█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 1 ┨
“ป้าทิพย์ช่วยเติมข้าวให้น้องเต็มอีกสิจ๊ะ”
“คุณแม่เขาลงครัวทำของโปรดให้น้องเต็มเองเลยนะลูก”
ข้าวในจานเพิ่งจะพร่องลงไปเกินครึ่ง คุณแม่ก็คะยั้นคะยอให้ผมเติมข้าวอีกโดยมีคุณพ่อคอยสนับสนุน ผมเองก็ไม่ปฏิเสธครับ เพราะรสมือของคุณแม่อร่อยจริงๆ
“ป้าทิพย์ครับ เต็มขอเอากับข้าวใส่กล่องไปกินที่หอพักด้วยนะครับ”
หันไปบอกคุณป้าแม่บ้านคนเก่าคนแก่ของครอบครัวพร้อมกับชี้จานกับข้าวบนโต๊ะทุกรายการ เล่นเอาบุพการีและป้าแม่บ้านฉีกยิ้มหน้าบานแฉ่ง
“ได้เลยค่ะคุณเต็ม เดี๋ยวป้าทิพย์จัดให้นะคะ”
พูดจบป้าทิพย์ก็เดินยิ้มร่าเข้าครัวไปจัดการให้ตามคำขอ ระหว่างมื้ออาหารพวกเราก็คุยกันเรื่องทั่วไปเหมือนทุกวัน
“น้องเต็มได้เจอรูมเมทคนใหม่รึยังคะลูก?”
“ยังเลยครับ แต่คาดว่าน่าจะเป็นรุ่นน้องปีหนึ่ง”
รูมเมทคนเก่าของผมเป็นหนุ่มนักบัญชีชื่อพี่ว่านเพิ่งจะเรียนจบไปครับ และตามกฎของหอพักมหาวิทยาลัยคือ 1 ห้องต่อ 2 คน เมื่อมีใครคนหนึ่งออกไปก็ต้องมีคนใหม่เข้ามา ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นน้องใหม่ปีหนึ่งแต่จะมาจากคณะไหนนั้นไม่มีใครกำหนดได้เพราะเขาใช้วิธีจับฉลาก แต่ผมก็ไม่ได้กังวลเรื่องคณะหรอกเนื่องจากผมเป็นคนง่ายๆ จึงขอแค่เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีก็พอ
“แต่ปกติเต็มก็ไม่ค่อยได้อยู่ห้องสักเท่าไหร่หรอกครับ”
ผมเรียนสัตวแพทย์ ปี 3 แล้วล่ะครับ เรียนเยอะงานแยะ กิจกรรมก็มีตลอด อีกทั้งมหาวิทยาลัยของผมอยู่ใจกลางเมืองในขณะที่บ้านอยู่ชานเมือง ดังนั้นเพื่อความสะดวกจึงเลือกที่จะอยู่หอพัก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็จะกลับบ้านทุกวันหยุดเสมอ
“พ่อไม่ได้จะเอาเกียรตินิยม เรียนๆ เล่นๆ พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ”
“ถ้าแม่รู้ว่าน้องเต็มเรียนหนักขนาดนี้ แม่ให้น้องเต็มอยู่อังกฤษต่อแล้วให้เรียนคณะที่พี่ขวัญเลือกให้ซะยังดีกว่า”
“โธ่ คุณแม่ครับ เต็มอยากเรียนสัตวแพทย์นี่นาจะได้ทำงานที่โรงพยาบาลสัตว์ในมูลนิธิของคุณหญิงหยดยังไงล่ะครับ”
แค่อ้างชื่อคุณหญิงหยด คุณพ่อก็หัวเราะเบาๆ ส่วนคุณแม่จากเดิมที่ทำหน้างอง้ำก็ขำตามกันไปด้วย เพราะว่าคุณหญิงหยดก็คือคุณแม่ของผมนี่แหละครับ เมื่อก่อนคุณพ่อท่านเป็นข้าราชการในกองทัพมียศตำแหน่งสูงสุดเลยทีเดียว ส่วนคุณแม่ท่านเป็นลูกหลานตระกูลสายราชินิกุลท่านจึงมียศศักดิ์เป็นคุณหญิงมาตั้งแต่กำเนิด ด้วยความซื่อตรงและผลงานมากมายที่สั่งสมมาแม้ตอนนี้ท่านทั้งคู่จะเลยวัยเกษียณมาหลายปีแล้วแต่ก็ยังเป็นที่นับหน้าถือตาของใครต่อใคร อีกทั้งยังเป็นที่ไว้วางใจจากสมาคมต่างๆ ได้แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาและยังเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับประเทศอีกหลายแห่ง นี่ยังไม่รวมเงินประจำเดือนที่พี่อุ่นและพี่ขวัญโอนเข้าบัญชีมาให้ใช้จ่ายอย่างสบายนะครับ แค่นี้ก็ไม่ต้องสงสัยแล้วนะว่าทำไมแค่ข้าราชการกินเงินบำนาญถึงได้รวยมากมายและมีเงินบำรุงโรงพยาบาลสัตว์ของมูลนิธิอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงจะร่ำรวยสักแค่ไหนแต่พวกท่านก็สอนให้รู้จักใช้รู้จักเก็บอย่าง ‘
พอเพียง’ ตามคำสอนของพ่อหลวงรัชกาลที่เก้าครับ
ผมเป็นลูกชายคนเล็กหรือใครๆ ก็เรียกผมว่าลูกหลง คุณแม่คลอดผมตอนที่ท่านอายุเข้าเลขสี่ ผมมีพี่ชายคนโตชื่อพี่อบอุ่น อายุ 45 ปี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน และก็มีพี่สาวคนรองชื่อพี่เติมขวัญ อายุ 40 ปี เป็นดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังระดับโลกอย่าง
‘TJ’ หรือย่อมาจาก
‘Tem-Jai’ ชื่อของผมนี่แหละนั่นคือ เต็มใจ หรือ
‘นายเต็มใจ ฉัตรักษ์บริบูรณ์’ ปีนี้อายุ 20 ปีเต็ม และผมก็ยังเป็นพรีเซนเตอร์ผูกขาดของเสื้อผ้าของแบรนด์นี้มาตั้งแต่เด็กจนมีข่าวลือว่าผมเป็นลูกชายของพี่ขวัญ นั่นเพราะว่าแม้ว่าผมจะมีอายุห่างจากพี่ๆ มากก็จริงแต่พวกเราก็สนิทกันมาก และด้วยความที่ผมเป็นน้องเล็กของบ้าน เป็นที่รักของพี่ๆ และทุกคน ไม่ว่าจะไปไหนพี่ๆ ก็ต้องหอบหิ้วผมไปด้วยทุกที่จึงไม่แปลกหรอกที่จะมีข่าวลือออกมาว่าผมเป็นลูกชายของพี่อบหรือไม่ก็พี่ขวัญ จนถึงตอนนี้ก็ยังมีคนสงสัยในเรื่องนี้อยู่ แต่ทุกคนในครอบครัวก็ไม่ได้สนใจ ผมเองก็ไม่เคยเก็บเอาเรื่องไร้สาระแบบนี้มาคิดให้รกสมองครับ
หลังจากพี่อุ่นจบปริญญาโทก็แต่งงานและมีครอบครัว ลูกชายคนแรกของพี่อุ่นก็อายุเท่าผมนี่แหละครับ ส่วนพี่ขวัญแต่งงานกับพ่อม่ายมหาเศรษฐีชาวอังกฤษ อยู่กินกันเกือบ 10 ปี ก็ไม่มีทายาทสืบทอด และเนื่องจากคุณพ่อคุณแม่ส่งผมไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่ชั้นประถม ผมจึงเหมือนเป็นลูกชายของพี่ขวัญแบบเต็มตัว แต่เรื่องมันเศร้าตรงที่เมื่อ 5 ปีก่อนสามีของพี่ขวัญก็จากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็งปอด แม้ภายนอกจะดูว่าพี่ขวัญเป็นผู้หญิงที่เก่งและเข้มแข็งสักแค่ไหนแต่ผมรู้ดีว่าพี่ขวัญคิดถึงสามีอยู่เสมอ
ฟังเรื่องของผมมาถึงตรงนี้สงสัยกันมั๊ยครับว่าทำไมจู่ๆ ผมที่ใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษตั้งแต่อายุ 7 ขวบ จนถึง 18 ปี ถึงกลับมาเรียนต่อในระดับปริญญาตรีที่ไทย นั่นเพราะผมมีความฝันตั้งแต่เด็กว่าอยากจะเป็นสัตวแพทย์และอยากจะทำงานที่โรงพยาบาลสัตว์ในมูลนิธิของคุณแม่ซึ่งมีอยู่ 4 สาขาใหญ่ที่ตั้งอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ และแม้จะมีสัตวแพทย์เก่งๆ มากมายแต่มันก็ยังไม่เพียงพอกับจำนวนสัตว์ที่ต้องการความช่วยเหลือ การได้กลับมาเรียนที่ไทยถือเป็นพื้นฐานที่จะทำให้ผมได้เรียนรู้การดำเนินชีวิตของสัตว์ที่ผมอยากจะช่วยเหลืออย่างแท้จริง
“วันนี้น้องออมก็ออกทำกิจกรรมรับน้องไปตั้งแต่เช้า ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง แต่คอยดูเถอะกลับมาต้องบ่นกระปอดกระแปดอีกแน่เลย”
ออม.. ที่คุณแม่กำลังพูดถึงเป็นลูกสาวคนเล็กของพี่อุ่น อายุน้อยกว่าผม 2 ปี พ่อแม่และพี่ชายอยู่อังกฤษแต่ออมติดคุณปู่และคุณย่ามากจึงตามมาอยู่ที่ไทยตั้งแต่เพิ่งจบชั้นประถม และตอนนี้ออมก็เป็นน้องใหม่ของคณะศิลปกรรมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเดียวกับผม ถ้าบอกว่าผมติดบ้านว่างเมื่อไหร่เป็นต้องกลับ ต้องเจอยัยออมครับโดนบังคับให้อยู่หอพักของมหาวิทยาลัยก็ไม่ยอม แม้จะถูกรุ่นพี่ขู่ว่ากิจกรรมของคณะนี้โหดแค่ไหนก็ไม่กลัว จึงเป็นเดือดเป็นร้อนให้คุณพ่อต้องเตรียมคนขับรถคอยรับส่งหลานสาวไว้โดยเฉพาะ
“ไว้เดี๋ยวเก็บของที่หอพักเสร็จ เต็มจะเข้าไปดูออมเองครับ”
ผมกับ
‘โอบ’ และ ‘
ออม’ พวกเราสนิทกันเหมือนเพื่อนกันมากกว่าอากับหลานซะอีก เมื่อก่อนทั้งคู่ไม่เคยเรียกผมว่าอาเลยสักครั้ง เพิ่งจะมาเริ่มเรียกว่า ‘อาเต็ม’ ได้ไม่เท่าไหร่เองครับเพราะโดนคุณพ่อดุเอา ออมหน่ะไม่เท่าไหร่ แต่โอบนี่สิเกิดปีเดียวกันต่างกันแค่เดือน ผมเกิดเดือนสิงหาคมในขณะที่โอบเกิดเดือนธันวาคม เราทั้งคู่โตมาด้วยกัน เรียนมาด้วยกันแถมยังมีเพื่อนกลุ่มเดียวกันอีก จะให้เรียกว่า
‘อา’ โอบมันก็ไม่ยอม จึงถือเป็นข้อยกเว้นโดยอนุโลมไป
ทานข้าวเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทางครับ พรุ่งนี้เปิดเรียนวันแรกดังนั้นวันนี้ผมจะต้องเข้าไปหอพักเพื่อเตรียมตัวก่อน
ยืนดูป้าทิพย์ยกกล่องกับข้าวใส่ให้ในรถก่อนจะเอ่ยขอบคุณ ข้าวของเครื่องใช้ที่เอาไปก็ไม่มีอะไรมากครับ ส่วนใหญ่เป็นหนังสือเรียนเสียมากกว่า
“ถ้าจะกลับบ้านน้องเต็มก็โทรมาบอกก่อนนะลูก คุณพ่อจะได้ส่งรถไปรับ”
“แล้วก็อย่าลืมโทรหาคุณแม่บ่อยๆ ด้วยนะ”
ดูแล้วเหมือนว่าผมไปเรียนไกลต่างจังหวัดหรือต่างประเทศใช่มั๊ยละครับ ฮ่า แบบนี้แหละครับครอบครัวของผม และผมก็ไม่เคยรู้สึกอึดอัดเลยตรงกันข้ามผมรู้สึกอุ่นใจเสียมากกว่า
.
.
.
ออกจากบ้านตอนสายกว่าจะถึงจุดหมายก็เกือบเที่ยง น้าปองคนขับรถจะวิ่งมาเปิดประตูให้ผมเหมือนทุกครั้งแต่ผมยั้งไว้ได้ทันเพราะแค่รถยุโรปคันหรูรุ่นใหม่ล่าสุดจอดหน้าหอพักนักศึกษาก็เป็นจุดสนใจมากพอแล้วล่ะครับ
“ขอบคุณมากนะครับน้าปอง”
ยกมือไหว้ขอบคุณและรับถุงกล่องอาหารจากนายทหารเก่าแก่ที่ตามรับใช้คุณพ่อของผมมานมนาน แถมยังมีลุงมากกับน้าสิงห์คนสวนอีก 2 คน ที่พอคุณพ่อเกษียณก็ถึงขั้นขอลาออกจากราชการติดตามคุณพ่อด้วย ผมสะพายเป้แล้วเดินเข้าตึก แม้จะรู้ว่ามีดวงตาหลายคู่กำลังมองแต่ผมก็ชินแล้วล่ะครับ
“คุณเต็มมาแล้วเหรอคะ?”
คุณป้าสมนึก สาวร่างท้วมที่ทำหน้าที่ดูแลหอพักเอ่ยทัก ผมยกมือไหว้กลับ เธอเลื่อนเปิดกระจกช่องติดต่อสอบถามพร้อมกับชะโงกหน้าออกมาด้วยรอยยิ้ม
“รุ่นน้องรูมเมทของคุณเต็มมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะคะ”
“อ๋อ ครับ”
“เด็กคณะศิลปกรรมค่ะ ดูดีทีเดียว”
ผมพยักหน้าและอมยิ้มให้คู่สนทนา ทำเอาคุณป้าสมนึกยังทำท่าเขินอายเหมือนเด็กสาว
“ลำพังแค่คุณเต็มวันๆ ป้าก็ไล่เด็กสาวๆ ไม่หวาดไม่ไหว ต่อไปป้าคงเหนื่อยกว่าเดิมแน่”
รอยยิ้มของผมกว้างมากขึ้นกว่าเดิม คราวนี้เธอทำท่าม้วนอายแล้วพึมพำว่า
‘คุณเต็มยิ้มแบบนี้ ป้าหัวใจจะวาย’ ผมคุยกับคุณป้าสมนึกต่ออีกเล็กน้อยจากนั้นก็ขอตัวขึ้นห้อง ห้องของผมอยู่ชั้นบนสุดคือชั้น 18 หมายเลขห้องที่สิบเอ็ด 11 เปิดประตูเข้าห้องมาก็พบว่าเตียงฝั่งซ้ายที่ว่างตอนนี้มีคนจับจองเรียบร้อยแล้ว ตุ๊กตาน้องแมวจี้ตัวใหญ่วางครองพื้นที่ไปเศษหนึ่งส่วนสี่ของเตียง ทำเอาอดจะยิ้มไม่ได้เมื่อคิดว่ารูมเมทคนใหม่ของผมคงจะเป็นรุ่นน้องสายตะมุตะมิอย่างแน่นอน ว่าแต่คณะศิลปรรมเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็คณะเดียวกับออมล่ะสิ
วางกระเป๋าเป้ไว้บนเตียงแล้วเดินเอากล่องอาหารเข้าแช่ในตู้เย็น ทุกอย่างภายในห้องแบ่งเป็น 2 ชุด โต๊ะหนังสือ ตู้เสื้อผ้า ทางหอพักจัดให้คนละชุด แต่เครื่องอำนวยความสะดวกอย่างอื่นเมื่อก่อนผมกับพี่ว่านใช้ร่วมกัน เช่น ตู้เย็นเป็นของผม โทรทัศน์เป็นของพี่ว่าน ไมโครเวฟเป็นของผม กระติกน้ำร้อนเป็นของพี่ว่าน ซึ่งตอนนี้พื้นที่ที่เคยวางของใช้ของพี่ว่านยังคงว่างอยู่
ไอโฟนในกระเป๋ากางเกงส่งเสียง ผมดูชื่อจากหน้าจอแล้วก็ได้แต่ยกยิ้ม
“ว่าไงซัน?”
[อยู่หอพักรึยัง?]
“อืม เพิ่งถึง”
[เดี๋ยวไปหา]
“กำลังจะชวนไปดูออมที่คณะศิลปกรรมอยู่พอดีเลย”
[ออม? อ่อ.. ได้สิ]
‘ซัน’ หรือ
‘อาทิตย์ ตั้งฉายาสิทธิ์’ เป็นเพื่อนสนิทของผมกับโอบ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซันไปเรียนภาษาช่วงปิดเทอมฤดูร้อนที่ลอนดอน และสถานฑูตจัดงานเลี้ยงนักเรียนนักศึกษาไทยประจำปีทำให้เราได้รู้จักกัน แม้นานๆ ครั้งที่ซันจะไปลอนดอนกับครอบครัวแต่เราก็ติดต่อกันมาตลอด เรื่องเรียนสัตวแพทย์นี่ก็ได้ซันคอยแนะนำเหมือนกัน ตอนนี้เราจึงได้เรียนคณะเดียวกัน แต่จับฉลากหอพักได้อยู่คนละตึก ผมอยู่ตึก G ในขณะที่ซันอยู่ตึก T แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ
จัดหนังสือบนโต๊ะและเตรียมเสื้อผ้าชุดนักศึกษาสำหรับวันพรุ่งนี้เสร็จ ซันก็ส่งข้อความมาบอกว่ารออยู่ใต้หอพัก ผมจึงหยิบกระเป๋าสตางค์ใส่ในกระเป๋ากางเกงแล้วออกจากห้องลงลิฟท์ไปทันที
“รูมเมทใหม่มาแล้วเหรอ?”
เพื่อนรักเอ่ยถามเมื่อเจอหน้ากัน
“อืม.. แต่น้องเขาไม่อยู่”
ไม่รู้ว่าเพราะบังเอิญเราใส่เสื้อยืดคอวีสีขาวเรียบๆ กับกางเกงยีนส์สีซีดเหมือนกันรึเปล่า สายตาของผู้คนรอบข้างในวันนี้จึงดูมีประกายยิบยับว่าทุกครั้ง แต่ผมกับซันก็ชินแล้วล่ะครับ
“เข้าคณะก่อนได้มั๊ย?”
ซันพยักหน้าแล้วเดินไปที่จักรยาน ผมก็เดินตามแล้วนั่งซ้อนท้ายเบาะหลัง แค่นั่นแหละครับ เสียงกรี๊ดหวีดร้องดังแว่วมาตามลมระงมเชียว
แม้จะมีคนบอกว่าผมเป็นผู้ชายตัวเล็ก ผมยอมรับว่าผมดูเป็นคนแคระถ้าหากเทียบไซด์กับฝรั่งต่างชาติ แต่ถ้าเทียบตามมาตรฐานไทยถือว่าอยู่ในระดับเข้าเกณฑ์ความสูงของชายไทยอย่างพอดิบพอดี ซันเองก็เช่นเดียวกันไม่ได้สูงกว่าผมมากมายเพียงแต่ซันเป็นคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จึงมีมัดกล้ามแน่นตึง และด้วยความที่เป็นคนร่าเริงมีความเป็นเลิศด้านมนุษยสัมพันธ์ ประกอบกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนทั้งใบหน้าและดวงตา อีกทั้งความเป็นสุภาพบุรุษที่ไม่ได้เสแสร้ง จึงทำให้สาวๆ หลงเสน่ห์ซันได้ง่ายกว่าผมซึ่งเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างจะมีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง ถ้าหากไม่คุ้นเคยหรือสนิทสนมกันจริงๆ ผมก็เลือกที่นิ่งเสียมากกว่า
“ตกลงเมื่อคืนโบว์มันถึงไทยกี่ทุ่มเนี่ย?”
“จะตีหนึ่งแล้วล่ะ”
ระหว่างทางก็คุยกันเรื่องเพื่อนในกลุ่มอีกคน กลุ่มของเรามี 3 คนครับ มีผม ซัน และโบว์ ซึ่งเป็นแฟนคลับเกาหลีตัวแม่ ว่างเมื่อไหร่จะบินไปเกาหลีประหนึ่งกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ เมื่อคืนซันก็เพิ่งไปรับที่สนามบิน
ซันกับโบว์เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กครับ โบว์ย้ายบ้านไปอยู่ต่างจังหวัดหลายปีมาเจอกันอีกทีก็ตอนเรียนมหาวิทยาลัยนี่แหละ เรียนคณะเดียวกันอีกจึงรวมกลุ่มกันซะเลย เวลามีคอนเสิร์ตของวงไอดอลที่ชื่นชอบก็ลากผมกับซันไปด้วยเสมอ ไปๆ มาๆ ผมกับซันเลยชอบฟังเพลงเกาหลีไปด้วย และความที่โบว์เป็นผู้หญิงที่มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูงจึงมีปัญหากับรูมเมทอยู่บ่อยๆ สุดท้ายเมื่อปลายเทอมก่อนจึงทำเรื่องขอออกจากหอพักแล้วไปอยู่คอนโดกับพี่สาวแทน การเดินทางก็สะดวกนั่งรถไฟฟ้าใช้เวลาแค่ 20 นาทีเท่านั้น
มาถึงคณะก็จัดการเรื่องของตัวเองกว่าจะเสร็จก็เกือบบ่าย เราจึงแวะทานอาหารกันที่โรงอาหารกันก่อน และเช่นเคยครับไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มักจะมีคนมองเสมอ อันที่จริงผมก็ไม่ได้ดังมากมายอะไร คนที่รู้จักผมในฐานะพรีเซนเตอร์แบรนด์เสื้อผ้าของพี่ขวัญจะมีแค่บางกลุ่มเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่ที่มองกันเนี่ย โบว์เคยบอกให้ศัพท์ไว้ 2 คำ นั่นคือ
‘จิ้น’ และ
‘ฟิน’ ช่วงแรกๆ ก็มีอึดอัดบ้างครับ แต่หลังจากนั้นมาก็กลายเป็นความเคยชินซะแล้ว
“เออ.. นายบอกจะไปดูออมที่คณะศิลปกรรมเหรอ?”
“อืม.. ออกมารับน้องตั้งแต่เช้า คุณพ่อกับคุณแม่ท่านเป็นห่วง เลยว่าจะแวะไปดูสักหน่าย”
“ออมน้องสาวโอบ หลานสาวเต็มหน่ะเหรอ?”
“อืม”
“เจอครั้งล่าสุดยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”
“ตอนนี้โตเป็นสาวแล้วนะ”
ซันหัวเราะเบาๆ ถึงแม้เราจะสนิทกันแต่เพราะบ้านอยู่ไกลกันคนละฝั่งของกรุงเทพฯ จึงไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันที่บ้านสักเท่าไหร่
“สวยด้วย”
ใบหน้าคมคายระบายรอยยิ้มจนดวงตารีโค้งพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย
“จำได้แค่ว่าร้องไห้ขี้มูกโป่งเพราะพี่ชายกับอาไม่พาไปเที่ยวด้วย”
ความทรงจำเมื่อ 10 ปีก่อนทำเอาผมขำ เพราะนั่นมันนานมากแล้ว
“เดี๋ยวไปดูก็จะรู้”
หลานสาวของผมสวยจริงๆ นะ ลูกเป็ดขี้เหร่เมื่อวันวานตอนนี้กลายเป็นหงส์แล้วล่ะครับ นี่ผมกะจะแนะนำให้รู้จักกับโบว์สักหน่อยเพราะยัยออมก็ติ่งเกาหลีเหมือนกันแถมเป็นศิลปินกลุ่มเดียวกันอีกต่างหาก
.
.
.
.
ออกจากคณะเกือบบ่ายสองโมง คุณชายอาทิตย์ก็ปั่นจักรยานกลับทางเดิมและจอดลงที่หน้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะนี้ไม่มีโรงอาหารครับ แต่ปกตินิสิตคณะนี้จะเดินไปใช้บริการทางฝั่งโรงอาหารของคณะอักษรเสียมากกว่า
จอดจักรยานเสร็จเราก็ก็แค่เดินไปตามเสียงจังหวะรัวกลองที่ดังกระหึ่มอยู่เท่านั้น และดูท่าว่าการที่ซันและผมมาเยือนคณะศิลปกรรมคงเป็นอะไรที่ตื่นตาและแปลกใจพอสมควร ทั้งๆ ที่ผมและซันก็แค่ยิ้มให้ทุกคนตามปกติ จากนั้นก็นั่งมองจากที่ไกลๆ ไม่เข้าไปรบกวนกิจกรรมอะไรสักนิด แต่กลับทำให้ความเคลื่อนไหวต่างๆ หยุดชะงักลงกลางคันซะงั้น แม้กระทั่งพี่ว๊ากหน้าโหดยังยืนอ้าปากค้างมองเราเลย
ผมเอียงคอมองทุกสายตาด้วยความสงสัยว่ามีใครไปกดปุ่ม stop อะไรรึเปล่า?
“เชิญต่อสิครับ ผมแค่จะนั่งอยู่ตรงนี้”
พูดไปตามความจริง แต่ก็ไม่ได้บอกไปว่าจะมาดูหลานสาวเพราะผมไม่อยากให้ออมเป็นจุดสนใจสักเท่าไหร่
“เอ่อ...”
ใครคนหนึ่งส่งเสียงขึ้นคล้ายกำลังลำบากใจ ผมหันมองหน้าเพื่อนรักแว่บนึง ฝ่ายนั้นก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นจึงได้แค่เลิกคิ้วกลับมา ผมจึงตัดสินใจหันกลับไปถามเจ้าของพื้นที่อีกรอบ
“นั่งดูตรงนี้ไม่ได้เหรอครับ?”
“ได้ครับ!/ค่ะ!”
ตอบกลับมาอย่างพร้อมเพรียง เสียงดัง และฟังชัด ทั้งหญิงและชาย หลังจากนั้นกิจกรรมก็ดำเนินต่อไป นิสิตคณะนี้ใจดีครับ ยกขนมและน้ำมาเสิร์ฟด้วย สาวๆ หน้าแดงเถือกไปถึงหู ส่วนพวกผู้ชายก็เก็กหน้าเข้มซะจนผมเมื่อยหน้าแทน
“คนไหนออม?”
“คนที่สาม แถวที่สอง”
ต่อให้ถูกรุ่นพี่ละเลงสีซะเต็มหน้าแถมได้ทรงผมใหม่เป็นรังนกผมก็จำหลานสาวของผมได้ จำได้ตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วล่ะครับเพราะเจ้าตัวยู่หน้าแล้วทำปากยื่นให้ผม เอาตามตรงออมไม่ชอบทำกิจกรรมใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเข้าค่ายหรือกิจกรรมอะไรก็ตาม แต่เพราะตอนนี้เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ผมก็แค่อยากจะให้ออมได้ทำอะไรที่เด็กมหาลัยเขาทำกันบ้าง เราจึงทำสัญญากันว่าถ้าออมไม่โดดกิจกรรมรับน้อง อาคนนี้ก็จะช่วยคุยกับรุ่นพี่ให้ออมไม่ต้องไปออกค่าย ข้อเสนอดีแบบนี้มีเหรอหลานรักของผมจะไม่ตกลงในทันที
ความฝันของออมคืออยากเป็นดีไซด์เนอร์เหมือนพี่ขวัญ ดังนั้นเมื่อขึ้นปี 2 ออมจึงตั้งใจว่าจะเลือกสาขาแฟชั่นและสิ่งทอ และจากเท่าที่ดูจากการทำกิจกรรมในตอนนี้หลานสาวของผมก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี รุ่นพี่ให้เต้นก็เต้น แม้จะกระหย่องกระแหย่งแต่ก็ยังลุกขึ้นเต้นไม่อิดออด แต่พอรุ่นพี่เผลอออมจะหันไปกระซิบกระซาบกับเพื่อนผู้ชายที่นั่งแถวติดกัน รุ่นน้องคนนั้นรูปร่างสูงสมส่วน ผมสีดำขลับ คิ้วเข้ม และจมูกโด่งเป็นสัน เดาได้ไม่ยากว่าถ้าหากล้างคราบสีบนหน้าออกคงจะหล่อทีเดียว และช่วงจังหวะหนึ่งดวงตาคู่คมก็หันมาสบกับผม คล้ายจะจงใจ..
“......?”
เพื่อความแน่ใจผมจึงลองหันซ้ายและขวารอบตัว แต่พอหันกลับไปอีกครั้งดวงตาคมเข้มคู่นั้นก็หันไปทางอื่นซะแล้ว
“สวัสดีครับ คุณเต็มใจ ฉัตรักษ์บริบูรณ์ คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ ชั้นปีที่สอง”
จู่ๆ ใครก็ไม่รู้โผล่มาตรงหน้าแล้วทักทายกันแบบนี้ ทำเอาผมต้องลุกขึ้นโค้งให้อีกฝ่ายแบบงงๆ
“เห็นแค่สีผม ผมก็จำได้แล้วครับ”
หืม? อึ้งเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็หัวเราะเบาๆ เพราะไม่แน่ใจว่านี่เป็นคำชมรึเปล่า
“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องเปลี่ยนสีผมแล้วล่ะครับ”
“อย่าเลยครับ สีส้มแบบนี้แหละเหมาะกับคุณดี”
มามุกนี้ไม่ต้องคิดมากเลยครับว่าเจตนาคืออะไร และก่อนที่ผมจะตะโกนใส่คนตรงหน้าว่า ‘ผมไม่ใช่เกย์!’ พระโพธิสัตว์อย่างคุณชายอาทิตย์ก็ช่วยรักษาภาพลักษณ์ของผมไว้ได้ทัน
“อะแฮ่ม..”
แค่กระแอมทีเดียวก็เสียวสันหลังแล้วล่ะครับ
“อ่อ.. ข ขอตัวก่อนครับ”
ผู้กล้าคนเมื่อครู่จากไปแบบสิ้นท่าเลยครับ และตอนนี้ผมก็หงุดหงิดพอตัว จึงยกโทรศัพท์มือถือเป็นสัญญาณให้หลานสาวรู้ว่าค่อยโทรคุยกัน หลังจากนั้นซันก็พาผมไปสงบสติอารมณ์ด้วยการดูหนังการ์ตูนแอนนิเมชั่นใสใส เอิ่ม.. มันก็คลายเครียดได้ดีนะครับ
.
.
.
.
กลับถึงหอพักตอน 2 ทุ่ม เสียงน้ำจากฝักบัวทำให้รู้ว่ารูมเมทคนใหม่กำลังอาบน้ำอยู่ กระเป๋าเป้ของฝ่ายนั้นวางไว้บนโต๊ะหนังสือ สายตาของผมแอบเห็นป้ายชื่อที่ใช้แขวนคอตอนทำกิจกรรมรับน้อง
‘กองทัพ..’ ชื่อเท่ห์ดีแฮะ
อยู่คณะเดียวกับออมแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับผมครับ อย่างน้อยจะได้คอยแอบถามเรื่องหลานสาวได้ แต่ก่อนอื่นผมต้องโทรกลับบ้าน และคอลหาพี่ขวัญก่อน ซึ่งรายหลังกว่าจะวางสายคนในห้องน้ำก็เดินออกมาพอดี
ร่างสูงสมส่วนในชุดนอนแขนยาวขายาวเรียบร้อยเดินใช้ผ้าขนหนูขยี้ผมที่เปียกออกมาจากห้องน้ำและก็ได้แต่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องน้ำทันทีที่เห็นผม
“สวัสดีครับ”
ทักทายรุ่นน้องด้วยรอยยิ้ม
“อ่อ.. สวัสดีครับ”
น้ำเสียงของคนตอบทุ้มนุ่มซึ่งผมคิดว่าเหมาะกับเจ้าตัวดี
“ปีหนึ่งคณะศิลปกรรมเหรอ? ชื่ออะไรครับ?”
“ค ครับ คณะศิลปกรรมครับ ชื่อกองทัพครับ”
ขณะที่รุ่นน้องตอบผมก็แอบสำรวจเครื่องหน้าอีกฝ่ายไปด้วย บอกได้คำเดียวครับว่าหล่อมาก หล่อจริงๆ เครื่องหน้าสมบูรณ์แบบจัดวางอย่างลงตัวอยู่บนโครงหน้าได้รูป อีกทั้งรูปร่างยังสูงสมส่วน อกผาย ไหล่ผึ่ง ขนาดเส้นผมเปียกชุ่มยุ่งเหยิงยังปิดบังความสมบูรณ์แบบนี้ไม่ได้
“ชื่อเล่นล่ะ?”
คนตรงหน้ากำลังอ้าปากตอบแต่แรงสั่นสะเทือนจากไอโฟนที่ดังขึ้นขัดจังหวะได้ดึงสมาธิของผมไปชั่วขณะ ผมรีบกดรับสายวิดีโอคอล
“โบว์ รอแป๊ปนึง”
ปลายสายตอบ
‘อืมๆ’ แล้วเงียบไป ผมจึงหันมาคุยกับคู่สนทนาต่อ
“หืม.. ท็อป?”
เพราะเมื่อสักครู่โดนเพื่อนขัดจังหวะผมจึงได้ยินคำตอบของอีกฝ่ายไม่ถนัด แต่คล้ายๆ จะออกเสียง ท.ทหาร แต่พอถามอีกฝ่ายก็เลิกคิ้วสูงเล็กน้อย เอ๊ะ หรือว่าผมได้ยินผิดไป จึงลองสุ่มดูอีกครั้ง
“เมื่อกี้บอกว่าชื่อ
‘เทมป์’ ใช่มั๊ย?”
คนตรงหน้าอ้าปากเล็กน้อยคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ ผมจึงระบายรอยยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจที่ไม่ได้ฟังชื่ออีกฝ่ายผิดไป
[บอกเขาไปสิว่าแกชื่อ
‘จี’]
คิ้วของผมขมวดฉับเลยครับ เพิ่งตระหนักได้ว่าโบว์วิดีโอคอลหาผมอยู่ นี่เธออยู่ในเหตุการณ์ตลอดเลยสินะ
“ทำไมจะต้องเรียกจี?”
[อ้าว ฉันเรียกแกว่าจีปะวะ?]
ไม่รู้ว่าผมจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีครับ โบว์เป็นเพื่อนคนเดียวในโลกนี้ของผมที่เรียกผมว่า
‘จี’ โดยไม่มีเหตุผลใดๆ นอกจากความพอใจของเจ้าตัว ผมถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าไปมาด้วยความละเหี่ยใจในตัวเพื่อน ก่อนจะส่งยิ้มขอโทษรุ่นน้องแล้วออกไปคุยกับเพื่อนสาวที่นอกระเบียง ซึ่งก็ไม่มีเรื่องอะไรมากหรอกครับ แค่ถามเรื่องกิจกรรมที่คณะของวันพรุ่งนี้ วางสายเสร็จก็เดินกลับมาในห้องอีกครั้ง เทมป์กำลังนอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียง พอเห็นผมเดินกลับเข้ามาก็รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรง
“อยู่ด้วยกันก็ทำตัวตามสบายเถอะ พี่ขอแค่อย่างเดียวคืออย่าพาเพื่อนมาที่ห้องเท่านั้นเอง”
พูดกับรุ่นน้องด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ครับ.. พี่จี”
“หืม?”
คิ้วเข้มเลิกสูงขึ้นเล็กน้อยที่เห็นผมหรี่ตาใส่ นี่ตกลงเชื่อจริงๆ ว่าผมชื่อจี? ฮ่า พรุ่งนี้โบรัมได้กลายเป็นโบว์รักสีดำแน่
“พี่ชื่อเต็มใจ เรียกพี่เต็มก็ได้”
“อ่อ.. ครับ”
“พี่เรียนสัตวแพทย์ ปีสามแล้วล่ะ”
คนฟังพยักหน้ารับทราบ
“ว่าแต่เทมป์ชอบตุ๊กตาเหรอ?”
ผมเบนสายตาไปที่ตุ๊กตาแมวจี้ตัวเขื่อง
“เพื่อนซื้อให้หน่ะครับ”
“เพื่อนหรือแฟน?”
คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย แต่แค่แว่บเดียวเท่านั้น
“แมวจี้ น่ารักดีนะ”
เราสบตากัน และผมก็ปิดบทสนทนาด้วยรอยยิ้มก่อนจะถอดเสื้อยืดออกเหลือแค่เสื้อกล้ามบางๆ
“มันชื่อ...”
ประโยคนั้นค้างยาวและหยุดนิ่งอยู่แค่นั้นจนผมเดินเอาเสื้อไปใส่ตะกร้า แล้วหันกลับไปมองใบหน้าคมเข้มอีกครั้ง ท่าทางเรื่องแมวจี้คงจะเป็นเรื่องต้องห้ามของรุ่นน้อง
“ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร”
ไม่รู้ทำไมผมจึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ คงอยากจะให้อีกฝ่ายสบายใจและเพื่ออยากจะลดความกดดันให้รุ่นน้อง ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้ามาพาดไว้บนไหล่ และช่วงจังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าห้องน้ำ ผมได้ยินเสียงทุ้มแว่วเข้าหูเบาๆ และมันก็ทำให้เท้าของผมชะงักลงแทบจะทันที
‘ที ทูเดอะ จี..’หืม? ว่าไงนะ?
ผมหันไปมองคนที่อยู่บนเตียง ร่างสูงล้มตัวลงนอนฟุบหน้ากับหมอนแล้วพาดแขนไว้กับตุ๊กตาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และก็ไม่มีวี่แววว่าจะเอ่ยอะไรออกมาทั้งนั้น สงสัยผมคงจะหูฝาดไปเอง..
.
.
.
.
.
TBC...
สวัสดีค่ะ ตอน Intro เราไม่ได้ทักทายกันเลย ลงเสร็จปุ๊ปสัญญาณอินเตอร์เน็ทหายไปพร้อมกับสายฝน
รินเลยขอมาทักทายคนอ่านทุกคนในตอนที่ 1 แทนค่ะ
นิยายเรื่องที่ 3 ของริน เริ่ม Intro มาก็รู้เลยใช่มั๊ยคะว่าจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง
คนอ่านหลายคนคงจะแบบ.. เปิดตัวแบบนี้ไม่มีอะไรน่าลุ้นเลย ข้ามไปดีกว่า
หรือไม่ก็ไม่ชอบพระเอกอวดเมียอย่าง ด็อกเตอร์กองทัพ ฮ่าาา
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด หากท่านอ่านนิยายเรื่องนี้อยู่
รินก็ขอกำลังใจจากทุกคนด้วยนะคะ
ชอบ ไม่ชอบ ยังไงบอกรินได้ค่ะ
หากคุณอ่านแล้วบอกให้รินรู้ รินก็จะพยายามมาอัพบ่อยๆ นะคะ
ฝาก รักเต็มใจ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจคนอ่านทุกท่านด้วยนะคะ
ริน