♥พักพิง...อิงใจ♥ ตอนที่5 คนรักเก่าของพี่สันต์ -01/06/2561 up!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♥พักพิง...อิงใจ♥ ตอนที่5 คนรักเก่าของพี่สันต์ -01/06/2561 up!  (อ่าน 2254 ครั้ง)

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม








♥พักพิง...อิงใจ♥


INTRO
เพราะอกหักจึงทำให้อยากไปพักใจที่ไหนสักที่ของประเทศ เพื่อนๆจึงแนะนำว่าให้ไปพักใจที่ทะเล ผมตัดสินใจไปตามคำแนะนำของเพื่อนๆ โดยพึ่งจะมารู้ก่อนวันเดินทางหนึ่งเดือนว่ารักแรกของผมเป็นเจ้าของโรงแรมที่ผมไปพักแถมเพื่อนรักตัวดียังฝากฝังผมไว้ให้เขาดูแลอีก งานนี้หัวใจผมจึงต้องทำงานหนักอีกครั้งทั้งๆที่พึ่งอกหักมาแท้ๆเลย จะเจ็บกลับไปหรือจะมีความสุขกลับไปก็คงต้องรอดูกันล่ะงานนี้.....


 :กอด1: :กอด1:


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-06-2018 15:48:14 โดย ฟองดูว์ »

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
Re: ♥พักพิง...อิงใจ♥ Intro -23/03/2561 up!
«ตอบ #1 เมื่อ23-03-2018 18:30:36 »


ตอนที่ 1

ที่พักพิง







สถานที่ที่คนอกหักควรไปใครๆก็แนะนำเป็นเสียงเดียวกันว่าทะเลคือสถานที่ที่ควรไปที่สุด ไม่ว่าจะเพื่อนหรือค้นหาในเว็บไซต์ต่างๆคำตอบที่ได้ก็คือทะเล


ไหนๆก็ปิดเทอมสองเดือนพอดีจึงเลือกทะเลฝั่งอันดามันที่เขาบอกกันว่าสวยนักสวยหนาและจังหวัดที่มีทะเลรอบเกาะและคนพูดถึงมากที่สุดคงไม่พ้นจังหวัดทางภาคใต้ หาข้อมูลเพิ่มเติมมาสักพักก็ได้ข้อสรุปว่าจังหวัดภูเก็ตคือตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้


ไม่ต้องคิดไตร่ตรองอะไรให้มากก็เข้าเว็บจองตั๋วเครื่องบินเป็นที่เรียบร้อย ส่วนโรงแรมก็คงจะไปพักโรงแรมของญาติเพื่อนที่แนะนำมา  ลิสต์รายการของที่ต้องเอาไป พรุ่งนี้ก็คงต้องไปหาซื้อของเพิ่มเติมที่ยังไม่มี  ไม่ลืมบอกครอบครัวว่าปิดเทอมนี้จะแบกเป้ไปเที่ยวคนเดียวทุกคนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง


พอได้อยู่คนเดียวแบบนี้ก็เริ่มจะคิดถึงแฟนเก่าที่พึ่งทิ้งผมไปเมื่อสามวันก่อนด้วยเหตุผลที่ว่าผมดีเกินไป บางทีผมก็ไม่เข้าใจว่าการที่ผมดีกับเขาไปซะทุกอย่างมันคือเหตุผมที่เขาบอกเลิกผมจริงๆหรือเขาหมดรักผมแล้วอ้างเหตุผลนั้นขึ้นมา


ผมไม่เชื่อหรอกว่าเหตุผลที่เขาใช้บอกเลิกผมจะเป็นเหตุผลนั้นจริงๆ ถ้าผมดีเกินไปก็น่าจะบอกเลิกผมไปตั้งแต่คบกันแรกๆแล้วไม่ใช่หรือไงเพราะยังไงผมก็ดีกับเขามาตลอด


อยากจะขอโอกาสแต่ผมรู้ว่าเขาคงไม่ให้ผมแล้ว คนเขาหมดรักจะรั้งให้ตายสุดท้ายก็ต้องเลิกกันอยู่ดี ผมเข้าใจแต่ก็ยังคงเสียใจมันเป็นปกติธรรมดาของมนุษย์


หนังสือเล่มเดิมกลับไปอ่านซ้ำๆก็คงจะน่าเบื่อใช่ไหมล่ะ ผมรู้และผมก็พยายามทำความเข้าใจและจัดการกับความเสียใจที่เกิดขึ้นมามากมายอยู่ อาจจะเป็นเพราะผมรักเขามาก ความเสียใจที่มีจึงมากตามความรักที่ผมมีให้เขาไปด้วยและวิธีจัดการกับความเสียใจของผมก็คงจะเป็นการได้ไปเที่ยว การได้กินของอร่อยๆและการได้อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ไม่รู้จักผม


ผมปรึกษาเพื่อนหลายๆคน ค้นห้าข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตจนตัดสินใจได้ว่าทะเลที่จังหวัดภูเก็ตคงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผม ผมใช้เวลาศึกษาสถานที่ที่ผมสามารถไปท่องเที่ยวได้สองวันเต็มๆ  ผมลิสต์ทุกสถานที่ที่ผมอยากไปไว้ในสมุดเล่มเล็กของผม แน่นอนว่าสถานที่ที่ผมลิสต์ไว้ต้องมีทะเลเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนสถานที่อื่นๆก็คงจะเป็นพวกถนนคนเดิน  ย่านเมืองเก่าและจุดชมวิวต่างๆ


พอได้ดูรูปภาพสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดแล้วผมก็ตื่นเต้นพอสมควร ตื่นเต้นจนลืมไปเลยว่าผมพึ่งอกหักมา..แต่ก็ดีแล้วล่ะ อีกหนึ่งเดือนคือกำหนดการที่ผมจะต้องเดินทาง ระยะเวลาที่ผมว่าง ผมมักจะใช้มันไปกับครอบครัวและเพื่อนของผม
วันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งผมกับเพื่อนๆนัดกันไปดูหนังกินข้าวกันตามปกติ ผมมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงเพราะนัดเพื่อนให้มารับ ถ้าผมช้าเดี๋ยวเพื่อนจะมาว่าผมอีก


ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวประมาณยี่สิบนาทีก่อนจะก้าวออกจากห้องเดินลงบันไดไปหาแม่ที่นั่งดูรายการอาหารตรงห้องรับแขก
ผมเดินไปนั่งข้างๆแม่ พอแม่หันมาเห็นผมก็ยกมือขึ้นมาบิดแก้มผมเบาๆ  “แต่งตัวหล่อเชียว จะไปเที่ยวไหนล่ะหืม?” ถามพลางส่งยิ้มที่ผมคิดว่าสวยที่สุดมาให้


“ไปดูหนังทานข้าวกับเพื่อนครับ อีกอย่างพีทจะไปซื้อของด้วย” ผมตอบแม่ ท่านพยักหน้ารับ


“แล้วนี่ลูกเตรียมของเสร็จแล้วใช่ไหม?”


“เรียบร้อยแล้วครับ” แม่พยักหน้ารับแล้วหันกลับไปสนใจรายการอาหารในโทรทัศน์ต่อ
 ผมกับแม่นั่งดูรายการอาหารได้ไม่นานเสียงของเพื่อนผมก็ดังขึ้นมาก่อนตัวมันซะอีก


“สวัสดีครับแม่”


“จ้า” แม่ผมรับไหว้ ส่งยิ้มแถมให้ด้วย “วันนี้จะไปเที่ยวที่ไหนกันล่ะ?”


“ในห้างแหละครับแม่ อากาศร้อนๆแบบนี้คงต้องไปเดินตากแอร์ในห้างสักหน่อย” เพื่อนผมคนนี้มีชื่อว่าเขม เป็นผู้ชายที่บอกได้เลยว่าหล่อ อาจจะดูนิ่งๆหรือน่ากลัวสำหรับคนอื่นแต่ถ้าได้เป็นเพื่อนกับเขมแล้วก็จะรู้ดีว่านิสัยจริงๆน่ะมุ้งมิ้งน่ารักแค่ไหน


“งั้นผมไปก่อนนะครับแม่” ผมบอกลาแม่ หอมแก้มท่านทั้งสองข้าง


“จ้า เที่ยวให้สนุกนะ” แม่บอกเราทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม “ ขับรถดีๆนะเขม”


“ครับแม่” เขมตอบรับพร้อมกับไหว้ลาแม่


ผมกับเขมเดินออกมาจากบ้านพร้อมกัน เขมปลดล็อคประตูรถแต่ยังไม่ทันขึ้นเขมก็เอ่ยถามผมซะก่อน “ตกลงจะไปภูเก็ต?”


“อื้อ จองตั๋วไว้แล้วด้วย” เขมพยักหน้ารับก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในรถ ผมก็เข้าไปนั่งในรถตามเขม พอรถออกจากบ้านผมไปได้สักพักผมจึงพูดต่อ “วันนี้ก็กะว่าจะไปซื้อของ”


“บอกพ่อกับแม่หรือยัง?” เขมหันมาถามตอนรถติดไฟแดง


“เรียบร้อยแล้ว ท่านไม่ได้ว่าอะไร” ผมตอบเขม สายตาจดจ้องไปที่ตัวเลขนับถอยหลัง อีกสามสิบวิจะเป็นไฟเขียว


“เรื่องโรงแรมกูบอกญาติกูให้แล้ว”   


“ขอบคุณนะ”


เขมพยักหน้า ถามต่อ “อยากให้พวกกูไปด้วยหรือเปล่า”


“ไม่เป็นไร” ผมหันไปส่ายหน้าปฏิเสธเขมพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ “กูอยากใช้เวลาอยู่คนเดียวสักพัก”


เขมพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะปลดเกียร์แล้วออกรถไปยังจุดมุ่งหมาย “อืม...ถ้ามีอะไรก็บอกพวกกูได้ตลอด”


“อื้อ ขอบคุณนะ” ผมคลี่ยิ้มส่งให้เขม เขมหันมายิ้มตอบแล้วยกมือขยี้หัวผมเบาๆเหมือนที่ชอบทำ ผมตีหน้ายุ่งยกมือขยี้หัวเขมกลับ



{----------♥----------}


เรามาถึงสถานที่ที่นัดกับเพื่อนคนอื่นๆไว้ในเวลาต่อมา เขมต่อสายหาเพื่อนในกลุ่มเพื่อถามว่าอยู่ตรงไหนกัน พอได้ความก็พาผมเดินไปหาเพื่อนที่กำลังต่อแถวซื้อตั๋วอยู่หน้าโรงหนัง


ผมกับเขมเดินเข้าไปหาเพื่อนอีกสองคนที่กำลังต่อแถวกันอยู่ ตกลงกันว่าจะนั่งตรงไหนเรียบร้อย ผมกับเขมจึงรับหน้าที่ซื้อน้ำและป๊อปคอร์น


“อีกสิบนาทีจะถึงเวลาแล้วอะ” กานต์...เพื่อนที่ใครๆก็ลงความเห็นว่าหน้าตาดูอปป้าเกาหลีมองตั๋วหนังแล้วเอ่ยบอกพวกเรา “งั้นดูหนังก่อนค่อยไปกินข้าวแล้วกัน”


“เอางั้นก็ได้”พัทร...ผู้ชายหน้าตาธรรมดาแต่นิสัยน่ารักที่สุดในโลกพยักหน้าเห็นด้วย...ผมกับเขมก็เห็นด้วยไม่ต่างกัน พอได้ข้อสรุปพวกเราจึงพากันเดินเข้าโรงหนังไป


หนังเรื่องที่พวกเราดูใช้เวลาฉายทั้งหมดหนึ่งชั่วโมงครึ่งยังไม่รวมโฆษณาก่อนหนังฉายอีก ดังนั้นกว่าพวกเราจะได้กินข้าวก็ปาไปเกือบสองชั่วโมงพอดี


“กินอะไรกันดี?” ผมถามเพื่อนๆพลางเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นที่น่าจะมีร้านอาหารรวมกันเยอะที่สุด “อาหารญี่ปุ่นดีไหม?”


“ตอนนี้อะไรก็ได้ทั้งนั้น” เขมเป็นคนตอบลูบท้องตัวเองประกอบ “หิวมาก”


“งั้นอาหารญี่ปุ่นตามที่พีทบอกก็ได้”


หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เราทั้งสี่คนก็เดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยู่ทางซ้ายมือ ยังดีที่เราไม่ได้มาตอนเที่ยงคนก็เลยไม่เยอะทำให้เราไม่ต้องนั่งรอคิวอยู่หน้าร้านเหมือนทุกที


พวกเราสั่งอาหารให้ตัวเองคนละชุด พนักงานอ่านทวนเมนูให้พวกเราฟัง เมื่อไม่มีเมนูไหนผิดพลาดพนักงานก็เดินออกไปจากโต๊ะที่พวกเราอยู่ จากนั้นบทสนทนาจึงเริ่มขึ้น


“เป็นไง หายเฮิร์ทยัง?” กานต์ถามผมที่นั่งตรงข้ามกับเขา


“หายง่ายๆก็ดีน่ะสิ” ผมบ่นหน้าบึ้ง บางทีก็รำคาญกับตัวเองที่มัวแต่นั่งเศร้าเสียใจกับเรื่องความรัก


“กูไม่เข้าใจเลยว่ามึงจะเสียใจอะไรนักหนา แฟนเก่ามึงก็ใช่ว่าจะดี” พูดเรื่องนี้อีกแล้วสิน่า กานต์เป็นหนึ่งคนที่ไม่ชอบแฟนเก่าของผม เขาเคยบอกว่าแฟนเก่าของผมคบซ้อนหลายคน ผมเชื่อกานต์และเคยเอาเรื่องนี้ไปถามแฟนเก่าแต่ผลสุดท้ายคือเราทะเลาะกัน จากนั้นมาผมจึงสัญญากับเขาว่าจะเชื่อใจแต่สุดท้ายความเชื่อใจที่ผมมีให้เขาก็จบลงตอนที่เขาบอกเลิกผมไป...


“เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว มึงยังจะพูดขึ้นมาอีก” เขมบ่น “มึงก็ไม่ต้องคิดมาก เลิกกับคนนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เจอคนใหม่”


“ใช่ๆ” พัทรพยักหน้าเห็นด้วยกับเขม “ไม่แน่น้า พีทอาจจะเจอคนใหม่ตอนไปเที่ยวก็ได้ใครจะไปรู้ล่ะ”
ผมเบ้หน้า ส่ายหัวให้กับความคิดของพัทร “ไม่หรอกน่า”


“อย่าพึ่งคิดอะไรตอนนี้เลย”เขมขัดขึ้นเมื่อเห็นผมเริ่มคิดมาก “ตอนนี้เราควรจะอยู่กับปัจจุบันและปัจจุบันตอนนี้เราต้องกินข้าว” เขมพยักพเยิดให้พวกผมมองดูอาหารต่างๆที่กำลังจะถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะพวกเรา


“ใช่ตอนนี้เราต้องกินให้อิ่ม พออิ่มแล้วก็จะมีความสุข” พัทรพูดเหมือนปลุกอุดมการณ์อะไรสักอย่าง


“ข้อนี้กูเห็นด้วย” กานต์ก็พยักหน้าเห็นด้วยแรงๆ


ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ จัดแจงส่งอาหารไปให้แต่ล่ะคน หลังจากนั้นบทสนทนาก็เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นไม่ว่าจะเป็นข่าวที่ดังอยู่ในช่วงนี้หรือปิดเทอมจะไปทำอะไรกันบ้าง พวกเราพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ผมนั่งมองรอยยิ้มของเพื่อนทั้งสามคน พอได้เห็นแบบนี้ก็รู้สึกผ่อนคลาย การได้มี
คนคอยอยู่เคียงข้างเวลาเราไม่สบายใจก็รู้สึกว่าชีวิตของผมโคตรโชคดีเลย


“ขอบคุณทุกคนมากนะ” อดไม่ได้ที่จะบอกขอบคุณเพื่อนทั้งสามคนที่คอยอยู่เคียงข้างกันเสมอ


“เออๆ พวกกูรู้แล้วว่ามึงซึ้งกับความเป็นเพื่อนของพวกกู” กานต์ผงกหัวรับ แล้วปัดเหมือนรำคาญที่ผมจะลากดราม่าอีกแล้ว ปากไม่ตรงกับใจนี่ต้องยกให้เขาล่ะ “พอๆไม่ต้องดึงดราม่า กินให้อิ่มเดี๋ยวต้องไปซื้อของอีกนี่”
ผมพยักหน้ารับ ก้มลงจัดการกับอาหารของตัวเองต่อไป


ใช้เวลาไปกับการกินอาหารและนั่งย่อยไปพอสมควร พวกเราก็ยกทัพออกจากร้าน


“จะไปดูอะไรก่อน?” เขมถามผมที่กำลังมองหน้าจอโทรศัพท์ ลิสต์รายการที่ต้องซื้อเต็มหน้าจอ


“ชุดว่ายน้ำ เสื้อฮาวาย แว่นกันแดด หมวก ครีมกันแดด โอ้โฮ” พัทรยื่นหน้าเข้ามาอ่านแต่ยังอ่านไม่จบก็อุทานใส่ผม “ซื้อเยอะขนาดนี้เลยเหรอพีท?”


