ดอกฟ้า
แสงแดดในช่วงสายเริ่มร้อนแรงขึ้นทุกขณะ แต่คนที่นัดเอาไว้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมาถึงเสียที ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของคนรอเริ่มฉายแววไม่สบอารมณ์
“เจ้าสัวน้อยยังไม่มาหรือคะ”
“นม” เอ่ยเรียกคนที่เลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกอย่างกระเง้ากระงอด เมื่อหันไปเจอแม่นมประจำบ้านที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง จากนั้นหม่อมหลวงชาญฤทธิ์ก็บ่นถึง’เจ้าสัวน้อย’ที่ว่าอีกหลายประโยค ก่อนจะหายลับไปทางศาลาริมน้ำ ทิ้งให้นมเอี่ยมได้แต่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าให้กับพฤติกรรมของคุณชาญคนดีอย่างระอาปนเอ็นดู
ดูเอาเถิด ปากบอกว่าไม่ชอบเขา แต่เห็นเจ้าสัวน้อยจะมารับพาไปชมละครเวทีทีไร คุณชาญของเธอก็ออกมารอก่อนเวลานัดเสมอ แล้วก็ได้เป็นต้องหงุดหงิดคนเดียวอย่างนี้ทุกที
ใครๆ ในบ้านหลังนี้ต่างก็รู้ดีทั้งนั้นว่าคุณชาญเธอไม่ชอบใจเจ้าสัวน้อยลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านเจ้าสัวอู๋สักเท่าไหร่ ยิ่งพอรู้ว่าอีกฝ่ายจบจากเมืองนอกเมืองนากลับมา ในขณะที่คุณชาญของหล่อนยังเรียนอยู่ในไทยก็ดูจะยิ่งชังชายหนุ่มมากเท่านั้น จนโดนคุณชายดุไปนั่นแหละ คุณชาญถึงได้เพลาคำพูดและเก็บสีหน้าลงบ้างเวลาเจอกับเจ้าสัวน้อย
เพียงไม่นานเสียงเครื่องยนต์ก็ดังแว่วขึ้น นมเอี่ยมเห็นรถยนต์สีขาวคันโก้ของลูกท่านเจ้าสัวค่อยๆ แล่นเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้าน พอเครื่องดับสนิทประตูรถก็ถูกเปิดออกตามมาด้วยร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มเชื้อจีนที่ใบหน้าและรูปร่างออกจะกระเดียดไปทางตะวันตกหน่อยๆ ดูไม่เหมือนคนจีนทั่วไปเลยสักนิดเดียว ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นเพราะผลพวงจากการที่มารดาเป็นลูกครึ่งอังกฤษ
ดวงตาคู่คมกริบมองคนเก่าคนแก่ของบ้านประจักษ์สกุลพลางส่งยิ้มน้อยๆ ให้แล้วค่อยก้าวขึ้นมาไหว้ทักทาย
“คุณชาญอยู่ที่ไหนหรือครับนม”
“เมื่อครู่มายืนรอเจ้าสัวน้อยจนหงุดหงิด นี่ก็พึ่งจะเดินไปทางศาลาริมน้ำเองค่ะ เดี๋ยวนมไปตามคุณชาญให้นะคะ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปเองดีกว่า” ไม่รอให้นมเอี่ยมแย้งอะไร ชายหนุ่มก็เดินไปทางศาลาริมน้ำอย่างชำนาญเส้นทางทันที
พื้นอารมณ์ตอนนี้ของหม่อมหลวงชาญฤทธิ์ไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่ ขนาดมีลมเย็นจากแม่น้ำช่วยพัดผ่านแผ่วเบาเป็นระยะมากระทบผิวพอให้รู้สึกสบายตัวกับหนังสือภาษาอังกฤษเล่มโปรดในมือแล้วก็ตาม แต่ความหงุดหงิดก็ยังไม่จางหายไปง่ายๆ
