Chapter 17
ความอบอุ่นที่ขาดไม่ได้
อากาศไม่ร้อนไม่หนาวแต่เห็นเมฆตั้งเค้าเหมือนฝนจะตกมาแต่ไกล ผมนั่งเล่นอยู่ริมสระว่ายน้ำของตัวบ้านพักหลังจากที่เมื่อกี้ออกไปตลาดกับพี่หมอสี่ ไปซื้อพวกของสดมาทำบาร์บีคิวกินกันตอนเย็นๆ พี่เบอร์หนึ่งกับเบอร์สองก็แยกกันออกไปซื้อพวกขนมขบเคี้ยวกับเครื่องดื่ม ส่วนพี่กันน่ะเหรอ ยังสลบเหมือดอยู่บนห้องเลยครับ
ผมนั่งอ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อย จู่ๆพี่หมอสี่ก็กระโดดออกมาจากตัวบ้าน หน้าตาตื่นหัวยุ่งชี้ไปคนละทิศละทางเหมือนเจออะไรเข้า คนที่ปกติจะใส่แว่นติดหน้าอยู่ตลอดตอนนี้เผยให้เห็นดวงตารูปใบไม้ เสริมบุคลิกของเขาให้เหมือนเต้าหู้ไข่มากเข้าไปอีก
“พี่หมอ”
เขาหันมามองผม สีหน้าซีดลงไปอย่างเห็นได้ชัด
“เจอผีเหรอ”
“ไม่ใช่ๆ จิ้งจกอ่ะ”
“พี่กลัวจิ้งจกเหรอ” เขาพยักหน้ารัวๆใส่ผม
“ผมทำไรให้ไม่ได้นะ”
“…”
“เพราะผมก็กลัวเหมือนกันอ่ะ”
“แป่ว”
“สงสัยต้องรอให้ไอ้สองตัวนั่นกลับมาก่อน ไม่อย่างนั้นคืนนี้พี่นอนไม่ได้แน่ๆ” พี่หมอสี่เดินมานั่งขัดสมาธิข้างๆผม เวลาเขาไม่ใส่แว่นดูแปลกตาไปมากเลยครับ
เป็นผู้ชายผิวขาว ตาชั้นเดียว นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเล่นกับแสงสวยเหมือนลูกแก้วเลย
“แล้วเวลาเรียนชีวะไม่ผ่าจิ้งจกเหรอ”
“ผ่า แต่พี่ไม่ผ่า ให้เพื่อนมันผ่า”
เขาบ่นงึมงำๆอยู่คนเดียวพลางหันไปสนใจโทรศัพท์ในมือ เหมือนว่าจะส่งข้อความให้พี่สองคนที่หายไปซื้อเบียร์นานสองนานรีบกลับมา
“พวกมันใกล้ถึงละ กอดไปปลุกไอ้กันไป”
พยักหน้ารับคำเขาพลางเอาขาขึ้นจากน้ำ ยังไม่ทันจะได้เดินขึ้นบันไดไป พี่หมอสี่ก็ขัดขึ้นมาอีกครั้ง
“ปลุกแรงๆหน่อยนะ มันเป็นพวกหลับลึกอ่ะ”
หือ
พี่กันน่ะเหรอหลับลึก
ผมเดินขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้าน ค่อยๆเลื่อนเปิดประตูกระจกเข้าไป คนตัวสูงนอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงกว้าง ผ้าม่านถูกปิดจนหมดบ่งบอกว่าเขาต้องการนอนอย่างจริงจัง
เดินเข้าไปใกล้ๆพลางชะโงกหน้ามองเขา พี่กันนอนกอดตุ๊กตาหมีบราวน์เหมือนเด็กๆ แถมยังหลับตาพริ้มมีความสุข เพิ่งเคยเห็นเขานอนหลับเป็นจริงเป็นจังก็วันนี้แหละ
ฝ่ามือของผมวางลงบนไหล่ของเขา เขย่าเบาๆสองสามที แค่เขย่าเบาๆพี่กันก็ลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาสวยๆมองผมนิ่งๆ
ไหนพี่หมอสี่บอกว่าเขาหลับลึก ไม่เห็นจะลึกเลย
“พวกผมซื้อของกินมาแล้ว ตื่นได้ละ”
ไม่มีการตอบรับใดๆ เขาแค่ครางฮือในลำคอแล้วปิดตาลงไปใหม่ ตอนแรกก็นึกว่าเป็นแค่อาการงัวเงีย แต่พอผมหันไปสนใจข้าวของที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเพียงแค่แปปเดียว หันมาอีกทีพี่กันก็หลับไปอีกครั้งแล้ว
หือ แล้วเมื่อกี้อะไรน่ะ ละเมอเหรอ?