“ของมันต้องมี” ผมตอบด้วยรอยยิ้ม...บังเอิญเห็นแท็กนี้ในทวิตเตอร์ ได้เอามาใช้กับเขาสักที


“มีความความตามเทรนด์” พัทรว่า “งั้นก็ไปดูพวกชุดก่อนแล้วกัน”


ผมพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นเราก็พากันเดินหาร้านที่ขายเสื้อผ้าที่ผมต้องการ ผมสะดุดตากับเสื้อผ้าตรงร้านมุมขวาของห้างสรรพสินค้า เรียกรั้งเพื่อนให้หยุดเดิน “ไปดูร้านนี้กัน”


เราทั้งสี่คนเข้ามาในร้าน พนักงานออกมาต้อนรับและแนะนำเสื้อผ้าที่ผมต้องการบ้างนิดหน่อยก่อนจะปลีกตัวออกไปยืนมองพวกเราห่างๆเพื่อให้เราได้เลือกสินค้า


“ชุดว่ายน้ำกูว่ามึงใส่แค่บ็อกเซอร์ก็พอแล้วมั้ง ไม่เห็นจำเป็นต้องซื้อใหม่” กานต์ยืนเขี่ยเล็บข้างๆผมพูดขึ้น ผมหันไปมองเขาแล้วเบะปากใส่


“เดี๋ยวกูก็บิดปากเบี้ยวซะหรอก”


“ทำไมชอบขัดกูจัง?” ผมว่าเขาไม่จริงจังนัก “ขัดจนเลขจะโผล่อยู่แล้ว”


“โอ้ ได้ไปหนึ่งดอก” กานต์ส่ายหัวทำท่ารับไม่ได้กับสิ่งที่ผมพูด จากนั้นเขาบ่นอะไรให้ผมฟังชุดใหญ่ก็เดินไปหาพัทรที่กำลังเลือกเสื้อกล้ามอยู่อีกมุมหนึ่งของร้าน


“โดนมันกวนตีนอีกแล้วอะดิ” ไม่นานเขมก็เข้ามายืนแทนที่กานต์แล้วถามกลั้วหัวเราะ


“ไม่น่าถาม” ผมตอบ เดินไปยังอีกโซนของเสื้อผ้าโดยมีเขมเดินตามไปด้วย “ตัวนี้สวยอะ นั่นก็ดูเท่ห์ดี แต่ตัวนู้นถ้าใส่ก็คงหล่อ เอาไงดีเขมเลือกไม่ถูกอะ” หันไปถามเขมที่ยืนเอามือค้ำราวเสื้อผ้าอยู่ข้างๆ เก๊กหล่อให้พนักงานดูล่ะมั้ง


“เลือกไม่ได้ก็เอาไปทั้งหมดนั่นแหละ”


“ได้หรอ?”


“ได้สิ” เขมยกแขนที่คำราวเสื้อผ้าออก หยิบเสื้อที่ผมอยากได้มาถือไว้ “เงินมึงนี่” แล้วก็ยัดเสื้อผ้าพวกนั้นไว้ในมือของผม


“โธ่...”


กว่าผมจะซื้อของทั้งหมดครบ เวลาก็ปาไปสองทุ่มกว่าๆ พึ่งรู้ว่าฟ้ามืดแล้วก็ตอนเขมพาขับรถออกมากห้างนั่นแหละ


“กานต์บ่นใหญ่เลยว่าซื้อเยอะ” ผมฟ้องเขมที่ทำหน้าที่สารถีและผู้ฟังที่ดี “บ่นเสร็จก็หิวข้าว อะไรของมันก็ไม่รู้”


“มึงยังไม่ชินอีกหรือไง” เขมถามขึ้นขำๆ


“อยากจะชินนะแต่ก็ยากอะ” ผมว่าแล้วทำหน้าหน่อย เขมเหลือบมอง ก่อนจะยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมอีกแล้ว “มึงก็อีกคนชอบขยี้หัวกูจัง”


“ก็มึงมันหน้าหมั่นไส้”


ผมจิ๊ปากแล้วเงียบไปแต่เงียบได้ไม่นานก็ชวนเขมคุยนู่นคุยนี่ต่อ จนกระทั่งเราคุยถึงเรื่องโรงแรมที่ผมต้องไปพัก


“เมื่อกี้ญาติกูเขาไลน์มาบอกว่าจัดการเรื่องห้องของมึงไว้เรียบร้อยแล้ว”


“อือ โรงแรมชื่อว่าอะไรอะ?” ผมหันไปถามเขม “กูจะได้ไปถูก”


“เดี๋ยวให้พี่สันต์ไปรับ” เขมหันมาตอบตอนที่รถติดไฟแดง “มึงจำพี่เขาได้ใช่ไหม?”


“พี่...พี่สันต์หรอ?” ผมถามอย่างตกใจ ความรู้สึกมากมายผสมปนเปกันไปหมดเมื่อได้ยินชื่อของคนๆนี้


เขมหันมามองเมื่อเห็นผมมีท่าทีแปลกไป “มีอะไรหรือเปล่า?”


“ป...เปล่า” ผมยิ้มแหยๆ


เขมมองผมสักพักพอรู้ว่าผมคงไม่พูดอะไรเขาก็พูดต่อ “กูฝากพี่สันต์ดูแลมึงตอนไปเที่ยวที่นู่น พอดีพี่สันต์ลงไปดูแลโรงแรมในเครือในจังหวัดนั้นพอดี ก็โรงแรมที่มึงไปพักนั้นแหละ...กูเลยถือโอกาสฝากมึงไว้กับพี่เขาด้วย”


“จริงๆไม่ต้องก็ได้”


“พี่สันต์รับปากแล้ว มึงไม่ต้องปฏิเสธเลย ที่พวกกูทำไปก็เพราะห่วงมึงกันทั้งนั้น” เขมเสียงดุจนผมได้แต่นั่งหงอ


“นี่ทุกคนรู้เรื่องกันหมดเลยหรอ?”


“พึ่งรู้กันเมื่อเช้านี่แหละ”


ผมพยักหน้าเข้าใจเป็นเวลาพอดีกับที่ไฟเขียว เขมออกรถส่วนผมได้แต่นั่งเงียบปล่อยให้สมองผุดภาพความทรงจำต่างๆของพี่สันต์ขึ้นมาในหัว


พี่สันต์หรือคุณวสันต์ของใครหลายๆคนเคยเป็นรุ่นพี่ในมหาลัยที่ผมเรียนอยู่ ตอนนั้นผมอยู่ปีหนึ่งส่วนพี่สันต์อยู่ปีสี่ ผมรู้จักพี่สันต์เพราะพี่สันต์เป็นญาติของเขม ทำให้บางทีเราได้เจอกันบ้างแต่ไม่บ่อยสักเท่าไหร่ ผมจะไม่อะไรเลยกับการได้เจอพี่สันต์อีกในรอบสามปีถ้าผมไม่เคยแอบชอบพี่สันต์


ใช่...ผมแอบชอบพี่สันต์ ชอบอยู่เงียบๆไม่เคยบอกใครแม้กระทั่งเพื่อนในกลุ่มยังไม่เคยมีใครได้ล่วงรู้เลยสักคน ผมไม่อยากให้ใครได้รู้ทั้งนั้น การแอบชอบของผมคือการได้เจอพี่สันต์บ้าง ได้คุยกันสักหนึ่งประโยคก็ทำให้ผมมีความสุขมากแล้ว แถมตอนนั้นพี่สันต์ยังมีแฟนเป็นอดีตดาวมหา’ลัยคนดัง ผมจะเอาอะไรไปเทียบเขาได้ 


พี่ทั้งสองคนเป็นคู่รักคู่หวานที่สุดในมหา’ลัยเลยก็ว่าได้ ใครๆก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพี่ทั้งสองคนเหมาะกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก จะให้ผมเข้าไปแทรกพื้นที่ตรงไหนได้ล่ะนอกจากเก็บพี่สันต์ไว้ในใจตลอด
ตอนพี่สันต์เรียนจบ พี่ก็ไม่ได้เข้าร่วมรับปริญญาเพราะต้องไปเรียนต่อโทที่ประเทศนอกทันที เสียดายที่ไม่ได้เจอพี่เลยหลังจากนั้นแต่ผมก็ไม่เคยเสียใจที่ครั้งหนึ่งเคยแอบชอบพี่สันต์นะ


“พีท...ถึงแล้ว” กว่าจะรู้ว่าตัวเองเหม่อไปนานแค่ไหนก็ตอนที่เขมเขย่าตัว “เหม่ออะไร เรียกตั้งนานยังไม่รู้ตัวอีก”


ผมตั้งสติตอบเขม“คิดเรื่องเที่ยวอะ”


“แน่ใจนะ ไม่ใช่ว่าคิดเรื่องแฟนเก่านะ?”


“อื้อไม่ได้คิดเลย สาบานได้” ยกสามนิ้วขึ้นทำท่าสาบาน


“เออดีแล้ว” เขมว่า “ไปๆเข้าบ้านได้แล้วเดี๋ยวกูช่วยถือของ”


“ไม่เป็นไรๆ กูไหว” ผมส่ายหน้าโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “เขมกลับเลย กลับดึกมันอันตราย”


“โอเคไว้เจอกัน”


“See you” ผมโบกมือลาเขม เอี้ยวตัวเพื่อไปเอาของที่ตั้งอยู่เบาะหลังแล้วเปิดประตูลงจากรถ เขมเปิดกระจกรถฝั่งข้างคนขับแล้วโบกมือให้
อีกรอบ “ไปได้แล้ว”


“เออ” ว่าจบก็ปิดกระจกแล้วขับรถออกจากบ้านผม ยืนส่งเพื่อนเสร็จก็เดินเข้าบ้านไปอย่างอารมณ์ดี




{----------♥----------}



เปิดเรื่องใหม่อีกแล้ว แฮร่
เรื่องนี้จะพาไปเที่ยวจังหวัดภูเก็ตกันค่ะ จะพาไปดำน้ำดูปะการัง อิอิ
เรื่องนี้เรียบๆสบายๆบรรยากาศทะเลเกือบทั้งเรื่อง บทบรรยายอาจจะเยอะเพระอยากให้ได้บรรยากาศจริงๆ ฉะนั้นก็จะน่าเบื่อบ้างนะคะแต่อยากให้ทุกคนได้อ่านจริงๆแล้วจะอยากไปเที่ยวกันเลยแหละ คาดว่าน่าจะมีประมาณ 20 ตอนนะคะ
สุดท้ายนี้ก็ฝากทุกคนติดตามด้วยเด้อ
 :กอด1:










ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
ติดตามมมมม

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
รออ่านตอนหน้าค่ะ  :katai4: :z7: :ped149:

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่ 2
ประสบพบเจอ






สิ้นสุดการรอคอยในที่สุดวันที่ผมต้องเดินทางก็มาถึง ผมอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้าเพื่อให้ทันไฟล์ทบินตอนเก้าโมง


จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วก็เดินลงจากห้องพร้อมกระเป๋าเป้หนึ่งใบและกระเป๋าเดินทางอีกหนึ่งใบ เห็นพ่อกับแม่กำลังยืนคุยกับเขม กานต์และพัทรอยู่ที่ห้องรับแขกจึงเดินเข้าไปหา“พีทไปแล้วนะครับพ่อ...แม่”


“ไม่ทานข้าวก่อนหรือลูก?” แม่ถามอย่างเป็นห่วง คงจะกลัวผมหิวระหว่างทาง


“พีทยังไม่หิวเลยครับแม่”


“จริงๆเลยเจ้าลูกคนนี้” แม่บ่นไม่จริงจังก่อนจะเรียกป้าแม่บ้านเอาเอาหารมาให้ ไว้รองท้องระหว่างทาง “ถ้าไม่หิวข้าวก็เอาแซนวิชกับนมไปรองท้องก็แล้วกัน”


“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ รับขนมที่คุณแม่ยื่นให้มาไว้ในมือ


“เด็กๆเอาไหมจ๊ะ? เผื่อจะหิวกัน” แม่ถามเพื่อนๆของผมที่ยังคงยืนหน้าสลอนอยู่


“ไม่เป็นไรครับแม่พวกผมแวะกินโจ๊กกันมาแล้ว” เขมตอบอย่างเกรงใจ “ขอบคุณนะครับ”


“จ้า ถ้าหิวก็ไม่ต้องเกรงใจแม่นะจ๊ะ บอกแม่ได้” ทุกคนยิ้มรับคำพูดแม่


“ไปๆเดี๋ยวจะตกเครื่องเอา” เป็นพ่อที่เร่งให้ผมรีบไป “เดินทางปลอดภัย ดูแลตัวเองด้วยล่ะเข้าใจไหมเจ้าพีท”


“ครับพ่อ” ผมหันไปตอบพ่อ


“เวลาไปไหนมาไหนก็ระวังตัวไว้ด้วยนะลูก พ่อกับแม่ไม่ได้ไปด้วยก็ดูแลตัวเองดีๆ” แม่บอกย้ำอีก


“คร้าบๆๆๆ พีทจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดีเลยครับ พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” ผมยิ้มหวานส่งให้พ่อกับแม่


“ดีมากจ้ะ” แม่ว่า “ไปได้แล้วล่ะมัวแต่ล่ำลากันเดี๋ยวจะได้ตกเครื่องจริงๆก็คราวนี้”


“ผมไปนะครับ” ผมบอกลาพร้อมกับเดินเข้าไปกอดทั้งสองท่านจากนั้นพวกเราก็ยกมือไหว้ลาพ่อแม่เพื่อออกเดินทางไปยังสนามบิน




{----------♥----------}




สนามบินเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา เดินสวนกันไปมาให้ชวนเวียนหัวไปหมด มีทั้งคนไทยและคนต่างชาติปนๆกันไป ก็อย่างว่าแหละนะช่วงฤดูกาลนี้คนก็เยอะเป็นปกติธรรมดาอยู่แล้ว


“เดี๋ยวกูไปเช็คอินก่อนนะ” ผมบอกเพื่อนทั้งสามคนที่เดินตามมาส่งทั้งๆที่บอกไปแล้วว่าไม่ต้องแต่ทุกคนก็ดื้อเหลือเกิน


“เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อนแล้วกัน” เขมขยับมายืนข้างๆแล้วบอกผม


“ไม่เป็นไร” ผมปฏิเสธเขมกลับ “ไม่นานหรอก กูไปคนเดียวได้”


เขมจับหัวผมแล้วโยกแรงๆไปมาสองสามที “พูดมาก กูจะไปใครก็ห้ามไม่ได้ มึงก็ด้วย”


ผมได้แต่จิ๊ปากใส่เขา สุดท้ายก็ต้องยอมเขมอีกตามเคยสิน่า “ก็ได้ งั้นกานต์กับพัทรนั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ”


“เออๆ” กานต์ตอบแล้วหันไปคว้าคอพัทรที่ยืนข้างๆจากนั้นก็ลากไปไหนก็ไม่รู้


“ไปๆเดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก” ผมพยักหน้าให้เขม เดินนำเขาไปยังจุดเช็คอิน


ผมใช้เวลาในการเช็คอินกับโหลดกระเป๋าไม่นานก็กลับมายืนตรงจุดเดิมที่แยกกับกานต์และพัทร ซึ่งตอนนี้หายไปไหนกันก็ไม่รู้


“สองคนนั้นก็ไม่ได้บอกด้วยว่าจะไปไหน” ผมบ่นกับเขมตอนที่เราหาที่นั่งได้แล้ว “กานต์นะกานต์ไปไหนก็ไม่เคยบอกเพื่อนเลยแถมยังจะลากพัทร
ไปด้วยอีก”


“บ่นมาก” เขมว่าหลังจากนั่งฟังผมบ่น


“ก็มันจริงนี่”


“เดี๋ยวมันก็มา มันไลน์มาบอกว่าพาพัทรไปหาอะไรกินเฉยๆ”


“อ้าว? ไหนบอกว่ากินโจ๊กกันมาแล้วล่ะ?”