“คุณชาญ”
“คุณอี้ฝาน!” ลูกชายท่านเจ้าสัวฉีกยิ้มออกมาน้อยๆ จนเหมือนไม่ได้ยิ้ม แต่หากมองดวงตาที่เต็มไปด้วยความเต็มตื้นก็จะพบว่าอีกฝ่ายกำลังชื่นอกแค่ไหนที่ถูกชาญฤทธิ์เรียกร้องด้วยน้ำเสียงเจือความตื่นเต้นแบบนี้ ทว่ารู้สึกดีได้ไม่นานประโยคต่อมาของคนอ่อนกว่าก็ทำให้ใบหน้าคมคายของคุณอี้ฝานดุดันขึ้น
“ทำไมถึงมาสายครับ ป่านนี้พวกเพื่อนผมรออยู่ที่เอสเอบีกันหมดแล้ว” เด็กหนุ่มปิดหนังสือลงแล้วยืนขึ้นประจันหน้าส่งสายตาไม่พอใจไปให้อีกฝ่ายที่มาช้ากว่าเวลานัดไปเกือบยี่สิบนาที
“อ้อ ไม่เห็นคุณชาญบอกว่าจะไปเอสเอบีก่อน” น้ำเสียงของชายหนุ่มแข็งกว่าปกติ แต่ชาญฤทธิ์ก็ไม่ได้ใส่ใจ
เอสเอบีที่ว่าคือห้างนาฬิกาเก่า ที่ตอนนี้ได้กลายสภาพเป็นอย่างอื่นแทนห้างไปแล้ว ตัวตึกอยู่ฝั่งตรงข้ามกับศาลาเฉลิมนคร ซึ่งเป็นโรงละครที่วันนี้เขานัดกับชาญฤทธิ์ไปชมเรื่องมนต์นาคราช แต่อีกฝ่ายทำเหมือนกับนัดของเขาเป็นแค่สะพานผ่านเพื่อออกไปพบเพื่อนเสียมากกว่า
“ก็ไม่ยักรู้ว่าผมต้องรายงานให้คุณอี้ฝานทราบ” ใบหน้าอ่อนกว่าเชิดขึ้นเล็กน้อยอย่างถือดี
ในความคิดของหม่อมหลวงชาญฤทธิ์ อู๋อี้ฝานก็แค่พวกเศรษฐีใหม่ ไม่ได้มีลาภยศหรือศักดิ์ศรีความเป็นตระกูลผู้ดีให้ต้องเกรงใจแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มพยายามหาเหตุผลมาคานความรู้สึกส่วนลึกในใจอย่างสุดความสามารถแล้วปรายตามองมือที่กำแน่นอยู่ข้างตัวของอีกฝ่ายด้วยความพอใจ
โมโหอีกเยอะๆ จะได้เลิกมาเกาะแกะเขาเสียที
“ใช่ คุณชาญไม่จำเป็นต้องรายงานให้ผมทราบ แต่ด้วยมารยาทของผู้ดี คุณก็ควรที่จะบอก จริงไหมครับหม่อมหลวงชาญฤทธิ์?”
เด็กหนุ่มหน้าเสียไปเล็กน้อยเมื่อถูกเอาความเป็นผู้ดีตอกกลับแต่เขาก็เก็บสีหน้าได้อย่างรวดเร็วแถมยังปากไวไปกว่าสมองพ่นคำหยาบคายใส่อีกฝ่ายเบาๆ พอให้ได้ยินว่า “พวกเจ๊ก”
ทายาทท่านเจ้าสัวยังคงใจเย็นกับถ้อยคำดูถูกของหม่อมหลวงแห่งบ้านประจักษ์สกุลเสมอ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยเหมือนผิวน้ำสงบนิ่ง ฝ่ามือที่ก่อนหน้าเคยกำแน่นก็คลายออกเป็นปกติ
จะมีก็แต่ดวงตากลมโตของชาญฤทธิ์เท่านั้นที่ฉายความหวาดหวั่นเพราะปฏิกิริยาที่นิ่งงันของอี้ฝาน…
มือขาวผ่องของหม่อมหลวงชาญฤทธิ์กำตั๋วชมละครเวทีเรื่อง’มนต์นาคราช’ 2ที่นั่งไว้แน่น อี้ฝานไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียวหลังจากที่เขาว่าอีกฝ่ายว่า’เจ๊ก’ ชายหนุ่มทำเพียงใช้มือล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์แล้วหยิบเอาตั๋วชมละครโรง 2ที่นั่งนี้ออกมายัดใส่มือของเขา จากนั้นก็หันหลังเดินกลับไปเงียบๆ