“พี่กัน” เขย่าไหล่เขาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ลืมตา แต่กรนใส่หน้าผมเลยครับ
“พี่กัน!”
เพิ่มระดับเสียงเล็กน้อยถึงปานกลาง เขาก็ยังไม่ตื่น
“พี่กัน!!!”
แหกปากดังแล้ว เขาก็ยังกรนใส่
จะไม่ตื่นใช่มั้ย … ได้
ผมดึงผ้าห่มออกจากเตียง พี่กันรีบขดตัวกอดตุ๊กตาไว้แน่น แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลุก ผมอ้อมไปอีกฝั่งของเตียง กระโดดขึ้นไปบนเตียงพลางเขย่าตัวเขาอีกครั้ง
“ตื่น!”
“ตื่นเร็ว”
“ไฟไหม้”
“น้ำท่วม”
“แผ่นดินไหว”
“บ้านพัง…โอ้ย!!!”
แขนยาวๆของคนตัวสูงคว้าผมเข้าไปในอ้อมกอดแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ฟันหน้าเลยไปกระแทกเข้ากับหัวไหล่ของเขาอย่างจัง พี่กันรีบกระเด้งตัวขึ้นมาพลางทำสีหน้าตกใจ
“เฮ้ย เจ็บมั้ย”
เจ็บสิถามได้
“ถ้าฟันหลุดพี่ต้องชดใช้”
“ไหนดูดิ๊” พูดจบก็เอานิ้วมาเลิกริมฝีปากของผมขึ้นเพื่อจะดูฟัน
“โอเค ฟันกระต่ายยังอยู่ดี”
พอเห็นว่าฟันยังเรียงตัวครบทุกซี่ เขาก็เอามือมาขยี้หัวผมแล้วลุกหายเข้าห้องน้ำไป
สัมผัสที่ยังหลงเหลืออยู่ทำให้ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ช่วงนี้รู้สึกหัวใจทำงานหนักมากเกินไปจริงๆ ยิ่งใกล้ชิดพี่กัน ทำให้ผมรู้ซึ้งเลยว่า ผมไม่สามารถต้านทานความอบอุ่นของเขาได้เลย
ไม่นานนักคนตัวสูงก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อย เขาขมวดคิ้วมองหน้าผมพลางเดินเข้ามาใกล้ๆ ฝ่ามือสัมผัสลงที่ปรอยผมที่ปรกหน้าของผมอยู่
“ผมยาวขึ้นแล้วนะ ไม่รำคาญตาเหรอ”
“ว่าจะไปตัดอยู่อ่ะ”
“แต่จริงๆไว้ยาวก็ดีนะ”
“นี่ก็ยาวแล้วนะ”
“อือ ยาวลากพื้นไปเลย”
ลากพื้นบ้าอะไรเล่า
“ผมก็มองไม่เห็นทางสิ”
“ก็ใช่ไง แล้วก็จะไม่มีใครเห็นมึงด้วย”
“ทำไมล่ะ”
“ไม่บอก ปล่อยให้งง”
ผมยกขาเตะก้นเขา พี่กันหัวเราะพลางวิ่งหนีออกไปด้านนอก
ทำไมเขาถึงเป็นคนกวนประสาทได้ขนาดนี้นะ
พลางหันไปมองตัวเองในกระจก ใบหน้าของผมเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยๆ เดินเข้าไปมองเงาที่สะท้อนบนกระจกใกล้ๆ จะว่าไป ผมก็ยาวแล้วจริงๆแฮะ
ผมเดินตามพี่กันออกไปจากห้อง ท้องฟ้ารอบๆตอนนี้กลายเป็นสีชมพูอมม่วง พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที กลิ่นฝนจางๆที่ถูกพัดมากับลมบ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนคงจะตก
ค่อยๆเดินลงบันไดอย่างระมัดระวังเพราะขั้นแต่ละขั้นค่อนข้างเล็ก ผมมองลงไปยังสระว่ายน้ำขนาดเล็กภายในบริเวณบ้าน เห็นพวกพี่ๆเล่นน้ำกันอยู่ พี่หมอสี่เป็นพ่อครัวในวันนี้ ส่วนพี่กันน่ะเหรอ
ลงไปนอนแผ่อยู่บนห่วงยางเป็ดเรียบร้อยแล้ว
ผมเลือกที่จะเดินไปช่วยพี่หมอสี่ย่างบาร์บีคิว กลิ่นหอมๆของบาร์บีคิวเป็นอะไรที่ไม่ได้สัมผัสมานานแสนนาน ล่าสุดที่เคยกินแบบปิ้งสดๆแบบนี้คือหลายปีที่แล้วตอนที่ไปเที่ยวทะเลกับแม่สองคน
เสียงเพลงคลอเบาๆจากลำโพงบลูทูธขนาดเล็กทำให้บรรยากาศในคืนนี้ดูผ่อนคลาย ผมมีความสุขกับการมาอยู่ตรงนี้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยชอบการอยู่กับผู้คนหมู่มากเลยด้วยซ้ำ
เพื่อนๆของพี่กันเองก็เป็นกันเองมากๆ ไม่ว่าจะพี่หมอสี่ เพื่อนเบอร์หนึ่งเบอร์สองของเขา ทุกคนต่างให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดี
“อ่ะ อันนี้ของกอด” พี่หมอสี่วางจานบาร์บีคิวสามไม้ลงบนโต๊ะ
“พี่ไม่กินเหรอ”
“กินไปเยอะแล้ว ไม่ต้องไปแบ่งไอ้กันนะ เดี๋ยวก็เสนอหน้ามากินเองนั่นแหละ”
พูดไม่ทันขาดคำเขาก็เดินดุ่มๆเข้ามา เรื่องของกินนี่พี่กันไม่เคยพลาดหรอกครับ เหมือนแค่ได้กลิ่นเขาก็ลอยตามกลิ่นมาแล้วอ่ะ
“ไม่มีกุ้งเหรอวะ”
“อยู่เขาใหญ่ ไม่ได้อยู่หัวหิน”
“อิโถ่”
ถึงจะบ่นแต่ก็หยิบบาร์บีคิวไปกินพร้อมกับจิบเบียร์ตามไปด้วย ผมนั่งมองทุกอิริยาบถของเขา เก็บมันไว้ในความทรงจำให้มากที่สุด
เป็นคนที่ไม่ว่าจะอยู่ในท่าทางไหนก็ดูดีไปซะทั้งหมด ขนาดกินบาร์บีคิวเสียบไม้ยังดูเท่เลยอ่ะ
การกินอาหารเย็นผ่านไปแบบเอื่อยๆไม่รีบร้อน พอกินเสร็จ เก็บขยะทั้งหมดเรียบร้อย พวกพี่ๆก็ตั้งวงเล่นเกมในมือถือกันอย่างสนุกสนาน
ผมโดนยัดเยียดให้กินเบียร์ไปหนึ่งกระป๋อง รู้สึกมึนๆไม่ค่อยโอเคเท่าไรเลยขอตัวขึ้นไปอาบน้ำนอนเล่นบนห้องก่อน แอร์เย็นๆกับการเปิดทีวีแล้วเจอหนังเรื่องโปรด คืออะไรที่มีความสุขที่สุดแล้ว
ระหว่างดูโทรทัศน์ผมก็เปิดอ่านไลน์ที่ค้างๆอยู่ในเครื่อง โดยเฉพาะไลน์ของเพื่อนสนิทที่ยังไม่ได้ตอบตั้งแต่ตอนบ่าย
ถึงเขาใหญ่ยัง *ถึงแล้ว
*นอนเล่นอยู่
สบายเลยไอ้หมู
แล้วเป็นไง สนุกป่ะ *ยังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยอ่ะ
*มาถึงก็นอนพักที่ห้อง
อย่าลืมของฝากนะเว้ย ผมส่งสติ๊กเกอร์มีเสียงกลับไปให้เพื่อน เสียงดังขึ้นมาว่า Sir Yes sir จังหวะเดียวกับที่พี่กันเลื่อนประตูเลื่อนแล้วเดินเข้ามาในห้อง
