กฏเล้าประกาศ 22/9/2019 จะลบนิยายที่ไม่มาต่อจนจบทิ้งทั้งหมดเล้าเป็ดรณรงค์ ให้ใช้เรียกนักเขียน นักอ่านแทน ไรท์เตอร์ รีดเดอร์ เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของเว็บเรากันนะคะ
สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ
ตรงตัวสีแดงคือคำผิดที่เราแก้ให้นะคะ เสียงเคาะนิ้วกับโต๊ะดังเป็นจังหวะต่อเนื่องขณะที่สายตาก็จับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์แน่นิ่ง ผมมองข้อความสุดท้ายที่เด้งขึ้นไปรวมกับตัวอักษรก่อนหน้า มันขึ้นไปกองรวมๆ กันเหมือนคำไร้ค่า ไร้ความสำคัญเหมือนกับข้อความของเมื่อวาน...ไร้ความหมายเหมือนเสียงสัญญาณที่ไม่มีอีกฝ่ายตอบรับ ผมกำลังหงุดหงิด หากความรู้สึกนั้นไม่ได้เกิดจากข้อความทั้งหลายที่ไร้คนอ่าน ในจุดนั้นผมพอเข้าใจได้ ก็พี่กรเป็นพวกไม่กล้าเผชิญหน้านี่นะ ไอ้การไม่รับสายหรือไม่ยอมเปิดอ่านข้อความมันก็เป็นเรื่องที่เดาได้ไม่ยากอยู่แล้ว ก็นับจากวันนั้นที่ผมเริ่มรุก วันต่อมาพี่กรก็หนีหาย ไม่เข้าออฟฟิศซ้ำยังติดต่อไม่ได้ พอสืบข่าวจากช่องทางแฟนคลับก็เห็นว่ามีงานถ่ายแบบงานเดียวในช่วงเช้า ส่วนวันนี้ก็คงถ่ายละครเต็มวันซึ่งทุกครั้งก็เห็นตอบข้อความได้ปกติดีถ้าไม่เรียกว่าหลบหน้า จะให้หาคำอธิบายใดมาแทนได้ล่ะ แต่...“ไปกินข้าวกันก่อนดีมั้ย? แล้วหลังจากนั้นเราค่อยไปดูหนังกัน”นี่ต่างหากคือต้นตอของความหงุดหงิด!ผมยอมละสายตาจากมือถือเพื่อหันไปให้ความสนใจความบ้าบอข้างตัวอย่างเต็มที่ อย่าว่าแต่ผมที่นั่งข้างๆ เลย ขนาดพี่เปี๊ยกที่นั่งอยู่อีกฝั่งก็ยังแอบมองมาบ่อยๆ กระทั่งพี่ริชยังแอบมองผ่านบานกระจกห้องตัวเองออกมาตั้งนานสองนาน แม้แต่ป้าจิ๋มยังตกอกตกใจเมื่อเห็น ก็นะ...ใช่ว่าทั้งหมดจะรับการเปลี่ยนแปลงของคู่กัดประจำออฟฟิศไม่ได้หรอก เพราะความสมัครสมานมันก็เกิดมาได้สักพักแล้ว แต่ที่เรียกสายตาของทุกคนอยู่บ่อยๆ นั้น คือการออกตัวแรงของเจ้านายมาดเข้มต่างหาก“เสร็จแล้วก็ไปดื่มกันต่ออีกนิดหน่อย แล้วดึกๆ พี่จะไปส่งที่บ้านนะ”นอกจากคำว่า ‘ดึกๆ’ ที่เน้นย้ำแถมเปี่ยมไปด้วยความนัยที่ผมต้องได้ยินแล้ว ยังอุตส่าห์กระซิบกระซาบให้ผมต้องแอบฟังอีกว่า...“หรือคืนนี้จะไม่กลับพี่ก็ยินดีนะ”“ค...คือผม...ผมไม่”“หืม? อะไรนะพี่ได้ยินไม่ค่อยถนัดเลย ลุงบอกว่าไม่เหรอ?”“พ...พี่ปูนครับ คือผม...ผม...”ให้ตายเถอะ!! สองวันแล้วที่ผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ คนหนึ่งก็รุกแรงแบบไม่แคร์สายตาใคร ในขณะที่อีกฝ่ายก็นั่งตัวสั่นปฏิเสธไม่เคยจะเต็มเสียง ผมมองเพื่อนด้วยความสงสาร ไอ้คุณลุงมันเคยต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ที่ไหน ตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยจะต้องมาถูกชวนไปเดตด้วยลักษณะเหมือนโดนข่มขู่มาก่อน ตอนนี้จิตใจเพื่อนผมจะบอบช้ำสักเท่าไร ผมอยากจะตบบ่าบอกกับพี่ปูนเหลือเกินว่ารังแต่จะทำให้ลุงมันกลัวมากขึ้นก็เท่านั้น