“กูสองคนน่ะกินแล้วแต่พัทรมันยังไม่ได้กิน” เขมพูดพลางตาก็มองไปรอบๆบริเวณที่เรานั่งอยู่ “มันบอกไม่หิว”


“จริงๆตอนแม่ถามพัทรน่าจะบอกแต่พัทรคงไม่หิวจริงๆล่ะมั้งถึงได้เงียบ” ผมทำความเข้าใจกับตัวเองเสร็จก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา


“นั่นไงพูดไม่ทันขาดคำก็มากันแล้ว” คนข้างๆชี้ให้ผมหันไปมองเพื่อนอีกสองคนที่เดินกอดคอกันมาอย่างอารมณ์ดี


พวกเราสี่คนนั่งคุยกันไปต่างๆนาๆเพื่อรอเวลาผมไปเข้าเกท เราคุยเรื่องสถานที่ที่ผมจะไป ของฝากที่กานต์อยากได้และเรื่องสุดท้าย...


“แล้วพี่สันต์กับแฟนเขาเป็นยังไงบ้างวะไอ้เขม” กานต์เอ่ยถามคนที่นั่งข้างๆผม “นี่พี่เขาก็คบกันนานแล้วนะ กูคิดว่าพอพี่สันต์จบโทจะแต่งกันเลย”


เขมหันมามองหน้ากานต์ ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเบาๆ “คงไม่ได้แต่งหรอก”


ผมหันไปมองหน้าเขมบ้าง “ทำไม?” ทั้งที่ไม่คิดจะเอ่ยปากเกี่ยวกับเรื่องพี่สันต์แล้วแต่พอได้ยินที่เขมตอบก็อดสงสัยไม่ได้


“เลิกกันแล้ว” เขมถอนหายใจอีกรอบ “เลิกตั้งแต่พี่สันต์ไปเรียนโทที่ต่างประเทศแล้ว”


อ่า...รักแท้แพ้ระยะทางสินะ


พอได้ยินคำตอบของเขม ความรู้สึกของผมก็เริ่มทำงานอีกครั้ง ไม่รู้ว่ารู้สึกอะไร มันผสมปนเปกันไปหมด ทั้งสงสาร เห็นใจและ...ดีใจ


เมื่อถึงเวลาที่ผมต้องเข้าเกท เพื่อนทั้งสามคนก็ยังคงเดินตามเพื่อมาส่งผมหน้าเกทให้ได้ อะไรจะเป็นห่วงผมขนาดนี้ก็ไม่รู้ แต่ก็ดีล่ะนะ


“ไปนู่นก็ระวังตัวเอง ไม่ต้องไปแจกยิ้มเรี่ยราดล่ะ คนเขามองจะหาว่าเป็นบ้า” นี่กานต์ไม่ได้หรอกด่าผมใช่ไหมครับ ผมพยักหน้ารับอดไม่ได้จะชกเข้าที่อกเขาด้วยความหมั่นไส้


ผมหันไปหาพัทรที่เข้ามายืนข้างๆ “รีบกลับมานะพีท ความรู้สึกแย่ๆที่พีทมีก็เอาไปปล่อยมันไว้ที่ทะเล กลับมาต้องเป็นพีทที่ร่าเริงนะสัญญาไหม?”


ผมยิ้มกว้าง มองพัทรแล้วอ้าแขนออกโน้มตัวกอดอีกคน ผมตั้งหัวไว้บนบ่าพัทรก่อนจะพูด “ขอบคุณนะพัทร พีทไม่กล้าสัญญาหรอกพัทรแต่พีทจะพยายามนะ” ผมผละอ้อมกอดออกจากพัทร ยิ้มให้เขาก่อนจะหันไปหาเขม


“เดินทางปลอดภัย” ผมยิ้มขำ เขมก็เป็นแบบนี้ คำพูดอะไรไม่เคยมีเหมือนคนอื่นเขาหรอกแต่ก็นะแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน


“ขอบคุณนะทุกคน” ผมยิ้มให้เพื่อนทั้งสามคน “กูจะรีบกลับมา สัญญาว่าจะเที่ยวให้สนุกและกินของอร่อยเยอะๆ กลับมาจะเอาความสุขมาฝากนะ”
ทุกคนพยักหน้ารับ ยิ้มตอบกลับผมก่อนพวกเราจะกอดกันอีกครั้ง


“ไปนะ”


ผมโบกมือลาเพื่อนๆแล้วหันหลังเดินเข้าเกทและเตรียมตัวเพื่อจะผจญภัยละทิ้งความรู้สึกแย่ๆของตนเองเพื่อจะกลับมามีความสุขเหมือนอย่างเคย...


...หวังว่าทะเลจะทำให้ผมมีความสุขล่ะนะ...




{----------♥----------}




ใจผมเต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตอนที่ประกาศว่าเครื่องบินได้นำผู้โดยสารมาถึงจังหวัดภูเก็ตแล้ว อาการตื่นเต้นใจสั่นก็เกิดขึ้นมาแทบจะทันที ผมไม่รู้สาเหตุว่าอาการนี้เกิดจากอะไรกันแน่ ระหว่างดีใจที่จะได้เที่ยวหรือดีใจที่จะได้เจอพี่สันต์...


เครื่องบินลงจอดโดยปลอดภัย ผู้โดยสารบนเครื่องทยอยเดินออกจากเครื่องบิน ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ก้าวเดินไวๆเพื่อไปเอากระเป๋าเดินทางของตนเองที่โหลดเก็บใต้ท้องเครื่องมา ยังไม่ทันจะเดินถึงสายพานกระเป๋า โทรศัพท์ผมก็สั่นขึ้นแรงๆจนผมต้องหยุดเดินแล้วล้วงเอาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าออกมา


เบอร์แปลก....


ผมมองเบอร์นั้นอย่างชั่งใจสักพักจึงตัดสินใจกดรับสาย


“สวัสดีครับ”


(สวัสดีครับ นี่ใช่เบอร์พีทเพื่อนเขมหรือเปล่าครับ?)


ผมขมวดคิ้ว คิดไม่ออกว่าใครเป็นคนโทรมา


“ใช่ครับ เอ่อคุณคือ...”



(พี่สันต์ครับ ลูกพี่ลูกน้องเขม พีทจำพี่ได้ใช่ไหม?)


อ่า...ใจเต้นแรงอีกแล้ว


“ค..ครับ จำได้ครับ” อยากจะบอกว่าจำได้แม่นเสียด้วยแต่เลือกจะไม่พูดดีกว่า


(พี่ให้รถที่โรมแรมไปรับเราน่ะพอดีพี่ติดธุระเลยไม่ได้ไปรับพีทด้วยตัวเอง ขอโทษทีนะ)


“ไม่เป็นไรเลยครับ แค่นี้ผมก็เกรงใจจะแย่แล้ว”


(ไม่ต้องเกรงใจหรอกยังไงพีชก็เป็นเพื่อนเขม คิดซะว่าเป็นน้องพี่อีกคน)


“ครับ”


ผมกลั้นยิ้มทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะกลั้นไว้ทำไม คนปลายสายเขาไม่เห็นหน้าผมสักหน่อย


(พี่ให้คนรออยู่ทางออกนะ ออกมาน่าจะเห็นถ้าหาไม่เจอก็โทรหาพี่นะครับ)


“ครับพี่สันต์”


พี่สันต์บอกรายละเอียดเกี่ยวกับคนที่มารับผมอีกนิดหน่อยก็วางสายไปเพราะต้องเข้าไปประชุมต่อ ผมยืนอมยิ้มแก้มปริอยู่คนเดียว นิ้วก็กดจิ้มบันทึกเบอร์โทรศัพท์มือถือของพี่สันต์ไปด้วย


อย่างที่พี่สันต์ว่าพอเดินออกมาผมก็เจอคนของโรมแรมที่พี่สันต์ส่งให้มารับผมทันที เขาเดินเข้ามาทักผมอย่างสุภาพก่อนจะเดินนำแล้วพาผมไปขึ้นรถที่จอดรออยู่แล้ว


“นานไหมครับกว่าจะถึงโรงแรม?” ผมเอ่ยถามพี่พนักงานที่ทำหน้าที่ขับรถตอนที่รถเคลื่อนตัวออกจากสนามบิน


“ประมาณหนึ่งชั่วโมงครับ”


ผมพยักหน้าตอบรับแล้วส่งยิ้มให้เขา ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นอีก ผมหันไปมองข้างนอกหน้าต่างรถ วิวสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเดินขวักไขว่กันเต็มไปหมด


“ที่นี่เขาเรียกว่าอะไรหรอครับ?”


“ในยางครับ จริงๆมีหาดอยู่ด้วยนะครับ คุณพีชอาจจะเห็นตอนเครื่องแลนดิ้งลง”


ผมพยักหน้ารับ ตอนที่ได้ยินประกาศว่าเข้าสู่จังหวัดภูเก็ตแล้วผมก็มองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ข้างล่างนั่นเต็มไปด้วยทะเลและภูเขาที่สวยจนละสายตาออกไปไม่ได้


“ทะเลสวยมากเลยครับ ผมเห็นแล้วก็อยากไปเที่ยวเร็วๆ” ผมตอบกลับด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้น พี่คนขับจึงส่งยิ้มให้ผ่านทางกระจก


“แถวนี้คืออำเภอถลางครับ ถ้าจะให้ผมแนะนำหาดลายันสวยที่สุดแล้วครับ น้ำใส คนไม่ค่อยเยอะ บรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ตกเรียกได้ว่าเป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่เลยล่ะครับ”


พอจินตนาการตามแล้วก็ต้องยิ้มออกมา ถ้าได้ไปเห็นจริงๆคงจะสวยกว่าในจินตนาการของผมเป็นร้อยๆเท่าแน่เลย


“ผมไม่พลาดแน่นอนครับ”


จากนั้นระหว่างทางผมก็ถามนู่นถามนี่พี่คนขับไปตลอดทาง พี่เขาก็ใจดีตอบทุกอย่างที่ผมถามและสงสัยแถมบางครั้งยังหัวเราะเวลาผมเด๋อๆชี้มั่วไปที่ที่ไม่ควรอีก กว่าจะถึงโรงแรมแถวราไวย์ก็กินเวลาไปแล้วหนึ่งชั่วโมงตามคำที่พี่คนขับบอกเป๊ะเลย


โรงแรมตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหาดราไวย์ เป็นสไตล์เรียบหรูทั้งภายนอกและภายใน เห็นครั้งแรกก็สะดุดตาทันทีทั้งการตกแต่งและการออกแบบ


พอลงจากรถได้ผมก็ยืนสูดอากาศอยู่นานสองนานจนพี่คนขับรถต้องเรียกแล้วเชิญผมเข้าไปข้างในโรงแรมเพื่อเช็คอินห้องพัก


“ถ้าขาดเหลืออะไรคุณวสันต์บอกให้คุณพีทสามารถติดต่อคุณวสันต์ได้โดยตรงเลยนะครับ”


“เอ่อ...ครับ” บางทีก็รู้สึกเกรงใจที่ต้องไปรบกวนพี่สันต์ทั้งที่เขาก็มีงานมีการทำแทบล้นมือ


ผมฟังพี่พนักงานแนะนำผมอีกนิดหน่อยก็เดินขึ้นลิฟต์เพื่อไปยังห้องพักของตนเองที่อยู่ชั้นสาม  เปิดประตูห้องออกมาก็ต้องยิ้มกว้าง ทั้งห้องตกแต่งด้วยโทนสีขาวฟ้า มองเข้าไปก็จะเจอในส่วนของห้องรับแขก มีโซฟาสีขาวขนาดครอบครัวตั้งอยู่ตรงมุมที่ติดกับบานกระจกหน้าต่าง สามารถมองเห็นวิวทะเลข้างล่างได้เกือบทั้งหมด


ผมยืนเกาะกระจกตรงนั้นดูวิวสักพักก็เดินไปยังส่วนของห้องนอน มีที่นอนขนาดควีนไซส์ตั้งอยู่บนพื้นกลางห้อง ผ้าปูเตียงเป็นสีขาว ผ้านวมและหมอนหนุนเป็นสีฟ้า มีวอลเปเปอร์ติดอยู่ตรงหัวเตียงเป็นรูปทะเล ส่วนมุมด้านซ้ายเป็นกรอบรูปติดตามผังสลับเล็กกลางใหญ่ แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นภาพวิวทะเลและภูเขา ส่วนมุมด้านขวาเป็นตู้เสื้อผ้าสีขาวตั้งอยู่ข้างกับโต๊ะเครื่องแป้ง


ผมเดินนำกระเป๋าเป้ไปวางไว้ข้างกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของตนเองตรงตู้เสื้อผ้า ตั้งใจว่าจะไปอาบน้ำเพระเริ่มเหนียวตัวบวกกับอากาศร้อนหากได้น้ำเย็นๆคงจะสดชื่นไม่น้อยเลย


ห้องน้ำตั้งอยู่ภายในห้องนอนใกล้กับตู้เสื้อผ้า ข้างในห้องน้ำแบ่งสัดส่วนไว้อย่างดี ขนาดห้องน้ำก็ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป เดินเข้ามาอย่างแรกที่เห็นจะเป็นซิงค์ล้างมือล้างหน้าพร้อมกระจกอีกบานที่ติดบนผนังข้างๆกันจะเป็นโถสุขภัณฑ์สะอาดเอี่ยม ส่วนข้างในจะเป็นอ่างน้ำขนาดแช่ได้หนึ่งคน เยื้องๆกันไปจะเป็นตู้อาบน้ำมีฝักบัวอยู่ข้างใน


ผมใช้เวลาในห้องน้ำประมาณยี่สิบนาทีก็ออกมาด้วยสภาพชุดคลุมอาบน้ำที่ทางโรมแรมเตรียมไว้ให้ ตั้งใจว่าจะโทรหาพ่อแม่และเพื่อนก็เลยคิดว่าคุยเสร็จค่อยแต่งตัวทีหลังดีกว่า อยู่ในชุดนี้ก็สบายดีเหมือนกัน