เขาทิ้งตัวลงบนเตียงข้างๆผม พลางชะเง้อคอมองดูว่าผมคุยกับใคร พอเห็นว่าผมกำลังคุยกับเพื่อนอยู่ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่นั่งดูทีวีไปเงียบๆ
“คุยเสร็จยัง”
จู่ๆเขาก็โพล่งออกมาทั้งๆที่ไม่ได้หันมามองหน้า
“เสร็จนานแล้ว”
“เหรอ”
“งอนเหรอ”
“เปล่า”
แล้วทำหน้าบึ้งทำไมเล่า
“งั้นแสดงว่าหึง” พอผมพูดจบเขาก็หันขวับมามอง นิ้วเรียวๆหยิกแก้มของผมจนต้องเอนตัวตามแรงดึง
“เออ รู้ตัวนี่”
“ผมกับเขาไม่มีอะไรแล้วน่า แค่เพื่อนกัน”
“รู้ แต่ก็หึงอยู่ดี มึงคุยกับหมากูยังหึงเลยตอนนี้”
ดู ดูเขาพูดจาสิครับ
เราสองคนนั่งดูทีวีด้วยกันเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้น รู้แค่ว่าไออุ่นๆของร่างกายคนข้างๆมันทำให้ผมรู้สึกร้อนจนเหงื่อแตก อาจจะเป็นเพราะอาการตื่นเต้นจนหัวใจเต้นรัว ยิ่งคิดว่าคืนนี้จะต้องนอนเตียงเดียวกันขึ้นมา ก็ยิ่งรู้สึกเกร็งขึ้นมาซะอย่างนั้น
จะนอนหลับไหมล่ะเนี่ย
“หาไรเล่นกันดีกว่า” พี่กันเสนอขึ้นมาขัดความเงียบ ผมรีบหันไปเห็นด้วยทันที
“เล่นไรอ่ะ”
“เกมพูดความจริง ผลัดกันถาม แล้วอีกคนต้องตอบเป็นความจริงทั้งหมด”
น่าสนใจดีแฮะ
เป็นเกมที่ทำให้รู้จักพี่กันมากขึ้นด้วย
“โอเค” ผมตอบตกลงอย่างทันที เรานั่งหันหน้าเข้าหากัน ผมกอดตุ๊กตาหมีบราวน์เอาไว้พลางยกมือเป่ายิ้งฉุบกับพี่กัน
ผมเป็นฝ่ายชนะ
“อ่ะมึงถามก่อน”
“อืมมม” นึกคำถามในใจ จริงๆมีหลายคำถามที่อยากจะถามพี่กัน
สิ่งที่อยากรู้ที่สุดก็คงจะเป็น
“พี่ไม่ชอบอะไรบ้าง”
“คำถามกว้างขนาดนี้ มึงจะให้กูตอบยันชาติหน้าเลยมั้ย”
“ก็ได้นะ ผมมีเวลาฟังทั้งชีวิตเลย” พูดจบก็ยิ้มกว้างใส่เขา พี่กันหุบยิ้มใส่ผมพลางเอาหมอนมาปาใส่หน้าผม
ไอ้คนเลว
“เอาที่ไม่ชอบสุดๆก็ได้ แบบเกลียดอ่ะ”
“คนโกหก”
อ่า… นี่ผมโกหกเขาไปกี่ครั้งแล้วนะ ตั้งแต่ถูกหวยแล้วเลี้ยงชานมเขาอ่ะ
โดนเกลียดแล้วมั้งเนี่ย
“ส่วนเรื่องของกินกูชอบทุกอย่าง ยกเว้นผัก ชอบมากสุดคือกุ้ง ซึ่งมึงคงรู้แล้ว”
แหงล่ะ ก็วันๆกินแต่กุ้งจนหน้าจะเป็นกุ้งแล้วนี่
“ตากู” พี่กันนั่งขัดสมาธิพลางใช้สีหน้าคิดคำถาม
“ชอบทำอะไรในเวลาว่าง”
“อ่านหนังสือ ฟังเพลง ร้องเพลง เล่นกีต้าร์” พอผมตอบเขาก็ยิ้มออกมา เรื่องร้องเพลงและเล่นกีต้าร์ไม่เคยมีใครรู้นอกจากสายรหัสและเพื่อนสนิทของผม เพราะปกติผมไม่ได้ร้องบ่อยๆ จะมีก็ตอนว่างๆเวลาไปหอปู่รหัสหรือหอลุงรหัสที่มีกีต้าร์ เขาก็จะชอบให้ผมร้องเพลงให้ฟัง
“พี่กันเคยมีแฟนมาแล้วกี่คน”
“สอง มึงเป็นคนที่สองของกู”
“จริงเหรอ”
“เออ”
ผมอยากรู้เรื่องแฟนคนแรกของเขาจัง
“มึงเคยมีแฟนมาแล้วกี่คน”
“ผมไม่เคยมี”
“จริงเหรอ”
“อือ” เป็นตัวสร้างบรรยากาศการคุยได้ติดลบขนาดนี้ มีก็บ้าแล้ว
พี่กันดูมีความสุขที่ได้ยินแบบนั้น ก็แหม เขากลายเป็นแฟนคนแรกของผมไป ทำไมจะไม่มีความสุขล่ะครับ
“พี่กันมีพี่น้องกี่คน”
“มีพี่ชายหนึ่งคน”
“พี่เป็นน้องเล็กสุดเหรอ”
“ใช่ แต่เป็นพี่ชายคนละแม่”
อ่า มีอะไรอีกหลายอย่างเลยเกี่ยวกับเขาที่ผมยังไม่รู้
“มึงชอบกูตอนไหน”
ผมเงียบไปเมื่อได้ยินคำถามนั้น ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน คนตรงหน้าดูคาดหวังกับคำตอบเอามากๆ เขาจ้องมองผมตาไม่กระพริบ เล่นเอาหน้าร้อนขึ้นมาแบบห้ามไม่ได้ เสียงแอร์ดังหึ่งๆขัดความเงียบของบรรยากาศภายในห้อง
ชอบตอนไหนน่ะเหรอ
มันนานแล้วนะ แต่ผมยังจำได้แม่นเลย
“ชอบตอนที่พี่เก็บหนังสือมาคืนให้ผม”
คนตัวสูงเอาฝ่ามือปิดหน้าตัวเอง เหมือนต้องการจะปิดบังรอยยิ้มที่เก็บไม่อยู่ พอเห็นเขายิ้ม ผมก็เลยยิ้มตาม ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
เขาดีใจเหรอที่ได้ยินแบบนั้น
“นานอยู่นะ”
“อือ ผมถึงบอกไง ว่าถ้าพี่จะพูดเรื่องของที่พี่ไม่ชอบทั้งชาติล่ะก็ ผมก็มีเวลาฟังนะ”
“หึ ไอ้ตัวน่ากอด มึงนี่มันจริงๆเลย”
“ตาผมถามบ้าง”
คำถามที่ค้างคาอยู่ในใจตัวเองมานาน และอยากรู้ให้ได้
“พี่รักผมหรือยัง” เราเงียบกันไปอีกครั้ง นัยน์ตาสวยๆของเขาจ้องมองผมไม่ละสายตาไปไหน สุดท้ายผมก็ต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาของเขา เพราะไม่สามารถต้านทานมันได้
“ถามกูแบบนี้ น่าตีจริงๆว่ะ”
“ทำไมล่ะ” ก็ผมอยากรู้นี่นา
“ขอเป็นแฟนเนี่ย ถ้าไม่รัก แล้วให้เรียกว่าไรวะ ตัวนิ่ม”
คำตอบของเขาทำให้ผมถึงกับทรุดไปกองอยู่บนเตียง
บ้า บ้า บ้า อยากจะพูดคำว่าบ้าไปซักพันๆรอบ
“ก็นึกว่าพี่สงสารผม”
“กูเอาเวลาสงสารมึงไปสงสารแมวที่ไม่มีข้าวกินดีกว่า”
“พี่กัน!” น้ำเสียงโอดโอยของผมเรียกเสียงหัวเราะของเขาได้เป็นอย่างดี
ความอบอุ่นที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจทำให้ผมอยากจะใช้เวลาอยู่ตรงนี้กับเขานานๆ
“นอนไป พรุ่งนี้เดี๋ยวพาไปเล่นของเล่น”
