตี้ยแต่เป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ผมว่าคงโดนไอเกมมันต้มแล้วแหละ

"เอ่อชอโทษครับพอดี เคาะผิดห้อง"ว่าพลางขอโทษและเตรียมตัวหันหลังกลับแต่ สาวสองคนเมื่อครู่เขาก็เรียกชื่อผม

"นั้นกายใช่มั้ย "ผมอึ้งๆเล็กน้อยไหงเขาถึงรู้จักชือผมด้วยนะ

"ค..ครับ แล้วคุณ.."

"เข้ามาข้างในก่อนสิ"แปลกที่ผมทำตามคำเชิญชวนแต่โดยดี ปกติผมไม่ค่อย ไว้ใจคนแปลกหน้าเท่าไหร่นะ แต่ครั้งนี้ถือว่าเป็นข้อยกเว้นแล้วกัน


"กินอะไรอุ่นๆก่อนมั้ย พึ่งตากฝนมานิ"ผมส่ายหน้าและยิ้มขอบคุณเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร

"มาหาเจ มันใช่มั้ย.."

"ใช่"ผมตอบตาความจริง ถึงจะแค่เอาของมาให้ก็เถอะ

"จริงๆเจมันก็อยู่กับเรานี้แหละ แต่เมื่อวานพี่ชายมันมารับกลับไปแล้ว.."

"อ้าวงั้นเจมันก็ไม่ได้มาที่นี้งั้นสิ

"ใช่ เจมันกลับไปอยู่ที่บ้านหลังเดิมมันแล้ว"

"ที่จันทบุรีอะนะ"

"ไม่บ้านหลังเก่า ที่เป็นร้านกาแฟอะ "

"อ้าวแล้วตอนแรกมันย้ายมาอยู่กับ เอ่อ..."ผมกะจะเรียกชื่อแต่ก็ดันจำไม่ได้ซะนิ

"กี้ เราชื่อกี้ "

"อ่อครับ โทษนะมันนานมากแล้วอะ "

"อืมเข้าใจ ว่าแต่มาที่นี้มีธุระอะไรรึเปล่า"เออวะเกือบลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงไปเลย

"เราเอากระเป๋ามาคืน พอดีมันลืมไว้ที่ทำงานอะ แล้วมันได้คุยกับกี้รึเปล่าว่ามันอยู่ไหน"

"เราเองก็ไม่รู้หรอก แต่อย่าเป็นห่วงเลยไอเจันพวกถึก เห็นตัวบางๆแบบยั้นตายยากจะตาย"แต่ก็เพราะเป็นมันนี้แหละผมถึงต้องห่วง แต่เดี้ยวนะ ผมเป็นห่วงมันเหรอบ้า บ้าไปแล้ว ใครจะเป็นห่วงคนอย่างมันกัน

"เออนี้ เราขอถามอะไรอย่างสิ"สีหน้าขิงเพืือนไอเตี้ยตอนถามดูจริงจังจนผมรู้สึกเกร็งๆ

"อื้อถามมาสิ ถ้ารู้ก็จะบอก"

"ตอนนี้ระหว่างแกกับ เอ่อ  เจ มันคืออะไรหรอ"...เล่นถามคำถามแบบนี้เลยหรอ...

"ก็ เจ้านายกับลูกน้องไง ทำไมหรอ.."

"แล้วอดีตละ"

"อดีตก็ส่วนอดีตตอนนี้มันคือปัจจุบัน เรากับมันไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันแล้ว นอกเหนือจากงานเราต่างก็เป็นคนอื้น"


"เฮ้อ!"อยู่ๆเพื่อนของเจมันก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด

"กาย เรามีความจริงบางอย่างจะเล่าให้ฟัง..."น้ำเสียงของคนตรงหน้าดูจริงจังมาก

"ความจริง?"ผมไม่เข้าใจที่ เพื่อนมันพูด


"ความจริงเกี่ยวกับเรื่องทุกอย่างในอดีตไง จริงๆเราก็ไม่อยากพูดหรอกนะ แต่เราทนเห็นเพื่อนทุกข์แบบนี้ไม่ไหวแล้วอะ. กาย" เพื่อนของมันเรียกชื่อผมอีกครั้ง


"ฟังสิ่งที่เราจะเล่าต่อจากนี้ให้ดีๆนะ"ผมพยักหน้าเข้าใจและเริ่มต้นฟังเรื่องราวทุกอย่างจากเพื่อยคนสนิทของมัน


[พาทของเจ]

"ขอบคุณมากนะครับคุณครูที่มาส่ง"ผมอดจะขอบคุณครูอร ไม่ได้เลย.

คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ ในระหว่างทางที่ผมเดินตามทางมาเรื่อยๆจู่ๆฝนมันก็ตกหนักชนิดที่ว่าไม่ทันตั้งตัวกันเลยทีเดียว ผมเลยไปยืนหลบฝนอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจนครูอร(ครูประจำที่นี้) เดินเข้ามาเห็นและช่วยให้ที่พักผมชั่วคราวแถมยังพาผมมาส่งอีกด้วย ผมละโคตรซึ้งในน้ำใจของ ครูเขาจริงๆ

"กลับมาแล้วคร้าบบ!!"ผมเอ่ยคำทักทายในวันฝนตกตอนเวลาทุ่มกว่าๆ ที่บ้านของตัวเองแต่ไม่ยักจะมีเสียงแมวที่ไหนตอบผมซักตัว เจมส์มันหายหัวไปไหนของมัน วะ อุก...อักก