เดินหาโทรศัพท์ทั่วห้องนอนก็ไม่เจอ ผมจึงตัดสินใจเดินออกไปดูข้างนอกแต่ก็ต้องตกใจเพราะไม่คิดว่าจะมีคนนั่งอยู่บนโซฟาตรงนั้นด้วย
“อะ...เอ่อ...” ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากอะไรคนที่นั่งมองวิวอยู่ด้านนอกก็หันมาทางผมพร้อมคลี่ยิ้มให้อย่างใจดี




เป็นร้อยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานานมากแล้วจริงๆ






{----------♥----------}






มารัวๆเพราะมีสต็อคอยู่ ฮ่าาา
ตอนนี้มาถึงภูเก็ตแว้วว
ตอนหน้าจะพาไปเดินหาดกันค่ะ ไปกันเล้ยยยยย

ปล.ขอบคุณทุกคนและทุกคอมเม้นนะค้าาา ติชมได้เสมอนะคะเพื่อนำไปปรับปรุงให้ดีกว่าเดิม

ขอบคุณค่าาาาาาาาาาาา

 :กอด1:










ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อยากอ่านต่อแล้วววว

 :mew1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เข้าห้องมาเฉย

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
พี่เค้ามาอยู่ตรงนั้นได้ยังไง
โอ้ยยยยอยากอ่านตอยต่อไป

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่ 3
ลมทะเล






“ขอโทษทีนะพอดีพี่เคาะประตูเรียกนานแล้วไม่มีคนมาเปิดเลยถือวิสาสะเข้ามาโดยพลการ เข้ามาก็ได้ยินเสียงอาบน้ำพี่เลยนั่งรอตรงโซฟาด้านนอก ขอโทษนะครับ” คนมาใหม่กล่าวยาวเหยียดด้วยประโยคที่แสดงความรู้สึกผิดจริงๆ


ผมส่ายหน้าแล้วคลี่ยิ้มส่งให้เขาก่อนจะตอบกลับไป “ไม่เป็นไรครับ อ...เอ่อสวัสดีครับพี่สันต์”


พี่สันต์ยิ้มขำก่อนจะรับไหว้ผม “สวัสดีครับน้องพีท” เขาว่าแล้วเดินตรงมาทางผม หยุดยืนด้านหน้าโดยเว้นระยะห่างพอประมาณ “ผมเปียกน่ะครับ เช็ดก่อนดีไหมแล้วเราค่อยมาคุยกัน”


พอโดนพี่สันต์ทักแบบนั้นก็พึ่งจะรู้สึกตัวว่าหยดน้ำบนเส้นผมหยดลงมากระทบใบหน้าและลำคอของตัวทำให้ต้องยกมือขึ้นมาถูไถปลายจมูกตัวเองเบาๆแก้เก้อ ลืมไปได้ยังไงว่าตัวเองใส่ชุดคลุมอาบน้ำออกมาด้วยเนี่ย!


“อ่า...ครับ งั้นพี่สันต์รอสักครู่นะครับ”


“ครับ ไม่ต้องรีบก็ได้พี่ไม่มีธุระอะไรต่อแล้วล่ะ”


ผมพยักหน้า หลบตาวูบตอนพี่สันต์ส่งยิ้มให้ทั้งตาทั้งปากแบบนั้นใช้โอกาสตอนหลบตาพี่สันต์ กวาดสายตามองหาโทรศัพท์ของตนเอง พอเห็นว่าวางอยู่ตรงโต๊ะเล็กก็รีบเดินไปเอาแล้วก้าวเท้าเร็วๆเข้าห้องทันที


เห็นหน้าพี่แค่นี้ก็ใจเต้นจะตายอยู่แล้ว


ผมเข้ามาในห้องนอนเพื่อจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยแล้วโทรบอกที่บ้านและเพื่อนๆว่าตัวเองมาถึงโดยปลอดภัยแล้ว ทุกคนต่างก็ย้ำกับผมเป็นเสียงเดียวกันว่าให้ผมดูแลตัวเองดีๆ ผมตอบรับพร้อมขอบคุณทุกคนจากนั้นจึงวางสายเพื่อจะออกไปหาคนข้างนอกที่ตอนนี้คงนั่งรอผมนานแล้ว


ยืนชั่งใจอยู่หน้าประตูห้องนอนอยู่หลายนาทีจึงตัดสินใจจับลูกบิดประตูแล้วก้าวออกจากห้องเพื่อมาเจอพี่สันต์กำลังยืนยิ้มให้ผมอยู่ตรงกระจกหน้าต่างที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ พอเขายืนอยู่ตรงนั้นก็ยิ่งทำให้พี่สันต์ดูหล่อขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งแสงที่ตกกระทบลงบนใบหน้าและทั้งรอยยิ้มสวยๆที่อีกฝ่ายส่งมาให้ผมจนผมต้องแก้เขินด้วยการยกมือขึ้นมาถูไถปลายจมูกตัวเองอีกแล้ว


“ขอโทษนะครับที่ให้พี่สันต์รอนานเลย” ผมกล่าวขอโทษพร้อมกับเดินไปหาคนที่พยักพเยิดให้ไปนั่งคุยกันตรงโซฟา


พี่สันต์นั่งลงตรงฝั่งซ้ายของโซฟาส่วนผมนั่งลงตรงฝั่งขวา เราเว้นระยะห่างกันพอประมาณ


“ไม่ต้องขอโทษพี่หรอก” พี่สันต์หันมามอง ริมฝีปากยังคงประดับด้วยรอยยิ้มที่ผมชอบตลอดเวลา “เป็นยังไงบ้าง ที่พักพอโอเคหรือเปล่า?”


“โอเคครับ ที่พักดีมากเลย ห้องก็สวยมากๆครับแถมยังได้เห็นวิวทะเลอีก” ว่าพลางมองออกไปทางท้องทะเลข้างนอกบานกระจกหน้าต่าง คลื่นสาดซัดเข้าฝั่งตลอดเวลา พอเห็นแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที


“ดีใจที่เราชอบนะ” พี่สันต์ว่าขึ้นหลังปล่อยให้บทสนทนาเงียบมาสักพักเพราะผมกำลังซึมซับกับบรรยากาศของทะเลข้างนอกอยู่ “ถ้ามีอะไรก็โทรหาพี่ได้ตลอดเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”


ผมละสายตาออกจากวิวทะเลตรงหน้า หันมาสบตากับพี่สันต์ “ขอบคุณมากนะครับ”


พี่สันต์ตอบรับแล้วว่าต่อ “หิวไหมเดี๋ยวพี่พาไปหาอะไรทานที่ห้องอาหารของโรงแรม?”


“ผมยังไม่หิวเลยครับแต่อยากลงไปเดินตรงชายหาดมากกว่า”


“ไปสิแต่ขอพี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วกัน ใส่สูทไปเดินชายหาดคงตลกน่าดู” เขาว่าพลางกลั้วหัวเราะทำให้ผมต้องขยับยิ้มตามเมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา


ยิ้มให้เห็นทั้งวันแบบนี้เกรงว่าใจจะเต้นจนเหนื่อยเข้าน่ะสิ


“เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกครับผมเกรงใจ”


“พี่บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกรงใจ” อีกฝ่ายยกมือขึ้นมาวางที่บ่าผมแล้วตบเบาๆสองที “งั้นพี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน พีทลงไปรอพี่ที่ล็อบบี้ข้างล่างก่อนนะเดี๋ยวพี่ตามลงไป”


“...ครับ”


จากนั้นพี่สันต์จึงเดินออกจากห้องไปเหลือเพียงผมที่ยังคงนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดิม มือข้างซ้ายยกขึ้นมาลูบบ่าข้างขวาของตนเองที่โดนอีกคนลูบก่อนหน้า รู้สึกว่าตัวเองยิ้มกว้างมากจนแก้มจะแตกก็ยังหยุดยิ้มไม่ได้ ใจที่อยู่ด้านซ้ายก็ถูกมือขวาของผมลูบเบาๆให้สงบลง
ไม่ดีเลยแบบนี้....




{----------♥----------}




ผมลงมารอพี่สันต์ตรงล็อบบี้ของโรงแรม ไม่นานคนที่ผมรอก็เดินลงมาด้วยชุดสบายๆที่แปลกตา พอเห็นแบบนั้นก็คิดว่าพี่สันต์ใส่อะไรก็หล่อหมดจริงๆนั่นแหละแม้กระทั่งตอนนี้ที่ใส่เพียงเสื้อกล้ามข้างในสีขาว มีเสื้อเชิ้ตสีฟ้าน้ำทะเลทับอีกที บวกกางเกงขาสั้นแถมยังมีรองเท้าแตะพอดูรวมๆแล้วผู้ชายคนนี้เป็นไม้แขวนเสื้อที่ดีจริงๆด้วย


“มองพี่แบบนั้นพี่ก็เขินแย่สิ” พอได้ยินเขาพูดแบบนั้นผมก็ได้แต่อึกอักและคงจะทำหน้าตาตลกพอดีอีกคนถึงได้หัวเราะกันแบบนี้ “พี่ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยแค่แซวเล่นเท่านั้นเอง ไม่ต้องทำหน้ากังวลสิ”


“...ครับ” ผมยืนเม้มปากหลบสายตาเขา ไม่รู้จะพูดหรือทำอะไรต่อดี


“ไปกัน อากาศตอนนี้กำลังดีเลย” พี่สันต์แตะศอกผมเบาๆก่อนจะบอกให้ผมออกเดินโดยมีเขาเดินอยู่ข้างกัน


อย่างที่บอกว่าทะเลตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของหาดราไวย์ ผมกับพี่สันต์จึงต้องรอข้ามถนนเพื่อจะเดินไปยังหาด


“ดูรถดีๆนะพีท”


“ครับ”


เราสองคนข้ามถนนมาอยู่ฝั่งชายหาดได้อย่างปลอดภัย ลมเย็นๆพัดเอากลิ่นทะเลทำให้ต้องสูดดมเอาอากาศสดชื่นเข้าปอด


“ลงไปเดินหน้าหาดกัน”


พี่สันต์ก้มลงถอดรองเท้าแตะแล้วเอามาถือไว้กับตัว ผมที่เห็นแบบนั้นจึงทำตาม คนข้างตัวเห็นก็ส่งยิ้มมาให้ก่อนจะพาผมออกเดินเพื่อสัมผัสทรายบนชายหาดแห่งนี้


“ทะเลสวยมากเลยครับ” ผมว่าแล้วหันไปยิ้มกับพี่สันต์


“อืม น้ำใสมากเลยล่ะ ไปเดินตรงนั้นกัน” ว่าจบก็ไม่รอให้ผมตอบรับ พี่สันต์เดินนำผมให้เข้าใกล้น้ำทะเลมากยิ่งขึ้นและก็เป็นอย่างที่เขาว่าน้ำทะเลใสมากจริงๆ ใสจนเห็นทรายใต้น้ำเลยล่ะ แต่เสียดายที่มีเรือจอดค่อนข้างเยอะจึงไม่ค่อยมีคนมาเล่นหาดนี้เท่าไหร่นัก


“ตรงโน้นสะพานอะไรเหรอครับ?” ผมชี้ไปตรงสะพานที่เห็นไกลๆ เป็นสะพานที่ทอดออกมาจากชายฝั่งยาวไปถึงน้ำทะเล


“สะพานราไวย์น่ะ พีทอยากไปดูไหมล่ะ?”


ผมพยักหน้ารัวๆตอบรับ “อยากครับ”


“จะนั่งรถหรือจะเดินดี?”


“เดินดีกว่าครับผมอยากเดิน” ผมตอบโดยไม่คิดอะไรแต่พอคิดได้ว่าอีกคนอาจจะไม่อยากเดินจึงหันไปหาแล้วพูดเสียงอ่อย “อ...เอ่อจริงๆผมเดินไปคนเดียวก็ได้นะครับถ้าพี่สันต์ไม่สะดวก”


พี่สันต์ยิ้มแล้วทำในสิ่งที่ผมต้องเบิกตากว้าง เม้มปากกลั้นยิ้มจนแก้มอูมโดยการที่เขายกมือขึ้นมาวางบนหัวผมแล้วลูบเบาๆ “พี่ยังไม่ได้พูดเลยว่าไม่สะดวก อย่าคิดแทนกันสิ”


“ขอโทษครับ”


พี่สันต์เลิกคิ้วทั้งที่ริมฝีปากยังคงมีรอยยิ้มประดับไว้อยู่“ขอโทษพี่ทำไมหือ?เราไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”แล้วก็ขยี้ผมของผมอีกสองสามทีจึงผละออก “ไปกัน”


ผมพยักหน้าส่งยิ้มให้พี่สันต์ “ครับ”


“แดดร้อนเหรอ” พี่สันต์มองหน้าผมอย่างพิจารณา “หน้าแดงเชียว” แล้วใช้นิ้วเขาจิ้มมาที่แก้มผมเบาๆ


“เอ่อ...คงงั้นมั้งครับ”


“พี่ไม่ได้เอาหมวกมาด้วยสิ” เขามองซ้ายมองขวา “งั้นไปเดินใต้ร่มไม้ก็แล้วกัน”


พี่สันต์พาผมมาเดินตรงทางเท้าซึ่งมีร่มไม้และโต๊ะเก้าอี้ของร้านอาหารทะเลต่างๆตั้งอยู่แต่ไม่ได้เกะกะจนไม่มีที่เดิน


นักท่องเที่ยวที่นี่จะเป็นชาวต่างชาติซะส่วนใหญ่แต่ก็อย่างว่าหาดราไวย์คนไม่ได้เยอะมากขนาดต้องเดินชนไหล่กันหรือวุ่นวายขนาดนั้น เป็นหาดที่จะเรียกว่าสงบก็เรียกได้ไม่เต็มปากเพราะผู้คนที่พากันมารับประทานอาหารทะเลก็เต็มเกือบทุกโต๊ะ เอาเป็นว่าหาดนี้มีไว้มานั่งชมวิวถ่ายรูปและรับประทานอาหารรับลมทะเลเพลินๆแต่ถ้าหากอยากเล่นน้ำก็คงได้อาจจะเล่นตรงที่ไม่มีเรือจอดก็โอเคอยู่นะผมว่า


“ไหวไหมเนี่ย” คนข้างตัวหันมาเอ่ยถามผมที่ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อข้างขมับ “หน้าเราแดงมากเลย เหงื่อก็ออกเยอะด้วย”


“ไหวครับไหว” ผมตอบแต่มือก็ยังไม่หยุดเช็ดเหงื่อ “ผมแค่ขี้ร้อนไปหน่อย แหะๆ”


“พี่ว่าข้ามถนนไปเซเว่นฝั่งตรงนั้นก่อนดีกว่า” เขาชี้ไปฝั่งตรงข้ามที่มีเซเว่นตั้งอยู่ “ ไปซื้อน้ำกับผ้าเย็นก่อนแล้วค่อยเดินต่อ”


ผมยิ้มแหย “เอางั้นก็ได้ครับ”


พี่สันต์พาผมข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง เราเดินเข้าไปในเซเว่นความรู้สึกแรกที่ได้รับรู้คือความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่กระทบเข้ากับผิวเนื้อของตัวเอง


พี่สันต์เดินนำไปหยิบน้ำและผ้าเย็นเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงหันมาหาผมที่เดินตามหลังเขาอยู่ “พีทจะเอาอะไรไหม?”


“ไม่ครับ” ผมปฏิเสธเพราะไม่คิดจะซื้ออะไรจริงๆ


พอพี่สันต์ได้คำตอบก็พยักหน้าแล้วนำน้ำและผ้าเย็นไปคิดเงินหน้าเคาน์เตอร์จากนั้นเราจึงพากันข้ามกลับไปยังฝั่งของชายหาดอีกครั้ง


“ใกล้ถึงแล้วล่ะ” เขาว่าพร้อมยื่นขวดน้ำและผ้าเย็นจากถุงเซเว่นมาให้ผม


“ขอบคุณครับ”


ระหว่างทางพี่สันต์ก็ชวนผมคุยไปเรื่อยๆส่วนมากเขาจะถามผมเรื่องการเรียนในมหา’ลัย ถามถึงเขมบ้างนิดหน่อย


“ตั้งแต่เรียนจบมาพี่ยังไม่ได้กลับไปมหา’ลัยเลย” พี่สันต์ว่าตอนที่ผมเล่าว่ามหา’ลัยมีการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง “เรียนจบก็ต้องไปต่อโทที่ต่างประเทศเลยเสียดายที่ไม่ได้รับปริญญาก่อน”


ผมหันไปมองคนข้างตัว “แล้วพี่สันต์ไปอยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้างครับ อ..เอ่อ ผมถามได้ใช่ไหมครับ?”


เขาคลี่ยิ้มพยักหน้าให้ผม “ตอนไปแรกๆก็เหงานะคิดถึงบ้านมากแต่พอผ่านไปสักหกเดือนก็เริ่มปรับตัวได้แล้วล่ะ”


“ถ้าเป็นผมคงร้องไห้กลับบ้านแน่เลย” ผมพึมพำ คิดถึงภาพตัวเองไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแล้วคงคิดถึงบ้านน่าดู


“ขี้แงหรือเราน่ะ?” คนข้างตัวถามอมยิ้มขำ


“แค่คิดว่าไม่ได้เห็นหน้าครอบครัวกับเพื่อนๆที่นี่ก็ใจหายแล้วล่ะครับ”


“นั่นสินะ” เขาพยักหน้า “แต่พี่ก็เลือกไม่ได้นี่เนอะ”


ผมหันไปมองคนที่พึมพำเสียงแผ่วเหมือนคิดอะไรกับตัวเองสักพัก ผมเห็นสีหน้าพี่สันต์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่จึงชวนคุยเรื่องอื่น “พี่สันต์มาดูแลโรงแรมที่นี่นานแล้วหรอครับ?”


เขาหันมามองผม ก่อนจะนิ่งคิดไป “อืม...ตั้งแต่จบโทก็น่าจะประมาณหนึ่งปีแล้วล่ะ”


“อิจฉาจังเลยครับ ตื่นมาคงได้เห็นทะเลสวยๆแบบนี้ทุกวัน” ผมส่งยิ้มกว้างให้เขาที่ก็ยิ้มตอบกลับมาทำให้ผมต้องหลบตาวูบ ยิ้มทั้งตาทั้งปากแบบนั้นใครจะไปสู้ไหวกันเล่า!


“จริงๆยังมีที่สวยกว่านี้อีกตั้งเยอะนะ”


“จริงด้วย ผมเห็นรูปในห้องพักของโรมแรมสวยมากๆเลยครับ”


“เดี๋ยวไว้พี่พาไปเที่ยวนะแต่ตอนนี้เราถึงสะพานแล้วล่ะ” พี่สันต์หยุดเดินทำให้ผมต้องหยุดตามไปด้วย “ดีนะที่เราไม่ได้มากันตอนวันหยุด ไม่งั้นคนเยอะกว่านี้แน่”


ผมพยักหน้าเห็นด้วยเพราะขนาดแค่มาวันธรรมดาก็เห็นคนมาไม่ขาดสาย


พี่สันต์พาผมเดินไปขึ้นสะพานที่ทอดยาวไปในทะเล เสียดายที่ไม่ได้หยิบกล้องมาด้วย ผมจึงกะว่าจะใช้โทรศัพท์ถ่ายแทนแต่ก็...


“มีอะไรหรือเปล่าพีท?” คนที่เดินนำหน้าผมหยุดเดินแล้วหันมาถามเมื่อเห็นผมไม่ได้เดินตามเขาไปอย่างที่เป็น


“ผมว่าผมลืมโทรศัพท์ไว้บนห้องแน่เลยครับ” ผมมุ่ยหน้า เซ็งมากที่ไม่ได้ถ่ายรูปที่สวยๆแบบนี้ “อดถ่ายรูปเก็บไว้เลย”


อีกคนพอได้ยินคำตอบก็ขำในคอก่อนเดินเข้ามาหาผม “ยืมของพี่ก่อนก็ได้” พร้อมชูโทรศัพท์เครื่องหรูไว้ตรงหน้าผม


“คือ...ผมเอ่อไม่เป็นไรก็ได้ครับ” ปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างเกรงใจ ใครจะไปกล้าเอาโทรศัพท์พี่สันต์มาถ่ายรูปเล่นกัน “ไม่ถ่ายก็ได้”


“งั้นพี่ถ่ายให้เดี๋ยวส่งให้เราทางไลน์ก็แล้วกัน” ผมทำท่าปฏิเสธพี่สันต์จึงพูดขัดก่อน “ไม่ต้องปฏิเสธเลยพี่แค่จะถ่ายรูปก็ไม่ได้หรอ?”


ก็ถ้าพี่สันต์แค่ถ่ายรูปเฉยๆคงไม่อะไรหรอกแต่ถ่ายแล้วจะส่งมาให้ผมด้วยนี่สิแบบนี้มันต่างอะไรกับที่เขาเสนอมาให้ผมตอนแรกล่ะ
แต่นั่นแหละถึงปฏิเสธไปพี่สันต์คงจะหาข้ออ้างที่ทำให้ผมต้องยอมให้ได้มาอีก ผมเลยเลือกที่จะพยักหน้าเบาๆแล้วตอบตกลงแทน “ก็ได้ครับ”


เราเดินตามไปทางสะพานเรื่อยๆ พี่สันต์หยุดถ่ายรูปวิวกับรูปทะเลตลอดทางและไม่วายยังบังคับให้ผมยิ้มใส่กล้องเขาอีก ผมก็ได้แต่ฉีกยิ้มเขินๆให้เขาก่อนจะเบนหน้าหนีทำทีดูคลื่นทะเลที่กระทบกับเสาสะพาน


มองกล้องนานทีไรสายตาก็ชอบเผลอเบนมองคนหลังกล้องทุกที


น้ำตรงนี้เป็นสีฟ้าเหมือนอย่างในรูปที่ผมเห็นเป๊ะๆ มันสวยมากจนผมไม่สามารถบรรยายออกมาได้แค่ได้มองก็รู้สึกสดชื่นสบายใจขึ้นมาแล้ว
พี่สันต์บอกว่าตรงสุดปลายสะพานจะมีทางลงเป็นบันไดทั้งสองฝั่ง ตรงนั้นจะมีไว้สำหรับเวลาเรือจะจอดหรือเข้าฝั่งก็จะมาจอดตรงบันไดตรงนั้น ตอนนี้ไม่มีเรือจอดอยู่เราก็สามารถเขาไปดูไปถ่ายรูปได้แต่พี่สันต์บอกว่าถึงจะมีเรืออยู่ก็ยังสามารถเข้าไปได้เพราะเรือไม่ได้จอดขวางอะไรมากนัก


อ้อ! แต่ระหว่างทางก็จะมีสะพานอยู่นะทางซ้ายมือที่ผมเห็นมีคนมายืนตกปลากันประมาณสามสี่คนด้วย


ตอนเดินอยู่ก็สัมผัสได้ถึงลมทะเลที่พัดผ่านเข้ามากระทบผิวตลอดเวลา จากตอนแรกที่อาบน้ำสบายตัวแล้วตอนนี้ก็เริ่มจะเหนียวตัวขึ้นมาอีกครั้ง ลมตรงนี้พัดดีมากจนทำเอาคนขี้ร้อนอย่างผมเย็นสบาย พัดทั้งกลิ่นน้ำทะเลและพัดไอแดดอ่อนๆเข้ามาจนตอนนี้ผมที่เคยเป็นทรงก็ยุ่งเหยิงจนถ้าคนอื่นเห็นอาจจะตลกแล้วหัวเราะขำเลยล่ะ


ผมมองไปทางพี่สันต์ที่เดินนำหน้าไปอย่างผ่อนคลาย ลมพัดเอาเสื้อผ้าและเส้นผมเขาปลิวไสวแต่อย่างนั้นก็ยังเป็นพี่สันต์ที่ดูเท่ห์เสมอในสายตาของผม


“ถึงแล้วล่ะ” เขาหันมาบอกตอนที่ผมกำลังเผลอจ้องเขาอยู่ “มองพี่ตาค้างเลย มีอะไรหรือเปล่า?”


“อ่า...ไม่ครับไม่ ผมแค่เห็นพี่สันต์ดูผ่อนคลายแล้วก็คิดว่าดีจัง”


“หืม? ทำไมล่ะ?” อีกคนขมวดคิ้วสงสัย ผมจึงยิ้มกว้างแล้วเดินไปหยุดยืนข้างๆเขา


“ก็ตอนที่อยู่โรงแรมพี่สันต์ดูเหนื่อยๆแต่พอได้มาเดินชายหาดพี่ก็ดูผ่อนคลายขึ้นเยอะเลย” ผมสังเกตตั้งแต่ที่เขาอยู่ในห้องพักแล้วว่าพี่สันต์
ดูเพลียๆ คงจะเพลียจากการทำงานของเขานั่นแหละ


“อืมมม...พี่ไม่เห็นรู้ตัวเลย” เขาว่าก่อนจะหันมายิ้มให้ผม “ช่างสังเกตจริงๆนะเรา”


“คงงั้นมั้งครับ”


“ไปนั่งตรงนั้นสิเดี๋ยวพี่ถ่ายรูปให้” พี่สันต์ชี้ไปตรงราวบันไดฝั่งซ้ายมือ บันได้ทอดลงไปถึงใต้น้ำประมาณสามสี่ขั้นที่น้ำขึ้นถึง ถ้าคนที่กลัวน้ำทะเลมาเห็นคงจะใจแกว่งไม่น้อย


ผมทำตามพี่สันต์บอกให้เขาถ่ายรูปผมสี่ห้ารูป ผมจึงตัดสินใจเอ่ยเรียกเขา “มาถ่ายด้วยกันสิครับ” ผมชักชวนอีกคน


“คิดว่าจะไม่ชวนกันซะแล้ว”


 เขาว่ายิ้มๆเดินมาหยุดยืนข้างผมก่อนจะโอบรอบไหล่ผม หน้าเราสองคนแนบกันเพราะมุมกล้องที่แคบ พี่สันต์ฉีกยิ้มให้กล้องพอผมเห็นก็ฉีกยิ้มตามเขาทั้งที่สายตายังคงมองรอยยิ้มเขาอยู่เลย....


แชะ!


เสียงชัตเตอร์ดังปลุกให้ผมต้องหันไปมองกล้องด้วยหน้าเหวอๆซึ่งตอนนั้นพี่สันต์ก็กดถ่ายรูปรัวๆไปแล้ว หน้าผมต้องออกมาตลกแน่ๆเลย


พี่สันต์ผละตัวออกจากผมแล้วเอาโทรศัพท์ไปดูรูปคนเดียว จากนั้นเขาก็ยิ้มขำทำให้ผมต้องเดินเข้าไปหา


“ผมขอดูด้วยครับ”


อีกคนส่ายหน้าล็อคหน้าจอโทรศัพท์ทันทีที่หันมาหาผม เขาเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเรียบร้อย


“ค่อยดูตอนที่พี่ส่งให้”


“..พี่สันต์.....”


“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิพี่ไม่แกล้งเราหรอกน่า”


ผมพยักหน้าอย่างจำยอม ถ้าเขาว่าแบบนั้นก็คงต้องรอดูตอนเขาส่งมาให้นั่นแหละ






{----------♥----------}




จะพยายามลงทุกวันเด้อเพื่อไม่ให้ขาดอรรถรส
วันนี้ขอลาไปสั้นๆด้วยคำว่า ขอบคุณค่าาาา












ออฟไลน์ fsbeentaken

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
งืออออ พี่สันต์อ่อยแบบไม่รู้ตัวไปอีกกก

 :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ต่ออีกนิดสิ ไรท์  :mew2:

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
แชอบนิยายที่ให้อารมณ์เเบบนี้

ออฟไลน์ Sarin_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ติดตามค่า :katai5:

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่ 4
จุดชมวิวกังหันลม







เมื่อคืนผมกับพี่สันต์แยกย้ายกันกลับห้องตอนประมาณสามทุ่มครึ่ง หลังจากที่กลับมาจากสะพานราไวย์พี่สันต์ก็มีงานด่วนกะทันหันทำให้ต้องรีบกลับผมจึงใช้โอกาสนั้นนอนพักผ่อนไปด้วยเลย


พอตกเย็นเขาก็มาเคาะประตูชวนผมไปทานข้าวที่ห้องอาหารของทางโรงแรม ทานเสร็จเราก็นั่งคุยกันเพลินจนสามทุ่มครึ่ง พอเห็นว่าเริ่มดึกเราจึงตกลงกันว่าควรเข้านอนเพราะวันนี้พี่สันต์จะพาผมไปทำบุญที่วัดใกล้ๆแหลมพรหมเทพจึงจำเป็นต้องตื่นเช้าสักหน่อย


ผมงัวเงียตื่นมาตอนเวลาเกือบเจ็ดโมง เดินไปเปิดผ้าม่านในห้องนอนแสงอาทิตย์ก็สาดส่องทำให้ห้องสว่างขึ้นมาทันที ทะเลตอนเช้าสวยมาก น้ำ
ทะเลกับแสงอาทิตย์เป็นอะไรที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ถ้าผมตื่นมาแล้วได้เห็นวิวสวยๆแบบนี้ทุกวันคงจะดีไม่น้อยเลย

ชื่นชมบรรยากาศในยามเช้าสักพักก็เข้าไปจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองในห้องน้ำ  เพื่อให้ทันนัดกับพี่สันต์ตอนเจ็ดโมงสี่สิบห้า ผมแต่งชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้นกับกางเกงขาสั้นสีฟ้า มีแว่นตาเหน็บไว้ตรงคอเสื้อพร้อมหยิบหมวกมาใส่เพื่อป้องกันแสงแดด


เช็คความเรียบร้อยของตัวเองหน้ากระจกไม่นานเสียงเคาะประตูห้องพักของผมก็ดังขึ้น


“อรุณสวัสดิ์ครับ” เป็นพี่สันต์ที่ยืนหน้าห้องของผมพร้อมส่งรอยยิ้มใจดีมาให้


“อรุณสวัสดิ์ครับพี่สันต์” ผมทักทายกลับ “ขอโทษทีนะครับ ผมช้าจนทำให้พี่ต้องมาตามถึงห้องเลย”


“ยังไม่ถึงเวลาหรอกครับ พี่แค่ลองมาเคาะห้องเราเผื่อว่าเสร็จแล้วจะได้ลงไปพร้อมกันเลย”


“งั้นไปเลยก็ได้ครับ ผมเสร็จพอดี”


เข้าไปหยิบกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือและไม่ลืมสะพายกล้องตัวเล็กที่พกมาไปด้วย วันนี้คงได้เก็บรูปเยอะแน่นอน


ด้วยความที่เราทั้งสองคนเสร็จก่อนเวลานัด พวกเราจึงมาถึงวัดก่อนเวลาที่คิดไว้ จริงๆแล้วที่นี่คือสำนักสงฆ์แหลมพรหมเทพ มีพื้นที่ไม่เยอะเท่าไหร่เพราะยังไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเป็นวัด ขับรถเข้ามาจะเป็นศาลาขนาดกลางตั้งอยู่ตรงกลางของพื้นที่ เป็นศาลาที่ให้ประชาชนหรือชาวบ้านมาทำบุญและฟังเทศน์ฟังธรรม


จอดรถเสร็จพี่สันต์ก็ยื่นสังฆทานที่อยู่เบาะหลังรถให้ผมเพื่อเอามาถือคนละอัน


“ทำบุญเสร็จเดี๋ยวพี่พาไปดูวิวตรงโน้น” เขาชี้ไปทิศทางหนึ่งซึ่งมีทางลงบันไดอยู่แต่ผมก็ยังไม่สามารถมองเห็นวิวที่เขาว่าได้


“ครับ...”