อี้ฝานกำลังโกรธชาญฤทธิ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
คราวนี้ก็คงสมใจหม่อมหลวงแห่งบ้านประจักษ์สกุลเสียทีที่สามารถไล่อีกฝ่ายไปไกลๆ ได้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนที่เดินกลับเข้าไปในตัวบ้านแล้วเห็นกล่องแผ่นเสียงที่รู้ดีว่าใครกันที่นำมาให้เพราะรู้ว่าเขาชอบสะสมอยู่ในอ้อมกอดของนมเอี่ยม ชาญฤทธิ์ถึงได้ใจเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“คุณชาญ...ทะเลาะกับเจ้าสัวน้อยหรือคะ” เขาส่ายหน้า ก่อนจะยื่นมือออกไปเป็นเชิงขอแผ่นเสียงแผ่นใหม่มาไว้ในอ้อมแขนตนเอง
“นมโทรหาคุณปราบ บอกเขาว่าชาญอยากชวนคุณปราบไปดูละครเวที”
“แล้วเจ้าสัวละคะ”
“ช่างเขา ถ้าอยากชมก็คงไปหาตั๋วใหม่ได้ เป็นถึงเจ้าสัวก็รวยอยู่แล้วนี่” จบคำ ชาญฤทธิ์ก็เดินไปทางบันได ตรงขึ้นไปยังห้องนอนชั้นสามทันที
ดวงตากลมโตจดจ้องแผ่นเสียงแผ่นล่าสุดที่ตอนนี้ถูกวางบนหีบเสียงแทนแผ่นก่อนหน้าเป็นที่เรียบร้อยนิ่งๆ ชาญฤทธิ์ทำท่าจะยกมือจับเข็มเพชรวางบนร่องแผ่นเสียงหลายหน ละล้าละหลังอยู่นานสุดท้ายหม่อมหลวงก็สามารถวางเข็มเพชรลงได้
อย่าเอื้อมเด็ดดอกฟ้า มาถนอม
สูงสุดมือ มัก ตรอม อกไข้
เด็ดแต่ดอก พยอม ยามยาก ชมนาง
สูงก็ สอย ด้วยไม้ อาจเอื้อม เอาถึง
ดอกฟ้าอย่าเอื้อมสอย สุดถนอม ลอยเหลือคำนึง
สูงศักดิ์จักเอื้อมถึง ตรึงวิโยคโศก ทบทวน
ยามยากหากเอื้อมรัก ดอกพยอมจักพอคู่ควร
แล ลอยพอสอย ชวน ชื่นชมถึง ซึ้ง จิตจินต์
(เพลง: ดอกฟ้า จากละครเวทีเรื่องดอกฟ้าจำปาศักดิ์)
เสียงดนตรีกับเนื้อร้องดังขึ้นผ่านลำโพง ชาญฤทธิ์มองเข็มเพชรที่กรีดไปตามร่องแผ่นเสียงด้วยความรู้สึกแน่นอก
ราวเดือนก่อนเขากับเจ้าสัวน้อยไปดูละครเวทีเรื่องดอกฟ้าจำปาศักดิ์ด้วยกันที่โรงศาลาเฉลิมนคร จากนั้นอีกฝ่ายก็ขับรถพาตระเวนรอบกรุงจนย่ำเย็น ทุกอย่างคงเป็นไปอย่างราบรื่นหากขากลับไม่เกิดเรื่องบางอย่างซึ่งสั่นคลอนความรู้สึกของหม่อมหลวงชาญฤทธิ์ขึ้นมา
อี้ฝานจูบเขา
ท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำคืน มีเพียงแสงสลัวที่สาดส่องเล็ดรอดออกมาจากภายในตัวบ้านทรงปั้นหยาที่มีการผสมผสานของสถาปัตยกรรมหลากหลายเข้าด้วยกัน กลายเป็นบ้านประจักษ์สกุลที่ตั้งตระหง่านบนถนนพระอาทิตย์คนคู่หนึ่งกำลังบดเบียดริมฝีปากเข้าด้วยกัน
หัวสมองของหม่อมหลวงชาญฤทธิ์ว่างเปล่าขาวโพลนหลังจากถูกจู่โจมด้วยริมฝีปากหยักของเจ้าสัวน้อย จากนั้นเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกนอกจากเสียงหอบหายใจรุนแรงเหมือนคนขาดอากาศที่ดังสะท้อนภายในห้องรถยนต์ยุโรปสีขาว
หลังก้าวเท้าลงจากรถ บนใบหน้าคมคายของเจ้าสัวน้อยก็ปรากฏเลือดจากหมัดของหม่อมหลวงเต็มแรง
ชาญฤทธิ์พึ่งตระหนักได้ในคืนนั้นเองว่าความคิดประหลาดที่ผ่านมาเกี่ยวกับการกระทำของอี้ฝานที่มีต่อเขาไม่ใช่ความอุตริไปเองอีกต่อไป
และเป็นเพราะผู้ใหญ่ของบ้านยังต้องคบค้าสมาคมกันต่อ เรื่องคืนนั้นเขาจึงได้แต่เสแสร้งทำเป็นว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น พร้อมกับการกระทำและคำพูดที่คล้ายจะกลับไปเป็นแบบเมื่อแรกเริ่มที่เคยพบกันอีกครั้ง
เกือบบ่าย แขกคนใหม่ตามคำเชิญของหม่อมหลวงก็มาถึงบ้านประจักษ์สกุล
ปราบดาลงจากรถสัญชาติญี่ปุ่นที่ยืมจากบิดาด้วยความประหม่า ยืนรอได้ไม่นานร่างของหม่อมหลวงชาญฤทธิ์ก็ปรากฏขึ้นในสายตา
“ขอโทษที่รบกวนคุณปราบกะทันหันด้วยนะครับ”
“ไม่รบกวนเลยครับ ผมยินดีมากที่คุณชาญนึกถึง”
“ขอบคุณครับ” ชาญฤทธิ์ฉีกยิ้มตามมารยาทให้ชายหนุ่มที่ยิ้มเสียจนตาหยิบหยี ก่อนจะลอบถอนหายใจขึ้นรถไปกับปราบดาแต่โดยดี
นายปราบเป็นคนคุยสนุกจนเข้าขั้นฟุ้ง ช่างสรรหาเรื่องมาเล่าให้ชาญฤทธิ์ฟังได้ตลอดทาง ใครๆ ต่างก็ชอบที่จะคุยกับปราบดาลูกเจ้าของร้านนาฬิกากันทั้งนั้น แต่ชาญฤทธิ์กลับคิดว่าเสียงของอีกฝ่ายระคายหูจนน่ารำคาญเหมือนกับท่อไอเสียที่พ่นแต่ควันออกมามากกว่า
ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่กับเจ้าสัวน้อยเลยสักนิด
พอรู้ตัวว่ากำลังคิดถึงใครบางคน ริมฝีปากของหม่อมหลวงก็เม้มแน่นอย่างไม่อาจยอมรับ
“ขอโทษนะคุณปราบ แต่ช่วยจอดให้ผมลงข้างหน้าหน่อย”
“คุณชาญอยากซื้อหาอะไรหรือครับ เดี๋ยวผมลงไปจัดการให้ดีกว่า แดดเริ่มร้อนแล้วเดี๋ยวผิวขาวๆ ของคุณชาญจะเสียหมด” ใบหน้าของชาญฤทธิ์นิ่งตึงไปทันทีหลังจากประโยคสุดท้ายของอีกฝ่าย แต่นายปราบไม่ได้รู้สึกตัวว่าได้พ่นถ้อยคำที่อยู่ในหัวสมองออกมาจนหมด
“ไม่ต้อง ผมลงไปเองดีกว่า ส่วนคุณปราบก็เอาตั๋วนี้ไปชมละครเวทีเองแล้วกันนะ ผมมีธุระด่วนคงไปด้วยไม่ได้แล้ว” ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว หม่อมหลวงคนเล็กแห่งบ้านประจักษ์สกุลก็เปิดประตูรถลงแล้วเดินหายไปตามตรอกซอยทันที ทิ้งให้ปราบดามองตั๋วละครเวที 2ใบในมือด้วยความตกตะลึง
ไหนว่าคุณชาญอยากชวนเขามาชมละครเวทีด้วยกัน ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ หรือว่าเมื่อครู่เขาพูดอะไรไม่เข้าหูอีกฝ่ายไป?
ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าสัวน้อยเรียบสนิทตั้งแต่กลับมาจากบ้านประจักษ์สกุล ทำเอาเด็กๆ ที่ปกติก็เกรงลูกชายท่านเจ้าสัวคนนี้อยู่แล้วยิ่งเกรงกันเข้าไปใหญ่ พาให้บรรยากาศที่ห้องโถงอึดอัดไปหมด
“อาฝาน ทำไมลื้อถึงกลับมาเร็วนักล่ะ”
“อืม แล้วเตี่ยจะออกไปไหน” ชายหนุ่มไม่ตอบแต่กลับถามขึ้นเมื่อเห็นการแต่งตัววันนี้ของท่านเจ้าสัวใหญ่
“จะไปบ้านคุณชายอิทธิ์ อีนัดเอาไว้ว่าจะคุยเรื่องเรียนของลูกชายคนเล็ก เตี่ยก็นึกว่าลื้อยังไม่กลับมาซะอีก” อี้ฝานขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเรื่องเรียนของหม่อมหลวงชาญฤทธิ์ คุณชายอิทธิ์ถึงกับมีเรื่องให้หารือกับเตี่ยของเขาด้วย
ถ้าเปลี่ยนหัวข้อจากเรื่องเรียนเป็นเรื่องทำธุรกิจยังดูจะเข้าท่ากว่า ตระกูลอู๋ของเขาไม่ได้ถนัดกับเรื่องการศึกษาแม้แต่น้อย อีกอย่างแวดวงสังคมที่บ้านประจักษ์สกุลคลุกคลีก็น่าจะมีคนเชี่ยวชาญทางด้านนี้มากกว่า เว้นแต่ว่า...
“คุณชายจะส่งคุณชาญไปเรียนต่อเมืองนอกเหรอเตี่ย” อี้ฝานหวังให้คำตอบไม่เป็นไปอย่างที่เขาคาดเดา ก่อนหน้านี้ชาญฤทธิ์ไม่เคยเปรยเรื่องนี้กับเขาเลยสักครั้ง แถมเจ้าตัวก็มีทีท่าว่าอยากไปเรียนต่อที่เมืองนอกมาก่อน
ทว่าหากเจ้าสัวหนุ่มรู้ถึงเหตุผลที่ทำให้ชาญฤทธิ์ออกปากบอกคุณชายเรื่องไปเรียนต่อเมืองนอกว่าเป็นเพราะเหตุการณ์จูบในคืนนั้น ชายหนุ่มคงโมโหมากกว่านี้แน่
“ก็เออสิวะ ไม่งั้นอีคงไม่มาปรึกษาอั๊วเรื่องที่ทางหรอก เห็นลื้อกลับมาจากอังกฤษคงอยากจะส่งลูกอีไปอังกฤษเหมือนกัน เลยว่าจะให้อั๊วเป็นธุระจัดการเรื่องการเดินทางกับที่อยู่ให้หน่อย”
“งั้นอั๊วไปด้วย”
ไม่รอให้เจ้าสัวอู๋พยักหน้า อี้ฝานก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินนำผู้เป็นพ่อออกไปสตาร์ทรถยุโรปที่คนสวนขับมาจอดรอให้อยู่แล้วด้วยความร้อนใจทันที
ระยะทางจากบ้านเจ้าสัวอู๋ไปยังบ้านประจักษ์สกุลไม่ได้ไกลมากเท่าไหร่ เพียงแต่ต้องผ่านย่านการค้าและย่านชุมชนที่จอแจไปด้วยผู้คน อี้ฝานขับรถมาตามทางอย่างเคยชิน อีกไม่กี่แยกข้างหน้าก็จะผ่านศาลาเฉลิมนครที่ความจริงบ่ายวันนี้เขาคงอยู่ที่นั่นกับชาญฤทธิ์หากไม่เกิดมีปากเสียงกันขึ้นเสียก่อน
ดวงตาคมกริบของเจ้าสัวน้อยมองตัวตึกด้วยแววตาหม่นลงแต่ก็ต้องขมวดคิ้วแล้วเพ่งมองกลุ่มควันที่ลอยล่องอยู่ในอากาศเขม็ง ยิ่งระยะทางที่ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ภาพความวุ่นวายของผู้คนก็ยิ่งปรากฏชัดเจนในม่านตา
ศาลาเฉลิมนครไฟไหม้!
หัวใจของเจ้าสัวหนุ่มกระตุกเกร็ง พลางคิดไปถึงตั๋วละครเวทีเรื่องมนต์นาคราช 2ใบนั้นที่ยัดใส่ในมือเนียนนุ่มของชาญฤทธิ์ ไม่รู้ว่าหม่อมหลวงจะตัดใจไม่ไปดูเหมือนกับเขา หรือจะยังดื้อดึงมาชมให้ได้
หากเป็นอย่างหลัง... แค่คิดอี้ฝานก็ไม่อยากจะจินตนาการต่อไปแล้ว
“เตี่ย”
“ว่าไง”
“เตี่ยขับรถไปบ้านคุณชายเองก่อนแล้วกันนะ อั๊วมีธุระด่วนแล้วจะรีบตามไป”
“อ้าวเฮ้ย แล้วลื้อจะไปไหนอาฝาน”
“โรงละครไฟไหม้ ไม่รู้ว่าคุณชาญจะติดอยู่ในนั้นหรือเปล่า อั๊วต้องไปหาอี” เจ้าสัวอู๋อ้าปากค้างมองความตื่นตระหนกที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าลูกชายที่มีไม่บ่อยครั้ง กว่าจะรู้ตัวอีกทีร่างสูงใหญ่ของอาฝานของตนก็วิ่งข้ามถนนไปทางศาลาเฉลิมนครแล้ว
แล้วเจ้าสัวใหญ่อย่างเขาจะทำอะไรได้ นอกจากรีบวิ่งลงรถไปยังฝั่งคนขับที่ลูกชายตัวดีพึ่งลงจากเบาะ แล้วออกตัวไปยังบ้านประจักษ์สกุลอย่างเร็วก่อนที่รถคันหลังจะไล่บีบแตรก่นด่าบรรพบุรุษ
ขายาวๆ ของอี้ฝานก้าวยาวเร็วจนแทบจะเป็นวิ่งไปยังจุดเกิดเหตุ ภาพใบหน้าน่ามองของหม่อมหลวงสว่างขึ้นชัดในหัวสมอง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มที่มีชีวิตชีวา เรือนผมสีดำสนิทที่ตัดกับผิวขาวเนียน จมูกโด่งเชิดที่เขานึกอยากบีบให้หายรั้น ริมฝีปากอิ่มที่เคยฝากรอยประทับลงไปนั่นอีก ต่อให้ชาญฤทธิ์ไม่อยากพูด ต่อไปเขาก็จะไม่บีบคั้นอีกฝ่ายอีก ขอแค่เพียงเจ้าตัวปลอดภัยก็พอ
กลิ่นเหม็นไหม้กับไอร้อนและควันโขมงทำให้ผู้คนต้องเบ้หน้าแล้วหลบเลี่ยง อุปกรณ์หลายอย่างที่อยู่ในโรงละครถูกขนออกมาวางกองเต็มหน้าถนนเท่าที่จะสามารถขนกันออกมาได้ เสียงพูดคุยถึงเรื่องไฟไหม้ดังเข้าหูของเจ้าสัวหนุ่มตลอดเวลาตั้งแต่มาถึง เขาใช้ความสูงของตัวเองชะโงกมองหาชาญฤทธิ์พลางเบียดแทรกตัวเองสวนทางกับผู้คนที่วิ่งออกมาจากโรงละครให้มากขึ้นอย่างไม่กลัวอันตราย
พลันมีความร้อนของมือข้างหนึ่งมาจับข้อมือเขาไว้แน่น อี้ฝานจึงต้องหันไปมองคนที่ถือวิสาสะจับอย่างเสียไม่ได้
“คุณชาญ!” ความเกรี้ยวกราดในดวงตาเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความดีใจจนห้ามรอยยิ้มกว้างไว้ไม่อยู่ ชาญฤทธิ์เองก็นึกโล่งใจเช่นกันเลยส่งยิ้มหวานอย่างที่ไม่เคยยิ้มให้มาก่อนแก่ชายหนุ่ม
“คุณชาญบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ไม่ทันตั้งตัว หัวไหล่ของหม่อมหลวงก็โดนเจ้าสัวน้อยสัมผัสจับสำรวจไปมาเหมือนพยายามหาร่องรอยจนหมดมาดนักธุรกิจ
เขาพึ่งเดินเล่นคนเดียวได้ไม่เท่าไหร่หลังจากหนีลงรถของปราบดาก็ได้ยินเสียงหวีดร้องว่าเกิดไฟไหม้ที่ศาลาเฉลิมนครเข้า เลยอดไม่ได้ที่จะเดินมาดู แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าชายหนุ่มจะยังมาดูละครเรื่องมนต์นาคราชด้วยหรือเปล่า
“ไม่ แล้วคุณอี้ฝานล่ะ”
“ไม่เหมือนกัน”
“แล้วคุณเดินเข้าไปทำไม”
“ผม...นึกว่าคุณชาญอยู่ข้างใน” ชายหนุ่มสารภาพเหตุผลเสียงแผ่ว ข้อมือที่เคยถูกหม่อมหลวงจับตอนนี้กลายเป็นฝ่ามือทั้งสองได้สอดประสานกันแนบแน่น ดวงตาคมกริบของเจ้าสัวน้อยมองเห็นแก้มเนียนของคนเด็กกว่าขึ้นสีจางๆ
ในที่สุดอี้ฝานก็ทนทนไม่ไหวรีบลากแขนอีกฝ่ายให้ออกมาแล้วหาตรอกแคบที่ไร้ผู้คนสนใจ พาตัวเองกับเด็กหนุ่มเดินเข้าไปแล้วกอดรัดร่างทั้งร่างของหม่อมหลวงชาญฤทธิ์ไว้แน่นท่ามกลางเสียงหัวใจที่ดังเป็นจังหวะรุนแรง และเสียงวุ่นวายของเหตุการณ์ระทึกที่เกิดขึ้นด้านนอก
“ผมห่วงคุณจนแทบบ้าแล้วรู้ไหมครับ” เสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยกระซิบชิดริมหูของชาญฤทธิ์ ก่อนจะได้ยินเสียงตอบกลับแผ่วเบาในลำคอจากอีกฝ่ายสั้นๆ ว่า “อืม”
คุณชายกับเจ้าสัวใหญ่มองคนสองคนที่เดินตามหลังกันมาด้วยสภาพไม่เรียบร้อยนักด้วยความโล่งใจ
ก่อนหน้านี้คุณชายยังนึกกังวลว่าลูกชายคนเล็กจะเป็นอันตรายหรือไม่ แต่พอเห็นเจ้าสัวอู๋ขับรถมาเองคนเดียวโดยไร้คนติดตามเหมือนอย่างเคย แถมอีกฝ่ายยังบ่นยกใหญ่ว่าโดนลูกชายคนดีปล่อยทิ้งไว้กลางถนนแล้ววิ่งโร่ไปหาคุณชาญที่ศาลาเฉลิมนคร หม่อมราชวงศ์อิทธิฤทธิ์ก็พลันรู้สึกหัวใจเบาขึ้น
“สวัสดีครับคุณชาย/สวัสดีครับเจ้าสัว”
“มานั่งนี่มา พ่อกำลังปรึกษาท่านเจ้าสัวเรื่องไปอังกฤษอยู่พอดี” ชาญฤทธิ์สะดุ้งไปเล็กน้อย หางตาแอบเหลือบมองปฏิกิริยาใครบางคนก่อนจะเดินไปนั่งข้างท่านพ่อแต่โดยดี
“ส่วนลื้อก็มานั่งข้างเตี่ยนี่อาฝาน”
“ครับ”
เมื่อเห็นว่านั่งกันพร้อมแล้ว คุณชายจึงได้สานบทสนทนาก่อนหน้าต่อ โดยมีท่านเจ้าสัวอู๋คอยออกความเห็น อี้ฝานฟังผู้ใหญ่ทั้งสองที่เริ่มคุยก็เริ่มออกนอกประเด็นจากเรื่องเรียนของชาญฤทธิ์ใกล้จะเป็นเรื่องธุรกิจค้าสินค้าจากต่างประเทศแทน จากนั้นคุณชายก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่าไม่อยากให้ลูกชายคนเล็กไปไกลถึงยุโรป เพราะทุกวันนี้บ้านหลังใหญ่ของประจักษ์สกุลก็มีเพียงแค่คุณชาญเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนกับท่านพ่อ พี่สาวคนโต กับพี่ชายของหม่อมหลวงต่างก็ไปเรียนที่เมืองนอกเมืองนากันหมด อี้ฝานที่เห็นช่องว่างเลยเอ่ยปากขออนุญาตออกความเห็นบ้าง
“ถ้าคุณชายเห็นว่าอังกฤษไกลหูไกลตา ผมว่าฮ่องกงก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนะครับ”
“พ่ออี้ฝานว่าฮ่องกงก็ไม่เลวงั้นหรือ” ดวงตาของคุณชายเป็นประกายขึ้นมาเมื่อได้ยินประโยคนี้
“ครับ ฮ่องกงยังอยู่ในซีกโลกเดียวกันกับไทย แถมยังเป็นเมืองธุรกิจขนาดใหญ่อีก ยังไงไปศึกษาคุณชาญก็ได้ใช้ภาษาอังกฤษแน่นอน แต่ผลพลอยได้ก็อาจจะเก็บเกี่ยวภาษาจีนมาเป็นภาษาที่สามได้อีกไม่มากก็น้อย ที่สำคัญผมเองก็มีธุรกิจที่นั่นด้วย คงจะช่วยดูแลคุณชาญให้คุณชายได้บ้าง”
“ธุรกิจอะไร ทำไมลื้อไม่เห็นเคยบอกเตี่ย” เจ้าสัวอู๋หันไปมองลูกชายที่พูดถึงธุรกิจที่ฮ่องกงโดยที่เตี่ยอย่างเขาไม่รู้มาก่อนด้วยความฉงน
“ธุรกิจของอาหม้า” อี้ฝานตอบสั้นๆ เพียงเท่านี้ท่านเจ้าสัวก็หุบปากเงียบเสียงลงทันที
“คุณชายเห็นว่าอย่างไรครับ”
“ก็คงแล้วแต่คนเรียนเขาแล้วกัน” คุณชายว่า เพียงเท่านี้อี้ฝานก็รู้แล้วว่าระหว่างอังกฤษกับฮ่องกงใจของเจ้าของบ้านประจักษ์สกุลได้เอนเทไปทางฮ่องกงไม่เหลือเสี้ยวความอาลัยต่ออังกฤษแม้แต่น้อย
“งั้นคุณชาญว่าอย่างไรครับ ถ้าตกลงใจที่ฮ่องกงผมสัญญาว่าจะดูแลคุณชาญเป็นอย่างดี” ชาญฤทธิ์ฟังประโยคคำถามที่แฝงความนัยของเจ้าสัวน้อยออก แต่ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่อีกสองจะฟังออกด้วยหรือไม่
ใบหน้าเนียนของชาญฤทธิ์ขึ้นสีหน่อยๆ ก่อนเจ้าตัวจะเบี่ยงสายตาหลบไม่สบกับอี้ฝานที่มองมาอย่างสื่อความหมาย หากวันนี้ไม่เกิดเรื่องไฟไหม้ขึ้น ก็ไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขาจะมีอะไรชัดเจนขึ้นบ้างหรือเปล่า
ไม่สิ
ต้องบอกว่าฝ่ายเจ้าสัวหนุ่มชัดเจนมาแล้วตั้งแต่ต้น มีเพียงหม่อมหลวงอย่างเขาเท่านั้นที่ไม่อยากยอมรับความจริง และเป็นฝ่ายวิ่งหนีมาตลอด แต่ตอนนี้เขาจะไม่ทำแบบนั้นอีกต่อไป ในเมื่อรู้แล้วว่ารสชาติความเจ็บปวดยามคิดว่าอี้ฝานกำลังตกอยู่ในอันตรายมันปวดแปลบในใจเพียงใด
“ครับ ผมเลือกฮ่องกงแล้วกัน รบกวนคุณอี้ฝานด้วยนะ”
“เต็มใจอย่างยิ่งครับ”
END
ขอบคุณมากค่ะ หวังว่าจะมีคนชอบนะคะ ^^