เมื่อวานมันสบตากับผมประหนึ่งลูกหมารอการช่วยเหลือแต่สุดท้ายก็โดนลากไปจนได้ มาวันนี้ก็ยังถูกรุกหนักไม่ต่างกัน ถ้าเพื่อนอย่างผมไม่ช่วยเหลือบ้างอะไรบ้างก็จะดูแล้งน้ำใจไปหน่อย“วันนี้พวกเรามีนัดกันแล้วครับพี่”ทันทีที่ผมสอดปากออกไป สายตาลุงเหมือนเจอกับพระเจ้า มันมองผมด้วยสีหน้าเต็มตื้นซาบซึ้งในบุญคุณเหลือแสน ยิ่งเห็นผมก็ยิ่งอยากจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ระหว่างพี่ปูนกับมัน“ใช่ครับๆ วันนี้ผมมีนัดกินเหล้ากับเพื่อน ไปกับพี่ไม่ได้หรอก” ลุงหันไปบอกพี่ปูนด้วยน้ำเสียงมั่นใจขึ้น แม้จะเป็นการพูดที่หลบเลี่ยงสายตาคนฟัง ซ้ำยังตัวสั่นเป็นกระต่ายไปหน่อยก็เถอะแต่ตอนนี้ลุงคงหลุดพ้นจากเป้าหมายไปแล้วล่ะผมลอบกลืนน้ำลายก้อนโตลงคอด้วยท่าทีนิ่งสงบ แม้จะหวั่นใจกับสายตามาดร้ายที่อีกฝ่ายส่งมาให้แต่ผมก็เผยยิ้มสู้ด้วยสีหน้าเป็นต่อ ในสงครามการจ้องตาคนที่นิ่งได้กว่าคือผู้ชนะ และผมก็ไม่ค่อยจะแพ้ให้ใครซะด้วย...แต่กับคนบางคนเราก็ไม่ควรไปแหย่เล่นด้วยมากนัก ผมสรุปกับตัวเองตามนั้นแล้วเปลี่ยนมุมมองสายตาไปยังเพื่อนที่นั่งลุ้นอยู่ด้านข้างทันที“เก็บของสิมึง ไปกินที่ห้องกูนั่นแหละ” ผมเร่งเพื่อนทั้งน้ำเสียงทั้งภาษากาย ไอ้ลุงก็เหมือนคนมีประสบการณ์ มันรีบเซฟงานปิดคอมฯ เก็บของทั้งหมดด้วยความฉับไวแบบคนที่อยากเอาตัวรอดเต็มที การกระทำของลุงยิ่งส่งผลให้ใบหน้าพี่ปูนเขียวคล้ำยิ่งกว่าเดิม แต่คนมันกำลังง่วนอยู่ไงเลยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศที่แย่ลง ปากช่างเจรจาของมันถึงได้หลุดพูดเรื่องไม่สมควรออกมา“เดี๋ยวซื้อของเข้าไปทำกับแกล้มก่อนดีมะ?”หน้าพี่ปูนเข้มขึ้นจนน่ากลัว“ถ้าเมามาก กูนอนกับมึงเลยนะ”ผมว่ามันมีประโยคอีกมากมายที่ใช้คู่กันได้นะ อย่าง ‘นอนค้างกับมึง’ ‘ขอนอนห้องมึง’ ‘กูนอนด้วยคน’ อะไรทำนองนี้ แต่พอคำพูดที่ว่า ‘กูนอนกับมึง’ หลุดออกมา หน้าพี่ปูนก็เปลี่ยนจากเขียวเป็นม่วง จากม่วงเป็นดำ เหมือนภูเขาไฟใกล้ปะทุลาวาออกมา ถ้าคนมันไม่มีปมมาก่อนจะถูกคำง่ายๆ แบบนั้นสะกิดได้อย่างไร นี่ไม่บอกเป็นนัยเลยหรือว่าพี่ปูนคิดเสมอว่าผมจะกลายเป็นมือที่สามนี่มัน...น่าสนุกจริง“มึงก็อย่าดื่มเยอะสิวะ เมามากก็ชอบถีบกูตกเตียงอยู่เรื่อย” คนฟังสองคนสะดุ้งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ผมเก็บปฏิกิริยาแปลกนั่นเอาไว้ในใจก่อนพ่นคำต่อไปเรื่อยๆ ด้วยใบหน้านิ่งเรียบ “เวลามึงดื่มพอดีๆ แล้วกำลังน่ารัก ว่าง่ายมาก เชื่องด้วย”“ตีนเหอะ” ไอ้ลุงเงยหน้าด่าผมทันควันแล้วก้มลงยัดของลงกระเป๋าเป้ต่อ ใบหูมันแดงเรื่องเล็กน้อย ปากเม้มแน่นด้วยความอับอายแต่ก็ไม่ยอมพูดแก้ต่างอะไรออกมา ดังนั้นปฏิกิริยาของพี่ปูนจึงเข้าใกล้คำว่าล้มโต๊ะไปทุกที “งานเลี้ยงต้นปีน่ะครับพี่ปูน” ด้วยความเป็นน้องที่ดีมาตลอด จะไม่อธิบายอะไรสักหน่อยผมก็ว่าจะดูไม่ดี “ใส่หูกระต่ายน่ารักเบอร์ตองเลย” ผมอมยิ้มมองหน้าคู่สนทนาที่แววตาคล้ายอยากจะหักคอผมทิ้งให้แล้วรู้รอด“น่าสนใจดีนะ” พี่ปูนส่งเสียงลอดไรฟันแบบพยายามสะกดอารมณ์เต็มที่“มากครับพี่ วันนั้นนี่ใครอยากให้ลุงทำอะไรทำได้หมด ผมมีรูปคืนนั้นอื้อเลยนะพี่” ผมยิ้มจนตาหยีก่อนจะมองสบตาแล้วยักคิ้วให้หนึ่งที “พี่อยากจะดูบ้างมั้ย?”“พอเลยไอ้เชี่ยโป้ย!” เสียงลุงตวาดลั่น หยุดประกายไฟแปล๊บปล๊าบน่ากลัวที่พี่ปูนกำลังส่งมา ไอ้หนุ่มหูกระต่ายน่าอายยืดตัวขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมเผ่น ใบหน้าอิ่มเอิบมีสีเลือดฝาดฟุ้งเต็มแก้ม กำลังอายได้ที่เชียวล่ะ“พอก็พอ” ผมยักไหล่พลางยัดของอีกเล็กน้อยลงกระเป๋าตัวเองบ้าง จากหางตา ผมเห็นเพื่อนตัวเองเดินเข้าประชิดร่างสูงของเจ้านาย มือกระตุกแขนเสื้อหงึกๆ พลางพูดเบาๆ ที่พอจับใจความได้ว่า ‘พี่อย่าไปบ้าตามมัน ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ’ชะหนอย!! แล้วจะได้รู้กันว่าแฟนมันควรบ้าตามคำผมรึเปล่า ไม่ใช่แค่รูปถ่ายนะที่ผมถือครองอยู่ แม้แต่คลิปวีดิโอผมก็มี ถ้าพี่ปูนเห็นแล้วไม่หัวร้อนล่ะก็ให้เอาตีนมาขยี้ตาปลาผมได้เลย“ไปได้แล้ว” ผมชักน้ำเสียงใส่ พร้อมกับเดินอ้อมไปจูงมือเพื่อนเดินหนีไปทันที พัทลุงก็ยอมจับมือผมมาตลอดทางจนถึงรถ แต่ใบหน้านั้นหงิกงอจนน่าหมั่นไส้“เป็นอะไร”“มึงอย่าไปยั่วโมโหพี่ปูน” มันชักสีหน้าจริงจังเอ่ยกับผมเมื่อรถยนต์เริ่มเคลื่อนตัวออกจากลานจอด“ทำไม? ห่วงกูเหรอ”“เปล่า กูห่วงตัวเอง!”ผมหลุดหัวเราะพรืดออกมา ผลที่ได้คือการถูกค้อนวงใหญ่จากคนข้างๆ ไอ้ลุงสะบัดหน้าพรืดหันไปอีกทางด้วยใบหูแดงแปร๊ด ผมก็ไม่อยากจะทำให้เพื่อนอายไปมากกว่านี้ เดี๋ยวมันคิดสั้นเปิดประตูกระโดดออกไปแล้วจะยุ่ง แต่นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าเพื่อนผมแพ้ทางพี่ปูนขนาดไหน จะด้วยอะไรก็ไม่ทราบแต่ในขณะที่มันเหมือนจะปึ่งงอนอีกฝ่ายอยู่ มันก็ยังเกรงเขาอยู่ในทีแค่คิดว่ามีบางจุดที่ผมยังปะติดปะต่อเรื่องไม่ได้ ต่อมเผือกก็ร้อนระอุขึ้นมาทันที ความคิดหนึ่งจุดวาบขึ้นในหัว ผมเหลือบมองเพื่อนรักที่แวบเดียวก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายมุ่งหน้าไปยังตลาดสด ลุงมันดูจะไม่ตะขิดตะขวงใจอะไรเพราะในหัวมันคงนึกถึงเรื่องกับแกล้ม เมื่อหาที่จอดได้ ผมก็เปิดกระเป๋าเงินยื่นเงินให้หนึ่งพัน คนขี้งกอย่างลุงก็ไม่มีเหนียมอายคว้าหมับแบบทันท่วงที แถมเอ่ยถามผมด้วยสีหน้าเป็นมิตรแบบฉับไว“อยากกินอะไรครับคุณโป้ย”“แล้วแต่มึง อยากแดกอะไรก็ซื้อมา”“กูอยากกินล๊อบสเตอร์”“อันนั้นคงต้องไปอ้อนผัวมึงเอาเองนะ”“เชี่ย!!” หลังจากผลักหัวผมด้วยความเขิน? เสร็จแล้วก็เปิดประตูรถลงไปทันที ผมส่ายหัวมองเพื่อนเดินย่ำเท้าตึงๆ เดินหายเข้าไปในตลาด จากนั้นจึงล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเพื่อเลือกหมายเลขผู้ร่วมขบวนการใบหน้าของเสี่ยอ่ำร้านวัสดุก่อสร้างหราขึ้นเต็มหน้าจอ รอไม่นานเท่าไหร่ปลายสายก็ส่งเสียงตอบรับ ผมรีบยกมือถือแนบหูทันทีด้วยรอยยิ้ม“ไงครับเพื่อนโป้ย” เสียงอ่ำเกือบจะเรียกได้ว่าร่าเริง“อารมณ์ดีจากไหนมาวะ เสียงระรื่นเหลือเกิน”“ป๊าไม่อยู่ ลูกอย่างกูก็ร่าเริงสิวะ” “คืนนี้มาแดกเหล้ากัน” ไม่คิดว่าโอกาสจะเป็นใจขนาดนี้ ผมเลยส่งสารชวนทันที “พวกมึงอยากจะรู้กันไม่ใช่เหรอว่าแฟนไอ้ลุงเป็นใคร”“เฮ้ย มันจะพามาเปิดตัวเรอะ!”“คนนี้มันยังไม่ยอมเปิดง่ายๆ หรอก ขนาดกูมันยังปิดปากเงียบ”“หึหึ มึงคงจะไม่ทำอย่างที่กูคิดใช่มั้ย?” อ่ำหัวเราะคิกคัก“ถ้ามึงรู้ว่ากูคิดอะไร ก็สมกับเป็นเพื่อนชั่วๆ ของกูแล้วล่ะ” ผมย้อนมันกลับไป เราต่างหัวเราะไว้อาลัยให้กับไก่น้อยที่กำลังจะโดนถลกหนัง“เดี๋ยวกูโทรหาไอ้เป๋ก่อน ว่าแต่มึงต้องการใช้ประกอบการสารภาพมั้ย?”“มึงคิดว่าอะไรจะทำให้แฟนที่คอลกันอยู่ตกใจวะ” ผมยกยิ้ม แค่คิดภาพพี่ปูนโมโหจนขนหัวตั้งก็สาสมใจแล้ว“ได้เลยเพื่อน” อ่ำวางสายไปด้วยความคึกคักในขณะที่ผมเองก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจต่อเมื่อความเงียบเข้าจู่โจมกะทันหันรอยยิ้มก็พลันจางหายไปช้าๆ ผมเปิดแอพลิเคชั่นสนทนา เลือกรายชื่อแล้วกดเข้าไป ...ทุกข้อความขึ้นกำกับด้านหน้าว่าได้ถูกอ่านแล้ว แถมยังอุตส่าห์มีถ้อยคำน่ารักๆ ส่งกลับมาเสียด้วย[พี่ไม่ได้หลบหน้าโป้ยนะ][สองสามวันนี้ยุ่งมาก][เพิ่งว่างเมื่อกี้เอง]รอยยิ้มจุดขึ้นที่ริมฝีปากอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงจะทำให้ผมหงุดหงิดมาสองวันแต่ตอนนี้มันหาได้สำคัญแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงอ่านข้อความทวนอยู่สองสามรอบเพื่อให้แน่ใจว่าแค่ตัวอักษรที่เห็นนี้จะสื่อความรู้สึกอะไรได้บ้าง เป็นการตอบกลับจากใจจริง หรือเป็นเพียงการตอบเพราะถูกกดดัน แต่หลังจากทวนอ่านรอบสุดท้าย ผมก็เลือกที่จะคิดเข้าข้างตัวเอง พี่กรอาจจะใจร้ายกับผมไปบ้าง แต่ไม่มีทางที่จะปฏิเสธการมีอยู่ของผมเด็ดขาด[ผมเข้าใจ ผมไม่ได้สำคัญมากพอให้พี่สละเวลาขนาดนั้น] แต่การเข้าใจก็หมายความว่าจะเสแสร้งน้อยใจไม่ได้นี่ ผมมองข้อความของตัวเองเด้งขึ้นไปบนหน้าจอที่ไม่กี่วินาทีต่อมานั้นได้ถูกอีกฝ่ายอ่านแล้ว ผมเลือกที่จะปิดแอพลิเคชั่นทันทีก่อนที่อีกฝ่ายจะพิมพ์อะไรตอบกลับมา การน้อยใจแล้วยังสาดคำพูดประชดประชันมากมายนั้นคือความน่ารำคาญ ผมแค่อยากให้มันจี้ใจอีกฝ่ายก็เท่านั้นเลยไม่มีความจำเป็นต้องรุกซ้ำหรือโต้ตอบอะไรอีก การถอยออกมาชั่วคราวจะสามารถทำให้เราได้ข้อต่อรองดีๆ ในภายหลังเสียงข้อความเข้าดังขึ้นหนึ่งครั้ง และตามมาติดๆ กันอีกสามข้อความ ผมพยายามอดกลั้นความอยากรู้ของตัวเอง ทำทีมองออกไปด้านนอกรถเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ แต่เมื่อจิตใจมันมุ่งไปที่ใดแล้วมันก็ยากเหลือเกินที่จะเบี่ยงประเด็น จนกระทั่งสองตาเหลือบไปเห็นเพื่อนรักเดินวนไปมาพร้อมกับถุงหิ้วเต็มสองมือ ผมถึงตัดสินใจเก็บโทรศัพท์แล้วตามออกไปลุงเหงื่อแตกพลั่กเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว ยามที่มันเห็นผมเหมือนมันเห็นผู้ช่วยชีวิต ริมฝีปากยิ้มกว้างจนตายิบหยี แล้วเมื่อผมเดินไปหยุดตรงหน้า สองมือของลุงก็ยื่นถุงทั้งหมดให้ผมทันที ผมมองของทั้งหมดแต่ยังไม่ยอมยื่นมือออกไปรับ “หนัก ช่วยถือหน่อย” เกือบจะคล้ายเสียงอ้อนวอนที่เปล่งออกมา เพราะงั้นผมถึงยินยอมรับของทั้งหมดมาถืออย่างช่วยไม่ได้ “กูโทรไปถามอ่ำว่ามันอยากกินอะไร มันว่าอยากกินไก่ทอดน้ำปลากับยำทะเล”“แล้วนี่เหลืออะไร?” ผมยกมือซ้ายขวาขึ้นพิจารณาของคร่าวๆ เครื่องยำกับไก่สดยังไม่เท่าไหร่ แต่ของทะเลมาแบบจัดหนักมาก ทั้งปู ทั้งหอย ทั้งกุ้ง งบหนึ่งพันบาทไม่มีทางพอแน่ๆ นี่ยังไม่รวมพวกมิกเซอร์ที่จะแวะซื้อขากลับอีก“ครบแล้ว กูเดินวนๆ เผื่อมีอะไรน่าซื้ออีก” ไม่ว่าเปล่า สองตามันก็เริ่มสอดส่ายซ้ายขวา สองขาก็เริ่มเดินพร้อมกระตุกผมให้ก้าวไปด้วยกัน “วันก่อนนะมึง กูไปตลาดแถวดินแดงมา มีร้านส้มตำเด็ดอย่างนี่!” ผมมองนิ้วโป้งเพื่อนที่ชูขึ้นหรา ดูจากสีหน้าแล้วไม่ได้พูดถึงรสชาติแน่ แต่เพื่อปูมาเราก็ต้องรับครับ “รสชาติอร่อยมากจนมึงติดใจ?”“นมใหญ่ยิ่งกว่าปากครกอีก! ชื่อร้านตำกระเด้ง มึงเอ๊ยกูยืนรอซื้อได้ไม่เมื่อยอ่ะ” แล้วมันก็ทำท่าเด้งนม หัวเราะชอบใจยกใหญ่ “ไว้วันหลังไปซื้อกันนะมึง อยากชวนพวกมึงไปช่วยอุดหนุน น้องเขาคงฐานะไม่ค่อยดี ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นเหลือเกิน”ไอ้ลุงมันบ้าหน้าอก แฟนมันทุกคนที่ผ่านมาหน้าอกหน้าใจกินขาดทุกคน เหมือนหัวมันมีเรดาร์คอยจับสัญญาณคัพซี หูไวตาไวตลอด เคยเมาแล้วไปยิ้มกริ่มให้กับดี้หน้าอกล้นคนหนึ่ง เกือบโดนผัวทอมเขาเขวี้ยงหมัดใส่แล้ว ส่วนอีกหนึ่งปัญหาของกลุ่มก็คือเสี่ยอ่ำ รายนั้นขอให้เอวคอด สะโพกกลม น้ำลายก็ไหลหยดเป็นน้ำตกเอราวัณแล้ว“แล้วมึงไปทำอะไรที่ตลาดแถวดินแดง” ผมสกัดสีหน้าสุขีของลุงให้เปลี่ยนเป็นซีดขาวได้ในพริบตา “บ้านมึงอยู่อารีย์ พญาไท มึงไปซื้อของที่ดินแดงเลยเหรอ”“ก็ไม่ได้ไกลกันมากปะวะ กูก็อยากเปิดตลาดใหม่ๆ บ้าง”“เหรอ...ก็นึกว่าบ้านแฟนมึงอยู่แถวนั้น” อย่างบ้านพี่ปูนอะไรอย่างงี้ ผมอมยิ้มกับคำห้อยท้ายในใจ แต่กลัวพูดออกไปเองก็กลัวเพื่อนจะลงไปแถกับพื้นจนสีข้างถลอก ผมเก็บไว้รอยำทีเดียวพร้อมไอ้อ่ำดีกว่า“กลับกันดีกว่ามึง กูต้องทำของหลายอย่างเดี๋ยวไม่ทัน” แล้วก็เป็นไปตามคาด คุณลุงหูแดงเดินตัวปลิวนำไปก่อน ยังไม่วายหันมาเร่งผมเสียงเข้มอีก “เร็วสิมึง ชักช้าจริง!”ผมส่ายหัวกับการพาลแบบเด็กๆ ของคนถูกจี้ใจจนไปไม่ถูก ก่อนสองขาจะก้าวยาวๆ ตามไปติดๆ ...โดยส่วนตัวแล้วผมทำอาหารกินเองบ้างเมื่อมีเวลา เพราะงั้นข้าวของเครื่องครัวที่ควรมีจึงมีทั้งหมด จะอาหารไทย อาหารฝรั่ง หรือแม้แต่ต้มมาม่า ห้องผมก็พร้อมสำหรับทุกมื้อ อย่างเช่นวันนี้ที่เครื่องดูดควันได้ทำหน้าที่ของมันแบบเต็มประสิทธิภาพเสียที ผมนั่งเท้าคางบนเก้าอี้หน้าเคาท์เตอร์บาร์ มองเพื่อนผู้มีความชำนาญตามหลักพ่อบ้านเต็มเปี่ยมกำลังยืนท้าทายหน้ากระทะน้ำมันเดือดปุดๆ เพื่อวัดใจกับไก่คลุกน้ำปลาที่กำลังส่งกลิ่นหอมไปทั่ว อีกเตาหนึ่งก็มีหม้อนึ่งควันฉุยที่มีสัตว์ทะเลอวบอ้วนมากมายอยู่ข้างใน เลื่อนไปด้านข้างก็เป็นโหลปั่นกลิ่นฉุนจากพริกกระเทียมเพื่อสำเร็จเป็นน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดจัดจ้านอันเป็นเสียงล่ำลือในหมู่เพื่อนฝูงไม่มีเพื่อนคนไหนไม่รู้สึกขอบคุณคุณอาผู้ล่วงลับ ที่เคี่ยวกรำลูกชายคนเดียวจนเป็นพ่อศรีเรือนที่ดีขนาดนี้ แม้จะทำได้แต่อาหารง่ายๆ แถมหน้าตาไม่ค่อยสวยงามก็เถอะ แต่ความอร่อยนั้นต้องยกนิ้วมือแถมนิ้วเท้าให้เลย งานบ้านก็จัดว่าเป็นมือโปร ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่อยากได้นั่นนี่แพงๆ ให้หงุดหงิดใจ ...ผมว่าพี่ปูนโคตรจะโชคดีเลยที่ได้พัทลุงไปเป็นแฟนแต่ความบ้าของมันอาจจะทำให้พี่ปูนเป็นไมเกรนก็ได้ “โป้ยๆ กูถามหน่อยดิ” “ว่า?” ผมตอบรับพลางหยิบชิ้นไก่ที่ทอดเสร็จแล้วบางส่วนขึ้น ควันสีขาวโชยกลิ่นหอมยามฉีกออกเป็นส่วนแล้วส่งเข้าปาก รสชาติเค็มกำลังดีปนความหวานของเนื้อไก่ หนังกรุบกรอบร้อนฉ่ำเพิ่มรสสัมผัสที่ไม่มีทางเพียงพอ “สมมุติว่ามึงถูกแฟนหลอกมานาน แล้วพอมึงรู้ มึงจะโกรธป่ะ?”“มันต้องดูว่าเรื่องอะไรสิวะ” ผมตอบพลางดึงกระดาษทิชชู่มารองวางกระดูก “โดนนอกใจเหรอ?”“เปล่า...” เพราะลุงมันเอาแต่ยืนหันหลังให้ ผมเลยวิเคราะห์สีหน้ามันไม่ได้ แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วน่าจะเป็นอาการคิดไม่ตกเสียมากกว่า น่าจะมาจากเรื่องวันก่อนโน้นที่มันเค้นถามผมเรื่องพี่ปูน... อา~ ถ้าดูจากพฤติกรรมรุกหนักของพี่ปูนช่วงสองสามวันนี้ก็น่าจะบอกได้ไม่ยากว่าเพื่อนผมหายโง่แล้ว“เลิกไปเลย” สิ้นคำยุแยง ลุงหันขวับมามองผม กระพริบตาปริบๆ คล้ายจะขอคำอธิบาย “ถ้ารับไม่ได้ก็เลิกไปเลย จบ!”“มันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงขนาดนั้น”“งั้นก็ไม่ต้องเลิก”“วีรภาพ! มึงนี่ไม่ได้ช่วยเพื่อนเลยนะ” เมื่อเห็นลุงมันทำท่าจะเขวี้ยงตะหลิวใส่อยู่รอมร่อ ผมเลยจำต้องเลิกกวนตีนเพื่อนชั่วคราว“ก็มึงไม่ขยายความอะไรให้กูฟังเลย เรื่องราวเป็นไงมาไงก็ไม่รู้ แล้วจะให้กูไปตัดสินอะไรวะ”“ก็มึงขี้เสือกอ่ะ กูไม่อยากเล่ามาก” กระแทกเสียงใส่ผมเสร็จก็สะบัดหน้าหันเข้าหากระทะตามเดิม เป็นอันยุติบทสนทนาแบบไร้ที่มาที่ไปโดนแน่มึงไอ้น้องลุง แล้วจะหาว่าพี่โป้ยใจร้ายไม่ได้นะผมได้แต่เข่นเขี้ยวในใจ กัดไก่ระบายอารมณ์ไปสักพัก เมื่อได้เวลาเสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น ผมเดินไปเปิดประตูให้สองหนุ่มโสด เป๋สีหน้าโรยแรงเล็กน้อยถ้าเทียบกับไอ้อ่ำที่มีสีหน้าเบิกบานแช่มชื่น แต่พอจมูกขยับฟุดฟิดได้กลิ่นอาหารหอมๆ เป๋ก็พลันสีหน้าดีขึ้น“กูหิวข้าวมาก ลุงทำอะไรกินวะ” ผมหลีกทางให้เพื่อนเข้ามาในห้อง มองเพื่อนสองคนสะบัดรองเท้าระเกะระกะแล้วเดินลอยตามกลิ่นไป กว่าผมจะตามไปสมทบจานไก่บนโต๊ะก็ถูกรุมไปแล้ว “มีข้าวมะ กูหิวจนตาลายไปหมดแล้วเนี่ย” เป๋พูดไปเคี้ยวไป สีหน้ามันยังคงอ่อนเพลียอยู่ ทำเอาวิญญาณพ่อบ้านเข้าสิงพัทลุงเลยทีเดียว“เดี๋ยวกูโทรสั่งร้านข้างล่างให้ มึงอยากกินอะไร” มันรีบหาน้ำเย็นให้เป๋ ส่งกระดาษเช็ดมือให้ นี่ถ้าห้องผมมีผ้าเย็น ลุงมันคงบริการให้เต็มที่กว่านี้แน่ “สีหน้ามึงไม่โอเคอ่ะเป๋ งานหนักมากเหรอวะ?”“มันทำโอทีมาสามวันติดแล้ว เพิ่งจะได้เลิกงานตรงเวลากับเขาเนี่ย” อ่ำเท้าคางมองเพื่อน อาสาตอบคำถามแทนเพราะเป๋มันยังเคี้ยวไก่จนแก้มตุ้ย “กูต้องขับรถไปรับมันมาจากออฟฟิศ และห้ามเมานะเป๋ เพราะมึงต้องพากูกลับบ้านด้วย” อ่ำสั่งความเสร็จสรรพ ดูท่าเป๋มันคงมาเพื่อกินอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ถ้าวัดจากสภาพร่างกายมันคงไม่ค่อยอยากจะกินเหล้าเท่าไหร่ พ่อบ้านลุงที่เห็นเพื่อนหิวโซก็ทนไม่ได้ รีบสั่งความผมให้โทรสั่งข้าวจากด้านล่างตึกขึ้นมา จากนั้นผมกับอ่ำก็ช่วยกันขนของกินไปที่โต๊ะเตี้ยหน้าทีวี เหล้าโซดาน้ำแข็งเพียบพร้อมในระยะมือเอื้อมถึง เมื่อข้าวมาส่งก็จัดการลากไอ้เป๋มาร่วมเปิดงานได้เลยถ้าไม่นับเป๋ที่มาเพื่อกินข้าวแล้วล่ะก็ อ่ำกับลุงนี่ซัดเหล้าเข้าปากไปพอๆ กัน เพียงแต่ว่าอ่ำมันคอแข็งกว่าก็เท่านั้น แค่เห็นหัวลุงเริ่มคลอนไปมา ผมกับอ่ำก็หันมายิ้มกริ่มให้กัน ส่วนไอ้เป๋ที่เห็นนั่งไม่สนใจใครก็ยังอุตส่าห์ร่วมด้วยช่วยชงเหล้าให้ไม่ขาดมือ อันที่จริงแล้วพัทลุงเป็นพวกเมาสามระดับ ระยะแรกคือจะเริ่มคายความลับ อยากรู้อะไร อยากให้ทำอะไรบอกมาเถอะ ลุงจัดให้ทุกอย่าง ระยะสองคือเริ่มงอแง ระยะนี้มักจะเหวี่ยงง่าย โวยวายไร้สาระ ส่วนระยะสุดท้ายนั้นคือหลับไปเลย แต่ที่อันตรายที่สุดคือช่วงที่มันหลับนั่นแหละ คืนไหนเมา คืนนั้นนอนดิ้นเหมือนเตียงเป็นต้นงิ้ว พวกผมสามคนล้วนโดนถีบตกเตียงกันมาแล้วทั้งนั้น เจ็บมากเจ็บน้อยแล้วแต่ว่ามันฝันอะไร หนักสุดก็คงเป็นไอ้เป๋ กลิ้งหลุนๆ ลงมาแล้วหน้าผากไปโขกกับพื้นกระเบื้อง ปูดเป็นลูกมะนาวกันทีเดียว พวกผมเป็นมือโปรทางด้านมอมเหล้าเพื่อนอยู่แล้ว ไมมีกะระยะพลาดแน่นอน ลุงเริ่มตาเยิ้ม ยิ้มหวานไปทั่ว คอเริ่มพลิกไปพลิกมา เห็นว่าได้ระดับแล้ว ไอ้อ่ำก็เริ่มเบาเหล้าลงแต่ไปหนักน้ำอัดลมแทน เป๋ที่เริ่มจะอิ่มก็รีบลุกไปล้างมือให้สะอาดแล้วเดินปรี่กลับมาพร้อมกับหนังยางในมือ อ่ำก็คุ้ยหาอะไรในกระเป๋ามันสักพักก็ควักลิปสติกกับที่ปัดแก้มออกมา“กูจิ๊กม๊ามา” ว่าแล้วมันก็ลงมือละเลงหน้าคนเมาแบบจัดเต็ม ลิปสีแดงถูกทาลงบนปากอิ่มเป็นกระจับของลุงทันที ไอ้คนโดนแกล้งก็ไร้สติยื่นหน้าให้แบบเต็มใจ แต่อย่าได้หาความสวยงามอะไร เพราะนอกจากปากจะเลอะไม่เป็นทรงแล้ว แก้มยังถูกปัดเป็นวงสีส้มพีชแบบเน้นๆ “แฟนแม่งต้องตกใจแน่” เป๋หัวเราะเบาๆ พลางกระชากผมคนเมามาผูกแกละเบี้ยวๆ ซ้ายขวา จากนั้นก็วุ่นกับการแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตออกจนหมดแล้วม้วนขึ้นเพื่อมัดเป็นปมใต้ราวนม โชว์ความขาวกับหน้าท้องไร้กล้ามเนื้อให้ดูน่าสลดขึ้นไปอีก แต่มันไม่ได้หมดแค่นั้น เพราะตามหน้าท้องขาวๆ นั้นมีรอยจูบสีเข้มกระจายอยู่ แม้แต่เอวกับหน้าอกก็ยังมี พวกผมมองหน้ากันแล้วกลืนน้ำลายก้อนโต ‘แฟน’ มันคงหมั่นเขี้ยวเอามากๆ เลยสินะขณะเดียวกันผมก็เริ่มแผนการเรียกร้องความสนใจของพี่ปูน โดยการส่งรูปภาพงานเลี้ยงเมื่อสิ้นปีให้ดู งานนั้นลุงถูกยำเสียเละ โดนบรรดาสาวๆ จับแต่งหน้า ดัดผม แล้วยังมีที่คาดผมหูกระต่ายสีแดงอยู่บนหัว พวกผู้ชายก็ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์โดยการจับลุงแก้ผ้าจนเหลือแค่บ็อกเซอร์ แล้วเอาลิปสติกมาทาหัวนมเป็นการเซ็นเซอร์ ทั้งหมดทั้งมวลมีคนโดนเป็นเพื่อนอยู่สามคน หนึ่งในนั้นคือไอ้อ่ำเนี่ยแหละผมอมยิ้มเมื่อรูปภาพวาบหวามกับหัวนมรูปหัวใจส่งขึ้นไปบนหน้าจอ ตามด้วยรูปน่าอายอีกหลายรูปจากช่วงเวลาอื่นๆ ผมรออย่างใจเย็นพลางมองอ่ำกับเป๋บรรเลงความเป็นศิลปินลงบนตัวเพื่อน จังหวะนั้นเองที่จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ของลุงก็ดังขึ้น พวกผมหยุดการกระทำเพื่อหันไปมอง ผมรีบคว้าที่กำลังส่งเสียงร้องขึ้นมาประกอบกับดูรูปภาพที่มีคำว่าอ่านแล้วปรากฏขึ้นทุกรูป พี่ปูนยังคงโทรมาอย่างต่อเนื่อง ผมก็ตัดสายทิ้งอย่างเมามัน จนกระทั่งอีกฝ่ายเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นที่เครื่องผมแทน “พวกมึงพร้อมกันรึยัง?” ผมถามผู้ร่วมขบวนการ “มึงอย่าบอกนะว่าที่โทรมายิกๆ เนี่ยเป็นแฟนไอ้ลุง” อ่ำถามพลางชะโงกหน้ามามองชื่อสายเข้าที่มือถือผม “พี่ปูน? ชื่อเหมือนผู้ชายนะมึง แล้วไหนว่ามึงไม่รู้จักไง”“กูบอกว่าไอ้ลุงไม่ยอมแนะนำ ใช่ว่ากูจะไม่รู้จักสักหน่อย” ผมยักคิ้วให้เพื่อน ไอ้อ่ำยังไม่เข้าใจ แต่คนฉลาดอย่างเป๋กลับปะติดปะต่อเรื่องได้อย่างรวดเร็ว “มึงอย่าบอกนะว่าเป็นพี่ปูนเจ้านายมึง!” สิ้นเสียงเป๋ ไอ้อ่ำหันขวับมามองผมตาโต “ไหนว่าลุงมันไม่ชอบขี้หน้าไง”“มันยังไม่ยอมรับสักหน่อย ปากแข็งเบอร์นี้ไงกูถึงต้องง้างซะหน่อย” ว่าแล้วผมก็ตัดสายพี่ปูนทิ้งอีกรอบ แล้วเข้าโทรแกมสนทนาเพื่อเชื่อมต่อวีดิโอคอลทันที ไม่ต้องรอเลยสักวินาทีเดียว พี่ปูนตอบรับรวดเร็วพร้อมกับสรรเสริญผมด้วยเสียงดังจนไอ้เป๋กับไอ้อ่ำตกใจ“ไอ้เหี้ยโป้ย!!” หน้าพี่ปูนถมึงทึงมาก จ้องผมปานจะโผล่ออกมากัดคอผมให้รู้แล้วรู้รอด หมดแล้วสุภาพบุรุษใจเย็นที่เห็นผมเป็นน้องเป็นนุ่งเมื่อก่อน “ส่งเชี่ยอะไรมาห๊ะ! แล้วตัดสายกูทำไม ลุงอยู่ไหน!”“อ่ะๆ ให้คุยด้วยก็ได้” ผมยื่นมือถือให้เป๋ ส่วนตัวเองก็เลื่อนไปนั่งกับน้องสาวคนสวย “น่ารักป่ะพี่ ขอตั้งชื่อว่าน้องพัทตี้ มิสพัทลุ๊ง~”หน้าพี่ปูนเหวอไปเลย ไอ้อ่ำกลั้นขำพลางขอแอบดูหน้าตาพี่ปูน ตัวมันกลับทำหน้าเหวอหนักกว่าคนในหน้าจอเสียอีก มีการพยักเพยิดเปลี่ยนมือให้ไอ้เป๋มาดูด้วย“เชี่ยโป้ย! มึงทำอะไรเมียกูเนี่ย”[/size][มีต่อจ้า]