"ดินเข้าไปก่อน พี่ใช้ชื่อดินจองโต๊ะไว้ เดี๋ยวพี่วนรถไปจอด"
มธุวันบอกน้องชาย แดนดินพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วเดินเข้าไปก่อน ปัจจุบันน้องชายของเขายังไม่มีรถ เพราะเจ้าตัวบอกว่ายังรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องใช้ ไม่อยากจ่ายเงินผ่อนรถ ทั้งที่มธุวันเสนอครั้งแล้วครั้งเล่าว่าจะซื้อให้ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เจ้าน้องชายของเขาดื้อแพ่งไม่ยอมให้เขาดูแล
“ดิน มายืนทำอะไรตรงนี้ โต๊ะเราอยูทางนั้นนะ...?”
เมื่อได้ที่จอดรถเรียบร้อยร่างโปร่งจึงกลับไปสบทบกับน้องชายที่ในร้าน ทว่าแดนดินที่ควรจะอยู่ที่โต๊ะกลับมาอยู่กับคนสองคนที่เขาไม่คิดว่าจะเจอที่ร้านอาหารแห่งนี้เสียได้
ให้ตายเถอะ อุตส่าห์คิดว่าลืมเรื่องงานได้ซักพักแล้ว ยังมาเจอคนพวกนี้อีก
“คุณมธุวัน สวัสดีครับ”
ขวัญข้าวทักทายเขาอย่างมีมารยาท ส่วนจอมทัพนั้นมีสีหน้าอึ้งกิมกี่ คงคิดเหมือนกับเขาว่าไม่มีทางจะเจอเพื่อนร่วมงานในร้านอาหารหรูที่ถึงแม้จะไม่มีเดรสโค้ดแต่ก็เรียกได้ว่าเป็นระดับภัตราคารเกรดเอในเวลาพักเที่ยงที่ถึงแม้จะเงินถึงก็ไม่น่ามีคนเสียเวลาถ่อมาแบบนี้
หรือไม่ก็อาจจะกำลังตกใจกับความรู้ใหม่ที่ว่าเขาเป็นพี่ชายของแดนดิน
“ผมแค่มาทักทายคุณขวัญน่ะครับพี่หมอก เมื่อวานขอบคุณนะครับ ผมสนุกมากเลย”
แดนดินอธิบายให้พี่ชายฟัง เมื่อคืนน้องชายของเขาโทรมาเล่าเรื่อง ‘เดท’ที่โดนเพื่อนร่วมงานจับคู่ให้โดยที่เขาไม่รู้ตัวเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ตั้งแต่เริ่มทำงานมา มธุวันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้ยินว่าคนคนนั้นคือขวัญข้าว และยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินถึงพฤติกรรมโรคจิตของคุณ’จอมรังควาญ’ที่บัดนี้ดูจะเปลี่ยนเป้าหมายจากเขาไปหาเลขาตัวเล็กอย่างเต็มตัวแล้ว
“จริงสิ เมื่อวานเหมือนขวัญบอกจะไปไหนซักที่นี่นา”จอมทัพเอ่ยขึ้น “ขอบใจนะที่รีบมาคอยดูแลฉันจนถึงเช้าเลย...”
“คุณจอมทัพครับ!”
ขวัญข้าวหน้าแดงก่ำกับคำพูดของเจ้านายมธุวันมีความปรารถนาอยากแรงกล้าที่จะกลอกตามองบน ปกติเขาก็ไม่ได้อะไรกับพวกคู่รักกระหนุงกระหนิงพวกนี้หรอกนะ แต่ตอนนี้เขากำลังอารมณ์ไม่ดี และเวลาที่เขาอารมณ์ไม่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูขวางหูขวางตาไปเสียหมด
“คุณแดนดิน คุณมธุวัน นั่งด้วยกันมั้ยครับ?”
ขวัญข้าวเอ่ยขึ้นท่ามกลางความประหลาดใจของชายทั้งสาม มธุวันไม่รู้ว่าทำไมเลขารุ่นน้องถึงชวนให้เขามานั่งกับตัวเองและจอมทัพ แต่เขาในตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะสุงสิงกับใครทั้งนั้น
"ไม่เป็นไร ผมจองไว้...”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอนั่งด้วยคนนะครับ คนเยอะๆสนุกดีออก”
แดนดินขัดคำปฎิเสธของพี่ชายทันที รีบนั่งลงข้างร่างเล็กก่อนที่มธุวันจะได้ห้ามปรามอะไร มธุวันทำได้เพียงนั่งลงตามน้องชาย เหลือบมองแดนดินที่เล่นอะไรไม่เข้าเรื่องอย่างจนใจ น้องชายของเขาเป็นคนดี เขารู้ว่าชายหนุ่มอยากจะให้ขวัญข้าวมีความสุขกับคนที่ชอบ แต่คงจะหมั่นไส้จอมทัพอยู่ลึกๆถึงได้จงใจจัดแข้งขัดขาแบบนี้
บริกรหนุ่มยกน้ำมาเสิร์ฟให้กับทุกคน มธุวันที่รู้สึกคอแห้งเล็กน้อยยกน้ำเย็นๆขึ้นดื่มอย่างกระหาย
“ว่าแต่...ทำไมวันนี้คุณหมอกหยุดล่ะครับ ลุงเชษฐ์อนุญาตเหรอ?”
ปึ้ก!
ร่างโปร่งวางกระแทกแก้วน้ำลงด้วยแรงที่ไม่เบานัก ทำเอาคนรอบข้างสะดุ้งกันไม่เว้นแม้แต่น้องชายที่เริ่มปรับตัวกับพี่ชายลุคใหม่ของตัวเองได้แล้ว มธุวันตวัดสายตาเย็นเยียบมองคนพูด
“ผมมีสิทธิ์ลาหยุดตามกฎหมายแรงงาน ทำไมต้องขออนุญาตคนพรรค์นั้นด้วย?”
ถึงแม้ในความเป็นจริงเขาจะถูกเมฆาบังคับให้ลาหยุดก็เถอะ
ขวัญข้าวยกมือเรียกพนักงานมารับออเดอร์เพื่อลดบรรยากาศตึงเครียดบนโต๊ะ มธุวันหันไปสนใจกับสั่งอาหาร นึกเสียใจที่ไม่ทำกับข้าวกินอยู่บ้านให้มันเสร็จๆ จะได้ไม่ต้องวุ่นวายแบบนี้
แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นจอมทัพเบือนหน้าหนีเลขาของตัวเองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างผิดวิสัย และร่างเล็กที่ดูกังวลเหมืนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด ความรู้สึกพาลอยากแกล้งคนที่ถูกจุดขึ้นมาจากการทะเลาะกับเจ้านายก็ทำให้มธุวันแกล้งโน้มหน้าเข้าไปหาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆเขาอย่างนึกสนุก
“ถ้าคุณยังเอ้อระเหยลอยชายอยู่แบบนี้ ผมจะไฟเขียวให้น้องชายผมจีบคุณขวัญข้าวแล้วนะ”
ร่างสูงมีสีหน้าตกใจกับคำพูดนั้นของเลขาคนเก่ง
“โธ่ คุณหมอก กว่าผมจะหลอกล่อขวัญให้มากินข้าวกับผมได้ผมก็หืดแทบขึ้นคอ น้องชายคุณยังจะโผล่มานี่อีก จะให้ผมทำยังไงครับ”จอมทัพโวยวายกลับเสียงเบา “แค่ทำให้ขวัญสนใจผมมากกว่าแค่เจ้านายกับลูกน้องก็ยากพออยู่แล้วนะครับ ขวัญเขาไม่ได้รู้สึกอย่างที่ผมรู้สึกซักนิด”
ซื่อบื้อ...
มธุวันอยากจะด่าอีกฝ่ายให้ตาสว่าง หากเป็นปกติเขาคงจะทำเป็นไม่สนใจ หรือให้คำแนะนำอีกฝ่ายไปตัดรำคาญ เพราะสิ่งที่เขาเห็นคือคนสองคนที่หลงอีกฝ่ายหัวปักหัวปำแต่กลับไม่พูดอะไรกันเสียที
แต่ตอนนี้ มธุวันกำลังรู้สึกอยากปั่นหัวคนอื่นให้รู้สึกหงุดหงิดใจเหมือนที่เขากำลังเป็น ร่างโปร่งจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้ชายหนุ่มอีกนิด วางมือลงบนต้นขาของจอมทัพอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะกระซิบอีกครั้ง
“ถ้าคุณขวัญข้าวเขารู้สึกกับคุณแค่เจ้านายกับลูกน้อง เขาไม่ทำหน้าแบบนั้นแค่เพราะผมทำแบบนี้กับคุณหรอก”
“ผม..ผมไปห้องน้ำนะครับ”
ยังไม่ทันขาดคำหนูแฮมสเตอร์ตัวน้อยที่โดนแหย่ก็ทนไม่ไหววิ่งหางจุกตูดหายไปทันที มธุวันเห็นว่าไม่มีคนให้แกล้งแล้วจึงลุกขึ้นอย่างเบื่อหน่าย
“เราไปโต๊ะที่เราจองไว้ดีกว่าดิน”
“ครับพี่หมอก”
คราวนี้ร่างสูงยอมลุกอย่างว่าง่าย เมื่อพ้นจากระยะการได้ยินของจอมทัพ แดนดินก็โอบเอวบางของพี่ชายเข้ามาใกล้แล้วกระซิบถาม
“นี่ตกลงพี่หมอกจะช่วยหรือจะยุให้เขาแตกกันครับ”
มธุวันกระตุกยิ้มมุมปาก เอื้อมมือโอบรอบคอของน้องชายร่างสูงให้โน้มลงมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูอารมณ์ดีขึ้นมาก
“ก็ว่าจะช่วย แต่ขวัญข้าวบังอาจมาหักอกน้องชายพี่ จะให้ลงเอยกันดีๆพี่ก็เป็นพี่ชายที่ไม่ได้เรื่องสิ”
“ไม่ใช่ว่าโกรธเจ้านาย เลยเอาอารมณ์มาลงกับคนอื่นหรอกนะครับ” แดนดินเอ่ยอย่างรู้ทัน
“แสนรู้นะเรา”
มธุวันชมน้องชายด้วยคำเดียวกับที่เขาถูกเมฆาชม คนถูกชมทำหน้าปุเลีี่ยนๆเหมือนไม่มันใจว่าควรมีปฎิกิริยาอะไรกับคำพูดนั้น
Rrrrrr
เสียงโทรศัพท์ของร่างโปร่งดังขึ้น มธุวันหยิบโทรศัพท์ออกมามองหน้าจอก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นชื่อของคนที่สั่งให้เขาพักผ่อนเด่นหราอยู่บนหน้าจอ
เกิดเรื่องอะไรที่บริษัทรึเปล่า?
“ขอโทษนะดิน พี่มีงานด่วน ดินกินไปเลยนะ”
“อ้าว...”
ยังไม่ทันที่น้องชายจะได้ทักท้วง มธุวันก็เดินลิ่วออกมานอกร้านอาหารเสียแล้ว ร่างโปร่งกดรับโทรศัพท์แล้วกรอกเสียงลงไปตามสาย
“ครับคุณเมฆา”
“รีบมาหาผมที่คอนโดตอนนี้ ด่วน”
เสียงทุ้มที่เคร่งเครียดทำให้ร่างโปร่งขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล รีบจ้ำอ้าวไปยังรถที่จอดไว้แล้วบึ่งออกไปจากที่ตรงนั้นทันที
ทางด้านของแดนดินนั้น หลังจากที่โดนพี่ชายเทอย่างไม่ใยดี ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตากินอาหารที่ตัวเองสั่งมา นึกสงสัยว่าแถว
นี้จะมีแท็กซี่ให้เขาเรียกกลับที่พักหรือไม่
“อ้าว น้องดิน เจอกันอีกแล้ว”
เสียงทุ้มของชายหนุ่มที่เพิ่งเจอกันก่อนหน้านี้ที่หน้าห้องของพี่ชายทำให้แดนดินเงยหน้าขึ้นจากจานสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาตรงหน้า นาวินทร์ในชุดสูทสีทำสนิทอวดรูปร่างสมส่วนดูดีผิดกับเสื้อยืดกางเกงบอลเมื่อครู่ทำเอาเขาเอ๋อไปครู่หนึ่งเพราะจำคนตรงหน้าไม่ได้ นอกจากสูทสีดำสนิทและแว่นกันแดดสีดำที่เสียบอยู่กับกระเป๋าเสื้อ เส้นผมหยักศกของอีกฝ่ายก็ถูกรวบเป็นหางม้าเล็กๆไว้อย่างเรียบร้อย เผยให้เห็นต่างหูสีดำด้านเรียบๆ แต่กลับทำให้ชายหนุ่มดูดีอย่างหน้าเหลือเชื่อ
“พี่วินสวัสดีครับ มาทำอะไรแถวนี้เหรอครับ?”
ร่างสูงชวนคุย ชายหนุ่มในชุดสูทนั่งลงอย่างถือวิสาสะ แต่แดนดินที่ไม่มีเพื่อนทานข้าวอยู่แล้วไม่ได้ถือสาอะไร
“พี่มาจัดการงานให้เจ้านายน่ะ เลยแวะมาหาอะไรกิน เห็นร้านนี้น่ากินดี เอ้อ ว่าแต่หมอกไปไหนซะล่ะ?”
“พี่หมอกมีงานด่วนน่ะครับ”
แดนดินว่า บริกรนำเมนูมาให้ชายหนุ่มผู้มาใหม่ นาวินทร์หันไปขอบคุณอีกฝ่าย และนั่นเป็นตอนที่แดนดินสังเกตเห็นความผิดปกติที่คอของร่างสูง
“พี่วิน เลือดครับ”
แดนดินชี้ไปที่ด้านข้างลำคอของชายหนุ่มโผล่พ้นปกเสื้อออกมา ถึงแม้ร่างสูงจะมีรอยสักลามมาจนถึงต้นคอ แต่จุดที่เป็น
แผลด้านข้างลำคอซึ่งอยู่ติดกับแอ่งชีพจรนั้นดูจะเป็นจุดเดียวที่ไม่มีรอยสัก แผลนั้นดูจะไม่ลึกมากแต่ก็มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย นาวินทร์แตะที่ซอกคอของตัวเองเบาๆ แต่ไม่ได้มีสีหน้ากังวลอะไร
“คงโดนแมวข่วนน่ะ ลูกค้าที่พี่ไปจัดการงานเมื่อกี้เลี้ยงแมวไว้เต็มเลย”
“โห แมวดุขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” แดนดินขมวดคิ้ว
“ถ้าเจ้านายนิสัยไม่ดี แมวก็จะมีนิสัยก้าวร้าว เพราะมันรู้ว่าเจ้าของไม่มีปัญญาปกป้องมัน”
นาวินทร์ตอบพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่แดนดินอ่านไม่ออก
“ไม่ต้องห่วงหรอก แมวพวกนั้นอย่างเก่งก็ทำได้แค่ข่วนเท่านั้นแหละ”
แดนดินพยักหน้า รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะละลาบละล้วงถามต่อ นาวินทร์สั่งอาหารของตัวเอง ก่อนจะหันกลับมาสนใจคนตรงหน้า
“อยู่เป็นเพื่อนพี่ก่อนนะ พี่ไม่ชอบกินข้าวคนเดียว”
“ผมก็ไม่ชอบเหมือนกันครับ”
แดนดินพยักหน้าเห็นด้วย เขาจำได้ว่าช่วงที่พี่หมอกเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ๆเขาต้องตักข้าวไปนั่งกินข้างยายที่นอนกินลมอยู่บนแคร่หน้าบ้าน ไม่ก็ไปนั่งกินข้าวข้างๆแม่ที่ตลาดตอนที่แม่กำลังขายข้าวแกง เพราะปกติมีเพียงมธุวันที่มักจะทานข้าวเวลาเดียวกับเขาเสมอ
“ถ้าอย่างนั้นมาทานด้วยกันบ่อยๆดีมั้ยครับ?”
แดนดินเหลือบมองอีกฝ่ายที่หยอดคำถามให้เขาหน้าตาย ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นาวินทร์หัวเราะ ยกมือเป็ฯเชิงยอมแพ้
“โอเคๆ ไม่แกล้งแล้วครับ”
“เนียนขนาดนี้ยังไม่มีแฟนจริงๆเหรอครับ?”
อาจารย์หนุ่มอดถามไม่ได้ นาวินทร์ส่ายหน้า
“พี่ทำงานต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่น่ะ เดินทางตลอด เลยไม่มีเวลา”
“งานอะไรเหรอครับ?” แดนดินถามอย่างสงสัย แทนคำตอบ นาวินทร์ขยับยิ้มแล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้ร่างที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา
“ถามพี่แบบนี้ตกลงเรามาเดทกันจริงๆใช่มั้ยครับ?”
“มะ…ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ!” คนขี้อายรีบพูดเมื่อโดนแกล้ง ก้มหน้าก้มตากินสปาเก็ตตี้ของตัวเองต่อไป
หลังจากอิ่มกันเริ่มร้อยแล้ว แดนดินหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองออกมา แต่นาวินทร์คว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้เสียก่่อน
“พี่จ่ายเอง”
“แต่ว่า...” แดนดินทำท่าจะขัด แต่อีกฝ่ายไม่ยอม
“พี่บอกแล้วไง น้องหมอกก็เหมือนน้องพี่” ชายหนุ่มในชุดสูทว่า “ให้พี่จ่ายนะ”
“เอ่อ...”
“นะครับ”
รอยยิ้มออดอ้อนของคนอายุมากกว่าทำให้แดนดินต้องพยักหน้าอย่างจำยอมทั้งที่ไม่อยากเอาเปรียบอีกฝ่าย
“ดิน พี่ขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิ”
จู่ๆอีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้น แดนดินที่เพิ่งถูกเลี้ยงมื้อกลางวันไปไม่อยากปฎิเสธจึงหยิบโทรศัพท์คนที่ขอยืมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นาวินทร์รับอุปกรณ์สื่อสารเครื่องนั้นมากดๆจิ้มๆ ก่อนจะส่งคืนให้คนที่นั่งตรงข้ามกับเขา
“นี่เบอร์พี่นะ ถ้าโดนหมอกทิ้งอีก...หรือยากดูรอยสักพี่ ก็โทรมาได้นะ”
“โธ่ พี่วินครับ” แดนดินยิ้มเจื่อนอย่างลำบากใจ คนเย้าแหย่ยิ้มมุมปาก
“ครับๆ ไม่แกล้งจริงๆแล้วครับ”
หลังจากที่จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็เดินออกมาจากร้านด้วยกัน แดนดินหันมองหาแท็กซี่ในถนนที่รถค่อนข้างโล่งนี้ แต่โชคไม่เข้าข้างเขาเท่าไหร่
“ดิน กลับยังไงเหรอ?”
ชายหนุ่มที่เห็นคนอายุน้อยกว่าหันซ้ายแลขวาเหมือนกำลังมองหาอะไรอยู่ถามขึ้น
“แท็กซี่น่ะครับ พอดีเมื่อกี้มารถพี่หมอก”แดนดินตอบ
“เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
ชายหนุ่มเสนอ ไม่รอให้อีกฝ่ายปฎิเสธ เอื้อมมือไปคว้าข้อมือของอาจารย์หนุ่มที่ยังตั้งตัวไม่ติดให้เดินตามเขาไปยังรถสีดำเรียบๆไม่เตะตาคันหนึ่ง
“พี่วินครับ...มือ”
แดนดินพยักเพยิดไปทางมือของตัวเองที่ถูกยึดไว้ไม่ปล่อย
“โอ้ โทษทีๆ อยู่เมืองนอกบ่อยเลยชินกับเรื่องพวกนี้ไปแล้วน่ะ”
ร่างสูงแก้ตัวเสียงหัวเราะ แต่ก็ยังตีเนียนจับมือเขาต่อ แม้จะไม่เชื่อ แต่แดนดินก็ไม่กล้าพูดอะไรมากเพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเพื่อนของพี่ชาย
เอาเถอะ...เขาอยากจับมือก็ดีกว่าเขาไม่ชอบหน้าเราล่ะนะ
นั่นคือคติที่ร่างสูงใช้มาโดยตลอด
สุดท้ายเขาก็ยอมให้อีกฝ่ายมาส่งที่ห้องเช่าของตัวเองจนได้ แดนดินหันไปกล่าวขอบคุณคนขับที่พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม
“เอ่อ...”
อาจารย์หนุ่มลังเลที่จะชวนอีกฝ่ายเข้ามาในห้องถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ควรทำตามมารยาท หากเขาทำแบบนั้นนาวินทร์จะคิดว่าเขากำลังเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายรึเปล่า
ทั้งที่ปกติแดนดินเป็นคนที่อ่านคนอื่นออกพอสมควรทั้งจากประสบการณ์และจากที่เรียนมา เขาดูไม่ออกเลยว่าท่าทีหยอกเอินของอีกฝ่ายเป็นเพียงบุคลิกของชายหนุ่มหรือมีอะไรมากกว่านั้น
“ถ้าอึดอัดก็ไม่ต้องชวนพี่ขึ้นไปก็ได้”
นาวินทร์เท้าแขนกับขอบหน้าต่าง เอียงคอมองคนที่ดูลุกลี้ลุกลนแปลกๆตั้งแต่เลี้ยวเข้ามาในซอยด้วยสายตาขบขัน ถึงแม้คนปกติจะดูไม่ออก แต่สำหรับสายตาของคนที่ถูกฝึกให้สังเกตถึงการเคลื่อนไหวที่อะเอียดอ่อนท่ีสุด ท่าทีของแดนดินไม่สามารถเล็ดรอดสายตาของเขาไปได้
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เอ่อ...พี่วินขึ้นมาดื่มน้ำก่อนมั้ยครับ ขับรถมาเหนื่อยๆ”
ในที่สุดมารยาทก็เอาชนะความเคลือบแคลงใจ แดนดินเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายขึ้นห้อง ซึ่งคนที่ทำหน้าที่สารถีจำเป็นก็ไม่ปฎิเสธ
“ขอบใจนะดิน”
นาวินทร์จอดรถไว้ที่ลานจอดรถด้านหน้าตึกขนาดไม่สูงมากที่แดนดินอาศัยอยู่ เดินตามร่างสูงของชายหนุ่มรุ่นน้องเข้าไปในตัวอาคาร ดวงตาคมมองตามแผ่นหลังกว้างไล่ลงมาตามเอวสอบและสะโพกแน่นที่ดูดีอย่างน่าเหลือเชื่อในกางเกงของเครื่องแบบโรงเรียน
ถ้าคนคนนี้ไม่ใช่น้องของมธุวันล่ะก็...
แต่นาวินทร์ไม่ใช่คนที่ดำรงชีวิตอยู่ในพื้นฐานของคำว่า‘ถ้า’
ชีวิตของเขาถูกกำหนดมาตั้งแต่วันแรกที่เขาลืมตาดูโลก แค่ที่บิดามารดาเปิดโอกาสให้เขาได้รับอิสระเล็กๆในชีวิตมากกว่าพี่ชายเพราะเหตุจำเป็น นาวินทร์ก็คิดว่าเขาได้เปรียบกว่าวรินทร์มากแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องกระหายอยากได้สิ่งที่ไม่ควรจะได้อีก
“พี่วินจะเอาน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ดีครับ”
เสียงของร่างสูงของชายวัยอ่อนกว่าถามจากในครัว ชายหนุ่มที่กำลังซ่อนกล้องด้านหลังแจกันดอกไม้ปลอมที่ดูน่าจะเป็นของที่ติดมากับห้องตั้งแต่แรกตอบด้วยน้ำเสียงไม่มีพิรุธ
“น้ำเปล่าก็ได้”
ใช่...ชีวิตของเขาไม่มีคำว่าถ้า
นี่ไม่ใช่ชีวิตที่เขาเลือกเดิน แต่เป็นชีวิตที่เขาไม่เคยคิดเลือกที่จะจากไป
--------------
มาล้าววววววว

อดทนกับเมฆหมอกหน่อยนะ เขามาแบบสโลวไลฟ์