ฝ่ามือหนักๆของพี่กันดันหัวผมให้นอนลงบนหมอน เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของผมเอาไว้ ก่อนจะเดินหายออกไปข้างนอก ถ้าให้เดาก็คงจะลงไปคุยเล่นกับเพื่อนนั่นแหละ
แอร์เย็นๆบวกกับกลิ่นน้ำหอมของเขาที่ยังหลงเหลือไอจางๆอยู่ในห้อง ผมกอดตุ๊กตาหมีบราวน์เอาไว้แน่นพลางหลับตาลง ความอบอุ่นของพี่กัน มันยิ่งกว่าพระอาทิตย์ซะอีก
เขาเป็นผู้ชายที่อบอุ่นมาก มากจนผมไม่รู้จะบรรยายมันออกมายังไง
ขอบคุณอะไรก็ตาม ที่ทำให้ผมได้เจอกับพี่กัน
ขอบคุณจริงๆครับ
วันถัดมาพวกเราเริ่มต้นด้วยการไปทัวร์ฟาร์มวัวและม้า ต่อด้วยฟาร์มแกะและไร่ข้าวโพด กิจกรรมที่เขาใหญ่มีมากมายหลายอย่างให้เลือกทำ โชคดีที่วันนี้อากาศไม่ร้อนมาก การนั่งรถเที่ยวชมฟาร์มวัวจึงเป็นอะไรที่เพลินมาก
พอตกเย็น พวกเราก็มาอยู่กันที่ไร่บนเนินเขาสูง มีกิจกรรมกลางแจ้งอย่างเช่นบันจี้จัมพ์ กระเช้าลอยฟ้า ปีนหน้าผา สกีบกและอะไรอีกมากมาย พวกพี่ๆก็เลยคิดจะเริ่มต้นกันที่สกีบก หลังจากนั้นก็ไปเล่นเครื่องเล่นอื่นๆแล้วตบท้ายด้วยกระเช้า
ผมยืนตาวาวมองสิ่งที่เรียกว่าสกีบก เกิดมาทั้งชีวิตก็เพิ่งรู้นี่แหละว่ามีอะไรน่าสนุกแบบนี้ด้วย เนินเขาที่เป็นทางลาดลงไปเป็นรูปงูคดเคี้ยว เราจะต้องนั่งบนรถคันเล็กๆที่มีสี่ล้อแล้วปล่อยให้มันไหลลงไปตามทางลาด เหมือนกับการเล่นสกีบนหิมะนั่นแหละ แต่นี่เป็นสกีมีล้อบนพื้นคอนกรีต
พี่เบอร์หนึ่งกับพี่เบอร์สองเป็นฝ่ายนำลงไปก่อน ความเร็วของรถไม่ใช่เล่นๆเลยเพราะเนินค่อนข้างชัน แต่ก็ดูปลอดภัย พี่หมอสี่เป็นคนที่สามที่ลงไป ส่วนผมเป็นคนต่อไปและพี่กันจะต่อท้าย
ผมนั่งอยู่บนกล่องพลาสติกที่มีล้อเลื่อน พี่กันนั่งยองๆอยู่ด้านข้าง
“ไม่ต้องเกร็ง ไม่น่ากลัวหรอก”
ไม่ได้กลัวสักหน่อย
รถค่อยๆไหลลงจากเนินสูงไปตามทางลาด ลมเย็นๆพัดผ่านเข้าหน้า ผมพยายามประคองแฮนด์สองข้างให้ไปตามทาง แต่ดูเหมือนจะยากกว่าที่คิดแฮะ
และแล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็มาถึง เมื่อเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย จากที่ผมจะเลื่อนลงไปดีๆตามทางเหมือนชาวบ้านเขา แฮนด์ดันติดแล้วบิดเลี้ยวไปตามทางคอนกรีตไม่ได้ ส่งผลให้ตัวรถพุ่งขึ้นไปบนหญ้าแล้วตีลังกาม้วนหน้าไปหนึ่งตลบ โชคดีที่ผมไม่เอาฟันหน้าลง แต่มือสองข้างกับข้อศอกและเข่าเนี่ย ไถลไปตามพื้นคอนกรีตเต็มๆเลยครับ
เจ็บโคตร!
พี่หมอสี่ร้องเสียงหลงเพราะยืนอยู่ไม่ไกลจากผมมากนัก แต่คนที่วิ่งมาด้วยความเร็วแสง ไวกว่าใครคนอื่น คือผู้ชายตัวสูงที่มีสถานะเป็นแฟนของผม
“เฮ้ยเป็นไรป่ะ โอเคมั้ย”
ใบหน้าของพี่กันเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เขารีบดึงตัวผมขึ้นมานั่งดีๆ หันไปมองรถของพี่กันที่เลื่อนลงมาติดๆกัน กระเด็นไปไกลนู่นแล้ว เดาว่าเขาคงทิ้งรถแล้ววิ่งมาหาผมทันทีที่เห็นรถผมสะดุดหญ้าปลิวมาซะไกลขนาดนี้
พนักงานควบคุมความปลอดภัยของเครื่องเล่นเองก็ดูจะตกใจ พวกเขารีบวิ่งเข้ามาพร้อมเครื่องมือปฐมพยาบาล ผมถูกหามออกไปจากบริเวณสนามเพื่อไปนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ด้านล่างเนินสูง
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพวกผมทำเอง เดี๋ยวผมเอาอุปกรณ์ไปคืนครับ”
พี่หมอสี่คุยกับพนักงานอยู่สักพักแล้วค่อยเดินกลับมา เขาถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าพี่กันยังไม่ยอมห่างตัวผมเลยตั้งแต่โดนหามลงมา ฝ่ามือของคนตัวสูงยังพลิกดูร่างกายของผมว่าบาดเจ็บตรงไหนเพิ่มอีกหรือเปล่า เขาดูเป็นห่วงผมมากๆเลย
“ไอ้กัน ถ้ามึงไม่ขยับออกมากูทำแผลให้กอดไม่ได้นะ”
“กูทำเอง”
“อย่างี่เง่า แผลเยอะขนาดนี้ นั่งดูเฉยๆไป!”
โดนพี่หมอสี่ตะคอกเข้าไป พี่กันถึงยอมถอยห่างจากตัวผม เขาเขยิบมานั่งด้านข้างพลางเอาฝ่ามือมาวางบนหัวผม ขยี้เบาๆราวกับจะปลอบว่า ไม่เป็นไรนะ ปลอดภัยแล้ว
พอโดนฝ่ามือของเขาวางลงบนหัวเท่านั้นแหละ น้ำตาผมก็ดันหยดแหมะลงมาเหมือนเด็กเรียกร้องความสนใจ พี่กันรีบกอดคอผมเอาไว้
เจ็บก็เจ็บ อายก็อาย นี่ถ้าลงผิดท่าคอหักตายไปแล้ว
“โอ๋ๆ ไม่ร้องๆ”
ยิ่งพูดคำว่าไม่ร้องผมก็ยิ่งร้องเข้าไปอีก พี่หมอสี่ถึงกับหัวเราะเบาๆออกมา
“รถแม่งเลวมาก เดี๋ยวกูจะไปตีมันให้”
ตีบ้าอะไรเล่า
“โอ๋เอ๋ มาเดี๋ยวกูเป่าให้ ไม่เจ็บแล้วเนอะ”
พี่กันจับแขนผมขึ้นมาแล้วเป่ามันเบาๆ ภาพๆหนึ่งแทรกเข้ามาในหัว พ่อของผมเคยทำแบบนี้ให้เมื่อสมัยผมยังเล็ก เพราะผมเป็นคนศูนย์ถ่วงไม่ค่อยดีเลยหกล้มบ่อยๆ เวลาล้มทีไร เขาก็จะเป่ามันเบาๆแล้วบอกว่าเดี๋ยวก็หายแล้ว ไม่เจ็บแล้วเนอะ
ผมรู้แล้วว่าความอบอุ่นของพี่กันเหมือนกับอะไร
มันเหมือนกับความอบอุ่นของพ่อ
ยิ่งเป็นความอบอุ่นแบบนี้ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกผูกพัน จนกลัวว่า…
ผมคงขาดเขาไม่ได้จริงๆ
// เราก็ขาดพี่กันไม่ได้นะกอด / โดนตบ
รักกันชอบกอด รักกอดชอบกัน ติดแท็ก #Likeกัน
ชวนเพื่อนๆมาอ่านผ่านทางทวิตเตอร์กันได้นะคะ
รักคนอ่านมาก แต่รักกันมากกว่า คิคิ
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_