ใครเอามือมาปิดปากผมจากด้านหลังกันวะ อื่อ จะดิ้นก็ดิ้นไม่หลุด จนท้ายที่สุดผมก็นึกหาวิธีเอาตัวรอดตามฉบับละครไทยหลังข่าวนั้นก็คือเหยียบตีนกัดมือและรีบดีดตัวออกห่าง. คิดได้ดังนั้นผมก็รับทำตามในสิ่งที่คิด แต่ฮัลโหล กูวืดครับ จากจะเหยียบตีนเขาขาดันไปเกี่ยวจนล้มซะเอง แต่หลุดวะ ผมหลุดออกจาก อ้อมแขนบ้านั้น


ผมเลยรวบรวมสตินับหนึ่งุถึงสาม ก่อนจะหันกลับไปเตรียมพุ่งกระโจนเต็มที่

แต่พอได้เห็นบุคคลที่ยืนอยู่ข้างหลังแล้วทำเอาเรี่ยวแรงที่เตรียมไว้พลันลอยหายไปในอากาศ เพราะคนที่กำลังยืนอยู่ข้างหน้าผมตอนนี้ไม่ใช่ใครอื่น


"ป๊า"!!!!


TBC........

ลืมกันรึยังเอ่ย  อย่าพึ่ง  ลืมกันน้า   เขากลับมาล้าง 

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ thitema3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
Falling in love

"ป๊า "

"เออ  กูเอง "เสียงพ่อบังเกิดเกล้ายังคงกวนโอ้ยต่อระบบเซลล์ประสาทผมเหมือนเดิม. แต่แค่ได้ยิน เสียงของผู้ชายตรงหน้าก็เล่นเอาความเหนื่อยล้าที่ผมแบกกลับบ้านมาทั้งวัน ละลายหายไปในอากาศทันที

"ขอกอดหน่อย"ว่าแล้วผมก็วิ่งก็โจนหวังจะเข้าไปกอด แต่ลุงแกเอามือผลักหัวผมเอาไว้ซะก่อน

"ตัวเปือกยังกับลูกหมา กูไม่กอดมึงหรอก "แต่ใครสนเรื่องนั้นกันละ ผมรีบปัดมือพ่อตัวเองออกและกระโจนเข้าใส่จนอีกฝ่ายเซถอยหลังไป

"โคตรเบื่อขี้หน้าเลย จะกลับมาทำไมก็ไม่รู้"ปากผมพูดแต่ทั้งตัวผมก็ยังคงกอดคนตรงหน้าไม่ยอมห่าง

"กูมีธุระหรอกกูถึงมา"

"เอ๊ะอะก็ธุระ เคยมาเพราะคิดถึงลูกบ้างป่าว วะลุง" ว่าแล้วก็อดน้อยใจกับพ่อตัวเองไม่ได้เลยเฮ่อ

"ธุระของกูก็เรื่องมึงนี้แหละ ไอหมา"ผมค่อยๆดันหน้าตัวเองออกก่อนจะมองหน้าของพ่ออีกครั้ง

"เรื่อง ของเค้า"

"เออ มึงนั้นแหละ "

"มีอะไรอะป๊า. อย่าบอกนะว่าป๊าจะมา..."ทำอะไรไอกายอย่างที่เคยพูดไว้



"เลิกเพ้อเจ้อแล้วฟังกูดีๆ "ผมกลืนน้ำลายดังเอื้อกก่อนจะตั้งใจในสิ่งที่พ่อกำลังจะพูดกับผม

"อีกสามอาทิตย์ มึงต้องไปอยู่กับกู..."

"หา"

"มึงไม่ตัองหาหรอก กูอยู่นี้ อีกอย่าง เรื่องของมึงตลอดสองปีที่ผ่านมาไอหนุ่มข้างบ้าน(พี่ริว)มันเล่าให้กูฟังหมดแล้ว มึงนี้ก็ถึกดีเหมือนกันนะเห็นตัวเท่าลูกหมาแค้นี้ แต่มึงไม่ต้องห่วงนะกูจะไม่ปล่อยให้ลูกกูลำบากเป็นครั้งที่สองแน่นอน"จริงๆก็เกือบจะซึ้งนะแต่..

"แต่หนวด เขากลัวเครื่องบิน"นี้เป็นเรื่องจริงที่ฝังอยู่ในหัวผมมาตั้งแต่เด็ก. โดยบุคคลที่เป็นฝ่ายทำให้ผมเป็นแบบนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น พ่อกูนี้แหละครับ !!

"มึงอย่ามาสำออย ไอหมา ทีเรื่องอื่นละไม่เสือกกลัว"

"ฮื่อ ไม่เอาอะป๊า ยังไงก็ไม่ไป"ผมยื่นคำขาด แบบแทบจะก้มลงไปกอดขาอ้อนวอนแต่พ่อผม แม้งก็ตีมึนไม่สนใจท่าเดียว

"ไม่รู้ละอีกสาม อาทิตย์มึง ต้องเตรียมตัวไปอยู่กับกูและเมียไอเจมส์มัน แล้วก็นี้"จู่ๆป๊าก็ยื่นกล่องสีขาวๆที่คุ้นตาให้กับผม

"อะไรอะป๊า"ผมถามด้วยความสงสัย

"อยากรู้ก็เปิดดูสิ "ว่าแล้วมือผมก็รีบแกะกล่องสีขาวมีรูปแอปเปิ้ลอยู่ข้างกล่องก็ต้องอึ้ง เพราะมันคือไอโฟนครับ..ถ...แถมรุนล่าสุดซะด้วย

"โหย นี้อย่าบอกนะ ว่าป๊าซื้อให้เขาอะ"ผมรีบกดเปิดดูซึ่งคาดว่าป๊าคงจะชารต์แบตมาให้ก่อนหน้าแล้ว

"ให้หมามั้งถามได้ แต่ที่กูซื้อเพราะเห็นพี่มึงบ่นว่าติดต่อมึงไม่ได้เฉยๆหรอก"

"โห่ ป๊า"ผมรีบเดินไปกอดคนตรงหน้าอีกครั้ง

"ขอบคุณนะครับป๊า"ไม่รู้จะพูดคำไหนให้ป๊าฟังดี

"มึงจะขอบคุณทำไม กูไม่ได้ให้ฟรี มึงต้องทำงานใช้เงินครึ่งแสนที่กูเสียไป ในอีกวามเดือนข้างหน้า"

"แต่ป๊า..."และพ่อก็ไม่ได้สนใจอะไรผมอีกเลยได้แต่นั่งตีหน้ามึนอยู่ในห้องนั่งเลยและด้วยที่ผมเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงต่อเลยได้แต่เดินขึ้นห้องมึนๆตึงๆล้มตัวลงนอนคิดอะไรไปเรื่อย...แล้วมือก็ดันกดเข้าแอพพิเคชั่นไลน์ผมกดใส่อีเมลอันเก่าเพื่อดึงข้อมูลอันเดิมกลับคืนก่อนจะรีบอาบน้ำแต่งตัวชิวๆพร้อมเข้านอน


[เวลาตีสามในคืนนั้นเอง]

ผมยังคงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาพยายามข่มตาหลับอยู่หลายชั่วโมง ทั้งๆที่ภายในบ้าน(และข้างๆบ้าน)ก็เงียบสนิทไฟในห้องก็ปิดแล้ว แต่ตาผมกลับสว่างจ้าเหมือนคนพึ่งตื่น

ผมเลื่อนมือไปหยิบหนังสือที่หัวเตียง หวังจะอ่านเพื่อให้ตัวเองง่วงและหลับไป แต่เหมือนจะเสียเวลาเปล่า ผมเลยเปลี่ยนวิธีการหลับตานับแกอยู่หลายที แต่นั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรอีกตามเคย

"231 232 233"Trrrrr เสียงสั่นๆที่หัวเตีบงบ่งบอกว่ามีการเคลื่อนไหวในโซเชียลของผมเกิดขึ้น ผมเลยเลื่อนมือไปหยิบแล้วมาเปิดดูก็พบการแจ้งเตือนจากแอพพิเคชั่นไลน์ ที่แทบไม่มีเพื่อนเลย นอกจากไอวิน พี่ริว ป๊า เจมส์ แล้วก็ล่าสุด...ไอกาย

และผมก็ตัองตาแทบถล่นอีกรอบเมื่อคนที่ทักผมมาตอนเวลาเกือบๆตีสี่มัน คือ ไอ กาย...  ไม่หลับไม่นอนวะและด้วยความสงสัยผมเลยกดจิ้มเข้าไปดูว่ามันส่งอะไรมาด่าผมอีกรึเปล่า...

" : / " นั้นแหละที่มันส่งมาหาผมแต่ที่งงกว่านั้นคือมันต้องการจะสื่ออะไรให้ผมฟังต่างหากละ ผมเลยกดส่งสติ๊กเกอร์หมีงง  กลับไปแต่คำตอบที่ได้กลับมาก็ทำเอาผมนอนเกาหัวอีกรอบ

"นอนรึยัง"ร้อยวันพันไปไม่เคยจะถาม แต่วันนี้มันนึกครึ่มอกครึ่มใจอะไรของมันวะ เอ๊ะหรือมันจะเมา ใช่ๆผมว่ามันคงเมา. อยากจะตอบกลับไปว่า ถ้านอนแล้วกูจะเข้ามาอ่านข้อความมึงได้มั้ยแต้ก็กลัวว่าพรุ่งนี้ตอนไปทำงานผมจะเจออะไรเลยเลือกคำพูดที่ดูเหมาะสมแก่เยาวชนคุยกับมันแทน

"ยัง นอนไม่หลับ"ผมตอบกลับอย่างเร็วรี่

"อืม นอนไม่หลับเหมือนกัน"คันปากอยากจะพิมพ์จริงๆว่าใครถาม.

"เป็นไรอะ" นานมากแล้วนะที่ผมกับกายเราสองคนไม่ได้พูดหรือคุยอะไรเป็นการส่วนตัวแบบนี้

"มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย"

"ต้องการที่ปรึกษาว่างั้น" จากที่อ่านๆมาเหมือนมันกังวล หรือกลัวอะไรสักอย่างอยู่เลย ผมสัมผัสได้แบบนั้นจริงๆ

"ป่าวหรอกไม่มีอะไร"เอ้าไอนี้ทำให้กูอยากรู้แล้วอยู่ๆ ก็บอกว่าไม่มีอะไรเนี้ยนะ..

"อืมงั้นนอนเถอะ"ผมตัดบทสนทนามันไปเพราะเริ่มรู้สึกหงุดหงิดที่มันมีความลับแต่ไม่ยอมบอกกับผม ...แต่ในช่วงแวปนึงผมก็คิดขึ้นมาได้ ..ว่าผมไม่มีสิทธิไม่คาดคั้นอะไรจากมันอยู่แล้วนิ..

"  คน เรา ควรมีโอกาส กี่ครั้งหรอ"นั้นก็เป็นอีกคำถามที่ทำเอาคนอ่านอย่างผมต้องขมวดคิ้ว เป็นปม

"เอาจริงๆมีเรื่องเครียดใช่มั้ย"ผมเลือกที่จะไม่อ้อมค้อมและเลือกที่จะพูดตามสิ่งที่ใจคิด

"ก็ นิดหน่อย"ไอนี้ก็ลีลาไม่พูดสักทีโว๊ะ..

"ไม่บอกก็ไม่ต้อง  ถาม จบ"เท่านั้นแหละผมโยนไอโฟนลูกรักเครื่องใหม่ ไว้ข้างตัว แต่ในไม่กี่วิต่อมาเสียงการแจ้งเตือนมันก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมชั่งใจอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเปิดมันขึ้นมาอ่านอีกรอบ

"คนทำผิด ควรได้โอกาสมั้ย"มาอารมณ์ไหนอีกวะเนี้ย  เฮ้อ

"ผิดแบบไหนละ ร้ายแรงรึเปล่า"ผมเลือกที่จะใจเย็นและพูดกับมันเหมือนที่ปรึกษาที่ดี

"ก็พอตัวอยู่"

"คงดูที่การกระทำมั้ง เขาตั้งใจทำแบบนั้นรึเปล่าละ"

"...."ระหว่างนั้นมันก็เงียบหายไปหลายนาที

"ฮัลโหล...หลับรึไง??"

"ย..ยัง "

"สรุป?"

ออฟไลน์ thitema3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2

"ห้ะ..ถามว่าอะไรนะ"โถ ไอควาย ผมยกมือขึ้นซัดเหม่งตัวเองจนเสียงดังก้องไปทั่วตำบล(เว่อร์ไป)

"ถามว่าเขาตั้งใจทำแบบนั้นรึเปล่า"นี้ถ้ามันตอบไม่ตรงคำถามอีกผมจะเลิกคุยกับมันจริงๆด้วย

"เขาไม่ได้ตั้งใจแค่เข้าใจผิดกับเรื่องบางเรื่องกับคนที่เขารักมากก็เท่านั้น" ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจจะคิดว่ามันกำลังพูดถึงผม แต่มาตอนนี้กายมันมีคนใหม่แล้วซึ่งผมเองก็ไม่อาจเรียกร้องสิทธิอะไรในตัวมันได้อีก สิ่งที่ทำได้จริงๆคงเป็นที่ปรึกษาที่ดีคอยรับฟังปัญหาของอีกฝ่ายพร้อมกับความเจ็บปวดข้างในที่เกิดจากการทรยศหัวใจของผมเอง ไหนบอกจะไม่คิด ไหนบอกจะไม่หวั่นไหวไง ...ที่เคยได้ยินมานั้นผมทำไม่ได้สักอย่างเลยจริงๆ

"ถ้ารักเขาก็กล้าๆหน่อย  บางที เรื่องที่เคยคิดว่ามันผิดจนยากที่จะยกโทษให้ มันอาจจะได้การให้อภัยก็ได้นะ" ในระหว่างที่พิมพ์ผมก็พยายามฝืนยิ้ม เหมือนคนบ้าให้กับอีกฝ่าย พร้อมกับความคิดอะไรบางอย่าง

อยากจริงๆ อยากให้คนๆนั้น เป็นผม ไม่ใช่คนอื่น ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็อาจใช่ แต่สถานะในตอนนี้มันคงไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่ อีกไม่ถึงเดือนเราก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน อาจจะพบเจอกันได้ในบางที แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ อย่างน้อยผมก็อยากขอให้มันเก็บผม เอาไว้ในใจ แม้จะเป็นพื้นที่เพียงน้อยนิดก็ตาม  ขอ..แค่มันอย่าเกลียดผมเหมือนทุกวันนี้ก็พอ...


[พาทของกาย]

ปึงๆ ผมยืนเคาะอยู่ที่หน้าห้องของไอวินไม่นานนักเจ้าตัวก็มาเปิด

"ไอกาย!"อีกฝ่ายโผตัวเข้ามากระชากคอเสื้อผมอย่างแรง

"มึงทำไม มึงต้องการอะไรอีกไอกาย แค่สิ่งที่มึงทำกับไอเจมันยังไม่พออีกใช่มั้ย"วินมันโมโหเลือดขึ้นหน้าดันผมติดกับผนังพร้อมกับง้างมือสูง

"เอาเลย มึงอยากทำอะไรมึงทำเลย. เอาให้สมกับที่กูทำเพื่อนมึงเจ็บ"ผมก้มหน้ายอมรับผิดแต่โดยดี เพราะต่อให้มันซ้อมผมจนตายความผิดที่ผมเคยทำไม่ดีกับเพื่อนของมันก็ยังไม่หายไปอยู่ดี ตั้งแต่ที่ได้ฟังความจริงจากปากเพื่อนอีกคนของเจ ก็ทำเอาผมไปไม่ถูกเหมือนกัน

ปึก! วินมันเอามือต่อยที่กำแพงแทนการต่อยที่หน้าของผมแทน

"ไปซะอย่าให้กูต้องทำอะไรมึงมากกว่านี้เลยไอกาย.."มันพูดพร้อมกลับเดินหันหลังเข้าห้องปิดประตูเสียงดัง

ก๊อกๆ ผมยืนเคาะเรียกอีกฝ่ายอยู่นานแต่กลับไม่มีเสียงใดตอบกลับมานอกจากคำสบตด่าสารพัด

"กูจะกลับก็ได้..แต่ช่วยบอกกูก่อนว่าตอนนี้เจมันอยู่ที่ไหน"อีกฝ่ายเงียบไปพักนึงก่อนจะเปิดประตูคุยกับผมอีกครั้ง

" กูไม่มีทางบอกอะไรมึงหรอก ไอเหี้ยกาย"

"กูขอโทษ แต่ตอนนี้กูเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้วกูแค่อยากพูดอยากขอโทษในสิ่งที่กูได้ทำผิดไป"ความจริงทุกอย่างผมได้รับรู้มันผ่านปากเพื่อนคนสนิทของเจ ซึ่งในตอนที่ เขาเล่าน้ำตาก็ไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง ซึ่งผมคิดว่า เขาคงไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหก

"ขอโทษหรอ มึงคิดว่าการขอโทษแล้วทุกสิ่งมันจะหายไปหมดหรอวะ อารมณ์ความรู้สึกตอนนั้น มึงรู้ป่ะ ว่าในระหว่างที่มึงกำลังเข้าพิธีหมั้นห่าเหวอะไรนั้น ในอีกมุมนึงมีคนที่รักมึงมากที่สุดนั่งเสียใจอยู่คนเดียวตามลำพัง บ้านไม่มีอยู่ เหลือมันแค่ตัวคนเดียว ร่างกายมันซูบผอม มันไม่ยอมพูดจากับใคร เจมันเหงา มันร้องไหทุกวัน และมันเสียใจมามากพอแล้ว กูจะไม่ยอมให้เจ มันกลับมาเป็นแบบเดิมอีกเพราะชะนั้นมึงตัดใจซะเถอะ เพราะถึงมึงจะรู้ความจริงแล้ว แต่กูก็ไม่อยากให้เพื่อนกูกลับมาเป็นแบบเดิมแล้ววะ "

มันจุกนะที่รู้ความจริง. จุกที่ตลอดเวลาผมคิดเองมาตลอดว่าเจมันไปมีคนใหม่ มันหมดรักผมแล้ว แล้วก็เป็นผมอีกนั้นแหละที่ไม่ยอมอยู่เคียงข้างในวันที่มันอ่อนแอ ผมมันเหี้ยเกินที่จะหาคำบรรยายไหนมาอธิบายได้เลย

"กลับไปเถอะ อย่าให้กูต้องเกลียดมีงไปมากกว่านี้เลยกาย "วินมันปิดประตูไล่ผมก่อนที่บรรยากาศโดยรอบจะเกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง

ผมนั่งเอาหลังพิงกำแพงอย่างคนหมดเรี่ยวแรง..ทำไม มันถึงต้องทำเพื่อผมขนาดนี้ ทำไมมันถึงต้องยอมเจ็บอยู่ฝ่าย เดียว ทำไมมันไม่เลือกที่จะยื่นข้างๆจับมือและเดินหน้าไปพร้อมๆกัน ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ

ผมนั่งอยู่หน้าประตูนานมาก จนแม่ของไอวินต้องขึ้นมาดูและเห็นผมนั่งหมดสภาพอยู่อย่างนั้น

"ตายจริง ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ละลูก "แม่ของไอวินเป็นคนจิตใจดีสมัยก่อนหลังจากกลับจากมหาลัยผมก็ชอบมาที่บ้านมันบ่อยๆเพราะพี่สาวและแม่ของไอวิน. มักจะทำขนมมาให้ผมกินอยู่เสมอ

"วิน มันคงจะโกรธผม มั้งครับแม่ แต่ไม่เป็นไร เอาไว้เดี๋ยวผมมาหามันใหม่ตอนอารมณ์ดีๆก็ได้ครับ"ผมส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้คนตรงหน้าก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับแต่ก็ถูกมือข้างเดิมจับกุมเอาไว้


"รอเดี๋ยว"เธอพูดพร้อมกับเคาะเรียกคนที่อยู่ด้านในไม่นานนักวินมันก็เดินมาเปิด

"อะไรของมึงห้ะ...ไอ้....."

"ไอ้..อะไรของเอ็งห้ะ...ไอ้ตี๋...เดี๋ยวนี้ชักกำเริบเรียกแม่แบบนี้แล้วหรอ"หน้าไอวินมันเปลี้ยนอย่างเห็นได้ชัด

"ป่าวม๊า คือ..เขาคิดว่าไอกายมันเป็นคนเคาะอะก็เลยพูดแบบนั้นไป"เธอส่ายหน้าเอือมระอาก่อนจะหันมาที่ผม

"ถามสิ..แม่เรียกมันออกมาให้แล้ว"

"เออ..คือ..ผม.."

"โอ้ย ม๊าวินเจ็บ..."ตอนนี้คงได้โอกาศเหมาะแล้วเพราะชะนั้น

"กูแค่อยากถามถึงที่อยู้ที่เจมันอยู่ตอนนี้"

"กูบอกแล้วไงว่ากูไม่..โอ้ยย!!!"

"บอกเขาไป..."ม๊าไอวินยังคงคาดคั้น

"เออๆๆ บอกแล้วๆ..."

"ก็แค่นั้น..นึกว่าม๊าต้องดึงหูเอ็งจนไปอยู่ตาตุ้มสะอีกถึงจะยอมพูด.."

"เจ..มัน..ก็ยู่บ้านหลังเดิมที่มันเคยอยู่นั้นแหละ"พอได้คำตอบผมก็เตรียมสปีดตัวเองเพื่อรีบไปถึงที่หมาย แต่อีกฝ่านกับพูดรั้งท้ายไว้

"กูไม่รู้นะ..ว่าตอนนี้คนในบ้านมันคิดยังไงกับมึง ทางที่ดีอยู่ห่างๆมันไว้"

ผมพยักหน้าเข้าใจแต่คงไม่ทำตามรีบบึ่งรถออกมาจากบ้านของไอวิน ไม่นานนักผมก็มาโผล่อยู่ที่ๆเดิม ซึ่งเป็นที่ๆมีความทรงจำระหว่างผมกับคนตัวเล็กอย่างมากมาย...

ผมมองขึ้นชั้นสอง ที่ตอนนี้ไฟในห้องนั้นมืดสนิทซึ่งผมคิดว่าเขาคงหลับไปแล้ว แต่สมองกลับสั่งการให้ผมหยิบโทรศัพทฺขึ้นมาและส่งข้อความหาอีกฝ่าย

": / " มันคือใบหน้าของความครึ่งๆกลางๆ ใจนึงผมก็อยากส่งหน้ายิ้มแต่อีกใจก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกไม่ดีเลยได้แต่รอ รอซึ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นจะตอบกลับมารึเปล่า.. และในไม่กี่วิถัดมาก็เล้นทำเอาผมเผลอยิ้มดีใจ ที่ข้อความที่ผมส่งไปถูกอ่านไปเป็นที่เรียบร้อย เราคุยกันเรื่อยเปื่อย โดยที่ผมเป็นฝ่ายตั้งคำถามส่วนเขาเป็นคนตอบ หลายครั้งที่ผมมักถามที่สิ่งที่มันยังค้างคาอยู่ในใจแต่ในอีกใจผมดันกลัวคำตอบที่จะได้จากอีกฝ่าย

"ก็ลองให้โอกาสเขาดูสิ ถ้าคนมันรักกันจริง กับแค่เรื่องเข้าใจผิดมันให้อภัยได้อยู่แล้วละ "ใช่โอกาสผมต้องโอกาสจากมัน ขอแค้ให้คนเลวๆอย่างผมได้ชดใช้กับสิ่งที่เองเคยทำไว้กับเขาได้บ้างเถอะ.หลังจากนั้นก็มีข้อความข้อความถูกส่งมาผมกดเข้าไปได้ไม่ถึงวิ แต่หน้าจอก็ดับลง...เพราะ..แบตเตอร์รี่หมด แต่ผมคงไม่นึกสงสัยอะไรอีกแล้วก็ไม่สนด้วยว่าอีกฝ่ายจะพิมพ์ตอบมาทำนองไหนรู้แต่ว่าผมต้องการ โอกาสจากเขา และผมสัญญาว่าจะทำมันให้ดีกว่าเดิม.....





[พาทของเจ]


แดดอุ่นๆในเช้าวันใหม่ทำให้ผมสะดุ้งตัวตื่น แต่แปลกที่วันนี้ผมไม่งัวเงีย คงเป็นเพราะเมื่อคืนผมได้คุยกับกายละมั้ง ถึงจะแค่ที่ปรึกษาก็เหอะ


ผมมาถึงที่ทำงานแต่เช้า ผมนั่งรถเมล์มาตัวเปล่าพร้อมกับเสื้อแจ็คเก็ตยีนต์ตัวโปรดและเงินติดกระเป๋าอีกร้อยกว่าบาท เหตุเพรา ลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่ห้องไอกายมันอีกนั้นแหละ

ณ ตึก TNK...


ผมเดินขึ้นตึกมาเหมือนทุกเช้า ทุกสิ่งอย่างรอบตัวยังคงเหมือนเดิม ในเวลานี้ถ้าจะใช้ลิฟฟ์คงต้องรออีกหลายนาทีเพราะพนักงานคนอื้นๆคงรอใช้กันอยู่ผมเลยตัดปัญหาด้วยการ เดินขึ้นบรรไดแทนการใช่ลิฟฟ์ แถมยังช่วยประหยัดไฟ ถึงจะเสียเวลาไปหน่อยแต่มันก็ยังได้ออกกำลังกาย  แต่อยากรู้อะไรอีกอย่างกันมั้ยครับ...

เหนื่อยไง นี้แหละประเด็นสำคัญ..

ออฟไลน์ thitema3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
"อ้าวเจ มาแล้วหรอ"เสียงทักทายของพี่เกดดังขึ้นในขณะที่เท้าผมพึ่งก้าวเข้ามาไม่กี่ก้าวเอง

"ครับพี่เกด มีอะไรรึเปล่าครับ " ผมเดินไปถามใกล้ๆที่โต๊ะของพี่เกด

"ท่านประทานมีเรื่องจะคุยด้วยนะ ช่วยเข้าไปพบ เขาด้วยนะ ส่วนของที่เหลือเดียวพี่จัดการเอง"ของที่เหลือ? ผมเหล่คิ้วมองพี่เกดอย่างไม่เข้าใจ

"เอาน่าเข้าไปแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง"ผมพยักหน้าให้พี่เกดก่อนจะรีบเดินออกจากห้องและตรงไปที่ลิฟฟ์
เพื่อขึ้นไปหาท่านประทานของทุกคน

ก๊อกๆ ผมเคาะประตูสามครั้ง ก่อนที่จะมีเสียงอนุญาติให้เขาไปผมจึงบิดลูกบิดเข้าไปด้านใน

"เรียกมามีอะไรรึเปล่า"ด้วยที่ว่าไม่มีใครอื่นอยู่ในห้องผมเลยพูดแบบธรรมดากับมันแทน

"นั่งก่อนสิ"วันนี้มันมาแปลกแหะปกติมันต้องปั้นหน้ายักษ์ใส่ผมแล้วแต่วันนี้เหมือนมันดูแปลกๆไปนะผมว่า

ผมเดินมานั่งตามที่กายมันบอกก่อนจะจ้องมองนัยย์ตาอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

"ช่วงนี้งานเป็นไงมั้ง"แค่คำถามแรกก็ทำเอากูแปลกใจอีกแลัวร้อยวันพันปีไม่เห็นคิดถาม นี้มันเป็นอะไรของมันกันแน่เนี้ย เอ๊ะหรือกินยาแล้วลืมเขย่าขวด ?

"ก็ดี...มั้ง..คิดว่านะ"คนตรงหน้าผมได้แต่เพียงส่งยิ้มแหย่ๆเหมือนไม่รู้จะไปยังไงต่อ

"แล้ว วันนี้อะ มาทำงานยังไงมีใครมาส่งรึเปล่า"

"ก็..มาเองเหมือนทุกวันอะ"

"แล้ว..."

"กาย..."อีกฝ่ายดูชะงักในตอนทึ่ผมพูดแทรกขึ้นมา

"เอาตรงๆนะ ที่เรียกมานี้มีอะไร"มัวแต่เอ่อ อ่าๆ อยู่นั้นเห็นแล้วหงุดหงิดชะมัด

"ก็...ป่า..ป่าว"แต่ไอท่าทีตะกุกตะกักของมันนี้มันมีชัดๆ

ผมเลิ่กคิ้วท้าวคางมองอีกฝ่ายให้รู้สึกกดดัน

"ก็จะบอกว่าเดี๋ยวตอนสี่โมงให้เอากาแฟเข้ามาเสริฟ์ด้วยนะ เดี๋ยวเพื่อนแวะมา"

"เพื่อนคนไหน"ด้วยความลืมตัวผมจึงเผลอถามแบบนั้นออกไป...จนลืมไปว่า..ผมไม่มีสิทธิรู้เรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายแล้ว

"ในคณะน่ะ"แต่แปลกที่มันตอบผมแบบไม่ท้วงติงอะไรเลยสักนิด


"มีแค่นี้ใช่มั้ยงานที่จะให้ทำอะ"ผมถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่ได้หงุดหงิดอะไร

"อือ..แค่นี้แหละ"พุดจบผมก็เตรียมจะลุกแต่อีกฝ่ายกับรั้งมือผมไว้

"เดี๋ยวสิ...จะรีบไปไหน"มันทำสายตาเครียจๆตอนถามผม

"กลับไปทำงานไง"ผมตอบอีกฝ่าย

"ด่วนมากหรอ" เอ้าไอนี้

"ก็งานที่ให้พิมพ์ไงจำไม่ได้หรอ"กายมันทำท่าเหม่อๆผมเลยรีบดึงมือตัวเองกลับมา

"ไม่ต้องห่วงอะแล้วก็ไม่ต้องทวงด้วยยังไงพรุ่งนี้ก็เสร็จทันแน่นอน"สงสัยคงต้องพึ่งกระทิงแดงกับแรงเย่อสักขวดสองขวดดูท่าคืนนี้ผมคงต้องนอนอยู่ที่นี้ซะแล้ว

....

แต่ความเป็นจริงคือผมหลับ หลับตั้งแต่สี่โมงยันสองทุ่ม

ไอ้ผี!!!!

ไหนละกาแฟ ไหนละนั่งพิมพ์ งาน ถถถ ไอตัวผมก็กะว่าแค่จะเอนหลังนั่งพักสายตาแต่ป่าวเลยจ้า ดันเจือกหลับยาวแถมไม่มีใครปลุกด้วย หึหึ


เรื่องกาแฟ ผมคงต้องตัดทิ้งไปเพราะคงขึ้นเอาไปให้มันไม่ทันแล้วเลยตัดสินใจนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิมเพิ่มเติมคือต้องเร่งงานให้เสรฺ็จเพราะเดทไลน์ มันคือพรุ่งนี้ ว่าแล้วผมก็รีบเปิดคอมนั่งพิมพ์อยู่นานจนเข็มสั้นชี้ไปที่เลขสามนั้นแหละผมถึงทำเสร็จ


"เสร็จแล้วโว้ย!!"ผมร้องตะโกนปนคำรามออกมาด้วยความปริ่มในใจอยู่ลึกๆไอเชี้ย กูทำเสร็จได้ไงวะเนี้ย งงตัวเองอยู่เหมือนกัน


"หวังว่าคงจะไม่หาเรื่องมาแกล้งกูอีกนะ"แต่ทันใดนั้นเองสิ่งที่ผมไม่คาดคิดมันก็เกิดขึ้น


ฟรึ้บบบ

บรรยากาศโดยรอบมืดสนิท

"เชี้ยยยย"ที่พูดนี้ผมไม่ได้ตกใจเพราะไฟมันดับแต่คืองาน..งานกูยังไม่ได้เซฟครับ


โอ้ย... แล้วไอที่อุตส่าห์ข่มตาไม่ให้หลับนั่งพิมพ์ยิกๆนี้มันเพื่ออะไรกันฮรือ!! พูดแล้วน้ำตาก็ปริ่ม


และในตอนที่ผมกำลังนั่งบีบน้ำตาอยู่ ก็มีมือๆนึงมาจับที่บ่าของผม


ในแวปแรกคือจะกรี๊ด แต่คือผมเป็นผู้ชายไง เลยแค่สะดุ้งแล้วประคองสติบอกกับตัวเองว่ามันอาจเป็นเพียงสิ่งที่ผมจินตนาการขึ้น แต่นั่งสบัดหัวไล่ ความคิดนั้นอยู่นานไอสิ่งที่สัมผัสอยู่ที่ไหนผมมันก็ยังคงอยู่

อยากจะหันไปแต่ก็ไม่กล้า กลัวแม้งชิบหายอะในตอนนั้น


ผมพยายามนั่งหลับตาสวดบทแผ่เมตตาในใจเผื่ออะไรๆมันจะดีขึ้นแต่มันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย

แต่ในตอนนั้นเองที่ความกลัวทุกอย่างในหัวผมมันละลายหายไปพร้อมกับเสียงหายใจของผมที่ถี่ขึ้นเรื่อยๆ


ใบหน้าของใครคนนึงถูกวางไว้ที่ไหล่ของผมพร้อมกับเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายที่ปล่อยออกมาเหมือนกับกำลังรู้สึกโล่งใจ

"ขออยู่แบบนี้สักพักนะ"ไม่ต้องเดาให้ยาก แค่น้ำเสียงเอื่อยๆของมันก็ทำให้ผมรู้ได้ว่าเจ้าของเสียงนี้ คือใคร

ผมได้แต่นั่งนิ่งไม่กล้าขยับหรือแม้แต่จังหว่ะที่จะถอนหายใจผมยังทำได้ยากเลย

ผมจำได้ว่าครั้งนึงมันเคยบอกกับผมว่ามันกลัวความมืดแต่ในวันนี้ ผมกลับสัมผัสไม่ได้ถึงสิ่งนั้นเลย


"กา..ยคือ..ปล่อยก่อนได้มั้ย.."ที่บอกไม่ใช่เพราะผมเขินอายแต่คือกูจะตายครับไอห่า หายใจไม่ทั่วท้องแล้วเนี้ย

อีกฝ่ายส่ายหน้าไปมา นั้นหมายถึงมันไม่อนุญาติให้ผมขยับหนีไปไหนเลยต้องจำยอม นั่งให้มันเอาหน้าพิงไหล่แบบนั้นอยู่นานจนอีกฝ่ายยอมถอน หน้าของมันออกก่อนจะหมุ่นเก้าอี้ตัวที่ผมกำลังนั่งให้หันไปประจันหน้ากับอีกฝ่าย


แม้ทั่งบริเวณภายในห้องจะมืด แต่แสงไฟจากตึกข้างๆก็ยังมีเล็ดลอดเข้ามาบ้าง แสงไฟน้อยๆช่วยให้ผมสามารถมองเห็นดวงตาของอีกฝ่าย ได้แม้รอบข้างจะมืดสนิท

ริมฝีปากที่บางได้รูปกับสีแดงอ่อนๆยังทำให้ผมใจสั่นได้เสมอในยามที่มอง จมูกที่คมและโด่งเป็นสันยังคงดูดีเมื่ออยู่บนใบหน้าของอีกฝ่าย ทรงผม ที่ผมเคยบอกชอบให้มันตัด รอยยิ้ม ของมันยังคงเป็นสิ่งที่ผมแพ้ทางอยู่เสมอ


ผมโอนเอนหน้าเข้าหาอีกฝ่ายอย่างห้ามไม่ได้ หน้าผากและจมูกของเราสัมผัสกันนัวเนียอยู่อย่างนั้นจนอีกฝ่ายเริ่มขยับมือมาจับที่ใบหน้าของผมพร้อมกับแรงกดที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายที่จู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว

ลิ้นร้อนของอีกฝ่ายกำลังหยอกล้อกับริมฝีปากของผมอย่างนึกสนุก

เราจูบกันแบบนั้นอย่างเนิ่นนานจนอีกฝ่ายยอมผละหน้าออกนั้นแหละ ผมถึงดึงสติตัวเองกลับมาได้...


ผมไม่รูัว่าที่มันทำแบบนี้เพราะต้องการทดสอบอะไรรึเปล่า



แต่สิ่งนึงที่รู้แน่ชัดเลย. คือ ความสุข



ผม สัมผัสได้และมีความสุข ทุกครั้ง ที่มี มันอยู่ข้างๆ 

ไม่ว่าจะสถานะอะไรก็ตาม....


.................


TBC........

ว้าวๆ เป็นยังไงกันบ้างครับ หายไปนานเลย คือจะมาบอกว่าจริงๆมีพอตต่ออีกสองสามประโยคแต่คือกลัวีนจะยาวเกินไปเลยตัดมาเหลือแค่นี้

- แล้วก็อีกเรื่องที่จะบอกคือ เหลืออีกแค่สองตอนก็จะจบแล้วนะครับ ขอโทษด้วยที่หายไปนาน

- อาจจะมีตอนพิเศษเพิ่มขึ้นมา(ยังไม่ชัวร์). ต้องรอติดตามดูนะครับ


- เดือนนี้ก็เป็นเดือนแห่วความรักเน้อ ใครมีคู่ก็ขอให้รักกันนานๆ ส่วนใครที่โสดก็ขอให้ ได้พบเนื้อคู่ของตัวเองไวๆนะครับ  : ]


ออฟไลน์ พัดลม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด