หงส์ซาน 19 : ไม่ได้งอนจริง ๆ
ผมรีบสลัดภาพไอ้บ๊วยทิ้งไป ลุกจากเสื่อที่นอนอยู่เดินลิ่วๆ ขึ้นห้อง
ไปหาหนังดูสักเรื่องดีกว่า จะได้ไม่คิดถึงมัน
ได้ยินเสียงมือถือดังอีกรอบ ผมรีบยกดูเพราะคิดว่าเป็นไอ้บ๊วย
แต่ไม่ใช่ครับ
เจ้หมวย พี่สาวผมเอง ผมกดรับแนบหูทันที
“เป็นไงบ้างเรา”
“สบายดีเจ้”
เจ้หมวยหัวเราะเสียงใส
“คงจะหายห่วงได้แล้วจริงๆ”
“น้องเจ้หมวยเก่งน่า ไม่ต้องห่วงหรอก”
พอถึงห้องผมกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียง คว้าหมอนมากอด ได้กลิ่นไอ้บ๊วยมันด้วย มันใช้น้ำหอมกลิ่นอะไรไม่รู้ ขวดสีดำเมี่ยมเลย ผมอ่านยี่ห้อไม่ออกเพราะไม่ใช่ภาษาอังกฤษ
“ม้าบ่นใหญ่ว่าไม่มีลื้ออยู่แล้วเหงา อีคิดถึงลื้อน่าดู”
“อั๊วก็คิดถึงเหมือนกันนั่นแหละ ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่ให้อั๊วแต่งออก ป่านนี้ก็ได้อยู่ดูแลป๊ากับม้าแล้ว”
เจ้หมวยหัวเราะ
“สำหรับลูกผู้หญิง การแต่งงานคือการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างหนึ่งเหมือนกันนะหงส์ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม อย่างน้อยก็ทำให้ธุรกิจของครอบครัวเราได้เดินหน้าต่อ และที่สำคัญคือการมีหลานไว้ให้ป๊าม้าด้วย”
“ใช่ สำหรับผู้หญิง แต่อั๊วไม่ใช่ผู้หญิงนี่”
“ก็ใช่ แต่อย่างน้อยหงส์ก็ทำให้ป๊าม้ามีความสุข ธุรกิจของครอบครัวเราดำเนินไปได้เป็นอย่างดี คิดอีกแง่ ก็เหมือนหงส์ทำงานให้ครอบครัวนั่นแหละ เพียงแต่ไม่ได้ลงไปลุยแบบป๊าหรืออาเฮีย แต่เป็นกองหลังแบบเจ้”
“แต่อั๊วอยากทำงานแบบป๊ามากกว่า”
“บางครั้งเราก็เลือกมากไม่ได้นะหงส์ หงส์โชคดีขนาดไหนที่ได้เกิดมาอยู่ในครอบครัวเรา กินอยู่อย่างสุขสบาย งานการก็ไม่ได้ทำ ยังมีอีกหลายคนที่เขาลำบากและอดอยากกว่าหงส์เยอะนะ สิ่งที่หงส์คิดว่ากำลังทุกข์อยู่ตอนนี้ เทียบกับคนอื่นแล้วถือว่าสุขสบายมากเลยละ”
ผมนิ่งไป มันก็จริง มันทำให้ผมนึกถึงพวกสารคดีของชาวแอฟริกาที่มีแต่คนผอมแห้งแบบหนังติดกระดูก ตัวดำมิดหมี่ สวมใส่อะไรที่อย่าเรียกว่าเสื้อผ้าเลย เรียกว่าเศษผ้าน่าจะถูกกว่า รองเท้าไม่มีใส่ ต้องเอาขวดพลาสติกมาทำรองเท้าแทน ถือถังเก่าๆ ไปต่อแถวรอรับอาหารที่เป็นเพียงน้ำซุปเท่านั้น
ถ้าเทียบกับความลำบากที่คนอื่นพบเจอ ผมถือว่าอยู่อย่างสุขสบาย มีกินมีใช้อย่างเหลือเฟือจริงๆ
“แต่…”
“ถ้าหงส์คิดว่าหงส์ลำบาก ให้หงส์มองคนที่ลำบากกว่าเรา ถ้าหงส์รู้สึกแย่ ให้มองคนที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าเรา แล้วสิ่งที่หงส์เจอ มันจะกลายเป็นเรื่องเล็กๆ ไปเลย”
ผมนิ่งไปอีกรอบ
“ถ้าอั๊วได้แต่งงานกับผู้หญิงหรือเป็นผู้หญิงไปเลยจะง่ายกว่านี้นะเจ้”
“แบบไหนก็มีค่าเท่ากันนั่นแหละ มันขึ้นอยู่กับว่าเราทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้ดีแค่ไหน ทำให้พ่อแม่ภูมิใจได้รึยัง”
“ก็ทำอยู่นี่ไง แต่งงาน จดทะเบียน ทำให้ป๊าม้าและครอบครัวเรารันงานต่อได้”
“นั่นก็ด้วย แต่หงส์ก็ต้องรับผิดชอบต่อคู่ชีวิตหงส์ด้วย เพราะไม่ใช่เพียงแค่หงส์ที่ต้องไปใช้ชีวิตกับเขา เขาก็ต้องมาใช้ชีวิตกับหงส์ด้วยเหมือนกัน”
“เขาไม่ได้เสียหายอะไรนี่ มีแต่ได้กับได้ คนที่เสียคืออั๊วล้วนๆ เลย”
“เสียอะไร”
“ก็…”
ผมกำลังจะหลุดปากไปว่าเสียตัว ดีแต่ว่ายั้งไว้ได้ทัน
“เสียหน้าไง เพราะต้องมาแต่งงานกับผู้ชาย”
“แล้วไงอีก”
“เสียอนาคตด้วย อนาคตที่จะได้มีครอบครัวสมบูรณ์แบบ มีลูกมีหลานไว้สืบสกุล”
“อืม แล้วไงอีก”
ผมพยายามคิดต่อ ทำไมผมคิดได้แค่นี้วะ ตอนแรกคิดว่ามีแต่เรื่องแย่ๆ ที่ต้องมาแต่งงานกับบ๊วยมัน แล้วทำไมตอนนี้เหลืออยู่แค่นี้ล่ะ
“เสียหน้า เสียให้ใครเหรอ มีใครเขามาประณามหยามเหยียดหงส์ บอกเจ้สิ เจ้จะบอกอาเฮียไปจัดการให้”
เอ่อ..กูว่าเจ้กูจะกลายเป็นมาเฟียตามอาเฮียไปด้วยอีกคนละ
“ส่วนเรื่องครอบครัวอันสมบูรณ์แบบ นั่นเป็นเรื่องทัศนคติและมุมมองที่หงส์ตั้งไว้ ซึ่งมันสามารถปรับเปลี่ยนได้ กลับกันนะหงส์ ถ้าหงส์ได้แต่งงานกับผู้หญิงสักคนที่หงส์คิดว่าใช่ แต่มาค้นพบว่าจริงๆ แล้วเธอไม่ได้ดีอย่างที่คิด จุกจิกจู้จี้ขี้บ่น หรือธาตุแท้เป็นคนอารมณ์ร้ายขึ้นมาทำไง ชีวิตคู่พังไม่เป็นท่าแน่ๆ หงส์คิดว่าความสมบูรณ์แบบยังมีอยู่อีกไหม ส่วนเรื่องลูก…”
เจ้หมวยนิ่งไปพัก
“สมัยนี้เรื่องทำลูกไม่ใช่เรื่องใหญ่นะ ตระกูลเราไม่ได้อดอยากทายาทขนาดนั้น หลานลื้อก็มี ให้หลานเป็นคนดูแลตอนแก่ก็ได้ หรือถ้าอยากได้เชื้อสายตัวเองจริงๆ ทำเอาสิ ผู้หญิงผู้ชาย กี่สิบคน ทำได้หมด”
“แต่มันไม่เหมือนกันนะเจ้ การมีลูกกับคนที่เรารักน่าจะดีที่สุด”
“แล้วลื้อไม่คิดจะรักลูกของตัวลื้อเอง หรือลูกของคนที่ลื้อรักที่สุดรึไง”
ผมนิ่งไป
ถ้าเป็นลูกผมเอง ผมต้องรักอยู่แล้วไม่ว่าเขาจะเป็นใคร แต่ถ้าเป็นลูกของไอ้บ๊วยมัน
ผมแก้มร้อนผ่าว ผมไม่ได้รักมันซะหน่อย
“เด็กน่ะ เกิดมาแล้ว ไม่ว่าจะเลือดเนื้อเชื้อไขใคร หากเราได้ดูแลเลี้ยงดู ความรักความผูกพันมันจะเกิดขึ้นเอง อย่างเจ็กเจียงไง ไม่ใช่ลูกเหล่ากงเหล่าม่า เหล่ากงเหล่าม่าก็รักไม่ต่างกับลูกแท้ๆ คนอื่นๆ เหล่ากงเหล่าม่าเคยทำอะไรให้เจ็กเจียงรู้สึกลำเอียงจากพี่น้องคนอื่นๆ บ้างไหมล่ะ”
ไม่เลย
ผมตอบอยู่ในใจ
เจ็กเจียงคือลูกเลี้ยงของเหล่ากงเหล่าม่าครับ มีคนเอาใส่ตะกร้ามาทิ้งไว้หน้าบ้านตั้งแต่ยังแบเบาะ เหล่ากงเหล่าม่าก็เอามาดูแล รักไม่ต่างกับลูกในไส้ ถ้าไม่บอกไม่มีใครรู้ด้วยว่าเป็นลูกเลี้ยง เจ็กเจียงแกก็ดีแสนดี ซื่อสัตย์ ขยันและกตัญญูรู้คุณสุดๆ ดื้อน้อยสุดในบรรดาลูกๆ ของเหล่ากงเหล่าม่าด้วยซ้ำ
ผมทิ้งตัวลงนอน
ถ้าบังเอิญผมไม่ได้หย่ากับบ๊วยมันอย่างที่ต้องการ อนาคตเราจะมีลูกด้วยกันไหม ถ้าลูกผม เด็กคงเตี้ยม่อต้อ ลูกมัน เด็กคงสูงเป็นเปรต
ผมว่าลูกผมต้องน่ารักกว่าลูกมันแน่ๆ
“ยังมีเวลาให้คิดหงส์ไม่ต้องเร่งร้อน ลื้อโชคดีแล้วที่ได้เกิดเป็นน้องเล็ก ไม่ต้องเหนื่อยเหมือนพวกอาเฮียเขา”
“แต่อั๊วอยากเหนื่อยแบบพวกฮาเฮียมากกว่ามานอนเพลียบนเตียงแบบนี้นี่”
“ว่าอะไรนะ เจ้ได้ยินไม่ชัด”
“เปล่าๆ เจ้ อั๊วมีอะไรจะถามหน่อย”
ผมรีบแถถามไปเรื่องอื่น
“ว่ามาสิ”
ผมนิ่งคิด
“เอ่อ …เจ้เริ่มรักอาเฮียตั้งแต่เมื่อไหร่”
เจ้หมวยนิ่งไปพัก
“ไม่รู้สิหงส์ รู้ตัวอีกทีก็รักไปแล้ว”
ผมทิ้งตัวนอนหงาย เกยหมอนไว้บนอก กอดเบาๆ ตามองเพดาน
“แล้วนานไหม กว่าจะรู้ว่ารัก”
ผมถามไปเรื่อยๆ อย่างหาเรื่องชวนคุยมากกว่า
“ไม่หรอก ไม่นาน”
แล้วไม่นานของเจ้หมวยนี่มันกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี
“เอ่อ..อันนี้แค่ถามประดับความรู้นะ แล้วอะไรที่ทำให้เจ้รู้ว่ารักอาเฮียเข้าให้แล้ว”
เจ้หมวยนิ่งไปอีกรอบ แล้วตอบ
“เมื่อรู้สึกว่าในหัวของเราตอนนี้มีแต่เรื่องของเขา เป็นห่วงเขา และหัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขา”
หัวใจเต้นแรงเมื่ออยู่ใกล้เขา
ผมเลื่อนมือมากุมหัวใจตัวเอง ผมจำได้ว่ามันจะเต้นผิดปกติบ่อยมากเมื่อมีไอ้บ๊วยอยู่ใกล้ๆ
“หงส์รักไป่หลงแล้วใช่ไหม”
ผมตาโต ดีดผึงลุกนั่งทันที
“เฮ้ย บ้าไปแล้วเจ้ ใครจะไปรักหมอนั่นกัน!!!”
เจ้หมวยหัวเราะ
“เหรอ คิดว่ารักไปแล้วซะอีก จะรักไม่รักเราก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ทำให้สมบูรณ์ก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที”
“ทำอะไร”
อันนี้ผมไม่รู้จริงๆ ครับ ว่าไอ้หน้าที่ที่ผมต้องทำน่ะคืออะไร มันไม่ใช่งานแต่ก็เป็นหนึ่งในภาระหน้าที่ที่ผมต้องทำให้ครอบครัว
“ดูแลสามีไง เราแต่งเข้าไปเป็นภรรยา หน้าที่ของเราคือดูแลสามี ทำให้เขามีความสุข พร้อมที่จะออกไปสู้รบกับคนอื่นนอกบ้าน บ้านคือกองกำลังที่สำคัญที่สุด อย่างที่ม้าเคยสอน จำไม่ได้รึไง”
“ใครจะไปจำ ม้าสอนลูกผู้หญิงของม้า ไม่ใช่ผู้ชายอย่างอั๊วสักหน่อย”
ถึงตอนสอนม้ามักจะสอนตอนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันก็เถอะ(ลูกเยอะครับ เวลาจะสั่งสอนอะไรต้องสอนตอนอยู่ด้วยกันพร้อมหน้านี่แหละ แกก็สอนไปเรื่อย ทั้งเรื่องที่ผู้หญิงควรรู้ และผู้ชายควรทำ สลับๆ กันกับป๊า แต่โอกาสที่ป๊าจะได้สอนมีน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่ม้าจะเป็นคนหลักที่สอน เป็นช่วงเวลาที่ผมเบื่อหน่ายที่สุดเลย เพราะบางทีม้าก็บ่นมากกว่าสอน โดยเฉพาะผมที่มีวีรกรรมย่ำแย่ที่สุดของบ้าน)
“แต่หงส์แต่งเข้าบ้านสามี หงส์ต้องนำคำสอนนี้ของม้าไปใช้นะ”
“ไม่ เพราะอั๊วไม่ใช่ผู้หญิง”
ผมตอบกลับทันที เจ้หมวยหัวเราะ
“งั้นไม่ต้องดูแลสามีแบบผู้หญิงก็ได้ แต่ดูแลสามีให้ดีๆ ในแบบของตัวหงส์เอง”
ผมนิ่งคิด
ผมไม่คิดจะดูแลมันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม
“แล้วเจ้หมวยดูแลอาเฮียยังไง นี่อั๊วถามเฉยๆ นะ ไม่ได้คิดจะเอาไปดูแลใคร”
ผมรีบออกตัวก่อน เดี๋ยวเจ้จะหาว่าผมถามเอาไว้ดูแลไอ้บ๊วยมัน
พี่สาวผมหัวเราะเสียงใส
“มันต้องดูนิสัยสามีเราก่อนนะ เพราะแต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน เราต้องดูว่าคนของเราต้องการการดูแลมากน้อยแค่ไหน แบบไหน พื้นฐานง่ายๆ ก็กลับบ้านน้ำท่ามีเตรียมไว้ให้เขา ถามไถ่ แต่ไม่ก้าวก่าย ให้แนวความคิด แต่ไม่ควรชี้นำ ให้การสนับสนุน ให้กำลังใจ ที่สำคัญ ไม่ว่าเขาจะมีเรื่องเครียดที่ไหนมา เราต้องทำหน้าที่บำบัดให้เขา จะใช้วิธีไหนก็ได้ เพื่อให้เขามีแรงและกำลังใจไปสู้ต่อ อย่าทำตัวเป็นปัญหาให้เขาอยากนอนอยู่ที่ทำงานมากกว่าที่บ้าน”
ผมพยักหน้าหงึกๆ คิดกลับกัน ถ้าผมเป็นผู้ชาย เจอเมียแบบเจ้หมวยนี่ผมคงรักตาย ไม่แปลกใจว่าทำไมอาเฮียฝานถึงได้ทั้งรักทั้งหลงทั้งเทิดทูนเจ้หมวยของผมขนาดนี้ อาเฮียฝานบอกผมอยู่บ่อยๆ ว่าเฮียโชคดีที่ได้เจ้หมวยเป็นทั้งเมียและแม่ของลูก
ดีเนอะ อยากได้เมียแบบเจ้หมวยจัง (เจ้หมวยขี้บ่นน้อยกว่าม้า เห็นแกบอกว่า จะนำเฉพาะข้อดีของม้ามาใช้ อะไรที่ไม่ดีก็ฝากม้าไว้ตามเดิม)
“แค่นี้ก่อนนะหงส์ สายเข้า อาเฮียของลื้ออายุยืนจริง โทรมาพอดี”
ผมจิ๊ปาก ฝากเจ้ทักทายอาเฮียให้ผมด้วย ผมกดวางสาย เอาหมอนมานั่งค้ำคางมองจอทีวีว่างๆ ตรงหน้า
ภาพที่ม้าดูแลป๊าย้อนกลับเข้ามาในหัว พอๆ กับภาพบรรดาพี่สาวผมดูแลอาเฮีย หรือบรรดาอาซ้อดูแลเฮียๆ ของผม
และผมที่กำลังทำสิ่งเดียวกันบ้างแบบนั้นกับไอ้บ๊วย
ผมหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
บ๊วยมันจะชอบไหม
ผมกดหมอนกับคางแน่นขึ้น
ไม่ใช่สิ ผมต้องทำให้มันรู้สึกรำคาญไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ทำให้มันมีความสุข
ลืมไปได้ไงวะ
ผมดีดตัวลุก
เอาละ ต้องรีบทำให้มันหย่ากับผมให้เร็วที่สุด!!ผมนั่งๆ นอนๆ ดูทีวีสลับกับไปให้อาหารปลาคาร์ปของผม ผมเห็นด้วยกับซันไรส์นะ ที่บอกว่าควรจะหยุดให้อาหารปลาบ้าง เพราะพวกมันพากันอ้วนตุบเลย (ไม่มีอาหารลอยเสียหรอกครับ เพราะจะมีระบบบำบัดน้ำค่อนข้างดีและมีคนคอยดูแลทำความสะอาดอยู่เสมอ)
ได้ยินเสียงรถวิ่งเข้ามาภายในบ้าน ผมนั่งอยู่ที่เดิม กระทั่งเห็นบ๊วยมันเดินเข้ามาในระยะเรียกกันได้ยิน
มันฉีกยิ้มกว้าง สว่างไสวจนอยากติดต่อบริษัทคอลเกตมาจ้างให้มันไปเป็นพรีเซ็นเตอร์
“หงส์”
มันพยักหน้าทีหนึ่ง เป็นสัญญาณที่แม้แต่หมาหางกุดก็ยังอ่านออกว่าให้ไปหามัน
เรื่องอะไรผมจะไป ผมหันกลับมามองปลาคาร์ปตามเดิม
“หงส์”
ได้ยินเสียงเรียกอีกรอบ ผมทำเป็นนิ่งเสียเหมือนไม่ได้ยิน กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้
“เฮียเรียกไม่ได้ยินรึไง”
“ได้ยิน แต่ไม่สน”
ผมตอบรับนิ่งๆ ไม่หันไปมอง
“เป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า”
มันจับผมให้หันไปมอง
“สบายดี ปล่อย ต่างคนต่างอยู่ กลับมาแล้วก็ไปอาบน้ำ กินข้าวกินนมนอน”
ผมไล่เอาดื้อๆ มันจับคางผมให้เงยหน้าขึ้นสบตา
“งอนอะไรเฮียหรือเปล่า”
หะ?
กูไม่ได้งอนเว้ย กูกำลังทำเมินมึงอยู่ต่างหาก
“ไม่ได้งอน ปล่อยได้แล้ว จะไปไหนก็ไป บอกแล้วไงว่าต่างคนต่างอยู่”
มันจ้องตาผม จ้องนิ่งเหมือนพยายามค้นอะไรภายใน
“หรือว่างอนที่เฮียวางสายเร็วเมื่อตอนเที่ยง”
“ไม่ใช่”
ผมรีบตอบรับทันที
“แล้วงอนเรื่องอะไร”
“ไม่ได้งอน!”
ผมปฏิเสธเสียงแข็ง ทำให้จริงจังให้มันรู้ว่าผมหมายความตามพูดจริงๆ
มันจ้องตาแข็งๆ ของผมอีกรอบ
“ไม่รู้ว่าหงส์งอนเฮียเรื่องอะไรนะ แต่เฮียขอโทษละกัน เมื่อตอนเที่ยงเฮียยุ่งมาก คิดถึงหงส์ขนาดไหนก็มีเวลาโทรหาได้แค่นั้นจริงๆ โดนวิกเซอร์บ่นใหญ่ว่าไม่แยกแยะระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว ดันคิดถึงหงส์เวลางานได้”
คำมันทำเอาใจผมอ่อนยวบยาบ แก้มร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ผมกัดปาก พยายามบังคับไม่ให้ไอควันร้อนๆ กรุ่นออกมาจากรูหู
“นี่เฮียเร่งงานสุดๆ แล้ว จะได้รีบกลับบ้านมาทานข้าวเย็นกับหงส์”
ปล่องไฟก็เอาไม่อยู่แล้วครับ รู้สึกเหมือนมีไฟพุ่งออกจากหูเป็นทาง ผมก้มหน้ากัดปากแน่นยิ่งกว่าเดิม
“ไม่งอนเฮียนะ”
“ไม่ได้งอน”
ผมอ้อมแอ้มบอก เสียงแข็งไปเดี๋ยวมันจะโมเมเอาเองว่าผมงอนจริง
“งั้นพิสูจน์ก่อนว่าหงส์ไม่ได้งอนเฮีย”
ผมเงยหน้ามอง
“ยังไง”
เร็ว กูจะได้พ้นข้อกล่าวหาแต๋วๆ นี้สักที
“ตรงนี้ ข้างละที”
มันอมลมเข้าแก้มให้นูนขึ้นนิดๆ เหมือนป๊าทำเวลาง้อผมตอนเด็กๆ
อะไรมันจะทำตัวน่ารักได้ขนาดนั้น
“ทำสิ ไม่ทำแปลว่าหงส์งอน”
“ไม่ได้งอน”
ผมรีบออกตัว
“งั้นตรงนี้ข้างละที เร็วๆ”
ทำไมมันเข้าตัวจังเลยวะ
แต่เพื่อไม่ให้มันเข้าใจผิดคิดว่าผมงอน ผมจำต้องยืดหน้าแนบปากกับแก้มมันไปข้างละที
มันกลัวไม่เสมอภาคครับ ก้มลงมาหอมแก้มผมเบาๆ ข้างละทีเช่นกัน
ผมลูบแก้มตัวเองเบาๆ
จริงๆ น่าจะขัดขืนด้วยการต่อยมันไปสักหมัดสองหมัดแบบแต่ก่อนนะ
“วันนี้เฮียจะเข้าครัวทำอาหารให้หงส์กินด้วยตัวเอง”
ผมตาโต
“เฮียทำเป็นด้วยเหรอ”
“เป็นสิ สมัยเรียนเฮียทำเองทุกหน้าที่นั่นแหละ”
ชิ ไม่ลองให้ผมไปเรียนข้างนอกบ้างล่ะ จะได้ทำเป็นบ้าง
แล้วมันก็ลากผมแถกๆ เข้าไปในครัว ซึ่งวันนี้แม่ครัวพากันออกมายืนเรียงแถวดูเฉยๆ มันหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวม
อื้อหือ พี่ชาคริตครับ พ่อครัวที่หล่อกว่าพี่ก็สามีผมนี่แหละ
โอเค เทคสอง
พ่อครัวที่หล่อกว่าพี่ก็ไอ้บ๊วยนี่แหละ
ขนาดท่าสวมผ้ากันเปื้อนมันยังดูดีเลย มันยิ้ม ผมเบะปากให้มันทีด้วยความหมั่นไส้ มันขยับเดินเข้ามาใกล้ ยื่นแขนมาให้ (ผมนั่งบนเก้าอี้เคาน์เตอร์บาร์มอง)
“พับแขนเสื้อให้เฮียหน่อย”
ผมมองหน้ามัน ก้มมองแขนเสื้อ เงยหน้ามองมันอีกรอบ ขยับขาไขว่ห้าง ยกสองมือขึ้นกอดอก บอกมันด้วยท่าทางว่า ‘ไม่ทำ’ มันหัวเราะหึๆ ขยับเข้ามาชิดด้วยมาดนายแบบของมัน
“สงสัยว่าหงส์จะยังไม่หายงอนเฮีย งั้นเฮียคงต้องง้อให้หงส์หายงอนก่อน”
ผมตาโต รีบคลายมือพูด
“บ้า ไม่ได้งอน แต่ไม่ทำให้ มีอะไรหรือเปล่า มีมือก็ทำเองดิ”
“อือ สงสัยจะยังงอนไม่หายจริงๆ นั่นแหละ”
ว่าแล้วมันก็โมเมคร่อมร่างผมไว้กับเคาน์เตอร์บาร์ ก้มหน้าลงต่ำ เป้าหมายคือแก้มผมแน่ๆ ผมรีบเอนตัวหนีพอๆ กับรีบกั้นอกมันไว้ด้วยสองมือ
บ้ารึไง แม่ครัวยืนกันเป็นแถว ซันไรส์ก็ยืนอยู่ทนโท่ (แถวเดียวกับแม่ครัวนั่นแหละ)
“ได้ ๆ ๆ ๆ เดี๋ยวพับให้”
มันหัวเราะหึๆ ดึงตัวกลับไปช้าๆ ก่อนไปไม่วายแอบเก็บเล็กเก็บน้อยด้วยการเฉียดปลายจมูกกับแก้มผมเบาๆ ให้ร้อนผ่าวเล่นอีก
“หอมจัง”
“แต่เฮียอะตัวเหม็น”
มันหัวเราะร่วน ท่าคร่อมเมื่อกี้ทำให้มันอยู่ตรงกลางระหว่างขาผม ผมพยายามดันมันออกห่าง
“ห่างหน่อยอึดอัด”
“เดี๋ยวหงส์ทำไม่ถนัด”
“ถนัดสิ อายแม่ครัวบ้างไหม”
“อายทำไม ถ้าลีลามาก เฮียอาจง้อหงส์นะ”
ขู่กันตลอดนะมึง
ผมมองมันเขวี้ยงๆ จับแขนมันตรงหน้า พับให้ลวกๆ (อย่าเรียกว่าพับดีกว่าครับ แค่รูดขึ้นให้มันม้วนยุ่ยๆ ไปอยู่เหนือศอกเท่านั้น)
มันมองผลงานของผม ส่ายหน้าไปมา
“ทำให้สวยๆ หน่อยสิ เอาใหม่”
“ทำให้สวยไปทำไม ยังไงก็ต้องคลายออกอยู่ดี ทำอาหารแป๊บเดียว ไม่ทำให้รสชาติอาหารแย่หรอก ยกเว้นฝีมือห่วยอยู่แล้ว”
แล้วมันก็ทำร้ายจิตใจผมด้วยการคลายปมที่ผมทำไว้อย่างดี(เหรอ = =;)เมื่อกี้ออก ยื่นให้อีกรอบ
“อ่ะ อีกรอบ ถ้าไม่สวย เฮียจะให้แก้จนกว่ามันจะสวย”
“เรื่องมาก”
ผมด่ามันไปเบาๆ ที พับใหม่ คราวนี้บรรจงพับดีๆ เพราะไม่อยากแก้งานอีกรอบ เอาให้เนี้ยบเลย
“เก่งเหมือนกันนี่”
พูดจบมันก็ลูบหัวผมเบาๆ มันรู้สึกดีพิลึก เหมือนโดนพ่อโดนแม่ชม
แล้วมันก็ยื่นอีกข้างมาให้ ผมบรรจงพับดีๆ ตาม มันตรวจเช็กผลงาน มองหน้าผม
“เก่งครับ” แล้วก้มหอมแก้มผม “รางวัล”
“ไม่ได้อยากได้สักหน่อย”
ผมลูบแก้มตัวเอง มันหัวเราะ หันกลับไปหยิบอุปกรณ์
อื้อหือ รู้ได้เลยว่ามืออาชีพจริงๆ เพราะหยิบจับข้าวของอย่างชำนิชำนาญ ตั้งแต่หยิบของออกจากตู้ ล้างทำความสะอาด หั่น แล้วปรุงรส
“ท่าทางชำนาญจัง เคยเป็นพ่อครัวมาก่อนรึไง”
มันหันมามองนิดหนึ่ง
“ใช่ ประมาณครึ่งปี”
ผมตาโต
“จริงเหรอ ที่ไหน เมื่อไหร่”
“ร้านอาหารในอิตาลี ช่วงหาประสบการณ์ชีวิต เฮียถนัดทำอาหารยุโรปมากกว่าอาหารไทย ถ้าให้เก่งทุกแนวต้องนู่น”
มันชี้ทัพพีไปยังซันไรส์ที่ยืนทำหน้าเป็นหมาตายอยู่ใกล้ๆ แม่บ้าน
มันหันกลับไปทำต่อ คลุกๆ ปรุงๆ แผล็บๆ ก็ได้ Chicken Parmigiana หน้าตาน่าทานมา 2 ชิ้น ผมกลืนน้ำลายลงคอดังเฮือกกับกลิ่นชีสที่ลอยมาแตะจมูก ถ้ามันเป็นม้า ป่านนี้ผมแอบกินไปแล้ว มันหันไปหมุนๆ อยู่อีกชั่วอึดใจเดียวก็ได้ Penne alla Vodka มาอีกจาน และที่เสร็จช้าสุดคือ Lasagna
แม่เจ้า แต่ละอย่างน่ากินทั้งนั้นเลย ผมสูดเอากลิ่นไอหอมๆ ของอาหารสามอย่างตรงหน้าเข้าปอด ท้องพากันร้องจ๊อกๆ
กลิ่นชีส กลิ่นเครื่องเทศหอมๆ ทำเอาผมแทบละลาย ผมมองอาหารสามอย่างตรงหน้าน้ำลายแทบไหลยืด
“เสียดายป๊าม้าไม่ชอบอาหารแนวนี้ ไม่งั้นจะทำเผื่อ”
ผมไม่สนเรื่องที่มันพูดถึงป๊าม้า มองตามันทำนองว่า กินได้รึยัง มันไม่พูดอะไร พยักหน้าไปทางซันไรส์ รายนั้นเดินเข้ามาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ หยิบอาหารสามอย่างใส่ถาด ยกออกไป
“ป่ะ เฮียชอบกินในสวน เราไปนั่งกินที่นู่นกันสองคนดีกว่า”
มึงจะพากูไปกินในส้วมกูก็ยอมละบ๊วย อาหารมึงน่ากินมาก
ผมพยักหน้าหงึกๆ โดดลงจากเก้าอี้บาร์ แต่มันเบรกผมไว้ก่อนที่ผมจะเดินนำมันออกไป
“ปลดผ้ากันเปื้อนให้เฮียก่อน”
ผมมองหน้ามัน
“นี่ ถ้าเฮียเป็นผู้หญิงจะน่ารักกว่านี้นะ”
“แล้วแต่ ถ้าไม่ปลดก็อดกิน”
กูเนี่ยนะ เสียทั้งขึ้นทั้งล่องเลย
แต่สิ่งที่ซันไรส์ยกไปมันเรียกน้ำลายผมมากกว่าอะไร ผมรีบขยับอ้อมไปด้านหลังเพื่อปลดให้มันดีๆ มันดึงเอาไปแขวนไว้ แล้วก้มหอมแก้มผมอีกรอบ ผมถูแก้มตัวเองแรงๆ
“ขี้กลากกินแก้มแน่ๆ”
มันหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี โอบเอวผมพาเดินออกไปด้านนอก
(มีต่อค่ะ >> :
https://goo.gl/79PSmJ)