ผมกับพี่สันต์เดินขึ้นมาบนศาลา มีคนเยอะพอสมควรเพราะวันนี้เป็นวันพระพอดี เราเลือกที่นั่งตรงฝั่งบันได เพื่อความสะดวกในการขึ้นลง


เราเอาสังฆทานไปถวายพระท่านจากนั้นก็นั่งรอให้คนอื่นๆเอาไปถวายจนครบทุกคนบทสวดต่างๆจึงดังขึ้น


“พีทจะไปกับพี่ไหมหรือจะรอพี่ข้างบน?” อีกคนถามขึ้นตอนที่เรากรวดน้ำเสร็จแล้วและพี่สันต์กำลังจะเอาน้ำลงไปเทที่โคนต้นไม้


“ผมรออยู่ตรงนี้ก็ได้ครับ”


เขาพยักหน้าและเดินลงไปจากศาลาวัด ผมเข้าไปกราบพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ตรงหน้า พอได้มาทำบุญก็รู้สึกจิตใจสงบมากยิ่งขึ้น คงต้องขอบคุณพี่สันต์ที่ชวนผมมาทำบุญด้วยกัน


“ป่ะเดี๋ยวพี่พาไปถ่ายรูปตรงโน้น” ผมพยักหน้าตอนที่พี่สันต์เข้ามาสะกิดไหล่ให้ลุกขึ้นเพื่อที่เขาจะพาผมไปดูวิวที่เขาบอกไว้ในตอนแรก


พวกผมพากันเดินลงบันได ทางซ้ายมือจะเป็นลานกว้างซึ่งมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมอยู่ตรงกลางให้เข้าไปกราบไหว้ เดินมาอีกเรื่อยๆก็จะเป็นระเบียงยื่นออกไปเห็นวิวทะเลและภูเขาจากมุมสูง สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา


“โห สวยมากเลยครับ” ผมยิ้มกว้างเผลอตัวเดินนำหน้าพี่สันต์ ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมากดชัตเตอร์เก็บภาพรัวๆ


พี่สันต์เดินมาหยุดยืนข้างๆผมที่ยังคงถ่ายรูปไม่หยุด เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างใจดี “พีทเห็นตรงนั้นไหม?”


ผมมองตามที่เขาชี้พยักหน้าและตอบรับ “เห็นครับ”


“นั่นน่ะ เขาเรียกแหลมพรหมเทพ” เขาหันกลับมายิ้มให้ ผมยิ้มกว้างแล้วหันไปมองตรงจุดนั้นอีกครั้ง


“อยากไปจังเลยครับ”


“ไปสิแต่คงต้องเป็นตอนเย็นนะ”ผมทำหน้างง ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นตอนเย็น พี่สันต์เห็นสีหน้าของผมแล้วก็ยิ้มขำ ยกมือขึ้นลูบหัวผมก่อนจะ
ไขข้อข้องใจให้กระจ่างมากขึ้น “ตอนนี้แดดร้อนอีกอย่างเดี๋ยวพี่พาเราไปทานข้าวก่อน ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าไม่ใช่หรือไง?”


“อ่า...ครับ” ผมยกมือขึ้นมาถูไถปลายจมูก พี่สันต์ผละมือที่วางอยู่บนศีรษะผมออกไปเหลือไว้แค่เพียงความอบอุ่นที่ผมยังคงสัมผัสได้


“ทานข้าวเสร็จพี่จะพาไปที่จุดชมวิวกังหันลมนะ”


“ไกลไหมครับ”


“ไม่หรอก ขับผ่านแหลมพรหมเทพนิดเดียวก็เจอแล้วล่ะ”


ผมพยักหน้าจากนั้นจึงพากันเดินกลับรถเพื่อไปรับประทานอาหารทะเลหน้าหาดราไวย์ตามคำเรียกร้องของผม




{----------♥----------}




พี่สันต์เลือกที่จอดรถไว้ที่หน้าร้านแทนที่จะเป็นโรงแรม พี่เขาให้เหตุผลว่าจะได้ไม่ต้องเดินให้เหนื่อยเก็บแรงไว้เที่ยวที่ต่อไปดีกว่า


ร้านที่เราเลือกเป็นร้านที่อยู่เยื้องกับเซเว่นซึ่งเป็นร้านแรกหากขับรถมาจากทางสะพานราไวย์ เลือกที่นั่งได้พนักงานก็นำเมนูมาให้พวกผม


ผมกับพี่สันต์ตกลงกันไว้ตั้งแต่บนรถแล้วว่าจะไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลี้ยงทั้งสิ้น เราต้องออกกันคนละครึ่งเพราะยังไงก็ต้องทานด้วยกันอยู่แล้ว
ตอนแรกพี่สันต์ทำท่าไม่ยอมแต่เพราะผมก็ไม่ยอมเช่นกัน บอกกับเขาว่าคงไม่สบายใจเท่าไหร่ พี่สันต์จึงยอมตกลงตามเงื่อนไขที่ผมเสนอ


“เอาปลากะพงนึ่งมะนาว ต้มยำกุ้ง ข้าวผัดสับปะรด ปลาหมึกนึ่งมะนาวเอ่อแล้วก็ส้มตำไทยไข่เค็มครับ” พอสั่งเสร็จก็วางเมนูเงยหน้าไปมองพี่สันต์ที่นั่งมองผม ริมฝีปากเขาระบายยิ้มอ่อนๆส่งมาให้ “อ..เอ่อพี่สันต์สั่งเลยครับ”


พอได้ยินผมว่างั้นเขาก็พยักหน้า “เครื่องดื่มเอาเป็นน้ำเปล่าก็แล้วกันครับ”


พนักงานจดรายการอาหารที่ผมสองคนสั่งลงไป พอเรียบร้อยแล้วจึงข้ามไปยังถนนอีกฝั่งเพื่อเอาออเดอร์ไปส่งที่ร้าน จริงๆสามารถนั่งทานในร้าน
ได้นะแต่มาถึงทะเลทั้งทีก็อยากจะนั่งทานริมหาดบ้างเหมือนกัน


“หิวล่ะสิเรา สั่งเยอะจนพี่ตกใจเลย” อีกฝ่ายเปิดบทสนทนา


“ก็นิดหน่อยครับ พอเปิดเมนูมาเห็นแล้วก็อยากกินไปซะทุกอย่างเลย” ผมตอบเขา “แล้วพี่สันต์ไม่สั่งอะไรเพิ่มแล้วหรอครับ?”


“ไม่ล่ะ พี่กินกับพีทได้ใช่ไหม?”


ผมพยักหน้ารัวๆส่งให้อีกฝ่าย “ได้สิครับ ผมไม่ขี้หวงหรอก”


“นั่นสินะ”


ยังไม่ทันที่จะได้ต่อบทสนทนาอะไรเพิ่ม พนักงานของร้านก็นำน้ำเปล่ามาเสิร์ฟพวกเราเป็นอย่างแรก


“ขอบคุณครับ” เอ่ยขอบคุณตอนพนักงานยื่นแก้วมาตั้งไว้ตรงหน้า พอเห็นเขาเดินออกไปแล้วจึงหันกลับไปคุยกับพี่สันต์ต่อ “วันนี้พี่สันต์ไม่ได้ทำงานหรอครับ?”


“ทำสิแต่ยังไม่ถึงเวลาหรอก น่าจะซักบ่ายๆพี่ต้องเข้าไปดูงานแล้วล่ะ”


ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงกว่าเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงพี่สันต์ก็ต้องกลับไปทำงาน


“ผมเกรงใจจังเลยครับ จริงๆพี่สันต์ไม่ต้องดูแลผมตามที่เขมบอกก็ได้นะ” ผมบอกเขาด้วยความเกรงใจจริงๆ “ผมกลัวพี่เหนื่อยที่ต้องมาดูแลผมไหนจะทำงานอีก”


“ไม่หรอก พี่เหนื่อยจากงานก็จริงแต่พี่ก็ไม่ได้เหนื่อยกับการดูแลเราเลยนะ ดีซะอีกพี่จะได้ถือโอกาสนี้ไปเที่ยวผ่อนคลายบ้าง”


“ถ้าพี่เหนื่อยที่จะพาผมไปนู่นไปนี่บอกผมได้เลยนะครับ ผมไม่อยากรบกวนพี่เลย”


“อืม ถ้าพี่เหนื่อยจริงๆพี่จะบอกก็แล้วกัน”


ผมพยักหน้ายิ้มกว้างส่งให้เขาที่ก็ระบายยิ้มตอบกลับผมมา


อาหารมาเสิร์ฟเต็มโต๊ะในเวลาต่อมา เรานั่งทานกันเงียบๆแต่ผมก็ยังไม่วายส่งรูปอาหารไปอวดเพื่อนๆจนพวกมันโวยวายกันใหญ่ ผมยิ้มขำเมื่อ
กานต์ส่งมาด่าผมยาวเหยียดแต่สุดท้ายก็บอกให้ผมทานให้อร่อย ส่วนพัทรบอกว่าเห็นผมมีความสุขก็ดีแล้ว เขมรายนั้นก็ส่งเพียงสติ้กเกอร์หมีง่วงนอนมาให้ ดูท่าแล้วคงจะตื่นสายอีกตามเคย


“กุ้งตัวใหญ่เท่ามือผมเลยครับ” ผมตักกุ้งในต้มยำออกมาโชว์ให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามดู


“ทั้งใหญ่ทั้งสดเลยนะ เอ้า รีบๆทานเดี๋ยวก็หายร้อนซะก่อน”


ผมนั่งแกะกุ้งให้ตัวเองตัวแล้วตัวเล่าแต่ก็ยังไมเห็นพี่สันต์จะแกะทานสักตัว จึงเอ่ยถามขึ้น “พี่สันต์ไม่ทานกุ้งหรอครับ?”


อีกคนเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวผัดของตนเอง “พี่ขี้เกียจแกะน่ะ” เขายิ้มเขินนิดหน่อย “พีทกินเถอะ”


จากนั้นก็ก้มหน้าทานข้าวของเขาต่อ ผมเห็นดังนั้นจึงตักกุ้งออกมาจากหม้อต้มยำ ใช้ช้อนและส้อมแกะเปลือกกุ้งออกจนหมดแล้วจึงนำไปวางบนจานของอีกคน


“ผมให้ครับ”


เขายิ้ม “ขอบคุณครับ”


เราสองคนนั่งทานอาหารบนโต๊ะเงียบๆ มีผมคอยแกะกุ้งและนำไปวางบนจานพี่สันต์เป็นระยะ อีกคนพอเห็นแบบนั้นก็เอ่ยขอบคุณและส่งยิ้มจนผมที่ได้เห็นแบบนั้นก็อยากจะนั่งแกะกุ้งให้พี่สันต์ไปทั้งวันเลย


เสียงคลื่นทะเลกระทบกับโขดหินเสมือนดนตรีที่บรรเลงอย่างไพเราะที่อยู่ในร้านอาหารของยอดตึกหรู แต่เสียงธรรมชาติยิ่งฟังยิ่งผ่อนคลาย ทำให้เจริญอาหารมากกว่าที่เป็น อาหารคำแล้วคำเล่าถูกตักเข้าปากจนสุดท้ายก็เหลือเพียงจานเปล่าที่ตั้งเรียงรายอยู่บนโต๊ะอาหารแทน


“นั่งย่อยสักพักก่อนเนอะ” ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับพี่สันต์ อย่าว่าแต่จะให้เดินเลยแค่ขยับตัวก็แน่นท้องไปหมดแล้ว ถ้าผมทานแบบนี้ทุกวันกลับบ้านไปคงต้องได้กลิ้งเข้าบ้านแทนการเดินล่ะมั้งเนี่ย




{----------♥----------}




จุดชมวิวกังหันลมเป็นจุดชมวิวที่มีกังหันลมสีขาวแบบของฝรั่งตั้งอยู่บนยอดเขาของจุดชมวิวซึ่งยอดเขานี้พี่สันต์บอกว่าเขาเรียกกันว่า เขาแดง จะมีศาลาตั้งอยู่เพื่อให้เราสามารถเดินเขาไปดูวิวใกล้ๆได้


“ตรงนั้นคือหาดในหาน” พี่สันต์ชี้ไปทางขวาที่สามารถมองเห็นทะเลและหาดทรายสีขาวสะอาดปรากฏอยู่ “ส่วนทางนั้นเรียกว่าหาดยะนุ้ย” ชี้ไปทางขวาที่เป็นหาดเล็กๆ “ส่วนถัดไปจากหาดยะนุ้ยก็คือแหลมพรหมเทพ”


ผมยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาเก็บภาพทั้งสองฝั่งและตรงกลางที่เป็นท้องทะเลสีฟ้าสวยงาม สวยกว่าในรูปไม่รู้กี่ล้านเท่า


“คนน้อยดีจังครับ”


“ใช่ครับ ตรงนี้จึงมีคนนิยมเอาเครื่องร่อนบังคับรวมถึงพาราชูตมาเล่นตรงนี้น่ะ” ผมหันไปมองรอบๆก็เห็นว่ามีคนเอามาเล่นจริงๆด้วย “ตรงนี้เป็นจุดที่สามารถดูพระอาทิตย์ตกได้สวยไม่แพ้กับแหลมพรหมเทพเลยนะ”


“อยากให้ถึงตอนเย็นเร็วๆเลยครับพอได้ยินแบบนี้”


“อืม ตอนเย็นพี่จะพามาอีกทีนะ”


“ครับ”


“ลงไปถ่ายรูปด้านล่างไหม?” พี่สันต์หันมาชวนตอนที่ผมวางกล้องลง “ข้างล่างหญ้าจะเป็นสีเหลืองทองตัดกับน้ำทะเลสวยมากเลยนะ พี่ว่าพีท
คงอยากเก็บรูปไว้”


“ครับๆอยากครับ” ไม่ได้คิดไตร่ตรองให้มากความก็ตอบตกลงทันที แค่ได้ฟังพี่สันต์บรรยาย ภาพสวยๆก็ผุดขึ้นมาบนหัวทันที


อย่างที่พี่สันต์ว่าข้างล่างมีหญ้าขึ้นเต็มพื้นที่ซึ่งหญ้าทั้งหมดเป็นสีเหลืองทองสวยยิ่งพอตัดกับสีฟ้าของน้ำทะเลด้วยแล้วเป็นอะไรที่เข้ากันได้
อย่างลงตัวเลย


“ผมถ่ายรูปให้ไหมครับ?”


“เอางั้นหรอ?” พี่สันต์ทำหน้าตาเหรอหราที่อยู่ดีๆผมก็จะให้เขาเป็นนายแบบของผม


“ครับ พี่สันต์ยืนตรงนี้นะ” ผมจัดท่าทางและมุมให้เขายืนนิดหน่อย อีกคนก็ทำตามอย่างว่าง่ายถึงจะดูเงอะงะแต่ก็ยังพยายามทำตามที่ผมสั่งให้ดี
“หล่อมากเลยครับ”


“พีทมาถ่ายบ้างสิ พี่เห็นเราถ่ายแต่รูปทะเลยังไม่มีรูปตัวเองเลยมั้งน่ะ” เขากวักมือเรียกให้ผมเดินเข้าไปหา ผมหยุดยืนตรงหน้าเขา คนตรงหน้าจึงยื่นมือมาขอกล้องถ่ายรูปจากผม “เอามาสิเดี๋ยวพี่ถ่ายให้”


ผมลังเลแต่สุดท้ายก็ยื่นกล้องไปให้เขา “รบกวนด้วยนะครับ”


“ขี้เกรงใจจริงๆเลยนะเรา” เขาว่าผมไม่จริงจังนักทำให้ผมได้แต่ยิ้มแห้งไปให้เขาจากนั้นจึงไปยืนแทนตำแหน่งที่พี่สันต์เคยยืนเพื่อให้ตากล้องจำเป็นถ่ายรูปให้


เรากลับมาที่โรงแรมอีกครั้งหลังจากถ่ายรูปและชมบรรยากาศที่จุดชมวิวกังหันจนเต็มอิ่ม พี่สันต์ต้องไปทำงานต่อส่วนผมคงเข้าห้องนอนพักผ่อนเลย ทั้งล้าจากการเที่ยวบวกกับการตื่นเช้าจึงทำให้ง่วงนอนกว่าปกติ



{----------♥----------}



ตอนเย็นพี่สันต์มาเคาะประตูห้องผมเพื่อที่จะพาผมไปยังแหลมพรหมเทพตามที่เขาเคยบอกไว้ในตอนเช้า


“พี่ปลุกเราหรือเปล่า?” เขาว่าตอนที่ผมเชิญให้เขาเข้ามานั่งรอผมในห้อง


“ไม่เลยครับ ดีแล้วที่พี่มาเคาะห้องผมไม่งั้นผมคงหลับยาว ตอนกลางคืนคงจะนอนไม่หลับ”


“พีทไปล้างหน้าล้างตาเถอะ พี่นั่งรอตรงนี้แหละ”


ผมพยักหน้า หมุนตัวเดินกลับเข้าห้องเพื่อมาล้างหน้าล้างตาปลุกให้ตัวเองสดชื่นหลังจากนอนมาหลายชั่วโมง ตอนตื่นมาแล้วดูนาฬิกาก็ตกใจตัวเองที่นอนนานตั้งหลายชั่วโมง สงสัยคงจะเพลียจริงๆนั่นแหละนะ


เดินออกจากห้องมาก็เห็นพี่สันต์กำลังยืนคุยโทรศัพท์ด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เขาเหลือบมามองผมนิดหน่อยแล้วส่งยิ้มให้จากนั้นจึงกลับไปคุยกับปลายสายต่อด้วยคิ้วที่ขมวดยิ่งขึ้นกว่าเดิม


ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิมเพื่อจะให้พี่สันต์คุยธุระส่วนตัวกับปลายสาย พอเห็นเขาวางสายแล้วจึงเดินเข้าไปหาพร้อมส่งยิ้มให้เพราะอยากให้พี่สันต์ยิ้มตอบกลับมาดีกว่าทำหน้าเครียดคิ้วขมวดแบบนั้นเป็นไหนๆ


“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” ผมถามเมื่อเห็นพี่สันต์จ้องหน้าผมนานแล้ว เขาทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูดสักทีจนผมต้องเอ่ยปากถาม


“คือพี่มีงานด่วนเข้ามา” เขาทำสีหน้าลำบากใจสักพักก็ถอนหายใจแล้วพูดกับผมต่อ “พี่คงพาพีทไปแหลมพรหมเทพไม่ได้แล้วล่ะ”


ยอมรับว่าเสียดายนิดหน่อยแต่เพราะพี่สันต์ติดงานผมจึงเข้าใจ “ไม่เป็นไรเลยครับ ผมไปวันอื่นก็ได้”


เขายิ้มแต่ก็ยังไม่คลายปมคิ้วที่ขมวด “ขอโทษจริงๆนะพีท”


“ครับ พี่สันต์รีบไปทำงานเถอะครับ” ผมคลี่ยิ้มให้เขาสบายใจว่าผมไม่ได้คิดมากอะไร อีกคนเห็นผมยิ้มเขาก็ยิ้มตาม ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆแล้วผละออก


“งั้นพี่ไปก่อนนะ” ว่าจบเขาเดินออกจากห้องไปโดยมีผมที่มองเขาไปจนเขาปิดประตูนั่นแหละถึงได้ถอนสายตาออกมาแล้วเบนออกไปมองบรรยากาศข้างนอก


พลางคิดในใจว่าความรู้สึกที่เคยมีต่อพี่สันต์มันยังไม่เคยหายไปเพียงแค่กาลเวลาที่ไม่เจอหน้ากันอาจทำให้ลืมเลือนแต่พอมาพบเจอกันอีกครั้งจึงทำให้ผมได้รู้ว่าความรู้สึกของตัวเองที่มีต่ออีกคนไม่เคยเลือนรางไปเลย มันมีแต่จะเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นจนวันหนึ่งผมกลัวว่ามันจะเพิ่มจนเกินขีดจำกัดแล้วทำให้พี่สันต์อึดอัด....



ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆไม่รู้ว่าพี่สันต์จะเป็นพี่ชายที่ใจดีกับผมเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่าแต่ถึงพี่จะเป็นยังไงผม...ก็คงเลิกชอบพี่ไม่ได้อยู่ดี.....




{----------♥----------}











ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
พี่สันต์ดูอบอุ่น

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
พี่สันต์นี่ชอบอ่อยน้องแบบไม่รู้ตัว :-[

ออฟไลน์ ฟองดูว์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-3
ตอนที่5

คนรักเก่าของพี่สันต์




ผมมาอยู่จังหวัดภูเก็ตได้ประมาณสามวันแล้วและวันนี้คือวันที่สี่ ตลอดทั้งสามวันมีพี่สันต์คอยนำเที่ยวและแนะนำสิ่งต่างๆให้ผมเสมอแต่วันนี้แพลนของผมที่ตั้งเอาไว้ต้องพับเก็บลงเพราะฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย การเที่ยวของผมจึงต้องหยุดไปก่อน ทำให้ตอนนี้ผมต้องมานั่งมองเม็ดฝนที่ตกโปรยปรายลงมาตรงหน้าต่างห้องรับแขก



บรรยากาศเวลาฝนตกมันทำให้ผมเหงามากขึ้นยิ่งกว่าทุกครั้ง มันทั้งเหงาทั้งเย็นแต่ก็รู้สึกดีขึ้นบ้างเมื่อได้โทรหาครอบครัวเหมือนอย่างตอนนี้



“ที่นี่สวยมากเลยครับ ผมอยากให้พ่อกับแม่มาด้วยจริงๆนะ”



(ไว้วันหยุดคราวหน้าเราค่อยไปพร้อมกันใหม่ก็ได้เนอะ)



“ครับแม่”



(ฝนตกอย่างนี้ลูกไม่มีแพลนไปเที่ยวที่ไหนใช่ไหมจ๊ะ)



“คงอย่างนั้นแหละครับแต่ผมอยากไปเที่ยวจะแย่ เหลืออีกตั้งหลายที่ที่ผมยังไม่ได้ไปเลย”



(ถ้ายังเที่ยวไม่พอลูกก็อยู่ต่ออีกหน่อยสิจ๊ะ กว่าจะเปิดเทอมก็อีกตั้งเดือนเลยนะ)



“แต่ค่าใช้จ่ายทั้งที่พักทั้งค่ากินจะเยอะเอาสิครับ พีทไม่อยากใช้เงินฟุ่มเฟือยเท่าไหร่”



(ไม่เป็นไรหรอกจ่ะ นานๆทีลูกได้ไปผ่อนคลายแม่ก็อยากให้ลูกเต็มที่ ลูกยังไม่ได้จองตั๋วกลับนี่จ๊ะ เที่ยวเพิ่มสักอาทิตย์คงไม่เป็นอะไรหรอก)



“แค่นี้พีทก็คิดถึงพ่อกับแม่แล้วนะครับ ถ้าเที่ยวเพิ่มอีกหนึ่งอาทิตย์พีทคงแย่”



(เอาเถอะ แม่ตามใจพีทอยู่แล้ว จะอยู่เที่ยวต่ออีกสักเดือนแม่ก็ไม่ว่าหรอก)



“โธ่ แม่ก็...”



ผมโอดครวญกับแม่ที่หัวเราะขำมาจากปลายสาย ผมรู้ว่าแม่พูดจริงถ้าหากว่าผมอยู่ต่ออีกเดือนแม่คงไม่ว่าแต่ตั้งหนึ่งเดือนผมจะอยู่ทำไมกันล่ะ ผมแค่มาเที่ยวเองนะแต่ถ้ามีปัจจัยอื่นให้อยากอยู่ต่ออีกนี่สิคงต้องว่ากันใหม่



(แม่ต้องวางแล้วนะจ๊ะ ลูกก็ดูแลตัวเองดีๆด้วยล่ะ รักลูกนะ)



“รักแม่เหมือนกันนะครับ สวัสดีครับ”



วางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวและจดจ้องไปยังเม็ดฝนที่กำลังโปรยปรายไม่ขาดสาย มองดูเม็ดฝนที่ตกกระทบกับพื้นผิวน้ำทะเลที่มองจากไกลๆก็ยังคงดูไม่ออกว่าจะสวยหรือจะน่ากลัวอย่างที่เคยได้ยินหลายๆคนพูดบอกมา ถ้าเพียงให้ผมมองจากตรงนี้คงตอบได้คำตอบเดียวว่ามันดูสวยในอีกแบบของมัน



ผมคิดว่าธรรมชาติมีความสวยงามเสมอ จะมากจะน้อยก็ยังขึ้นชื่อว่าสวย น้ำทะเลในตอนฝนตกก็เช่นกันถึงแม้ตอนนี้จะไม่ได้สวยเท่าตอนที่แดดออกสว่างจ้าจนแสงตกกระทบกับผิวน้ำแต่น้ำทะเลก็ยังคงสวยในแบบของมันอยู่ดี



ถ้าหากถามว่าสามวันนี้ผมเลิกคิดเรื่องคนรักของตัวเองบ้างหรือยัง ผมตอบได้แค่ว่ายังแต่ก็คิดน้อยลงกว่าช่วงแรกๆแล้ว มันอาจจะมีความคิดถึงชั่วขณะแต่ก็เพียงเท่านั้นในเมื่อตอนนี้ผมมีคนที่ทำให้ต้องคิดถึงเขามากกว่า คนๆนั้นที่มอบความใจดีและรอยยิ้มอ่อนโยนให้กับผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอและแม้จะผ่านมาสักกี่ปีคนๆนั้นก็ยังยิ้มและใจดีกับผมเสมอมา



ใช่...ผมคิดถึงแต่เรื่องของพี่สันต์จนสามารถทำให้ผมลืมเรื่องของแฟนเก่าได้เลยล่ะ



แต่ก็นั่นแหละ ผมคงได้แค่เพียงคิดและมีความสุขอยู่กับตัวเองเงียบๆโดยไม่กล้าบอกให้พี่สันต์ได้รับรู้ความรู้สึกที่ผมเคยมีต่อเขาและตอนนี้ความรู้สึกนั้นก็กลับมาอีกครั้ง มันกลับมาโดยที่ไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัวและความรู้สึกที่ผมมีต่อเขานั้นมันไม่เคยลดน้อยลงไปเลย มันมากขึ้นและเพิ่มขึ้นจนน่ากลัวว่าสักวันผมอาจจะทำให้พี่สันต์อึดอัดไปโดยไม่รู้ตัว



นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยได้ไม่นานเสียงท้องก็ร้องประท้วงว่าควรจะลงไปหาอะไรทานสักที เวลานี้และตอนนี้คงทานได้แค่ที่ห้องอาหารของทางโรมแรม ไม่อยากนั่งทานอุดอู้อยู่แต่ในห้อง หากได้ออกไปเดินพบปะผู้คนข้างนอกบ้างคงทำให้ผมคลายเหงาที่มีอยู่ได้ไม่มากก็น้อยและหากได้บังเอิญเจอกับพี่สันต์ ผมว่าวันนี้คงเป็นวันที่ดีและไม่ต้องเหงาอีกวัน



อ่า...นี่ผมกำลังหวังอะไรอยู่กันนะ



{----------♥----------}



ลงมาถึงห้องอาหารก็มีพนักงานเข้ามาบริการเป็นอย่างดี จนแอบจะรู้สึกชื่นชมพี่สันต์ไม่ได้ว่าควบคุมและสอนพนักงานได้ดีทุกคนจริงๆ จากการที่ผมได้สังเกตและพบเห็นเวลาพี่สันต์อยู่ต่อหน้าพนักงานจะดูใจดีเป็นเจ้านายที่พนักงานเคารพนับถือและรักเขาเพราะความใจดีและไม่ใช้อำนาจของตัวเองสั่งคนนู้นคนนี้ให้ทำตามใจ เขาจะมีรอยยิ้มบางๆติดอยู่ตรงริมฝีปากเสมอ เมื่อเห็นพนักงานทำผิดก็กล่าวตักเตือนด้วยคำพูดดีๆ ไม่มีการด่าหรือตะคอกใส่ให้ต้องหวาดกลัว



พี่สันต์ยังไงก็คือพี่สันต์ จะผ่านมากี่ปีพี่สันต์ที่ผมเคยรู้จักก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย



นั่งลงบนโต๊ะเพื่อรออาหารจากพนักงาน สายตากวาดไปรอบๆเพื่อสำรวจสิ่งแวดล้อมต่างๆในห้องอาหารแต่สายตาก็ต้องสะดุด เมื่อพบว่าคนที่เข้ามาอยู่ในความคิดผมตลอดเวลาอย่างพี่สันต์ กำลังนั่งทานข้าวและพูดคุยด้วยรอยยิ้มที่ผมชอบกับ...แฟนเก่า



ไหนเขมบอกว่าเลิกกันแล้วล่ะ...



ผมรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจเมื่อเจอภาพนั้นอยู่ตรงหน้า มันรู้สึกหน่วงๆและไม่ชอบใจเอาซะเลยที่ตัวเองเลือกที่จะมาทานข้าวในห้องอาหารแทนที่จะโทรสั่งเพื่อทานในห้อง



หากผมเลือกทานในห้อง ภาพของคนสองคนที่พูดคุยกันด้วยรอยยิ้มผมคงไม่ต้องมาเห็นให้หัวใจตัวเองเจ็บเล่นๆแบบนี้หรอก



หัวใจเจ็บมากกว่าตอนที่ยังแอบชอบพี่สันต์เมื่อตอนปีหนึ่งซะอีก เพราะตอนนั้นผมรู้ยังไงล่ะว่าคงเป็นไปไม่ได้แต่ผิดกลับตอนนี้ที่เขมเคยบอกว่าเขาสองคนเลิกรากันไปแล้ว มันจึงทำให้ผมได้มีความหวังขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่รับรู้ว่าต้องมาพบเจอพี่สันต์ที่ไม่มีเจ้าของหัวใจในรอบหลายปีที่ผ่านมา



ผมอยากเบนสายตาไปทางอื่นแต่คงไม่ทันเมื่อพี่สันต์สบตาเข้ากับผมพอดี ทำให้ผมที่มองเขาอยู่ก่อนแล้วต้องคลี่ยิ้มให้พร้อมผงกหัวเป็นเชิงบอกสวัสดีกับพี่สันต์จากนั้นจึงได้เวลาเบือนหน้าหนีจากภาพของคนสองคนที่นั่งทานข้าวด้วยกันและเป็นภาพที่ดูเหมาะสมกันโดยไม่สามารถมีใครค้านได้เลย



นั่งถอนหายใจกับตัวเองเงียบๆก็ต้องสะดุ้งเมื่อพบว่าคนที่ผมพึ่งเบือนหน้าหนีเขามาถือวิสาสะนั่งลงฝั่งตรงข้ามด้วยรอยยิ้มที่ผมไม่อาจปฏิเสธได้ว่า....ผมรักรอยยิ้มของเขาเสมอ



“พี่ขอนั่งด้วยคนนะครับ”



ขนาดเสียงพี่สันต์ผมยังชอบเลย ไม่มีอะไรที่ผมไม่ชอบในตัวเขาสักอย่าง มันจึงยากที่จะตัดใจเมื่อได้พบเจอกันอีกครั้ง



“ครับ” ผมตอบแล้วก้มหน้ามองมือตัวเองที่ผสานไว้บนตัก พอพี่สันต์มานั่งด้วยกันอย่างนี้ก็อยากจะบอกความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจให้เขาได้รับรู้ มันอึดอัดจนผมอยากจะเดินหนีขึ้นห้องของตัวเองไปซะตอนนี้เลยด้วยซ้ำ



“เป็นอะไรครับ สีหน้าดูไม่ดีเลย”



พี่สันต์เก่ง...เก่งที่สามารถทำให้ผมตกหลุมรักเขาได้ตลอดเวลา



“ป่าวครับ...พี่สันต์” ผมเอ่ยเรียกเขาเสียงเบาในท้ายประโยคเมื่อมือหนายื่นเข้ามาแตะตรงหน้าผากของผมเบาๆเพื่อตรวจวัดไข้ของผม



“ปวดหัวไหมครับ?”



“ม..ไม่ครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”



“แน่ใจนะครับ”



“อ...เอ่อผมแค่หิวข้าวครับ พี่สันต์ไม่ต้องห่วงนะครับ”



ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยิ้มขำเมื่อผมเอ่ยจบประโยค พี่สันต์มองผมด้วยความเอ็นดูแล้วเขาก็เปลี่ยนมือที่วางบนหน้าผากมาวางไว้บนหัวผมแทน จากนั้นก็ขยี้เบาๆให้ผมใจสั่นขึ้นมากับการกระทำเล็กๆน้อยๆของเขา



“น่ารักนะเรา หิวข้าวแล้วจะงอแงหรือครับ?” เขาพูดเหมือนผมเป็นเด็กแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผม...ชอบทุกๆคำพูดที่ออกมาจากริมฝีปากของเขา



“ผมไม่ใช่เด็กสักหน่อยนะครับ ก็แค่หิวข้าวเอง”



พี่สันต์ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าพี่มีน้องแบบพีทคงจะดีนะ”



“ผมไม่ได้อยากเป็นน้องพี่สักหน่อย” ผมอยากจะเอามือขึ้นมาตะครุบปากของตัวเองตอนนี้แต่ก็รู้ว่าคงไม่ทันเมื่อคำพูดที่เผลอคิดคนเดียวในใจ ผมได้โพล่งมันออกไปแล้ว



“หืม...เมื่อกี้พีทพูดว่าไงนะครับ พี่ไม่ได้ยิน”



และคงจะเป็นโชคดีของผมที่พี่สันต์ไม่ได้ยินประโยคนั้นที่ผมพูดมันออกไป “อ่า...เปล่าครับ แค่บอกว่าใครได้เป็นน้องชายพี่สันต์คงโชคดีมากแน่ๆ”



“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ แต่ถ้าพีทอยากพิสูจน์ว่าจะโชคดีจริงๆหรือเปล่า ลองมาเป็นน้องพี่ดูไหมล่ะครับ?”



“เป็นอย่างอื่นไม่ได้หรือครับ”



โอ๊ย...พีท อยากจะตบปากตัวเองจริงๆเลยที่โพล่งอะไรออกไปไม่คิดอย่างนี้



“อย่างอื่นหรือครับ อืม...เป็นอะไรดี พีทอยากเป็นอะไรล่ะครับ?”



“ผม...ผมแค่ล้อเล่นเองครับพี่สันต์ อย่าถือสาคำพูดผมเลย”



“เป็น..อืมงั้นเป็นแฟนพี่ดีไหมครับหืม?” ผมรู้ว่าพี่สันต์เพียงแค่พูดเล่นและหยอกล้อมผมเท่านั้นแต่มันก็อดไม่ได้เลยที่จะดีใจไปกับคำพูดของเขา



“พี่สันต์....”



หน้าผมร้อนไปหมดจนต้องยกมือขึ้นมากุมแก้มของตัวเองไว้ หัวใจก็พองโตขึ้นมากะทันหันจนกลัวว่าจะระเบิดออกมาให้พี่สันต์ได้รับรู้ว่าผมดีใจและยินดีขนาดไหนเมื่อได้ยินคำพูดของเขาแบบนั้นแต่หัวใจก็ต้องฟีบลงเมื่อมีใครอีกคนก้าวเข้ามา



“สันต์”



เสียงหวานของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้ผมและพี่สันต์ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองพร้อมกันและพบว่าตัวจริงของพี่สันต์ไม่ใช่ผมแต่เป็นเธอคนนี้ต่างหากล่ะและเรื่องเมื่อกี้ก็คงเป็นเรื่องล้อเล่นที่พี่สันต์พูดขึ้นขำๆเท่านั้นเอง



“ครับ จะกลับแล้วหรือ?” พี่สันต์ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้เพื่อที่จะคุยกับเธอ



“อื้ม เราไปก่อนนะ” เธอบอกลาพี่สันต์แล้วหันมาผงกหัวให้ผมท่างยิ้มตอบกลับให้เธอเช่นกัน



“เราเดินไปส่งไหม?”



“ไม่เป็นไร แค่นี้เอง”



พี่สันต์พยักหน้าตอบรับสิ่งที่เธอบอก “โอเค งั้นกลับดีๆครับ”



“จ้า”



เธอเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มหวาน ทำให้ผมตาพร่าไปชั่วขณะเพราะรอยยิ้มของเธอคนนั้นสวยมากจริงๆ สวยจนพี่สันต์ยังคงมองตามเธอจนเธอหายไปจากสายตาแล้วก็ยังคงจ้องไปยังทิศทางนั้นเหมือนเดิม



อืม...หน่วงใจดีจริงๆเลย



กว่าพี่สันต์จะละสายตาออกจากเธอคนนั้นได้ก็ตอนที่อาหารของผมมาเสิร์ฟที่โต๊ะ นั่นล่ะเขาถึงหันกลับมายิ้มให้ผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นยิ้มที่ดูฝืนมากกว่าทุกๆครั้งที่เขายิ้มให้ผม



พี่สันต์กำลังมีเรื่องไม่สบายใจ....นั่นคือสิ่งที่ผมพบบนแววตาและรอยยิ้มของเขาที่ดูหม่นลง



“พีทสนใจไปนั่งรถเล่นกับพี่ไหมครับ?” เสียงของพี่สันต์ทำให้ผมที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่มต้องวางแก้วน้ำลงแล้วเอ่ยถามเขากลับ



“พี่สันต์ว่างแล้วหรอครับ?”



“จริงๆก็ไม่ว่างหรอกครับแต่วันนี้ขอโดดงานสักวันคงโดนคุณพ่อด่าไม่เท่าไหร่หรอก” เขาว่าแล้วยิ้มขำ “ว่าไงครับพีทอยากไปด้วยกันหรือเปล่า?”



“แต่ฝนตกอยู่นะครับ”



“ไม่เป็นไรหรอกแค่ขับรถเล่น แถวๆนี้”



“อ่า...งั้นก็ได้ครับ”



เพราะใบหน้าและน้ำเสียงที่ดูไม่สบายใจของเขา ทำให้ผมต้องยอมตกลงรับคำของพี่สันต์ อยากจะด่าว่าตัวเองทำไมถึงใจง่ายขนาดนั้นแต่ก็ช่างเถอะถ้าใจมันอยากจะให้ผมเป็นยังไง ผมก็คงต้องตามใจมันล่ะนะ



{----------♥----------}



อย่างที่พี่สันต์บอกว่าเขาจะพาผมขับรถเล่น เราออกจากโรงแรมเมื่อผมทานข้าวเสร็จ พี่สันต์ขอตัวไปคุยงานกับเลขาและบอกให้ผมไปรอข้างล่าง พอพี่สันต์มาถึงเขาก็นำผมไปขึ้นรถของเขาและเขาก็ขับรถไปเรื่อยๆไม่ได้เร่งรีบทั้งที่สายฝนยังคงโปรยปรายอยู่อย่างนั้น และผมคิดว่าฝนคงจะตกแบบนี้ไปทั้งวัน ทั้งรถมีแต่ความเงียบจะมีแค่เพียงเสียงที่ปัดน้ำฝนดังขึ้นเป็นระยะแต่ไม่ได้น่าหนวกหูอะไร



ผมแอบเหลือบไปมองทางพี่สันต์ เขาดูผ่อนคลายลงหลังจากได้ขับรถไปเรื่อยๆ ผมไม่รู้ว่าปลายทางเขาจะหยุดลงตรงไหนแต่ตอนนี้แค่ได้เห็นสีหน้าเขาที่ดูดีขึ้นจะให้พาผมไปไหนผมก็คงไม่อาจปฏิเสธเขา



ไม่รู้ว่าพี่สันต์ขับรถมานานเท่าไหร่และไม่รู้ว่าผมมองใบหน้ายามที่พี่สันต์ขับรถนานขนาดไหน พอมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พี่สันต์หันหน้ามาทางผม ทำให้ผมตกใจ เบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่างและผมพึ่งรู้ว่าตรงที่เขาจอดคือหน้าหาดราไวย์ ที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นในการขับรถเล่นของพี่สันต์



ผมทำหน้าแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าในเมื่อก็ใกล้ถึงโรงแรมแล้วทำไมพี่สันต์ถึงไม่ขับให้ถึงไปเลย ทำไมเขาถึงมาจอดหน้าหาดและผมก็สงสัยได้ไม่นาน เมื่อพี่สันต์เอ่ยให้ผมกระจ่างมากขึ้น



“พี่ไม่รู้จะขับไปไหน พี่อยากลงไปนั่งที่ชายหาดเพื่อมองทะเลแต่ตอนนี้ฝนยังตกอยู่ เลยคิดว่านั่งมองในรถคงจะเหมือนกัน”



ผมมองรอยยิ้มของพี่สันต์ รอยยิ้มที่ไม่อยากจะยิ้มแต่ก็ต้องยิ้มมันเพื่อส่งมาให้ผม มองแล้วผมก็รู้สึกไม่ชอบใจ ผมไม่ชอบที่พี่สันต์ต้องฝืนยิ้มให้ใครต่อใครทั้งที่ในใจไม่มีความสุขเลย



“พี่สันต์ครับ” ผมเรียกชื่อเขาที่มองผมด้วยความสงสัย



“ครับ?”



“ถ้าพี่ไม่มีความสุขที่จะยิ้ม พี่ก็อย่าฝืนเลยครับ”



พี่สันต์ยังคงยิ้มเป็นรอยยิ้มฝืนๆของเขาเหมือนเดิมทั้งที่ผมก็พูดจบประโยคไปแล้ว



“ทำไมพีทถึงคิดว่าพี่ไม่มีความสุขล่ะ”



“แล้วตอนนี้พี่สันต์มีความสุขหรือเปล่าล่ะครับ?” ผมเห็นแววตาที่ไหววูบของพี่สันต์แต่แค่เพียงแวบเดียวเขาก็กลบความวูบไหวลงไปจนมิด



“พี่...พี่มีความสุขดีครับ” เขายังคงยิ้มอยู่แบบนั้น รอยยิ้มนั้นยังคงไม่หายไปจากริมฝีปากของเขา



ยิ่งเห็นเขาต้องฝืนตัวเอง ผมก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดที่เห็นเขาเป็นแบบนั้น จนผมทนไม่ไหวคว้าตัวเขามากอดไว้ในอ้อมกอดของตัวเองอย่างถือวิสาสะ



“ตอนนี้ผมไม่เห็นหน้าพี่แล้ว ถ้าพี่ทำหน้าแบบไหนผมก็จะมองไม่เห็นหน้าพี่ พี่จะยิ้มจะร้องไห้หรือจะทำหน้าเจ็บปวด ผมก็ไม่สามารถมองเห็นหน้าของพี่ได้แล้วนะครับ ผมขอร้อง ผมไม่อยากให้พี่ฝืนยิ้มแบบนั้นเลย”



ผมพูดยาวเหยียด กลัวเขาจะผลักผมออกหากเป็นแบบนั้นผมคงจะเจ็บปวดไม่น้อยแต่ผมก็ต้องหายกลัวเมื่อเขายกมือขึ้นมากอดตอบและกระชับอ้อมกอดผมแน่นมากยิ่งขึ้น



“ขอบคุณครับ”



เขาว่าเพียงแค่นั้นก็ซบหน้าลงกับบ่าเล็กๆของผม ไม่นานผมก็รู้สึกถึงความเปียกชื้นตรงบ่าที่เขาซบอยู่ ผมไม่ได้ทักท้วงอะไรทำเพียงแค่ลูบหลังเพื่อหวังว่าจะทำให้เขาสบายใจขึ้นมาบ้างว่ายังมีผมอยู่ตรงนี้ด้วยกันกับเขา



“ขวัญกำลังจะแต่งงาน”



แค่เพียงประโยคนี้ก็ทำให้ผมสามารถเข้าใจทุกอย่างโดยที่เขาไม่ต้องพูดอธิบายอะไรออกมาอีก แค่ได้ยินเสียงของพี่สันต์ผมก็รับรู้ถึงความเสียใจของเขาว่ามันมากมายขนาดไหน มันมากขนาดที่ทำให้ผมต้องเจ็บปวดตามเขาไปด้วย



“พี่รู้ว่าสักวันพี่คงต้องเจอเรื่องแบบนี้ แต่พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงๆพี่กลับยอมรับไม่ได้และมันทำให้พี่รู้...รู้ว่าพี่ยังรักขวัญอยู่เต็มหัวใจของพี่”



ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บปวดกับคำว่ารักของพี่สันต์ที่มีให้คนอื่น แต่ผมก็ยังคงลูบหลังปลอบเขาอยู่แบบนั้นไม่ผละหนีไปไหน



“ตอนที่ขวัญยื่นการ์ดแต่งงานมาให้ พี่หัวใจแทบสลายแต่ก็ต้องฝืนยิ้มและแสดงความยินดีให้กับเขา ทั้งที่ใจของพี่เจ็บจนเจียนตาย”



พี่สันต์กระชับอ้อมกอดของผมแน่นยิ่งขึ้น มันทำให้ผมอึดอัดนิดหน่อยแต่ไม่ได้คิดจะขัดขืนหรือบอกกับเขา



เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เอาแต่ซบหน้าและกอดผมไว้อย่างนั้นท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำตกลงมาหนักมากกว่าเดิมแต่พี่สันต์ก็ยังคงไม่ยอมปล่อยผม จนกระทั่งเวลาผ่านไปอย่างเนิ่นนานพี่สันต์ก็ผละออก เขามองหน้าผมและครั้งนี้ใบหน้าของเขาไม่หลงเหลือรอยยิ้มอีกแล้ว



“ขอบคุณนะพีท”



“ครับ”



ผมเพียงยิ้มตอบรับและคิดว่าแค่เป็นคนที่สามารถทำให้เขาสบายใจได้ มันก็ดีมากแค่ไหนแล้ว....



{----------♥----------}
TBC.........

#พักใจไปกับพีท




ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
หายไปนานนนนนมากๆๆๆๆๆๆิคิดถุงงงง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด